เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 67 ไล่ออกจากบ้าน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เธอแอบมองหน้าหนานกงเฉินแวบหนึ่ง เขาไม่ได้แสดงสีหน้าโกรธเกลียดอะไร

หนานกงเฉินมองกระเช้าผลไม้ ก่อนยิ้มหยัก “บังเอิญอีกแล้ว”

“ไม่บังเอิญครับ”ผมได้ข่าวว่าพี่เฉินไม่สบายผมเลยตั้งใจจะมาเยี่ยม” หลินอันหนานยื่นกระเช้าไปให้ “ขอให้หายไว้ครับ”

“ขอบใจ ฉันดีขึ้นละ” หนานกงเฉินรับกระเช้ามาและโยนลงถังขยะข้างๆทันที

เห็นสิ่งที่เขาทำแล้ว หลินอันหนานมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อโดนหยามน้ำใจต่อหน้า

นี่ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ให้เขามา ไม่ใช่เพื่ออนาคตของตระกูลหลิน เขาไม่มีทางมาให้หนานกงเฉินดูถูกถึงโรงพยาบาลแบบนี้ ก่อนมาเขาก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะออกมาแบบนี้ หนานกงเฉินเป็นคนยังไงน่ะเหรอ? หนานกงเฉินมันเป็นคนไม่ปกติ!

ไป๋มู่ชิงหุบตาลง ไม่กล้ามอง ศึกสองหนุ่ม

เห็นหลินอันหนานกัดฟันอดกลั้น หนานกงเฉินก็หัวเราะหยัน “ไม่พอใจหรือคุณชายหลิน? หรือฉันต้องกินผลไม้นี้ทั้งตะกร้าถึงจะพอใจ?

“ไม่ครับ……กระเช้าผลไม้เป็นแค่ตัวแทนแสดงน้ำใจและความห่วงใยจากตระกูลหลิน ขอแค่พี่เฉินรับรู้ได้ถึงน้ำใจของตระกูลหลินก็พอแล้วครับ” หลินอันหนานฝืนยิ้ม

“น้ำใจตระกูลหลินเหรอ?” หนานกงเฉินพูดคล้ายล้อเลียน “ดูไม่ออกจริงๆ”

เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลายกว่านี้ เธอรีบพูดแทรกขึ้น “คือว่า…. คุณชายใหญ่ คนขับรออยู่ข้างนอกนานแล้วค่ะ เรารีบไปเถอะ” พูดจบก็ดึงแขนหนานกงเฉินไปยันประตูทางออกของโรงพยาบาล

จนกระทั้งขึ้นรถกันเรียบร้อย หนานกงเฉินก็ยังอารมณ์ไม่เย็นลง เขากลับมาเงียบและเฉยชาเหมือนเดิม

เวลาที่เขาอารมย์ไม่ดี เธอรู้ว่าต้องเงียบไว้ก่อน

ตกกลางคืน ไป๋มู่ชิงรู้สึกเบื่อๆเลยหยิบกระดาษและดินสอนั่งวาดรูปเล่นอยู่ตรงระเบียง

เธอลงลายเส้นต่างๆลงบนกระดาษ จนเวลาผ่านไปชั่วครู่ก็ขึ้นรูปเป็นหน้าผู้ชายคนหนึ่งบนกระดาษ

ไป๋มู่ชิงอึ้งกับรูปหน้าบนกระดาษวาดรูปที่ละม้ายคล้ายคลึงกับหนานกงเฉิน เธอเป็นอะไรไป? ทำไมเธอถึงได้วาดหนานกงเฉิน แทนที่จะเป็นหลินอันหนานเหมือนทุกที?

หรือว่าเธอจะเริ่มชอบผู้ชายที่เย็นชาและร้ายหัวใจอย่างหนานกงเฉินเข้าให้แล้ว? เป็นไปได้ยังไง?

หนานกงเฉินไม่เกิดมาเพื่อเธอ ใจเขามีไว้เพื่อผู้หญิงลึกลับคนนั้น ตัวเขามีไว้สำหรับไป๋ยิ่งอัน เธอไม่มีสิทธ์ิรักผู้ชายคนนี้

เธอขย้ำกระดาษวาดรูปทิ้งลงถังขยะอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกจากเก้าอี้

เธอยืนเครียดอยู่ตรงระเบียงพักใหญ่ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง สายตามสะดุดเข้ากับรูปภาพที่วางอยู่ตรงโต๊ะเครื่องแป้งโดยไม่ตั้งใจ

สองวันมานี้เธอมัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องข่าวฉาวและดูแลหนานกงเฉินจนเธอเกือบลืมรูปภาพนี้ไปแล้ว วันนี้เห็นเข้าก็อดไม่ได้ที่จะเปิดออกมาดู

ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน เธอไม่เคยรู้สึกชอบภาพวาดอะไรเท่าภาพวาดนี้มาก่อน ทั้งๆที่รู้ว่าภาพวาดนี้หลินอันหนานเป็นคนมอบให้ ไม่ควรรับไว้และยิ่งไม่ควรเก็บไว้ แต่เธอก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ถึงขนาดนำภาพวาดขึ้นมาแขวนไว้ในห้องนอนเธอ

ค่ำคืนนี้ไปด้วยดี

ในเช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋มู่ชิงลืมตามาเจอกับผู้หญิงในภาพ [คุณผู้หญิงจิ้ง] เธอสะดุ้งตกใจจนรู้สึกกลัว

อาจเป็นเพราะว่าไม่เคยตื่นมาแล้วเจอรูปวาดคนอยู่ในห้องนอนแบบนี้เลยทำให้รู้สึกไม่ชิน

เพื่อสุขภาพลูกน้อยในครรภ์ไป๋มู่ชิงกินอาหารเช้ามากกว่าแต่ก่อน โชคดีที่เธอไม่มีอาการแพ้ท้องหรืออ้วกให้คนอื่นสงสัยว่าเธอตั้งครรภ์

ผู่เหลียนเหยาบอกว่าวันนี้เป็นวันหยุดเธอ จึงมาชวนไป๋มู่ชิงไปเที่ยวด้วยกัน เธอไม่รู้จะปฏิเสธยังไงจึงตอบตกลง

หลังอาหารเช้าเธอให้ผู่เหลียนเหยารอชั้นล่าง ส่วนเธอก็รีบขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อในห้องนอนชั้นสอง

เธอสังเกตเห็นว่าประตูห้องนอนแง้มอยู่เล็กน้อย แต่เธอจำได้ว่าก่อนลงไปเธอปิดประตูเรียบร้อยแล้วนินา เธอค่อยๆดันประตูเปิดอย่างนึกสงสัย ก่อนเข้าไปพบว่าหนานกงเฉินกำลังยืนจ้องภาพ [คุณผู้หญิงจิ้ง] อยู่

ที่แท้งเขาก็ชอบภาพวาดนี้เหมือนกัน ดูจากสายตาที่มองอย่างลุ่มหลง

เธอยังไม่ทันนึกว่าเขาในใจ หนานกงเฉินก็หันมาทางเธอ และจ้องมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก แค่เห็นสีหน้าเย็นชาของเขา ไป๋มู่ชิงก็ใจหายวาบ

ทำไมเขาโมโหอีกแล้ว? เพราะเรื่องภาพวาดนี้เหรอ? เขารู้ว่าภาพวาดนี้หลินอันหนานเป็นคนให้เธอมาเหรอ? หรือว่า…..?

“เธอต้องการอะไร?” หนานกงเฉินย่างสามขุมเข้ามาหา แล้วบีบปลายคางเธออย่างแรงและจ้องมองเธอด้วยสายตาเย็นชา

“เรื่องอะไร……”ไป๋มู่ชิงทำเป็นไม่เข้าใจ

“เธอได้มันมาจากไหน?” หนานกงเฉินชี้ไปที่ภาพวาด “ใครอนุญาตให้เธอแขวนไว้ในห้อง? เอามันลงเดี๋ยวนี้”

“ฉัน….ฉันแค่ชอบภาพนี้….”ไป๋มู่ชิงตกใจกับสีหน้าที่โกรธจัดของเขา สองวันก่อนเธอเกิดเรื่องข่าวฉาวกับหลินอันหนานเขายังไม่เห็นโกรธขนาดนี้เลย แค่ภาพวาดรูปเดียวทำให้เขาโมโหได้ขนาดนี้?

ทำไงดี? เธอจะอธิบายยังไงให้เขาเข้าใจ?

ขณะที่เธอกำลังจะอธิบายว่าเธอแค่ชอบภาพวาดนี้ ไม่ได้เพราะหลินอันหนานเป็นคนมอบให้ หนานกงเฉินก็เดินกลับไปที่รูปวาดเอามือดึงภาพวาดลงจากผนังโยนลงแทบเท้าเธอ “ฉันถามว่าภาพวาดนี้เธอได้มาจากไหน? เธอรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับภาพนี้? แล้วยังมีใครรู้เรื่องนี้บ้าง?”

ไป๋มู่ชิงรู้สึกงงไปหมด ตอนนี้เธอไม่ได้แกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ แต่เธองงจริงๆ เธอไม่เข้าใจความหมายที่เขาถาม

ดูท่าแล้วเขาไม่ได้โมโหเพราะหลินอันหนาน แต่เพราะ…… นั้นสิ เขากำลังโมโหอะไรกันแน่? เรื่องนี้ของเขาหมายถึงเรื่องไหนกัน?

เห็นเธอนิ่งไม่ตอบ หนานกงเฉินยิ่งโมโหหนักกว่าเดิม เขาเดินกลับไปที่โต๊ะยิบกรรไกรขึ้นมา แล้วเดินไปเก็บภาพที่ตกอยู่แทบเท้าเธอขึ้นมาตัดเป็นชิ้นๆอย่างโกรธจัด

ไป๋มู่ชิงมองอาการฉุนเฉียวของเขาแล้วกลัวว่าเขาจะทำกรรไกรตัดโดนมือตัวเอง เธอรีบโน้มตัวกอดเขาจากด้านหลัง “คุณชายใหญ่ คุณพูดถึงเรื่องอะไร? ฉันไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด…….” เธอหยุดก่อนพูดขึ้นอีก ภาพวาดนี้ฉันเจอที่ศูนย์วัฒนธรรม เห็นว่าสวยดีก็เลยนำกลับมา เรื่องอื่นฉันไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้อะไรเลยจริงๆค่ะ”

หลังของหนานกงเฉินแข็งทื่อขึ้นทันใด กรรไกรในมือที่กำลังตัดก็หยุดลง

ไป๋มู่ชิงมองดูเขาที่มึนงงเล็กน้อย ค่อยๆถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “คุณเป็นอะไรไป ภาพวาดนี้ทำไมเหรอ?”

เขานิ่งไปชั่วครู่ ก็หันกลับมาจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เธอไม่รู้อะไรเลยจริงเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงรีบส่ายหน้าตอบ เธอไม่รู้อะไรเลยจริงๆนี่นา เธอก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเขาเห็นภาพนี้แล้วต้องเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขนาดนี้ แต่เวลานี้คงไม่ใช่เวลาที่จะถามเอาคำตอบ

เธอรู้สึกได้ชัดเจนว่าหนานกงเฉินแอบถอนหายใจ ก่อนจะทิ้งกรรไกรลงพื้นและลุกขึ้นยืน แล้วหันมาสั่งเธอ “เอามันไปเผาทิ้งซะ ”

ตัดจนขาดรุ่งริ่งขนาดนี้แล้วยังสั่งให้เอาไปเผาทิ้งอีกเหรอ เธอยิ่งรู้สึกว่าภาพวาดนี้ต้องมีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ๆ

เธอรู้ว่าเรื่องนี้ต่อให้ถามหนานกงเฉินไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไร และเธอก็ไม่โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าเวลาแบบนี้ไม่ควรถาม

หลังจากไป๋มู่ชิงเก็บเศษภาพวาดที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆขึ้นมา เธอก็เห็นหนานกงเฉินยืนอยู่ตรงหน้าต่างกระจกบางใหญ่เหม่อมองไปทางหอไหว้บรรพบุรุษ

อันที่จริงห้องนอนของเธอไม่ได้หันไปทางสวนหลังบ้าน และหอไหว้บรรพบุรุษอยู่ทางด้านตะวันตกของสวนหลังบ้าน

เธอเดินเข้าไปหา และเรียกเขาเบาๆ “คุณชายใหญ่…..”

หนานกงเฉินหันกลับและพูดแทรกขึ้น “ฉันคิดว่าพี่เหอน่าจะบอกเธอแล้วว่า ถ้าอยากอยู่ที่นี้ ก็อย่าอยากรู้อยากเห็นให้มาก อะไรที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม”

ไป๋มู่ชิงจากที่รวบรวมความกล้าที่จะถามเขา โดนเขาตรอกกลับแบบนี้เธอจึงทำได้แค่เงียบ

พี่เหอเคยบอกเธอเรื่องนี้แล้ว อีกอย่างในเอกสารก็ระบุชัดเจน

เมื่อมาเดินเที่ยวกับผู่เหลียนเหยาเธอแทบไม่มีใจอยู่กับการเดินเที่ยวเลย ผู่เหลียนเหยาดูออกว่าใจเธอไม่มีมีกะจิตกะใจที่จะเดินเที่ยว จึงได้พาเธอไปหาที่นั่งในร้านกาแฟ หลังจากนั้นก็ถามขึ้น “เป็นอะไร? ดูใจลอย ”

ไป๋มู่ชิงมองเธอ ขณะที่ในใจยังคิดสับสัน ภาพวาดนี้ผู่เหลียนเหยาเป็นคนแนะนำให้เธอ ตกลงเธอไม่มีอะไรหรือเธอจงกันแน่?

แต่ก็ไม่ใช่สิ หลินอันหนานเป็นคนมอบภาพวาดให้เธอเอง ไม่ใช่ผู่เหลียนเหยานินา

เหลียนเหยา “เธอยังจำภาพวาดของหญิงงามที่มีชื่อภาพว่า [คุณผู้หญิงจิ้ง ] ได้มั้ย ” เธอถาม

“จำได้ ทำไมเหรอ? หรือว่าอยากได้?” ผู่เหลียนเหยายิ้มล้อ “อยากได้ก็ให้พี่เฉินซื้อให้สิ ดูจากความสัมพันธ์ของพี่กับพี่เฉินตอนนี้แล้ว เขาซื้อให้แน่ๆ”

“ฉันกับเขา…..ความสัมพันธ์อะไร?”

“อย่ามาทำหน้าแบบนี้เลย วันนั้นที่โรงพยาบาลฉันเห็นกอดกันอยู่บนเตียงด้วย”

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเธอหมายถึงเรื่องที่เธอนอนกอดหนานกงเฉิน รู้สึกอายเล็กน้อย ก่อนรีบกลับมาจ้องมองเธอและถามอย่างจริงจัง “จริงๆแล้ว ฉันแค่อยากถามว่า เธอรู้เรื่องภาพวาด [คุณผู้หญิง]จิ้ง แค่ไหน?”

“หมายความว่าไง?”

“คืออย่างงี้ ฉันเอาภาพวาด คุณผู้หญิงจิ้ง กลับบ้าน แต่พอคุณชายใหญ่เห็นเขาก็โมโหมาก สั่งให้ฉันเอารูปไปเผาทิ้งด้วย”

“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ ?” ผู่เหลียนเหยาถามอย่างแปลกใจ

“ฉันก็อยากรู้ว่าเหมือนกันทำไมถึงเป็นแบบนี้ ก็เลยมาถามเธอไง”

ผู่เหลียนเหยาส่ายหัว “ฉันก็รู้เท่าที่มีบันทึกไว้ในงานแสดงภาพวาด นอกจากนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย” เธอหยุดคิดก่อนพูด “แต่จะว่าไปแล้วบ้านตระกูลหนานกงมีความลับมากมายที่คนนอกอย่างเราก็ยากที่จะไปคาดเดาได้ ช่างมันเถอะนะ อย่างไปคิดให้ปวดหัวเลย”

พอเห็นหน้าไป๋มู่ชิงยิ่งเต็มไปด้วยความสงสัย ผู่เหลียนเหยาก็พูดขึ้น “ก็อย่างเช่น……หอไว้บรรพบุรุษของบ้านตระกูลหนานกงไง ฉันได้ยินมาว่าข้างในมีความลับของพี่เฉินกับผู้หญิงที่เป็นคนรักชาติภพที่แล้วอยู่ในนั้น “แต่ที่นั้นนอกจากคุณผู้หญิง พี่เฉิน และ ท่านอาจารย์หวังแล้ว คนอื่นไม่เคยมีใครได้เข้าไป”

“คนรักชาติภพที่แล้ว?”

“อืม ท่านอาจารย์หวังบอกว่า พี่เฉินชาติที่แล้วผิดต่อผู้หญิงคนหนึ่งไว้ เลยโดนสาปแช่งให้ต้องเจ็บป่วยแบบนี้” ผู่เหลียนเหยายกแก้วน้ำขึ้นมาจิบ ก่อนยิ้มขำ “ที่ตลกคือคุณย่าก็เชื่อเรื่องนี้ด้วย”

ไป๋มู่ชิงฟังสิ่งที่เธอพูดแล้วนิ่งอึ้งไป นั่งคิดก่อนที่จะพูดขึ้น “ไม่ใช่สิ หอไหว้บรรพบุรุษ ฉันเคยไปมาสองครั้งแล้ว ไม่เห็นมีอะไร………..”

พูดถึงตรงนี้ไป๋มู่ชิง หยุดพูดทันที

ไม่ใช่สิ เธอไปมาสองครั้ง ก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นทั้งสองครั้งเลยนี่นา

“หอไหว้บรรพบุรุษของบ้านตระกูลหนานกงใหญ่มาก ที่เธอไปน่าจะเป็นแค่โถงด้านหน้า” ผู่เหลียนหยายกนิ้งชี้แตะริมฝีปากทำสัญญามือให้พูดเบาๆ “นี่เป็นเรื่องที่เล่าลือกันมา ไม่รู้จริงแท้แค่ไหน พี่ก็อย่ากลับไปถามพี่เฉินล่ะ แล้วก็อย่าคิดแอบเข้าไปสืบหาความจริงอะไรด้วย ถ้าคุณย่ารู้เข้าจะเป็นเรื่องใหญ่”

ไป๋มู่ชิงค่อยๆพยักหน้าตอบ “ฉันรู้แล้ว”

ถึงผู่เหลียนเหยาจะกำชับเธออย่างดี แต่เธอก็ยังหาจังหวะแอบเข้ามาที่หอไหว้บรรพบุรุษอยู่ดี

วันนี้พี่เหอพาคุณผู้หญิงไปไหว้พระที่วัดในเมืองC และต้องอยู่ปฏิบัติธรรมอีกสามวัน ส่วนหนานกงเฉินก็เข้าบริษัทฯ เห็นว่าน่าจะกลับดึก

ถึงแม้ที่นี่จะเต็มไปด้วยความน่ากลัว แต่เพื่อสืบหาความจริง เธอยังคงทำใจกล้าเดินไปข้างหน้าไม่หยุด

ผู้หญิงในภาพวาด [คุณผู้หญิงจิ้ง] กับคนรักในชาติก่อนของหนานกงเฉินที่เล่าลือกัน เกี่ยวข้องกันยังไง? ทำไมหนานกงเฉินเห็นภาพวาดแล้วถึงได้ฉุนเฉียวขนาดนั้น?

เธอไม่รู้ว่าการสืบหาความจริงจะมีประโยชน์อะไรกับเธอ และรู้ดีว่าถ้าถูกคนจับได้จะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง เธอควรจะหมุนตัวแล้วเดินออกไปจากที่นี่ แต่มันเหมือนมีอะไรบางอย่างดึงดูดให้เธอยังคงเดินต่อไปข้างหน้า

คนงานชายที่เฝ้าหน้าหอไหว้บรรพบุรุษเห็นเธอเข้า ก็หันไปมองหน้ากัน นึกในใจนายหญิงน้อยผู้โชคร้ายโดนทำโทษอีกแล้วเหรอ?

“รบกวนเปิดประตูให้หน่อยฉันจะเข้าไป” ไป๋มู่ชิงพูดกับเขาทั้งสอง

“นายหญิงน้อยจะเข้าไป? ” คนงานถามเธอด้วยความประหลาดใจ คนที่นี่มีแต่จะหลีกหนีด้วยความหวาดกลัว แต่เธอกลับจะขอเข้าไป?

คุณผู้หญิงเคยสั่งไว้นอกจากคนบ้านตระกูลหนานกง คนนอกห้ามให้เข้า แล้วนายหญิงน้อยคนนี้ถือเป็นคนบ้านตระกูลหนานกงมั้ยนะ?

“ใช่แล้ว คุณชายใหญ่ให้ฉันมาเอง” ไป๋มู่ชิงพูดปลด

ที่แท้ก็โดนทำโทษนี่เอง คนงานชายสองคนแสดงสีหน้าเห็นใจ ก่อนจะเปิดประตูให้เธอเข้าไป

ถึงแม้จะมาที่นี่สองครั้งแล้ว แต่พอก้าวเข้ามาในห้องที่บรรยากาศทั้งมืดและวังเวงนี้ เธอก็ยังรู้สึกกลัวจนะตัวสั่น ว่ากันว่าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะเห็นสิ่งลี้ลับได้ง่าย

เธอสูบลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนมองไปรอบๆ หอไหว้บรรพบุรุษของบ้านตระกูลหนานกงซึ่งใหญ่มาก นอกจากโถงด้านหน้าแล้ว ถัดไปยังมีโถงด้านหลัง และห้องด้านข้างอีก

สายตาเหลือบไปเห็นประตูไม้ที่อยู่ด้านขาว ไป๋มู่ชิงก็นึกถึงผู้หญิงเสื้อขาวที่เธอเจอตอนโดนลงโทษให้คุกเข่าที่นี่ครั้งแรก ด้วยความกลัวเธอหมุนตัวกลับแล้ววิ่งหนีไปทางประตูทางออกทันที

แต่วิ่งไปได้แค่สองก้าวเธอก็หยุดคิด ถ้าเธอหนีไปแบบนี้แล้วเมื่อไหร่เธอจะรู้ความจริง? เธอจะต้องอยู่กับความกลัวและความอยากรู้นี้ไปอีกนานเท่าไหร่?

เพื่อเพิ่มความกล้าให้ตัวเอง เธอหายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง บอกตังเองในใจว่าโลกนี้ไม่มีผีสาง ไม่ต้องกลัว

เธอหยิบเทียนขึ้นจากเชิงเทียนมาหนึ่งเล่ม แล้วค่อยๆเดินไปทางประตูไม้ ก่อนจะใช้แรงดันให้ประตูไม้เปิดออก

นี่เป็นทางไปโถงด้านหลัง และในโถงด้านหลังนี้บรรยากาศดูมืดๆมัวๆ เธอจึงต้องยกเทียนขึ้นสูงเพื่อส่องมองไปรอบๆ

โถงด้านหลังไม่เหมือนโถงด้านหน้า โถงด้านหน้าจะตั้งป้ายวิญญาณบรรพบุรุษของบ้านตระกูลหนานกง ส่วนโถงด้านหลังเห็นตั้งป้ายไว้แค่ป้ายเดียวพร้อมธูบหนึ่งดอก ป้ายที่ตั้งไว้ก็ไม่เหมือนป้ายวิญญาณทั่วไป เพราะบนป้ายเขียนไว้แบบง่ายๆแค่ [จิ่งฉี] สองพยางค์

จิ้งฉี?

ไป๋มู่ชิงนึกสงสัยสถานะของคนคนนี้ ทำไมถึงมาอยู่ที่หอไหว้บรรพบุรุษของบ้านตระกูลเฉินด้านหลังที่เพียงลำพังนะ?

และเพื่อจะได้เห็นหน้าของผู้หญิงคนนี้ เธอได้ยกเทียนสูงขึ้นหารูปผู้ตายที่ติดไว้

ด้วยแสงจากเปลวเทียน ไป๋มู่ชิงเห็นภาพวาดผู้หญิงภาพหนึ่ง ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม เหมือนกับในภาพวาดที่หลินอันหนานมอบให้เธอไม่มีผิด ภาพวาด [คุณผู้หญิงจิ้ง]

สมองของเธอว่างเปล่าไปชั่วขณะ

ทำไม? ทำไมภาพวาดนี้ถึงมาอยู่ที่นี่?

เธอนึกถึงสิ่งที่ผู่เหลียนเหยาพูดขึ้นมาทันที ภาพ [คุณผู้หญิงจิ้ง] ที่แขวนอยู่ในงานแสดงภาพวาด ที่จริงเป็นภาพที่อาจารย์ท่านหนึ่งคาดลอกขึ้นมา ส่วนภาพวาดของจริงมีมหาเศรษฐีผู้ลึกลับคนหนึ่งเก็บสะสมไว้

หรือว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นภาพจริง และมหาเศรษฐีผู้ลึกลับคือบ้านตระกูลหนานกง

จิ้งฉี คุณผู้หญิงจิ้ง…….เธอกับหนานกงเฉินเกี่ยวข้องกันยังไง?

เพื่อต้องการรู้ความจริง เธอหายใจเข้าลึกๆเรียกความกล้าอีกครั้ง ก่อนจะเดินอ้อมป้ายวิญญาณไปยันด้านหลัง

หลังป้ายวิญญาณยังมีประตูอีกบาน ไป๋มู่ชิงค่อยๆดันประตูเปิดออกแล้วเดินเข้าไป เธอไม่ได้สนใจที่จะมองรอบๆห้องที่ตกแต่งอย่างสวยงาม สายตาเธอมองไปยันวัตถุรูปโลงศพคลุมด้วยผ้าสีแดง

โลงศพเหรอ? ดูแล้วก็น่าจะใช่เลย

ไป๋มู่ชิงตกใจกลัวจนอยากจะถอยกลับ แต่แล้วสติก็ชนะความกลัว เธอเดินเข้าไปใกล้อย่างกล้าๆกลัวๆ มือข้างหนึ่งถือเทียนไว้แน่น อีกข้างก็ดึงผ้าสีแดงบนโลงศพออก

สองมือสั่นจนควบคุมไม่อยู่

ในที่สุดเธอก็เห็น สิ่งที่มีแต่งในทีวีเท่านั้นโลงศพแก้วที่ใสจนสามารถมองทะลุถึงด้านในได้ และด้านในโลง……

สติสุดท้ายของไป๋มู่ชิงจวนจะขาดผึ่ง ดวงตาเธอเปิดกว้าง ขาทั้งสองข้างแทบทรุด ลมหายใจถี่และเร็วขึ้น

“เธอทำอะไร?” ด้านหลังเธอมีเสียงที่เย็นชาและทิ่มแทงดังขึ้น

ไป๋มู่ชิงตกใจร้องกรี๊ด หันกลับไปทันที หนานกงเฉินในความมืดที่สูงโปร่งและดูเย็นชา

เธออ้าปากค้าง รู้สึกหายใจไม่ออก

หนานกงเฉินปาดเข้ามาบีบแขนเธอ แล้วดันเธอไปหน้าโลงศพ พร้อมกับดึงผ้าคลุมโลงทิ้ง เอามือชี้ไปในโลงที่มีผู้หญิงนอนอยู่อย่างสงบก่อนกัดฟันพูด “นี่คือความจริงที่เธอตามหา ตอนนี้เธอก็รู้แล้ว แล้วยังไง? เธอเปลี่ยนแปลงอะไรได้?”

“ฉัน……ปล่อยฉันออกไป”

หนานกงเฉินไม่ได้ปล่อยมือ แต่กลับเลื่อนมือที่จับอยู่ตรงแขนขึ้นไปบีบคอเธอแทน “ท่านอาจารย์หวังบอกแล้วว่า ขอแค่เธอฟื้นขึ้นมา ฉันก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ยังไง?? เธอจะควักหัวใจตัวเองต่อชีวิตให้เธอมั้ย?”

“ไม่! ปล่อยฉันออกไป!”

ทำไมต้องรีบออกไป เธอไม่ได้อยากรู้ความจริงมาตลอดเหรอ? ไม่ได้อยากรู้ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่อีกนานแค่ไหนเหรอ?

“ปล่อย……..”จากที่เธอตกใจจนหายใจไม่ออกอยู่แล้วยิ่งมาโดนเขาบีบคอแบบนี้ยิ่งหายใจไม่ออกมากขึ้น สุดท้ายสติเธอก็ดับวูบล้มลงไปบนตัวเขา

ไป๋มู่ชิงคิดว่าตัวเองฝันร้ายอีกแล้ว ตั้งแต่แต่งเข้าบ้านตระกูลหนานกงเธอก็ฝั้นร้ายมาตลอด แต่รอบนี้มันช่างเหมือนจริงเหลือเกิน เธอกรีดร้องจนตกใจตื่น

นอกหน้าต่างฟ้าสว่างจ้าแล้ว นาฬิกาบนผนังบอกเวลา 8:00 น.

เธอเอามือลูบหน้าตัวเองก่อนหลับตา ฝันร้ายยังวนเวียงอยู่ในหัวเธอ

ในฝัน เธอไปที่หอไหว้บรรพบุรุษอันน่ากลัวของบ้านตระกูลหนานกงเพียงลำพัง เห็นภาพวาด [คุณผู้หญิงจิ้ง] ยังเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนอนอย่างสงบในโลงศพแก้ว หลังจากนั้นหนานกงเฉินก็เข้ามา…….

ไป๋มู่ชิงลืมตาขึ้นทันใด ไม่ นี่ไม่ใช่ความฝัน มันคือเรื่องจริง!

เมื่อคืนเธอไปที่หอไหว้บรรพบุรุษมา เธอไปมาจริง หนานกงเฉินก็พูดเรื่องพวกนั้นกับเธอจริง……!

“ตื่นแล้วเหรอ?” เสียงเรียบเฉยดังขึ้นจากด้านข้าง

ไป๋มู่ชิงนิ่งไป ไม่รู้ว่าหนานกงเฉินเข้ามาห้องเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายืนกอดอกพิงเคาน์เตอร์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ

“คุณชายเฉิน? ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นนั่งบนเตียงทันที จ้องมองไปที่เขา “เมื่อคืน…..”

“เมื่อคืนเธอไปที่หอไหว้บรรพบุรุษ ตกใจจนเป็นลมอยู่ตรงโถงด้านหน้า คนงานจึงพาเธอมาส่ง” หนานกงเฉินพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“เป็นลมอยู่โถงด้านหน้า? ไม่ใช่ด้านหลังเหรอ?”

“คุณหนู่ไป๋ ฉันคิดว่าคุณไม่เหมาะที่จะอยู่ที่บ้านตระกูลหนานกง” หนานกงเฉินเดินมาจ้องหน้าเธอใกล้ๆ “เธอเป็นคนแรกที่ไม่เห็นกฏของบ้านตระกูลเฉินอยู่ในสายตา”

“ฉัน……ไป๋มู่ชิงสับสน”

เมื่อคืนเธอเป็นลมอยู่โถงด้านหน้าจริงเหรอ? แล้ว ภาพวาด [คุณผู้หญิงจิ้ง] ล่ะ? ผู้หญิงทีนอนอยู่ในโลงแก้ว? เป็นแค่ฝันร้ายงั้นเหรอ?

หรือจะเป็นอย่างที่เขาว่ากัน ผู้หญิงท้องจะเห็นสิ่งลี้ลับได้ง่าย

“ที่หอไหว้บรรพบุรุษไม่มีผู้หญิงที่ชื่อจิ้งฉีจริงเหรอ?” เธอจ้องหน้าหนานกงเฉินถามอย่างไม่กลัวตาย

“หมายถึงอะไร” หนานกงเฉินย่นคิ้ว

“ก็……… “ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดยังไง เพราะแม้แต่เธอเองก็แยกแยะไม่ได้ว่ามันเป็นแค่ความฝันหรือเรื่องจริงกันแน่

“เธอกำลังหาเหตุผลแก้ตัวให้ตัวเอง เพื่อให้พ้นผิดอยู่หรือไง?”

“ไม่ใช่นะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหัว ขอโทษค่ะ “ฉันแค่อยากรู้ในหอไหว้บรรพบุรุษมีอะไร ทำไมถึงไม่ให้ใครเข้าใกล้”

“ใครเป็นคนบอกเธอว่าในนั้นมีอะไร” สายตาหนานกงเฉินฉายแววอันตราย ไป๋มู่ชิงตกใจก่อนจะส่ายหัวตอบ

ผู่เหลียนเหยาเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเธอ แต่เธอก็เตือนแล้ววว่าเป็นแค่เรื่องเล่า ยังย้ำเตือนเธอด้วยซ้ำไม่ให้ไปสืบหาความจริง เธอไม่ควรทำให้ผู่เหลียนเหยาเดือดร้อน

ประตูห้องเปิดออก พี่เหอเดินเข้ามา

เธอมองไป๋มู่ชิงที่อยู่บนเตียวแวบหนึ่ง ก่อนจะพูดกับหนานกงเฉิน “คุณชายใหญ่คะ คุณผู้หญิงได้ข่าวว่านายหญิงน้อยเข้าไปที่หอไหว้บรรพบุรุษแล้วโมโหอย่างมาก ท่านบอกว่าจะลงโทษนายหญิงน้อยด้วยตัวเองก่อนจะไล่เธอให้พ้นจากบ้านตระกูลหนานกง

ได้ยินพี่เหอพูดแบบนั้น ไป๋มู่ชิงรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ คุณผู้หญิงโมโหขึ้นมาช่างน่ากลัวเหลือเกิน

เธอส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากหนานกงเฉิน แต่เขาทำเป็นมองไม่เห็น พูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา “แล้วแต่คุณย่าละกัน”

พูดทิ้งท้ายไว้ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

ไป๋มู่ชิงถูกพี่เหอพาไปยันห้องนอนคุณผู้หญิง เห็นคุณผู้หญิงเดินกลับไปกลับมาอย่างโมโหอยู่ตรงหน้าต่างบานใหญ่

พอเห็นเธอเดินเข้าในห้อง สายตาก็จ้องมาที่เธอและพูดขึ้นอย่างโมโห “คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”

นี่มันสมัยไหนแล้ว อะไรๆก็สั่งให้คุกเข่า ไป๋มู่ชิงไม่อยากทำตาม แต่เพื่อไม่โดนลงโทษมากไปกว่านี้ และเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์ เธอจึงได้ทำตาม

คุณผู้หญิงอายุก็ไม่น้อยแล้ว แต่ร่างกายยังแข็งแรงมาก ท่านเดินไม่กี่ก้าวก็ถึงตัวเธอก่อนจะสะบัดมือตบหน้าเธออย่างแรงสองครั้งด้วยความโมโห และยังด่าว่าด้วยนำ้เสียงโกรธจัด “พี่เหอเคยบอกเธอมั้ยว่าห้ามเข้าใกล้หอไหว้บรรพบุรุษ? เคยมั้ย?!”

ไป๋มู่ชิงที่โดนตบไปสองฝ่ามือ รู้สึกหน้าเจ็บและชาไปหมด

เธอกลั้นน้ำตาไว้ก่อนพยักหน้าตอบ

แสดงว่ารู้แล้วยังทำ คุณผู้หญิงโกธรหนักกว่าเดิม ท่านหยิบไม้เท้าที่อยู่ข้างๆขึ้นมาฟาดไปบนตัวของไป๋มูนชิง

เธอเจ็บจนร้องกรี๊ด ก่อนที่ตัวจะล้มลงไปกับพื้น

คุณผู้หญิง หลับตาลงชั่วครู่ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หาคนมาล่าเธอออกไปเดี๋ยวนี้! ”

พี่เหอรับคำสั่ง ก่อนจะเดินไปยกหูโทรศัพท์

ไป๋มู่ชิงเข้าใจความหมายของคุณผู้หญิงดี ล่าออกไปของคุณผู้หญิงหมายถึงส่งเธอไปในที่ที่ไม่มีใครหาเธอเจอ และเธอก็จะไม่สามารถกลับมาที่เมือซีได้อีก

ไม่ เธอจะให้อื่นคนมาควบคุมชีวิตเธอแบบนี้ไม่ได้ เธอยังต้องตามหาแม่กับน้องชายอีก

ที่สุดเธอก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ เธอเข้าไปกอดขาของคุณผู้หญิงไว้ ท่านหุบตามองมาด้วยความรังเกียจ ก่อนจะพยายามสะบัดมือเธอออก “ไส้หัวออกไป อย่ามาทำให้เสื้อฉันสกปรก!”

“หนู่ตั้งท้องแล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดในที่สุด

ถ้าไม่จำเป็น เธอไม่มีทางบอกเรื่องนี้ออกไปเด็ดขรด เธอตั้งใจว่าอีกสามเดือนพอได้สลับตัวกับไป๋ยิ่งอันเรียบร้อย เธอก็จะแอบไปใช้ชีวิตเงียบๆกับลูกสองคน แต่ตอนนี้ไม่บอกไม่ได้แล้ว

ได้ฟังเช่นนั้น คุณผู้หญิงก็นิ่งอึ้งไปชัวขณะ ใบหน้าที่กำลังโมโหเปลี่ยนไปทันที จ้องมองมาที่เธอก่อนพูด “เธอว่าอะไรนะ?”

“หนู่ท้องค่ะ” เธอพูดทั้งน้ำตา

ไม่คิดว่าคนที่ช่วยเธอไว้ กลับเป็นลูกน้อยที่เธอพยายามจะเอาออกมาตลอด

คุณผู้หญิง ยกมุมปากขึ้นยิ้ม พร้อมถามด้วยความไม่แน่ใจอีกครั้ง “จริงเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

เรื่องแบบนี้ไป๋มูนชิงไม่กล้าเอามาโกหกแน่ คุณผู้หญิงค่อนข้างเชื่อว่าเธอท้องจริงๆ แต่……

คุณผู้หญิงมองหน้าไป๋มู่ชิงก่อนถามอย่างสงสัย “รู้แล้วว่าท้อง ทำไมไม่บอกแต่แรก เธอก็รู้อยู่ว่าฉันตั้งตารอเธอตั้งท้องมานานแค่ไหน”

“เพราะ….. คุณชายใหญ่ บอกเสมอว่าไม่ต้องการให้หนูมีลูก หนูกังวลว่าถ้าคุณชายใหญ่รู้เข้าจะบังคับให้เอาเด็กออก” เรื่องเป็นแบบนี้แล้วไป๋มู่ชิงจำเป็นต้องพูดความจริง

“แต่เธอก็ไม่ควรปิดบังฉันด้วยนี่นา” คุณผู้หญิงวางไม้เท้าลงแล้วก้มตัวลงไปพยุงเธอลุกขึ้น พี่เหอรีบเดินมาประคองเธอไปนั่งทีโซฟาอย่างลนลาน

“เป็นยังไงบ้าง? เมื่อครู่กระแทรกโดนท้องน้อยมั้ย?” คุณผู้หญิงถามด้วยความกังวล ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจ “หนูควรบอกย่าตั้งแต่เดินเข้ามา ถ้ารู้ว่าตั้งท้อง ย่าจะตีหนูลงได้ยังไง?”

คุณผู้หญิงเอามือลูบรอยแดงบนใบหน้าเธออย่างกังวล

ไป๋มู่ชิงเพิ่งจะเคยเห็นคุณผู้หญิงอ่อนโยนกับเธอแบบนี้ครั้งแรก คุณผู้หญิงในมุมนี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะมือที่กำลังลูบหน้าเธอตอนนี้ ทั้งๆที่ดูอ่อนโยนแต่เธอกลับรู้สึกทรมานเหมือนโดนมีดกรีด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท