เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 74 ดื่มจนเมา

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“อืม” หนานกงเฉินโยนเสื้อสูทลงบนโซฟา รินน้ำใส่แก้วแล้วเดินไปนั่งข้างหน้าต่างเบย์

ไป๋มู่ชิงเดินตามไป ประเมินเขาพลางถามว่า: “เจอเธอไหม?”

ดูท่าทางแล้ว น่าจะไม่เจอ?

หนานกงเฉินส่ายหน้า ตอบอย่างเศร้าๆ : “ไม่เจอ”

ไป๋มู่ชิงนั่งอีกฝั่งของหน้าต่าง ยื่นมือไปแตะหลังมือของเขา

นิ้วของเธอเย็นเล็กน้อย สัมผัสที่แตะลงหลังมือเขาอ่อนนุ่มดุจผ้าไหม

“ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว พวกเราไม่ตามหาแล้วได้ไหม?” เธอจ้องมองเขา ด้วยความเจ็บปวดหัวใจ

คนที่อยู่ระดับสูงแบบเขา ไม่ควรถูกทำร้ายขนาดนี้เพราะผู้หญิงคนเดียว!

หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น หลายปีมานี้ เขาพูดประโยคนี้กับตัวเองไม่ต่ำกว่า100ครั้งแล้ว แล้วมีประโยชน์อะไร? เขายังคงตามเงาที่เหมือนกับเธอไปเหมือนคนบ้ามาทั้งคืน

เขาเดินหาแทบพลิกตลาดการค้าทั้งคืน แถมยังไปหาถึงบ้านที่เธอเคยอยู่ แต่ก็ได้รับคำตอบที่ทั้งครอบครัวได้ย้ายไปหมดแล้วเหมือนเดิม บ้านหลังนั้นก็เปลี่ยนเจ้าของแล้วด้วย

เขาลงจากหน้าต่าง เดินไปยังบาร์หยิบไวท์แดงกับแก้วทรงสูง 2 ใบแล้วเดินกลับมา รินไวท์ใส่แก้วแล้วยื่นให้ไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงกวาดสายตาไปยังไวท์ในมือเขา แต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับ

“ทำไม? ดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยไม่ได้เลยหรอ?” เขาแกว่งแก้วทรงสูงในมือเล็กน้อย ไวท์แดงในแก้วหมุนตัวจนเป็นคลื่นลูกเล็กๆ สวยและมีเสน่ห์มาก

ไป๋มู่ชิงอยากที่จะรับมาแลัวกระดกให้หมดแก้วมากๆ แต่เธอทำไม่ได้ เพราะเธอเป็นหญิงมีครรภ์!

“คุณลืมไปแล้วหรอว่าท้องไส้ยังไม่หายดี? ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้” พูดพลางยื่นมือไปแย่งขวดไวท์ในมือเขา

หนานกงเฉินกลับคว้ามือเธอไว้ วางแก้วไวท์ใส่มือเธอ: “หากไม่ใช่จะต้องดูแลเธอ ผมจะดื่มเหล้าขาว”

พูดจบ เขายกแก้วไวท์อีกใบขึ้น ชนแก้วกับเธอแล้วเงยหน้ากระดกจนหมดแก้ว

มองเขารินไวท์ลงแก้วอีกครั้ง ไป๋มู่ชิงรู้ว่าตนไม่สามารถห้ามเขาได้อีก จนแล้วจนเล่า เธอทนการรบเร้าของเขาไม่ไหวจึงใช้ริมฝีปากสัมผัสไวท์เบาๆ เป็นพิธี

เป็นไวท์แดงชั้นเลิศที่ผ่านการบ่มมานานหลายปี แต่ไม่ว่าไวท์จะรสชาติดีแค่ไหน ถ้าดื่มต่อเนื่องแบบเขาก็เสียสุขภาพได้เหมือนกัน

“พอเถอะ อย่าดื่มอีกเลย” เธอแย่งแก้วไวท์จากเขา จ้องเขาแล้วพูดว่า: “แค่ผู้หญิงคนเดียวไม่ใช่หรอ? ดูสภาพคุณตอนนี้สิ”

“เธอไม่รู้อะไรหรอก”

“ฉันไม่รู้อะไรล่ะ ฉันใช่ว่าจะไม่เคยถูกผู้ชายทิ้งสักหน่อย แต่คุณดูเถอะมีใครบ้างที่ปล่อยให้ตัวเองดูแย่ขนาดนี้เหมือนคุณ?”

ครั้งนี้ หนานกงเฉินไม่ได้แย่งแก้วไวท์คืนไปอีก เขาเอียงหัวพิงขอบหน้าต่าง ยิ้มด้วยสีหน้าเศร้าๆ : “ไม่ว่ายังไงเธอก็ทิ้งผมไปแล้ว จะปล่อยตัวจนเป็นยังไงก็ไม่เป็นไรหรอก? เหอๆ จริงๆเลยนะ แม้แต่เธอก็กลัวผม เธอเคยบอกว่าไม่กลัวนี่นา…..ไหนว่าไม่กลัว……”

พูดจบ เขาลุกขึ้นนั่งตัวตรงอย่างกระทันหัน บีบไหล่เธอด้วยมือทั้งคู่: “เธอเคยลิ้มรสการถูกผู้คนหวาดกลัวถูกผู้คนรังเกียจไหม? ไม่เคยแน่ๆ? แต่ผมเคย ผมโตมาด้วยความรู้สึกแบบนี้ ตอนนั้นก็ที่ฝั่งตะวันตกของเมืองหยานนี่แหละ เพื่อนใหม่ที่เล่นกับผมอย่างสนุกสนานพอได้ยินว่าผมเป็นโรคประหลาดเท่านั้นแหละก็วิ่งหายไปหมดเลย จากนั้นผมก็หลงทาง ตากฝนจนอาการกำเริบ กว่าจะได้เจอคนที่ไม่รังเกียจผมไม่กลัวผม ผมคิดว่าชีวิตนี้จะมีแค่เธอรักแต่เธอ แต่ท้ายสุดแล้ว ก็แค่การเพ้อฝัน…….”

“หยุดพูดเถอะ” ไป๋มู่ชิงพุ่งตัวเข้าไป กอดเขาแน่น: “คุณไม่ใช่คนที่ไม่มีใครต้องการหรอก อย่างน้อยคุณยังมีฉัน ฉันไม่กลัวคุณ ไม่รังเกียจคุณ”

“เธอไม่กลัวผม?” หนานกงเฉินยิ้มเย็นๆ

“ค่ะ ฉันยอมรับว่าตอนแรกฉันก็กลัว เพราะว่าฉันไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน และข่าวลือข้างนอกก็เกินความจริงไปมาก แต่ตอนนี้ฉันไม่กลัวแล้วนะ ต่อไปก็จะไม่กลัวอีก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้คุณจะมีฉันร่วมฝ่าอุปสรรคด้วยกัน คุณเชื่อฉันเถอะนะ”

“ถ้าเป็นเมื่อสองเดือนก่อน เธอจะยังพูดแบบนี้ไหม?” หนานกงเฉินหัวเราะเย็นๆ อีกครั้ง “ไม่พูดแบบนี้ถูกไหม?”

ไป๋มู่ชิงชะงักไปเล็กน้อย เธอรู้ว่าหนานกงเฉินหมายถึงก่อนที่เธอจะรู้ว่าตัวตนของเขาคือใคร แต่เธอกล้าสาบานกับสวรรค์ เธอไม่ได้ตัดสินใจจะใช้ชีวิตกับเขาเพราะได้เห็นหน้าตาของเขาหรือรู้ว่าเขาไม่ได้มีดวงกินเมีย

ตั้งแต่วินาทีที่เธอถูกบังคับแต่งงาน เธอก็ปลงและยอมรับชะตากรรมทั้งหมดแล้ว!

แต่ก็ไม่แปลกที่เขาจะคิดแบบนี้ ตั้งแต่ที่เขาปรากฏตัวในงานเลี้ยงของตระกูลหนานกง มีสาวๆ มากมายที่รู้สึกเสียดายอย่างมาก แม้แต่คุณหนูอย่างไป๋ยิ่งอันยังฝันอยากจะเป็นภรรยาของเขา

หนานกงเฉินไม่ได้ผลักเธอออก และเหนื่อยจนไม่มีแรงผลักเธอออก เลยปล่อยให้เธอกอดตัวเองไว้อย่างนั้น

ไป๋มู่ชิงสูดหายใจเข้าเบาๆ และยิ้มอย่างขมขื่นในอ้อมกอดเขา: “ถ้าฉันจะพูดว่า ฉันไม่เหมือนกับพวกเธอ คุณก็คงไม่เชื่ออย่างแน่นอน และไม่มีเหตุผลที่จะทำให้คุณเชื่อ”

เธอปล่อยเขาในที่สุด ประเมินเขาแล้วพูดว่า: “ระบายพอหรือยัง? ถ้าพอแล้วก็รีบไปอาบน้ำเถอะ ฉันทำโจ๊กไว้ ไปเอามาให้นะ”

ตอนมื้อเย็นเขาไม่ค่อยได้กินอะไร ทั้งคืนที่ผ่านมามัวแต่หาตัวคุณหนูจู ก็คงไม่มีกะจิตกะใจหาอะไรกิน

ก่อนออกจากห้องนอน ไป๋มู่ชิงยังเข้าไปในห้องน้ำเปิดน้ำลงอ่างอาบน้ำให้เขา

หลังจากเธออุ่นโจ๊กเสร็จนำขึ้นมา หนานกงเฉินก็หลับอยู่ริมหน้าต่าง

เธอเดินเข้าไป แตะแขนของเขาและเรียกเบาๆ : “คุณชายใหญ่คะ คุณไม่อาบน้ำไม่เป็นไร แต่ต้องกินโจ๊กนะ ไม่งั้นคืนนี้คุณหิวแน่ๆ ”

เมื่อกี้นี้หนานกงเฉินดื่มไวท์ไปเกินครึ่งขวด ซึ่งไวท์แดงจะออกฤทธิ์ช้า ตอนนี้เริ่มมีอาการเมาเล็กน้อย

หนานกงเฉินหิวแล้วจริงๆ เขาพยายามทรงตัว รับโจ๊กจากมือเธอแล้วกินอย่างรวดเร็ว

หลังกินเสร็จ ไป๋มู่ชิงพยุงเขามาที่เตียง น่าจะเพราะขยับตัวมากเกินไป เขารู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนอย่างรุนแรง พุ่งตัวไปข้างหน้า โจ๊กที่เพิ่งกินเข้าไปถูกอ้วกออกมา โดนตัวไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงหลบไม่ทัน ชุดนอนที่เพิ่งเปลี่ยนไม่นานเลอะเทอะไปหมด แต่เธอไม่ได้สนใจมากนัก รีบเข้าไปถามหนานกงเฉินด้วยความห่วงใย: “คุณชายใหญ่ คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”

หนานกงเฉินฟุบลงข้างเตียง อ้วกออกมาอีกระรอกหนึ่ง จนเกลี้ยงกระเพาะ จึงรู้สึกดีขึ้น

เขาล้มตัวลงบนเตียงด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย มองไป๋มู่ชิงที่สภาพมอมแมมแต่เธอไม่ได้สนใจสักนิด เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย เขาโบกมือไปมาอย่างยากลำบาก เป็นการบอกว่าอย่าสนใจเขาเลย

ไป๋มู่ชิงรินน้ำอุ่นให้เขาแก้วหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ: “ดูสิ บอกแล้วว่าอย่าดื่มเยอะ”

หลังจากดูแลเขาดื่มน้ำแล้ว เธอถามต่อว่า: “โจ๊กที่กินเข้าไปอ้วกออกมาหมดเลย ให้ฉันไปตักให้อีกสักถ้วยไหม?”

“ไม่ต้องแล้วล่ะ” แม้จะหิวมาก แต่ก็กินไม่ลงแล้วจริงๆ

ไป๋มู่ชิงดูออกว่าเขาไม่อยากอาหารแล้ว จึงไม่บังคับอีก เดินเข้าห้องน้ำไปชำระล้างตัวเอง หลังอาบน้ำ เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีชุดนอนแค่ชุดเดียว ซึ่งเลอะอ้วกไปหมดแล้วจึงต้องใช้ผ้าเช็ดตัวพันตัวไว้

โชคดีที่หนานกงเฉินหลับไปแล้ว ไม่ได้เห็นเธอในสภาพพันผ้าเช็ดตัว

หลังจัดการตัวเองเสร็จ ก็จัดการเช็ดถูพื้นจนสะอาด จากนั้นก็รองน้ำอุ่นใส่กะละมังแล้วยกมาข้างเตียง ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้หนานกงเฉิน

ผ้าอุ่นๆ ที่สัมผัสโดนหน้านั้นทั้งสบายและอบอุ่น หลังเช็ดหน้าให้เขาเสร็จ ไป๋มู่ชิงกำลังจะเลื่อนผ้าออกจากหน้าเขา จู่จู่มือที่จับผ้าก็ถูกมือของเขาจับไว้

เธอชะงักไป รีบใช้มืออีกข้างจับผ้าเช็ดตัวที่พันตัวไว้ให้แน่น ขณะที่กำลังหาวิธีหลุดจากพันธนาการ กลับถูกเขารวบแน่นขึ้น

“นอนเป็นเพื่อนผม……แปปนึง” เขาพึมพำเสียงต่ำ

ไป๋มู่ชิงหมุนมืออย่างสุดแรง พูดด้วยน้ำเสียงขัดขื่นอย่างน้อยใจ: ฉันบอกหลายครั้งแล้ว ฉันไม่ใช่จูจูของคุณ!”

“ผมรู้” เขายังคงละเมอ

เขารู้? ไป๋มู่ชิงหยุดขัดขืน ประเมินเขาด้วยความประหลาดใจ เขารู้จริงๆ หรอ? ไม่ได้เห็นเธอเป็นคุณหนูจู?

แม้ว่าเขาที่อยู่ตรงหน้าจะน่าสงสาร น่าเห็นใจ แต่จะให้เธอเป็นตัวแทนของคุณหนูจูเธอก็ไม่ชอบใจเช่นกัน นี่เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีพื้นฐาน!

“งั้นคุณ……ตอบฉัน ฉันชื่ออะไร?” เพื่อรักษาระยะห่าง เธอจงใจอ้อยอิ่งอยู่ข้างเตียง แต่เธอยังไม่ทันได้คำตอบว่าจะทำยังไงดี หนานกงเฉินก็กระชากเธอมายังเตียง โอบเธอไว้ในอ้อมกอด

เมื่อถูกเขากระชาก ผ้าเช็ดตัวหลุดออกจากตัวไป๋มู่ชิงในที่สุด เมื่อสัมผัสร่างเปลือยเปล่าของเธอ หนานกงเฉินใช้มือแตะเล็กน้อย และยันตัวขึ้นมองเธอ แววตาเยาะเย้ยอย่างชัดเจน

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าเขาเข้าใจเธอผิดแน่ๆ รีบแก้ตัว: “ฉันมีชุดนอนแค่ชุดเดียวและเลอะอ้วกคุณไปแล้ว”

“ขอโทษ……” ไป๋มู่ชิงกลัวว่าเขาจะมีความต้องการซึ่งเธอรับไม่ไหว จึงรีบจับมือเขาไว้ จ้องเขาพลางขอร้องว่า: “ดูแลคุณมาทั้งคือ ฉันเหนื่อยมากเลย วันอื่นได้ไหม?”

พูดมาขนาดนี้แล้ว เธอไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยเธอ

หนานกงเฉินได้ยินคำพูดของเธอจึงหยุดล่วงเกินเธอ ลดมือมากอดเธอไว้แทน”

เหนื่อยมาทั้งคืน เขาเองก็เพลียมากเช่นเดียวกัน

วันรุ่งขึ้นไป๋มู่ชิงตื่นแต่เช้า ออกไปหาซื้อวัตถุดิบง่ายๆ แถวๆ โรงแรมกลับมาเตรียมอาหารเช้า

เมื่อเธอมาถึงห้องนอน หนานกงเฉินลุกขึ้นนั่งพอดี

“ตื่นแล้วหรอ?” ไป๋มู่ชิงประเมินเขา

หนานกงเฉินมองเธอ แล้วนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยตัวเอง

เมื่อคืนตนนั้นทำอะไรลงไป?!

ทำเรื่องขาดสติเพื่อผู้หญิงคนนึงที่ไม่มีวันหวนคืนมาทั้งคืน ดื่มจนเมาเละเทะ หนานกงเฉินที่เป็นแบบนี้แม้ตัวเขายังเกลียดตัวเอง

“เมื่อคืน……ลำบากเธอแล้ว” เขาพูดกับเธออย่างอ่อนโยน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาคงคิดว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเรื่องที่เธอพึงกระทำ เพราะเธอเป็นภรรยาที่เขาซื้อมา เขาไม่เคยมองเธอด้วยสายตาที่เท่าเทียมกัน เพราะไร้ยางอาย

คงเป็นเพราะเวลาผ่านไป เขาค่อยๆ พบว่าเธอกับคนอื่นๆ ไม่ค่อยเหมือนกันจริงๆ จึงเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเธอ

อย่าว่าแต่เขาเลย กระทั่งไป๋มู่ชิงที่ได้ยินเขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงแบบนี้ก็รู้สึกไม่ชิน แต่พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืน เธอก็รู้สึกดูถูกเขาอยู่เหมือนกัน

เธอยิ้มให้เขาอย่างเยาะเย้ย: “ที่แท้คุณยังจำได้หรอว่าเมื่อคืนตัวเองทำเรื่องโง่ๆ อะไรไปบ้าง?”

“หมายความว่ายังไง?”

“ไม่มีอะไร” ไป๋มู่ชิงหยิบเสื้อคลุมตัวหนึ่งบนเก้าอี้โยนให้เขา: “รีบใส่เถอะ เดี๋ยวจะไม่สบาย แล้วก็ ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จรีบลงไปกินอาหารเช้า” พูดจบก็เดินออกจากห้องนอนเดินไปยังชั้นล่าง

หนานกงเฉินเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าแปรงฟัน จึงอาบน้ำไปด้วย รู้สึกสบายตัวขึ้นเมื่อออกจากห้องน้ำ สายตาเหลือบไปเห็นถุงช็อปปิ้งบนโซฟา โลโก้บนถุงเป็นชื่อร้านขายผ้าคลุมเมื่อคืน

เขาชะงักเล็กน้อย แล้วเดินออกไป

ขณะกินอาหารเช้า หนานกงเฉินก้มหน้ากินโจ๊กเนื้อแดงในถ้วย ไป๋มู่ชิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกินโจ๊กไปด้วยใช้มือถือเปิดเว็บไปด้วย หน้าจอมือถือแสดงผลสถานที่แนะนำของเมืองหยานและสภาพการคมนาคม

เธอไม่ได้กลับมาเมืองหยานนานแล้ว หลายๆ ที่ก็เปลี่ยนไปมาก ไหนๆ ก็กลับมาแล้วจึงอยากไปทำความคุ้นเคยอีกครั้ง

“วันนี้วางแผนจะไปเดินเล่นที่ไหนหรอ?”

“ยังไม่รู้เลย กำลังหาอยู่” ไป๋มู่ชิงตักโจ๊กเข้าปากแล้วตอบแบบไม่ได้เงยหน้าขึ้น

“ให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณไหม?”

“หืม?” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นในที่สุด ประเมินเขาอย่างประหลาดใจ

เธอฟังไม่ผิดใช่ไหม? หนานกงเฉินเอ่ยบอกจะไปเดินเล่นกับเธอ? นี่ไม่เหมือนวิถีการทำงานของเขาเลย!

เมื่อวานขอให้เขาเดือนตลาดการค้าเป็นเพื่อน ขอตั้งนานเขายังไม่ยอมเลย สุดท้ายเพราะไม่มีรถจึงถูกเธอลากไปจนได้

“ทำไม? ไม่ต้องการ?” การเสนอตัวครั้งแรก ไม่ได้รับเสียงตอบรับอย่างดีใจ รู้สึกไม่พอใจลึกๆ

เขายอมเสนอตัวไปเดินเล่นกับเธอ ไป๋มู่ชิงดีใจมากแน่นอน แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่เพื่อความสุขของตัวเองไม่สนใจว่าคนอื่นจะสะดวกใจไหม

“แต่ว่า……วันนี้คุณมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการไม่ใช่หรอ?” ไป๋มู่ชิงพูดพลางประเมินเขา เมื่อวานตอนเธอยังไม่ถึงบ้าน ได้รับสายจากเลขาเหยียน เตือนเธอว่าอย่าเดินเล่นดึกเกินไป เพราะพรุ่งนี้มีงานต้องจัดการ

“ไม่เป็นไร ให้เสี่ยวหลินไปกับฉันก็ได้” ไป๋มู่ชิงหัวเราะเหอๆ และรีบถามต่อว่า: “จริงสิ เสี่ยวหลินไม่ได้ถูกคุณไล่ออกใช่ไหม?”

“เปล่า” หนานกงเฉินก้มหน้ากินโจ๊กต่อไป

ในเมื่อเธอพูดขนาดนี้ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะเสนอตัวทำดีต่อไป อีกอย่างวันนี้เขามีงานที่ต้องไปจัดการจริงๆ

ตอนแรกเขาตั้งใจจากฝากงานให้เลขาเหยียนจัดการ และตั้งใจอยู่กับเธอหนึ่งวัน เพื่อตอบแทนที่เมื่อคืนเธอดูแลเขา

“ฉันคิดว่าคุณจะไล่เขาออกเสียอีก ดีมาก เป็นเจ้านายที่มีความเมตตา” ไป๋มู่ชิง ทำมือสัญลักษณ์เยี่ยมไปยังเขา ยิ้มชมเชยเขา

หนานกงเฉินมองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาเองก็คิดว่าตัวเองจะไล่เสี่ยวหลินออก

ดูเหมือนว่าช่วงนี้ตัวเองจะเปลี่ยนไปมากจริงๆ ส่วนคนที่ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ คือผู้หญิงตรงหน้าที่ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ ทำแต่เรื่องล้มเหลวมากมายคนนี้

ไป๋มู่ชิงและหนานกงเฉินออกจากที่พักพร้อมกัน หนานกงเฉินลงจากรถที่ตึกใหม่แล้วมอบหมายเสี่ยวหลินให้ไป๋มู่ชิงไป

เสี่ยวหลินเป็นชายหนุ่มที่ร่าเริงแจ่มใส เขารู้เรื่องที่เมื่อคืนตัวเองเกือบโดนไล่ออกแล้ว

พอพบไป๋มู่ชิง ก็รีบขอบคุณอย่างตื่นตันใจ: “นายหญิงน้อย เรื่องเมื่อคืนขอบคุณมากนะครับ ที่ช่วยผม”

“เมื่อคืน?” ไป๋มู่ชิงงงเล็กน้อย เธอไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย

“ผมได้ยินมาจากเลขาเหยียนแล้วครับ เพราะคุณช่วยพูดกับคุณชายเฉิน ผมจึงได้ทำงานนี้ต่อ” เสี่ยวหลินหัวเราะเหอๆ แล้วพูดต่อ: “เมื่อคืนผมไม่ควรออกไปข้างนอกในเวลางานครับ ทำให้คุณชายเฉินไม่มีรถให้นั่ง”

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาถูกไล่ออกแน่นอน

“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง อย่าคิดมาก ต่อไปก็ตั้งใจทำงานเต็มที่นะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เขาเล็กน้อย

“แน่นอนครับ” เสี่ยวหลินตอบรับเสียงดัง

หลังจากสตาร์ทรถ ภายในตัวรถก็เงียบลง ไป๋มู่ชิงอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเมื่อคืนเธอไม่ช่วยพูดแก้ต่างให้เสี่ยวหลิน หนานกงเฉินก็จะยืนรอเสี่ยวหลินอยู่หน้าโรงแรม ก็จะไม่โดนเธอลากไปตลาดการค้า ไม่เจอผู้หญิงคนนั้น ไม่ไปตามหาเธอทั้งคืน……

เธอส่ายหน้าไปมา เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย?

หากในใจของหนานกงเฉินมีผู้หญิงคนนั้น ไม่ใช่แค่ตลาดการค้าหรอก ไปไหนก็เห็นแต่เงาของเธอ ไปไหนก็จะคิดถึงเธอ

จริงๆ แล้วที่เธอปฏิเสธหนานกงเฉินในวันนี้มีเหตุผลส่วนหนึ่ง เพราะวันนี้เธอไม่ได้มีแพลนจะไปเดินเล่นที่ไหน แต่ตั้งใจจะไปหลุมฝังศพของคุณยาย ไหว้ท่านสักหน่อย

หลังจากส่งหนานกงเฉินแล้ว เธอให้เสี่ยวหลินไปส่งเธอที่สุสานฝั่งเหนือของเมือง

หนานกงเฉินรีบจัดการงานหลักจนเสร็จ ปิดแฟ้มลงแล้วกดสายภายใน

ไม่ช้า เลขาเหยียนก็เดินเข้ามา ยืนข้างตัวเขาแลัวพูดว่า: “คุณชายเฉิน คุณเสร็จงานแล้วหรอคะ?”

“อื้ม”

“งั้นดิฉันขอเริ่มรายงานเรื่องบ้านสวนจูนะคะ” เลขาเหยียนยื่นแฟ้มในมือให้หนานกงเฉิน: “นี่เป็นตารางข้อมูลพื้นฐานของสมาชิกตระกูลจู และเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายบ้านทั้งหมดในตอนนั้น”

หนานกงเฉินเปิดแฟ้ม หน้าแรกเป็นข้อมูลของคุณยายตระกูลจู และวันที่เธอเสียชีวิตเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เขาซื้อบ้านสวนจูพอดี

เปิดต่อไปอีกหลายหน้า เขาชะงักไป หยุดอยู่หน้าข้อมูลของคนคนหนึ่ง

ชื่อที่คุ้นเคย หน้าตาที่คุ้นเคย……

จูจู ชื่อที่ธรรมดาแต่ก็แฝงความน่ารักอยู่เล็กน้อย เขายังจำครั้งแรกที่ถามชื่อเธอได้ เธอเขินที่จะพูดชื่อของตัวเอง ให้เขาเรียกเธอว่าเสี่ยวจูก็พอ

จากนั้นเรียกไปสักพัก เขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนชื่อเธอเป็นจูจูในที่สุด

“คุณชายเฉิน” เลขาเหยียนเรียกเบาๆ หนานกงเฉินดึงสติกลับมา รวบรวมสมาธิแล้วพูดว่า: “คุณว่ามา”

“ดิฉันได้สืบมาแล้วว่า เรื่องเป็นอย่างนี้ค่ะ ในตอนนั้นท่านประธานเหอได้ไปเจรจากับลูกชายของคุณยายจูชื่อจูจื้อเหวินเรื่องการขอซื้อบ้านสวนจู จูจื้อเหวินได้ยินว่าจะชดเชยด้วยบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ในเมืองก็รีบตกลงทันที แต่คุณยายกลับไม่ยอมขายบ้าน จึงขู่จะฆ่าตัวตาย เพื่อให้การซื้อขายราบรื่น ท่านประธานเหอและจูจื้อเหวินร่วมมือกันบีบให้คุณยายออกจากบ้าน คุณยายโกรธมากจึงกระโดดลงมาจากชั้นสอง ทำให้กระดูกหัก แต่ที่แปลกคือคุณยายบาดเจ็บแค่ภายนอกเท่านั้นกลับเสียชีวิตในวันรุ่งขึ้น มีข่าวลือว่าจูจื้อเหวินถือโอกาสฆ่าคุณยายเพื่อแย่งบ้านหลังนั้น ความจริงเป็นอย่างไรนั้น คงมีแต่จูจื้อเหวินเท่านั้นที่รู้”

หนานกงเฉินเริ่มไตร่ตรอง อย่างใช้ความคิด

“แต่มีเรื่องหนึ่งที่แน่ใจคือ คุณยายจูถูกบีบตายจากการเจรจาซื้อขายบ้านสวนจู” เลขาเหยียนพูดต่อ

ใช่จริงๆ! ถูกบีบตายจริงๆ!

มือของหนานกงเฉินที่วางอยู่บนแฟ้มค่อยๆ กำแน่น ยิ้มอย่างเศร้าๆ :”เป็นความผิดของผมสินะ”

ตอนนั้นเขาคิดแค่ว่าจะซื้อบ้านหลังนั้นโดยไม่เปิดเผยตัว และจัดการที่พักที่ดีขึ้นให้ตระกูลจู จึงมอบหมายให้เหอเฟิงไปเจรจากับคนของตระกูลจู ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ตอนนั้นเหอเฟิงคงเข้าใจความต้องการของเขาผิดไป คิดว่าเขาสนใจบ้านสวนจูจึงมอบหมายงานนี้ให้เขา เลขาเหอในตอนนั้นอยากที่จะรีบจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเพื่อเอาใจเจ้านายและอยากเลื่อนขั้น จึงร่วมมือกับจูจื้อเหวินบีบบังคับคุณยายจูจนตาย

เขารู้ดีว่าคุณยายจูเป็นญาติคนเดียวที่รักจูจู และเป็นคนที่จูจูรักและแคร์มากที่สุด แต่แล้ว เขากลับเป็นเหตุทำให้คนที่เธอรักที่สุดต้องตายโดยไม่ได้ตั้งใจ

“คุณชายเฉิน คุณอย่าพูดแบบนั้นเลย” เลขาเหยียนพูดปลอบใจ: “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณเลย”

“ไม่เกี่ยวกับผมได้ยังไง? หากตอนนั้นผมไม่ยุ่งเรื่องนี้ คุณยายจูก็จะไม่ตาย” หนานกงเฉินสูดลมหายใจอย่างหมดความอดทน เงยหน้าขึ้นมองเลขาเหยียน: “มีข้อมูลไหมว่าหลุ่มฝังศพของคุณยายจูอยู่ที่ไหน?”

“ดิฉันสืบมาแล้วค่ะ” เลขาเหยียนตอบ จุดเด่นการทำงานของเธอคือความครบถ้วน รวมถึงเธอยังสืบได้อีกว่าตอนที่คุณยายมีชีวิตอยู่นั้นชอบดอกลิลลี่ที่สุด

“คุณชายเฉินจะไปไหว้สุสานของคุณยายจูหรอคะ?” เลขาเหยียนถามด้วยความสงสัย

หนานกงเฉินพยักหน้า

“ดิฉันไปเตรียมรถให้ค่ะ” พูดจบเลขาเหยียนก็เดินออกไป

ไป๋มู่ชิงอยู่เป็นเพื่อนคุณยายหน้าสุสานอยู่ครู่ใหญ่ จึงสูดลมหายใจเข้าอย่างช้าๆ ใช้หลังมือเช็ดคราบน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ

จากกันคราวนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ เธอรู้สึกไม่อยากจากไปไหนเลย แต่ก็ถึงเวลาต้องไปแล้ว

เธอยังจำได้ดีเมื่อตอนที่เธอต้องจากตระกูลจูไป คุณยายใช้มือของตนจูงเธอไว้ น้ำตาไหลพราก ไม่อยากให้เธอไป และยังหยิบเงินก้อนสุดท้ายไม่กี่สิบหยวนที่มีในกระเป๋ายัดใส่มือเธอ

คุณยายพูดกับเธอว่า ถ้าเส้นทางที่ตามหาพ่อมันลำบากมาก ก็กลับมาเมืองหยาน ไม่ว่าเมืองหยานจะแย่ขนาดแต่ก็ยังมีที่ยึดหลักนะ

เธอตอบตกลง แม้ว่าเส้นทางในการตามหาพ่อหลังจากนั้นจะลำบากมากก็ตาม แต่เมื่อมีลุงกับป้าอยู่ที่นี่ เธอก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย

“คุณยาย ท่านวางใจเถอะ ตอนนี้หลานสุขสบายดี” เธอยกมือขึ้น ใช้ปลายนิ้วแตะรูปถ่ายคุณยายบนป้ายหลุมศพอย่างอ่อนโยน: “หลังจากนี้หลานจะกลับมาเยี่ยมท่านทุกปี และนำดอกลิลลี่มาให้นะคะ”

เสียดาย ไม่ว่าเธอจะพูดดียังไง คุณยายก็ตอบเธอไม่ได้อีกแล้ว

ไป๋มู่ชิงออกจากสุสานเดินกลับไปที่รถ เสี่ยวหลินมองเธอที่ขอบตาชื้นน้ำตาอย่างเป็นห่วงจึงถามขึ้น: “นายหญิงน้อย คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ?”

“ฉันไม่เป็นอะไร” ไป๋มู่ชิงสูดน้ำมูกเล็กน้อย ใช้มือแตะแก้มของตัวเอง

เสี่ยวหลินมองเธอ แล้วมองไปยังสุสาน มาเยี่ยมหลุมฝังศพเพื่อนต้องเสียใจขนาดนี้เลยหรอ? เขารู้สึกงงมากจริงๆ

“ออกรถเถอะ” ไป๋มู่ชิงเร่ง

เสี่ยวหลินพยักหน้า ขับรถออกจากสุสานไป

ถนนที่ออกจากสุสาน เป็นเส้นทางที่ขับเข้าเมือง รถเพิ่งออกไปไม่นาน รถหรูสีบรอนด์เงินคันหนึ่งขับสวนเข้ามาพอดี

รถคันนั้นเช่ามาจากเมืองหยาน เสี่ยวหลินและไป๋มู่ชิงไม่รู้จัก และไม่ได้ใส่ใจว่าคนในรถคือเลขาเหยียนและหนานกงเฉิน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท