เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 114 ลูกอยู่ที่ไหน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

พยาบาลหญิงคนหนึ่งเห็นพวกเขาเสียงดังเอะอะโวยวายกันอยู่ จึงเดินเข้าไปเตือนว่า“ขอความกรุณางดใช้เสียงด้วยด้วยค่ะ ตรงนี้เป็นที่พักฟื้นของผู้ป่วยหลังคลอด กรุณาอย่าส่งเสียงดังรบกวนนะคะ ขอบคุณค่ะ”

ซูวยาหยงรีบเดินเข้าไปถามว่า“คุณพยาบาลคะ ลูกสาวของฉันหายตัวไป คุณเห็นเธอบ้างไหมคะ?”

เธอไม่ได้หวังอะไรมากกับคำตอบที่จะได้ เพราะก่อนหน้านี้เธอก็ไล่ถามพยาบาลมาหลายคนแล้วแต่ก็ไม่มีใครเห็นไป๋มู่ชิงเลย

พยาบาลหญิงมองเธอแล้วพูดว่า“ลูกสาวของคุณหรอ? เป็นคนท้องหรือเปล่า?”

“ใช่แล้วๆ เธอพึ่งจะฉีดยาเร่งครรภ์ไป เธอมีลักษณะผมสีดำยาวๆ หน้าตาสะอาดสะอ้าน คุณเห็นเธอบ้างไหมคะ?”ซูวยาหยงเอารูปของไป๋ยิ่งอันให้เธอดู

พยาบาลสาวเห็นรูปแล้วพูดขึ้นว่า“อ้อ คนนี้หรอ เธอได้ฉีดยาเร่งครรภ์ไปด้วยหรอ? ฉัน……

“คุณเห็นเธอหรอ?”ซูวยาหยงถามอย่างร้อนรน

“ฉันเห็นเธอนั่งร้องไห้อยู่ที่หน้าห้องผู้ป่วยห้อง 6 พอฉันเดินเข้าไปถามเธอว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่เธอก็บอกว่าไม่เป็นอะไร แล้วเธอก็ให้ฉันพยุงเธอไปที่บันไดหนีไฟ” พยาบาลหญิงพร้อมชี้ไปทางบันไดหนีไฟ

“ไปที่บันไดหนีไฟงั้นหรอ?”ซูวยาหยงถามด้วยความตกใจ

“ใช่ ดูเหมือนจะรีบซะด้วย”

“ไปหาให้ทั่วทั้งชั้นบนแล้วก็ชั้นล่าง!” ซูวยาหยงหันไปพูดกับเสี่ยวชิง แล้วเธอก็เดินไปทั้งน้ำตา

ซูวยาหยงที่กำลังจะไปช่วยตามหา ก็ชะงักเท้าไว้ เดินกลับไปที่ห้องพักห้อง 6

เธอตั้งใจให้ห้องพักห้อง6 กับไป๋ยิ่งอัน เธอคิดไว้ว่าถ้าลูกคลอดออกมาก็จะเอาลูกมาให้เธอ แล้วค่อยย้ายไป๋มู่ชิงไปห้องพักฟื้นธรรมดา

ไป๋มู่ชิงร้องไห้เสียใจอยู่หน้าห้องไป๋ยิ่งอันงั้นหรอ? สิ่งแรกที่เธอคิดคือ ไป๋ยิ่งอันไปพูดอะไรกระทบจิตใจเธออีกหรือเปล่า

เธอเดินไปเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยห้อง 6 มองไปเห็นไป๋ยิ่งอันกับเหอหลินกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

เมื่อเหอหลินเห็นซูวยาหยงเดินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้น “น้าสาม”

ไป๋ยิ่งอันที่เห็นหน้าของซูวยาหยงที่หมดอาลัยนั้นก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เกิดอะไรขึ้นหรอคะคุณแม่”

“ยัยไป๋มู่ชิงนั่น มันหนีไปแล้ว” ซูวยาหยงจ้องหน้าเธอแล้วตอบ

“อะไรนะคะ?” ไป๋ยิ่งอันนั่งยืดตัวขึ้น

เมื่อกี้เธอได้ยินเสียงเอะอะข้างนอก แต่เธอไม่สามารถออกไปให้คนอื่นเห็นเธอได้ เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และก็ไม่รู้เรื่องที่ไป๋มู่ชิงหายตัวไปด้วย

“เห็นไหมคะคุณแม่ หนูบอกแล้วว่ายัยนั่นไม่ได้เรื่องหรอก! ” ไป๋ยิ่งอันไม่รอให้ซูวยาหยงเอ่ยปากก็พูดขึ้นมาด้วยความโกรธว่า“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดีล่ะคะ พวกเราโดนยัยนั่นปั่นหัวแล้ว ยัยบ้านั่น อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกละกัน……!

“พอได้แล้ว เงียบสักที!”ซูวยาหยงพูดด้วยความโกรธ

ไป๋ยิ่งอันรีบเงียบ แล้วมองเธอด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ ในใจก็คิดว่าที่ไป๋มู่ชิงหนีไปมันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอสักหน่อย ทำไมต้องมาอารมณ์เสียใส่เธอด้วย แต่เห็นซูวยาหยงโกรธขนาดนี้ เธอไม่พอใจแค่ไหนก็ไม่กล้าพูดหรอก

“ฉันมีเรื่องจะถามแก ก่อนหน้านั้นแกพูดอะไรกับไป๋มู่ชิงหรือเปล่า?” ซูวยาหยงจ้องเธอเขม็ง

“ไม้ได้พูดอะไรนิคะ แม่บอกให้หนูห้ามออกจากห้อง หนูก็อยู่ในนี้ไม่กล้าออกไปไหนเลย ” เพื่อที่จะให้แม่ของเธอเชื่อก็ดึงเหอหลินที่อยู่ข้างๆมา“ไม่เชื่อลองถามเหอหลินดูสิคะ เธออยู่กับหนูตลอด”

“จริงค่ะน้าสาม ฉันกับยิ่งอันอยู่ตรงนี้ตลอด ไม่ได้ออกไปไหนเลย”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเธอสองคนได้พูดอะไรเกี่ยวกับยัยนั่นหรือเปล่า?” ซูวยาหยงถามต่อ “เมื่อกี้พยาบาลหญิงคนนั้นบอกว่าเห็นไป๋มู่ชิงยืนร้องไห้เสียใจอยู่ที่หน้าประตู หลังจากนั้นก็เดินออกไป”

ไป๋ยิ่งอันและเหอหลินมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

ซูวยาหยงที่เห็นถึงความผิดปกติบนใบหน้าของไป๋ยิ่งอันนั้น ก็ถามด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมว่า “หนึ่งชั่วโมงที่แล้ว! ได้พูดอะไรไปหรือเปล่า?”

“พวกเรา……” ไปยิ่งอันสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วตอบว่า “หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้าฉันกับเหอหลินได้พูดถึงเธออยู่ แต่ว่า……เธอน่าจะไม่ได้ยินนะคะ หนูไม่เห็นจะมีใครยืนอยู่ที่หน้าประตูเลยค่ะ”

ซูวยาหยงรู้สึกใจไม่ดีขึ้นมา กลั้นหายใจถามออกไปว่า “พวกเธอพูดอะไรออกไป?”

“หนู……หนูพูดว่าอนาคต หนูต้องไม่ชอบเด็กคนนั้นแล้วก็ทำไม่ดีกับเค้าอย่างแน่นอนอะไรประมาณนี้……หนูไม่รู้ว่าเธออยู่ข้างนอก…..แม่คะ ครั้งนี้หนูไม่ได้ตั้งใจนะคะ หนูแค่พูดไปเท่านั้น……”

ไป๋ยิ่งอันรู้ว่าแม่ของเธอต้องฆ่าเธอแน่ๆ ดังนั้นก็พูดออกมาอย่างคลุมเครือและระวังมากที่สุด

ซูวยาหยงได้ยินเช่นนั้นก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ถ้าไป๋ยิ่งอันไม่ใช่ลูกของเธอ เธอคงตบหน้าอีกฝ่ายตั้งนานแล้ว

แต่เธอกลับเป็นลูกแท้ๆของเธอเอง อีกอย่างถ้าตบเธอตอนนี้ก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เลยทำได้แค่โกรธเท่านั้น

“คุณแม่คะ แล้วตอนนี้เราจะทำยังไงดีคะ?” ไป๋ยิ่งอันเริ่มกังวล “ถ้าไป๋มู่ชิงได้ยินที่หนูพูดจริงๆเธอยังจะเอาเด็กให้หนูอยู่ไหมคะ? เธอจะ…… ”

“ยังจะมีหน้ามาถามฉันอีกหรอ!” ในที่สุดซูวยาหยงก็ทดไม่ได้ แล้วตบหน้าเธออย่างแรง โกรธจนตาแดงไปหมด “ฉันคิดแผนให้แกทั้งวันทั้งคืน ทำทุกวิถีทาง แต่แกกลับไม่พยายามให้ตัวเองเลย! ฉันว่าแกไม่ต้องฝันที่จะได้เป็นแล้วล่ะ คุณหญิงน้อยของตระกูลหนานกงอะไรนั่นน่ะ หาคนที่ทนกับแกได้แล้วแต่งซะเถอะ!”

“คุณแม่คะ หนูขอโทษ หนูไม่คิดว่าเธอจะมาแอบฟังที่หนูพูดกับเหอหลิน หนูผิดไปแล้ว แม่ช่วยตามหาเธอหน่อยนะคะ?”

“ถ้าหาไม่เจอ คราวนี้แกก็ตายใจซะเถอะ ฉันก็ด้วย! ” ซูวยาหยงพูดจบ ก็สะบัดมือของไป่ยิ่งอันที่จับมือของเธอไว้ออก หันหลังแล้วเดินออกไป

ซูวยาหยงเปิดประตูกำลังจะเดินออกไป พยาบาลหญิงคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามาบอกว่า“คุณหญิงไป๋คะ ทำไมถึงเราถึงไม่เจอคุณที่เป็นญาติผู้ป่วยเลยคะ?ตอนนี้ลูกสาวของคุณคลอดแล้วนะคะ อยู่ที่ชั้น 6 ค่ะ!”

“ห้ะ…….!” ซูวยาหยงอ้าปากจ้องหน้าเธอค้างไว้สีหน้าแสดงออกถึงความไม่น่าเชื่อออกมา “เธอพูดว่าอะไรนะ? ลูกสาวฉันคลอดแล้วงั้นหรอ?”

“ใช่ค่ะ ได้เด็กผู้ชายค่ะ ฉันหาญาติผู้ป่วยไปจนทั่ว จะเป็นบ้าอยู่แล้ว”

“คลอดแล้ว……งั้นหรอ……” ซูวยาหยงยังคงทำหน้าที่แสดงถึงความไม่น่าเชื่อออกมา

ไป๋ยิ่งอันและเหอหลินที่อยู่ภายในห้องพักผู้ป่วยได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ ไป๋ยิ่งอันดันเหอหลินออกไป เพื่อเป็นการบอกให้เธอออกไปดู

เหอหลินสะกิดซูวยาหยงที่นิ่งไป พูดอย่างยิ้มๆว่า“น้าสามคะ ยังนิ่งอยู่ทำไมล่ะคะ? รีบไปดูกันเถอะค่ะ”

“อืม ใช่ อยู่ที่ไหนล่ะ พาพวกฉันไปหน่อย” ซูวยาหยงพูดกับพยาบาลหญิงคนนั้น

ทั้งสองตามพยาบาลหญิงคนนั้นมาถึงห้องคลอดที่อยู่ชั้นที่ 6 ประตูห้องคลอดเปิดออกมาพอดี พยาบาลหญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กทารกไว้ มองคนที่ยืนอยู่แล้วถามว่า “ท่านใดคือญาติของไป๋ยิ่งอันคะ?”

“ฉันคะ ฉันเป็นแม่ของเธอเอง” ซูวยาหยงเดินเข้าไปหาอย่างดีใจ

พยาบาลหญิงส่งเด็กทารกไปตรงหน้าของเธอแล้วพูดว่า“เด็กผู้ชายนะคะ น้ำหนัก 5,700กรัม คลอดธรรมชาติค่ะ เราจะอุ้มเด็กไปที่ห้องเด็กแรกเกิดก่อน หลังจากนั้น 2 ชั่วโมงเราจะอุ้มไปส่งให้ที่ห้องพักฟื้นค่ะ”

“ค่ะ…….” ซูวยาหยงมองเด็กทารกที่อยู่ในอ้อมกอดของพยาบาลหญิง อดไม่ได้ที่จะถามว่า“เด็กแข็งแรงดีใช่ไหมคะ?”

“เรื่องนี้เราไม่แน่ใจ เราต้องเฝ้าดูอาการของเด็กก่อน”พยาบาลหญิงตอบ

ซูวยาหยงพยักหน้ารับ พยาบาลหญิงจึงอุ้มเด็กเดินจากไป

พอเด็กถูกอุ้มไปแล้ว ซูวยาหยงก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก และวางใจได้ซักที

เธอยืนรออยู่หน้าห้องคลอดได้ซักพัก ไป๋มู่ชิงก็ถูกพาออกมาจากห้องคลอด

บนเตียงผู้ป่วยนั้น ผมของไป๋มู่ชิงยุ่งไปหมด เหงื่อออกตามไรผมและกรอบหน้า ตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยน้ำตา

ซูวยาหยงเดินเข้าไปหา แล้วจับมือของเธอไว้แล้วพูดว่า“เด็กคลอดออกมาแล้วนะ เป็นเด็กผู้ชาย เธอเห็นหรือยัง?”

“เด็กผู้ชาย……” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา“ให้ฉันได้เห็นหน้าเขาหน่อยได้ไหม? ให้ฉันได้เห็นหน้าของเขาหน่อยได้หรือเปล่า?”

ลูกของเธอ เธอยังไม่ได้เห็นหน้าก็จะถูกอุ้มไปแล้วหรอ?

“พยาบาลอุ้มลูกไปที่ห้องเด็กแรกเกิดแล้ว อีกซักพักถึงจะได้เห็น ไปกันเถอะ เรากลับห้องกันก่อน” ซูวยาหยงปล่อยมือเธอลง บอกให้ผู้ช่วยพยาบาลพาเธอไปส่งที่ห้องพักฟื้น

ไป๋มู่ชิงถูกส่งไปที่ห้องพักผู้ป่วยธรรมดา ซูวยาหยงที่เห็นเธอร้องไห้ไม่หยุดนั้นก็พูดปลอดว่า“มู่ชิง เธอเชื่อใจฉันนะ เด็กนะฉันจะดูแลเป็นอย่างดี ไป๋ยิ่งอันเธอก็แค่โง่ เธอไม่รู้หรอกว่าเด็กคนนี้สำคัญกับเขาขนาดไหน แต่ถ้าเขาทำไม่ดีกับเด็กละก็ ฉันคนแรกที่จะไม่ปล่อยเขาไว้”

ไป๋มู่ชิงฟังไม่เข้าหูเลยซักนิด ลูกก็ถูกเอาไปแล้ว ยังไม่รู้ด้วยว่าลูกจะเป็นยังไงบ้าง แข็งแรงดีหรือเปล่า

“ให้ฉันได้เห็นหน้าลูกหน่อยได้ไหม? แค่แวบเดียวก็ได้” เธอเงยหน้าขึ้นมองซูวยาหยง

ซูวยาหยงส่ายหน้าด้วยความช่วยอะไรไม่ได้“มู่ชิง อย่าลืมที่เราตกลงกันไว้สิ กว่าเราจะเดินมาถึงขั้นนี้ได้ มันไม่ง่ายเลย อีกนิดก็จะสำเร็จแล้ว หรือเธออยากให้ทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดสูญเปล่าหรอ?”

ซักพักก็พูดขึ้นว่า“ไม่ใช่ฉันไม่อยากให้เธอเจอเขา ถ้าเจอไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? มันจะทำให้เธอยิ่งขาดเขาไม่ได้มากกว่าเดิม และเสียใจกว่าเดิมอีก เพื่อไม่ให้ความรู้สึกของเธอแย่ไปกว่านี้ ฉันให้เธอเจอเขาไม่ได้หรอก”

ไป๋มู่ชิงเงียบไป เธอรู้ว่ายังไงซูวยาหยงก็ไม่ให้เธอได้เจอกับเด็กคนนี้หรอก

ซูวยาหยงก็พูดปลอบเธออีกรอบ แล้วให้เสี่ยวชิงดูแลเธอดีๆ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

ซูวยาหยงกลับมาที่ห้องของไป๋ยิ่งอัน ไป๋ยิ่งอันที่ทรงผมยุ่งเหยิงนอนอยู่บนเตียงถามเธอว่า“คุณแม่คะ หนูดูเหมือนคนที่พึ่งจะคลอดลูกเสร็จหรือยังคะ?”

ซูวยาหยงมองแล้วพูดว่า“มันขาดความรู้สึกของคนที่เพิ่งคลอดลูกเสร็จ เดี๋ยวถ้าคุณผู้หญิงมา ลูกก็ทำเป็นนอนหันหลังให้ประตูก็พอ อย่าส่งเสียงและอย่าให้เขาเห็นหน้าลูก”

“ค่ะ” ไป๋ยิ่งอันก้มมองตัวเองรอบหนึ่ง เพื่อให้ตัวเองเหมือนคนที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ เธอกินมากจนทำให้ตัวเองดูอ้วนขึ้นจากเดิมมาก หลังจากนี้เธอคงต้องหาเวลาไปลดน้ำหนักแล้วล่ะ

ในตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ไป๋ยิ่งอันรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มแล้วนอนหันหลังให้กับประตูทันที พยาบาลหญิงเข็นเด็กทารกเข้ามา ข้างหลังก็มีผู้อำนวยการหลานเดินตามมาด้วย

ซูวยาหยงเดินเข้าไปหา มองเด็กทารกที่อยู่บนเตียงแล้วถามผู้อำนวยการหลานว่า“ผู้อำนวยกานหลานคะ เด็กเป็นยังไงบ้างคะ?”

ผู้อำนวยการหลานมองไปที่เด็กแล้วตอบว่า“คุณเคยบอกว่าตอนมาตรวจตอนอายุครรภ์ตอนเดือนที่4ที่5เนี่ย เด็กมีปัญหาสุขภาพใช่ไหมครับ ”

“ใช่ค่ะ”

“เมื่อสักครู่ผมตรวจอย่างละเอียดแล้วพบว่า เด็กหายใจไม่สะดวก ผิวซีด คาดว่าน่าจะเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือไม่ก็เป็นโรคปอดอักเสบ” ผู้อำนวยการหลานก็รีบพูดขึ้นอีกว่า“เดี๋ยวรอผลตรวจของเอกซเรย์ถึงจะแน่ใจได้ครับ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

“เมื่อสักครู่เราได้ให้น้ำกลูโคสเด็กไป ตอนนี้พวกคุณให้นมลูกได้ แต่ก็ระวังอย่าให้เด็กสำลักนะคะ”

“ค่ะ ฉันหาแม่นมมาแล้ว พวกคุณวางใจได้ค่ะ”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

พอผู้อำนวยการหลานเดินออกไป ไป๋ยิ่งอันก็รีบลุกขึ้นมาจากเตียง เกาะเตียงของเด็กไว้แล้วมองไปที่เด็กเล็กนั่น พูดด้วยสีหน้าไม่ชอบว่า“โถๆ ช่างหน้าเกลียดเสียจริง เหมือนตอนที่ไป๋มู่ชิงไม่ได้ศัลยากรรมเลย”

ซูวยาหยงมองไปแล้วต่อว่าเธอ“ตอนนี้เธอเป็นแม่ของเด็กคนนี้นะ ต้องรักเด็กคนนี้ ถ้าให้คุณผู้หญิงมาเห็นสภาพนี้ของเธอเข้าต้องถูกสงสัยแน่ๆ”

“หนูรู้แล้วค่ะ หนูไม่พูดแบบนี้ต่อหน้าคุณผู้หญิงหรอก” ไป๋ยิ่งอันพูด

ซูวยาหยงอุ้มเด็กทารกขึ้นจากเตียง ยื่นไปให้ไป๋ยิ่งอันอย่างระมัดระวัง“ลองฝึกอุ้มดูสิ”

“ตัวเล็กขนาดนี้หนูไม่อุ้มหรอกค่ะ อีกอย่างหน้าก่อนหน้านั้นหนูก็เคยฝึกอุ้มมาก่อนแล้วด้วย”

“ก่อนหน้านั้นที่เธออุ้มนั่นมันตุ๊กตา มันไม่เหมือนกัน รีบฝึกอุ้มสะ”

ไป๋ยิ่งอันยื่นมือไปรับด้วยความไม่สมัครใจ ท่าทางของธอเก้ๆกัง ตัวแข็งไปหมด ซูวยาหยงพูดปลอบว่า“ครั้งแรกที่อุ้มลูก ทุกคนก็เป็นแบบนี้ อุ้มหลายๆรอบเดี๋ยวก็ชินไปเอง อย่าให้คุณผู้หญิงเห็นท่าทางแบบนี้ล่ะ เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้วค่ะ”ไป๋ยิ่งอันพยักหน้าตอบ

เพื่อตำแหน่งของคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกง เธอตัดสินใจที่จะอดทนไว้ แค่อุ้มเด็กมันจะไปยากอะไร

ไป๋ยิ่งอันอุ้มจนรู้สึกคล่องขึ้น ดูมีความเป็นคุณแม่เพิ่มขึ้น ซูวยาหยงถึงจะตัดสินใจโทรหาบ้านตระกูลหนานกง

ตอนที่เธอกำลังจะโทรไปนั้น ผู่เหลียนเหยาและเซิ่งซินกำลังอยู่กับคุณผู้หญิงที่ทานของว่างอยู่ที่สวน พี่เหอหญิงเดินเข้ามาพูดด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มว่า “คุณผู้หญิงคะ คุณหญิงน้อยคลอดแล้วค่ะ ได้เป็นเด็กผู้ชายค่ะ”

ทั้งสามที่ทานของว่างอยู่ก็ชะงัก หันกลับมาพร้อมกัน ผู่เหลียนเหยาถามว่า“วันกำหนดคลอดคืออาทิตย์หน้าไม่ใช่หรอ?”

“คลอดก่อนหนึ่งสัปดาห์ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนิ”พี่เหอพูดอย่างยิ้มๆว่า“คุณหญิงไป๋บอกว่าคุณหญิงน้อยเจ็บครรภ์คลอดตอนกลางวันของวันนี้ แล้วก็คลอดในเวลาต่อมาค่ะ ”

มือของคุณผู้หญิงที่จับแก้วชานั้นแข็งไปหมด พูดออกมาอย่างไม่รู้ตัวว่า“เป็นเด็กผู้ชาย……”

“ใช่ค่ะ ในที่สุดท่านก็ได้หลานชายแล้ว ยินดีด้วยนะคะคุณผู้หญิง” พี่เหอพูด

“แล้วเด็กแข็งแรงดีหรือเปล่า?” คุณผู้หญิงเหมือนกับทุกคนที่ได้ยินว่าไป๋มู่ชิงคลอดแล้ว คำถามแรกที่คิดได้จะเป็นคำถามนี้

“คุณหญิงไป๋บอกว่าตอนนี้เด็กเพิ่งจะได้รับการตรวจสุขภาพไป ผลตรวจยังไม่ออกมา” พี่เหอที่เห็นหน้าวิตกของคุณผู้หญิง ก็ถามอย่างลังเลว่า“คุณผู้หญิงจะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลไหมคะ?”

คุณผู้หญิงนิ่งไปสักพักใหญ่ ก็ดึงสติตัวเองกลับมา แล้วพยักหน้ารับ“ก็ดี เราไปกันตอนนี้เลย”

ไม่ว่าเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร เลือดเนื้อเชื้อไขของเขาก็เป็นของตระกูลหนานกงอยู่ดี อีกอย่างเด็กคนนี้เป็นเด็กผู้ชาย เธอไม่มีเหตุผลที่ไม่เอาอยู่แล้ว

จากนั้นพี่เหอรีบไปเตรียมรถ แล้วที่ทุกคนก็ขึ้นรถไปพร้อมกัน รถเคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์อย่างช้าๆ พี่เหอหันกลับมาถามคุณผู้หญิงว่า“คุณผู้หญิงคะ เราจะแจ้งให้คุณชายใหญ่ทราบไหมคะ?”

คุณผู้หญิงนิ่งคิดแล้วส่ายหัว“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเขาก็ไม่สบายใจอีก”

เมื่อได้ข่าวว่ามู่ชิงคลอดแล้ว ความรู้สึกของคุณผู้หญิงก็หนักอึ้งตลอด เพราะเธอไม่อยากเป็นเหมือน 29 ปีก่อน ที่เธอรีบไปโรงพยาบาลด้วยความดีใจ แต่หมอกลับบอกเธอว่าลูกของเธอไม่ไหวแล้ว เด็กในท้องมีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่รอด

หู่เหลียนเหยาควงแขนคุณผู้หญิงไว้แล้วพูดปลอบโยนว่า“คุณยายคะ อย่ากังวลไปเลยค่ะ คุณหญิงไป๋บอกว่าเด็กเพิ่งตรวจสุขภาพไป ผลตรวจยังไม่ออกมาไม่ใช่หรอคะ เด็กอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้”

“ใช่ค่ะคุณยาย เราต้องเชื่อมั่นในตัวเด็กสิคะ” เซิ่งซิงก็พูดปลอบใจขึ้นอีกคน

แม้คุณผู้หญิงจะพยักหน้ารับ แต่ความกังวลในใจของเธอก็ไม่น้อยลงเลย

หลังจากที่ออกมาจากห้องคลอด ไป๋มู่ชิงก็นอนซมอยู่บนเตียงไม่ขยับเขยื้อน เว้นแต่ว่าพยาบาลหญิงจะมาฉีดยาให้เธอและทำการตรวจหลังคลอดเธอจะขยับนิดหน่อย เวลาอื่นเธอไม่แม้แต่จะขยับเลย

ในมือของเสี่ยวจิงถือซุปไก่ดูกดำที่พี่หงฝากคนเอามาให้ พูดคะยั้นคะยอว่า“คุณหนูคะ ทานอะไรสักหน่อยเถอะค่ะ พี่หงบอกมาว่าคุณหนูเพิ่งคลอดลูกเสร็จต้องทานอาหารบำรุงร่างกายนะคะ ไม่อย่างนั้นจะทำให้มีโรคตามาทีหลังได้นะคะ”

กับคำปลอบโยนของเธอ ไป๋มู่ชิงฟังไม่เข้าเลยสักนิด ตอนนี้ก็ไม่ได้สนแล้วว่าตัวเองเพิ่งจะคลอดลูกเสร็จ หรือว่าจะทำให้เกิดโรคอะไรมาทีหลังหรืเปล่า

ในหัวของเธอมีแต่ภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ฉายขึ้นซ้ำไปมา หลังจากที่เธอร้องไห้เสียใจเสร็จก็เริ่มที่จะใจเย็นลง เริ่มคิดย้อนไปถึงสิ่งที่ซูซีเคยพูดตอนที่เธอโทรไปหา

ซูซี่เคยบอกกับเธอว่าลูกของเธอเป็นผู้หญิงเป็นเด็กหญิงที่มีร่างกายแข็งแรง ทำไมถึงกลายเป็นเด็กชายได้ล่ะ? ซูซี่โกหกเธออย่างงั้นหรอ?

ไม่ ถึงแม้ว่าซูซี่จะเย็นชากับเธอมากก็ตาม แต่ไม่มีวันทำร้ายเธอแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดว่าจะโกหกเธอเลย

เกิดอะไรขึ้น…..ผลการตรวจครรภ์ครั้งที่แล้วเธอพูดโกหกอย่างงั้นหรอ? หรือครั้งไหนกันแน่?

“คุณหนูคะ รีบกินตอนที่น้ำซุปยังร้อนๆเถอะค่ะ ขอร้องเถอะค่ะ ทานอะไรสักหน่อยนะคะ?” “เสี่ยวชิงแทบจะใช้น้ำเสียงขอร้องเหมือนคนจะขาดใจ

ไป๋มู่ชิงหันกลับมาอย่างช้าๆ มองหน้าเธอแล้วพูดว่า“เสี่ยวชิง ฉันขออะไรเธออย่างหนึ่งได้หรือเปล่า”

“เรื่องอะเหรอคะ?” พอเห็นเธอเริ่มมีการตอบสนองบ้าง เสี่ยวชิงก็รู้สึกดีใจขึ้นมาไม่น้อย

“ฉันขอโทรศัพท์ของฉันหน่อยสิ”

รอยยิ้มที่อยู่บนหน้าของเสี่ยวชิงหายไปทันที พูดอย่างรู้สึกผิดว่า“คุณหนูรองคะ ไม่ใช่ฉันไม่อยากช่วยนะคะ เป็นคุณผู้หญิงที่ยึดโทรศัพท์ของคุณหนูไป แล้วยังสั่งให้ฉันดูคุณหนูเอาไว้ ไม่ให้ติดต่อกับคนอื่น”

เพื่อที่จะให้เธอรู้ว่าเธอช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ เสี่ยวชิงก็ชี้บนหน้าตัวเองแล้วพูดว่า“นี่คือรอยที่ฉันโดนคุณผู้หญิงตบตอนที่คุณหนูหายตัวไป ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูอีก ฉันคงโดนคุณผู้หญิงลอกหนังออกเลยก็ได้”

“ฉันแค่อยากโทรหาเพื่อนของฉันถามเกี่ยวกับเรื่องหลังคลอดน่ะ ฉันขอยืมโทรศัพท์ของเธอหน่อยได้หรือเปล่า ขอร้องล่ะ”

“แค่โทรหาเพื่อนใช่ไหมคะ?”

“ใช่”

เสี่ยวชิงคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็ยอมใจอ่อน“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ แต่ต้องรีบคุยนะคะ”

“แน่นอน” ไป๋มู่ชิงรับโทรศัพท์มาจากเสี่ยวชิง แล้วกดโทรหาซูซี่ เสียงรอสายดังขึ้นสักพักแล้วถึงจะตามมาด้วยเสียงซูซี่

พอได้ยินเสียงเธอ น้ำตาของไป๋มู่ชิงก็ไหลออกมาทันที พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า“เสี่ยวซี่……..”

ฝั่งของซูซี่เงียบไปสักพัก แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิดว่า“มู่ชิง ฉันขอโทษ ไอบ้าเฉียวซือเหิงนั่นเขาไม่ช่วยฉันแล้วยังขังฉันไว้ในห้องทำงานอีก ตอนนี้ฉันออกไปไหนไม่ได้เลย”

“เสี่ยวซี ฉันขอถามเธอแค่คำถามเดียว” ไป๋มู่ชิงพูดขัดเธอขึ้นมา

“อะไรหรอ?”

“สิ่งที่เธอพูดกับฉันตอนนั้น เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”

“เรื่องอะไรหรอ?”

“ที่เธอบอกว่าเค้าเป็นเด็กผู้หญิงร่างกายแข็งแรง คือเรื่องจริงหรือเปล่า?” ตอนนี้เธอเป็นห่วงเรื่องนี้มากที่สุด และเธอก็ไม่โทษซูซี่ที่ผิดสัญญา

“คือเรื่องจริง” ซูซี่พูดถอนหายใจออกมาอย่างรู้สึกผิด“ที่ฉันโกหกเธอ เป็นเพราะโกรธที่หนานกงเฉินทำแบบนั้นกับเธอ ฉันคิดว่าถ้าเขาไม่ต้องการเด็กคนนี้แล้วยังโหดร้ายมากขนาดนี้ เธอก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทนทุกข์อุ้มท้องเป็นเวลา10เดือน แล้วยังต้องมาเจ็บครรภ์คลอดอีก แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะโง่ โง่ขนาดที่ว่า ทั้งๆที่รู้ว่าเด็กในครรภ์ไม่แข็งแรง ก็ยังยืนยันที่จะคลอดเขาออกมา ”

ซูซี่ที่ได้ยินเสียงร้องไห้ที่ดังขึ้นเรื่อยๆก็ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า“มู่ชิง ตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง? เธอร้องไห้หรอ?”

“เป็นเรื่องจริงใช่ไหม?”ไป๋มู่ชิงถามคำถามนี้ซ้ำ

“ใช่ มันคือเรื่องจริง” ซูซี่ตอบเสร็จก็รีบถามกลับมา“มู่ชิง เธอบอกฉันหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าออก“ลูกของฉันหายไป”

“ว่าไงนะ?”

“เขาถูกใครอุ้มไปก็ไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนเอาเขาไป ทำยังไงดี? ซูซี่ เธอช่วยฉันหาเขาหน่อยได้ไหม?”

“ฉัน……ตอนนี้ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้หรอก ฉันออกไปไหนไม่ได้เลย” แล้วซูซี่ก็รีบพูดขึ้นอีกว่า“เธออย่าเพิ่งกังวลนะ รอฉันออกไปได้แล้วจะไปหาเธอ”

“ได้ เธอเร็วหน่อยนะ”ไป๋มู่ชิงตอบด้วยน้ำเสียงสะอื้น

“หลังจากที่วางสายไปแล้ว ไป๋มู่ชิงก็คุมโปงแล้วร้องไห้อีกครั้ง พอร้องไปสักพักเธอก็เริ่มใจเย็นลง แล้วก็พยายามนึกย้อนกลับไปว่าทุกอย่างมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

จะเป็นหมอผู้ชายคนนั้นที่เจอในห้องน้ำชายหรอ เขาเห็นใจในสิ่งที่พูดแล้วเป็นคนเปลี่ยนลูกของเธอไปหรือเปล่า? แต่ถ้าเขาเป็นคนเปลี่ยนลูกของเธอไป แล้วทำไมตอนนี้เขายังไม่มาหาฉันล่ะ?

เขาเอาลูกของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหนกันแน่?เขาจะเอาลูกของฉันคืนมาอยู่ไหม?แล้วเด็กผู้ชายที่อยู่กับซูวยาหยงหล่ะ?

พระเจ้า! ในหัวของเธอเต็มไปด้วยประโยคถามมากมายจนจะระเบิดออกมา

เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เธอควรที่จะเชื่อใครดี ถ้าสิ่งที่ซูซี่พูดเป็นเรื่องจริง เธอก็ไม่รู้ว่าจะไปหาลูกของเธอได้จากที่ไหน

เธอพยายามที่จะลงจากเตียง พอเสี่ยวชิงเห็นดังนั้นจึงรีบมาจับแขนของเธอไว้“คุณหนูรองจะทำอะไรคะ?ตอนนี้คุณหนูยังลงจากเตียงไม่ได้นะคะ”

“ฉันจะออกไปข้างนอก”เธอวิ่งไปทางประตูด้วยท่าทีลำบาก เธอต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กที่อยู่กับซูวยาหยงนั้นเป็นลูกชายเธอหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ เธอจะไปตามหาลูกสาวของเธอกลับมา

“คุณหนูรองคะ คุณออกไปไม่ได้นะคะ”เสี่ยวชิงขวางเธอไว้ไม่ได้เลย

ไป๋มู่ชิงเปิดประตูออก ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวออกไป ก็โดนชายหนุ่มสองคนที่อยู่หน้าประตูขวางไว้ซะก่อน ชายหนุ่มทั้งกันเธอไว้ในห้อง แล้วพูดว่า“คุณหนูไป๋ครับ คุณหญิงบอกไว้ว่าตอนนี้คุณหนูควรพักผ่อนอยู่ในห้อง ไม่ควรออกไปที่อื่น”

“หลีกทางให้ฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ” โกรธที่หมดหนทางสู้

“คุณหนูไป๋ครับ อย่าทำให้พวกเราต้องลำบากใจเลยครับ”

“คุณหนูคะ อย่าทำร้ายตัวเองด้วยวิธีแบบนี้เลยนะคะ ยังไงคุณหญิงก็ไม่ปล่อยให้คุณหนูออกไปได้หรอกค่ะ”เสี่ยวชิงจับแขนเธอไว้แล้วพูดด้วยความหวังดี

ไป๋มู่ชิงที่เห็นหน้าจริงจังของชายหนุ่มทั้งสองก็กัดฟันแน่น สุดท้ายก็ต้องยอมเพราะทำอะไรไม่ได้

ไม่สิ เธอไม่ควรวู่วามขนาดนี้ เธอควรรอซูซี่มาก่อน แล้วค่อยให้ซูซี่ช่วยหาลูกของเธอ

ก่อนที่เธอยังไม่รู้ว่าผู้ชายที่เจอในห้องน้ำนั้นคือใคร แล้วเขาจะเอาลูกของเธอมาคืนหรือเปล่านั้น เธอไม่ควรใจร้อนวู่วาม ต้องไม่ให้ซูวยาหยงรู้ว่าเด็กที่อยู่กับเธอนั้นไม่ใช่ลูกจริงๆของตระกูลหนานกง ไม่อย่างนั้นเธอต้องมากดดันขอลูกกับเธอแน่

เธอนอนลงบนเตียงเงียบๆ พยายามพูดกล่อมตัวเองในใจว่า อย่าใจร้อน อย่าใจร้อนเด็ดขาด……

เสี่ยวชิงที่เห็นเธอเดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวโวยวาย ก็ทำให้เธอเหงื่อตกไม่น้อย ตอนนี้พอเห็นเธอนอนลงบนเตียงเงียบๆ ก็รู้สึกเบาใจขึ้น

อีกด้านของคุณผู้หญิงที่เดินเข้ามาที่โรงพยาบาลนั้น ไป๋ยิ่งอันกำลังแกล้งนอนหลับหันหลังให้กับประตู ซูวยาหยงเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม“คุณผู้หญิงคะมาแล้วหรอคะ”

คุณผู้หญิงกวาดตามองไปรอบๆห้อง แล้วเดินตรงไปที่เตียงของเด็กทารก มองเด็กทารกที่นอนอยู่บนเตียง แล้วเงยหน้าขึ้นถามซูวยาหยงว่า“ผลตรวจออกมาหรือยัง?”

“ยังเลยค่ะ คุณหมอบอกว่าอีกสักพักจะเอามาให้” ซูวยาหยงอุ้มเด็กทารกน้อยขึ้นอย่างระมัดระวัง ส่งไปให้กับคุณผู้หญิงแล้วพูดว่า“เจ้าเด็กน้อย นี่คือคุณยายนะครับ คุณยายมาหาแล้ว ให้คุณยายอุ้มหน่อยเน้อ”

คุณผู้หญิงยื่นมือเข้าไปรับมาอุ้มไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง เหมือนกลัวว่าจะทำตกซะงั้น

“เชิญนั่งค่ะคุณยาย”เซิ่นซิงพยุงคุณผู้หญิงนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า“เด็กนี่ชั่งน่ารักน่าชังจัง สีอมชมพูไปทั้งตัวเลย คุณยายว่าเขาจะเหมือนพี่ชายหรือพี่สะใภ้คะ”

“ตัวเล็กขนาดนี้จะดูออกได้ยังไงกัน ต้องรอให้โตขึ้นอีกหน่อยถึงจะรู้” คุณผู้หญิงยิ้มไปด้วยจับมือเล็กๆนั่นไปด้วย บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดู

เธอเล่นกับเด็กทารกเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมองไป๋ยิ่งอันที่นอนอยู่บนเตียง ซูวยาหยงรีบตอบว่า“สงสัยยิ่งอันเพิ่งคลอดลูกเสร็จแล้วเหนื่อยน่ะค่ะ ตอนนี้หลับไปแล้ว”

“อืม ลำบากแย่เลยสินะ”คุณผู้หญิงพูดขึ้น

“ไม่ลำบากหรอกค่ะ มันเป็นหน้าที่ของผู้หญิงอยู่แล้ว”ซูวยาหยงตอบอย่างเอาใจ

“เอะ เด็กเหมือนจะหายใจผิดปกตินะคะ”คุณหมออย่างผู่เหลียนแค่มองแวบเดียวก็เห็นถึงความผิดปกติ

คำพูดของเธอทำให้คุณผู้หญิงใจเสียอยู่ไม่น้อย เธอสังเกตการหายใจของเด็ก มันเร็วผิดปกติเหมือนที่ผู่เหลียวเหยาพูด

“อีกอย่าง ใบหน้าของเด็กซีดมาก หมอไม่ได้ให้ไปห้องรักษาทารกแรกเกิดหรอคะ?”ผู่เหลียวเหยาถามขึ้น

“คุณหมอบอกว่าตอนนี้เด็กยังสามารถหายใจเองได้ และยังทานอาการได้แล้ว ให้รอดูอาการก่อนค่ะ”ซูวยาหยงตอบ

“อืม งั้นก็ดี”ผู่เหลียนเหยายืดตัวขึ้นแล้วเดินไปยืนที่ข้างๆเตียงของไป๋ยิ่งอัน มองแล้วถามอย่างเป็นห่วงว่า“พี่สะใภ้ดูอ่อนเพลียมากเลย คงต้องเจ็บมากแน่ๆ”

เพราะไป๋ยิ่งอันนอนหันหลังให้กับทุกคน ผู่เหลียนเหยาเพื่อที่จะได้เห็นหน้าของเธอชัดๆจึงเดินอ้อมไปอีกฝั่ง แล้วพูดต่อว่า“พี่สะใภ้ดูอ้วนขึ้นนะคะ”

“นี่เป็นอาการบวมค่ะ คนท้องทุกคนก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว หลังจากนี้ถึงจะค่อยๆดีขึ้นค่ะ”แม่นมที่อยู่ข้างๆพูด

ซูวยาหยงมองไปที่ผู่เหลียนเหยา รู้สึกว่าเธอดูฉลาดเป็นพิเศษ

ไป๋มู่ชิงเฉยให้เธอดูผู้หญิงคนนี้ในสมุดบันทึกของเธอ และยังแนะนำอีกว่าผู้หญิงคนนี้คือภรรยาของลูกพี่ลูกน้องหนานกงเฉิน ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลหงเอิง

หรือว่านี่คือปกติของคนที่เป็นหมออย่างงั้นหรอ? ถึงได้ช่างสังเกตผู้ป่วยได้ละเอียดขนาดนี้?

เธอแอบสูดหายใจเข้าลึกๆ หวังว่าเธอคนนี้อย่าได้เห็นความลับของเธอได้

คุณผู้หญิงอุ้มเด็กไว้แล้วก็ไม่อยากวางลงอีก ยิ่งมองยิ่งรู้สึกดีใจ นี่เป็นหลานที่เธอหวังอยากได้มาตลอด ในที่สุดก็มีแล้ว คนที่จะสืบทอดทุกอย่างของตระกูลหนานกง

“ไม่ว่าอนาคตหนูจะเป็นยังไง ยายก็จะรักและเอ็นดูหนูเอง” คุณผู้หญิงยิ้มไปด้วย ตบก้นน้อยๆของเด็กไปด้วย

ก่อนหน้าที่เด็กยังไม่ได้คลอด เขาไม่ได้อยากให้เขาได้เกิดออกมาเลย เพราะไม่อยากให้เขาต้องทรมานเหมือนที่หนานกงเฉินเคยเป็น แต่ตอนนี้เด็กคนนี้เกิดออกมาแล้ว เธอก็รู้สึกรักและเอ็นดูเป็นอย่างมาก

มองเห็นใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขของเธอ ซูวยาหยงเบาใจขึ้นเยอะมาก เธอก็กังวลว่าคุณผู้หญิงจะไม่เอาเด็กร่างกายไม่แข็งแรงคนนี้ ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอคงคิดมากเกินไป

ผู่เหลียนเหยาและคุณผู้หญิงที่เล่นกับเด็กอยู่นั้นก็ถามขึ้นว่า“เด็กคนนี้กรุ๊ปเลือดอะไรหรอ?”

“กรุ๊ปเอเหมือนกับยิ่งอันเลยค่ะ ” ซูวยาหยงก็เอาใบสูติบัตรของเด็กออกมาจากตู้ลิ้นชัก ส่งไปให้พวกเขาดู

ผู่เหลียนเหยารับใบสูติบัตรมาดู สีหน้าแสดงออกถึงความน่าสงสัยแวบหนึ่ง ก็ส่งต่อไปให้เซิ่นซิง“ข้อมูลทุกอย่างก็ปกติดี คงไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ”

เซิ่งซิงดูกระดาษแผ่นนั้น แล้วก็พูดปลอบคุณผู้หญิงไปด้วย“ใช่ค่ะ น่าจะไม่มีปัญหาอะไรนะคะ”

หลังจากที่ทุกคนอยู่ในห้องได้สักพักใหญ่ พยาบาลหญิงก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยผลตรวจในมือ และตามมาด้วยผู้จัดการหลานที่มีสีหน้าเคร่งเครียด

เมื่อเห็นสีหน้าของคุณหมอ ซูวยาหยงก็รู้ทันทีเลยว่าร่างกายของเด็กคนนี้มีปัญหาแน่ๆ แต่เธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าเด็กคนนี้จะดีอยู่แล้ว กลับหวังแค่ว่าเด็กคนนี้จะมีอายุให้ถึงตอนที่ไป๋ยิ่งอันนั้นอยู่ในบ้านตระกูลหนานกงได้อย่างมั่นคงก็พอ ถ้าไม่อย่างงั้นเด็กคนนี้จะเป็นปัญหาใหญ่ของพวกเธอได้

เธอไม่ได้เสียใจมากอยู่แล้ว แต่กลับเป็นคุณผู้หญิงที่เห็นสีหน้าของผู้อำนวยการหลานแล้ว สีหน้าก็เคร่งเครียดไปด้วย“ทำไม? เด็กอาการไม่ดีหรอ?”

“น่าเสียดายนะครับ” ผู้อำนวยการหลานมองเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของคุณผู้หญิง พูดด้วยสีหน้าเสียใจว่า“พวกเราได้ตรวจอย่างละเอียดแล้ว ตอนนี้แน่ใจได้แล้วว่าเด็กเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคหลอดเลือดใหญ่สลับที่”

“ห้ะ……!” คุณผู้ผู้หญิงหัวใจหล่นวูบ ถึงจะเตรียมใจไว้บ้างแล้ว แต่เธอก็เสียใจจนเกือบทำเด็กหลุดจากอ้อมกอด

แม่นมรีบรับเด็กมาวางไว้บนเตียง

“โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด? ตรวจละเอียดแล้วหรอคะ?”ผู่เหลียนเหยาถามขึ้น

“สามารถแน่ใจได้แล้วครับ”

“คุณยายใจเย็นๆแล้วนั่งลงก่อนนะคะ ตอนนี้โรคหัวใจพิการแต่กำเนิดเนี่ยสามารถมีโอกาสผ่าตัดได้สำเร็จถึง 90% แล้วนะคะ เว้นแต่ว่า…… ” ผู่เหลียนเหยาเห็นคุณผู้หญิงที่เสียใจจนร้องไห้ออกมา ก็รีบเข้าไปปลอบโยน แล้วก็ถามผู้จัดการหลานไปว่า“คุณหมอคะ เด็กจัดอยู่ในโรคประเภทไหนคะ”

ผู้อำนวยกานหลานมองเธอ สักพักถึงจะพูดออกมาว่า“โรคหัวใจห้องเดียว”

“ห้ะ……”ตอนนี้เป็นผู่เหลียนเหยาเองที่พูดไม่ออก

“หมายความว่ายังไงหรอคะ?” ซูวยาหยงทำเป็นไม่รู้เรื่อง และแสร้งถามด้วยสีหน้าที่ดูกังวล

“มันคือ……ห้องของหัวใจไม่สมบูรณ์ครับ”ผู้อำนวยการหลานตอบ

คุณผูหญิงสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามถามด้วยน้ำเสียงที่ปกติว่า“เหลียนเหยา เธอบอกฉันให้หมดสิว่าโรคนี้……มีโอกาสที่จะรักษาหายหรือเปล่า?”

การที่คุณผู้หญิงอยู่กับยามาตลอดสิบกว่าปี ก็ย่อมรู้เกี่ยวกับโรคที่หายยากพวกนี้อยู่แล้ว เธอรู้ดีว่าโรคนี้รุนแรงขนาดไหน แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะถามออกไป

ผู่เหลียนเหยาไม่รู้จะตอบยังไง สุดท้ายแค่บอกไปว่า“คุณยายไม่ต้องกังวลนะค่ะ ตอนนี้การรักษาทางการแพทย์ก้าวหน้าอย่างมาก ยังไงก็รักษาหายแน่นอนค่ะ

“เธอไม่ต้องพูดปลอบใจฉันหรอก” คุณผู้หญิงยิ้มแห้ง ลุกจากเก้าอี้ด้วยความสั่นเทา แล้วเดินไปที่เตียงของเด็กทารก มองเด็กทารกตัวน้อยนั้นด้วยหัวใจที่ปวดร้าวไปหมด

ยังเล็กอยู่เลย ก็ต้องมาทรมานกับโรคหัวใจซะแล้ว ช่างน่าสงสารเหลือเกิน

คุณผู้หญิงทนมองต่อไปไม่ไหวหันกลับไปพูดกับผู่เหลียนเหยาและเซิ่งซิงว่า“ไปเถอะ พาฉันกลับหน่อย”

“คุณยายคะ เราจะกลับตอนนี้เลยหรอคะ?”เซิ่งซิงมองไปยังเด็กทารกที่อยู่บนเตียงเล็ก

“กลับกันเถอะ ฉันอยากกลับไปพักผ่อนแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นให้ฉันอยู่ดูแลเด็กและพี่สะใภ้ก็ได้ค่ะ” ผู่เหลียนเหยาพูดเสนอตัวเอง

ซูวยาหยงที่ได้ยินว่าเธอจะอยู่นั้นก็รีบพูดขึ้นว่า“คุณหนูผู่คะ ตอนนี้คุณผู้หญิงรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ คุณพาท่านกลับก่อนเถอะค่ะ อีกอย่างเธอเป็นผู้หญิง ไม่ค่อยที่รู้เรื่องอะไรสักเท่าไหร่ ยิ่งอันและเด็กเดี๋ยวฉันจะดูแลเอง และฉันก็จ้างแม่นมมาตั้ง 2 คน ”

“ให้พี่เหออยู่เถอะ” คุณผู้หญิงพูด

นี่เป็นเด็กของตระกูลหนานกง ถ้าไม่มีคนบ้านของหนานกงอยู่เลยก็คงไม่ดี คุณผู้หญิงเลยให้พี่เหอที่เคยเลี้ยงเด็กมาก่อนนั้นอยู่ต่อ

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว ซูวยาหยงก็มองไปที่พี่เหอรอบหนึ่ง แล้วถามขึ้นอย่างลังเลว่า“ผู้อำนวยการหลานคะ “หัวใจพิการห้องเดียวเป็นโรคที่รุนแรงมากเลยหรอคะ แล้วมีโอกาสที่จะรักษาหายไหมคะ?”

ผู้อำนวยการหลานมองไปที่พี่เหอ ซูวยาหยงรีบพูดขึ้นว่า“คุณผู้หญิงไม่อยู่แล้ว คุณพูดมาเถอะค่ะ จะได้ให้เราเตรียมใจกันไว้บ้าง”

ผู้อำนวยการหลานพยักหน้ารับ“ถ้าอย่างนั้นผมก็จะพูดออกมาตามตรงเลยนะครับ โรคนี้เป็นโรคที่พบเจอยากมาก เป็นประมาณ 0.47% ของโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ถ้าหากได้รับการรักษาอย่างดีเนี่ย อาจจะเกิดปาฏิหาริย์เกิดขึ้นก็ได้ แต่การผ่าตัดไม่มีเปอร์เซ็นต์ของการทำสำเร็จเลย”

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า เด็กคนนี้ก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้วสินะคะ?”พี่เหอถามด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว

“ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เขาก็อยู่ได้ไม่นานแล้วครับ”ผู้อำนวยการหลานตอบ

ภายในห้องพักผู้ป่วยเงียบลงทันที บรรยากาศก็อึดอัดไปหมด

ผู้อำนวยการหลานพูดปลอบพวกเขาสักพักแล้วเดินออกไป

ไป๋ยิ่งอันที่ตอนแรกจะทนรอจนกว่าพี่เหอกลับไปถึงจะตื่นขึ้นมา แต่จนแล้วจนรอดพี่เหอก็ไม่มีวี่แววจะกลับไปสักที จึงจำเป็นต้องลุกขึ้นจากเตียง

พวกเขาสองคนต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ซูวยาหยงกระแอมไอ เธอถึงจะเรียกอีกฝ่ายว่า“พี่เหอ”

“นายหญิงน้อย เป็นอย่างไรบ้างคะ?”พี่เหอถามเธอ

“ฉัน……ฉันดีขึ้นแล้วค่ะ”

“เมื่อกี้หมอมาบอกแล้วว่าลูกของเธอเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด อาจจะมีอายุได้ไม่นาน” ตอนที่พี่เหอพูดคำนี้ออกมา เป็นเหมือนการพูดโทษเธอไปด้วยที่คลอดเด็กคนนี้ออกมา ไม่อย่างนั้นคุณผู้หญิงคงไม่เสียใจอีกครั้ง

ไป๋ยิ่งอันที่ได้ยินดังนั้น ก็อึ้งไปสักพัก จากนั้นก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ

จากตอนแรกที่ซูวยาหยงกลัวเธอจะร้องไห้ไม่ออก พอเห็นเธอร้องไห้ได้เหมือนจริงขนาดนี้ ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมา

พี่เหอที่เห็นเธอร้องไห้เสียใจ ก็ยิ่งรำคาญเข้าไปใหญ่“ตอนนั้นคุณผู้หญิงก็บอกเธอแล้วว่าไม่ต้องคลอด แต่เธอก็คิดจะทำ ตอนนี้เป็นไงล่ะ ไม่ใช่แค่ทำให้คนตระกูลหนานกงตกเข้าไปอยู่ในความเจ็บปวดอีกครั้ง เด็กคนนี้ก็ต้องรอความตายอย่างทุกข์ทรมาน คุณหญิงน้อยร้องไห้ตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา? รีบเช็ดน้ำตาออกให้หมดซะ”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท