เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 134 ความขัดแย้ง2

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“นี่คืออะไร?” เขาโกรธถามเสียงสั่น

ไป๋มู่ชิงตกใจ รีบดึงคอเสื้อในมือเขากลับมา ติดไว้ที่คอตัวเองเหมือนเดิม ในใจกระวนกระวาย พอเธอตกใจก็ลืมเอาคอเสื้อของตัวเองจัดให้ดี แล้วยังถูกไป๋ยิ่งอันเห็นเข้าโดยบังเอิญอีก

ทำยังไงดี? ถ้าให้ไป๋ยิ่งอันรู้ว่าเมื่อคืนเธอกับหนานกงเฉิน……

ถ้าไม่กล้าคิดไปไกล ดึงแม่แล้วเดินจากไป

ไป๋ยิ่งอันกลับลากกลับมา ถามด้วยความโกรธ:“ฉันถามเธอว่านี่คืออะไร?!”

ไป๋มู่ชิงร้อนใจ ดิ้นไปด้วยใจไม่ดีไปด้วย:“เกี่ยวอะไรกับเธอ?รีบปล่อยมือนะ!”

จูฮุ่ยกับสวีหย่าหรงที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าทั้งตัวของไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยร่องรอย ก็ถูกทำให้ช็อคไป จูฮุ่ยถามอย่างตะลึงงัน:“มู่ชิง นี่เธอเป็นอะไร?”

“เป็นอะไร? คุณว่าเธอเป็นอะไรล่ะ? เมื่อคืนลูกสาวคุณแอบคบชู้กับสามีฉัน!” ไป๋ยิ่งอันหันไปทางจูฮุ่ย กวาดสายตามองเขา:“ไม่ใช่สิ คุณร่วมหุ้นกันกับเธอนี่? คุณเห็นพวกเขาคบชู้กันใช่ไหม? ผู้หญิงต่ำช้าอย่างคุณจะแกล้งทำเป็นไม่รู้อะไร?!”

ไป๋มู่ชิงมองไปรอบข้าง โชคดีที่ตรงนี้เป็นมุมตึกไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปผ่านมา เห็นว่าไป๋ยิ่งอันซักไซ้เธอหลายคำถามก็รู้สึกหวาดผวา หันหน้าไปตอบ:“ฉันเปล่า!”

“เปล่า? เธอยังกล้าพูดว่าเปล่า?” ไป๋ยิ่งอันโกรธจัด ตะโกนอย่างอารมณ์ขึ้น:“งั้นเธอว่าร่องรอยที่ไม่รู้จักความละอายพวกนี้มันมาจากไหนล่ะ? หลินอันหนานเหลือไว้ให้เธอเหรอ?”

“คุณว่า เมื่อคืนเธออยู่กับหลินอันหนานหรือเปล่า?” ไป๋ยิ่งอันหันไปถามจูฮุ่ย

จูฮุ่ยส่ายหน้า:“ไม่ใช่ ยิ่งอันเธอจะใส่ความมู่ชิงอย่างนี้ไม่ได้นะ เมื่อคืนเขานอนอยู่ที่บ้าน ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น”

“ไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น? ร่างกายของเขาเกือบจะถูกผู้ชายแทะจนเละแล้ว คุณมองไม่เห็นเหรอ?” ไป๋ยิ่งอันพูดแล้วเดินไปดึงเสื้อของไป๋มู่ชิง

จูฮุ่ยไม่ได้พูดอะไร เท่าที่เขารู้ เมื่อคืนไป๋มู่ชิงไม่ได้ออกไปไหน แต่รอยบนร่างกายของไป๋มู่ชิงมันเกิดอะไรขึ้น?

ไป๋ยิ่งอันโกรธจนน้ำตาไหล เมื่อคืนเธอตั้งใจทำอาหารค่ำใต้แสงเทียน ตั้งใจให้หนานกงเฉินดื่มไวน์แก้วนั้น สุดท้ายไม่เพียงแต่คนอื่นได้ประโยชน์จากจุดนี้ ตัวเธอเองกลับถูกผู้ชายน่ารังเกียจคนนั้นยึดครองทั้งคืน

เธอยิ่งคิดยิ่งโกรธ ยิ่งคิดยิ่งไม่คุ้มค่าเอาซะเลย!

สวีหย่าหรงเมื่อสักครู่ได้ฟังไป๋ยิ่งอันเล่าเรื่องเมื่อคืนแล้ว ครั้งนี้ได้เห็นรอยบนตัวของไป๋มู่ชิงอีก แล้วเห็นปฏิกิริยาของไป๋ยิ่งอัน ก็พอเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เธอกัดฟันแล้วพ่นประโยคนึงออกมา:“เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูกจริงๆ เป็นคู่แม่ลูกที่ต่ำช้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!”

“ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณเลวมาก่อน ฉันจะเลวตามได้ยังไง?” ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ทนไม่ไหว โมโหและพ่นประโยคพวกนี้ไปยังเขา:“คุณผู้หญิงหนานกง หลังจากนี้กรุณาช่วยจับตาดูสามีคุณให้ดีด้วย อย่าให้เขาวิ่งวุ่นไปทั่ว”

“เธอว่าอะไรนะ? ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไปยั่วเขา เขาจะทำ……!”

“คุณเข้าใจผิดแล้ว เขาต่างหากที่ยั่วฉัน เรื่องนี้ฉันก็รำคาญใจอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหลังจากนี้คุณก็ดูแลเขาดีๆด้วย จับตาดูเขาให้ดี เติมเต็มเขา……”

“เธอ……!” ไป๋ยิ่งอันโกรธจนคลั่งไปแล้ว กำลังจะเข้ามาตบเธอ

ไป๋มู่ชิงมือไวกว่าเอาฝ่ามือขวางเขาไว้ แล้วหมุนร่างเดินจากไป

แต่ทว่าพอหันร่างกลับถูกหลินอันหนานที่ยืนอยู่ด้านหลังทำให้ตกใจ สมองก็ว่างเปล่ากะทันหัน

เธอมองหลินอันหนานที่อยู่ตรงหน้าอย่างตะลึงงัน ในเมื่อไม่รู้ว่าเขามายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ เวลานี้ใบหน้าของเขาอึมครึม ตัวแข็งทื่อ เห็นได้ชัด ว่าสิ่งที่ควรได้ยินเขาได้ยินหมดแล้ว

เธอไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับหลินอันหนานยังไง ก็เลยก้มหน้า รีบวิ่งไปทางลิฟต์ที่อยู่ด้านข้าง

ลิฟต์ยังอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เธอรอไม่ไหว ก็เลยหันไปทางบันไดหนีไฟ

“มู่ชิง เธอหยุดเดี๋ยวนี้นะ!” จูฮุ่ยอับอายจนโกรธแล้วตามเข้ามาในบันไดหนีไฟ สั่งคำสั่งตามหลังเธอไป

ไป๋มู่ชิงหยุดเดิน แต่ไม่ได้หันกลับมา และคงไม่มีหน้าหันหลับมา

จูฮุ่ยเดินขึ้นไป จ้องเธอแล้วถามเสียงสั่น:“เธอบอกมาว่าเป็นความจริงหรือเปล่า? เมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? แล้วยังรอยพวกนั้นบนตัวเธออีก……” จูฮุ่ยดึงคอเสื้อของเธอลงมา ดึงออกเยอะกว่าไป๋ยิ่งอันซะอีก

ได้ยินเสียงเสื้อผ้า‘แควก’ ขาดลง

“เธอพูดสิ!สรุปเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” จูฮุ่ยจ้องเขม็งรอยแดงคล้ำบนไหล่เธอแล้วตะโกนออกมา

ไป๋มู่ชิงอ้าปาก กลับพูดไม่ออก ได้แค่อายจนหน้าแดงแล้วจะดึงเสื้อผ้ากลับ แต่ทว่า เสื้อผ้าขาดแล้วก็คือขาดเลย ดึงกลับไม่ได้แล้ว

ความเงียบคือการยอมรับที่ดีที่สุดอย่างต้องไม่สงสัย ในที่สุดจูฮุ่ยก็ทนไม่ไหวฟาดมือมาที่หน้าเธอ:“ทำไมเธอเลวขนาดนั้น? อันหนานไม่ดีกับเธอเหรอ? ทำไมต้องไปยั่วสามีของคนอื่น?”

ไป๋มู่ชิงถูกเขาสะบัดฝ่ามือมา ร่างล้มไปยังราวจับบันไดด้านข้าง เธอทำได้แค่รีบเอามือไปพยุงไว้เพื่อให้ร่างกายมั่นคง

“หนูไม่ได้ยั่วเขา……” เธอแก้ต่างแล้วก้มหน้า

“ไม่ได้ยั่ว? งั้นมันคืออะไร?” จูฮุ่ยจ้องเขม็งเธออย่างโมโห แล้วซักไซ้ต่อ:“ฉันถามเธอ เมื่อคืนเธอออกไปข้างนอกตอนไหน? ทำไมฉันไม่รู้ ตอนนี้เธอปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ กล้าแอบฉันออกไปทำเรื่องวุ่นวายข้างนอกใช่ไหม? ไป๋ยิ่งอันเป็นคนแบบไหน? ผู้ชายของเขาเธอยังกล้าแย่ง? เธอตั้งใจให้ฉันกับเสี่ยวอี้ช่วยกันฝังศพให้เธองั้นเหรอ? เธอ……”

จูฮุ่ยโกรธจนพูดต่อไปไม่ได้แล้ว สุดท้ายก็กัดฟัน:“ฉันเตือนเธอนะ ครั้งนี้ทางที่ดีอย่าหาเรื่องให้ฉันดีกว่า ไม่เช่นนั้นฉันกับเสี่ยวอี้จะไม่ให้อภัยเธอ!”

พูดจบ เขาก็หมุนร่างออกไปจากบันไดฉุกเฉิน

ภายในห้องบันไดเงียบลง คำพูดของแม่ดังก้องอยู่ในหูของเธอ ไป๋ยิ่งอันใช้มือทั้งสองพยุงที่ราวจับบันได ค่อยๆนั่งลง แล้วล้มนั่งที่ขั้นบันได

เธอรู้ดีว่าเมื่อคืนตัวเองนั้นไม่รู้จักความละอายขนาดไหน ไม่น่าให้อภัยอย่างมาก เธอก็ไม่มีหน้าไปเจอหลินอันหนานเหมือนกัน เธอก้มศีรษะเอาหน้าไปปิดตรงที่ระหว่างหัวเข่า สะอึกสะอื้นออกมาเบาๆ

หลินอันหนานยืนอยู่ด้านหลังเธอสักพัก แล้วเดินมานั่งข้างๆเธออย่างเงียบๆ เห็นว่าไหล่ที่ผอมจนเห็นกระดูกของเธอกำลังสั่น และคอเสื้อที่ถูกฉีกจนยุ่ยก็ค่อยๆไหลลงมา

เขาเอาเสื้อสูทนอกที่ตัวเองแขวนไว้ที่ข้อพับมาตลอดคลุมไปที่ร่างเธอ และยังคงไม่ได้พูดอะไรออกมา

ร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่สักพัก ไป๋มู่ชิงจู่ๆก็พูดออกมาเสียงเบาๆ:“อันหนาน พวกเรายกเลิกงานแต่งกันเถอะ”

หลินอันหนานหันหน้ากลับมา จ้องหน้าด้านข้างของเธอ:“ทำไมล่ะ?”

“ฉันในตอนนี้……คุณยังต้องการอีกเหรอ?” ไป๋มู่ชิงกระพริบตาทั้งสองข้าง:“ความรู้สึกแบบนี้ฉันเคยลิ้มรสมาแล้ว ตอนนั้นตอนที่คุณกับไป๋ยิ่งอันนัวเนียอยู่ด้วยกัน ฉันเห็นแล้วก็คลื่นไส้อยากจะอาเจียน ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณในตอนนี้ดี ฉันที่อยู่ตรงหน้าคุณ ในใจคุณก็คงอยากจะอาเจียนเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”

หลินอันหนานมองหน้าด้านข้างของเธอที่เจ็บปวดเสียใจ ยิ้มเจื่อน:“ตอนนั้นเป็นผมเองที่ผลักคุณไปให้หนานกงเฉิน ขนาดลูกคุณยังเคยมีกับเขาเลย แค่เพิ่มเมื่อคืนอีกครั้งเอง?”

ไป๋มู่ชิงหันกลับมาอย่างตกใจ จ้องมองเขา

นี่เขาต้องการแต่งงานกับเธอต่อ? ทำไมล่ะ!

สายตาของเขาประสานกับเธอ สายตามีความรู้สึกเสียใจอยู่:“ถ้าเมื่อคืนผมไม่ได้ยืนหยัดที่จะไป แต่ยืนหยัดตามใจตัวเองกลับไปที่ข้างบนอีกครั้ง คงไม่เกิดเรื่องแบบนั้นใช่ไหม?”

ไป๋มู่ชิงสะอึกสะอื้น แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ความจริงแล้วเมื่อคืนตอนที่ผมโทรไปหาคุณแล้วไม่ได้รับ ผมใจร้อนรีบวิ่งไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ผมก็คิดอีกว่าบางทีคุณคงหลับไปแล้ว หลังจากนั้นก็วางความคิดที่ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ลง พอมาคิดตอนนี้ เดิมทีผมมีลางสังหรณ์จริงๆ ผมสังหรณ์ใจว่าคุณกับหนานกงเฉินคงเกิดเรื่องนั้นขึ้น เพราะว่าผมเจอเขาเข้าที่ด้านล่าง”

หลินอันหนานส่ายหน้า ยิ้มข่มความเจ็บปวดไว้

“ขอโทษนะ……” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างรู้สึกผิด:“ฉันไม่ได้ตั้งใจ หลังจากที่ฉันรับสายคุณเสร็จไม่ถึงหนึ่งนาทีเขาก็โทรมาหาฉัน เขาบอกว่าเขาไม่สบาย พอฉันได้ยินก็รีบหุนหันออกไป หลังจากนั้น……”

เธอกะพริบตาลง น้ำตาจากนัยน์ตาก็ร่วงไหลลงมา

หลินอันหนานนึกถึงสภาพของหนานกงเฉินเมื่อคืน ดูเขาแล้วไม่เหมือนป่วยเลย แต่กลับเหมือนเมามากกว่า แต่ไม่ว่าจะป่วยหรือเมา ถ้าใจเขาคิดจะต่อต้านมีเหรอจะต้านไม่ไหว?

เขาฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้า:“ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดแล้ว ผมไม่อยากฟัง”

ไป๋มู่ชิงรู้ดีถ้าให้เขาฟังเรื่องแบบนี้มันโหดร้ายมาก ก็ไม่ได้พูดอีก ใบหน้าเล็กๆปิดลงไปที่ระหว่างหัวเข่าอีกครั้งน้ำตาไหลออกมา

ทั้งสองเงียบลงสักพัก หลินอันหนานก็เริ่มพูดก่อนว่า:“กลับกันเถอะ กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ไม่ต้องนั่งอยู่ที่นี่แล้ว”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ขณะที่ลุกขึ้นมาจากพื้นนั้นก็หยิบสูทนอกขึ้นมาด้วย

“เรื่องพิธีแต่งงาน……” หลินอันหนานยิ้ม:“ยังคงจัดตามปกติ เพราะฉะนั้นเธอต้องปรับอารมณ์ของตัวเองให้ได้ เตรียมตัวให้พร้อมที่จะเป็นเจ้าสาวคนใหม่ที่มีความสุขเถอะ”

เขายื่นมือมาลูบที่มุมปากของเธอ:“ไม่มีงานแต่งไหนที่มีคนชอบมองเจ้าสาวที่หน้านิ่วคิ้วขมวดหรอกนะ”

เห็นได้ชัดว่าท่าทางของเขาถือสาแต่กลับแกล้งทำว่าไม่สนใจ ในใจก็รู้สึกผิดต่อเขามากขึ้นไปอีก ตาทั้งสองข้างของเธอจู่ๆก็มีน้ำตาไหลออกมา มองไปที่เขา:“อันหนาน ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

หลินอันหนานมองตาเธอ พยักหน้าให้ยิ้มเล็กน้อย:“ผมเชื่อใจคุณ”

เห็นว่าไป๋ยิ่งอันโมโหท่าทางคล้ายกับคนบ้าเดินไปเดินมาอยู่ที่ห้องผู้ป่วยด้านนอก สวีหย่าหรงอารมณ์ไม่ดี:“ยิ่งอัน ฉันว่าเธอ ทำไมเธอไม่มีประโยชน์ขนาดนั้น? เห็นได้ชัดว่ามีโอกาสอยู่ตรงหน้าเธอนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งเธอก็เป็นคนทำโอกาสนั้นหล่นหายไป”

จังหวะเดินของไป๋ยิ่งอันหยุดลง พูดอย่างอารมณ์ไม่ดี:“แม่ แม่ก็อย่าเพิ่งตำหนิหนูเลย แม่ควรจะไปฉีกไป๋มู่ชิงผู้หญิงต่ำช้าคนนั้นให้เป็นชิ้นๆ!”

“ถ้าให้ฉันดูตามไอคิวของเธอ ฉีกผู้หญิงทั้งโลกให้เป็นชิ้นๆก็คงไม่ได้รับรักจากหนานกงเฉินหรอก”

“แม่……”

“พอแล้วๆ เธอก็ไม่ต้องคิดตามฉันแล้ว แค่เรื่องของพ่อเธอก็ทำให้ฉันปวดหัวพอแล้ว” สวีหย่าหรงปัดป่ายมือมาทางเธอ

ไป๋ยิ่งอันกลับหันไปทางเขาอย่างรวดเร็ว ถามว่า:“แม่ หนูคิดไม่ออก ในสถานการณ์ที่ร่างกายของคุณชายเฉินลำบาก ทำไมยังวิ่งออกไปด้านนอกได้ อีกอย่างยังวิ่งไปไกลถึงสวนเซียงตี แม่ว่าเขาตั้งใจหรือเปล่า?”

สวีหย่าหรงชำเลืองมองเธอ:“เวลาที่ผู้ชายเขามีความต้องการ เขาไม่เรื่องมากหรอก อีกอย่างยังเป็นผู้ชายที่ถูกวางยาอีก”

มันก็จริง อย่าว่าแต่ผู้ชายเลย ขนาดเธอเป็นผู้หญิงก็เหมือนกันตอนที่ร่างกายร้อนดั่งไฟก็ขาดสติ ขาดความสามารถในการแยกแยะ แม้แต่ในอ้อมกอดที่กอดอยู่นั้นไม่ใช่หนานกงเฉินเธอก็ยังไม่รู้เลย

แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ ระแวงว่าทำไมหนานกงเฉินถึงไม่ต้องการเธอ อีกทั้งคนขับรถคนนั้นโผล่มาที่ห้องของเธออย่างเหมาะเจาะ

ท่าทางประหลาดใจและสงสัยนี้ ทำให้ไป๋ยิ่งอันรีบพุ่งออกจากโรงพยาบาลบุกไปยังบริษัทหนานกงกรุ๊ปชั้นบนสุดของตึก

ขณะที่พนักงานหญิงที่เคาน์เตอร์พาเธอไปหาหนานกงเฉินที่ห้องทำงานตามมารยาทนั้น หนานกงเฉินกำลังคุยงานอยู่กับเลขาเหยียน เห็นเธอเข้ามา เลขาเหยียนก็หอบเอกสารบนโต๊ะไปทางเสียงของเธอที่ทักทายมาแล้วหมุนร่างเดินออกไป

ไป๋ยิ่งอันอ้อมโต๊ะทำงานไป แล้วยืนอยู่ตรงหน้าหนานกงเฉินมองลงที่เขาแล้วถามว่า:“เฉิน ฉันถามคุณหน่อย เมื่อคืนสรุปแล้วคุณไปทำอะไรมากันแน่?”

ในครั้งแรกที่หนานกงเฉินเห็นเธอ ก็เดาได้ว่าเธอมาเพราะเรื่องนี้ เขาปิดฝาปากกาในมืออย่างไม่รีบร้อนอะไร หลังจากเอาปากกาที่เซ็นนั้นใส่เข้าไปในที่เสียบปากกาก็ตอบอย่างสบายๆ:“ไม่ได้บอกเธอไปแล้วเหรอ เดิมทีบริษัทมีเรื่องด่วนที่ต้องจัดการ แต่เพราะว่าดื่มเยอะเกินไปรู้สึกว่าทั้งร่างไม่สบายตัว ก็เลยหาที่ใกล้ๆแถวนั้นพักผ่อน”

“คุณมันคนโกหก!เมื่อคืนคุณอยู่กับไป๋มู่ชิงชัดๆ!” เธอพูดแทรกเขาด้วยความโกรธ ซักไซ้อย่างทั้งโกรธทั้งน้อยใจ:“ทำไมคุณต้องไปอยู่กับมัน? หรือว่าคุณโดนมันยั่ว? หรือว่าฉันสวยไม่เท่ามันหุ่นดีไม่เท่ามัน?”

หนานกงเฉินยิ้ม จับมือของเธอแล้วดึงเธอมาบนขาของตัวเอง ฝ่ามือคลุมไปที่ส่วนเว้าโค้งตรงหน้าอกของเธอ:“คุณผู้หญิง หุ่นคุณดีกว่าเขาเยอะเลย”

“คุณ!คุณยอมรับแล้วใช่ไหมว่าเมื่อคืนอยู่กับมัน?” ไป๋ยิ่งอันถูกทำให้โกรธจัด

“ใช่ครับ เหล้าของพ่อคุณในช่วงสุดท้ายออกฤทธิ์เต็มที่เกินไป ผมรอกลับไปเจอคุณไม่ไหว ทำได้แค่หาร่างกายใครสักคนมาแก้ไขปัญหานี้”

“คุณไปหามันได้ยังไง?”

“เขาพักอยู่ข้างห้องผม ไม่งั้นผมจะหาใครได้อีก?” หนานกงเฉินจู่ๆก็ใช้ฝ่ามือโอบหน้าของเธอ สังเกตเธอ:“จริงสิ เมื่อคืนคุณก็ดื่มไปไม่น้อย คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ทั้งตัวร้อนเหมือนถูกไฟเผา นึกถึงแต่เพศตรงข้ามอย่างบ้าคลั่งเหมือนผมหรือเปล่า?”

“ฉะ……ฉันไม่มีหรอก” ไป๋ยิ่งอันหันหน้ากลับไปด้วยความหวาดผวา

เดิมทีความโกรธและอยากจะตำหนิในใจ จู่ๆก็ถูกเขาสกัดด้วยประโยคนั้น

เธอที่ตอนนี้ทั้งตัวมีแต่ตราประทับ แม้แต่ความมั่นใจที่จะตำหนิหนานกงเฉินก็ยังไม่มีเลย

“งั้นเหรอ? คงเป็นเพราะภรรยาของผมคอแข็ง” หนานกงเฉินปล่อยมือลงจากใบหน้าเล็กๆ:“เอาล่ะ เชื่อผมกลับไปพักผ่อนเถอะ ผมยังมีงานอีกนะ”

“เฉิน พ่อฉันป่วย” ไป๋ยิ่งอันมองเขาด้วยความน้อยใจเป็นอย่างมาก

หนานกงเฉินอ้าปากแกล้งทำว่าตกใจ:“งั้นเหรอ? ทำไมจู่ๆก็ป่วยล่ะ? ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม?”

“ก็คงเป็นโรคของคนแก่น่ะสิ เมื่อเช้าเป็นลมล้มลงในห้องประชุม” มือทั้งสองของไป๋ยิ่งอันโอบไปที่ต้นคอของเขา:“ฉันได้ยินมาว่าหนี้ที่บริษัทต้องชำระนั้นเกิดปัญหาใหญ่ขึ้น ขาดอยู่ประมาณไม่กี่พันล้าน”

“อืม เรื่องนี้ผมได้ยินมาแล้ว รู้สึกว่าล้มเหลวมาจากการเก็บภาษี แล้วยังถูกลูกค้ารายใหญ่ยกเลิกสัญญาอีก”

“ฉันได้ยินแม่ฉันพูดแบบนี้เหมือนกัน เรื่องในวงการธุรกิจฉันไม่เข้าใจ และฉันก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่……” ไป๋ยิ่งอันจ้องไปที่เขาพูดพร้อมอ้อนวอน:“เฉิน บริษัทเป็นน้ำพักน้ำแรงของพ่อฉันทั้งชีวิต ถ้าล้มละลายไปเขาคงทนไม่ไหวแน่ๆ ขาดเงินทุนเยอะขนาดนี้คงมีแค่คุณที่ช่วยเขาได้ ฉันขอร้องให้คุณช่วยเขาหน่อยได้ไหม?”

หนานกงเฉินมองเธอ เผลอหัวเราะออกมาแล้วส่ายหน้า:“ที่รัก ทั้งหมดหนึ่งพันหกร้อยล้าน ขนาดธนาคารยังช่วยเขาไม่ได้เลย ผมจะไปมีความสามารถนั้นได้ยังไง?”

“ด้านกำลังทรัพย์ของบริษัทหนานกงกรุ๊ปเพียบพร้อมขนาดนั้น จะช่วยไม่ได้ได้ยังไงล่ะ” ไป๋ยิ่งอันยังอ้อนต่อไป:“เฉิน คุณก็ช่วยเขาหน่อยสิ ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นพ่อตาของคุณนะ”

เมื่อกี้ตอนที่สวีหย่าหรงคุยเรื่องนี้กับเธอ ก็ให้เธอมาหาหนานกงเฉิน ดูว่าเขาสามารถออกแรงช่วยได้ไหม เดิมทีเธอตั้งใจไว้ว่าจะรออีกสักวันสองวันค่อยหาโอกาสเหมาะๆพูด แต่ก็กลัวว่าบริษัทจะรอไม่ไหว

หนานกงเฉินไตร่ตรองสักพัก ก็พยักหน้า:“วางใจเถอะ ผมจะช่วยดูให้เอง”

“ขอบคุณนะคะ!ไป๋ยิ่งอันดีอกดีใจ”

“ขอบคุณอะไรกัน คุณพูดถูกแล้ว เขาเป็นพ่อตาของผม ผมมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเขาออกมาจากปัญหานี้ให้เร็วที่สุด” หนานกงเฉินใช้มือลูบไปที่คางของเธอ:“ตอนนี้กลับได้แล้วใช่ไหม? ผมมีงานต้องทำจริงๆ”

พักอยู่ที่ห้องไอซียูหนึ่งวัน ในที่สุดเสี่ยวอี้ก็ถูกส่งไปยังห้องผู้ป่วยธรรมดา

ตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย จูฮุ่ยจับมือของเสี่ยวอี้แล้วร้องไห้ตลอดทาง ไป๋มู่ชิงยืนอยู่ด้านข้าง อย่างกับเด็กที่ทำความผิดมา

วันนี้ทั้งวัน แม่ไม่แม้แต่จะสนใจเธอ ไม่พูดกับเธอ และไม่ทานอาหารที่เธอซื้อมา อย่างกับว่าผู้หญิงไร้ยางอายอย่างเธอออกไปขายบริการทั้งคืนจริงๆ

ช่วงอาหารค่ำ ในที่สุดเสี่ยวอี้ก็ฟื้นขึ้น เขามองแม่กับพี่สาวแล้วร้องเรียกอย่างไม่มีแรง

ไป๋มู่ชิงสูดจมูก เดินไปที่เตียงอีกฝั่งหนึ่งแล้วยื่นมือมาจับมือของเขา ยิ้มเล็กๆ:“เสี่ยวอี้ หิวไหม? พี่จะไปซื้ออะไรมาให้ทาน”

เสี่ยวอี้ส่ายหน้า จูฮุ่ยกลับดึงมือของเสี่ยวอี้จากมือของไป๋มู่ชิงกลับมา เหมือนจะขับไล่เธอ:“เธอห้ามแตะต้องตัวเสี่ยวอี้”

ไป๋มู่ชิงถูกเขาไล่แบบนี้ มือหยุดชะงักกลางอากาศ อดไม่ได้ที่จะเสียใจ

“แม่ แม่อย่าทำอย่างนี้เลย” เสี่ยวอี้ขมวดคิ้วมองไปจูฮุ่ยอย่างไม่สบายใจ:“พี่เขยบอกไว้แล้ว ผมต้องทำให้พี่มีความสุขทุกวัน ขอแค่พี่มีความสุข ในวันแต่งงานถึงจะกลายเป็นเจ้าสาวที่มีความสุขที่สุดในโลก”

เสี่ยวอี้พูดแล้วหันไปทางไป๋มู่ชิง:“เพราะฉะนั้น พี่ต้องมีความสุขนะ”

จูฮุ่ยมองไปที่ไป๋มู่ชิง ไม่ได้พูดอะไร

ไป๋มู่ชิงจับมือเสี่ยวอี้อีกครั้ง:“เสี่ยวอี้เธอต้องรีบหายนะ ถ้าเธอไม่รีบหายพี่ก็จะไม่มีความสุข และคงไม่ได้เป็นเจ้าสาวที่มีความสุขที่สุดในโลก”

“โอเคฮะ ผมจะรีบหายให้เร็วที่สุด” เสี่ยวอี้พยักหน้าตอบรับ

“พอแล้ว ให้เสี่ยวอี้ได้พักผ่อนเถอะ” จูฮุ่ยจับมือของเสี่ยวอี้:“เสี่ยวอี้ เธออย่าเพิ่งพูดอะไรเยอะ ตั้งใจพักผ่อนอาการจะได้ดีขึ้นเร็วรู้ไหม?”

“รู้แล้วฮะ” เสี่ยวอี้พยักหน้าอย่างว่าง่าย

เสี่ยวอี้หลับตาพักผ่อน จูฮุ่ยเดินออกมาจากเตียงผู้ป่วยไปที่ระเบียง

ไป๋มู่ชิงรู้สึกได้ว่าเขาทั้งวันมานี้นอกจากโกรธแล้วอารมณ์ก็ไม่คงที่อีกด้วย หลังจากที่เมื่อตอนบ่ายเจอกับไป๋จิ้งผิงก็รู้สึกว่าเขาผิดปกติไป

หลังจากที่เธอลังเลใจอยู่สักพักก็เดินไปที่ข้างๆเขา อยากจะปลอบใจเขาแต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง

ในที่สุดจูฮุ่ยก็เป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนอย่างตรงไปตรงมา:“มู่ชิง อย่าโทษว่าแม่พูดจาไม่น่าฟังเลยนะ สวีหย่าหรงกับไป๋ยิ่งอันไม่ใช่คนที่เธอจะสามารถยั่วยุให้ก่อเรื่องได้ พวกเราทำได้แค่ออกห่างให้ไกลมากที่สุดยิ่งไกลยิ่งดี โดยเฉพาะผู้ชายของครอบครัวพวกเขา”

“แม่ หนูรู้” ไป๋มู่ชิงพูดต่อ:“หลังจากที่หนูกับอันหนานแต่งงานกันวันมะรืนนี้ก็จะย้ายออกมาจากเขตเซียงตี หลังจากนั้นก็คงจะไม่เจอกับหนานกงเฉินอีกแล้ว เมื่อคืน……เมื่อคืนเป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิด หนูไม่ได้ตั้งใจ”

เธออยากจะอธิบายว่าเมื่อคืนตนเองนั้นถูกบังคับ กลับไม่รู้ว่าควรจะอธิบายยังไงดี ยังไงซะเรื่องแบบนี้ถ้ายิ่งอธิบายก็ยิ่งยุ่งยาก ไม่มีใครเชื่อหรอก

“เรื่องเมื่อคืนที่จะไม่ให้เกิดขึ้นก็ดันเกิดขึ้นแล้ว” จูฮุ่ยพูดอย่างเสียใจ:“ก็ต้องโทษฉันเหมือนกัน ที่ทำให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นใกล้ตัวตัวเอง”

เขาพูดจบ ก็ถอนหายใจ:“พิธีแต่งงานยังคงดำเนินงานตามเดิม ฉันว่าคงมีแค่แต่งงานนี่แหละ เธอถึงจะเปลี่ยนความคิดแล้วใช้ชีวิตแต่ละวันไป จำไว้นะ อย่าคิดว่าหลินอันหนานอยู่ฝั่งเธอแล้วเธอจะอยากได้อะไรก็ได้ ทุกคนล้วนมีขีดจำกัด ถ้ารอให้เธอยั่วโมโหเขาเข้าจริงๆสักวัน คาดว่าจะเสียใจก็คงไม่ทันแล้ว”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ยังคงไม่ค้านอะไรเหมือนเดิม

จูฮุ่ยถอนหายใจอีกครั้ง:“การผ่าตัดของเสี่ยวอี้รออยู่ ห้ามทำให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้นอีกเด็ดขาด”

คำพูดของแม่นี้ ทำให้ในใจของไป๋มู่ชิงสว่างขึ้นชั่วพริบตา

ก่อนหน้านี้ก็ตำหนิตนเองตลอดว่าเอาแต่เตรียมงานแต่งงานไม่สนใจแม่กับเสี่ยวอี้ วันนี้กลับควบคุมเธอให้ตั้งใจทำงานแต่งงานให้เสร็จ และจุดประสงค์ก็เพื่อเสี่ยวอี้

เสี่ยวอี้……

ไป๋มู่ชิงยิ้มออกมาอย่างเจ็บปวด จริงสิ ในเมื่อเพื่อเสี่ยวอี้เธอก็ควรตั้งใจเตรียมงานแต่งของตัวเอง ตั้งใจคบหากับหลินอันหนาน

“หนูเข้าใจแล้ว” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“หนูจะทำให้เสี่ยวอี้ดีขึ้นอย่างแน่นอน”

ไป๋ยิ่งอันนั่งอยู่ด้านหน้าเตียงผู้ป่วยของไป๋จิ้งผิง เห็นว่าเขาหน้าตาโศกเศร้าก็เลยปลอบใจ:“พ่อ พ่อไม่ต้องร้อนใจ คุณชายเฉินรับปากแล้วว่าจะช่วยบริษัทให้ผ่านอุปสรรคนี้ไปได้”

“ใช่แล้ว พวกเราอุตส่าห์ลำบากให้ไป๋ยิ่งอันแต่งเข้าตระกูลหนานกง ก็ไม่ใช่เพื่อวันนี้หรอกเหรอ?” สวีหย่าหรงพูดคล้อยตามอยู่ข้างๆ

ไป๋จิ้งผิงหันหน้ากลับมาอย่างเงียบๆ จ้องที่ไป๋ยิ่งอัน:“คุณชายเฉินรับปากแล้วจริงๆเหรอ?”

“อืม”

“แต่ว่ากำลังทรัพย์ของบริษัทขาดเยอะมากขนาดนี้ เขาจะยินดีช่วยได้ยังไง”

“อย่าลืมสิ ทรัพย์สมบัติของตระกูลหนานกงพอรวมกันแล้วเยอะกว่าทรัพย์สมบัติของเมืองซีเสียอีก” ไป๋ยิ่งอันยิ้มเบาๆ:“อีกอย่างเขาก็เป็นลูกเขยของพ่อ เขาไม่ช่วยแล้วใครจะช่วย?”

ไป๋จิ้งผิงพยักหน้า วางใจได้นิดหน่อย

เดิมทีเขาก็ตั้งใจว่าจะไปหาหนานกงเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่เขารู้จักนิสัยของหนานกงเฉินดี ปกติแล้วไม่ค่อยยื่นมือเข้ามาช่วยหรอก ครั้งนี้พอได้ยินไป๋ยิ่งอันพูดแบบนี้ ในใจก็รู้สึกมั่นคงได้นิดหน่อย

เพราะข่าวดีที่ไป๋ยิ่งอันนำมา สภาพอารมณ์ของไป๋จิ้งผิงก็ดีขึ้น ร่างกายก็ดีขึ้นไม่น้อย เรื่องแรกที่เขาจะทำหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล เขาจะตรงไปยังบริษัทหนานกงกรุ๊ป

ขณะที่เลขาเหยียนมาบอกหนานกงเฉินว่าไป๋จิ้งผิงมาขอเข้าพบ หนานกงเฉินกำลังเอาปากกาเซ็นชื่อหมุนเล่นอยู่ในมือ ไตร่ตรองสักพักก็พูดออกไป:“ให้เขาเข้ามาเถอะ”

“ค่ะ” เลขาเหยียนปะทะสายตากับเลขาสาวที่ประตูห้อง เลขาสาวก็ถอยออกไป

หลังจากที่เลขาเหยียนสังเกตบนโต๊ะทำงานของหนานกงเฉิน ก็ทนไม่ไหวตอนออกมาหนึ่งประโยค:“คุณชายเฉิน อย่าเล่นใหญ่เกินนะคะ ระวังด้วยว่าจะเล่นตัวเองจนยากจะถอนตัวออกมา”

หนานกงเฉินหัวเราะเยาะ:“ในสายตาคุณ ผมเป็นคนโง่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ความจริงที่ฉันอยากจะพูดก็คือ บางครั้งคนเราก็โดนความฉลาดเล่นงานได้นะคะ”

“วางใจเถอะ ผมว่าผมมีน้ำหนักในการพูดพอ”

“งั้นก็ดีค่ะ” เลขาเหยียนพยักหน้า หมุนร่างแล้วเดินออกจากห้องทำงานของเขา

พอเลขาเหยียนเดินออกไป ไป๋จิ้งผิงที่แต่งตัวเป็นทางการก็เข้ามาโดยการนำของเลขาสาว

หนานกงเฉินต้อนรับเขาพาไปนั่งที่โซฟา สังเกตว่าเขาดูซูบลงไปไม่น้อย ก็รีบตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความรู้สึกผิดออกมา:“ร่างกายคุณพ่อตาสบายดีแล้วใช่ไหมครับ? ทำไมถึงออกจากโรงพยาบาลเร็วนักล่ะ?”

“ไม่เป็นอะไร ก็แค่โรคของคนแก่ที่เห็นได้ทั่วไป” ไป๋จิ้งผิงหัวเราะเหอะๆ

“ไม่เป็นอะไรงั้นก็ดีครับ ผมยังคิดอยู่เลยว่าอีกสักพักจะเข้าไปเยี่ยมคุณที่โรงพยาบาล”

“คุณชายเฉินมีน้ำใจนัก” ไป๋จิ้งผิงยิ้มอย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง

“คุณพ่อตา ครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็นต้องระมัดระวังตัวมากขนาดนี้ก็ได้ครับ” หนานกงเฉินนั่งพิงไปยังด้านหลังของโซฟา หน้าตาอมยิ้ม:“มีเรื่องอะไรก็พูดตรงๆเถอะครับ”

ตัวเองอาวุโสกว่าเขาชัดๆ แต่ดูบนใบหน้าเขาที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มนั่น ในความสง่าก็เผยความรู้สึกเย็นชาออกมา ไป๋จิ้งผิงยังคงตื่นเต้นที่ทำอะไรไม่ได้

ครู่ใหญ่ เขาถึงพูดอย่างลังเล:“คุณชายเฉินก็น่าจะได้ยินมาบ้างแล้วใช่ไหม? ช่วงนี้ธุรกิจของตระกูลไป๋มีปัญหานิดหน่อย……”

“อืม ได้ยินมาแล้วครับ หนีภาษีเลี่ยงภาษีจากการตรวจสอบความจริงของกรมสรรพากรติดต่อกันมาห้าปี ได้รับผลกระทบด้านลบแบบนี้ ราคาหุ้นของบริษัทตกลง แล้วยังทำให้ลูกค้าที่กำลังติดต่อและติดต่อได้แล้วฉีกสัญญากลางคันอย่างรวดเร็วอีกด้วย โครงการที่กำลังจะเปิดก็กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตที่ต้องหยุดการทำงาน” ขณะที่หนานกงเฉินพูดข้อมูลพวกนี้ก็ใช้น้ำเสียงที่สบายๆ

“ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบริษัทยิ่นเทียนนั่นทำจนพัง ต้องเป็นเขาแน่นอน!” ไป๋จิ้งผิงพูดออกมาเต็มไปด้วยความโกรธ

“เหรอ?”

“ตอนนี้ลูกค้าของบริษัทฉันถูกเขาแย่งไปหมดแล้ว เขาต้องวางแผนมาก่อนแล้วอย่างแน่นอน ไปรายงานฉันต่อทางการกรมสรรพากรก่อน หลังจากนั้นก็มาบอกฉันเรื่องผลกระทบด้านลบ สุดท้ายก็แย่งลูกค้าของฉันไป ตอนนี้ก็คิดว่าซื้อบริษัทของฉันอีก”

“คุณพ่อตายังคงฉลาดเหมือนเดิมนะครับ”

“จุดเล็กๆบางทีคนอื่นก็มองไม่ออก แต่ถ้าเป็นคู่กรณีฉันเข้าใจอย่างมาก”

“ผมเชื่อครับ” หนานกงเฉินยิ้มเล็กน้อย:“ผมเชื่อในความฉลาดหลักแหลมและความสามารถในการทำงานแต่ละด้านของคุณพ่อตา”

ไป๋จิ้งผิงถูกเขาชมก็ได้แต่ยิ้มแห้งอย่างไม่เป็นตัวเอง ไม่รอให้เขาพูด หนานกงเฉินก็พูดต่อ:“โดยเฉพาะด้านการอบรมในครอบครัว ลูกสาวทั้งสองคนที่อยู่ภายใต้การอบรมของคุณพ่อตานั้นอบรมสั่งสอนได้ฉลาดหลักแหลม รู้จักคิดมากกว่าลูกสาวบ้านอื่นเสียอีก”

“หา……” ไป๋จิ้งผิงมึนงง แล้วรีบหัวเราะใหญ่:“คุณชายเฉินชมเกินไปแล้ว”

“แต่ลูกสาวคุณสองคนนั้น……” หนานกงเฉินส่ายหน้า:“ผมไม่ชอบ”

“หมายความว่ายังไง?”

“หมายความว่าลูกสาวของคุณพ่อตาทั้งสองคนผมเบื่อแล้ว แต่ผมหนานกงเฉินมีหลักการอยู่ ผู้หญิงที่เบื่อแล้วปกติก็จะไม่ให้เธออยู่บนโลกนี้ได้อีก” หนานกงเฉินจุดบุหรี่มวนนึงอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ แล้วหยิบกระปุกยาเล็กๆที่อยู่ด้านล่างโต๊ะยื่นไปให้ไป๋จิ้งผิงที่กำลังแปลกใจ:“ท่านประธานไป๋ถ้าสามารถเอายาขวดนี้กลับไปให้ลูกสาวของคุณทั้งสองให้ทานหนึ่งคนต่อหนึ่งเม็ดได้ ผมก็จะมัดรวบไป๋ซื่อกับยิ่นเทียนส่งไปให้คุณภายในระยะเวลาสั้นๆเลย”

ไป๋จิ้งผิงมองกระปุกยาบนโต๊ะ แล้วมองหนานกงเฉินที่ยังคงมีรอยยิ้มอยู่ อ้าปากพูด:“คุณชายเฉิน……คุณ……คุณกำลังพูดอะไรน่ะ?”

หนานกงเฉินสูบบุหรี่เข้าไปเบาๆ แล้วค่อยๆปล่อยออกมา:“เมื่อกี้ผมพูดชัดแล้ว ผมเชื่อว่าท่านประธานไป๋ก็คงได้ยินชัดแล้วเช่นกัน”

“คุณกำลังล้อเล่นใช่ไหม?” ไป๋จิ้งผิงตกใจอย่างมาก รีบถามอย่างไม่รู้ตัว

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเขาอีก เหมือนกับว่ากำลังให้เวลาเขาทำความเข้าใจ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท