เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 196 ผลักเธอลงจากตึก

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หลังจากออกมาจากห้องของหนานกงเฉิน จูจูก็อยู่ในสภาพที่ยังคงตกใจกลัว ถึงแม้ว่ารอยฟันกัดบนไหล่จะเป็นแค่เพียงรอยถลอกเล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่หนานกงเฉินกอดและกัดเธอเมื่อครู่มันทำให้เธอยังคงรู้สึกหวาดกลัว

ก่อนหน้านั้นหนานกงเฉินเคยบอกกับเธอว่าตอนที่อาการป่วยของเขากำเริบนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมาก เธอยังคิดว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้างที่เขายกขึ้นมาอ้างเพียงเท่านั้น วันนี้เธอได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว ท้ายที่สุดเธอก็เชื่อว่าเขาไม่ได้โกหกเธอแม้แต่น้อย ตอนที่อาการป่วยของเขากำเริบนั้นมันน่ากลัวมากจริงๆ!

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู เธอก็รีบย่อตัวลงและจ้องมองไปยังประตูด้วยความตื่นตระหนก

คุณหญิงเดินเข้ามาพร้อมกับพี่เหอและมองใบหน้าซีดเซียวของเธอบนเตียง “ดูเธอกลัวมากจนหน้าซีด”

“คุณย่า … ” จูจูเสียใจทั้งน้ำตา

“โอเค ไม่เป็นไร นอนได้แล้ว” หลังจากที่คุณหญิงพูดจบ เธอก็หันไปถามผู่เหลียนเหยาที่อยู่ข้างๆ กัน”อาการบาดเจ็บของพี่สะใภ้เธอเป็นยังไงบ้าง?

“อาการบาดเจ็บไม่ร้ายแรง แต่หวาดกลัวมากค่ะ”

“มีอะไรจะต้องร้องไห้ล่ะ บาดเจ็บแค่นี้ก็รับไม่ได้แล้วต่อไปจะใช้ชีวิตกับเฉินยังไง”คุณหญิงส่ายหัว “เธอดูไป๋มู่ชิงสิ ถูกกัดมือจนเละเทะ ยังไม่เคยเห็นน้ำตาของเขาสักหยด ”

“อย่าพูดถึงไป๋มู่ชิงต่อหน้าฉัน! ” จูจูก็ตะโกนอย่างเหลืออด

คุณหญิงแทบจะเป็นใบ้เมื่อถูกผู้น้อยตะโกนใส่หน้าครั้งแรกในชีวิต

จูจูสำนึกได้ในทันทีและคลานไปหาคุณหญิง “ขอโทษนะคะคุณย่า ฉันไม่ได้ตั้งใจตะคอกใส่ ฉันแค่ … ”

“ฉันเข้าใจ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว นอนพักผ่อนเถอะ” คุณหญิงกดมือของเธอลง ด้วยฐานะของเธอในตอนนี้เป็นถึงคู่ครองของหนานกงเฉิน จึงทำได้แค่เพียงอภัยให้เธอ

“ขอโทษค่ะ ฉันแค่กลัว … ” จูจูยังคงขอโทษ

ผู่เหลียนเหยายิ้มและกล่าวว่า “พวกเราเป็นแค่มนุษย์ที่มีเลือดมีเนื้อ โดนพี่ชายกัดขนาดนี้ก็ต้องกลัวเป็นเรื่องธรรมดา พี่สะใภ้อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ คุณย่าก็ให้อภัยคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะ?”

จูจูเหลือบมองเธออย่างซาบซึ้ง จากนั้นก็มองไปที่ใบหน้าของคุณหญิง จากนั้นก็นอนลงบนเตียงด้วยความสบายใจ

วันรุ่งขึ้นหนานกงเฉินตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เขายืนอยู่ที่หน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานและนึกถึงเรื่องเมื่อคืนหลังจากกลับมาที่ห้องนอน ความทรงจำก็ถูกปะติดปะต่อเป็นภาพเคลื่อนในสมองของเขา เขาฟังคำพูดจากเฉียวซือเหิงกับคุณหนูอีให้ปล่อยวางอดีต เห็นความสำคัญของคนตรงหน้า ดังนั้นจึงบังคับจูบจูจูอย่างไม่เต็มใจ

ในความเป็นจริงตอนนั้นเขารู้สึกแย่เป็นอย่างยิ่งแต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์หรือเพราะความเสียใจ เมื่อได้ยินประโรคนั้นที่จูจูพวกว่ารอให้คุณกลับมาก่อน เขาจึงเหมือนโดนสะกิดเข้าที่ในใจ

เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ใบหน้าของหนานกงเฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ก้าวไปยังห้องนอนตรงข้าม

เมื่อเขาเดินเข้าไปจูจูก็ลุกขึ้น ในเวลานี้เธอนั่งอยู่บนเตียงด้วยดวงตาสีแดงและผ้าโปร่งบนไหล่ที่เปลือยเปล่าของเธอด้วยท่าทางที่น่าสงสาร

เมื่อเห็นหนานกงเฉิน น้ำตาในดวงตาของเธอก็ไหลริน

หนานกงเฉินเดินไปพร้อมกับความรู้สึกผิดบนใบหน้าของเขา “คุณสบายดีไหม โดนฉันทำร้ายหรือเปล่า บาดเจ็บหนักไหม?” ในขณะที่พูดเขานั่งลงและมองไปที่เธอ “ให้ฉันดูหน่อยว่าเจ็บที่ตรงไหน?”

จูจูยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาออกจากดวงตา จ้องมองเขาด้วยสีหน้าเศร้า “ฉันเจ็บตรงไหนไม่สำคัญหรอกค่ะ ฉันไม่สนใจ และจะไม่ทิ้งคุณไปเพราะเหตุนี้ เฉิน … ที่ฉันรู้สึกแย่ก็คือตอนที่กัดคุณตะโกนชื่อไป๋มู่ชิง คุณเข้าใจความรู้สึกของฉันตอนนั้นไหม ให้ฉันตายซะยังดีกว่า! ”

น้ำตาไหลรินมากขึ้นและเธอยังคงบ่นอย่างเศร้า ๆ “ฉันเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าฉันต้องรับผิดชอบต่อการตายของมู่ชิง แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจ แต่คุณไม่เชื่อฉันและปฏิเสธที่จะรักฉัน ถึงคุณจะเสียใจที่สุด คุณก็ยังโทษฉันที่บังคับให้เธอตาย เฉิน … คุณต้องการให้ตายเพื่อชดใช้บาปให้เธอคุณถึงจะพอใจและยอมให้อภัยฉันใช่ไหม?”

“ใช่ ฉันทำไม่ได้เหมือนมู่ชิง ที่โดนคุณกัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ไม่มีแม้น้ำตาสักหยด เมื่อคืนคุณเกือบจะฆ่าฉันตาย ที่ฉันร้องไห้กรีดร้องนั่นมันไม่ใช่ปฏิกิริยาตอบสนองโดยสัญชาตญาณของมนุษย์เหรอคะ? โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้หญิงที่อ่อนแออย่างฉัน หากคุณใช้มาตรฐานนี้เพื่อตัดสินว่าผู้หญิงคนนี้ควรรักหรือไม่ เช่นนั้นคุณก็ถูกกำหนดให้อยู่คนเดียวในชีวิตไปตลอดชีวิต เพราะบนโลกใบนี้คุณไม่สามารถหาไป๋มู่ชิงคนที่สองเจอหรอก”

ใช่ ไม่มีไป๋มู่ชิงคนที่สองบนโลกใบนี้

หนานกงเฉินมองไปที่เธอและส่ายหัวเป็นเวลานานก่อนที่จะพูดว่า “ไม่ ฉันไม่ได้วัดคุณด้วยมาตรฐานนี้ และฉันไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิคุณมีเพียงความรู้สึกผิด” เขาหยุดชั่วคราวและพูดต่อ ” จู ขอโทษที เมื่อคืนฉันควบคุมตัวเองไม่ได้จึงทำร้ายคุณ ครั้งต่อไปฉันจะระวังกว่านี้ ฉันจะไม่ … ”

“เฉิน …! ” จูจูกอดเขาอย่างรีบร้อนและส่ายหัวบนไหล่ของเขา “ฉันบอกว่าฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะตำหนิคุณ ฉันก็แค่กลัวที่คุณเป็นแบบนี้ ฉันหวังแค่ว่าในใจของคุณนะมีแค่ฉัน พวกเราจะสร้างอนาคตด้วยกัน ข้ามผ่านคืนที่ยากลำบากนี้ไปด้วยกัน ฉันขอแค่ให้ในใจคุณมีฉันก็พอแล้ว …

เธอไม่สามารถปล่อยให้เขาพูดคำว่า ‘ครั้งต่อไปให้อยู่ห่างจากเขา’ คำพูดทำนองนี้ไม่ได้เธอจะยอมแพ้ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ เพราะประสบการณ์อันเลวร้าย เธอเชื่อเสมอว่าวันหนึ่งเธอจะได้รับประสบการณ์กับเขาเช่นเดียวกับไป๋มู่ชิง

หากหนานกงเฉินให้เธอแยกตัวออกไปเพียงเพื่อไม่ให้โดนทำร้าย เช่นนั้นเธอก็จะไม่มีโอกาสใกล้ชิดเขา

เธออยู่ใกล้เขามาก จนถึงขนาดหนานกงเฉินยังสามารถได้กลิ่นยาที่ไหล่ของเธอ

หัวใจของเขาไม่ได้ทำจากเหล็กและหิน หลังจากที่ทำร้ายเธอแล้วยังทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไรเขาหายใจเข้าเขาตบไหล่เธอแล้วพูดว่า “ฉันขอโทษ ครั้งหน้าจะไม่เป็นแบบนี้อีก”

“จริงๆ เหรอคะ? ”

“ใช่” เขาปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนและมองไปที่เธอแล้วพูดว่า “นอนพักผ่อนเถอะ”

จูจูพยักหน้าและรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

เธอกลัวว่าหนานกงเฉินจะผิดหวังหลังจากรู้ปฏิกิริยาของเธอเมื่อคืนนี้และจะเปรียบเทียบเธอกับไป๋มู่ชิงเหมือนกับคุณหญิง โชคดีที่หนานกงเฉินไม่ทำเช่นนี้และรู้สึกเสียใจที่ได้รับบาดเจ็บด้วยซ้ำ เมื่อเห็นหนานกงเฉินเป็นเช่นนี้ ในที่สุดเธอก็โล่งใจ

ไป๋มู่ชิงโทรหาเลขาเหยียนและถามเธอว่าวันนี้หนานกงเฉินมีเวลาอ่านต้นฉบับหรือเปล่าเลขาเหยียนตอบว่าหนานกงเฉินไม่สบายและไม่มาทำงาน

ไม่สบายงั้นเหรอ? เห็นๆ อยู่ว่าเมื่อคืนตอนที่ไปส่งเธอก็ยังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่เหรอ?

“คุณชายเฉินเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” เธอถามด้วยความกังวล

“เมื่อคืนอาการป่วยของเขากำเริบน่ะค่ะ ตอนเช้าจะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ตอนบ่ายถึงจะเข้าบริษัทค่ะ”

“ป่วยเหรอ ป่วยเป็นโรคอะไรเหรอคะ? ” ไป๋มู่ชิงถามอย่างสงสัยหนานกงเฉินก็ดูปกติ แข็งแรงดีนะ

ที่ผ่านมาเธอจะไม่ถามคำถามอื่น หลังจากรู้เรื่องที่เขากังวลเมื่อคืนเธอก็เริ่มให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัวของเขามากขึ้น ในอีกด้านหนึ่งเลขาเหยียนเงียบเห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการบอกเธอเกี่ยวกับอาการของหนานกงเฉิน

เมื่อรู้ตัวว่าเธอกำลังเสียมารยาท ไป๋มู่ชิงจึงรีบขอโทษและกล่าวว่า “ขอโทษค่ะ เพราะเมื่อคืนฉันเห็นว่าคุณชายเฉินยังสบายดีอยู่ดังนั้นก็เลยรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย เลขาเหยียนโปรดให้อภัยด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เลขาเหยียนตอบ

ไป๋มู่ชิงกล่าวขอบคุณ ‘อืม’ และเปลี่ยนคำพูด “งั้นฉันจะส่งต้นฉบับให้วันหลังนะคะ”

“ค่ะ”

“ลาก่อนค่ะ เลขาเหยียน”

ไป๋มู่วางสายโทรศัพท์เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าท่านประธานจางยืนอยู่ตรงหน้าเธอเธอถามอย่างสุภาพว่า “ท่านประธานจาง มีอะไรธุระอะไรหรือเปล่าคะ? ”

“ไม่มีอะไร แค่อยากถามว่าเมื่อคืนคุณถึงบ้านกี่โมง ได้ยินว่าแถวกวานจิ่งรถติดมาก”

“ใช่ค่ะ รถติดตั้งแต่สามทุ่มจนถึงเที่ยงคืน กว่าฉันจะถึงบ้านก็เที่ยงคืนครึ่งค่ะ”

“คุณออกจากบ้านพักวิลล่ากวานจิ่งเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ?” ท่านประธานจางรู้สึกประหลาดใจ ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น

“คุณสองคนไปแล้ว แล้วพวกเราจะอยู่ที่นั่นต่อไปทำไมคะ?” ไป๋มู่ชิงถามกลับ

“ก็นั่นสินะ …” ท่านประธานจางจากไปด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ผิดหวังเล็กน้อยในใจปรากฏว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซึ่งน่าผิดหวังจริงๆ

ในช่วงบ่ายหนานกงเฉินมาที่บริษัทและเข้าไปในห้องประชุม หลังจากออกมาจากห้องประชุม เลขาเหยียนรินน้ำให้เขาหนึ่งแก้วแล้วจ้องมองเขาและกล่าวว่า “คุณชายเฉิน คุณหนูอีโทรมาเมื่อเช้านี้ ถามว่าคุณจะมีเวลาดูแบบร่างเมื่อไหร่?”

หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอจากนั้นก็ลดตาลงอีกครั้งและพูดว่า “ต่อไปการดูแบบร่างยกให้เป็นหน้าที่ของคุณ ไม่ต้องเอามาให้ฉันแล้ว”

เลขาเหยียนประหลาดใจและมองไปที่เขา”มีอะไรเหรอคะ คุรชายเฉิน เมื่อคืน … อาหารเย็นไม่ถูกใจเหรอคะ? ”

“ไม่ใช่” หนานกงเฉินส่ายหัว

“แล้วคุณ … หมายความว่าอย่างไร คุณตั้งใจจะไปเจอคุณหนูอีไม่ใช่เหรอคะ?” เลขาเหยียนกลัวว่าเขาจะไม่มีความสุขจึงพูดว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้นละก็ฉันจะจัดการให้ค่ะ ”

หนานกงเฉินเงียบไปชั่วขณะและพยักหน้า “อืม ไม่ต้องเจอแล้ว”

“คุณชายเฉินคิดดีแล้วค่ะ” เลขาเหยียนไม่ได้ถามอะไรมาก

ในความเป็นจริงเธอไม่ได้สนับสนุนการทำเช่นนี้ของหนานกงเฉิน ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ใช่ไป๋มู่ชิงและไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น

หลังจากเลขาเหยียนออกไป หนานกงเฉินก็หายใจเข้าลึก ๆ เอนร่างที่เหนื่อยล้าของเขาที่ด้านหลังของเก้าอี้แล้วหลับตาลงเบา ๆ

ใช่แล้ว คิดดีแล้ว เขาหวังว่าเขาเองจะคิดได้ และหวังว่าตัวเองจะเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่อยู่ตรงหน้า ยอมรับอนาคต ยังไงซะเขาก็แต่งงานกับจูจูไปแล้ว!

ในช่วงบ่ายไป๋มูชิงนำแบบร่างการออกแบบไปที่บริษัทหนานกงกรุ๊ป ตามที่คาดไว้เลขาเหยียนเป็นคนออกมาต้อนรับเธอ

เธอมองไปรอบ ๆ ห้องประชุม แต่เธอไม่เห็นหนานกงเฉิน และรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

หลังจากอ่านแบบร่างการออกแบบแล้ว เลขาเหยียนก็ส่งแบบร่างกลับมาให้เธอ “ไม่เลวนะคะ ดีกว่าเมื่อก่อนอีก เอาแบบนี้แหละค่ะ”

ไป๋มู่ชิงจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจถามอย่างลังเล “เลขาเหยียน คุณไม่จำเป็นต้องส่งต้นฉบับให้คุณชายเฉินเหรอคะ?”

“ไม่ค่ะ ต่อไปฉันจะรับผิดชอบดูแลทุกเรื่องในบริษัทของคุณเองค่ะ”

“จริงเหรอคะ?” ไป๋มู่ชิงแอบดีใจ

เลขาเหยียนยิ้ม “คุณหนูอีดูเหมือนจะไม่ค่อยดีใจที่ได้รู้จักกับคุณชายเฉินเลยนะคะ? ”

“ไม่ค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวอย่างรีบร้อน “ไม่ใช่ว่าฉันไม่ชอบคุณชายเฉินนะคะ แค่เป็นความแตกต่างระหว่างชายกับหญิง ฉันแค่รู้สึกเป็นอิสระมากกว่าเมื่ออยู่กับเลขาเหยียน” หลังจากนั้นไป๋มู่ชิงก็ยิ้มอย่างประจบ

เลขาเหยียนมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ โดยคิดว่าหนานกงเฉินพูดถูก เธอเป็นผู้หญิงที่พิเศษมาก ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นอย่าพูดถึงการได้รู้จักกันเลย แค่มองจากระยะไกลก็รู้สึกสบายตา หรือว่าความสัมพันธ์ของเธอกับสามีจะดีมาก ดีจนไม่เหลือสายตาไว้มองผู้ชายคนอื่นเลย?

“คุณหนูอีมีความสุขก็ดีแล้วนะคะ” เลขาเหยียนยิ้มอีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะ” ไป๋มู่ชิงเก็บต้นฉบับและลุกขึ้นจากเก้าอี้ “งั้นฉันขอตัวกลับก่อนะคะ เลขาเหยียน”

“ลาก่อนค่ะ”

ไป๋มู่ชิงออกมาจากห้องประชุมกำลังเดินไปยังลิฟต์ ทันใดนั้นได้ยินเธอเห็นหนานกงเฉินเดินมาจากไกลๆ แลได้ยินเสียงผู้จัดการหวงที่กำลังอธิบายงานพลางเดินมายังทิศทางของเธอ ทั้งคู่เดินกันอย่างรวดเร็ว ในพริบตาเดียวก็เดินมาถึงตรงหน้าของไป๋มู่ชิง

มีเพียงเงาของไป๋มู่ชิงบนทางเดินที่หรูหราและหนานกงเฉินก็เห็นเธอได้ในพริบตาเดียวเขาไม่ได้หยุดเพียงแค่มองเธอด้วยหางตาและเดินผ่านไป

“สวัสดีตอนบ่ายค่ะ คุณชายเฉิน … ” ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นเพื่อทักทายเขาและร่างของหนานกงเฉินที่ยังคงพูดคุยได้เดินผ่านเธอไปแล้วและจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

ไป๋มู่ชิงตะลึง จากนั้นหันไปดูร่างของเขาที่เข้าไปในห้องประชุมขนาดใหญ่ คุณรีบขนาดนั้นเลยเหรอ? รีบจนไม่มีเวลาทักเธอ?

วันนี้เขาช่างแตกต่างกับคนเมื่อคืนที่เธอไว้ใจ ราวกับว่าเป็นคนละคน

ไป๋มู่ชิงส่ายหัวเพราะคิดว่าเขาคงรีบไปประชุมจึงรีบออกไป

ในตอนกลางคืนไป๋มู่ชิงกล่อมให้เสียวหว่านชิงนอนและไปอาบน้ำ เมื่อเธอออกมาเฉียวเฟิงได้เตรียมสำลีเรียบร้อยแล้ว

ไป๋มู่ชิงเหลือบมองไปที่ยาบนโต๊ะ จากนั้นเหลือบมองไปที่นิ้วของเธอและพูดว่า “หายแล้วไม่ต้องใส่ยาแล้วค่ะ”

“เช็ดอีกวันดีกว่า” เฉียวเฟิงรีบไปหาเธอและกวักมือเรียก “มานี่สิให้ผมดูหน่อยว่าหายหรือยัง”

ไป๋มู่ชิงเดินมายื่นนิ้วให้เขา “คุณเห็นไหมว่ามันหายแล้วจริงๆ ใส่ยาแล้วมันเหนียวๆ จับปากกาก็ไม่ถนัด”

“ใครทำให้คุณประมาทล่ะ? ” เฉียวเฟิงมองไปที่ฝ่ามือของเธอคว่ำและพยักหน้า “อืม ดีขึ้นแล้วจริงๆ คืนนี้ใส่ยาอีกหน่อย พรุ่งนี้เช้าก่อนไปทำงานค่อยล้างออกโอเคไหม? ”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่กังวลของเขาและพยักหน้า ขอแค่ให้เขาสบายใจก็พอแล้ว

เฉียวเฟิงใช้สำลีช่วยทายาขณะที่เตือนเบา ๆ “ทีหลังทำอะไรก็ระวังหน่อยนะ ทำบาดเจ็บอีกละก็อย่างนั้นฉันจะห้ามไม่ให้คุณออกไปทำงาน”

“ฉันรู้ว่าคุณเตือนฉันหลายครั้งแล้ว” ไป๋มู่ชิงยิ้มและโน้มตัวลงบนริมฝีปากของเขาและจูบ “ที่รักคะ ฉันว่าคุณบ่นเก่งยิ่งว่าคนแก่อีกนะคะ”

“ใครใช้ให้เธอชอบทำให้ฉันไม่สบายใจอยู่เรื่องล่ะ” เฉียวเฟิงจับศีรษะของเธอและจูบที่หลังของเธอ “เอาล่ะ รีบนอนกันเถอะ”

“ค่ะ” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟา จากนั้นก็ช่วยเขาขึ้นไปบนเตียง

เช้าวันรุ่งขึ้นไป๋มู่ชิงทำความสะอาดน้ำมันที่นิ้วของเธอ เมื่อรู้สึกไม่เจ็บมากแล้ว สวมแหวนกลับไปเหมือนเดิมได้แล้วสินะ

เธอเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบกระเป๋าที่สะพายหลังในวันนั้นออกมาและเริ่มค้นหาแหวนของเธอ แต่เธอพลิกดูหลายครั้งก็ไม่พบ เธอจำได้ชัดเจนว่าเธอห่อแหวนด้วยทิชชู่แล้ววางไว้นอกกระเป๋า จะไม่มีได้อย่างไร

ด้านนอกประตู เสียวหว่านชิงที่กำลังเร่งเธออยู่”แม่ แม่บอกว่าผู้หญิงไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง ถ้าแม่ยังผัดวันประกันพรุ่งหนูจะไปโรงเรียนสายนะคะ”

“เดี๋ยวก่อน แม่ขอหาของก่อน” ไป๋มู่ชิงกังวลเล็กน้อย แต่เธอจะทำแหวนแต่งงานหายได้อย่างไร?

“หลิน คุณกำลังหาอะไร?” เฉียวเฟิงเห็นเธอดูกังวล จึงเข็นนั่งรถเข็นและเอนตัวไป

ไป๋มู่ชิงเทกระเป๋าและถามอย่างกังวล: “ที่รัก คุณเห็นแหวนของฉันไหม? ฉันหาแหวนของฉันไม่เจอ”

“ผมไม่เห็น คุณเอาไปไว้ที่ไหน?”

“หลังจากที่ฉันถอดมันออกในวันนั้น ฉันก็ห่อมันด้วยกระดาษเช็ดมือและใส่ไว้ในกระเป๋าของฉัน แต่ตอนนี้ฉันหาไม่เจอ”ไป๋มู่ชิงหันไปหาเสียวหว่านชิงอีกครั้ง จับไหล่ของเธอแล้วถามว่า “ที่รัก หนูเอาแหวนของแม่ไปเล่นหรือเปล่า?”

“เปล่าค่ะ” เสียวหว่านชิงส่ายหัวของเธอ

“หาไม่เจอจริงๆ เหรอคะ? นั่นเป็นแหวนแต่งงานของพ่อกับแม่ มันสำคัญมากนะคะ”

“หาไม่เจอจริงๆ”

“ทำไมหว่านชิงต้องค้นกระเป๋าคุณเล่นล่ะ?” เฉียงวเฟิงเห็นว่าเธอกังวลมากเขาจึงยื่นมือออกมาและจับเธอไว้ “ลืมไปเถอะถ้าคุณทำแหวนที่ไม่คุ้มกับเงินจำนวนมากหายไป ไม่ต้องการฉันจะซื้อให้อีกใช่ ช่างเถอะ หาแล้วก็ไม่เป็นไร ไว้ผมซื้อให้ใหม่นะ”

“ได้ยังไงล่ะคะ? มันไม่เหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างจริงจัง “ฉันเพิ่งเคยแต่งงานครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ฉะนั้นแหวนวงนี้จึงสำคัญมากสำหรับฉัน”

หลังจากฟังเธอ เฉียวเฟิงอยากจะบอกเธอว่าอย่าไปหามันอีกเลย อันที่จริงเขาซื้อแหวนคู่นี้จากร้านทองชั่วคราวและมันก็ไม่ใช่แหวนแต่งงานเลย แต่เขาพูดแบบนั้นไม่ได้เพราะเขายังไม่อยากเสียเธอไป

โดยไม่คาดคิดว่าเธอจะสนใจแหวนวงนี้มาก เฉียวเฟิงหมุนแหวนที่นิ้วนางโดยไม่รู้ตัวด้วยนิ้วของเขารู้สึกซับซ้อนและอบอุ่นในหัวใจของเขา

เฉียวเฟิงจับมือเล็ก ๆ ของเธอและดึงเธอขึ้นมาและจูบเธอที่ริมฝีปากของเธอ “ไม่ต้องกังวล คืนนี้กลับมาฉันจะช่วยหา และตอนนี้คุณไปส่งหว่านชิงไปโรงเรียนก่อนโอเคไหม? ”

เมื่อคิดว่าเสียวหว่านชิงกำลังจะไปโรงเรียนสาย และเราก็จะไปทำงานสาย เธอจึงทำได้เพียงพยักหน้าและออกไปกับพวกเขา

ไป๋มู่ชิงคิดถึงแหวนของเธอตลอดทาง เห็นได้ชัดว่าเธอใส่แหวนไว้ในกระเป๋าก่อนที่เธอจะออกจากห้องทำงานของหนานกงเฉินในวันนั้น จู่ๆ มันหายไปได้อย่างไร? เป็นไปได้ไหมว่าแหวนหลุดตอนวางแฟ้มเอกสาร? ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็คงโดนป้าแม่บ้านกวาดทิ้งลงถังขยะไปแล้วใช่ไหม?

ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้เธอก็ยิ่งวิตกกังวลมากขึ้น ไป๋มู่ชิงวางกระเป๋าของเธอลงหลังจากกลับมาที่ บริษัท และถือโทรศัพท์เดินไปยังห้องกาแฟ

เลขาเหยียนเคยให้เบอร์โทรศัพท์ของหนานกงเฉินแก่เธอ แต่เลขาเหยียนก็ได้กำกับไว้ว่าเธอไม่สามารถให้เบอร์โทรศัพท์กับใครได้ เพราะคุณชายเฉินไม่อยากให้วุ่นวาย

เขางานยุ่งแบบนั้น ไม่รู้ว่าโทรหาแล้วจะเป็นการรบกวนเขาหรือเปล่า? จะทำให้เขาโกรธไหม?

ไม่สนแล้ว การหาแหวนมันสำคัญกว่า เธอกัดฟันแน่นพลางกดเบอร์โทรศัพท์ของเขา

โทรศัพท์ดังขึ้นชั่วขณะก่อนที่เสียงเฉยเมยของหนานกงเฉินจะดังขึ้น “คุณอี มีอะไรธุระอะไรงั้นเหรอ? ”

เสียง … มันช่างเย็นชา หรือขัดขวางการทำงานของเขางั้นเหรอ? ไป๋มู่ชิงหดตัวลงโดยไม่รู้ตัวและอ้าปากพูดด้วยความกล้าๆ กลัวๆ “เอ่อ … คุณชายเฉิน … อรุณสวัสดิ์ค่ะ ฉันมีธุระนิดหน่อย”

“ว่าไง? ”

“คือแบบนี้ค่ะ … เมื่อวันก่อนฉันถอดแหวนออกตอนที่บาดเจ็บและทายา ฉันจำได้ชัดว่าฉันห่อด้วยทิชชู่แล้วใส่ในกระเป๋า แต่ตอนนี้ … ฉันหาไม่เจอ ดังนั้นฉันอยากจะถามคุณว่า……คุณเห็นแหวนของฉันบ้างไหมคะ” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็กังวลว่าเขาจะอารมณ์เสียและเสริมว่า “ฉันขอโทษนะคะ … ฉันไม่มีความหมายอื่น ฉันรู้ว่าคุณมีเงินมากมายสามารถซื้อแหวนหลายสิบล้านได้ แต่แหวนของฉันคุณคง … ”

“รู้แล้วยังถามอีกเหรอ?”

“ฉันขอโทษค่ะ…….”

หนานกงเฉินจึงพูดขึ้นว่า”ฉันคิดว่าครอบครัวคุณสามารถซื้อแหวนได้ตามความต้องการ ทำไมไม่ซื้ออีกสักวงล่ะ? ”

“นั่นคือแหวนแต่งงานของฉันไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน” ไป๋มู่ชิงเสริมอย่างกังวล

อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เงียบไป ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ เธอไม่เต็มใจที่จะวางสายแบบนี้เธอจึงถามอย่างระมัดระวัง “คุณชายเฉิน คุณช่วยฉันถามหน่อยได้ไหม พนักงานทำความสะอาดถ้าพวกเขาเจอหรือเปล่า ขอร้องนะคะ ”

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในที่สุด หนานกงเฉิน ก็พูดว่า”โอเค ฉันจะช่วยคุณถาม”

“ขอบคุณค่ะคุณชายเฉิน ขอบคุณมากค่ะ” ไป๋มู่ชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง

ไป๋มู่ชิงวางสายโทรศัพท์และกำลังจะออกจากห้องกาแฟ เธอหันกลับมาและเกือบชนเข้ากับท่านประธานจางที่อยู่ข้างหลังเธอ

เธอถึงกับผงะและต่อว่าเขา”ท่านประธานจาง คุณอย่าซ่อนอยู่ข้างหลังแบบนี้ได้ไหมคะ มันน่ากลัว”

ท่านประธานจางไม่สนใจความไม่พอใจของเธอ เขามองเธออย่างสงสัยและถามว่า “คุณโทรหาคุณชายเฉินเหรอ? ”

น้ำเสียงที่แสดงความเคารพเช่นนี้ดูเหมือนจะไม่เหมือนเจ้านายเลยสักนิด !

“ใช่ค่ะ ถามธุระอะไรนิดหน่อย ทำไมเหรอคะท่านประธานจาง? ”

“ไม่มีอะไรน่ะ แค่ถามเฉยๆ” ท่านประธานจางหันกลับมาอย่างสงสัยและเดินจากไป

ตั้งแต่ที่จูจูถูกกัดด้วยความเจ็บป่วย ทัศนคติของหนานกงเฉินที่มีต่อเธอก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

เขาเปลี่ยนไปแม้แต่ตัวจูจูเองก็ยังรู้สึกได้ ในใจรู้สึกยินดีและเบิกบานใจ ไม่คิดว่าจะได้รับสิ่งดีๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายเช่นนั้น นี่น่ะเหรอที่เขาเรียกกันว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ?

หลังจากรอให้ท่าทีของหนานกงเฉินเปลี่ยนไป ในที่สุดแน่นอนว่าเธอต้องคว้าโอกาสที่จะคว้าหัวใจเขาอีกครั้ง

เมื่อเธอออกจากงานเธอก็มาที่ห้องทำงานของหนานกงเฉิน และหนานกงเฉินก็เพิ่งมาจากห้องประชุม เธอทักทายเขาด้วยความรัก “เฉิน ประชุมจบแล้วเหรอ เหนื่อยไหม? ”

“ก็ดี”หนานกงเฉินมองไปที่เธอ “ทำไมคุณถึงมาที่นี่? ”

“ฉันได้ยินมาว่าคุณเข้าร่วมการประชุมตั้งแต่ตอนเที่ยง เลยอยากมารับคุณค่ะ” จูจูเดินเข้าไปจัดเนกไทที่อกของเขาและพูดด้วยความเป็นห่วง “อย่าหักโหมเกินไปนะคะ ดูแลสุขภาพด้วย”

“ฉันรู้แล้ว” หนานกงเฉินกล่าว

“ถ้ารู้แล้วก็เก็บของเลิกงานแล้วไปกับฉัน พวกเราไปกินข้าวจากนั้นเดินเล่นซื้อของกัน ดีไหมคะ?”

หนานกงเฉินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จูจูจึงรีบเร่ง “เฉิน ฉันไม่ได้ไปซื้อของมานานแล้ว

และอีกอย่างฉันอุตส่าห์มาจากคฤหาสน์หลังเก่าเลยนะคะ คุณจะปฏิเสธฉันลงคอเหรอคะ? ”

“เปล่า ฉันแค่คิดว่าจะจัดการงานที่เหลือยังไง” หนานกงเฉินยิ้ม

“นั่นไม่ใช่เรื่องยากค่ะ เลขาเหยียนคนนั้นเป็นเลขาของคุณไม่ใช่เหรอคะ?ก็ให้เธอช่วยทำก็พอแล้ว”เมื่อพูดถึงเลขาเหยียน หัวใจของจูจูก็เริ่มรู้สึกไม่พอใจ ทุกคนต่างเล่าลือว่า หนานกงเฉินมีความสัมพันธ์กับเลขาเหยียน เธอก็ได้ยินเรื่องของพวกเขาในฐานะภรรยา

เพียงแค่เลขาเหยียนเป็นสนิทที่อยู่ข้างกายหนานกงเฉิน และความสัมพันธ์ของเธอกับ หนานกงเฉินอยู่ในช่วงที่เย็นชาและเขาไม่กล้าทำอะไรกับเธอ

รอให้เธอได้เป็นคนโปรดของหนานกงเฉินเสียก่อน หากมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นแล้วละก็คนแรกที่เธอจะฆ่าทิ้งคือเลขาเหยียน

แน่นอนว่าหนานกงเฉิน หันกลับมาและกลับไปที่โต๊ะหยิบโทรศัพท์และโทรหาเลขาเหยียน และขอให้เลขาเหยียนจัดการงานที่เหลือทั้งหมดสำหรับวันนี้จนถึงวันพรุ่งนี้ หลังจากวางสายโทรศัพท์เขาก็ยิ้มให้จูจูเบา ๆ “ไปกันเถอะ”

จูจูพยักหน้าอย่างตื่นเต้นและเดินคล้องแขนเขาเดินไปที่ลิฟต์

หนานกงเฉินยืนอยู่ในลิฟต์มองไปที่จูจูด้วยใบหน้าที่มีความสุขในกระจก และทันใดนั้นก็นึกถึงฉากที่ไป๋มู่ชิงโทรหาเฉียวเฟิงได้ มันช่างไพเราะและมีความสุขมาก

เขาตัดสินใจที่จะพยายามยอมรับจูจู ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกผิดที่กัดเธอ แต่เป็นเพราะเขาเชื่อฟังคำพูดที่ว่าให้ปล่อยวางอดีตและเห็นความสำคัญของคนที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือเปล่า แต่เขาจะตั้งใจทำงานและจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง!

เฉียวเฟิงไปรับไป๋มู่ชิงและเสียวหว่านชิงตามปกติ กำลังจะกลับบ้านแต่กลับได้รับสายจากร้านอาหารให้กลับไป

เฉียวเฟิง กลับไปที่ร้านอาหารเพื่อจัดการกับเรื่องเร่งด่วน ไป๋มู่ชิงพาเสียวหว่านชิงไปที่ร้านอาหารทานอาหารค่ำ

หลังอาหารค่ำเสียวหว่านชิงไม่สามารถอยู่ในร้านอาหารได้ ไป๋มู่ชิงต้องพาเธอไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ ๆ เพื่อเดินเล่นและซื้อของใช้ประจำวัน

“ช่วงนี้มีคนเลวชอบลักพาตัวเด็ก หนูต้องตามแม่ไว้นะจ๊ะ” ไป๋มู่ชิงพาเธอไปที่รถเข็นช็อปปิ้งและนั่ง

“แต่หนูอยากไปซื้อของด้วยตัวเอง” เสียวหว่านชิงประท้วง

“บอกแม่สิว่าหนูต้องการซื้ออะไร แม่จะพาหนูไปเอง”

“หนูอยากซื้อขนมเยอะๆ เลย”

“ไม่ได้จ้ะ เด็กดีต้องไม่กินขนมนะ”

ปากเล็กๆของเสียวหว่านชิงเหยเกอีกครั้ง “ไม่สนุกเลย รู้แบบนี้ไม่มากับแม่ดีกว่า”

“ถ้าไม่มากับแม่จะมากับใครล่ะ”

“มากับคุณพ่อ พ่อบอกว่าเด็กดีกินขนมได้นิดหน่อย”

ไป๋มู่ชิงรู้สึกขบขันเธอยื่นมือออกไปบีบแก้ม “หนูน้อย รู้จักต่อรองกับแม่แล้วนะ เอาล่ะ หนูอยากกินอะไรจ๊ะ”

“เย่ หนูอยากกินเลย์ อยากกินพุดดิ้ง …! ” เสียวหว่านชิงส่งเสียงเชียร์

“อืม ไปหาพุดดิ้งกับเลย์กันเถอะ” ไป๋มู่ชิงเข็นเธอไปที่โซนขายขนม

เมื่อเธอมาถึงโซนขายขนม ไป๋มู่ชิงกำลังจดจ่ออยู่กับการเลือกยี่ห้อพุดดิ้ง หลังจากที่เธอหยิบมันเสร็จแล้ว เธอก็เห็นว่าในรถเข็นกลับมีขนมอยู่เต็มแล้ว เสียวหว่านชิงน้ำเสียงสดใส “แม่คะ หนูซื้อขนมพวกนี้ให้พ่อค่ะ”

“น้อยๆ หน่อยเถอะ พ่อไม่กินขมนะจ๊ะ” ไป๋มู่ชิงวางขนมในรถเข็นกลับไปที่เดิมทีละชิ้นโดยไม่สนใจคนตัวเล็กที่กำลังทำปากมุ่ย

เสียวหว่านชิงหน้าบูดอย่างไม่มีความสุข ไป๋มู่ชิงไม่สนใจเธอและทำงานที่เธอทำต่อไป หลังจากที่วางของลงในรถเข็น ในที่สุดเธอก็ได้ยินเสียงเสียวหว่านชิงที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงร้องออกมา “แม่! ลุงจอมโกหกกับป้านิสัยไม่ดีมาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!”

เจ้าตัวเล็กร้องตะโกนพลางเขย่ารถเข็น ทำให้รถเข็นเอนไปมา

ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจว่าเธอกำลังตะโกนอะไร และเมื่อเธอก็หันกลับไปพบว่าหนานกงเฉินกับจูจูมาถึงตรงหน้าพวกเขาแล้ว

เธอตะลึงและมองไปที่ทั้งสองด้วยความประหลาดใจ

หนานกงเฉินและจูจูก็ประหลาดใจเช่นกัน นิ้วของจูจูบีบแขนหนานกงเฉินกระชับขึ้นและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในทันที โลกกลมจริงๆ รู้แบบนี้ไม่ชวนเขามาที่นี่เสียยังจะดีกว่า ตอนแรกแค่อยากจะมากินอะไรอร่อยๆ เดินเล่นให้สบาย แต่ไม่คิดว่า…

เธอเขย่าแขนของหนานกงเฉินและพูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “เฉิน ไปดูที่ชั้นหนึ่งกันเถอะ”

ไป๋มู่ชิงก็ได้สติขึ้นมาและหลังจากยิ้มให้พวกเขาทั้งสองคนแล้วเธอก็ผลักเสี่ยวว่านชิงเดินผ่านไป

เมื่อเดินผ่านทั้งสองคน เสียวหว่านชิงก็ไม่ลืมที่จะเผชิญหน้ากับพวกเขา

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ หนานกงเฉินก็เอื้อมมือไปจับขอบรถเข็นให้หยุด

ไป๋มู่ชิงสะดุ้งอีกครั้งเมื่อถูกบังคับให้หยุด

“เฉิน ไปกันเถอะ อย่าทำให้เด็กตกใจสิ” จูจูรู้สึกกังวลมากขึ้น

อย่างไรก็ตามหนานกงเฉินไม่ได้จากไป แต่หลังจากมองไปที่ไป๋มู่ชิง เขามองไปที่เสียวหว่านชิงด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตร รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของเขาและพูดว่า “เด็กน้อย ฉันว่าเธอเจ้าคิดเจ้าแค้นมากเกินไปนะ เธอเรียกฉันว่าลุงจอมโกหกได้ แต่เธอไม่คุณเรียกคนอื่นว่าป้านิสัยไม่ดีนะรู้ไหม?”

“ฉันขอโทษคุณสองคนด้วยนะคะ …… ” ไป๋มู่ชิงรับมองเห็นสายตาตำหนิของจูจูและพูดด้วยความรู้สึกผิด “เด็กน่ะค่ะ มักจะพูดอะไรไม่คิดแบบนี้แหละค่ะ”

เสียวหว่านชิงประท้วงอย่างไม่มั่นใจ “แม่ ทำไมเราต้องขอโทษล่ะ เห็นๆ กันอยู่ว่าป้านิสัยไม่ดีคนนี้ทำร้ายแม่ก่อนไม่ใช่เหรอ ต้องเป็นเธอที่ต้องขอโทษสิคะ! ”

ทันทีที่เสียวหว่านชิงพูดสิ่งนี้ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกใจมาก จูจูเองก็รู้สึกเย็นวาบในหัวใจมากขึ้น

หนานกงเฉินมองไปที่ไป๋มู่ชิง จากนั้นที่จูจูก็ขมวดคิ้วและถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

จูจูรู้สึกกังวลและยิ้มให้เสียวหว่านชิง “เด็กน้อย เธอจำผิดแล้วล่ะมั้ง ฉันจะไปทำร้ายแม่ของเธอได้ยังไง ฉันไม่เคยเจอแม่ของเธอเลยนะ”

ไป๋มู่ชิงยิ้ม”ใช่ค่ะ หว่านชิงจำผิด หว่านชิงพวกเราไปกันเถอะ” ในขณะที่เธอกำลังพูด เธอก็เอื้อมมือไปหยิกที่ก้นของเด็กน้อยเบาๆ เป็นสัญญาณเตือน ใครจะไปรู้ว่าเด็กน้อยกลับส่งเสียงร้องออกมาดัง”โอ๊ย”

ไป๋มู่ชิงก้มหน้าลงพลางผลักเธอให้เดินออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองไปที่ตามหลังสองแม่ลงที่จากไปหนานกงเฉินมองไปที่จูจู “เกิดอะไรขึ้น? เสียวหว่านชิงบอกว่าคุณทำร้ายแม่ของเธอ? ”

จูจูตื่นตระหนกและพูดด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ “จะเป็นไปได้ไงล่ะ ที่ลานจอดรถครั้งก่อนฉันเห็นเธอสางแม่ลูกแค่แวบเดียว ฉันออกมาข้างนอกน้อยมาก จะไปทำร้ายเธอได้ยังไง คุณดูสิเมื่อกี้เธอยังพูดเลยว่าเด็กจำผิดน่ะ ”

เสียวหว่านชิง เรียกอย่างสนิทสนมขนาดนั้น จูจูคิดอย่างโกรธเคือง

หนานกงเฉินมองไปที่เธอและพูดออกมาเบา ๆ “ฉันจะตรวจสอบเรื่องนี้”

จูจูยิ้มแต่ในใจกลับรู้สึกร้อนรน

ไป๋มู่ชิงดันเสียวหว่านชิงออกไปโซนขายขนม เสียวหว่านชิงถามด้วยความไม่เข้าใจ “แม่ทำไมแม่โกหก เห็นๆ อยู่ว่าป้านิสัยไม่ดีทำร้ายแม่ก่อน”

ไป๋มู่ชิงสูดลมหายใจยกมือขึ้นแตะศีรษะเล็ก ๆ ของเธอแล้วพูดว่า “หว่านชิงแม่โกหกด้วยความหวังดีนะ เป็นการโกหกเพื่อความสบายใจของทุกคน เข้าใจไหม”

“หนูไม่เข้าใจ” เสียวหว่านชิงส่ายหัว

“อืม … ” ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดสักพักและไม่รู้ว่าจะอธิบายคำถามนี้ยังไงแล้วยิ้มให้ “แม่จะบอกหนูแบบนี้ละกัน ป้าคนนั้นดุใช่ไหมจ๊ะ? ดังนั้นพวกเราไม่ควรไปยุ่งกับเธอ หากทำให้เธอไม่พอใจขึ้นมา แล้วมาทำร้ายแม่อีกจะทำยังไงล่ะ เธอทำร้ายแม่น่ะไม่เป็นไร แต่ถ้าเธอโกรธหนูขึ้นมา แล้วลงมือทำร้ายเสียวหว่านชิงจะทำยังไง ดังนั้นคนบางคนเราก็ไม่ควรยุ่งด้วย พวกเราทำได้แค่อยู่ให้ห่างพวกเขาเอาไว้ เข้าใจไหมจ๊ะ ”

เสียวหว่านชิงพยักหน้าอย่างไม่ค่อยเข้าใจ

ไป๋มู่ชิงกล่าวอีกครั้ง “ดังนั้นถ้าต่อไปหนูเจอป้าดุคนนั้นอีกก็อย่าเรียกเธอว่าป้านิสัยไม่ดีอีกนะ และไม่พูดถึงเรื่องที่เธอทำร้ายคนด้วย เข้าใจไหม? ”

ค่ะ หนูข้าใจแล้ว”

“เด็กดี” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยรอยยิ้ม

“แล้วเรายังซื้อพุดดิ้งของเราไหมคะ?” จู่ๆ เสียวหว่านชิงก็นึกถึงขนมของเธอ

“ซื้อจ้ะ ไว้เราจะกลับไปซื้อนะ” ไป๋มู่ชิงกล่าว “ตอนนี้ไปชั้นบนแล้วไปซื้อของกันนะจ๊ะ”

“ค่ะ” เสียวหว่านชิงพยักหน้าและในไม่ช้าเธอก็เริ่มมีความกระตือรือร้นในการช้อปปิ้ง

สองแม่ลูกเดินขึ้นไปชั้นบน เดินไปมาจนรู้สึกว่าหนานกงเฉินควรจะกลับไปแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงพาเสียวหว่านชิงกลับไปที่ชั้นสอง จากนั้นก็ไปหยิบขนมที่เสียวหว่านชิงต้องการแล้วลงมาจ่ายเงินที่ชั้นแรก

เมื่อเดินผ่านบันไดเลื่อนที่ชั้นสองจู่ๆ เสียวหว่านชิงก็ชี้ไปที่หมีตัวน้อยบนชั้นวางของที่อยู่ไม่ไกลและพูดว่า “แม่คะ หนูอยากได้ตุ๊กตาหมีตัวนั้นไปห้อยกระเป๋านักเรียนด้วยค่ะ”

“หมีน้อยตัวไหน?” ไป๋มู่ชิงเดินตามทิศทางของนิ้วของเธอ และเธอก็เห็นหมีน้อยหลายแบบวางอยู่บนชั้น

“ตัวนั้นค่ะ เหมือนกับที่แม่ของเถียนเถียนซื้อให้”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “โอเคจ้ะ นั่งตรงนี้อย่าขยับเดี๋ยวแม่จะไปหยิบให้นะ”

เธอเดินไปดู หมีหลายตัวที่อยู่บนนั้นแล้วถามว่า “อยากได้สีอะไรจ๊ะ?”

“หนูอยากได้สีน้ำเงิน” เสียวหว่านชิงกล่าว

“แต่แม่ว่าสีชมพูน่ารักกว่านะ”

“ของเถียนเถียนเป็นสีชมพู งั้นหนูเอาสีเหลืองก็ได้ค่ะ”

“สีเหลือง แม่หาดูก่อนนะว่ามีไหม” ไป๋มู่ชิงนั่งยองๆ อยู่หน้าชั้นวางและเริ่มมองหา

ตรงข้ามชั้นวางได้ยินเสียงร่าเริงของเสียวหว่านชิง เมื่อนึกถึงเมื่อครู่ที่เธอเพิ่งกล่าวหา ไฟโกรธในใจของจูจูก็เริ่มลุกโชนอีกครั้ง แม้ว่าหนานกงเฉินจะไม่ได้พูดอะไรในตอนท้าย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเพียงแค่ปล่อยให้เรื่องนี้ดำเนินไปแบบนี้ เธอเองก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้เชื่อในคำพูดของตนเองเลยแม้แต่น้อย

ถ้าหากหนานกงเฉินตรวจสอบเรื่องนี้ขึ้นมาละก็เช่นนั้นความสัมพันธ์ที่กำลังดีขึ้นจะต้องพังทลายลงอย่างแน่นอน เธอและเขาคงต้องกลับไปเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่เย็นชานั้นอีกครั้ง

จูจูรู้สึกโกรธมากขึ้นเมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ เช่นเดียวกับที่โทรศัพท์ของหนานกงเฉินดังขึ้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาพลางเดินไปอีกทางเพื่อรับสาย

เมื่อเห็นแผ่นหลังของเขากำลังไปอีกทาง เธอรู้สึกว่ากำลังได้โอกาส จึงเดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว มองเห็นเสียวหว่านชิงที่กำลังชี้ของให้ไป๋มู่ชิงหยิบ พลางมองคนที่อยู่รอบๆ

เมื่อเธอได้ยินเสียงหนานกงเฉินวางสายโทรศัพท์ เธอจึงรีบผลักรถเข็นของผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านข้างออกไป รถเข็นที่มีของอยู่เต็มคันรถ เธอผลักมันออกไปเต็มแรงจากนั้นไปชนเข้ากับรถเข็นที่เสียวหว่านชิงนั่งอยู่อย่างจัง

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท