เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 197 ได้รับบาดเจ็บ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ขณะที่หญิงสาวกำลังเก็บของอยู่ก็รู้สึกว่ารถตัวเองกำลังเคลื่อนที่ รีบตามไป “อ๊ะ! รถฉัน……!”

ถึงแม้เธอจะตอบสนองอย่างรวดเร็วมาก แต่สุดท้ายก็ดึงรถกลับมาไม่ทัน

หลังจากรถของเสียวหว่านชิงถูกชนอย่างแรง ก็ถอยหลังไปที่บันไดเลื่อนตามความเฉื่อย ล้อหมุนเข้าไปในบันไดเลื่อน จากนั้นก็ไหลลงตามบันไดเลื่อนไป

“แม่……แม่……!” เสียวหว่านชิงตกใจจนร้องไห้ออกมาเสียงดัง

เมื่อหญิงสาวคนนั้นเพิ่งกรีดร้อง ไป๋มู่ชิงก็หันตัวไปอย่างรวดเร็ว เธอมองรถของเสียวหว่านชิงติดอยู่บนบันไดเลื่อนอย่างระทึกขวัญโดยที่ทำอะไรไม่ถูก

“หว่านชิง……!” เธอตกใจกลัว กรีดร้องให้เสียวหว่านชิงอย่าขยับตัวไปไหนขณะที่ร้องขอความช่วยเหลือไปด้วย

รถของหว่านชิงติดอยู่ที่บันไดเลื่อนอย่างระทึกขวัญ ถ้าขยับเพียงเล็กน้อยส่วนหัวจะตกลงไป ไป๋มู่ชิงร้องตะโกนขณะที่เดินตามลงไป

ขณะที่เธอเตรียมจะลงไป จู่ๆ แขนก็ถูกดังกลับมา

“ฉันเอง” หนานกงเฉินเหวี่ยงเธอมาข้างๆ กระโดดลงไปยังบันไดเลื่อนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดึงรถเสียวหว่านชิงไว้ได้

เห็นหนานกงเฉินดึงรถได้ หัวใจไป๋มู่ชิงที่ห้อยไว้สูงก็ปล่อยวางลงในที่สุด แต่ยังคงมองพวกเขาสองคนด้วยใบหน้าตึงเครียด

หว่านชิงน่าจะตกใจสุดๆ เอาแต่กรีดร้องอยู่ตลอด “แม่……ฉันกลัว……ฉันกลัว……!”

“หว่านชิงไม่ต้องกลัว รถนิ่งแล้ว” หนานกงเฉินมองบันไดเลื่อนยาวเหยียดแล้วเอ่ยปลอบ “เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

“ฉันกลัว! คุณอาขี้โกหกเป็นคนเลว แม่……คุณอาขี้โกหกจะผลักฉันลงไป……แม่……!”

“หว่านชิงไม่ต้องกลัว คุณเอาเขา……” ไป๋มู่ชิงพูดได้ครึ่งเดียว จู่ๆ ก็กรีดร้อง “หว่านชิง……!”

เดิมทีเพราะเสียวหว่านชิงดิ้นบนรถเข็นชอปปิ้งมากเกินไป จึงหล่นลงมาจากรถเข็นชอปปิ้ง ผู้สังเกตการณ์ตกใจและพึมพำเสียงทุ้ม เพราะรถเข็นชอปปิ้งขนาดใหญ่หนานกงเฉินจึงจับเธอไว้ได้ไม่ทัน เห็นเธอร่วงลงที่พื้นบันไดเลื่อนดัง ‘ปัง’

โชคดีที่ทั้งสองมาถึงชั้นล่างสุดของบันไดเลื่อนแล้ว เสียวหว่านชิงก็ไม่ได้หล่นบันไดเลื่อนที่แหลมคม

หนานกงเฉินตกใจ เพื่อไม่ให้รถเข็นชอปปิ้งทับเสียวหว่านชิง จึงรีบผลักรถไปข้างๆ อย่างรวดเร็ว รถเข็นชอปปิ้งล้มลงข้างๆ ตัวเสียวหว่านชิงพร้อมๆ กับของในรถ

“แม่……” เสียวหว่านชิงนอนร้องเสียงต่ำอยู่บนพื้น แล้วเป็นลมไป

“หว่านชิง……!” ไป๋มู่ชิงวิ่งเข้าไปอย่างกังวล อุ้มเธอขึ้นจากพื้นแล้วร้องไห้เสียงดัง “หว่านชิงเป็นยังไงบ้างลูก? หนูอย่าทำให้แม่ตกใจสิ……”

“รีบเอาลูกไปโรงพยาบาลเถอะ” มีคนในผู้สังเกตการณ์พูดขึ้น

“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันขอโทษจริงๆ ……” ผู้หญิงคนนั้นเห็นเสียวหว่านชิงล้มจนได้รับบาดเจ็บ ก็ตกใจมาก รีบวิ่งมาขอโทษใหญ่เลย

ตอนนี้จูจูก็ตามลงมาเช่นกัน สังเกตเห็นหลังมือหนานกงเฉินที่เลือดออกแล้วพูดขึ้น “เฉิน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”

หนานกงเฉินไม่ได้ตอบเธอ แต่โน้มตัวไปอุ้มเสียวหว่านชิงจากอ้อมแขนไป๋มู่ชิงมา จากนั้นก็ก้าวเท้ายาวเดินไปประตูทางเข้าห้างสรรพสินค้า

ไป๋มู่ชิงตกตะลึง รีบลุกขึ้นจากพื้นตามไป

จูจูเหลือบมองไปรอบๆ และเดินตามไป

หนานกงเฉินอุ้มเสียวหว่านชิงมาข้างรถตัวเอง เปิดประตูรถและหันไปมองไป๋มู่ชิงที่ร้องไห้เสียงดัง ไป๋มู่ชิงรีบเข้าไปข้างใน หนานกงเฉินวางเสียวหว่านชิงไว้ในอ้อมแขนเธอ ดึงกระดาษทิชชูให้เธอปิดแผลบนหน้าผากเสียวหว่านชิง

“ให้ฉันทำเถอะค่ะ” จูจูขึ้นรถตามมา ช่วยปิดแผลเสียวหว่านชิง แล้วปลอบอย่างใจดี “คุณคะ คุณอย่าเพิ่งกังวลนะ หว่านชิงแค่ผิวถลอก น่าจะไม่เป็นอะไร”

เห็นเสียวหว่านชิงเป็นลม ไป๋มู่ชิงจะฟังคำปลอบคำอื่นได้ที่ไหนกัน หัวใจตึงเครียดหมดแล้ว

หนานกงเฉินขับรถไปที่หน้าประตูโรงพยาบาลละแวกห้างสรรพสินค้า ยังไม่ทันหาที่จอดรถเจอ เขาก็จอดรถให้นิ่ง จากนั้นก็อุ้มเสียวหว่านชิงไปที่ห้องฉุกเฉิน

จูจูมองไป๋มู่ชิงที่กังวล แล้วพูดขึ้น “คุณคะ ที่จอดรถที่นี่เต็มหมดแล้ว ฉันจะขับรถไปจอดข้างถนน รบกวนคุณให้คุณชายเฉินรีบออกมา”

ไป๋มู่ชิงมองเธอ พยักหน้าแล้วรีบตามเข้าไป

ขณะที่ไป๋มู่ชิงเข้าไป คุณหมอก็นำตัวเสียวหว่านชิงเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้ว เธอจับแขนคุณหมออย่างกังวลพูดขึ้นขณะที่ร้องไห้ “พวกคุณได้โปรดช่วยชีวิตลูกสาวฉันด้วยนะคะ……”

“ไม่ต้องเป็นห่วง เราจะพยายามช่วยชีวิตอย่างเต็มที่”

ไป๋มู่ชิงพูดอย่างร้อนใจ “หว่านชิงกรุ๊ปเลือด A ไม่แพ้ยาอะไร แต่เธอแพ้เกสรดอกไม้เหมือนกัน……”

“คุณหนูอี” หนานกงเฉินดึงเธอที่สะเทือนใจออกมาจากข้างกายคุณหมอ แล้วพูดขึ้น “ถ้าคุณอยากช่วยหว่านชิงจริงๆ คุณอย่าเพิ่งไปขัดขวางคุณหมอ อย่าเสียเวลาคุณหมอในการช่วยเหลือ”

ไป๋มู่ชิงตกตะลึง คุณหมอชำเลืองมองเธอแล้วเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน

ประตูห้องฉุกเฉินปิดดัง ‘ปัง’ เสียงนั้นสั่นสะเทือนหัวใจไป๋มู่ชิงโดยตรง เธอขาอ่อนยืนพิงกำแพงข้างๆ แล้วร้องไห้ออกมาอย่างแตกสลาย

หนานกงเฉินเห็นร่างกายเธอสั่นคลอนพร้อมล้มลงได้ทุกเมื่อ ใจก็อ่อน ยกมือขึ้นกอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างปลอบโยน “ไม่ต้องเสียใจนะ หว่านชิงแค่ล้มเฉยๆ เดี๋ยวก็ฟื้น”

ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมองเขาทั้งน้ำตา กระซิบทุ้มต่ำออกมาหนึ่งประโยค “จริงเหรอ? ”

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ใช่คุณหมอ และไม่เข้าใจอาการบาดเจ็บของเสียวหว่านชิง แต่ไป๋มู่ชิงก็ยังถามแบบนี้ ราวกับสัญญาของเขาทำให้เธอสบายใจได้จริงๆ

“อืม” หนานกงเฉินพยักหน้า

หลังจากนั้นสักพัก มีคุณหมอออกมาบอกว่าลูกของพวกเขาไม่เป็นอะไรมาก ไป๋มู่ชิงจึงโล่งใจในที่สุด

หนานกงเฉินเห็นความเครียดบนหน้าเธอผ่อนคลายลง อารมณ์ก็ดีขึ้นตาม

หลังจากเงียบไปสักพัก จู่ๆ หนานกงเฉินก็หันหน้ามาจ้องเธอแล้วถามขึ้น “ทำไมจูจูตบเธอ? ”

ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปมองเขา “คุณหมายถึงภรรยาของคุณเหรอ? ”

“อืม” หนานกงเฉินจ้องเธอด้วยสายตาที่แผดเผาขึ้น

ไป๋มู่ชิงเห็นสีหน้าเขา ก็รู้ว่าไม่มีทางซ่อนเรื่องนี้กับเขาได้ จึงพูดออกไป “วันนั้นที่ฉันไปโดนรถคุณ เธอขวางรถฉันที่ทางออก เตือนฉันว่าอย่าคิดจะยั่วยวนคุณ”

หนานกงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมก่อนหน้านี้เธอไม่บอกฉัน? ”

เขานึกขึ้นได้ ก่อนขึ้นบันไดเลื่อนจูจูบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ดูเหมือนไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำเลย และไปหาเรื่องคนอื่นด้วย

“เพราะฉันคิดว่าไม่จำเป็น” ไป๋มู่ชิงมองเขาแล้วพูดด้วยใบหน้าจริงจัง “ถ้าฉันบอกคุณ คุณอาจจะกลับบ้านไปตำหนิเธอ แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับฉัน ยิ่งสร้างความเข้าใจผิดให้เธอเพิ่มด้วย ถ้าตบนั้นทำให้ความกังวลเธอหายไป งั้นก็ไม่มีอะไรไม่ดี”

หนานกงเฉินจ้องมองเธอ ยิ้มเยาะ “เธอใจดีจริงๆ ”

“ฉันไม่ได้ใจดี ฉันแค่ไม่ชอบมีเรื่อง ยังไงฉันก็ไม่ได้คิดอะไรกับคุณ เลยไม่มีความจำเป็นต้องมีความเข้าใจผิดมากขนาดนี้” ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาแล้วพูดด้วยใบหน้าจริงจัง “ฉันเลยอยากขอคุณ เรื่องนี้ปล่อยเธอไปเถอะ อย่าไปพูดถึงอีก”

“เธอไม่คิดจะร้องขอความเป็นธรรมสักนิดเลยเหรอ? ”

“ความเป็นธรรมมันอยู่ในใจ ในเมื่อทำสิ่งที่ถูกก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”

หนานกงเฉินไม่พูดอะไรแล้ว แค่จ้องมองเธอ นานสักพักกว่าจะพ่นออกมาเงียบๆ “เธอเหมือนเพื่อนฉันคนหนึ่งจริงๆ ”

“หมายความว่าไง? ” ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจ

“ตามคำพูดของคนอื่นก็คือเป็นคนซื่อสัตย์มาก” หนานกงเฉินสูดลมหายใจเบาๆ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่น

ไป๋มู่ชิงชำเลืองมองเขา จู่ๆ ก็พบว่าหลังมือเขามีเลือด จึงถามอย่างเป็นห่วง “เกิดอะไรที่มือคุณ? ”

หนานกงเฉินมองหลังมือตัวเอง นั่นโดนรถเข็นชอปปิ้งข่วนจนได้รับบาดเจ็บเมื่อครู่นี้ บาดแผลยาวหลายเซนติเมตร แต่ไม่ได้ลึกมาก เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บด้วยซ้ำ โดนไป๋มู่ชิงถามแบบนี้ เลยมองไปที่มัน

“ฉันจะปาเอายากับหมอมาช่วยคุณทา” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะพยาบาล

หนานกงเฉินรีบพูด “ไม่ต้อง รถฉันมียา”

“อุ๊ยตาย……” เมื่อพูดถึงรถ จู่ๆ ไป๋มู่ชิงก็นึกถึงคำพูดจูจู รีบพูดกับหนานกงเฉิน “ขอโทษคุณชายเฉิน ฉันลืมบอกคุณ ภรรยาคุณจอดรถอยู่ข้างถนน ให้คุณรีบลงไป”

“รู้แล้ว” หนานกงเฉินตอบ แต่ไม่ได้ขยับไปไหน

ไป๋มู่ชิงเห็นเขาไม่ขยับ จึงเดินไปขอยาและผ้าก๊อซจากคุณพยาบาลมา

หลังจากนั่งลงข้างๆ เขา เธอใช้มือข้างหนึ่งยกฝ่ามือเขาขึ้น หลังจากทำความสะอาดแผลด้วยคอตตอนบัด ใส่ผงต้านการอักเสบแล้ว จากนั้นก็ช่วยเขาใช้ผ้าก๊อซพันแผล

หนานกงเฉินมองใบหน้าจริงจังของเธอ แสงไฟฟลูออเรสเซนต์บนทางเดินส่องลงมา ทำให้ขนตายาวเธอส่องสว่าง เขาหลงใหลโดยไม่รู้ตัว เธอตรงหน้า เหมือนมู่ชิงของเขามากๆ เสียงเหมือน ลักษณะท่าทางเหมือน นิสัยก็เหมือน……

“กลับบ้านไประวังอย่าให้โดนน้ำ ยาพวกนี้คุณเอากลับไปทาด้วย ผลของยาโรงพยาบาลมันต้องดีกว่ายาบนรถคุณแน่ๆ ” ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้น พบว่าดวงตาเขากำลังจ้องมองตนอยู่ ใบหน้าเล็กของเธอร้อนในพริบตาเดียว เพิ่มระดับเสียงเรียก “คุณชายเฉิน”

หนานกงเฉินถึงได้สติกลับมา ก้มหน้ามองยาในมือเธอ ส่ายหน้าพูดขึ้น “ไม่ต้องหรอก บ้านฉันก็มี”

ไป๋มู่ชิงก็ไม่ทำให้เขาลำบากใจ พยักหน้า “งั้นก็ได้ สายแล้ว คุณรีบลงไปเถอะ อย่าให้ภรรยาคุณรออย่างกังวลเลย”

หนานกงเฉินยังคงไม่ออกไป แต่กลับถามขึ้น “เธอเหมือนยังไม่ได้โทรหาคุณพ่อของหว่านชิงเลย? ”

“เขากำลังประชุมฉุกเฉินอยู่ ในเมื่อคุณหมอบอกว่าหว่านชิงไม่ได้เป็นอะไรมาก ฉันคิดว่าอีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยโทรไปหาเขา” ไป๋มู่ชิงพูด

ในตอนแรกเพราะเธอกังวลเกินไป ไม่มีแรงโทรศัพท์เลย ตอนนี้คุณหมอบอกหว่านชิงไม่เป็นอะไร เธอไม่อยากรบกวนการทำงานของเฉียวเฟิง

หนานกงเฉินเงียบไปสักครู่ แล้วพ่นออกมาหนึ่งประโยค “ฉันจะรอหว่านชิงออกมากับเธอ”

“ไม่ต้อง……”

“ถึงเธอจะไม่ใช่ลูกสาวฉัน แต่ฉันเป็นคนส่งเธอมา ฉันหวังว่าจะแน่ใจว่าเธอไม่เป็นอะไรจริงๆ ค่อยกลับ” เขายืนกราน

ในตอนนี้ ประตูห้องฉุกเฉินก็เปิดขึ้น อย่างที่คิดไว้ ไม่นานเสียวหว่านชิงก็ถูกส่งตัวออกมา และฟื้นจากการเป็นลมแล้ว

“หว่านชิง……!” ไป๋มู่ชิงรีบเดินเข้าไป จับมือเล็กของเธอแล้วถามบุคลากรทางการแพทย์ที่อยู่ข้างๆ “เธอเป็นยังไงบ้าง? บาดเจ็บสาหัสหรือเปล่า? ”

“แม่……” เสียวหว่านชิงร้องเบาๆ

เห็นเธอลืมตาขึ้น ได้ยินเธอเรียกตนว่า ‘แม่’ ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็โล่งใจ ร้องไห้ออกมาอย่างดีใจ

“เด็กเป็นยังไงบ้าง? ” หนานกงเฉินถาม

“ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ แค่บาดเจ็บที่ผิวหนังเท่านั้น และบาดแผลพันด้วยยาแล้ว” คุณพยาบาลคนหนึ่งพูดขึ้น

“ดีจัง ขอบคุณค่ะคุณหมอ!” ไป๋มู่ชิงโล่งใจอย่างมีความสุข

คุณหมออาวุโสคนหนึ่งกวาดตามองหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิ “มันเกิดอะไรขึ้นกับพ่อแม่อย่างพวกคุณ วันนี้ก็มีเด็กที่นิ้วถูกลิฟต์หนีบ คราวนี้มีเด็กตกลงมาจากบันไดเลื่อนอีก เด็กเล็กแบบนี้ดูแลดีๆ ไม่ได้เหรอคะ? ”

“ฉันดูหว่านชิงไม่ดีเอง……” ไป๋มู่ชิงก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด

“คุณล่ะ? ผู้ใหญ่ตัวโตแบบคุณก็ดูแลเด็กคนหนึ่งไม่ได้เหรอ? ” คุณหมอหันไปตำหนิหนานกงเฉิน

หนานกงเฉินตกตะลึง จากนั้นก็ก้มหน้าลง “ขอโทษครับ……”

“น้าหมอ เขาไม่ใช่พ่อหนูค่ะ” เสียวหว่านชิงพูด

“ไม่ใช่พ่อหนูเหรอ? ” คุณหมอมองหนานกงเฉิน แล้วมองเสียวหว่านชิงอีกครั้ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไร

หลังจากนำเสียวหว่านชิงเข้าห้องคนไข้ ไป๋มู่ชิงก็ปลอบเสียวหว่านชิง หันตัวกลับมาโทรหาเฉียวเฟิง

หนานกงเฉินนั่งข้างเตียงมองเสียวหว่านชิง แสร้งพูดอย่างเสียใจ “น้องหว่านชิง ฉันทำร้ายหนูครั้งเดียว ให้อภัยฉันไม่ได้เหรอ? ”

เสียวหว่านชิงปากเล็กคว่ำลง “ไม่ได้ค่ะ”

“ทำไม? เมื่อกี้ฉันพยายามช่วยหนูมากเลยนะ”

“แต่สุดท้ายหนูก็ตกลงมา คุณอาขี้โกหกฝีมือแย่มาก”

“นั่นเพราะหนูดิ้นตกลงมาเอง”

“ถ้าเป็นคุณอาอุลตร้าแมนต้องไม่ปล่อยให้หนูตกลงมาแน่ๆ ”

“……” หนานกงเฉินพูดไม่ออกสักพักหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มบนใบหน้าถามขึ้น “เอาล่ะ งั้นหนูต้องการอะไร? ”

“หนูอยากให้คุณอาขี้โกหกสัญญากับหนู ต่อไปห้ามให้คุณน้านิสัยไม่ดีมาตบแม่หนูอีก” เสียวหว่านชิงพูดอย่างจริงจัง

“หว่านชิง……” ไป๋มู่ชิงเดินมา พูดตำหนิอย่างโกรธๆ “ห้ามพูดกับคุณอาแบบนี้”

“อ่อ” เสียวหว่านชิงพยักหน้า เปลี่ยนคำพูดกับหนานกงเฉิน “คุณอา หนูล้อเล่น ขอบคุณคุณอาที่เมื่อกี้ช่วยหนูนะคะ”

หนานกงเฉินยิ้มให้เธอ ยกมือขึ้นลูบศีรษะเธอ “โอเค ฉันสัญญากับหนู แต่หนูต้องสัญญากับฉันหนึ่งเรื่อง”

“เรื่องอะไรคะ? ” เสียวหว่านชิงถามขึ้นพร้อมเบิกตากว้างอย่างสงสัย

“ต่อไปห้ามเรียกฉันว่าคุณอาขี้โกหกแล้ว” หนานกงเฉินพูด เขาไม่ชอบชื่อเรียกนี้ และไม่ชอบมันมากๆ

เสียวหว่านชิงเอียงศีรษะเล็กและคิด “งั้นก็ได้ค่ะ ต่อไปหนูจะเรียกคุณว่า……เรียกคุณว่า……”

“เรียกว่าคุณอาสุดหล่อก็ได้” หนานกงเฉินช่วยเธอตอบ

ไม่คิดว่าเสียวหว่านชิงจะส่ายหน้าทันที “ไม่ได้ค่ะ!”

“ทำไม? ” หนานกงเฉินสงสัย

“เพราะในความคิดหนูคุณพ่อหล่อที่สุด หนูเลยเรียกคุณแบบนี้ไม่ได้” เสียวหว่านชิงตอบอย่างจริงจัง

ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดัง ‘พรืด’ แล้วพูดขึ้น “เดี๋ยวคุณพ่อหว่านชิงจะมาแล้วค่ะ”

โทรศัพท์หนานกงเฉินดังขึ้นแล้ว เขารู้ว่าจูจูโทรมา ไป๋มู่ชิงก็รู้เช่นกัน แต่เธอไม่กล้าเร่งให้เขาออกไปอีกครั้ง เพราะกลัวว่าเขาจะไม่พอใจ

โชคดีที่ในที่สุดหนานกงเฉินก็จะออกไปแล้ว ยืนขึ้นจากขอบเตียงแล้วพูดขึ้น “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นฉันไปก่อนนะ”

“ไว้เจอกันค่ะคุณอาขี้โกหก” เสียวหว่านชิงทำหน้าทะเล้นใส่เขา

ดวงตาหนานกงเฉินจ้องมอง “ที่แท้หนูก็ขี้โกหก เจ้าเด็กขี้โกหก”

เสียวห่านชิงหัวเราะคิกคักขึ้นมา

เห็นท่าทางเย็นชาเข้มงวดของหนานกงเฉินบ่อยๆ ไป๋มู่ชิงเพิ่งเคยเห็นท่าทางใจดีและอ่อนโยนของหนานกงเฉินเป็นครั้งแรก ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกๆ มองเขาราวกับรู้จักเขาเป็นครั้งแรก

ขณะที่ไปส่งเขาออกไป เธออดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “คุณชายเฉินชอบเด็กเหรอคะ? ”

หนานกงเฉินไม่คิดว่าเธอจะถามแบบนี้ ตกตะลึงสักพักแล้วส่ายหน้า “ไม่ชอบ”

“ไม่ชอบเหรอ? ” ไป๋มู่ชิงแปลกใจ คำตอบเขามันไม่ครอบคลุมเกินไปหรือเปล่า? “แล้วทำไมคุณดีกับหว่านชิงขนาดนี้? ”

“เพราะเธอ……” หนานกงเฉินมองเสียวหว่านชิงที่ยิ้มนิดๆ ให้ตนอยู่บนเตียงคนไข้ ก็ยิ้มบางๆ “เพราะเธอน่ารักกว่าเด็กคนอื่นหน่อย”

เขาไม่ได้บอกเธอ เขาชอบเสียวหว่านชิงเพราะเธอหน้าตาเหมือนจูจูตอนเด็กๆ มาก คนที่ซ่อนอยู่ในใจเขาตลอด เป็นสาวน้อยน่ารักมีชีวิตชีวาเหมือนเสียวหว่านชิง

หนานกงเฉินไปได้ไม่นาน เฉียวเฟิงก็รีบมาพร้อมกับลุงหลิว

เขาแทบผลักประตูห้องคนไข้อย่างทนไม่ไหว จากนั้นก็มองไปรอบๆ จนกระทั่งเห็นเสียวหว่านชิงนั่งมีชีวิตบนเตียงคนไข้ก็โล่งใจ

“อาเฟิง คุณมาแล้วเหรอ” ไป๋มู่ชิงทักทาย ช่วยลุงหลิวผลักเขาเข้าไปในห้องคนไข้

“คุณพ่อ……” เสียวหว่านชิงวางโทรศัพท์ลง เรียกอย่างดีใจ

“เกิดอะไรขึ้น? ตกได้ยังไง? ” เฉียวเฟิงมองสังเกตเสียวหว่านชิงพร้อมกับถามอย่างร้อนรน “เจ็บตรงไหน? ”

“ตรงนี้ค่ะ” เสียวหว่านชิงชี้ไปที่หน้าผากตัวเอง ยิ้มแล้วพูดขึ้น “แต่คุณพ่อไม่ต้องกังวลนะ หว่านชิงไม่เจ็บแล้ว”

“มีแค่ตรงนี้จริงๆ ใช่ไหม? ที่อื่นไม่เจ็บนะ? ” เฉียวเฟิงถามจบอย่างเป็นห่วง หันไปหาไป๋มู่ชิง “คุณหมอตรวจแน่ใจแล้วใช่ไหม? ”

ไป๋มู่ชิงยิ้มขณะที่จับฝ่ามือเขา แล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องเครียดนะ ตรวจแน่ใจแล้ว คุณหมอบอกว่าหว่านชิงแค่หมดสติไปเพราะล้มลงกับพื้น จริงๆ แล้วบนหัวแค่บาดเจ็บที่ผิวหนังเท่านั้น”

ได้ยินเธอพูดแบบนี้เฉียวเฟิงก็โล่งใจ สีหน้าที่สงบลงของเขาก็เครียดขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว พูดอย่างโกรธๆ “ทำไมไม่บอกฉันเรื่องที่หว่านชิงบาดเจ็บเร็วกว่านี้? ”

ไป๋มู่ชิงยิ้ม “ตอนแรกเพราะฉันกังวลเกินไปเลยไม่ได้โทรบอกคุณ พอคุณหมอบอกว่าหว่านชิงไม่เป็นอะไร ฉันก็ไม่อยากรบกวนการทำธุระของคุณ เลยยืดเวลาโทรหาคุณเมื่อกี้”

“ยัยทึ่ม งานมันสำคัญกว่าสุขภาพหว่านชิงที่ไหนกัน คราวหน้าห้ามทำแบบนี้แล้วนะรู้ไหม? ”

“รู้แล้ว”

เฉียวเฟิงนิ่งไป แล้วถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วใครส่งพวกเธอมาที่นี่? ”

“คุณอาขี้โกหกที่หน้าตาหล่อมากๆ คนหนึ่งค่ะ” เสียวหว่านชิงพูด

ไป๋มู่ชิงยิ้มขณะที่ยื่นมือออกมาหยิกแก้มเธอ “ตกลงแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามเรียกเขาว่าคุณอาขี้โกหก”

เสียวหว่านชิงหัวเราะคิกคักขณะหลบ ดึงมือเธอออกจากแก้มเธอ

“แล้วลูกได้ขอบคุณเขาหรือเปล่า? ” เฉียวเฟิงเห็นเสียวหว่านชิงยิ้มอย่างมีความสุข ในที่สุดความกังวลในใจก็หายไป

เสียวหว่านชิงพยักหน้า “ขอบคุณไปแล้วค่ะ!”

“เก่งจริงๆ ” เฉียวเฟิงยกนิ้วโป้งให้เธอ จากนั้นก็หันไปหาไป๋มู่ชิง “คุณหมอว่ายังไงบ้าง? ต้องอยู่โรงพยาบาลต่อไหม? ”

“ไม่ต้อง คุณหมอบอกว่าเรากลับบ้านได้ทุกเมื่อ”

“คุณพ่อ หนูไม่ชอบที่นี่ หนูอยากกลับบ้าน” เสียวหว่านชิงพูด

“ได้ งั้นเรากลับบ้านกันเดี๋ยวนี้” เฉียวเฟิงอุ้มเสียวหว่านชิงไว้บนตัก ไป๋มู่ชิงผลักเขา ครอบครัวสามคนก็เดินไปที่ประตูใหญ่โรงพยาบาลอย่างมีความสุข

ขณะที่หนานกงเฉินกลับไปที่รถ จูจูก็ถามอย่างเป็นห่วง “เฉิน เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้าง? ”

“ไม่เป็นอะไรแล้ว” หนานกงเฉินรัดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อย

“งั้นก็ดีแล้ว เมื่อกี้น่าหวาดเสียวมาก” จูจูทำสีหน้าหวาดผวาอยู่

หนานกงเฉินหันไปมองเธอแล้วถามเรียบๆ “เธอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไหม? ”

จูจูตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถามแบบนี้ เธอกลั้นความรู้สึกผิดในใจไว้แล้วส่ายหน้า “เปล่า ฉันได้ยินเสียงร้องของผู้หญิงคนนั้น ก็เลยวิ่งไปก็เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กติดอยู่บนบันไดเลื่อนแล้ว ฉันตกใจแทบตาย”

หนานกงเฉินยิ้ม และไม่ได้พูดอะไรอีก

จูจูแอบสูดหายใจเข้าในใจ ในใจคิดว่าเขาคงไม่สงสัยเธอหรอกมั้ง? แต่เวลานั้นเธอซ่อนทุกอย่างไว้อย่างดี เขาคงไม่เห็นสิถึงจะถูก

เธอก็เคยคิดว่าหนานกงเฉินจะสงสัยตัวเอง จึงฉวยโอกาสตอนที่หนานกงเฉินอยู่โรงพยาบาล เธอกลับไปที่ห้างสรรพสินค้าโดยเฉพาะเพื่อจัดการกับมัน ถึงหนานกงเฉินจะสงสัยเธอก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีหลักฐาน

แต่ตอนนี้คิดๆ แล้ว เธอรู้สึกเสียใจมาก ไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองตอนนั้นตัวเองเป็นอะไรถึงได้ทำแบบนั้น ถ้าเด็กคนนั้นตกลงไปเสียชีวิตเมื่อตำรวจสืบสวนเธอก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆ และตกลงไปบาดเจ็บเหมือนในตอนนี้ ไม่เพียงแต่ไม่สร้างประโยชน์ใดๆ กับเธอ ถึงขนาดสร้างโอกาสให้พวกเธอได้อยู่กับหนานกงเฉินอีก มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ

เธอไม่อยากคิดเลยด้วยซ้ำ เมื่อครู่นี้หนานกงเฉินทำอะไรอยู่ในโรงพยาบาลนานขนาดนั้น เห็นท่าทางเขาตึงเครียดกับเสียวหว่านชิง ในใจเธอก็หมดอารมณ์

ระหว่างทางกลับไปคฤหาสน์หลังเก่า จูจูเหมือนจงใจหาหัวข้อคุยกับหนานกงเฉินเหมือนปกติ หนานกงเฉินไม่มีความสนใจที่จะคุยกับเธอ ไม่สนใจเธอเลย

เห็นเขาเป็นแบบนี้ ในใจจูจูก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมา เริ่มคิดเพ้อเจ้อ

ทั้งๆ ที่เมื่อครู่นี้ตอนทานอาหารเขายังดีๆ อยู่เลย กลายเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ในพริบตาเดียว ไม่ น่าจะเป็นหลังเจอสองแม่ลูก เขาก็เปลี่ยนกลับไปโดยทันที

คิดถึงสองแม่ลูกคู่นั้นแล้ว จูจูก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง

รถมาจอดหน้าประตูคฤหาสน์หลังเก่า ขณะที่ทั้งสองคนขึ้นไปที่ประตูห้องนอนชั้นสอง จูจูก็จับข้อมือหนานกงเฉินแล้วพูดขึ้น “เฉิน คุณเหนื่อยใช่ไหม ฉันจะเข้าไปช่วยใส่น้ำให้คุณอาบ”

“ไม่ต้องหรอก” หนานกงเฉินหันตัวไปมองเธอ ลังเลอยู่สักพักหนึ่งก่อนถามขึ้น “จู ฉันขอถามคุณหน่อยว่าคุณเคยตบคุณหนูอีคนนั้นหรือเปล่า? ”

จูจูตกตะลึง ส่ายหน้าด้วยสัญชาตญาณ “เมื่อกี้ฉันพูดแล้วไม่ใช่เหรอ ช่วงนี้ฉันไม่มีแม้แต่โอกาสออกไปข้างนอกเลย จะไปตบเธอได้ยังไงกัน คุณอย่าไปฟังเด็กซนคนนั้นพูดไร้สาระ”

หนานกงเฉินเดิมทีไม่อยากถามเธอ เพราะไป๋มู่ชิงอย่างไกล่เกลี่ยเพื่อยุติความขัดแย้ง ไม่อยากให้เขาพูดเรื่องเก่าๆ อีก แต่เขาสัญญากับเสียวหว่านชิงไปแล้วว่าอย่าให้จูจูทำร้ายแม่เธออีกไม่ใช่เหรอ? ดังนั้น สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

เขานึกว่าจูจูจะเปลี่ยนคำพูดเป็นยอมรับ อย่างไรแล้วเขาก็ถามมันออกไปอย่างเคร่งขรึมขนาดนี้

แต่การตอบสนองของจูจู……ช่างทำให้เขาผิดหวังมาก และทำให้เขาโกรธมาก

เห็นสีหน้าผิดหวังของเขา จูจูก็กระวนกระวายใจ ถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “เฉิน คุณคงไม่ได้เชื่อคำพูดเด็กคนนั้นหรอกนะ? คุณเชื่อเธอที่บอกว่าฉันตบแม่เธอเหรอ? ”

หนานกงเฉินจ้องมองเธอนานสักพัก สุดท้ายก็เอ่ยปากขึ้น “จูจู ยังจำสิ่งที่ฉันเคยพูดกับเธอเมื่อสองปีก่อนได้ไหม? เธอไม่เหมือนกับจูจูในความทรงจำฉันเลย”

“เฉิน……”

“ตอนแรกฉันบอกเธอว่าจูจูในความทรงจำฉันเป็นคนดีไร้เดียงสา มีชีวิตชีวาและน่ารัก เธอบอกฉันว่าคนมันเปลี่ยนแปลงกันได้ เพราะรักฉันเธอเลยกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว แต่รักฉันยังไงก็อย่าหาข้ออ้างกลายเป็นคนที่ทำร้ายผู้หญิงที่ไม่เกี่ยวข้องสิ”

“เฉิน ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันรักคุณนะ” จูจูพูดอย่างกังวล “ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจปิดยังคุณ ฉันแค่กลัวคุณไม่พอใจ กลัวคุณคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงดุร้าย วันนั้นฉันตบเธอในโรงรถจริงๆ เพราะเธอยั่วโมโหฉันก่อน เธอบอกว่า……เธอบอกว่าฉันไม่มีปัญญาเก็บคุณไว้ได้ และบอกว่าเธอต้องการยั่วคุณ อยากให้ฉันโกรธแทบตาย……”

“เธอยังโกหกอีกนะ!”

“ทำไม? ” จูจูส่ายหน้า “ทำไมคุณยอมเชื่อเธอแต่ไม่ยอมเชื่อฉัน? ”

“คุณหนูอีไม่เคยพูดเรื่องที่เธอตบหล่อนเลย ถึงแม้เมื่อกี้นี้ตอนฉันถามเธอ เธอยังอยากให้ฉันอย่าไปสนใจเลย”

“คุณหนูอี? คุณสนิทกับเธอขนาดนั้นแล้วเหรอ? เฉิน คุณแอบไปเจอเธอลับหลังฉันใช่ไหม วันนั้นผู้หญิงที่ซ่อนตัวอยู่ใต้โต๊ะทำงานคุณคือเธอใช่ไหม? พวกคุณ……แอบเดทกันลับหลังฉันจริงๆ เหรอ? ” จูจูยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ ยิ่งพูดก็ยิ่งร้อนรนใจ

หนานกงเฉินรู้สึกผิดสักพักหนึ่ง แต่ไม่นานก็ถูกความโกรธโจมตี เขากวาดตามองจูจู “ที่แท้วันนั้นเธอก็จงใจเหยียบมือคนอื่นเหรอ? ”

“ฉัน……” ตอนนี้จูจูมีความผิดอีกครั้ง

“ทำไมเธอร้ายกาจได้ขนาดนี้? ”

“หนานกงเฉิน คุณซ่อนเธอไว้ใต้โต๊ะ ทำไมฉันถึงจะเหยียบเธอไม่ได้? เธอกำลังยั่วสามีฉันนะ ฉันเหยียบเธอมันผิดเหรอ? ” จูจูมองเขาทั้งน้ำตา “คุณบอกฉันสิ คุณกับคุณหนูอีคนนั้นเริ่มเดทกันตั้งแต่เมื่อไร? เดทกันไปถึงขั้นไหน?”

หนานกงเฉินจ้องมองเธอ “อย่ายัดเยียดความคิดสกปรกแบบนั้นให้คนอื่น ฉันกับคุณหนูอีไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“แล้วทำไมเธอต้องหลบใต้โต๊ะคุณ? ” จูจูซักถาม

“ฉันไม่ได้บอกว่าคนที่หลบใต้โต๊ะคือคุณหนูอี” หนานกงเฉินพูด ปกติเขาพูดโกหกน้อยมาก ถึงขนาดไม่เคยพูดเลยด้วยซ้ำ เพราะไม่มีใครควรค่าพอให้เขาพูดโกหกหรือปิดบัง แต่ครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของคุณหนูอีเขาต้องพูดโกหก

ถ้าจูจูเป็นคนเจ้าเล่ห์และร้ายกาจจริงๆ ต่อไปเธอต้องไม่ปล่อยคุณหนูอีและลูกสาวเธอไปแน่ๆ เขาห้ามนำอันตรายมาสู่อีกฝ่ายเพราะตัวเอง!

“แล้วใครกัน? ” จูจูจ้องมองเขาแล้วถามขึ้น

หนานกงเฉินอ้าปากแล้วพูดอย่างเย็นชา “ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องพวกนี้กับเธอ”

“เฉิน คุณสัญญากับฉันว่าคุณจะไม่รักผู้หญิงคนอื่น คุณทำแบบนี้ได้ยังไง? ” จูจูร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ

“ฉันไม่ได้บอกว่าฉันรักเธอ”

“คุณก็ไม่ควรซ่อนเธอไว้ในห้องทำงานของคุณสิ! คุณไม่แตะต้องภรรยาของตัวเอง ไปแตะต้องผู้หญิงแรดพวกนั้น คุณไม่รู้สึกสกปรกเหรอ? มีอะไรที่ฉันเทียบพวกเธอไม่ได้? ไม่สวยเท่าพวกเธอ ไม่หุ่นดีเหมือนพวกเธอเหรอ? คุณพูดสิ”

“เพราะพวกเธอเรียบง่าย พวกเธอไม่ร้องไห้งอแงใส่ฉัน ไม่อิจฉาทำร้ายคนอื่น”

“พวกเธอแค่ต้องการเงินของคุณ ต้องไม่อิจฉาอยู่แล้ว ”

“ดังนั้น ฉันจึงยอมอยู่กับพวกเธอดีกว่า” หนานกงเฉินมองเธอ “จูจู ฉันหวังว่าเหตุการณ์ตกบันไดเลื่อนในวันนี้เธอไม่ได้ทำนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะผิดหวังในตัวเธอจริงๆ ”

จูจูถูกเขาทำร้ายจนหัวใจสลาย แต่ยังคงกลั้นน้ำตาไว้

หนานกงเฉินพูดขึ้นอีก “อีกอย่าง ฉันจะเตือนเธอ คุณหนูอีเป็นผู้หญิงที่มีสามีและลูกแล้ว และหล่อนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสามีหล่อนมาก ฉันกับหล่อนไม่ได้เป็นอะไรกันสักนิด หวังว่าต่อไปเธออย่าไปหาเรื่องหล่อนอีก ไม่งั้นฉันจะจัดการเธอจริงๆ ”

“คุณจะจัดการฉันเหรอ? ” จูจูถามขึ้นทั้งน้ำตา

“ถูกต้อง” หนานกงเฉินกัดฟัน “อย่าใช้สถานะคนรักที่ถูกลิขิตไว้ของตัวเองไปทำอะไรไร้สาระ ไปทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ไม่อย่างนั้นถึงตอนนั้นแม้แต่คุณย่าก็เก็บเธอไว้ไม่ได้”

จูจูจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง หลังจากโกรธจัดเธอก็ค่อยๆ ได้สติขึ้น เธอทำอะไรลงไป ทำให้ผู้ชายตรงหน้าคนนี้โกรธจนเป็นแบบนี้ได้อย่างไรกัน? ทั้งๆ ที่เธอรู้ว่าเขาเป็นคนที่ถ้าพูดจาเพราะๆ ด้วยจะยอมทำให้ ไม่คิดเลยว่ายังตะโกนใส่เขาอยู่ที่นี่?

“เฉิน……ขอโทษ ต่อไปฉันจะไม่ทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้อีกแล้ว” เธอจับปลายเสื้อหนานกงเฉิน พูดขึ้นด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “ต่อไปฉันจะเชื่อฟัง รอคุณอยู่ที่บ้านอย่างเชื่อฟังเหมือนสองปีที่ผ่านมา คุณอย่าโกรธเลยนะโอเคไหม?”

หนานกงเฉินปลดกระดุมเสื้อเชิ้ต แล้วพูดเรียบๆ “ฉันจะรอดู”

พูดจบ เขาก็ไม่สนใจเธออีก ผลักประตูห้องนอนแล้วเดินเข้าไป

หลังจากหนานกงเฉินเข้ามาในห้องทำงานเลขาเหยียนก็ทำเหมือนปกติ เริ่มรายงานตารางงานในวันนี้ให้เขาฟัง เมื่อผ่านไปครึ่งหนึ่งของตารางงาน หนานกงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะขัดเธอ “พอแล้ว เธอบอกฉันก่อนว่าที่ฉันให้ไปสืบหาได้สืบรู้เรื่องหรือยัง? ”

“คุณชายเฉินหมายถึงเรื่องแหวนหรือเรื่องที่เฉียวหว่านชิงตกลงมาเมื่อคืน ถ้าเรื่องแรกพนักงานทำความสะอาดที่เข้าเวรยังไม่พูด อยู่ระหว่างการตรวจสอบ”

“ฉันต้องการเรื่องหลัง”

“เรื่องหลัง……” เลขาเหยียนหยุดชั่วขณะหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “บังเอิญมาก กล้องวงจรปิดห้างสรรพสินค้าพัง ไม่เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นเลย”

“พังเหรอ? ” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว

“ค่ะ บอกว่าเริ่มซ่อมวันนี้”

“พยานในตอนนั้นล่ะ? ไม่มีเลยเหรอ? ”

“ไม่มีค่ะ ฉันถามผู้หญิงคนนั้นแล้ว เธอบอกว่าเธอกำลังเก็บของอยู่ ไม่รู้ว่ารถไหลไปได้ยังไง ตอนนั้นเธอเองก็ตกใจมาก”

หนานกงเฉินเงียบไป ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง

เลขาเหยียนมองเขา พูดขึ้นอย่างลังเล “คุณชายเฉิน ฉันคิดว่าถึงแม้นายหญิงน้อยจะเป็นศัตรูกับคุณหนูอีแม่ลูกคู่นี้ ก็คงไม่กล้าแบบนี้หรอกค่ะ ยังไงแล้วมันก็เป็นเรื่องถึงชีวิต และเมื่อคืนพวกคุณก็บังเอิญเจอคุณหนูอีที่ห้างสรรพสินค้า ไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของนายหญิงน้อย คงไม่จัดการเรื่องกล้องวงจรปิดหลังจากเกิดเหตุภายในสองชั่วโมงหรอกค่ะ”

หนานกงเฉินยิ้มบางๆ อย่างหมดหนทาง “ฉันก็หวังว่าไม่ใช่เธอ ฉันก็หวังว่าเธอจะไม่กล้าขนาดนี้”

“คุณชายเฉิน ทำไมฉันรู้สึกว่าในใจคุณจริงๆ แล้วอยากให้……เรื่องนี้เธอเป็นคนทำ? ” เลขาเหยียนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“อะไรนะ? ”

“คุณกำลังหาข้ออ้างให้ตัวเองอยู่ห่างกับคุณหนูจู ไม่ใช่เหรอคะ? ”

หนานกงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย จ้องมองเธอ “เธอคิดแบบนี้เหรอ? ”

“กว่าคุณชายเฉินจะปล่อยวางจากอดีต ลองยอมรับในตัวนายหญิงน้อย แต่ตอนนี้คุณรู้ว่าเธอตบและเหยียบคุณหนูอี ในใจก็เริ่มผิดหวังในตัวเธอ ถ้าตรวจสอบออกมาแล้วผลสุดท้ายนายหญิงน้อยเป็นคนผลักเฉียวหว่านชิง คุณก็จะหมดศรัทธาในตัวเธออย่างสิ้นเชิง เมื่อคุณไม่รู้สึกผิดต่อเธออีกต่อไป คุณก็จะปล่อยวางภาระในใจได้ ความรู้สึกแบบนี้ฉันเข้าใจค่ะ”

หนานกงเฉินจ้องมองเธอ แล้วยิ้มเย้ยหยัน “เธอเคยเรียนจิตวิทยาเหรอ? ”

“เปล่าค่ะ ฉันแค่อยู่กับคุณมานาน เข้าใจความคิดในใจคุณ” เลขาเหยียนยิ้ม “คุณไม่คิดว่าเหตุการณ์ที่เฉียวหว่านชิงตกเป็นอุบัติเหตุเลยสักนิด และกระตือรือร้นอยากได้ผลการสืบสวนขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้เหรอ? ”

หนานกงเฉินอ้าปาก ไม่สามารถคัดค้านเลขาเหยียนได้เลยสักนิด

หรือจะเป็นอย่างที่เลขาเหยียนพูดจริงๆ เขาต้องการความจริงอย่างมาก เพื่อให้ตัวเองสูญเสียความประทับใจที่ตัวเองมีต่อจูจู หลบหนีความจริงที่ว่าไป๋มู่ชิงไม่อยู่แล้วต่อไป?

ถ้าจูจูเป็นผู้หญิงเจ้าเล่ห์ร้ายกาจแบบนั้นจริงๆ เขายังพยายามรักเธออีกไหม? ก็ต้องไม่รักอย่างแน่นอน!

โทรศัพท์เลขาเหยียนดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแล้วพูดขึ้น “คุณหนูอีมาแล้ว ฉันจะไปต้อนรับนะคะ” เลขาเหยียนพูดจบ ก็มองหนานกงเฉินอย่างลึกซึ้ง แล้วหันตัวออกไปจากห้องทำงานเขา

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท