เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 201 ความสงสัย

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ผ่านไปสักครู่ เขาค่อยเอ่ยถามขึ้น “คุณว่าอะไรนะ? สามีเธอเป็นคนพิการงั้นหรอ?”

จูจูพยักหน้าแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า “สามีของเธอรวยมากแล้วก็หล่อมากด้วย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะพิการ เธอก็คงไม่นอกใจหรอก ยิ่งไม่มีทางมายั่วยุคุณ”

เงียบไปอีกสักพัก หนานกงเฉินค่อยถามขึ้น “สามีเธอคือใคร?”

จูจูเกือบจะพูดไปว่าเป็นผู้บริหารของร้านอาหารซิงหยวน แต่พอคิดไปแล้วถ้าหนานกงเฉินรู้ว่าเธอไปหาเฉียวเฟิงก็คงจะโมโหอีกแน่ๆก็เลยส่ายหัว “ฉันไม่รู้ ฉันเคยเห็นเขา เขานั่งอยู่บนรถเข็น”

ความจริงเธอก็ไม่รู้ว่าเฉียวเฟิงเป็นเจ้าของร้านอาหารซิงหยวน เธอรู้แค่ว่าเฉียวเฟิงนั่งรถรถหรูหรา เสื้อผ้าก็แบรนด์เนมแล้วยังมีห้องทำงานที่ใหญ่โต แค่นี้ก็มองออกแล้วว่าเป็นคนรวย

หนานกงเฉินเงียบไปสักครู่จากนั้นก็หันหลังเดินออกประตูไป

“เฉิน คุณจะไปไหนคะ?” เมื่อจูจูเห็นเขาหันหลังจะเดินออกไปข้างนอกก็รีบยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้าแล้ววิ่งตามไป

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ ฝีเท้าไม่หยุดก้าวแล้วเดินลงไปข้างล่าง

จนกระทั่งเขาเดินไปที่ประตูแล้วขึ้นรถไป

เขาไม่ได้สตาร์ทรถทันทีแต่กลับนิ่งเหม่ออยู่ที่นั่ง เขาจะรีบร้อนไปทำไม? เขากำลังคาดหวังอะไรอยู่?

ความจริงหลังจากที่เจอไป๋มู่ชิงเมื่อเช้านี้ ในหัวเขาก็คิดถึงความบังเอิญบางอย่าง เฉียวซือเหิงบอกว่าลูกสาวเฉียวเฟิงอายุสามขวบแล้ว กี่วันนี้ก็กำลังจะไปต่างประเทศ ไป๋มู่ชิงก็บอกว่าจะลาออกแล้วย้ายไปอยู่ต่างประเทศ บังเอิญจริงๆ! แต่ว่าตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรมาก ยิ่งไม่คิดไปถึงขนาดนี้เลย

จนกระทั่งเมื่อกี้ได้ยินจูจูพูดถึงว่าสามีของคุณหนูอีเป็นคนพิการ แล้วยังเป็นคนพิการที่หน้าตาหล่อแล้วรวยมาก ในสมองเขาก็คิดขึ้นมาได้ทันทีว่าเป็นเฉียวเฟิง

สามีของคุณหนูอีจะเป็นเฉียวเฟิงหรือเปล่า? เป็นไปได้ยังไง?

สุดท้ายเขาก็สตาร์ทรถแล่นรถออกจากคฤหาสน์ตระกูลหนานกงแล้วไปที่บ้านของคุณหนูอี

ยังดีที่เขาเคยส่งเธอกลับไปครั้งหนึ่งก็เลยรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน

จนกระทั่งเขามาถึงหน้าบ้าน ในบ้านก็ยังมีแสงสว่าง ยังมีเสียงหัวเราะของเสี่ยวหว่านชิงลอยออกมา แล้วยังมีเสียงตำหนิของไป๋มู่ชิงด้วย “หว่านชิง! หยุดเล่นได้แล้ว รีบขึ้นไปนอนเลย”

“ไม่ค่ะ หนูอยากจะเล่นอีก”

“ถ้ายังไม่นอนพรุ่งนี้ก็จะตื่นสายนะ”

“ถ้างั้นหนูจะนอนกับคุณพ่อคุณแม่”

“ไม่ได้……เราคุยกันแล้วไงคะ หนูเป็นเด็กโตแล้ว นอนกับพ่อแม่ไม่ได้”

“……”

ได้ยินเสียงหัวเราะมีความสุขจากในบ้าน แค่นึกถึงก็เป็นภาพแห่งความสุข แต่ว่ากลับไม่ใช่ของเขา ในใจของหนานกงเฉินก็เริ่มรู้สึกผิดหวังขึ้นมา

จากนั้น เขาเห็นไฟในบ้านเริ่มปิดลงแล้วเสียงหัวเราะก็ค่อยค่อยหายไป

หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่ในรถครู่หนึ่ง หนานกงเฉินก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาผู้ช่วยเหยียน

อีกฝั่งของโทรศัพท์ผู้ช่วยเหยียนก็ชินแล้วที่จะต้องทำงานทั้งยี่สิบสี่ชั่วโมงก็เลยรับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว “คุณชายมีอะไรหรือเปล่าคะ?”

หนานกงเฉินมองไปที่บ้านตรงหน้า “คุณช่วยเช็คให้หน่อยว่าใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้”

แค่สืบให้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ก็คงพอแล้วมั้ง เขาคิดว่าอย่างนั้น

จากนั้นผู้ช่วยเหยียนก็โทรกลับมาอย่างรวดเร็วแล้วพูดอย่างมีมารยาท “คุณชายเฉินคะ เจ้าของบ้านเป็นเฉียวเฟิงค่ะ”

ชื่อนี้ทำให้หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าลึก มือที่ถือโทรศัพท์ไว้ก็สั่นไหวไป

เมื่อผู้ช่วยรู้สึกถึงความเงียบของเขาก็เลยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “ทำไมคะ? คุณชายเฉิน”

หนานกงเฉินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหลังจากที่ตัวเองรู้ความจริงแล้วต้องตกใจขนาดนี้ด้วย ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ไม่ว่าสามีของคุณหนูอีจะเป็นเฉียวเฟิงหรือว่าคนรวยคนไหนก็ไม่แปลกไม่ใช่หรอ? ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาไม่ใช่หรอ?

ไม่ ถ้าเป็นผู้ชายคนอื่นเขาไม่สนใจก็ได้ นอกจากเฉียวเฟิงนอกจากเขา!

นึกถึงตอนนั้นความสัมพันธ์ที่เลือนลางระหว่างเฉียวเฟิงกับไป๋มู่ชิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะคาดเดา

“คุณชายเฉินคะ คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” ผู้ช่วยเหยียนก็ถามขึ้นอีก

“ผมเพิ่งรู้วันนี้ ว่าสามีของคุณหนูอีเป็นเฉียวเฟิง” สายตาของหนานกงเฉินมองไปที่หน้าต่างที่ปิดไฟแล้วแล้วเอ่ยออกมา

“ใช่หรอคะ ทำไมบังเอิญขนาดนี้” แต่ท่าทางของผู้ช่วยเหยียนแตกต่างจากเขามาก ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเลย

“คุณไม่รู้สึกแปลกใจหรอ?” หนานกงเฉินถามขึ้น หรือเป็นเพราะท่าทางของเขาเซนซิทีฟเกินไป?

“เออ……คุณชายเฉิน ฉันควรจะรู้สึกแปลกใจเหรอคะ?” ผู้ช่วยเหยียนประหลาดใจ

“ตอนนั้นไป๋มู่ชิงเอาเฉียวเฟิงมายั่วผมตั้งกี่ครั้ง ผมดูออกการกระทำของเฉียวเฟิง น่าจะชอบไป๋มู่ชิง เฉียวซือเหิงไม่เคยบอกผมเลยว่าเฉียวเฟิงแต่งงานมีลูกอยู่ต่างประเทศแล้ว ตอนนี้ข้างกายเขาก็มีภรรยาโผล่มา หน้าตาเหมือนกับไป๋มู่ชิงด้วย……”

ผู้ช่วยเหยียนพยายามนึกย้อนคิดในหัว กว่าจะนึกออกมาได้ก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา “คุณชายเฉินสงสัยว่าคุณหนูอีเป็นคุณหญิงน้อยหรอคะ?”

“ผมบ้าไปแล้วใช่ไหม?” หนานกงเฉินยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง

ก็ว่าทำไมผู้ช่วยเหยียนถึงต้องตกใจขนาดนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นใครก็คงรู้สึกว่าเขาคงบ้าไปแล้ว

“คุณชายเฉินคะ……ฉันไม่รู้ว่าคุณมีความคิดแบบนี้เกินไปหรือเปล่า แต่ว่าฉันต้องเตือนคุณให้คุณคิดแยกแยะดีๆนะคะ”

“คุณพูดมาสิ”

“อันดับแรก อุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นเรื่องจริง เราเห็นจากกล้องหน้ารถแล้วว่านั่นเป็นคุณหญิงน้อย แล้วรถของคุณหญิงน้อยก็ระเบิดเป็นซากแล้วล้วงขึ้นมาจากทะเล คุณก็เป็นคนไปรับศพเองแล้วยังมีแหวนของตระกูลหนานกงด้วย คุณหญิงน้อยสวมแหวนอยู่ตลอดไม่เคยถอดเลย แล้วตอนนี้ก็อยู่ในมือของคุณหนูจู นอกเสียจากแหวนบนมือคุณหนูจูนี้จะเป็นของปลอม แล้วศพก็เป็นศพปลอมด้วย”

“คุณไม่เข้าใจ เพื่อที่ผมจะได้แต่งงานกับจูจู คุณย่าทำออกมาได้หมด” หนานกงเฉินยิ้มอย่างขมขื่น

คุณหญิงบังคับเอาแหวนจากมือของไป๋มู่ชิงกลับมา แล้วทำศพปลอมขึ้นมา เรื่องแค่นี้ไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับท่านเลย

“แต่ถ้าคุณหญิงเป็นคนที่เจอคุณหญิงน้อยแล้วแย่งแหวนกลับมา ดูจากนิสัยของท่านคงไม่มีทางให้คุณหญิงน้อยมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้” ผู้ช่วยเหยียนคิดไปคิดมาแล้วพูดขึ้น “แล้วคุณหนูอีตอนนี้อีก คุณก็เห็นแล้วเธอหน้าตาเหมือนกับหว่านชิงมาก ไม่เหมือนกับรับเลี้ยงเด็กเลย คุณหนูอีก็ไม่ได้คุ้นชินกับที่นี่ด้วย แล้วรู้สึกแปลกหน้าคุณชายเหมือนกับว่าไม่เคยเจอมาก่อน คงไม่ใช่เพราะความจำเสื่อมแล้วก็ไปศัลยกรรมด้วยมั้งคะ? นี่มันละครน้ำเน่าชัดๆ”

หนานกงเฉินก็เงียบไปอีกสักพักค่อยเอ่ยขึ้น “ที่คุณพูดก็ถูก แต่ผมลางสังหรณ์ของตัวเอง ผมคิดว่าไม่มีอะไรน่าเชื่อถือมากกว่าลางสังหรณ์แล้ว”

“ถ้าลองตรวจสอบดีๆก็ไม่มีผลเสียอะไรไม่ใช่หรอคะ?” ผู้ช่วยเหยียนพูด “แต่ว่าคุณชายเฉินคุณอย่าใจร้อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะช่วยคุณสืบ คุณพักผ่อนเถอะค่ะ”

“ขอบใจ” หนานกงเฉินวางโทรศัพท์

หลังจากที่วางโทรศัพท์เขาก็ไม่ได้ไปจากหน้าประตูบ้านของไป๋มู่ชิง แต่กลับขับรถไปจอดที่ตรงมุมถนน จากนั้นก็เริ่มต้นการรอคอยที่ยาวนาน

ค่ำคืนที่ยาวนานผ่านไปทีละนิด แต่เขาไม่รู้สึกง่วงเลย แค่นึกถึงว่าภรรยาของตัวเองอาจจะนอนอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนอื่น แค่คิดถึงตรงนี้เขาก็หงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว อารมณ์ต่างๆถูกห้ามไว้ในใจแล้วปั่นป่วนไปมา แม้แต่ความคิดพิจารณาเขาก็ไม่เหลือแล้ว

ฟ้าค่อยๆสว่าง บนหลังคารถก็มีใบไม้กับหมอกปกคลุมอยู่ ดูก็รู้เลยว่ารถคันนี้ไม่ได้ไปจากที่นี่ทั้งคืน

รอบข้างก็เริ่มมีเงาของคนทำงาน หนานกงเฉินนั่งอยู่ในรถอย่างนิ่งชา สายตาไม่เคยห่างออกจากบ้านหลังนั้นเลย

จนสุดท้ายเขาเห็นรถคันนึงแล่นมาจอดอยู่หน้าประตูบ้าน จากนั้นก็เป็นเสี่ยวหว่านชิงที่วิ่งออกมาจากบ้านอย่างดีใจแล้วทักทายกับคนขับรถจากนั้นก็ขึ้นรถไป แล้วตามมาด้วยคุณหนูอีที่เข็นรถเข็นของเฉียวเฟิงออกมา

ใช่ เป็นเฉียวเฟิง เป็นเขาจริงๆด้วย!

ความสงสัยในใจของหนานกงเฉินหายไปในพริบตา เมื่อคืนเขาก็คิดว่าทุกคนอาจจะเข้าใจผิด สามีของคุณหนูอีอาจจะไม่ใช่เฉียวเฟิงก็ได้ แต่เวลานี้ความสงสัยนี้หายไปแล้ว

ครอบครัวตรงหน้าของเขาดูสนิทสนมแล้วมีความสุขมาก บนใบหน้าของทุกคนมีแต่ความสุข

ด้วยโอกาสนี้ เขาก็มองไปที่สีหน้าของคุณหนูอี รอยยิ้มบนใบหน้าเธอเหมือนกับไป๋มู่ชิงมาก ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือน

หลังจากที่ทั้งครอบครัวขึ้นรถไปแล้วรถก็ค่อยๆเล่นออกไปทิศทางอีกทางหนึ่ง

จนกระทั่งพวกเขาไปไกลแล้ว หนานกงเฉินค่อยขยับขาทั้งสองข้างที่นิ่งชาแล้วเดินออกมาจากรถ เขาทรงตัวให้นิ่งแล้วค่อยๆชินกับความรู้สึกชาของขาทั้งสอง จากนั้นก็ก้าวเดินไปที่บ้านหลังนั้น

มองผ่านประตูเหล็กที่กั้นอยู่ เขาเห็นสวนที่ดูเรียบร้อยแล้วมีน้องหมาที่น่ารักกำลังวิ่งเล่นอยู่ในสวน บ้านไม่ได้หลังใหญ่โตมาก แต่ก็เป็นชีวิตที่เงียบสงบอย่างที่ไป๋มู่ชิงต้องการ

“มู่ชิง เป็นเธอหรือเปล่า?” เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบาในใจ

เมื่อคืนหนานกงเฉินไม่ได้กลับมาทั้งคืนแล้วคุณหญิงก็เป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่าบวกกับคำยุยงของจูจูก็มาถึงบริษัทแต่เช้า

ก่อนที่คุณหญิงกับจูจูจะมาถึงบริษัท หนานกงเฉินกำลังนั่งมองรูปภาพในห้องทำงาน นั่นเป็นภาพวาดของเสี่ยวหว่านชิง

ทำไมคุณหนูอีถึงหน้าตาเหมือนเสี่ยวหว่านชิงขนาดนั้น คำถามนี้เอาแต่วนอยู่ในหัวของเขา ถ้าคุณหนูอีเป็นไป๋มู่ชิง ใบหน้าของเธอก็ศัลยกรรมตามใบหน้าของเสี่ยวหว่านชิงหรอ? เพื่อที่จะทำให้ดูเหมือนแม่ลูกกันงั้นหรอ?

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเขาก็รีบเก็บภาพวาดลงใต้โต๊ะแล้วเอ่ยขึ้น “คุณย่า ทำไมถึงมาบริษัทครับ?”

“เมื่อคืนอยู่ๆแกก็วิ่งออกจากบ้าน ฉันเป็นห่วงว่าแกจะเป็นอะไร” คุณหญิงนั่งลงที่โซฟาพร้อมกับจูจู แล้วมองสำรวจเขาเมื่อเขาไม่เป็นไรค่อยโล่งอกไป แต่ท่านก็ยังเอ่ยถามขึ้นอย่างเป็นห่วง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

“ไม่มีอะไรครับ แค่นึกถึงธุระบางอย่างที่เร่งด่วน” หนานกงเฉินเดินออกมาจากโต๊ะทำงาน

จูจูมองไปที่เขาแล้วในใจก็คิดว่าเขาวิ่งออกไปหลังจากที่ได้ยินว่าสามีของคุณหนูอีเป็นคนพิการ ทำไมเขาถึงแสดงท่าทางขนาดนั้น? เป็นเพราะว่าได้ยินว่าสามีเธอเป็นคนพิการแล้วคิดว่าตัวเองยังมีความหวังหรอ?

ในขณะที่คิดมากอยู่ในหัว เธอก็รู้สึกว่ามือของตัวเองถูกใครบางคนจับจากเธออึ้งไป เมื่อดึงสติกลับมาค่อยรู้ว่าหนานกงเฉินจับมือเธอไว้

ในใจเธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเพราะว่าสายตาที่หนานกงเฉินมองไปที่มือของเธอเป็นสายตาที่อ่อนโยน ความอ่อนโยนที่ไม่เคยมี แต่วินาทีต่อมาจินตนาการในใจของเธอก็แตกสลายไปทันที หนานกงเฉินถอดแหวนบนนิ้วนางของเธอออก

“เฉิน คุณกำลังทำอะไรคะ?” ในใจจูจูก็สั่นเกร็งไป ทำไมเขาต้องถอดแหวนของเธอด้วย? เขาจะหย่ากับเธอหรอ? เธอยิ่งคิดก็ยิ่งรีบร้อนแล้วหันไปทางคุณหญิง

“เฉิน นี่แกกำลังทำอะไร?” คุณหญิงก็เข้มงวดขึ้นมา

หนานกงเฉินยิ้มแล้วจ้องไปที่คุณหญิง “จะเกร็งทำไมครับ? แค่รู้สึกแหวนดูแปลกๆครับ”

“แหวนจะแปลกได้ยังไง? ฉันกลัวว่าแกจะเอาแหวนไปให้ผู้หญิงคนนั้นต่างหาก” คุณหญิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฉันขอเตือนแกไว้เลย แกจะทำอะไรข้างนอกก็ได้ แต่อย่าคิดที่จะเอาแหวนไป”

สีหน้าของคุณหญิงไม่เหมือนแสดงละครตบตาเลย หนานกงเฉินก็เดาไม่ออกว่าในใจท่านกำลังคิดอะไรอยู่แล้วยิ้มไปให้ “คุณย่าครับ ถึงผมจะเกเรแค่ไหนก็ไม่กล้าเอาแหวนตระกูลหนานกงไปให้คนอื่นหรอกครับ แล้วอีกอย่าง แหวนนี้เป็นแหวนสืบทอดของตระกูลเรา แต่สำหรับผู้หญิงข้างนอกพวกนั้นคงไม่ได้มีค่าอะไรมาก ถึงผมจะให้คนอื่นเขาก็อาจจะไม่รับก็ได้”

“นี่เป็นแหวนที่แสดงให้เห็นถึงฐานะของคุณหญิงน้อยตระกูลหนานกง” คุณหญิงไม่พอใจกับการที่เขาดูถูกแหวนของตระกูล

“ผมรู้” หนานกงเฉินมองกวาดไปที่จูจู ก็ยังรักษาใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ “จูจูคุณกลัวแหวนวงนี้ไม่ใช่หรอ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอากลับมาคืน”

“ไม่……” จูจูยังไม่ทันได้เอ่ยพูดหนานกงเฉินก็พูดแทรกเธอแล้วจ้องไปที่เธอ “ถ้าผมเอากลับมา ก็อย่าหาข้ออ้างอะไรที่จะไม่ใส่อีก”

ในใจจูจูก็ยังรู้สึกสงสัยอยู่ ถึงแม้ไม่อยากให้เขาเอาแหวนไปแต่ก็ไม่กล้าแย่งแหวนจากในมือเขามา ก็เลยยิ้มให้ “ได้ ต่อไปฉันจะใส่ทุกวันเลย”

หนานกงเฉินแค่อยากจะแยกตัวเธอออกแล้วถามคุณหญิงเกี่ยวกับเรื่องไป๋มู่ชิง แต่พอจะเอ่ยถามออกมาก็ต้องกลืนกลับไป ในใจคิดว่าช่างเถอะ ถ้าเกิดว่าคุณหญิงเป็นคนทำจริงแล้วรู้ว่าเขาเริ่มสงสัยก็คงจะขัดขวางไม่ให้เขารู้ความจริง

เพราะฉะนั้นก่อนที่จะรู้ความจริง ในขณะที่ตัวเองไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของคุณหนูอีได้ เขาก็จะไม่ทำอะไรเปิดเผยเด็ดขาด

หลังจากที่คุณหญิงออกไป หนานกงเฉินก็เรียกผู้ช่วยเหยียนแล้วนำแหวนให้เธอ “แหวนวงนี้ตอนนั้นผมเคยเอาไปเช็คแล้ว คุณเอาไปเช็คอีกรอบ อย่าทำหายเด็ดขาด”

“คุณชายเฉินไว้ใจเถอะค่ะ ฉันจะระวัง” แหวนของตระกูลหนานกง ให้ความกล้าเธอแค่ไหนเธอก็ไม่กล้าทำให้หาย

ผู้ช่วยเหยียนเก็บแหวนเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้น “คุณชายเฉินคะ ความจริงมีวิธีอีกวิธีหนึ่งที่ทำได้ตรงเลย ก็คือหาคุณแม่กับน้องชายของคุณหญิงน้อย จากนั้นก็ใช้เส้นผมบนตัวพวกเขาแล้วเอาไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

“ผมให้คนไปหาแม่กับน้องชายมู่ชิงแล้ว” หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบาๆ

“ฟังจากน้ำเสียงของคุณชาย เหมือนว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากมาก?”

“ตอนนี้ยังไม่แน่ใจ แต่ว่าไปที่เมืองเหยียนแล้ว ไม่ได้ข่าวของพวกเขาเลย”

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงจากไป เขาก็เคยไปหาจูฮุ่ยกับเสี่ยวอี้ หวังว่าจะดูแลพวกเขาต่อ แต่จูฮุ่ยคิดว่าการตายของไป๋มู่ชิงเป็นเพราะเขา เลยปฏิเสธ เขาไปมากี่รอบก็เหมือนเดิม จนสุดท้ายเขาก็ไม่ค่อยไปแล้วไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาอีก

วันนี้เขาให้พนักงานที่บริษัทที่เมืองเหยียนไปหาที่บ้านของจูฮุ่ย ก็เพิ่งรู้ว่าย้ายออกไปเมื่อสองปีก่อนแล้ว จนตอนนี้ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย

“ใจเย็นๆนะคะ ยังไงเราก็ต้องหาเจอ” ผู้ช่วยเหยียนพูดปลอบ

หนานกงเฉินพยักหน้า ความจริงอยากจะเอาตัวอย่างดีเอ็นเอจากคุณหนูอีก็ยากมาก เพราะว่าเธอเริ่มรู้สึกคิดว่าเขาเป็นคนอันตรายแล้ว

ต้องโทษที่ตอนนั้นที่เขาใจร้อนเกินไปก็เลยทำให้เธอรู้สึกต่อต้านตัวเองแบบนี้

หลังจากที่เดินออกมาจากโรงเรียนอนุบาลก็ไป๋มู่ชิงเอ่ยยิ้มกับเฉียวเฟิงว่า “เมื่อกี้ฉันคุยกับคุณครูฟางแล้วว่าเสี่ยวหว่านชิงกำลังจะลาออก แม้แต่คุณครูฟางก็ไม่อยากให้ไป เสี่ยวหว่านชิงก็ไม่อยากไปจากทุกคนด้วย”

“ใครให้หว่านชิงเป็นคนที่ทุกคนชอบล่ะ” เฉียวเฟิงพูดยิ้ม

“คุณครูฟางพูดแล้ว ถ้าอีกหน่อยหนูกลับมาก็มาหาเธอได้” หว่านชิงพูด

“ได้สิ ถ้าอีกหน่อยเรากลับมาที่นี่ก็จะไปหาคุณครูฟางกัน “ไป๋มู่ชิงลูบหัวเธอแล้วขณะที่รถกำลังแล่นออก เธอก็เห็นรถคันหนึ่งแล้วเห็นเงาที่คุ้นเคยนั่งอยู่ในรถด้วย

ทั้งสองสบตากันผ่านกระจกรถ ไป๋มู่ชิงก็อึ้งไปแล้วรีบเก็บสายตาตัวเองกลับมา ในใจก็ตีกันวุ่นไปหมด

หนานกงเฉิน เขาสัญญากับเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่มารบกวนเธออีก? แล้วอวยพรให้เธอไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศอย่างมีความสุขด้วย? ทำไมตอนนี้ยังแอบตามเธอมาถึงโรงเรียนอนุบาล? แถมยังเปลี่ยนรถที่ไม่เด่งตามาด้วย

เธอพยายามตั้งสติแล้วกอดเสี่ยวหว่านชิงไว้

“ใช่สิเฟิง เราจองตั๋วที่ไปจากเมืองซีวันไหน” เธอเงยหน้าขึ้นไปถามเฉียวเฟิง

สายตาของหนานกงเฉินลึกลับขนาดนั้น แล้วยังร้อนเดือดขนาดนั้น เหมือนกับว่าเธอเป็นภรรยาเก่าของเขา ความรู้สึกนี้น่ากลัวมาก ตอนนี้เธออยากไปจากเมืองซีมากกว่าเฉียวเฟิงอีก

“คุณบอกว่าจะฝากงานกับเพื่อนร่วมงานไม่ใช่หรอ? รอคุณจัดการทุกอย่างเสร็จเราก็ไปแล้ว” เฉียวเฟิงพูด

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเอ่ยกับประธานจางให้เขาอนุมัติให้เร็วขึ้น อาทิตย์หน้าได้ไหม?”

“ได้ อาทิตย์หน้างานของผมก็คงจะเรียบร้อยแล้ว”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ภาวนาให้ภายในอาทิตย์นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก

วันต่อมาผลออกมาแล้ว ผลก็เหมือนกับครั้งก่อนว่าแหวนเป็นแหวนตระกูลหนานกงจริง

เมื่อเห็นผลนี้ หนานกงเฉินก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมาก แต่แค่รู้สึกสงสารไป๋มู่ชิงขึ้นมามากกว่าเดิม

เขาไม่กล้าคิดเลย ถ้าคุณหนูอีเป็นไป๋มู่ชิงจริงๆ ตอนนั้นพวกเขาใช้วิธีอะไรถอดแหวนมาจากนิ้วเธอ ขณะที่เธอได้รับบาดเจ็บแล้วถอดออกมาหรือว่าแย่งแหวนไปจากเธอก่อนที่เธอจะบาดเจ็บด้วยซ้ำ

ไม่ว่าจะวิธีใด พอเขาคิดถึงภาพเหตุการณ์นั้นก็รู้สึกเจ็บปวดใจ

เขานำแหวนคืนไปที่มือจูจู จูจูไม่คิดเลยว่าเขาจะทำตามสัญญาแล้วสวมแหวนกลับไปที่นิ้วตัวเองอย่างมีความสุข

“เป็นอะไร? ท่าทางห่อเหี่ยวขนาดนั้น” คุณหญิงถามเขา “กี่วันนี้นอนไม่หลับเหรอ?”

หนานกงเฉินไม่ได้ตอบคำถามของท่าน แต่จ้องไปที่ท่าน “คุณย่าครับ ตอนนั้นใครเป็นคนเอาแหวนมาจากนิ้วของไป๋มู่ชิงครับ? คงยากน่าดูเลยใช่ไหมครับ?”

“อยู่ดีๆทำไมพูดถึงเธออีก?” คุณหญิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

“ผมแค่อยากรู้ว่าตอนนั้นเธอเจ็บแค่ไหน”

“คนตายไปแล้วจะรู้สึกเจ็บได้ยังไง? เจ้าหน้าที่จัดการเรื่องศพเป็นคนถอดออกมา” คุณหญิงพูดปลอบใจ “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องคิดอีก”

หนานกงเฉินแค่ตอบรับไปเสียงเบา เขาไม่คาดหวังเบาะแสอะไรจากคำพูดของคุณหญิงเลย

เขาขับรถออกจากคฤหาสน์ไปตามถนนอย่างไม่มีจุดหมาย สุดท้ายก็มาถึงหน้าประตูบ้านของไป๋มู่ชิง

เขาโทรไปหาไป๋มู่ชิง อีกฝั่งของโทรศัพท์ก็มีเสียงของไป๋มู่ชิงลอยออกมา “คุณชายเฉิน เราคุยกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่รบกวนฉันอีก?”

หนานกงเฉินมองไปที่เวลาแล้วเอ่ย “ผมหาคุณมีเรื่องด่วน ผมอยู่ที่ทางเลี้ยวหน้าประตูบ้านคุณ”

“เรื่องด่วนอะไรคะคุณชายเฉิน? เรื่องงานฉันมอบหมายให้คนอื่นหมดแล้ว เราไม่ควรจะเจอกันอีกนะคะ”

“เรื่องด่วนจริงๆครับ!” หนานกงเฉินพูด เขารู้ว่าถ้าตัวเองไม่พูดแบบนี้เธอก็คงไม่ยอมออกไปแน่นอน

เมื่อเขาพูดให้รู้เรื่องสำคัญขนาดนี้ ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมาแล้วเอ่ย “วันนี้คุณไม่ได้ดื่มใช่ไหมคะ ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำเรื่องแบบนั้นกับฉันอีก”

“ไม่ครับ ไว้ใจเถอะ” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์ ดูเหมือนว่าภาพลักษณ์ของตัวเองในใจเธอจะไม่ดีมาก

ผ่านไปสักพัก ไป๋มู่ชิงก็โผล่มาตรงหน้าเขา เปิดประตูแล้วนั่งเข้ามาในรถแล้วจ้องเขา “คุณพ่อของหว่านชิงกำลังนั่งทานกล่อมเธอนอน ฉันต้องกลับไปก่อนที่เขาจะกลับห้อง ขอให้คุณชายร่วมมือด้วย”

หนานกงเฉินมองไปที่เธอ ครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดขนาดนี้ก็เลยมองเธออย่างตั้งใจ

ใบหน้าที่ต่างกับไป๋มู่ชิงโดยสิ้นเชิง แต่รอยยิ้มนี้ช่างคุ้นเคยเหลือเกิน

ไป๋มู่ชิงถูกเขามองจนทำตัวไม่ถูกเลยเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรคะ ตอนนี้คุณชายพูดได้หรือยังคะ?”

หนานกงเฉินเคลื่อนสายตาลงมาที่นิ้วเธอจากนั้นก็ยื่นมือออกไป แต่เมื่อแตะโดนนิ้วของเธอก็รีบดึงมือกลับ เขากลัวว่าตัวเองจะทำให้เธอตกใจอีกแล้วถอยห่างตัวเองไปไกลกว่าเดิม

“ผมขอถามได้หรือเปล่าครับ บนตัวคุณมีแผลที่ถูกความร้อน ที่ไหนบ้างครับ? แล้วมีแผลตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”

ไป๋มู่ชิงมองเขาอย่างประหลาดใจ “คุณชายเฉินถามเรื่องนี้ทำไมคะ?”

“ผมแค่อยากรู้” หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอ “ขอแค่คุณตอบคำถามผม ผมก็จะไปทันที”

“แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน ฉันไม่มีเหตุผลหรือว่าหน้าที่อะไรต้องบอกคุณ”

“ถึงบอกผมก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับคุณไม่ใช่หรอ?”

“แล้วคุณบอกฉันมาสิคะ ทำไมคุณถึงอยากรู้เรื่องพวกนี้”

หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอผ่านไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ย “ผมพูดความจริงกับคุณก็ได้ ภรรยาของผมเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นรถระเบิดทั้งคัน”

“ที่แท้คุณชายเฉินก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดที่ฉันเหมือนกับภรรยาเก่าของคุณ” ไป๋มู่ชิงส่ายหัวอย่างหมดคำพูดแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันไม่อยากพูดถึงเรื่องอดีตเลย แต่ฉันก็จะบอกคุณว่าฉันไม่เคยประสบอุบัติเหตุ เป็นเพราะที่บ้านไฟไหม้ฉันเลยมีแผลค่ะ”

“เฉียวเฟิงเป็นคนบอกคุณหรอหรือว่าคุณจำสถานการณ์ตอนนั้นได้เอง?”

ไป๋มู่ชิงประหลาดใจไป “คุณสืบเรื่องสามีของฉันหรอคะ? หนานกงเฉินสรุปคุณคิดจะทำอะไรกันแน่?”

“ผมแค่อยากรู้ว่าคุณเป็นภรรยาของผมหรือเปล่า?”

“ฉันจะเป็นภรรยาของคุณได้ยังไงคะ? ฉันมีสามีแล้วมีลูกมีครอบครัวแล้ว” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า “คุณชายเฉิน ฉันไม่ใช่ภรรยาเก่าที่คุณพูดถึงจริงๆค่ะ ฉันขอร้องให้คุณปล่อยฉันไปได้ไหมคะ?”

เธอนิ่งไปสักพัก เพื่อที่จะไล่เขาไปแล้วเอ่ยขึ้นอีก “ฉันตกลงมาจากระเบียง ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันถูกเผาผิวกายไหม้ไปหมด เป็นเพราะสามีกับลูกสาวของฉันที่อยู่กับฉันถึงทุกวันนี้ ฉันรักสามีกับลูกสาวของฉันมาก เพราะฉะนั้นขอร้องคุณอย่ามารบกวนพวกเราอีกได้ไหมคะ? ขอร้องเถอะค่ะ”

“มู่ชิง……”

“ฉันไม่ใช่มู่ชิง ฉันชื่อว่าอีหลิน” ไป๋มู่ชิงพูดตัดเขา

“คุณหนูอีอย่าพึ่งอารมณ์เสียนะครับ”

“ฉันจะไม่อารมณ์เสียได้ไงคะ? คุณมายุ่งวุ่นวายกับฉันครั้งแล้วครั้งเล่า มารบกวนฉันแล้วยังเป็นเหตุผลเดียวกันอีก ถึงแม้ฉันจะหน้าตาเหมือนกับภรรยาเก่าของคุณ ฉันผิดหรอคะ? ฉันยั่วยวนคุณหรอคะ? คุณต่างหากที่คิดไม่ดี เห็นคนอื่นมีชีวิตดีกว่าคุณไม่ได้!” ไป๋มู่ชิงพูดจบจากนั้นก็ใช้มือกดไปที่ตัวล็อกประตู สุดท้ายประตูก็เปิดออก

“มู่ชิง……” ด้วยความใจร้อนหนานกงเฉินก็จับข้อมือของเธอไว้

“ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ใช่มู่ชิง ฉันชื่ออีหลิน!” ไป๋มู่ชิงมองไปที่ฝ่ามื้อเขาที่จับข้อมือตัวเองไว้แล้วพูดอย่าหงุดหงิด “ขอให้คุณชายให้เกียรติคนอื่นด้วยค่ะ”

หนานกงเฉินก็ยังไม่อยากปล่อยมือ แต่ไป๋มู่ชิงก็อยากจะรีบไปจากที่นี่ เธอใช้มืออีกข้างงัดมือของเขาออกจากนั้นก็ลงรถแล้วปิดประตูเดินกลับไปโดยที่ไม่หันกลับมามอง

มองไปที่แผ่นหลังของเธอที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว หนานกงเฉินก็สูดหายใจเข้าอย่างไม่สบอารมณ์

ก่อนที่จะมาที่นี่เขารู้ว่าคงจะเป็นแบบนี้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมาหาเธอ เพราะว่าเขาอยากรู้ความจริงมาก เขากลัวว่าเธอจะไปต่างประเทศจริงๆ

หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่ในรถไปสักพัก เขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วโทรหาเฉียวซือเหิง อีกฝั่งก็มีเสียงที่ขี้เกียจของเฉียวซือเหิงดังขึ้น “นายดื่มไม่ได้ซะหน่อยจะหาฉันทำไม?”

“ไม่ว่าจะดื่มหรือไม่ดื่ม ออกมานั่งก็ยังดี” หนานกงเฉินพูด

“ก็ได้ เจอกันที่เดิม” เฉียวซือเหิงลังเลไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยขึ้น

หลังจากไป๋มู่ชิงกลับถึงบ้าน เฉียวเฟิงก็ออกมาจากห้องนอนพอดี

เมื่อเห็นว่าไป๋มู่ชิงเดินเข้ามาจากนอกบ้านเฉียวเฟิงก็มองกวาดไปที่เธอแล้วเอ่ย “คุณออกไปหรอ?”

“ใช่ค่ะ ฉันไปทิ้งขยะ” ไป๋มู่ชิงใช้คางชี้ไปที่ถังขยะที่ว่างเปล่า เรื่องที่ไปเจอหนานกงเฉิน เพื่อที่จะไม่ให้เฉียวเฟิงคิดมากเธอคิดว่าอย่าพูดดีกว่า

“หว่านชิงนอนแล้วหรอคะ?” เธอถาม

“นอนแล้ว” เฉียวเฟิงพยักหน้าแล้วพูดกับเธอ “รีบไปอาบน้ำเถอะ อาบน้ำเสร็จแล้วก็พักผ่อน”

“ได้” ไป๋มู่ชิงตอบรับจากนั้นก็หันหลังเดินไปทางห้องอาบน้ำ

หลังจากที่ปิดประตูห้องน้ำเธอก็แอบถอนหายใจแล้วเดินไปหน้ากระจกมองสำรวจตัวเอง เธอเหมือนภรรยาเก่าของหนานกงเฉินขนาดนั้นเลยหรอ? ทำไมเขาเอาแต่อยากจะรู้เรื่องที่เกี่ยวกับเธอ?

เธอก็รู้สึกประหลาดใจกับหน้าตาของผู้หญิงที่ชื่อว่า’มู่ชิง’ ก็เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วค้นหาข้อมูลของ จากนั้นก็เห็นรูปถ่ายของเขากับภรรยา มองไปที่ใบหน้าที่แปลกตาในรูป เธอไม่รู้สึกเลยว่าตัวเองเหมือนตรงไหน

เฉียวเฟิงเคยบอกเธอว่าเมื่อสองปีก่อนหมอศัลยกรรมตามใบหน้าเดิมของเธอ แล้วใบหน้าตอนนี้ก็เป็นเธอด้วย เธอเชื่อมั่นอย่างนั้นแล้วอีกอย่างเสี่ยวหว่านชิงก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด

เสี่ยวหว่านชิงเป็นลูกสาวของเธอ เรื่องนี้เธอแน่ใจมาก!

แต่ว่าเฉียวเฟิงปิดบังอะไรเธอหรือว่าหนานกงเฉินคิดถึงภรรยาเก่ามากเกินไป จนหลอนขึ้นสมอง?

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงอาบน้ำเสร็จก็เดินมานั่งลงที่หน้าเฉียวเฟิงแล้วมองไปที่เขา “อ่าเฟิง ก่อนที่ฉันจะความจำเสื่อมฉันหน้าตาเป็นยังไงหรอ?”

เฉียวเฟิงก้มหน้าลงไปแล้วมองสำรวจเธอ “ทำไมถึงถามล่ะ?”

“ฉันก็ไม่รู้ แค่อยากถามให้แน่ใจ”

“หนานกงเฉินมาหาคุณอีกหรือเปล่า? แล้วคิดว่าคุณเป็นภรรยาเก่าของเขา?” ในใจของเฉียวเฟิงก็สั่นเกร็งขึ้นมาทันที

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า “ไม่ใช่ ฉันแค่อยากจะรู้เฉยๆ”

เฉียวเฟิงจับมือของเธอไว้แล้วทอดมองเธอ “ถึงแม้เรื่องเล่าของหนานกงเฉินจะซึ้งแค่ไหน แต่คุณไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เชื่อผมนะ”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ของเขาก็รีบพยักหน้า “ฉันเชื่อคุณ แค่เป็นสิ่งที่คุณพูดฉันก็เชื่อ เพราะฉันรู้ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครรักฉันมากกว่าคุณ”

“รู้ก็ดีแล้ว”เฉียวเฟิงกอดเธอเข้ามาในอ้อมกอดแล้วพูดเสียงเบาข้างหู “บนโลกนี้ก็ไม่มีใครรักคุณมากกว่าผมแล้ว”

พวกเขาใช้ข้ออ้างที่รักเธอแล้วเอาแต่ทำร้ายเธอ หลินอันหนานก็เป็นแบบนี้ หนานกงเฉินก็เป็นเหมือนกัน พวกเขาไม่เพียงทำร้ายเธอ ยังให้คนอื่นมารังแกด้วย ผู้ชายแบบนี้จะมีสิทธิ์อยู่ข้างกายเธอได้ยังไง?

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท