เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 214 ตื่นแล้ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หนานกงเฉินกับเฉียวเฟิงนั่งรออยู่ที่หน้าประตูห้องผู้ป่วยหนักทั้งสองได้แต่สบตากันโดยไม่ได้พูดอะไรกันทั้งคืน ในวันรุ่งขึ้นของตอนเช้า หลังจากหนานกงเฉินมองไปบนท้องฟ้าด้านนอกแล้ว ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ พูดกับเฉียวเฟิงว่า “ ฉันจะไปช่วยคุณรับหว่านชิงกลับมา ”

“ ขอบคุณครับ ”เฉียวเฟิงกล่าว

หนานกงเฉินหันหลังเดินออกไปจากบริเวณห้องผู้ป่วยหนัก กลับไปที่คฤหาสน์หลังเก่า

หนานกงเฉินพึ่งออกไป เฉียวซือเหิงก็มาถึงพอดี ข้างหลังยังพาคนรับใช้มาคนหนึ่ง

“ อาเฟิง กลับไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่ปล่อยให้พี่หงดูแลเอง พี่หงเธอคงจะเชื่อใจได้นะ ” เฉียวซือเหิงกล่าว

“ ใช่คะ คุณชายรองกลับไปพักผ่อนเถอะคะ ฉันอยู่เฝ้านายหญิงน้อยเอง ” พี่หงเป็นคนรับใช้เก่าแก่ของตระกูลเฉียว ทำงานไหวพริบดีและเป็นผู้ใหญ่พอ ดังนี้นเฉียวซือเหิงจึงเลือกที่จะพาเธอมา

อย่างไรก็ตามเฉียวเฟิงยังคงไม่ไว้ว่างใจจึงพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ฉันจะอยู่ตรงนี่รอมู่ชิงตื่นขึ้นมา ”

“ คุณหมอบอกว่ากว่าเธอจะตื่นต้องใช้เวลาอย่างน้อยยี่สิบกว่าชั่วโมง คุณรออยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ”

“ มีสิ อย่างน้อยมันทำไมฉันสบายใจขึ้น ”

“ อาเฟิง ” เฉียวซือเหิงสูบหายใจเบา ๆ “ อย่าจริงจังจนเกินไป ฉันมีลางสังหรณ์ว่า มู่ชิงยังไงก็ต้องไปจากเธอในไม่ช้าก็เร็ว บางทีในอุบัติเหตุครั้งนี้ เธอคงจะฟื้นฟูความทรงจำแล้วก็ได้ อาจจำทุกอย่างได้แล้วก็เป็นได้ ”

เฉียวเฟิงรู้สึกเจ็บปวดในใจ นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าคิดเลยตลอดที่ผ่านมา

“ ขอโทษนะ พี่ชายเป็นคนทำให้เธอเป็นแบบนี้เอง ” เฉียวซือเหิงขอโทษอย่างรู้สึกผิด “ เดิมทีแค่อยากให้เธอมีความสุขร่าเริงมากกว่านี้ แต่คิดไม่ถึง…”

“ ขอบคุณมากครับ พี่ชาย ” เฉียวเฟิงขัดเขาขึ้นมา “ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายหลัง อย่างน้อยในสองปีที่ผ่านมาผมมีความสุขมากครับ แค่นี้ก็พอใจมากแล้วครับ ”

“ ถ้าเธอคิดได้อย่างนั้นจริงๆมันจะดีมาก ” เฉียวซือเหิงยิ้มอย่างขมขื่น

เขาจะไม่เข้าใจน้องชายคนนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่สามารถปล่อยว่างไป๋มู่ชิงได้ เขาจะชิงตัวไป๋มู่ชิงมาให้เขาตั้งแต่แรกได้ยังไร

“ ใช่แล้วครับ อุบัติเหตุครั้งนี้เกิดจะสาเหตุอะไรเช็คละเอียดเรื่องหรือยังครับ ” เฉียวเฟิงถามอย่างกะทันหัน

เฉียวซือเหิงส่ายหัวไปมา “อาเฟิง ครั้้งนี้เธอต้องเตรียมใจทำใจไว้บ้าง จูจูเป็นคนที่ตระกูลหนานกงยอมรับว่าเป็นคู่ครองฟ้าลิขิต ต่อให้เธอจะเป็นคนฆ่ามู่ชิงตายจริงๆ ตระกูลหนานกงก็ไม่อาจปล่อยให้เธอโดนตำรวจจับตัวไป ตระกูลหนานกงจะใช้อำนาจทั้งหมดที่มีปกป้องเธอ รักษาเธอไว้ ”

“ ถ้างั้นตอนนี้ล่ะ ”

“ ฉันคิดว่าน่าจะได้รับการคุ้มครองจากตระกูลหนานกง ”

“ ทำไมเขาเห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้ ” จู่ๆนั้นเฉียวเฟิงก็ใช้มือทั้งสองข้างตบที่พักแขนของรถเข็นอย่างโมโห “ หนานกงเฉินที่เฝ้าอยู่ตรงนี้ด้วยสีหน้าจะเป็นจะตาย ทั้งหมดนี้เป็นแค่การแสดงใช่ไหม ทำไมเขาไม่คิดช่วยมู่ชิงเรียกร้องความยุติธรรมเลยหรอ ”

“ ในความเข้าใจของเขา จูจูเป็นผู้มีพระคุณต่อชีวิตเขาในชาตินี้ ทำไมเขาไม่ส่งตัวจูจูให้กับตำรวจก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเข้าใจ ถ้าไม่ทำเพื่อตัวเอง ฟ้าดินก็ยังทอดทิ้งเรา ” เฉียวซือเหิงกล่าว

“ แล้วบาดแผลของมู่ชิงล่ะ บาดเจ็บฟรีๆหรอ ”

“ ไม่หรอก ” เฉียวซือเหิงพูดอย่างปลอบใจ “ จูจูต้องได้รับกรรมที่ก่อเอาไว้ เธอรู้ดี ”

ถึงแม้เขาจะรู้ว่าสักวันจูจูก็ต้องถึงทางตันในไม่ช้าก็เร็ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ยุติธรรม หนานกงเฉินก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน รู้ทั้งรู้ว่าสักวันจูจูก็ต้องถึงทางตันไม่ช้าก็เร็ว แต่หากเรื่องนี้เธอไม่ได้รับโทษ เขาก็ยังคงรู้สึก ไม่ยุติธรรมอยู่ดี

เมื่อหนานกงเฉินรีบกลับไปถึงคฤหาสน์หลังเก่า เสียวชิงก็ได้นอนตื่นแล้วท นอนหดตัวอยู่บนเตียงจ้องมองห้องที่ไม่คุ้นเคยแล้วร้องเรียกหาแม่

ทันทีที่หนานกงเฉินเดินเข้ามาเห็นดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา ดูแล้วน่าสงสารมาก

“ เสี่ยวหว่านชิง หนูนอนตื่นหรือยัง ” เขาเดินเข้าไป ยืนมือไปลูบหัวน้อย ๆ ของเธอ “ เป็นยังไงบ้าง ร่างกายยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม ”

เสี่ยวหว่านชิงส่ายหัว มองเขาทั้งน้ำตา “ ลุงเฉินค่ะ คุณแม่หนูล่ะ ”

“คุณแม่กลับมาแล้ว ”

“ จริงหรอคะ ”

“ จริงแน่นอนจ๊ะ ลุงเฉินเคยโกหกหนูที่ไหนล่ะ ”

ในที่สุดบนใบหน้ากลมของเสียวหว่านชิงก็ปรากฏรอยยิ้มเต็มไปหมด จ้องมองเขาแล้วพูดว่า “ ลุงเฉินคะ หนูอยากกลับบ้านคะ ”

“ ตกลงคะ ลุงเฉินจะส่งหนูไปหาคุณพ่อตอนนี้เลย ” หนานกงเฉินยื่นมือออกไปที่เธอ “ มา เข้ามา ”

เสียวหว่านชิงที่ซ่อนตัวอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ในที่สุดก็วางมือน้อย ๆ ของเธอไว้ในฝ่ามือของเขา แล้วปล่อยให้เขาอุ้มตัวเองขึ้นจากเตียง

“โย้ ที่แท้เจ้าตัวเล็กชอบอยู่ใกล้ชิดคุณชายใหญ่*นี้เอง ” พี่เหออมยิ้มแล้วพูด “ ยังดีที่คุณชายใหญ่*ยังมีวิธี เมื่อกี้ฉันโอ่เธอเป็นครึ่งวันก็ยังเอาไม่อยู่ ”

เมื่อผู่เหลียนเหยาจากตระกูลเซิ่งกลับมาถึงที่ตระกูลหนานกง ก็ตรงไปยังห้องนอนของจูจู

ภายในห้องที่กว้างใหญ่นี้มีแสงสว่างอันน้อยนิด โดยรอบด้านทั้งหมดเต็มไปด้วยกลิ่นของน้ำยาฆ่าเชื้อ แต่จูจูยังคงนอนคว่ำนิ่งอยู่บนเตียง ทันทีที่เห็นเธอ น้ำตาของจูจูก็ไหลออกมาไม่หยุด

“ พี่สะใภ้ พี่ยังโอเคไหม จูจูจ้องไปที่เธอ ได้ยินมาว่าพี่ชายตีพี่หรอ ทายาหรือยัง มาฉันช่วยพี่ทายา ”

จูจูกัดริมฝีปาก น้ำตาแห่งความเสียใจก็ไหลออกมา

“ ดูสิ ฉันเคยกับกำชับพี่แล้ว ในขณะที่พี่ชายยังมีอารมณ์โมโหอยู่พี่ยังกล้าไปยั่วยุเขา เขาจะตีพี่ได้ยังไง ” ผู่เหลียนเหยาหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะแล้วยื่นให้เธอ

จูจูไม่ได้รับทิชชู่จะเธอ แต่คว้ามือเธอที่ยื่นมาไว้ จ้องมองเธอพูดขึ้นอย่างรีบร้อนว่า “ เหลียนเหยา ฉันไม่อยากอยู่ที่นี่อีกต่อไป ฉันต้องการหย่ากับหนานกงเฉิน ได้โปรดเธอช่วยฉันหน่อยได้ไหม ”

“ พี่พูดอะไรนะ ” ผู่เหลียนเหยามองเธอด้วยความตกใจ ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ “พี่สะใภ้ นิสัยของพี่ชายพี่ใช่ว่าจะไม่รู้ดี เขาตีพี่เพราะอารมณ์โมโห รอให้เขาหายโกธรแล้วก็จะดีขึ้นเอง ”

“ไม่ใช่ … ไม่ใช่แบบนี้ คุณย่าจะฆ่าฉัน ท่านจะใช้หัวใจของฉันไปช่วยชีวิตของคนอื่น …” จูจูนิ่งไปครู่หนึ่ง รีบถามขึ้นมา “ ใช่แล้ว เหลียนเหยาเธอช่วยบอกฉันหน่อย ใครคือท่านผู้หญิงจิ้ง ที่คุณย่าตามหาคู่ครองที่ฟ้าลิขิตมาโดยตลอดก็เพื่อที่จะใช้รักษาเธอใช่ไหม เป็นอย่างนั้นจริงๆหรอ ”

“ พี่ไปได้ยินใครพูด ” ผู่เหลียนเหยามองเธออย่างสงสัย

“ เมื่อคืนนี้ฉันแอบได้ยิน,ตอนที่คุณย่าคุยกับหนานกงเฉิน”

“ แล้วพี่เชื่อไหม ”

“ แล้วฉันไม่สมควรที่จะเชื่อหรอ ” จูจูมองเธอด้วยน้ำตา

“ ท่านผู้หญิงจิ้งตายไปเป็นร้อยปีแล้ว

“ อะไรนะ” จูจูตกตะลึง

ผู่เหลียนเหยายิ้มและกล่าวว่า “ มีข่าวลือว่าอดีตชาติก่อนพี่ชายเป็นหนี้ผู้หญิงคนหนึ่่ง ทำให้เขาถูกสาป ให้ใช้ทั้งชีวิตนี้ของเขาชดใช้หนี้ ดังนั้นชาตินี้จะต้องหาคู่ครองฟ้าลิขิตของเขากลับมา และผู้หญิงที่เขาเป็นหนี้ในอดีตชาติก่อนนั้นเธอชื่อ อะไรจิ้งฉี นั่นก็คือท่านผู้หญิงจิ้งที่เขาเล่าลือกัน ”

จูจูตะลึงอึงไปชั่วขณะ จึงถามว่า “ เธอหมายความว่า … ท่านผู้หญิงจิ้งเป็นคนรักของหนานกงเฉินในอดีตชาติก่อน ยังเป็นอดีตชาติของไป๋มู่ชิง ”

ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า “ พี่เชื่อไหม กับฉันแล้วฉันไม่เชื่ออยู่แล้ว ”

“ แล้วทำไมคุณย่ายังพูดแบบนั้นอีก บอกว่าหลังสามเดือนนี้จะใช้หัวใจของฉันช่วยท่านผู้หญิงจิ้ง ”

ผู่เหลียนเหยาเหลือบมองไปที่ประตูแล้ว พูดอย่างเสียงเบา “พูดอย่างไม่ให้ความเคารพ คุณย่าโดนข่าวลือพวกนี้ทรมาณจนงมงายไปแล้ว เชื่อฟังแต่คำพูดของท่านอาจารย์หวัง ”

“ แต่ …ท่านผู้หญิงจิ้งตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ จะช่วยเขาได้อย่างไร ”

“ ร่างของท่านผู้หญิงจิ้งถูกเก็บไว้ในห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลหนานกงอย่างมิดชิด ” ผู่เหลียนเหยารีบทำท่าทางมือเงียบใส่เธอหลังจากพูดจบ “ ความลับนี้ นอกจากคนในตระกูลหนานกงที่รู้แล้วคนนอกไม่มีใครรู้ พี่ห้ามพูดออกไปเป็นอันขาดนะ ”

จูจูตกใจมากจนตาเบิกกว้าง รู้สึกตัวชาและตัวสั่นขึ้นมา

การเก็บรักษาศพเธอเคยเห็นเฉพาะในภาพยนตร์และในนิยายเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงเธอยังไม่เคยได้ยินมาก่อน

“เธอ……ทำไมเมื่อสองปีก่อนเธอไม่บอกเรื่องนี้กับฉัน ” จูจูจ้องที่เขาด้วยความรู้สึกโกรธและกลัว

“ ฉันคิดว่าพี่รู้ ”

“ ฉันจะไปรู้ได้อย่างไร ”จูจูพูดอย่างโกรธ ๆ “ หนานกงเฉินไม่เคยบอกฉันเลย ยิ่งคุณผู้หญิงแล้วยิ่งไม่มีทางบอกฉันเรื่องพวกนี้ไม่ใช่หรอ ”

เมื่อผู่เหลียนเหยาเห็นว่าเธอกำลังโกรธ,ผู่เหลียนเหยาจึงรีบรลูบหลังมือเธอพูดอย่างปลอบใจ “ พี่อย่าพึ่งรีบกังวลไป พี่ลองคิดดูดีๆว่าคนที่ตายไปเป็นร้อยปี เป็นไปได้ไงที่จะช่วยฟื้นชีวิตกลับมาได้ เป็นเพราะคุณย่าหลงเชื่อเรื่องข่าวลือนั้นมากเกินไป จนสูญเสียความสามารถในการแยกแยะโดยพื้นฐานไป แต่พี่ชายยังคงมีสติอยู่ เขาจะไม่ปล่อยให้คุณย่าทำอะไรมั่วซั่ว พี่วางใจอยู่ที่นี้อย่างสบายอกสบายใจเถอะ ”

แม้ว่าผู่เหลียนเหยาจะคอยปลอบใจเธอว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเธอก็ตาม แต่จูจูก็ยังคงรู้สึกถึงความขนลุกไปทั่วร่างกาย

ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยไปห้องโถงบรรพบุรุษของตระกูลหนานกง แต่ทุกครั้งที่ไปที่นั่นหลังจากเซ่นไหว้บรรพบุรุษเสร็จเธอก็กลับมาแล้ว ไม่เคยสังเกตว่าภายในในห้องโถงบรรพบุรุษยังมีท่านผู้หญิงจิ้งอะไรอยู่

เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยคนที่ตายไปเป็นร้อยปีแล้วให้ฟื้นขึ้นมา แน่นอนว่าเธอก็ไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ แต่คุณผู้หญิงเชื่อนี่สิ

ผู่เหลียนเหยายังบอกให้เธออยู่ในตระกูลหนานกงอย่างสบายใจ ในสถานการณ์แบบนี้จะให้เธออยู่อย่างสบายใจได้อย่างไร

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ หนานกงเฉินก็ได้พาเสียวหว่านชิงมายังโรงพยาบาล เมื่อเห็นเฉียวเฟิง ในที่สุดใบหน้าของเสียวหว่านชิงก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอตะโกนเรียกไปคำหนึ่ง แล้ววิ่งเข้าไปอย่างมีความสุข

เฉียวเฟิงอุ้มเธอขึ้นไปบนตักอย่างเคยชิน ในที่สุดก็มีรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเขา

เขายิ้มและลูบหัวน้อยๆของเธอ “ เมื่อคืนเป็นไงไม่ได้เจอหน้าพ่อกับแม่นอนหลับสบายดีไหม ”

เสียวหว่านชิงมองหนานกงเฉินไปแววหนึ่ง พยักหน้า “ นอนหลับสบายดีคะ ”

เพื่อไม่ให้จิตใจของเธอมีบาดแผล เมื่อกี้ตอนอยู่ในระหว่างทาง หนานกงเฉินได้ช่วยให้เธอลืมเรื่องเมื่อคืนที่ตกน้ำไปได้อย่างสำเร็จ

“คุณพ่อคะ ลุงเฉินบอกว่าคุณแม่ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ตอนนี้คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ ” เสียวหว่านชิงจ้องมองเฉียวเฟิงถามอย่างเป็นตุเป็นตะ

เฉียวเฟิงเหลือบมองไปตรงประตูห้องผู้ป่วยหนัก อดกั้นความรู้สึกพูดว่า “ คุณหมอบอกว่าเดียวคุณแม่ก็หายดีแล้วในเร็วๆนี้ หว่านชิงอย่ากังวลไปเลยนะ”

รอยถลอกบนหน้าผากของหว่านชิงดูเหมือนยังเจ็บปวดมาก เฉียวเฟิงดูไปที่บาดแผลของเธอถามอย่างปวดใจว่า “แผลบนศีรษะของหว่านชิงทายาหรือยัง ยังเจ็บอยู่ไหม”

“ ไม่เจ็บแล้วคะ ลุงเฉินได้ช่วยหว่านชิงทายาไปแล้วคะ ” เสียวหว่านชิงเหลือบไปมองหนานกงเฉินที่อยู่ข้างๆเธอขณะตอบ

เฉียวเฟิงเงยหน้าขึ้นมองหนานกงเฉินที่บนเก้าอี้ตรงข้าม พูดใส่เขาสั้นๆสองคำ “ ขอบคุณ ”

“ ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ คุณเป็นคนบอกไม่ใช่หรอว่าฉันเป็นคนทำให้สองแม่ลูกนี้เป็นแบบนี้ ” หนานกงเฉินกล่าวอย่างเยื่อเย็น

นอกจากนี้แล้ว เขาทั้งสองคน … ทั้งสองก็ไม่ได้มีการสื่อสารกันใดๆทั้งสิ้น

เฉียวเฟิงก้มศีรษะลงพูดกับเสียวหว่านชิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา “ หว่านชิง อีกสักพักพ่อจะให้คุณลุงมารับหนูกลับไปนะ หนูต้องเชื่อฟังและห้ามดื้อนะรู้ไหม ”

“ไม่เอาคะ หนูจะอยู่ที่นี้เป็นเพื่อนคุณแม่ หนูยังไม่ได้เจอคุณแม่เลย ” เสี่ยวว่านชิงพูดอย่างปฎิเสธ

“หว่านชิงไม่ดื้อนะ ในโรงพยาบาลสกปรกเชื้อโรคเยอะ หนูอยู่ที่นี้นานเกินไปไม่ได้”

“ แต่ว่า … คนเขาอยากเจอคุณแม่นี่คะ ”

“ หนูวางใจได้ รอให้คุณแม่ตื่นมาก่อน พ่อจะให้คุณลุงส่งหนูมาพบคุณแม่อีกทีนะ”

ในที่สุดเสียวหว่านชิงก็ไม่ดื้อรั้นอีกต่อไป แต่กลับพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “โอเคคะ แต่หลังจากที่คุณแม่ตื่นขึ้นแล้ว คุณพ่อต้องให้หนูพบคุณแม่นะคะ ”

“ แน่นอนจ๊ะ” เฉียวเฟิงตอบตกลง

มีเสียวหว่านชิงเข้ามาเพิ่มคนหนึ่ง ในที่สุดภายในก็ไม่ได้เงียบสงบขณะนั้น ประมาณยี่สิบกว่านาทีต่อมาเฉียวซือเหิงก็มาถึง เขาเข้ามาทักทายหนานกงเฉินราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จากนั้นยื่นมือไปหาเสียวหว่านชิง อุ้มเธอชู้ขึ้นไว้สูงๆ ขณะที่อุ้มชู้เธอไว้ที่สูงเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สมเพช หว่านชิง “ ที่น่าสงสารของลุง ดูหน้าผากเล็ก ๆ นี้ได้รับบาดเจ็บครั้งแล้วครั้งเล่า จนเริ่มดูไม่คอยสวยแล้ว ”

“ คุณแม่บอกว่าบาดแผลของหนูเดียวก็หาย ” เสียวหว่านชิงพูดอย่างสีหน้าจริงจัง

“อืม ก็ถูก ” เฉียวซือเหิงพยักหน้า “ ว่านชิงฉลาดน่ารักขนาดนี้ ต่อให้ทิ้งแผลเป็นก็ยังสวยมาก ถ้าไม่เชื้อลองถามลุงเฉินดูว่าจริงหรือเปล่า ”

เสี่ยวหว่านชิงหันไปมองหนานกงเฉินทันที ถามอย่างจริงจังว่า:“ ลุงเฉิน จริงหรือเปล่าคะ ”

หนานกงเฉินขยับมุมฝีปากของเขาเล็กน้อย ฝืนยิ้มออกมาแล้วตอบว่า “ จริงสิ ไม่ว่าจะได้รับบาดแผลหรือไม่ หว่านชิงก็น่ารักที่สุดและสวยที่สุดครับ”

“ ขอบคุณคะลุงเฉิน ” เสียวหว่านชิงกล่าวอย่างซาบซึ้งใจ

เฉียวซือเหิงปล่อยเสียวหว่านชิงลงมาบนพื้น ยิ้มให้หนานกงเฉิน “ เด็กที่น่ารักเช่นนี้ ถ้าต้องมาสูญเสียความรักของแม่เพราะเรื่องนี้ หว่านชิงจะต้องเกลียดคุณไปตลอดชีวิตแน่ ”

ในใจของหนานกงเฉินรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมา เขาคอยๆหันหน้าออกไปเล็กน้อย

เฉียวซือเหิงไม่ได้พูดอะไรอีก จูงมือของเสียวหว่านชิง “ หว่านชิง พวกเราไปกันเถอะ”

เสียวหว่านชิงโบกมือลาทั้งสอง “ ลาก่อนคะคุณพ่อ ลาก่อนคะลุงเฉิน”

หนานกงเฉินมองตามหลังของเธอและเฉียวซือเหิงเดินจากไปด้วยกัน รู้สึกอึดอัดในใจเล็กน้อย แต่ก็อธิบายไม่ถูกเหมือนกันว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน เขาจึงลักสายตากลับมา

ตั้งแต่เช้าจนถึงเที่ยง หนานกงเฉินและเฉียวเฟิงไม่เคยออกห่างจากบริเวณห้องผู้ป่วยหนักเลย

ไม่มีใครยอมออกไปไหน และไม่อยากออกไปด้วย โชคดีที่ตอนบ่ายคุณหมอนำข่าวดีมาบอกทั้งสองคน ไป๋มู่ชิงตื่นขึ้นมาแล้ว

เมื่อได้ยินข่าวไป๋มู่ชิงตื่นขึ้นมา ทั้งสองก็รีบเข้าไปทักทายทันที ไม่ว่าใครก็อยากใช้เวลาที่สั้นที่สุดไปพบไป๋มู่ชิง

คุณหมอมองไปที่ทั้งสองคน พูดว่า “ ตอนนี้ร่างกายของคนไข้อ่อนแอมาก และอารมณ์ไม่คอยดี ไม่เหมาะกับการพูดคุยและเคลื่อนไหวไปมา พวกคุณปล่อยให้ใครเข้าไปคนหนึ่งก่อน ใครเป็นสามีของเธอ ตามฉันมา ”

“ ฉันเป็น… ” เสียงแทบจะพร้อมเพรียงกัน

หมอมองไปที่ทั้งสองอย่างสงสัย ถามว่า “ สรุปคือใครกัน ”

“ ฉันเป็น …” หนานกงเฉินใช้ไม่กี่ก้าวเท้าก็ถึงข้างๆตัวหมอ

ความเร็วของเฉียวเฟิงไม่ทันเขา และแย้งไม่ทันเขา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเฝ้าดูหนานกงเฉินเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยหนักกับคุณหมอ

ภายในห้องผู้ป่วย แน่นอนไป๋มู่ชิงตื่นขึ้นมาแล้ว ใบหน้าของเธอแดงบวม ศีรษะของเธอถูกพันด้วยผ้าสกอซหนาๆ ตาที่ลืมอยู่แค่ครึ่งหนึ่งของเธอจ้องมองที่เพดานด้วยอาการเหม่อลอย

ใจถูกบีบแน่นนับครั้งไม่ถ้วน หนานกงเฉินโน้มตัวไปจับมือเล็ก ๆ ของเธอแล้วเรียกเบา ๆ ว่า “ มู่ชิง …”

เสียงของเขาเบามาก แต่ไป๋มู่ชิงที่อยู่บนเตียงผู้ป่วยมีอาการสั่นเล็กน้อย เธอคอยๆหมุนลูกตามาอย่างช้าๆ สายตาจ้องมองที่ใบหน้าของเขา เบ้าตาของเธอเริ่มชื้นทีละน้อย ในไม่ช้าน้ำตาก็ไหลออกมา

เมื่อเห็นเธอร้องไห้ หนานกงเฉินรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย ถามอย่างอ่อนโยนว่า “ มู่ชิง คุณร้องไห้ทำไม เจ็บปวดมากใช่ไหม คุณอดทนหน่อยนะ ในตอนแรกบาดแผลจะเจ็บมาก อีกไม่กี่วันก็จะดีขึ้นกว่านี้ ”

ไป๋มู่ชิงได้แต่จ้องมองเขา แต่ไม่มีคำพูดใด ๆ แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่ น้ำตาที่ไหลออกอย่างสายน้ำที่ไหลไม่หยุด

มองใบหน้าที่คุ้นเคยนี้ สมองของไป๋มู่ชิงว่างเปล่า ราวกับว่าเธอสูญเสียทักษะการพูดไปทั้งหมด พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว เธอในตอนนี้ไม่รู่จะพูดอะไรดี ร้อยพันหมื่นคำ เยอะมากมายเกินไป เยอะจนไม่รู้จะเริ่มต้นพูดจากตรงไหนดี

เธอร้องไห้นานเกินไป นานจนหมอที่อยู่ข้างๆทนดูไม่ไหว ก้าวออกมาเตือนว่า “ คุณหนูอีร่างกายของคุณตอนนี้อ่อนแอมาก คุณจะทรุดลงได้ถ้าคุณร้องไห้แบบนี้ คุณต้องปรับอารมณ์แปรปวนของคุณให้ดี ”

คุณหมอคุยกับไป๋มู่ชิงเสร็จ แล้วหันไปพูดกับหนานกงว่า “ คุณผู้ชาย บางทีคุณหนูอีอาจจะไม่อยากเจอคุณ ไม่งั้นคุณ … ออกไปก่อน ”

หนานกงเฉินเห็นน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องในดวงตาของไป๋มู่ชิง บางทีเธออาจจะไม่อยากเห็นเขาจริงๆก็ได้ เธอเกลียดเขาขนาดนั้น รังเกลียดเขามาก แต่เขากลับปรากฏตัวต่อหน้าเธอในยามที่เธออ่อนแอที่สุด แม้ว่าจะไม่เต็มใจนัก แต่เขาก็พยักหน้าอย่างเจ็บใจ “ โอเค มู่ชิง คุณอย่าร้องไห้เลย ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้แหละ ฉันจะให้เฉียวเฟิงมาอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง … ”

เขาปล่อยฝ่ามือของเธอ แต่เธอกลับยังไม่ปล่อยเขา

มือที่เรียวสวยจับเขาไว้แน่นหนา ราวกับถูกแช่แข็ง

หนานกงเฉินก้มหน้าไปมองที่มือเล็ก ๆ ของเธอ ในขณะที่เขารู้สึกดีใจคิดว่าไป๋มู่ชิงอยากให้เขาอยู่ต่อไม่อยากให้เขาไป มือของเธอก็คลายออกทันที ก็พูดใส่เขาเป็นคำแรกในยี่สิบกว่านาทีที่ผ่านมา “ ไป…”

ความดีใจเล็กน้อยในใจของเขาหายไปในทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขาพยักหน้าอย่างเจ็บใจ “โอเค ฉันไป”

พูดจบ เขาถอยหลังไปหนี่งก้าว แล้วเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจยิ่ง

เฉียวเฟิงที่รออยู่ที่ตรงประตูห้องผู้ป่วย หนานกงเฉินหยุดเท้า มองไปที่เขา “คนที่เธออยากเจอคือคุณ ”

เฉียวเฟิงยิ้มอย่างดีใจ ขยับรถเข็นของเขาเข้าไปในห้องผู้ป่วย

เมื่อเขามาถึงตรงหน้าเตียงผู้ป่วยของไป๋มู่ชิงในตาของไป๋มู่ชิงยังคงมีน้ำตาคลออยู่บนหมอนของเธอเปียกเป็นวงกว้าง

นี่เธอร้องไห้นานแค่ไหน …

เฉียวเฟิงใช้กระดาษทิชชู่เช็ดน้ำตาตรงหน้าของเธอ ปลอบใจอย่างอ่อนโยน “อย่าร้องไห้เลย ทุกอย่างจบลงแล้ว ”

ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขา สักพักเอ่ยออกมาสองสามคำอย่างอ่อนแรง ” เฟิง ขอบคุณนะ … ”

คำว่า ‘ ขอบคุณ ‘ ทันใดนั้นทำให้รู้สึกมีความห่างเหินกันมาก เฉียวเฟิงได้แต่จ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจ มองเห็นความซึ้งใจในตาเธอ สักพักก่อนที่เขาจะยิ้มออกมา ” ไม่ต้องขอบคุณ ”

ไป๋มู่ชิงยังคงจ้องมองเขา สายตาของเธอนั้นดูเหมือนตอนรู้จักเขาครั้งแรก มองเขาอยู่นานมาก

” ทำไมมองฉันแบบนี้ ” เฉียวเฟิงอมยิ้มแล้วรูดใบหน้าของเขา “จริงอยู่ที่ไม่ได้แต่งตัวดูแลตัวเองเป็นเวลานานแล้ว กลับไปคืนนี้ต้องดูแลตัวเองสักหน่อยแล้ว ”

ในที่สุดบนใบหน้าของไป๋มิงชิงก็แสดงรอยยิ้มออกมา เธอเหลือบมองไปข้างหลังของเฉียวเฟิงถามว่า “ หว่านชิงล่ะ ทำไมเธอไม่มาพร้อมกับคุณ”

” หว่านชิงมาตอนช่วงเช้าแล้ว ถูกคุณลุงของเธอมารับกลับไปก่อน ”

“ เธอ … ยังโอเคไหม ”

” โอเค ” เฉียวเฟิงอมยิ้มแล้วกุมฝ่ามือของเธอไว้ ” ร่างกายของคุณตอนนี้ยังอ่อนแอมาก อย่าคิดมาก อย่ากังวลเรื่องหว่านชิง แค่ดูแลรักษาตัวคุณให้ดีๆก็พอ ”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ” ฉันต้องดูแลตัวเองอยู่แล้ว ”

เธอจะต้องทำได้ เธอจะต้องดูแลรักษาให้ดีขึ้นอย่างแน่นอน

หลังจากพักฟื้นสองวัน,ในที่สุดร่างกายของจูจูดูดีขึ้นบ้างแล้ว

เธอมาถึงตรงหน้าประตูห้องนอนของหนานกงเฉิน หลังจากเคาะประตูจึงผลักประตูแล้วเดินเข้าไป

หนานกงเฉินกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเห็นหน้าว่าเป็นเธอแล้วสีหน้าก็ดูเปลี่ยนไปทันที เขาจ้องมองเธออย่างเย็นชา “ คุณยังมีหน้ามาที่ห้องของฉันอีกเหรอ ”

จูจูก้าวเข้าไปสองสามก้าวตรงหน้าเขา มองเขาด้วยน้ำตา ” คุณชายใหญ่ฉันรู้ว่าฉันทำได้ผิดอันใหญ่หลวง และฉันก็รู้ดีว่าในชีวิตนี้ฉันจะไม่มีวันได้รับการให้อภัยจากคุณอีก เรื่องของมู่ชิงที่ฉันทำไปเป็นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ฉันก็รู้ว่าแค่อารมณ์ชั่ววูบไม่สามารถเป็นเหตุผลข้ออ้างในการทำผิดใดๆได้ ดังนั้นฉันยินดีที่จะรับผิดชดใช้ให้ ฉันยินดีจะสงเคราะห์คุณกับมู่ชิง ฉันยินดีที่จะถอนตัวโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ”

เธอได้ยื่นสัญญาการหย่าที่เซ็นลงนามไว้แล้วไปให้ ง่ายๆแค่ใบเดียว

หนานกงเฉินเหลือบมองไปที่สัญญาการหย่าที่อยู่ในมือเธอ รับไปมองดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองยิ้มอย่างเย็นชาพูดว่า ” ออกตัวเปล่าไม่เอาอะไรเลย นี่มันไม่เหมือนนิสัยของคุณหนูจูเลยนะ ”

ก่อนหน้านี้เธอตายร้ายดียังไงก็ไม่ยอมที่จะหย่า แม้กระทั่งเขาใช้ครึ่งตระกูลของหนานกงแลกกับเธอก็ยังไม่ยอมตกลงเป็นอันขาด แต่วันนี้จู่ๆเธอก็เปลี่ยนนิสัยไปกะทันหันยอมถอนตัวออกไปตัวเปล่า

“ขอแค่คุณไม่เอาตัวฉันส่งให้ตำรวจก็พอ ขอแค่คุณอย่าให้ฉันต้องเข้าคุก ฉันยอมถอนตัวออกไปเปล่าๆ ” จูจูได้หาเหตุผลที่ฟังแล้วเหมือนไม่ใช่เหตุผล

“คุณรู้ดีว่าคุณย่าจะช่วยลบล้างความผิดให้คุณอย่างสะอาด ส่วนฉันก็จะเหมือนแต่ก่อนไม่สามารถทำอะไรคุณได้ มิฉะนั้นคุณก็คงไม่กล้าที่จะจ้างคนร้ายฆ่าคนไม่ใช่หรอ。”หนานกงเฉินยกสัญญาหย่าในมือของเขาหัวเราะอย่างเยื่อเย็น ” นี้คุณเล่นอะไรกันเนี่ย ยอมอ่อนข้อก่อนเพื่อผลประโยชน์ที่ดี คุณคิดว่าวิธีนี้ยังสามารถใช้ได้กับฉันอีกหรอ ”

“ไม่ ไม่ใช่นะ ฉันต้องการชดใช้ความผิดของตัวเองจริงๆ ” จูจูส่ายหัวขณะพูด

หนานกงเฉินโค้งตัวไปข้างหน้า กัดฟันพูดออกมาประโยคหนึ่ง ” คุณคิดดีแล้วหรอ เมื่อฉันเซ็นลงไป ต่อให้คุณเสียใดก็จะไม่มีวันทางเลือกใดๆได้ ”

” ฉันคิดดีแล้ว ” จูจูพยักหน้า

หนานกงเฉินก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวกล่าวว่า ” สัญญาหย่านี้ฉันจะรับไว้ก่อน แต่ถ้าคุณต้องการจะกลับใจจริงๆ ยินดีที่จะสงเคาระห์ฉันกับมู่ชิงอย่างจริงใจ คุณลองไปคุยกับคุณย่าดูก่อน เพราะฉัน … ” หนานกงเฉินหัวเราะอย่างเยาะเย้ย: “เป็นเหมือนอย่างหนานกงเฉินที่อยู่ในใจคุณ ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดหรือตัดสินใจใด ๆ ”

“ไม่ … คุณชายใหญ่ … ” จูจูกังวลอย่างมาก ” หาคุณย่าไม่ได้ ท่านต้องไม่เห็นด้วยแน่ๆ แต่ฉันสามารถแอบหนีออกไปได้ อย่างเช่นครั้งก่อนที่หายสาบสูญไปจากคุณอย่างไร้ล่องลอย ต่อจากนี้จะไม่กลับมาอีกเลย คุณช่วยฉันวางแผนหน่อย ฉันจะไปทันทีเลยดีไหม ”

เหมือนครั้งก่อนตอนนั้น …

หนานกงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยิ้มขึ้นทันที หันกลับมาจ้องดูเธอพูดใส่เธอ ” คุณมีน้ำใจขนาดนี้ เห็นอกเห็นใจขนาดนี้ ฉันกลับรู้สึกไม่อยากปล่อยคุณไปแล้วสิ ”

” ผม…….”

หนานกงเฉินก้าวเข้ามาหาเธอ ยกมือขึ้นตบบนบ่าเธอเบาๆ ” ฉันชอบผู้หญิงที่รู้เรื่องจิตใจดี ทำตัวดีๆล่ะบางทีฉันอาจจะลืมเรื่องร้ายๆที่คุณเคยทำมาก่อน แล้วตกหลุมรักคุณอีกครั้ง ”

พูดจบ เขาก็หันหลังเดินออกไป

“คุณชายใหญ๋ … ” จูจูไล่ตามอย่างกระวนกระวายใจ เพราะเคลื่อนไหวเร็วเกินไป บาดแผลบนตัวเธอฉีกเจ็บ จึงทำให้ต้องหยุดฝีเท้าลงได้แต่มองตามเงาหลังของเขาที่เดินหายไปบนทางเดินบนตึก

หนานกงเฉินกลับไปถึงที่รถ ยิ้มอย่างขมขื่นบนริมฝีปากของเขา

เขาเงยหน้ามองขึ้นไปที่ชั้นสองห้องนอนของจูจู ที่แท้นี่คือเป้าหมายของเธอ ไปจากเขาไกลๆ เหมือน แต่ก่อน

ครั้งก่อนที่เธอรู้อาการป่วยของเขาแล้วหนีไปอย่างไร้ร่องรอย ครั้งนี้ที่รีบร้อนไปจากเขา ดูเหมือนว่าจะรู้เรื่องหลังจากสามเดือนนี้แล้ว

เขาหายใจเข้าลึก ๆ หลับตาลง

จริงๆแล้วการกระทำของจูจูนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ จะมีใครที่สามารถยอมตายเพื่อคนอีกคนได้ ถ้าจูจูไม่ได้ชั่วร้ายขนาดนั้น เขาจะชีวิตปกป้องเธอให้เธอปลอดภัย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอทำกับไป๋มู่ชิงแล้ว เขาก็อดเก็บเธอไว้ไม่ได้ ปล่อยให้เธอลองใช้ชีวิตที่ทรมานใจดู

เธอตั้งใจอยากจะแต่งงานกับเขามาตลอด งั้นก็ให้เธอสนุกกับการเป็นนายหญิงน้อยของตระกูลหนานกงอย่างมีความสุข

ไป๋มู่ชิงฟื้นตัวได้ดี จึงได้ย้ายจากห้องผู้ป่วยหนักไปยังห้องผู้ป่วยทั่วไป

เฉียวเฟิงได้นำอาหารที่อยู่ในกล่องถนอมอาหารเทลงในชามกำลังจะป้อนเธอกิน ไป๋มู่งชิงเอื้อมมือไปรับ พูดว่า “ ฉันกินเอง ”

เฉียวเฟิงงอมือที่ถือชามกลับมา พูดว่า ” ไม่เป็นไร ตอนนี้ร่างกายของคุณยังอ่อนแอมาก ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปคุณค่อยกินเองดีไหม ”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า เธออ้าปากกินไปคำหนึ่ง ก็อดถามไม่ได้ “หว่านชิงล่ะ ทำไมยังไม่มาสักที ”

“ดูคุณรีบร้อนไปได้” เฉียวเฟิงยิ้มกว้างพูดว่า “ตอนนี้อยู่ระหว่างทางแล้ว คาดว่าหลังจากคุณกินเสร็จก็น่าจะถึงแล้ว ”

เธอยิ้มอย่างเขินอาย แค่เวลาสั้นสามสิบนาที เธอถามไปสามสี่ครั้งแล้ว เพราะเธอคิดถึงหว่านชิงมากเกินไป

ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในห้องผู้ป่วยหนักแพทย์ไม่อนุญาตให้คนเข้าไปง่ายๆ เธอจึงได้เจอหน้าหว่านชิงแค่ครั้งเดียวในเวลาสั้นๆ แถมเธอก็ยังสวมชุดป้องกันอยู่ด้วย กว่าจะได้ออกมาจากห้องผู้ป่วยหนัก สามารถพบเจอคนในครอบครัวและเพื่อน ๆ ได้อย่างสบาย แน่นอนว่าเธอรอแทบไม่ไหวที่จะได้เจอหน้าลูกสาวสุดที่รักของเธอ

เป็นอย่างที่ว่าจริงๆด้วย หลังจากเธอกินข้าวเสร็จเสียวหว่านชิงก็มาถึงพอดี

“คุณแม่ … ” หว่านชิงก็ดีใจมากเช่นกัน อย่างกับนกน้อยบินเข้าไปในอ้อมแขนของเธออย่างมีความสุข “คุณแม่คะ ในที่สุดหนูก็สามารถกอดคุณแม่ได้สักที ”

“ และคุณแม่ก็สามารถกอดหนูได้แบบนี้สักที เห็นหนูได้ชัดเจนแบบนี้ ” ไป๋มู่ชิงกอดเธอไว้แน่น ยิ้มด้วยความโล่งใจ

“ คุณแม่ แม่ยังเจ็บอยู่ไหม ”

“แม่ไม่เจ็บแล้ว” ไป๋มู่ชิงคลายมือออกจากเธอ ก้มศีรษะลงจ้องมองเธอ อย่างจริงๆจังๆ ราวกับว่าไม่ได้เห็นหน้าเธอเป็นเดือนเป็นปีอย่างงั้น

ใบหน้าเล็กๆกลมๆ อันน่ารัก ผมดกดำนุ่มสลวย และยังมีรอยยิ้มหวานๆ ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเธอหมด ทั้งหมดนี้สามารถทำให้ใจเธอเต้นแรงมาก เธอเงยหน้าขึ้นกะทันหัน มองไปทางเฉียวเฟิงแล้วถามออกมาคำหนึ่งว่า “ ฉันเป็นคนให้กำเนิดหว่านชิง ใช่ไหม ”

เฉียวเฟิงยิ้มพยักหน้า ” อืม ลูกแท้ๆ จริงแท้ยิ่งกว่าอะไรอีก ”

” คุณแม่ หนูเป็นเด็กดีของคุณแม่กับคุณพ่อคะ ” หว่านชิงหัวเราะคิก คิก

” อืม หนูเป็นลูกรักของคุณพ่อกับคุณแม่คะ ” ไป๋มู่ชิงก้มหัวลงจูบหน้าผากของเธอหนึ่งที ” ต่อไปนี้แม่จะปกป้องลูกรักของเราให้ดี จะไม่ยอมปล่อยให้คนเลวรังแกได้อีก ”

” อืม ” เสียวหว่านชิงพยักหน้า หัวเราะอย่างมีความสุข

ที่ประตูห้องผู้ป่วย หนานกงเฉินมองผ่านหน้าต่างเล็ก ๆ เห็นครอบครัวพ่อแม่ลูกสามคนเข้ากันได้เป็นอย่างดี มือที่ยกขึ้นมาของเขายังคงไม่ได้เคาะลงตรงประตู

ฉากที่กลมกลืนและสวยงามเช่นนี้ เขาไม่ควรรบกวนจริงๆ แต่ในใจเขาอยากเข้าไปดูไป๋มู่ชิงมาก แม้ว่าจะเป็นแค่การทักทาย ได้ฟังเสียงพูดของเธอก็ยังดี

จนกระทั่งหว่านชิงต้องไปโรงเรียนแล้ว แม่และลูกสาวบอกลากันอย่างไม่เต็มใจเสร็จ หนานกงเฉินถึงได้แสดงตัวในตาของทุกคน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท