เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 217 เธอจำได้หมดแล้วเหรอ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

จูจูค้นหาบัตรประจำตัวของตนภายในสนามบินแล้วหนึ่งรอบก็ไม่เจอเสียที เธอกระส่ายกระสับเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน

เวลาต่อมาเสียงประชาสัมพันธ์ประกาศปิดประตูเครื่องบินดังเข้ามา เธอร้อนรนใจจนน้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตา ในที่สุดเธอก็ล้มเลิกการค้นหา เนื่องจากหาอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ทั้งที่สามารถหนีออกจากเมืองซีได้แล้วแท้ ๆ ครั้นกลับเกิดความผิดพลาดขึ้นในด่านสุดท้าย อีกทั้งยังเป็นความผิดพลาดระดับต่ำมากอีกด้วย เธอโมโหจนอยากจะตบหน้าตัวเองสองครั้ง ครั้นสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เธอยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตาที่ไหลรินอยู่บนหน้า จากนั้นก็นั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ภายในห้องโถงใหญ่ของสนามบิน

ขณะที่เธอนั่งเหม่อลอยอยู่ในสนามบินราวครึ่งชั่วโมงแล้ว ทันใดนั้นเองทางประตูใหญ่ก็มีเงาคนสองคนที่คุ้นเคยวิ่งอย่างรวดเร็วเข้ามา เป็นบอดี้การ์ดของตระกูลหนานกง

เหตุใดพวกเขาจึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างกะทันหันเช่นนี้ ? หรือพวกเขาทราบแล้วว่าเธอกำลังหลบหนีไป ?

จูจูยืนขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็กลับหลังหันเตรียมเดินหนี

ครั้นยังไม่ทันได้หนีได้ เบื้องหลังของเธอก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามา : “นายหญิงน้อยโปรดรอสักครู่”

บอดี้การ์ดทั้งสองคนสาวเท้าเข้ามายืนขวางหน้าเธอเอาไว้ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม : “คุณชายใหญ่บอกให้คุณกลับบ้านเดี๋ยวนี้ครับ”

“คุณชายใหญ่เหรอ ?” จูจูถามด้วยความตะลึง

“ใช่ครับ คุณชายใหญ่บอกว่าให้คุณกลับบ้านภายใน 30 นาที”

จูจูอ้าปากขึ้นจากนั้นก็กล่าวว่า : “ฉัน……ฉันก็แค่มารับเพื่อนเท่านั้นแหละ รับเพื่อนเสร็จก็จะกลับไปทันที”

บอดี้การ์ดพยักหน้า : “เดี๋ยวผมโทรถามคุณชายใหญ่ก่อน” เมื่อพูดจบก็หันหลังไปโทรศัพท์

อีกไม่นานบอดี้การ์ดก็เดินกลับมา พร้อมพูดขึ้นว่า : “นายหญิงน้อย คุณชายใหญ่บอกว่าให้คุณคิดเอาเอง”

“ฉันรู้แล้ว” จูจูพูดตอบรับด้วยความเหม่อลอย จากนั้นก็เดินมุ่งไปยังประตูใหญ่ของสนามบิน

สุดท้ายจูจูยังคงตามบอดี้การ์ดกลับคฤหาสน์หลังเก่าไป เมื่อเธอเดินเข้าในตัวบ้านก็เจอกับฝ่ามือของคุณผู้หญิงที่ตบเข้ามาทันที

เธองุนงนไปสักครู่ จากนั้นก็จ้องหน้าคุณผู้หญิงที่ใบหน้าตอนนี้เต็มไปด้วยบันดาลโทสะ

“เธอคิดว่าบ้านตระกูลหนานกงของฉันจะมาก็มา จะไปก็ไปงั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงมองหน้าเธอด้วยความเกรี้ยวกราด : “เธอคิดจะทำอะไร ? พูดมา !”

“คุณย่าคะ หนูก็แค่จะไปรับเพื่อนที่สนามบินค่ะ หนูผิดอะไรคะ ?” จูจูเอามือขึ้นอังใบหน้าที่ถูกคุณผู้หญิงตบเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด จากนั้นก็จ้องหน้าเธอด้วยนัยน์ตาที่เอ่อด้วยน้ำตา

เธอไม่สามารถให้คุณผู้หญิงทราบได้ว่าเธอทราบความจริงเรื่องคู่ครองฟ้าลิขิตแล้ว ไม่อย่างนั้นหากครั้งหน้าเธออยากหนีไปก็คงเป็นไปไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม

“เธอยังกล้าโกหกอีกงั้นเหรอ ?” คุณผู้หญิงพูดพลางตบเข้าไปที่แก้มของเธออีกครั้ง พี่เหอรีบเข้ามาจับคุณผู้หญิงไว้แล้วพูดปลอบประโยน : “คุณผู้หญิงคะใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ อย่าโมโหจนทำให้ร่างกายย่ำแย่เลยค่ะ”

พี่เหอพูดจบก็หันหน้าไปหาจูจู : “นายหญิงน้อย คุณอย่าโกหกคุณผู้หญิงเลยค่ะ ที่คุณไปก็เพื่อจะไปขึ้นเครื่องบินไม่ใช่ไปรับเพื่อน”

“ฉัน……” จูจูพูดไม่ออก เธอกระพริบตา จากนั้นน้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจก็ไหลรินลงมา : “ถ้าฉันไม่ไปแล้วจะอยู่ที่นี่ทำไม ? คุณชายใหญ่ทำอย่างนั้นกับฉัน ทำร้ายฉันจนระบมไปหมดทั้งตัวเพื่อผู้หญิงคนเดียว ฉันไปเยี่ยมคุณหนูอีที่โรงพยาบาลด้วยความหวังดี เขายังด่าฉันหยิกฉันต่อหน้าคนนอก คุณย่าคะฉันเหนื่อยแล้วนะคะ ฉันไม่อยากใช้ชีวิตที่ต่ำต้อยไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้อีกแล้ว ฉันขอถอนตัวยังไม่ได้เหรอคะ ?”

“ถอนตัว ? เธอมีสิทธิ์อะไรมาคุยเรื่องถอนตัว ?” คุณผู้หญิงชายตามองเธอ : “สองปีกว่าก่อนหน้านี้เธอเป็นคนมาหาฉันเอง บอกว่าต้องการแต่งงานกับเฉิน แต่ตอนนี้ดันมาบอกว่าอยากถอยออกมา ? เธอเห็นคุณชายใหญ่บ้านนี้เป็นอะไร ? เป็นคนที่เธออยากได้ก็ได้ ไม่อยากได้ก็ไม่เอาอย่างนั้นเหรอ ?”

“คุณชายใหญ่ต่างหากที่ไม่ต้องการฉัน ไม่ใช่ว่าฉันไม่ต้องการเขา”

“เฉินได้คุยเรื่องหย่ากับเธอไหม ?”

“แต่ว่าในใจของเขาเอาแต่อาลัยอาวรณ์ผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกคนนั้นนี่คะ”

“ตอนที่เธอแต่งงานกับเขาในปีนั้นเธอไม่รู้เหรอว่าในใจของเขายังมีคนอื่นอยู่ ? เธอยังบอกฉันด้วยความมั่นใจอยู่เลยไม่ใช่เหรอว่าเธอมีความสามารถทำให้เฉินตกหลุมรักเธออีกครั้ง ? ที่เธอมาพูดแบบนี้ตอนนี้มันสายเกินไปหรือเปล่า ?” คุณผู้หญิงสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็กัดฟันพูดข่มขู่ : “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธออยู่บ้านอย่างว่านอนสอนง่ายซะดี ๆ ห้ามไปไหนทั้งนั้น !”

จูจูมองเธอด้วยความตกตะลึง คุณผู้หญิงจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์หลังเก่าหรือ ? จะเป็นไปได้อย่างไร ? เช่นนั้นจากนี้ไปเธอมีเพียงตายสถานเดียวไม่ใช่หรือ ?

คุณผู้หญิงไม่ได้สนใจเธอ ครั้นกลับหลังหันเดินกลับเข้าตัวบ้านไป

จูจูยืนเหม่อลอยอยู่ภายนอกเป็นเวลานาน จากนั้นค่อยเดินมุ่งขึ้นไปชั้นบน

เมื่อเธอกลับถึงห้องนอน เสี่ยวหยวนก็เคาะประตูแล้วเข้ามายื่นซองจดหมายหนึ่งฉบับให้เธอ : “นายหญิงน้อย นี่คือของที่ห้องรักษาความปลอดภัยวานฉันเอามาให้คุณค่ะ”

จูจูรับจดหมายซองนั้นมาจากนั้นก็เปิดออก เมื่อเธอมองเห็นด้านในมีบัตรประจำตัวที่เธอฉีกขาดไป ก็ต้องตกตะลึงทันที จากนั้นเธอก็เทเศษกระดาษที่อยู่ด้านในออกมาจนหมด

เกิดอันใดขึ้น ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?เหตุใดบัตรประจำตัวของเธอจึงกลายเป็นสภาพนี้ ?

“ใครส่งมา ?” เธอเงยหน้าขึ้นจ้องหน้าเสี่ยวหยวน

“บอดี้การ์ดบอกว่ามีคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักวานให้เขารับมาค่ะ” เสี่ยวหยวนกล่าว

“ใครกันที่มันทำอย่างนี้ !” เธอกรีดร้องขึ้น จากนั้นก็โยนเศษกระดาษที่อยู่ในมือทิ้งบนพื้น โมโหจนเนื้อตัวสั่นเทา

เธอคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าบัตรประจำตัวของเธอที่หายไปอย่างลึกลับจะถูกผู้อื่นคืนกลับมาด้วยวิธีเช่นนี้ อีกทั้งยังถูกฉีกเป็นเสี่ยง ๆ อีกด้วย

เรื่องนี้จะต้องไม่ใช่คุณผู้หญิงหรือหนานกงเฉินทำแน่ พวกเขาไม่ทำเรื่องที่น่าเบื่อเช่นนี้แน่นอน สิ่งที่พวกเขาจะทำคือจะใช้บัตรประจำตัวที่อยู่ในมือเธอโยนใส่หน้าเธอหลังจากที่จับตัวเธอกลับมาจากสนามบินได้

ทันใดนั้นเองเธอก็นึกถึงคนแปลกหน้าที่เจอกันที่สนามบิน เขานั่นเอง ! จะต้องเป็นเขาที่ขโมยบัตรประจำตัวของเธอไปเป็นแน่

ดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังจงใจสร้างความวุ่นวาย จงใจไม่ให้เธอหลบหนีจากกรงเล็บปีศาจของบ้านตระกูลหนานกงได้สำเร็จ ครั้นเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนผู้นี้เป็นใคร !

ภายใต้สถานการณ์อันอับจนหนทาง จูจูจึงจำยอมมาข้อความช่วยเหลือจากผู่เหลียนเหยา

เพียงแค่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ผู่เหลียนเหยาก็พูดขึ้นก่อนแล้วว่า : “พี่สะใภ้ ฉันเคยแนะนำพี่แล้วว่าอย่าทำการขัดขืนที่มันเกินเลยแบบนี้พี่ก็ยังจะทำอีก ตอนนี้คุณผู้หญิงจะต้องจับตามองพี่ไม่ละสายตาขึ้นมากกว่าเดิมแน่นอน พี่อย่ามีแผนการอย่างอื่นแล้วโอเคไหม ?”

“เหลียนเหยา……” จูจูมองหน้าเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ้อนวอน : “ฉันไม่อยากตายนี่นา เธอจะไม่สนใจฉันแล้วจริง ๆ เหรอ ?”

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่สนใจกับพี่ แต่เพราะตัวพี่มันรับประกันยาก” ผู่เหลียนเหยาดึงขากางเกงขึ้นอย่างเอือมละอา : “พี่ดูขาฉันสิ พี่คิดว่ายัยเสี่ยวลวี่สารเลวนั่นมันไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ เหรอ ?”

จูจูมองขาของเธอจากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความสงสัย : “ทำไมเขาต้องทำน้ำร้อนลวกเธอด้วย ? เพื่อลองดูว่าขาเธอพิการจริงหรือเปล่างั้นเหรอ ?”

“รู้ก็ดีแล้วค่ะ” ผู่เหลียนเหยาดึงขากางเกงลงกลับคืน จูจูครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็สอบถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัยเช่นเดิม : “แล้วขาเธอพิการจริง ๆ หรือว่าพิการปลอม ๆ เหรอ……?”

“จริง ๆ น่ะสิ”

“อ้อ งั้นหนานกงเฉินทำเกินไปจริง ๆ” จูจูกล่าวด้วยความโมโหจบแล้วก็หันหน้ามากล่าวว่า : “คนชั่วแบบนี้จะต้องกรรมตามสนอง สมน้ำหน้าที่เขาอยู่ต่อไปไม่ได้”

ผู่เหลียนเหยาหัวเราะเยาะขึ้นมา : “ฉันคิดว่ากรรมตามสนองของเขาก็คือการแต่งงานกับพี่นะคะ”

จูจูมองหน้าเธอด้วยความงงงวย จากนั้นผู่เหลียนเหยาก็หัวเราะ : “หรือว่าไม่ใช่เหรอคะ แยกจากคนที่ตนรัก จากนั้นก็มาแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักอย่างพี่น่ะ”

“ชู่ !” ทันใดนั้นเองผู่เหลียนเหยาก็ยกนิ้วชี้ขึ้นมาจ่อปากไว้ : “จากนี้ไปคำพูดแบบนี้อย่ามาพูดที่ห้องฉัน และก็ห้ามมาอยู่ใกล้ฉันเกินไปคนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิด”

“เหลียนเหยา ได้โปรดช่วยฉันครั้งสุดท้ายด้วยเถอะนะ” จูจูพนมมือขึ้น พลางพูดอ้อนวอนกับเธอ

“วิธีน่ะมีอยู่ แต่สำหรับสมองหมูอย่างพี่คงยากที่จะทำสำเร็จ” ผู่เหลียนเหยายิ้มหัวเราะเยาะเธอ : “แค่มองจากเรื่องที่พี่ลักพาตัวไป๋มู่ชิงไป ฉันก็คิดว่าพี่เป็นคนชนิดที่โง่เง่าไม่มีที่สิ้นสุดเลยแหละ”

“เธอบอกวิธีฉันมา ถ้ามีเธอชี้แนะผลลัพธ์จะต้องเหมือนอย่างสองปีก่อนหน้าที่จัดการได้สมบูรณ์แบบแน่นอน” จูจูอ้อนวอนต่อไป : “ขอร้องละ ฉันต้องการความช่วยเหลือจากเธอจริง ๆ”

ผู่เหลียนเหยาชายตามองเธอ จากนั้นก็โน้มตัวลงมากระซิบข้างใบหูของเธอ

เพียงแค่ประโยคสั้น ๆ สีหน้าของจูจูกลับกลายเป็นซีดเซียวขึ้นมาทันควัน

เมื่อเห็นใบหน้าที่ตกตะลึงของเธอ ผู่เหลียนเหยาจึงยักไหล่แล้วกล่าวว่า : “เอาเถอะ ฉันบอกวิธีพี่แล้วนะ จะทำหรือไม่ทำมันเรื่องของพี่ ถึงยังไงก็ไม่กระทบฉัน”

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ ผู่เหลียนเหยาก็พูดเร่งรัดขึ้นอีก : “เอาเถอะค่ะ พี่รีบออกไปจากห้องนอนฉันเถอะ เพื่อพวกเราทั้งสองคนจากนี้ไปพยายามอยู่ห่าง ๆ ฉันไว้”

จูจูมองหน้าผู่เหลียนเหยา ผ่านมาชั่วขณะก็สงบจิตสงบใจลงพร้อมทั้งออกไปจากห้องนอนของเธอ

หลังจากที่เธอกลับห้องนอนมาแล้ว เสี่ยวหยวนที่กำลังเก็บกวาดห้องอยู่สังเกตเห็นสีหน้าของเธอไม่ค่อยดีนัก จึงเดินเข้ามาพร้อมถามด้วยความเป็นห่วง : “นายหญิงน้อย ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ ?”

“ฉันไม่เป็นไร……” เธอกัดฟันแน่น

“นายหญิงน้อยอย่าโกรธคุณผู้หญิงเลยนะคะ” เสี่ยวหยวนไม่ทราบว่าควรจะปลอบใจเธอเช่นไรดี จึงทำได้เพียงกล่าวขึ้นด้วยความระมัดระวัง

จูจูหลับตาลง จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้ง เวลาต่อมาก็ลืมตาแล้วมองจ้องหน้าเสี่ยวหยวน : “เสี่ยวหยวน ฉันอยากให้เธอช่วยอะไรหน่อย”

“ช่วยอะไรคะ ?” เสี่ยวหยวนกล่าวด้วยความรู้สึกเป็นกังวล : “นายหญิงน้อย ตอนนี้คุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ อย่าเล่นกับไฟ ไฟเผาตัวเลยนะคะ คุณผู้หญิงกับคุณชายใหญ่ไม่ปล่อยคุณไปแน่”

“พวกเขาไม่ได้อยากจะปล่อยฉันไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” จูจูกล่าวน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็กล่าวปลอบประโยนเธอ : “เธอไม่ต้องห่วงนะ ก็แค่เป็นการช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ไม่ทำให้เธอติดร่างแหด้วยหรอก”

เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหยวนยังคงลังเลอยู่ จูจูจึงหยิบสร้อยข้อมือทองฝังเพชรออกจากกระเป๋าเงินมายื่นให้เธอ : “อันนี้ฉันให้ ไม่ต้องขอบใจ”

เมื่อเห็นสร้อยข้อมือทองราคาสูงเส้นนี้ ดวงตาสองข้างของเสี่ยวหยวนก็แวววาวขึ้นมาทันควัน

วันนี้เป็นวันที่ครูฟางมาเยี่ยมบ้านเด็กนักเรียนภาคฤดูร้อน ไป๋มู่ชิงเดินไปต้อนรับครูฟางเข้ามาภายในบ้านอย่างเป็นมิตร หลังจากที่ครูฟางนั่งลงแล้วนั้นก็ยิ้มพลางถามเธอไปว่า : “คุณผู้หญิงเฉียวทำไมถึงไม่เห็นหว่านชิงล่ะคะ ?”

ไป๋มู๋ชิงยิ้มพลางรินน้ำชาให้ครูทั้งสองท่าน พร้อมพูดขึ้นว่า : “วันนี้ไม่บังเอิญเสียเลยนะคะ หว่านชิงไปบ้านญาติกับคุณพ่อเขาแล้วค่ะ”

“ญาติของหว่านชิงพักอยู่ที่ไหนเหรอคะ ? จะกลับมาตอนไหนเอ่ย ?” ผู้ช่วยครูประจำชั้นอีกท่านกล่าวถาม เมื่อถามจบก็รู้สึกว่าไป๋มู่ชิงกำลังจ้องหน้าเธออยู่ จึงพูดขึ้นมาอีกว่า : “อ้อ ครูก็แค่อยากยืนยันสักหน่อยว่าหว่านชิงจะไม่เข้าเรียนชั้นเรียนภาคฤดูร้อนจริง ๆ เหรอคะ ?”

“ไม่เรียนหรอกค่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ฉันไม่ได้ไปทำงาน เลยอยู่เป็นเพื่อนเธออยู่ที่บ้านได้”

“อืม ก็จริงนะคะ ถ้าคุณแม่มีเวลาก็ให้เด็กอยู่บ้านช่วงวันหยุดภาคฤดูร้อนก็จะดีหน่อย”ผุู้ช่วยครูประจำชั้นพยักหน้า จากนั้นก็ถามขึ้นอีก : “หว่านชิงจะกลับมาประมาณกี่โมงคะ ?”

ไป๋มู่ชิงลังเลชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวขึ้นว่า : “น่าจะกลับมาอีกในไม่กี่วันค่ะ”

“อ้อ วันพุธหน้าที่โรงเรียนมีกิจกรรมวันหยุดภาคฤดูร้อน ถึงตอนนั้นคุณผู้หญิงเฉียวอย่าลืมพาเสียวหว่านชิงไปเข้าร่วมเล่นสนุกด้วยกันนะคะ” คุณครูท่านนั้นกล่าว

ครูฟางก็กล่าวเสริมเข้าไปอีก : “ถูกค่ะ ยินดีต้อนรับหว่านชิงกลับโรงเรียนไปเข้าร่วมกิจกรรมหมู่กับเพื่อน ๆ นะคะ”

“ค่ะ ฉันจะไปนะคะ” ไป๋มู่ชิงตอบรับด้วยน้ำเสียงร่าเริง

เมื่อผู่เหลียนเหยาได้ยินว่าวันพุธหน้าเสียวหว่านชิงมีกิจกรรมวันหยุดภาคฤดูร้อนที่โรงเรียน จึงขมวดคิ้วพร้อมถามกลับไปว่า : “นายมั่นใจเหรอว่าเฉียวหว่านชิงจะเข้าร่วม ?”

ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผู่เหลียนเหยาส่ายหน้า : “ครูหลิวที่อยู่โรงเรียนอนุบาลก็แค่บอกว่าผู้ปกครองของเฉียวหว่านชิงตอบตกลงว่าจะเข้าร่วม แต่จะไปจริง ๆ หรือเปล่าต้องคอยดูวันจริงครับ”

ผู่เหลียนเหยาสูดหายใจเข้าเบา ๆ จากนั้นก็กัดฟันกรอบพร้อมกล่าวขึ้น : “ถึงวันนั้นนายช่วยฉันสอดส่องด้วยละกัน ถ้าเธอเข้าร่วมก็รีบถือโอกาสตอนคนชุลมุนจัดการมันซะ”

“พี่ครับ ก็แค่เด็กตัวกระเปี๊ยกเอง ต้องให้พวกเราจัดการเองทำไม ?” ผู่จี๋จ้องหน้าเธอด้วยความฉงนใจ : “การฆ่าคนถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ถ้าเราไม่จำเป็นต้องทำก็อย่าไปทำเลย”

ใบหน้าของผู่เหลียนเหยาเผยความโกรธเคืองขึ้นมา : “ฉันรู้อยู่แล้วว่าการฆ่าคนมันผิดกฎหมาย ตอนแรกหวังว่าจูจูจะช่วยกำจัดไป๋มู่ชิงและลูกของมันตาย สุดท้ายตอนนี้นังโง่นั่นปกป้องตัวเองยังยากเลย”

“ถ้างั้น……ทำไมจะต้องฆ่าเด็กคนนี้ด้วยล่ะ ?” ผู่จี๋ถาม : “ถึงยังไงก็ต้องฆ่าคนอยู่ดี เราฆ่าหนานกงเฉินเลยก็สิ้นเรื่อง สะอาดหมดจดเรียบง่าย สำหรับคุณผู้หญิงนั่น เมื่อหนานกงเฉินตายไปแล้วเธอก็น่าจะโมโหจนขาดใจตายตามไปด้วย ถึงตอนนั้นทั้งบ้านตระกูลหนานกงก็เป็นของพี่หมดแล้วไม่ใช่หรือไง”

“ไม่ ฉันไม่เอาบ้านตระกูลหนานกงเลยก็ย่อมได้ แต่ฉันต้องการให้หนานกงเฉินสูญเสียทุกอย่าง ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานกับโรคภัยจนตายไปเอง”

“พี่……ทำไมล่ะ ?” ผู่จี๋พูดขึ้นอย่างระมัดระวัง : “ผมคิดว่าหนานกงเฉินไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก ในเมื่อเขาสงสัยพี่ เพราะงั้นจะต้องมีการป้องกันตัวรอบด้านแน่นอน อีกอย่างมีความเป็นไปได้มากว่าเขาจะแว้งมาจัดการพี่กลับ”

“เขาสงสัยฉันได้ แต่เขาจะต้องทายไม่ออกแน่ว่าสิ่งที่ฉันต้องการคืออะไร” ผู่เหลียนเหยาหัวเราะอย่างเย็นชา จากนั้นก็จ้องหน้าเขาพร้อมพูดกำชับว่า : “ตอนนายทำภารกิจจะต้องระวังให้มาก ๆ นะ ห้ามโผล่หน้าออกมาเอง ห้ามทำมีดหล่นไปยังมือของทางตำรวจ”

“ไม่ต้องห่วงนะพี่ ผมจะระวัง” ผู่จี๋พยักหน้า

“อืม คืนนี้ก็กลับเมืองเยว่ซะ อย่าโผล่หน้ามาเมืองซีอีก ”

“ครับ” ผู่จี๋พยักหน้า : “อีกเดี๋ยวผมก็จะไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านแล้ว”

ผู่เหลียนเหยาพยักหน้า จากนั้นก็กลับหลังออกไปจากห้องผู้ป่วยของผู่จี๋

ภายในช่วงระยะเวลาที่วิกฤตนี้ เมื่อเธอและผู่จี๋เจอหน้ากันก็ต้องใช้ข้ออ้างว่ามาเข้าโรงพบาลเพื่อปิดหูปิดตาผู้อื่น

เมื่อเธอกลับมายังห้องทำงาน เหล่าบรรดาเพื่อนร่วมงานก็กำลังหัวเราะเฮฮานัดแนะกันว่าตอนค่ำนี้จะไปร้องคาราโอเกะทานข้าวกัน

เมื่อทุกคนเห็นว่าเธอเข้ามาแล้ว เพื่อนร่วมงานผู้หนึ่งจึงยิ้มพร้อมถามขึ้นมา : “คุณหมอผู่วันนี้เป็นวันเกิดของเสี่ยวหลิวเลยจะเลีิ้ยงคาราโอเกะพวกเราที่พระราชวัง ไปด้วยกันไหม ?”

เวลาต่อมาเพื่อนร่วมงานผู้หนึ่งก็พูดแทรกขึ้นมาน้ำเสียงหยอกล้อ : “คุณหมอผู่ยุ่งอยู่กับการเดตกับคุณชายเซิ่งน่ะสิ คงไม่ไปร้องเพลงกับเราหรอก”

“ใครบอกว่าฉันจะไม่ไปล่ะ ?” ผู่เหลียนเหยาแสร้งทำสีหน้าไม่ชอบใจ : “ฉันว่านะพวกเธอรังเกียจขาพิการของฉันเลยไม่อยากให้ฉันไปด้วยมากกว่า”

“จะเป็นไปได้ยังไง ? ถ้าคุณหมอผู่ไปได้มันเป็นเกียรติของฉันเลยนะ” เสี่ยวหลิวยิ้มขึ้นมาอย่างดีใจ : “ดีจังเลย คืนนี้คุณหมอผู่จะไปร้องเพลงกับพวกเราด้วย”

ตกเย็นมาผู่เหลียนเหยาไปร้องเพลงที่พระราชวังกับเพื่อนร่วมงานตามที่รับปากไว้ อันที่จริงเธอไม่ชอบออกมาสังสรรค์มั่วซั่วกับเหล่าเพื่อนร่วมงานเท่าไร ทว่าเพื่อเป็นการทำให้ชีวิตของตนเองดูปกติขึ้นมาหน่อย เธอจึงทำได้เพียงไปกับพวกเขา

พวกเขาสังสรรค์อยู่ภายในพระราชวังจนถึงสี่ทุ่มกว่า จากนั้นโทรศัพท์ของผู่เหลียนเหยาก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาดูและเมื่อพบว่าเป็นเซิ่งเคอโทรเข้ามา จึงส่งสัญญาณบอกเพื่อน ๆ แล้วเดินออกไปจากห้องคาราโอเกะ

เซิ่งเคอถามเธอว่าเมื่อไรจะกลับบ้าน เขาจะมารับ

เธอมองดูเวลาบนหน้าจอโทรศัพท์แล้วกล่าวว่า : “ยังไม่รู้เลย ตอนใกล้จะแยกย้ายฉันจะโทรหานะ”

“โอเค งั้นก็อย่าอยู่ดึกนักล่ะ”

“รู้แล้วน่า คุณอยู่บ้านก็ว่านอนสอนง่ายนะ” หลังจากที่เธอส่งจูบให้เซิ่งเคอแล้วก็วางสายไป

ขณะที่เธอกลับหลังหันเพื่อเดินกลับห้องร้องคาราโอเกะ จึงพบเงาร่างหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยความตกตะลึง และพบว่าเป็นใบหน้าที่ไม่คุ้นหน้าคร่าตากันเท่าไรนัก

“เหลียนเหยา ? เป็นเธอจริง ๆ ด้วย !” ไป๋มู่ชิงร้องเรียกเสียงเบาด้วยความตกตะลึง

“คุณคือ……?” เธอแสร้งทำสีหน้างงงวย พลางมองสำรวจไป๋มู่ชิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

ไป๋มู่ชิงคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ จากนั้นก็ส่งรอยยิ้มพร้อมพูดกับเธอว่า : “เหลียนเหยา พี่คือมู่ชิงไง เธอน่าจะรู้เรื่องที่พี่กลับมาแล้วใช่ไหม ?”

ผู่เหลียนเหยาตะลึงงันไปในทันที : “พี่คือมู่ชิง?”

“ถูกต้อง จริงแท้แน่นอน”

“อ้อ ฉันแค่ได้ยินจูจูบอกว่าพี่กลับมาแล้ว ความจำเสื่อมแถมยังศัลยกรรมด้วย ที่แท้ตอนนี้พี่ก็หน้าตาอย่างนี้นี่เอง” ผู่เหลียนเหยาส่งยิ้มให้เธอกลับ จากนั้นก็มองสังเกตหน้าตาของเธอใหม่ : “แต่ว่า……พี่ความจำเสื่อมไปแล้วไม่ใช่เหรอ ? ทำไมถึงจำฉันได้ ?”

“พี่มาจำได้ในช่วงหลังน่ะ” ไป๋มู่ชิงกล่าว : “ไม่เจอกันนานเลยนะ คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะบังเอิญเจอกันที่นี่ได้ สะดวกไหม ? เราไปคุยกันด้านนอกหน่อย”

“ได้สิคะ เดี๋ยวฉันโทรบอกเพื่อนฉันก่อนนะ”

“โอเค” ไป๋มู่ชิงเดินอ้อมมาด้านหลังเธอ จากนั้นก็เข็นเธอไปทางบันไดร้านคาราโอเกะ

บริเวณประตูใหญ่ของร้านคาราโอเกะก็คือถนนริมแม่น้ำ ไป๋มู่ชิงก้มหน้ามองเธอจากนั้นก็กล่าวว่า : “พวกเราไปเดินรับลมริมแม่น้ำดีไหม ?”

“ได้เลยค่ะ ฉันเพิ่งดื่มไปเลยรู้สึกปวดหัวนิดหน่อยพอดีค่ะ” ผู่เหลียนเหยาคาดเดาจุดประสงค์ของไป๋มู่ชิงไปในใจ พลางให้ความร่วมมือคำขอร้องของเธอไปด้วย

เธอไม่ทราบเลยว่าไป๋มู่ชิงบังเอิญเจอเธอจริง ๆ หรือว่าแสร้งทำ และยิ่งมองไม่ออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ภายในความทรงจำของเธอ ไป๋มู่ชิงเป็นผู้ที่มีเมตตาโดยไม่มีขอบเขต ดังนั้นจึงคิดว่าก็แค่เข้าใกล้คนที่โง่เขลาเท่านั้น

คนประเภทนี้จะไม่ฉลาดแต่อย่างใด และไม่มีทางที่จะเล่นเลห์กลอุบายกับเธอถึงจะถูก บางทีเธออาจเป็นเพราะไม่ได้เจอหน้ากันนานจึงคิดอยากสนทนากับตนอย่างบริสุทธิ์ใจเท่านั้น เธอปลอบใจตนเองอยู่ในใจ

เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้วบนถนนริมแม่น้ำจึงไม่พบเงาคนเลย ไป๋มู่ชิงเข็นผู่เหลียนเหยาไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า ผู่เหลียนเหยาจึงกล่าวขึ้นเพื่อทำลายความเงียบก่อน : “จริงสิ พี่มู่ชิงหลายปีที่ผ่านมาพี่สบายดีไหม ? ได้ยินว่าพี่แต่งงานกับคุณชายรองตระกูลเฉียวแล้วงั้นเหรอ”

ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า จากนั้นก็ยิ้มขึ้นด้วยความขมขื่น : “ประสบอุบัติเหตุรถยนต์รุนแรงแบบนั้นจะสบายดีได้ยังไง ? สองปีกว่ามานี้ทั้งทำศัลยกรรม ทั้งต้องฟื้นฟูสุขภาพร่างกายไม่หยุดหย่อน จนพี่เกือบจะยอมแพ้แล้ว โชคดีที่มีคุณชายรองเฉียวและเสียวหว่านชิงอยู่ข้างกายพี่ ไม่อย่างนั้นพี่ไม่มีทางอดทนมาถึงวันนี้หรอก”

“หว่านชิง ?” ผู่เหลียนเหยาสอบถามด้วยความฉงนใจ

“ใช่น่ะสิ ลูกของพี่เอง” ไป๋มู่ชิงเข็นวีลแชร์ของผู่เหลียนเหยามาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้หินตัวหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือให้เธอ : “มา พี่จะพยุงเธอขึ้นมานั่งบนเก้าอี้จะได้เย็นสบายหน่อย”

ผู่เหลียนเหยายอมให้เธอพยุงตนขึ้นนั่งบนเก้าอี้หิน จากนั้นก็จ้องหน้าเธอพร้อมถามว่า : “พี่มีลูกสาวแล้วเหรอ ?”

“อืม” ไป๋มู่ชิงเข็นวีลแชร์ของเธอไว้ข้าง ๆ จากนั้นก็นั่งลงข้างเธอพร้อมพูดขึ้นว่า : “ถ้าพูดถึงลูกสาวพี่ดวงของเธอแข็งกว่าพี่อีกนะ ตอนที่เพิ่งตั้งท้องก็เกือบเกิดอุบัติเหตุบนรถเธอ จากนั้นเมื่อไปทำการตรวจครรภ์ดูก็ยังถูกคนอื่นสลับใบรายงานการตรวจอีก ดังนั้นเลยถูกทุกคนบังคับให้ทำแท้ง ไม่ง่ายเลยกว่าจะอดทนรอให้เด็กคลอดมาได้แต่แล้วดันถูกคนอื่นแอบสลับตัวไปอีก นี่เพิ่งจะอายุสามขวบเองนะก็ถูกคนอื่นผลักลงบันได ไม่ก็ถูกคนลักพาตัว เกือบเสียชีวิตไปอย่างเฉียดฉิวทุกครั้งเลย”

เวลานี้สีหน้าของผู่เหลียนเหยาเปลี่ยนไปทันที เธอมองหน้าไป๋มู่ชิงอย่างตกตะลึง

ไป๋มู่ชิงก็จ้องหน้าเธอเช่นกัน จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา : “เหลียนเหยา ได้ยินว่าช่วงนี้เธอกำลังตามหาลูกสาวฉันอยู่แถมยังขยันอีกด้วย ใช่ไหม ?”

ผู่เหลียนเหยาชายตามองเธอ : “หมายความว่ายังไงคะ ?”

“ฉันถามเธอถึงจะถูก” สีหน้าของไป๋มู่ชิงค่อย ๆ เย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ : “คุณหนูผู่อยากจะทำอะไรกันแน่ ?”

“ฉันไม่เข้าใจว่าพี่กำลังพูดอะไร”

“เธอยังเสแสร้งใส่ฉันอีกเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงกัดฟันกรอบ : “การที่เธอคิดหาวิธีต่าง ๆ นานาในการกำจัดหว่านชิงของฉันเพื่ออะไรกันแน่ ? ให้หนานกงเฉินไร้ทายาทสืบสกุล ? หรือฮุบสมบัติบ้านตระกูลหนานกงกับเซิ่งเคอล่ะ ? จิตใจต่ำช้าของเธอนี่มีไม่น้อยเลยนะ”

“คนที่ต้องการกำจัดพวกพี่สองแม่ลูกคือจูจู ไม่ใช่ฉัน”

“คนที่มีความสามารถในการสลับรายงานการตรวจครรภ์นอกจากหนานกงเฉินแล้วคือเธอหนิ ไม่ใช่หรือไง ?”

“ถ้าพี่อยากคิดอย่างนี้ละก็ ถ้างั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” ผู่เหลียนเหยายื่นมือออกไปลากวีลแชร์ของตนมา ครั้นไป๋มู่ชิงผลักวีลแชร์ของเธอไปทางแม่น้ำก่อน จากนั้นวีลแชร์ก็ร่วงลงแม่น้ำไป

“เธอจะทำอะไร ?” ผู่เหลียนเหยาเกรี้ยวกราดขึ้นมา

“ฉันไม่ได้จะทำอะไร ฉันก็แค่กำลังตักเตือนเธอด้วยความหวังดี อย่าเสียเวลาเลยลูกสาวของฉันได้ถูกซ่อนไว้ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว ทั้งชาตินี้เธออย่าหวังว่าจะหาเธอเจอ” ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองเธออย่างเฉื่อยชา : “ฉันไม่เชื่อว่าจนถึงตอนนี้หนานกงเฉินจะมองไม่เห็นความจอมปลอมของเธอ เส้นทางนี้เธอจะเดินไปได้ไกลแค่ไหน ฉันจะเช็ดตาคอยดู”

ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ จากนั้นก็จ้องหน้าเธออย่างชั่วร้าย : “จริงสิ ประสบการณ์ที่น่ากลัวที่สุดตอนที่ฉันอุ้มท้องหว่านชิงอยู่ ก็คือเจอขอทานตัวเหม็นข้างทาง เกือบจะถูกมันขืนใจเสียแล้ว โชคดีที่หนานกงเฉินมาช่วยฉันทันเวลา ฉันได้ยินว่าตอนกลางคืนเส้นทางนี้มีขอทานเยอะมาก เธอรีบโทรหาเซิ่งเคอจะดีกว่านะ”

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงพูดอยู่นั้น ก็ใช้คางชี้ไปยังขอทานที่กำลังส่งยิ้มมาทางพวกเธออยู่ไกล ๆ

จากนั้นเธอก็สาวเท้าเดินกลับไปทางที่เดินมา

ไป๋มู่ชิงเพิ่งเดินหน้ามาได้ไม่กี่ก้าว ขอทานตัวเหม็นผู้นั้นก็วิ่งพุ่งเข้ามาทันที จากนั้นก็เข้ากอดผู่เหลียนเหยาพร้อมทั้งลูบไล้พรมจูบไปทั่วร่างเธอ

ผู่เหลียนเหยาตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอกรีดร้องไปพร้อมผลักตบตีเขาไป ครั้นแรงของเธอเล็กกว่าฝ่ายนั้นอยู่มาก ไม่มีทางที่จะหลุดออกจากอ้อมกอดของเขาได้เลย

จมูกของเธอได้แต่กลิ่นอันชั่วร้าย เวลาต่อมาริมฝีปากของเขาก็เข้ามาจูบบนใบหน้าของเธอเป็นที่เรียบร้อย เธอทั้งโมโหทั้งกระวนกระวายใจ เธอสะบัดเขาออกไปจากร่างกายตนเองได้อย่างยากลำบาก วินาทีนี้เธอไม่สนใจอะไรแล้ว จึงลุกขึ้นจากเก้าอี้จากนั้นก็กลับหลังหันวิ่งหนีเอาตัวรอดทันที

ไป๋มู่ชิงมองดูผู่เหลียนเหยาที่วิ่งเร็วยิ่งกว่ากระต่ายเสียอีก มุมปากจึงเผยรอยยิ้มขึ้นมา

เมื่อผู่เหลียนเหยาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ จึงหยุดวิ่งแล้วหันไปจ้องหน้าเธอตาเขม็ง

“วิ่งเร็วดีนี่” ไป๋มู่ชิงพูดเสียดสีใส่เธอ

ผู่เหลียนเหยามองหน้าเธอ จากนั้นก็หันหลังกลับไปมอง ‘ขอทานตัวเหม็น’ ที่กำลังโบกไม้โบกมือให้เธอแล้วกลับหลังหันเดินจากไป เวลาต่อมาก็โมโหจนหน้าเขียว

“ไป๋มู่ชิง……!” เธอกัดฟันกรอบพร้อมพูดขึ้นมาสามพยางค์

ไป๋มู่ชิงแสยะยิ้มขึ้นมา : “นี่มันคือเล่ห์กลที่พวกเธอชอบเล่นไม่ใช่หรือไง ? ฉันก็แค่แอบเลียนแบบมานิดหน่อยเท่านั้นเอง”

หลังจากเธอพูดเสร็จก็มองสำรวจสภาพเธอจากนั้นก็ทำเสียง ‘จิ๊ ๆ’ สองครั้ง : “แกล้งทำเป็นพิการมาตั้งหลายปี ลำบากแย่เลยเนอะ ว่าแต่ไม่รู้ว่าเมื่อคนของหนานกงเฉินและเซิ่งเคอเห็นสภาพตอนนี้ของเธอแล้วจะคิดยังไงนะ”

ผู่เหลียนเหยาหายใจฮึดฮัดอย่างแรง เธอเพิ่งควบคุมแรงโมโหของตนลงได้แล้วแท้ ๆ เธอจ้องหน้าไป๋มู่ชิงพร้อมพูดขึ้นมา : “ไป๋มู่ชิง เธออย่าได้ใจให้มันเร็วไปหน่อยจะดีที่สุด !”

“เธอถนัดจ้างคนไปฆ่าคนอื่นนักไม่ใช่หรือไง ? ฉันรออยู่นะ” ไป๋มู่ชิงยักไหล่ด้วยความสบาย ๆ : “แต่ว่าจะดีที่สุดถ้าเธอจัดการให้เรียบร้อยสะอาดหมดจดเหมือนอย่างสองปีก่อน ไม่อย่างนั้นบางทีเธออาจจะตายอย่างทุกข์ทรมานมากกว่าฉันอีกนะ อ้อถือโอกาสเตือนเธอหน่อยก็แล้วกัน ลงมือก่อนที่ฉันจะเจอหลักฐานที่เธอฆ่าคนจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นคงไม่ทันกาลแล้วละ”

“แก……” ผู่เหลียนเหยาพูดไม่ออก

เธอทราบดีว่าไป๋มู่ชิงกำลังขู่ตนอยู่ ทำให้ตนเข้าใจว่าเธอไม่ใช่ไป๋มู่ชิงที่ถูกผู้อื่นทำร้ายได้ง่ายดายเหมือนคราวนั้นแล้ว

เมื่อเทียบกับสองปีก่อน ไป๋มู่ชิงในตอนนี้แลแข็งแกร่งขึ้นและใจเด็ดขึ้นมากจริง ๆ ดูเหมือนว่าจากนี้ไปเธอจะทำอะไรก็ต้องระมัดระวังตัวมากกว่าเดิมเสียแล้ว !

“หลักฐานเรอะ……” ผู่เหลียนเหยาแค่นหัวเราะให้เธอ : “แม้แต่หนานกงเฉินก็สืบหาไม่เจอ แค่เธอน่ะเหรอ ? ยอมแพ้ไปเสียเถอะ……”

ผู่เหลียนเหยากล่าวคำนี้จบ ก็กลับหลังหันเดินไปโบกรถแท็กซี่แล้วขึ้นรถไปทันที

เมื่อมองรถแท็กซี่ที่กำลังเคลื่อนตัวห่างออกไป รอยยิ้มบนใบหน้าของไป๋มู่ชิงก็เริ่มจางลงเรื่อย ๆ เธอเดินถอยหลังไปนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม

นั่งมองผิวแม่น้ำที่สะท้อนดวงไฟเล็ก ๆ ประปรายเบื้องหน้า จากนั้นอารมณ์ความสับสนก็ผุดขึ้นมาในหัว ไม่ว่าจะเป็นชีวิตเช่นนี้ หรือตนเองในเวลานี้แม้แต่เธอเองก็ยังรู้สึกเกลียดชังเลย ครั้นดันมีคนชอบตนมากมายเพียงนี้ อีกทั้งยังบีบบังคับให้เธออับจนหันทางจนต้องก้าวไปบนเส้นทางเจ้าเล่ห์เพทุบายเต็ม ๆ ด้วย

หนานกงเฉินเคยบอกว่าเขาชอบความเมตตากรุณาและความกล้าหาญในตัวเธอ เฉียวเฟิงก็บอกว่าเขาชอบความใสซื่อบริสุทธิ์และเรียบง่ายของเธอ ถ้าหากพวกเขาได้เห็นเธอในอีกด้านหนึ่ง จะต้องไม่เอ่ยคำพูดเหล่านั้นออกมาสินะ ?

เธอสูดลมหายใจเข้าลึกตามลำพังเงียบ ๆ และขณะที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อเตรียมออกจากริมแม่น้ำ กลับหลังหันมาก็พบกับหนานกงเฉินที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรปรากฏอยู่เบื้องหน้าเธอ

เธอตกใจสะดุ้งโหยง พลางถอยเท้าลงไปหนึ่งก้าวด้วยสันชาตญาณ พร้อมมองหน้าเขา : “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”

เมื่อเธอเดินถอยหลังไปลำตัวก็เสียหลักเอนลงเก้าอี้หิน อีกนิดเดียวก้นจะกระแทกลงไปแล้ว ครั้นหนานกงเฉินยื่นมือออกมาดึงเธอเอาไว้ด้วยมือเดียวเสียก่อน เขาจ้องมองประสานตากับเธอ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเป็นกังวล : “จากนี้ไปถ้าอยากทำอะไรบอกฉันโดยตรง ให้ฉันโผล่หน้าจัดการเอง”

“นี่คุณสะกดรอยตามฉันเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงกล่าวด้วยความโกรธเคืองเล็กน้อย

สีหน้าของเธอซีดเซียวเล็กน้อย เนื่องจากเธอไม่ทราบว่าหนานกงเฉินมาถึงตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับผู่เหลียนเหยาหรือไม่ เห็นพฤติกรรมที่เธอกระทำกับผู่เหลียนเหยาแล้วหรือไม่ เมื่อสักครู่เธอเพิ่งคิดอยู่เลยว่าจะให้เขาและเฉียวเฟิงเห็นด้านที่ร้ายกาจของเธอไม่ได้เป็นอันขาด ครั้นคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเธอหันหลังกลับมาก็พบหน้าเขาเสียแล้ว

ที่แท้……เธอให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ในใจของเขามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ !

“ฉันไม่ได้สะกดรอยตามเธอ แต่สะกดรอยตามเขา” หนานกงเฉินกล่าว

เขาส่งคนให้มาสะกดรอยตามผู่เหลียนเหยาจริง ๆ เมื่อปลายสายบอกเขาว่าผู่เหลียนเหยาออกจากพระราชวังพร้อมกับไป๋มู่ชิง เขาก็กระส่ายกระสับยิ่งกว่าเดิม จากนั้นก็รีบบึ่งมาด้วยความรวดเร็วที่สุด

เขาเป็นกังวลว่าผู่เหลียนเหยาจะทำร้ายไป๋มู่ชิง ครั้นคิดไม่ถึงว่าไป๋มู่ชิงจะเป็นฝ่ายกระทำผู่เหลียนเหยาอย่างรุนแรงแทน

เดิมทีเขาควรจะยินดีกับไป๋มู่ชิงครั้นความเป็นกังวลภายในใจที่มีต่อเธอกลับมีมากกว่าความยินดี ถูกต้อง เขาเป็นห่วงเธอ เป็นห่วงว่าการที่เธอทำเช่นนี้จะส่งผลให้ภัยอันตรายมาหาตัวเธอเองมากขึ้นกว่าเดิม !

“คุณได้ยินหมดแล้วเหรอ ? เห็นหมดแล้วเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงจ้องหน้าเขาด้วยความรู้สึกที่ตกตะลึง รู้สึกกระวนกระวายในใจ

เมื่อสักครู่เธอพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับเสียวหว่านชิงเยอะมาก ถ้าหากเขาได้ยินหมดแล้ว เช่นนั้นเขาคงรู้ว่าเสียวหว่านชิงเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของเขาแล้วใช่หรือไม่ ?

ไม่สิ เขาไม่น่าจะทราบ ถ้าหากเขาทราบแล้วจะต้องไปแย่งเสียวหว่านชิงกลับคืนมาเป็นแน่ เธอไม่มีทางยกหว่านชิงให้เขาเด็ดขาด !

“ฉันเห็นแล้ว” หนานกงเฉินกล่าว : “เมื่อกี้ฉันยืนอยู่ถนนฝั่งตรงข้าม”

ไป๋มู่ชิงมองไปยังถนนฝั่งตรงข้ามด้วยสันชาตญาณ จากตรงนี้ไปถึงถนนฝั่งตรงข้ามมีถนนคนเดินอยู่หนึ่งเส้น ถนนรถแล่นหนึ่งเส้น เป็นถนนเส้นใหญ่ที่มีสามเลน……

และรถของเขาก็จอดอยู่ตรงข้ามกับถนนเลย

เธอแอบถอนหายใจอยู่ลึก ๆ ระยะทางเช่นนี้ประกอบกับมีเสียงรบกวนของรถที่แล่นผ่านไปผ่านมา เขาจะต้องไม่ได้ยินเป็นแน่ !

โชคดีแล้ว !

หนานกงเฉินมองใบหน้าที่สลับเป็นแดงและขาวไปมา ภายในใจก็เดือดดาลขึ้นมาด้วยแรงอันมหาศาล และขณะที่เธอกำลังหันหลังหมายจะเดินจากไปนั้น ฝ่ามือใหญ่ ๆ ของเขาก็คว้าข้อมือของเธอไว้อีกครั้งเพื่อดึงเธอกลับมา

“หนานกงเฉินคุณจะทำอะไร ?” ไป๋มู่ชิงถูกบังคับให้สบตาเขา

หนานกงเฉินสบตาเธอจากนั้นก็พูดว่า : “เธอไม่เคยเจอผู่เหลียนเหยามาก่อน ทำไมวันนี้เธอถึงมาหาเขาล่ะ ? ทำไมถึงต้องทำเรื่องแบบนั้นกับเขาด้วย?”

“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก

“ความทรงจำของเธอฟื้นคืนมาแล้วใช่ไหม ?” สายตาที่หนานกงเฉินจ้องมองเธอเคร่งขรึมขึ้นมา น้ำเสียงที่เอ่ยก็ค่อย ๆ เย็นชาขึ้นทุกครา ๆ “หรือว่าเธอไม่เคยลืมเลยตั้งแต่แรก แต่จงใจแสร้งทำว่าความจำเสื่อมงั้นเหรอ ?”

“เปล่านะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “ก็ตอนที่หล่นจากตึกครั้งนั้น อยู่ ๆ ฉันก็จำเรื่องราวทุกอย่างได้ขึ้นมา”

หนานกงเฉินมีความตกตะลึงแวบขึ้นมาภายในใจ เขาถามต่อว่า : “แล้วทำไมเธอต้องปิดบังฉันด้วย ?”

“เพราะไม่จำเป็น”

“อะไรคือไม่จำเป็น ?” หนานกงเฉินตะคอกเสียงดัง

ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นขัดขืนมือใหญ่ ๆ ของเขาที่ล็อกข้อมือตนเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง : “หนานกงเฉิน ตอนนี้สถานการณ์มันเป็นยังไงคุณก็รู้ดี ไม่ว่าตอนนั้นจะเป็นเพราะอะไร แต่อันที่จริงเราต่างก็มีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว กลับไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะงั้น……การบอกหรือไม่บอกคุณมันมีความแตกต่างอะไร ? มีแต่จะทำให้คุณทุกข์ใจ และตัดใจไม่ลงยิ่งกว่าเดิม……”

“ทำไมพวกเราจะกลับไปไม่ได้อีกแล้ว ? ฉันกับจูจูจะหย่ากันในเร็ว ๆ นี้แล้ว และเธอกับเฉียวเฟิง……” หนานกงเฉินหยุดชะงักไป จากนั้นก็พูดขึ้นอีก : “เมื่อก่อนเธอสูญเสียความทรงจำ เพราะงั้นเลยคิดว่าเฉียวเฟิงเป็นรักแท้ของตนเอง ถ้างั้นตอนนี้ล่ะ ? เธอนึกเรื่องราวทุกอย่างได้แล้ว อย่าบอกนะว่ายังคิดว่าเขาเป็นรักแท้ของเธออยู่จริง ๆ เหมือนเดิม ?”

ไป๋มู่ชิงตอบกลับไม่คิดเลยสักนิด : “ถูกต้อง เฉียวเฟิงคือรักแท้ของฉัน ฉันไม่มีทางทิ้งเขา เพราะงั้นระหว่างฉันกับคุณกลับไปไม่ได้อีกแล้ว”

“ไม่ !” หนานกงเฉินตะคอกด้วยความเกรี้ยวกราด : “เธอไม่ได้รักเขาจริง ๆ แต่เป็นความซาบซึ้งใจ รู้สึกมีบุญคุณเหมือนกับที่เธอรู้สึกกับหลินอันหนานเมื่อก่อนยังไงล่ะ……”

“ไม่ใช่ นี่มันไม่เหมือนกับหลินอันหนาน ! เฉียวเฟิงกับหลินอันหนานไม่เหมือนกัน !”

“มีอะไรไม่เหมือนกัน ? เพราะว่าเขาคือสามีที่อยู่ในเกมของเธอ เพราะพวกเธอรู้จักกันมานานมากงั้นเหรอ ? หรือเพราะว่าเขาช่วยชีวิตเธอไว้หนึ่งครั้ง ? แต่ว่าเธอเคยคิดหรือเปล่าว่า ขณะที่เขาช่วยชีวิตเธออยู่ก็กำลังหลอกเธอไปด้วย ใช้คำพูดหลอกลวงทำให้เธอกลายเป็นภรรยาของเขา ! ไป๋มู่ชิงทำไมเธอถึงไม่รู้จักแยกแยะถูกผิดแบบนี้อยู่เรื่อยเลย ? ทำไมต้องเอาความรู้สึกเป็นบุญคุณกับความรักมารวมกันด้วย ? ตอนนั้นเรื่องของหลินอันหนานก็เป็นอย่างนี้ ตอนนี้เรื่องของเฉียวเฟิงก็เป็นอย่างนี้อีก……”

“หนานกงเฉิน คุณปล่อยฉันนะ……” ไป๋มู่ชิงถูกเขาซักไซ้ถามจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงดิ้นขัดขืนอย่างแรง

“ไป๋มู่ชิง !” หนานกงเฉินตะคอกต่อไป : “อย่าบอกนะว่าเธอจะทิ้งฉันไปเพราะผู้ชายที่ตัวเองไม่ได้รัก ? เธอลืมคำมั่นสัญญาเมื่อตอนนั้นของตัวเองไปแล้วเหรอ ? เธอเคยรับปากว่าไม่ว่าผู้อื่นจะบังคับเธอยังไงก็จะไม่ยอมจากฉันไปเด็ดขาด เธอเคยบอกว่าจะดูแลและอยู่ข้างกายฉันไปตลอดชาติ”

“หนานกงเฉินคุณมีจูจูแล้ว……”

“เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าฉันไม่รักจูจู !”

“แต่ว่าฉันไม่สามารถออกจากเฉียวเฟิงได้ ฉันไม่อยากจากเขาไปด้วย ฉันรักเขา……หนานกงเฉินคุณฟังให้ชัด ๆ นะฉันรักเขา……อื้อ……” คำพูดหลังของไป๋มู่ชิงถูกเขาสะกัดไว้เรียบร้อยแล้ว

อีกแล้ว ท่าไม้ตายที่ใช้เมื่อไรก็ไม่มีวันเบื่อ !

เขาไม่เคยสนใจว่าเธอจะอยู่ในสถานะอะไร หรืออยู่ในอารมณ์แบบใดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยามโมโหก็จูบเธอ เพราะเขาทราบดีว่าหลังจากที่จูบเธอแล้วทุกครั้งเธอก็จะยอมเชื่อฟังเขา

เธอผลักหน้าอกของเขาออกอย่างแรง จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด : “หนานกงเฉิน……คุณเคารพฉันหน่อยได้ไหม……”

หนานกงเฉินใช้สองมือจับใบหน้าของเธอไว้ จนมีรอยแดง : “แล้วเธอล่ะ ? เคารพตัวเองหน่อยจะได้ไหม ? เธอดูให้ชัด ๆ สิผู้ชายที่เธอรักยืนอยู่ต่อหน้าเธอแล้ว ไม่ใช่คนฉวยโอกาสอย่างไอ้เฉียวเฟิง !” พูดจบเขาก็ก้มลงไปจูบเธออีกครั้ง ปลายลิ้นสอดแทรกเข้าไปลึกอยู่ภายในปากของเธอ ให้เธออับจนหนทางที่จะหลบหนี

เขาต้องการบีบบังคับให้เธอยอมรับว่าตัวเองรักเขา เพราะว่าเขาเชื่อมั่นในเรื่องนี้มาก !

หลังจากที่เขาจูบเธอไปเวลาหนึ่ง จนกระทั่งเธอค่อย ๆ ล้มเลิกการขัดขืนแล้วค่อยปล่อยริมฝีปากเธอออก จากนั้นก็กระซิบข้างใบหูของเธอด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล : “มู่ชิง เธอรู้ไหมว่าสองปีกว่าที่ผ่านมาฉันคิดถึงเธอมากแค่ไหน ? แล้วเธอล่ะ ? เธอเคยคิดถึงฉันบ้างไหม ? เคยฝันถึงฉันไหม ? จะต้องไม่เคยใช่ไหม……”

เธอความจำเสื่อม จะนึกถึงเขาได้อย่างไรกัน ? ช่างเพ้อฝันเสียจริง !

“ขอโทษ……” ไป๋มู่ชิงอดกลั้นน้ำตาเอาไว้อย่างแรง สองมือเธอยกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ครั้นกลับค้างอยู่นานไม่กล้ายื่นไปโอบกอดเอวของเขา

ในเวลานี้เธออยากรักครั้นไม่สามารถรัก อยากกอดแต่ไม่สามารถกอดได้……

“ฉันทำผิดกับคุณ ลืมฉันไปเถอะ……”

“ไม่มีทาง” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น : “ทั้งที่เธอรู้แก่ใจว่าความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอลึกแค่ไหน……”

“แต่ว่า……” ริมฝีปากของไป๋มู่ชิงสูญเสียอิสระไปอีกครา เขาไม่อยากฟังเหตุผลและข้ออ้างที่เธอกล่าวเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเขาไม่เชื่อว่าหลังจากที่ความทรงจำของเธอกลับมาแล้วจะยังรักเฉียวเฟิงอยู่ เขาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด !

ไป๋มู่ชิงถูกเขาประกบปากจนสมองสับสน ในที่สุดความรู้สึกคะนึงหาที่มีต่อเขาก็กดทับสติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่ สองมือของเธอกอดรัดเอวเขาไว้แน่น จากนั้นก็เริ่มจูบเขากลับอย่างร้อนแรง

ถูกต้อง เธอยังรักเขาอยู่ คิดถึงเขา อาลัยอาวรณ์เขา ไม่มีผู้ใดเข้าใจเธอไปมากกว่าหนานกงเฉินอีกแล้ว !

ทว่าบนโลกใบนี้ไม่ใช่คู่รักทุกคู่จะได้ครองรักกันชั่วนิรันดร์ เธอไม่สามารถไปทำร้ายผู้ชายที่ทุ่มเทแรงใจให้กับตนมาตั้งเนิ่นนานหลายปีเพราะคำว่ารักเขาแค่นี้ลงหรอก

เมื่อรับรู้ถึงการตอบสนองของเธอ หนานกงเฉินจึงเริ่มรุกรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จูบนี้ก็เริ่มร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ สองแขนที่กอดรัดร่างกายของเธอเอาไว้นั้นรัดแน่นขึ้น จนทำให้เธอหายใจลำบาก ราวกับว่าทำเช่นนี้จะสามารถทำให้เธอหลอมรวมร่างเข้ากับตัวเองได้เพื่อให้เธอไม่สามารถหนีไปจากตนได้อีกอย่างไรอย่างนั้น

ลมยามราตรีพัดผ่านผิวแม่น้ำโชยมากระทบบนร่างทั้งสองคน ช่างนุ่มนวลและสบายเสียจริง แม้แต่ไฟข้างทางก็ดูราวกับอบอุ่นขึ้นมาเป็นพิเศษ เป็นการเพิ่มบรรยากาศแห่งความเสน่ห์หาให้ทั้งสองคนอย่างท่วมท้น

ไม่รู้ว่าพวกเขาจูบกันไปนานเพียงใด และจนกระทั่งไป๋มู่ชิงหายใจไม่ทันจริง ๆ ในที่สุดจูบนี้ก็สิ้นสุดลง

ลมพัดเบาบางโชยเข้ามากระทบใบหน้า ไป๋มู่ชิงมีสติขึ้นมา จากนั้นจึงผลักหนานกงเฉินออกทันที ครั้นกลับถูกหนานกงเฉินกอดรัดเอาไว้แน่นกว่าเดิม

“ให้ฉันกอดเธออีกหน่อยนะ” หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าเบา ๆ พร้อมกล่าวขึ้นมา

เขาทราบว่าเพียงแค่ตนปล่อยมือเธอ เธอก็จะกลับมาเป็นนิสัยดื้อรั้นตามเดิมจากนั้นก็จะผลักไสเขาออกไปให้อยู่ห่างไกลตนทันที

ไป๋มู่ชิงถูกบังคับให้ร่างกายแนบชิดเข้าในอ้อมกอดเขา เธอหายใจหอบ หลับตาลงเบา ๆ ฟังเสียงหัวใจที่เต้นรัวและเร็วภายในร่างกายของเขา ทั้งที่ในใจอยากจะผละออกจากอ้อมกอดของเขาเป็นอย่างมาก ครั้นสุดท้ายสองมือกลับโอบกอดร่างกายของเขาไว้แน่นตามความต้องการที่อยู่ในใจ

ความจริงแล้วเธอเองก็อยากกอดเขามากเช่นเดียวกัน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท