บทที่ 54 – ฉันและเธอ
“จริงสิ วันหยุดยาวข้างหน้าเธอจะกลับบ้านหรือเปล่า?”
จู่ๆ ชาร์ล็อตก็ถามฉันขึ้น จะว่าไปอีกไม่กี่วันข้างหน้าจะหยุดยาวสอบวันเพื่อเตรียมตัวสำหรับการล่า
เพราะเทศกาลล่าในครั้งนี้มันค่อนข้างใช้เวลานาน จากคำบอกเล่าเมื่อเข้าไปอยู่ในชิ้นส่วนเวหาแล้ว จะไม่สามารถเข้าหรือออกได้จนกว่าจะครบเวลาที่กำหนด
แม้แต่ระดับพาลาดินน่ะนะ เพราะชิ้นส่วนเวหานี่นับเป็นเรื่องที่ลึกลับมากเรื่องหนึ่งเลยแหละ
หมายความว่าฉันไม่มีโอกาสได้ออกมาถ้าเข้าไป เหมือนการขังให้เชือดทิ้งนั่นแหละ ถึงจะบอกว่าทางโรงเรียนมีวิธีการรับมือแล้วก็เถอะ
แต่ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น … แต่วันหยุดยาวสิบกว่าวันก็มีเพื่อเหตุนี้ แต่จะกลับไปอาณาจักรอาเดฟเหรอ…?
แต่ระยะทางมันไกลเกินไป ถึงถ้าใช้พลังเวทปีศาจจะไปถึงเร็วแต่ฉันไม่คิดจะเปิดเผยไพ่ตายนี่น่า
“ไม่หรอก”
ฉันตอบออกไปแบบนั้น อีกอย่างถ้าหากเกิดกลับไปอาจจะเจอเรื่องไม่คาดฝันต่างๆ ได้ ทางที่ดีเพื่อไม่ให้สิ่งที่ต้องทำให้อนาคตคลาดเคลื่อนคือ…
ห้ามสร้างช่องโหว่ให้มันเกิดสิ่งนั้นขึ้นยังไงล่ะ! เพราะงั้นฉันจะอยู่ที่นี่เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
“งั้นกลับไปบ้านเกิดด้วยกันกับฉันไหม? ถึงจะไม่มีอะไรให้น่าดูชมก็เถอะ”
จู่ๆ ชาร์ล็อตก็ถามขึ้นมาด้วยท่าทางเขินอาย ตั้งแต่ฉันรู้จักกับชาร์ล็อตมาฉันรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงแปลกๆ
จะว่าไงดีมันให้ความรู้สึกเหมือนเธอเป็นพวกเดียวกันกับฉัน ไม่ได้มีความหมายอย่างมิตรภาพต้องไว้ใจอะไรแบบนั้นนะ
แต่ฉันรู้สึกว่ามีบางอย่างที่พวกเราเหมือนกันเลยแหละ อาจจะเป็นเรื่องที่มีพี่น้องเหมือนกันก็ได้แหละ
ดังนั้นฉันเลยรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนภาพสะท้อนของตัวเองในบางครั้ง ฉันเข้าใจว่ามันเป็นความคิดที่มีช่องโหว่ ดังนั้นฉันจึงพยายามตีตัวออกหากจากเธอในบางครั้ง
อย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่ฉันเชื่อในตอนนั้นแหละนะ ดังนั้นพอฉันเห็นท่าทางของเธอในตอนนี้ฉันเลยพอจะคาดเดาความคิดเธอได้
เธอกำลังคิดว่า จะพาพี่สาวฝาแฝดของเธออย่างอันน่าไปล้ำลึกความหลังในบ้านเกิด ส่วนฉันกับน้องสาวเตรียมไปไว้เป็นตัวเปรียบเทียบ
ประมาณว่า พี่น้องที่ไม่ได้ล้ำลึกความหลัง กับพี่น้องที่ล้ำลึกความหลัง ง่ายๆ ก็คือมันคือการอวดความเป็นพี่น้องนั่นเอง!
เพราะแบบนี้เองสินะเลยทำตัวเหมือนไม่กล้าพูด เพราะว่าเรื่องนี้มันไม่ดีมากๆ และชาร์ล็อตก็เป็นคนประเภทเดียวกับน้องสาวฉัน
พอเธอพูดเลยทำท่าทางไม่กล้าพูดบิดตัวไปมา ถ้าเดาไม่ผิดนี่คงเป็นแผนของอันน่าแน่ๆ แต่ถ้าอันน่ามาพูดเองฉันจะไม่เชื่อ
รู้ทันหรอกน่ายัยอันน่า! ถึงจะไม่ค่อยได้คุยด้วยแต่บางวันอันน่าควบคุมร่างของชาร์ล็อตมาทำอะไรแปลกๆ ตอนฉันหลับด้วย
“เอ่อ โทษทีนะ ฉันมีเรื่องที่ต้องทำที่โรงเรียนนี้น่ะ”
“เอ๊ะ อย่างงั้นเหรอ งั้นก็ไม่เป็นไรหรอก”
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงรอดออกมาได้ ถึงจะไม่ได้มีอะไรจะทำอยู่ในโรงเรียนจริงๆ ก็เถอะนะ ฉันแค่โกหกไปนั่นแหละ
จะว่าไปเลวี่เองก็จะกลับไปเที่ยวบ้านเกิดกับเพื่อนสินะ อิซานะ ที่เป็นเผ่าจิ้งจอกดูเหมือนว่าทั้งสองจะสนิทกันมากเลยทีเดียว
เธอมาบอกฉันว่าเธอจะไปกับอิซานะ ถึงจะแปลกใจที่เธอพูดแบบนั้นแต่ฉันก็ไม่ได้ห้ามอะไรหรอกนะ
แต่แน่นอนเพื่อความปลอดภัยฉันได้เตรียมของเซตใหญ่ไว้ให้เธอ อันที่จริงฉันอยากไปด้วยอยู่หรอก แต่เลวี่ปฏิเสธหัวแข็งว่าท่านพี่อย่ามาด้วยเด็ดขาดนะ
จะว่าไงดี พักนี้.. ไม่สิ… ตั้งแต่หลังวันเปิดเรียนวันแรกเธอก็หมกมุ่นอยู่กับหนังสือและก็ไม่ได้คุยกันบ่อยๆ เท่าไหร่
ไม่รู้สิพักนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองเริ่มระแวงเลวี่ขึ้นมาแล้ว.. แต่พี่เคยบอกว่าอย่าระแวงน้องสาวเพราะไม่มีทางที่เธอจะคิดร้ายต่อฉันแน่นอนนี่น่า..
ต้องสนิทกันไว้ ถึงจะมีความรู้สึกดังกล่าวที่ว่าระแวงเลวี่ขึ้นมา ฉันก็พยายามข่มความรู้สึกนั้นไว้
ส่วนเรื่องลูเซีย… ฉันไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่าคำว่าเธอเหมือนลูเซียที่ฉันรู้จักมาก…
ขณะคิดอะไรเล่นอยู่นั้น เวลานอนก็มาถึงแล้วฉันก็นอนลงบนเตียงและหลับลงไปในที่สุด
ฉันกำลังฝันว่าตัวเองจมอยู่ใต้น้ำ.. น้ำนั้นมันลึกมากไม่เห็นก้นไม่รู้ตักทิศรู้จักทาง ไม่มีแสงมีเพียงเสียงเคลื่อนตัวของสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึก
ฉันลืมตาขึ้นในทะเลลึกมันดึงเอาความรู้สึกหนาวสั่นของฉันออกมา เพราะฉันเป็น Thalassophobia (อาการทางจิตชนิดหนึ่ง [1] )
ฉันรู้สึกไม่ชอบสถานที่แห่งนี้สักเท่าไหร่ แต่ร่างกายกลับเหมือนหมดเรี่ยวแรงแม้แต่พลังที่เก็บซ่อนไว้ยังเหือดแห้งไปจนหมด
“ท่าน—”
เสียงลึกลับดังขึ้นในหัวของฉันเป็นเสียงที่ดูคุ้นเคย ไม่สิมันเหมือนดังก้องมาจากช่วงเวลาอันห่างไกล แสนน่าคิดถึง
และฉันเองก็เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน แต่ไม่รู้สิ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้ แสงสว่างจากก้านใต้สาดสว่างขึ้น
เผยให้เห็นชั้นน้ำสองชั้นที่แปลกตา ชั้นน้ำนี้ราวกับมันแยกน้ำส่วนข้างบนและข้างล่างออกจากกัน และฉันก็อยู่ส่วนข้างบน
แสงสว่างนั้นส่องมาจากน้ำส่วนด้านล่างแต่เพราะเหมือนชั้นน้ำดังกล่าวเป็นสีขาวเมฆทำให้ไม่สามารถทราบได้เลยว่าข้างใต้นั้นมีอะไร
แน่นอนว่าฉันเองก็ไม่สามารถหลบหลีกจากวิกฤตในครั้งนี้เพราะร่างกายค่อยๆ ร่วงลงไปจนถึงชั้นน้ำดังกล่าว
ทันทีที่ร่างกายของฉันสัมผัสกับชั้นน้ำในตอนนั้นเองแรงดันบางอย่างได้ผลักดันขึ้นมา ทว่าร่างกายฉันก็รอดผ่านชั้นน้ำทะลุไปยังน้ำอีกชั้น
ทันทีที่ไปถึงอาการเจ็บแสบปวดร้อนผิวหนังก็บังเกิด มันน่าตกใจที่ฉันรู้สึกทรมานอย่างน่าประหลาด แต่แสงสีขาวก็ยังคงสาดส่องออกมาจากใต้น้ำลึกนี้
สายตาฉันเหลือบไปเห็นแสงพูดให้ถูกแสงนี้มันส่องสว่างมาตลอด แต่ต้องอยู่ในระยะของมันก่อนจะมองเห็น
ถามว่าทำไมถึงรู้ เพราะฉันสัมผัสได้ทันทีเมื่อมองเห็นแสงเหล่านี้ เพราะแสงเหล่านี้ไม่ใช่อนุภาคโฟตอน
เพราะแสงนี้มันเป็นเหมือนกับวัตถุ หรืออาจจะเป็นมากกว่านั้นซะอีก ภายใต้แสงดังกล่าวมีบางอย่างถูกพันธนาการด้วยโซ่แห่งแสง
แสงมันรุนแรงจนทำให้ร่างนั้นไหม้เกรียมเป็นสีดำสนิท ทว่าราวกับร่างกายของมันซ่อมแซมอยู่ตลอดเวลา
ทำให้โซ่แห่งแสงนั้นไม่สามารถทำร้ายร่างนั้นไปมากกว่านี้ได้ เมื่อสัมผัสถึงฉันร่างนั้นก็หันขึ้นมาหาฉัน
รอยยิ้มของร่างนั้นยกขึ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี จนฉันต้องแปลกใจ เสียงของร่างนั้นชัดเจนกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยินและสามารถจำแนกได้ว่าเป็นผู้หญิง
“ใน…ที่สุด… ท่านก็หาข้าจนพบเสียที— แม้นี่จะเป็นการหยั่งรู้ ข้าเป็นคนพิเศษ… สำหรับท่าน— ท่านจอมมาร”
ฉันรู้สึกงงงวยขึ้นมา จอมมาร.. หมายความว่าไงฉันไม่ใช่จอมมารสักหน่อย จอมมารนั้นมีได้เพียงแค่สิบสองคน
ซึ่งตอนนี้ก็มีกันอยู่ ฉันจะไปเป็นสิบสองจอมมารได้ยังไงล่ะ เดี๋ยวแล้วคนพิเศษนี่หมายความว่าไงน่ะ
“เธอ… เป็นใคร!”
ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงถามออกไปแบบนั้น แต่ไม่รู้สิฉันรู้สึกว่าการถามออกไปแบบนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติมาก ..
“ข้า..คือ……—”
ก่อนที่เสียงนั้นจะสิ้นสุดดวงตาฉันก็เบิกกว้างสะดุ้งตื่นเพราะใครบางคนจากโลกความจริง ทำเอาฉันงงงวย
เสียงนั้น.. คือเสียงที่ฉันบางทีก็ได้ยินแว่วๆ ไม่ผิดแน่ๆ .. แต่เป็นใครกันล่ะ.. ขณะที่คิดแบบนั้นก็รู้สึกตัวหนักเหมือนถูกทับ
แต่เพราะในห้องมืดแถมปิดผ้าม่านไว้แสงตะวันเลยไม่มี ฉันพยายามจะขยับแต่ก็มีเสียงดังขึ้น
“โอ้ตื่นแล้วเหรอ..”
สายตาฉันหันขึ้นไปตามต้นเสียงเพราะร่างของชาร์ล็อตกำลังนั่งทับฉันอยู่
“….”
……………
[1] Thalassphobia – อาการกลัวใต้ทะเลลึก