พูดถึงตรงนี้ นางก็มีน้ำมูกน้ำตาไหลนองหน้า “จ้าวจิ้งเทียน เจ้าออกมา เจ้าก่อเรื่องใหญ่แบบนี้ ทำไมกล้าทำแต่ไม่กล้ารับ ให้พ่อเจ้าออกมารับหน้าแทนอย่างนั้นรึ? เจ้าออกมาบอกข้าซิว่าลิ่วจื่อของข้าตายยังไง! เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”
เสียงร้องไห้ของนางน่าเวทนามาก ทุกคนต่างก็นิ่งเงียบ บางคนถึงกับแอบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
จริงๆ แล้วทุกสองสามปีก็มักจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นสักครั้ง ไม่มีทางเลือก ทุกคนต่างก็เลี้ยงชีพด้วยการล่าสัตว์ ต้องเผชิญหน้ากับเสือกับหมาป่าอยู่บ่อยๆ ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่ไปเจอกับหมีหรือฝูงหมาป่าเข้า
แต่ครั้งนี้ลิ่วจื่อตายอย่างอนาถมาก แม้แต่กระดูกก็ยังแย่งกลับมาไม่ได้ ซ้ำลิ่วจื่อยังทิ้งถูกเล็กๆ เอาไว้อีกสองคน ใครเห็นก็อดปวดใจไม่ได้
ท่ามกลางความเงียบนั้น จู่ๆ เด็กน้อยซึ่งยังอายุไม่ถึงสองขวบก็อ้าปากร้องไห้โฮ เด็กน้อยไม่รู้ความ บางทีเขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบิดาตายไปแล้วและจะไม่กลับมาอีกแล้ว เขาอาจจะเพียงแค่ตกใจที่เห็นมารดาร้องไห้เท่านั้น
แต่พอเขาร้องไห้ ทุกคนก็แทบจะทนดูไม่ได้
“คราวนี้เมียลิ่วจื่อจะทำยังไง!”
“เด็กสองคนยังเล็กมากเลย”
“จริงๆ ที่เมียลิ่วจื่อพูดก็ถูก ต่อให้มีลุงมีอาช่วยเหลือแล้วยังไง เด็กไม่มีพ่อ ต่อไปจะทำยังไงกัน?”
“จริงๆ เถี่ยเฟิงก็ห้ามจิ้งเทียนแล้ว แต่จิ้งเทียนดึงดันไม่ยอมฟัง บอกว่าเถี่ยเฟิงคิดมากเกินไป ลูกผู้ชายบนภูเขาสมควรต้องกล้าเสี่ยง ผลสุดท้าย…”
ทุกคนมองหน้ากันแล้วก็ได้แต่ถอนใจ
จ้าวจิ้งเทียนย่อมไม่เลว แต่ยามนี้ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าบางครั้งจ้าวจิ้งเทียนก็ใจกล้าเกินไป ไม่ว่าทำอะไรก็ใจร้อน คิดจะทำให้ได้เสียเดี๋ยวนั้น ไม่หนักแน่นมั่นคงมากพอ
ลูกผู้ชายบนภูเขาย่อมต้องกล้าเสี่ยง แต่ก็ต้องหันกลับมาดูพ่อแม่ชรากับลูกเมียที่บ้านบ้าง ถ้าตายไป ใครจะเป็นคนเลี้ยงดูลูกเมียที่บ้าน?
ระหว่างที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้นเอง จู่ๆ เสียงแหบพร่าอ่อนล้าเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ลิ่วจื่อตายเพราะข้า ข้าสมควรต้องรับผิดชอบ”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหันขวับไปมองด้วยความตกใจ จ้าวจิ้งเทียนกำลังก้าวออกมาจากเรือนด้านหลังด้วยความยากลำบากโดยมีญาติสองคนช่วยประคอง
“เจ้ากลับไปพักซะ!” จ้าวฝูชางร้องตำหนิบุตรชาย
“เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะข้า ย่อมไม่มีเหตุผลที่ข้าจะทำตัวเป็นเต่าหดหัว” จ้าวจิ้งเทียนยิ้มขื่น
ระหว่างที่พูด เขาก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าภรรยาของจ้าวลิ่วในสภาพที่เรียกได้ว่าต้องอาศัยคนหิ้วปีก จากนั้นเขาก็ทรุดลงคุกเข่า
“น้องสะใภ้ เรื่องนี้ต้องโทษข้าที่ประมาท มุ่งมั่นแต่จะสร้างผลงาน ข้าพาทุกคนเข้าไปในป่าโบราณ ทำให้ทุกคนต้องไปเจอกับฝูงหมาป่า ทำให้น้องจ้าวลิ่วต้องตาย วันนี้ไม่ว่าเจ้าจะด่าจะตี ข้าจ้าวจิ้งเทียนจะไม่พูดอะไรสักคำ! ต่อให้เจ้าเอาชีวิตข้า ข้าก็จะไม่ปริปากแม้แต่น้อย!”
ภรรยาของจ้าวลิ่วเห็นเขา ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นางโผเข้าไปทุบตีเขาอย่างแรง “คืนลิ่วจื่อของข้ามา คืนลิ่วจื่อของข้ามา เจ้าโขกหัวแล้วมีประโยชน์อะไร ข้าจะโขกหัวให้เจ้าร้อยครั้ง เจ้าคืนผัวของข้ามา!”
เสียร้องไห้ของนางดังก้องไปทั่วเขาเว่ยอวิ๋น
ทันใดนั้น ชายหนุ่มที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ พริบตาต่อมาร่างของเขาก็ล้มลงกับพื้น
การหมดสติของจ้าวจิ้งเทียนทำให้เรื่องทั้งหมดยุติลงชั่วคราว คนตระกูลจ้าวในสายของจ้าวฝูชางหลายคนนัดหมายผู้อาวุโสในสายของลิ่วจื่อไปเจรจากัน สุดท้าย พี่น้องของจ้าวลิ่วหลายคนช่วยกันออกหน้า ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า ให้ชดใช้ที่นาชั้นดีให้ภรรยาของจ้าวลิ่วสิบไร่ สร้างบ้านหลังคามุงกระเบื้องให้หนึ่งหลัง และต้องช่วยนางเลี้ยงดูลูกทั้งสองจนเติบใหญ่ ภรรยาของจ้าวลิ่วกลับไปด้วยความพึงพอใจ ส่วนตระกูลจ้าวต้องเสียเงินก้อนโต
ฝ่ายจ้าวจิ้งเทียน ยามนี้ทุกคนเพิ่งได้รู้ว่าครั้งนี้เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ทรวงอกของเขาถูกหมาป่ากระแทกอย่างแรง ทำให้ได้รับบาดเจ็บภายใน กลับมาก็ได้แต่นอนแบ็บไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่พอภรรยาของจ้าวลิ่วมาอาละวาด เขาจำเป็นต้องให้คนช่วยพยุงออกมา สุดท้ายก็เลยหมดสติ
ทุกคนได้รู้เช่นนี้ย่อมอดทอดถอนใจไม่ได้
บางคนรู้สึกว่าครั้งนี้จ้าวจิ้งเทียนเองก็ไม่ได้ตั้งใจ เขามีเจตนาดี อยากจะทำเพื่อทุกคน แถมเขาเองก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะปกป้องทุกคน ถือได้ว่าลำบากไม่น้อย
แต่ก็มีบางคนที่เห็นว่าเมียจ้าวลิ่วเหลือเพียงแม่ม่ายลูกกำพร้า ไม่มีสามีก็ลำบากไม่น้อยเช่นกัน
พูดไปพูดมา สุดท้ายก็ได้แต่ถอนใจ จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไป บ้างก็กลับบ้าน บ้างก็ให้คนพยุงเข้าห้องไปพักผ่อน เหตุการณ์จึงได้ยุติลงชั่วคราว เย็นวันนั้น บ้านตระกูลจ้าวจัดงานเลี้ยงปลอบขวัญเหล่าพราน แต่ทุกคนก็กินกันอย่างซังกะตาย
กู้จิ้งกับเซียวเถี่ยเฟิงกินเสร็จก็เตรียมกลับถ้ำ ระหว่างที่เดินกลับถ้ำ นึกถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นในวันนี้ขึ้นมา กู้จิ้งก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเธอขมวดคิ้วแน่นเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม?”
จริงๆ เขาอยากจะถามว่าเจ้าหิวบ้างหรือเปล่า มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม ด้านนอกยังมีคนมากราบไหว้เยอะไหม?
แต่พอกู้จิ้งได้ยินกลับนึกถึงปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้น ฮัสกี้ที่ฟันหักกับทำให้บรรพบุรุษฝ่ายหญิงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ตกใจเผ่นหนีไป
เธอรีบกระแอมครั้งหนึ่งเพื่อกลบเกลื่อน “ไม่มีอะไร ราบรื่นดี ราบรื่นดี”
แต่ในใจกลับคิดว่า ควรจะไล่ฮัสกี้ออกจากถ้ำไปก่อนดีหรือไม่?
“เช่นนั้นก็ดี”
เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวคำพูดนี้ช้าๆ ด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอ่อนโยน ราวกับสายน้ำซึ่งไหลผ่านเม็ดทรายละเอียดใต้แสงจันทร์
กู้จิ้งเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้า นึกถึงเสียงร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังของภรรยาจ้าวลิ่วเมื่อครู่ จู่ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บแปลบอยู่ในอก
เธอปรายตามองเขาแวบหนึ่งพลางกล่าวตำหนิเสียงเบา “การล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงอะไรนี่อันตรายเป็นบ้า เดี๋ยวๆ ก็มีคนตาย นายอยู่ดีๆ จะเสนอหน้าออกไปทำไม ทำให้ตัวเองต้องบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้? หากนายเป็นอะไรไปจะทำยังไงกัน!”
ถ้าเซียวเถี่ยเฟิงเป็นอะไรไป เธอไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าประวัติศาสตร์เปลี่ยนแปลง คุณยายจะหายไปหรือเปล่า คุณแม่จะหายไปหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอมิต้องอดตายอยู่ในป่าลึกหรอกหรือ?
ถ้าเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างคงจะสูญสลายไปหมด
ฝ่ายเซียวเถี่ยเฟิงเองก็กำลังคิดถึงเสียงร้องไห้ของภรรยาจ้าวลิ่ว ภรรยาจ้าวลิ่วกับจ้าวลิ่วรักใคร่กันมาก ตอนนี้ไม่มีจ้าวลิ่วแล้ว หากภรรยาของจ้าวลิ่วอยู่เฉยๆ ไม่ปริปาก ตระกูลจ้าวย่อมต้องช่วยดูแลนาง แต่นางไม่อาจกล้ำกลืนความแค้นเอาไว้ ถึงได้มาอาละวาดแบบนั้น
คราวนี้ ถึงจะได้ผลประโยชน์ไปมากมายแต่ก็ถือว่าได้ล่วงเกินตระกูลจ้าว ต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ลิ่วจื่อตายไปก็ยังมีภรรยามาร้องไห้ให้
แล้วเขาเล่า?
คิดถึงตรงนี้ เขาก็ก้มลงจ้องปีศาจน้อยนิ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าอ่อนล้า “หากข้าเป็นอะไรไป เจ้าจะทำอย่างไร?”
ยามนี้กู้จิ้งกำลังคิดว่าหากเขาเป็นอะไรไป ทุกสิ่งทุกอย่างคงต้องสูญสลายไปหมด พอคิดขึ้นมาเธอก็รู้สึกเคียดแค้นนัก ดังนั้นจึงอดหยิกฝ่ามือเขาไม่ได้ “หากนายเป็นอะไรไป ฉันก็คงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ฉันยังจะทำอะไรได้อีก!”
คำพูดนี้ทำให้เซียวเถี่ยเฟิงรู้สึกร้อนผ่าวอยู่ในอก ความรู้สึกบางอย่างแล่นขึ้นมาจุกคอหอย ทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก
เขากอดปีศาจน้อยของเขาเอาไว้แน่นพลางกล่าวเสียงแหบ “ข้าเองก็เหมือนกัน หากเจ้าจากข้าไป ข้าเองก็คงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้”
กู้จิ้งหลับตาลงซึมซับสัมผัสจากอ้อมกอดแข็งแรงของชายหนุ่ม นึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงวันคืนที่ทั้งสองอยู่ด้วยกันในถ้ำ ความรู้สึกปวดร้าวแกมอ่อนหวานบางอย่างก็ผุดขึ้นในใจ
เธอชอบวันเวลาที่ได้อยู่กับเขา และหวังอยากให้เป็นเช่นนี้ตลอดไปเหลือเกิน
“กู้จิ้ง ข้ามีคำพูดมากมายอยากจะพูดกับเจ้า” ปลายคางแข็งกระด้างของชายหนุ่มถูไถกับหน้าผากของเธอเบาๆ เสียงกระซิบแหบพร่าของเขาดังอยู่เหนือศีรษะของเธอ
“ฉัน…ฉันเองก็มีคำพูดมากมายอยากจะพูดกับนาย” กู้จิ้งถอนใจคำหนึ่ง พี่ล่ำเอ๊ยพี่ล่ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอกับเขาจะมีวาสนาได้อยู่ด้วยกันอีกนานแค่ไหน!
เซียวเถี่ยเฟิงฟังน้ำเสียงแผ่วเบาของเธอแล้ว ร่างกายส่วนหนึ่งก็แสดงความปรารถนาออกมา หลายวันมานี้ระหว่างที่อยู่ในป่า เขาได้แต่นอนพลิกตัวไปมา ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ ในใจเฝ้าแต่คิดถึงนาง กลัวนางกินไม่อิ่มนอนไม่หลับ กลัวนางถูกคนอื่นข่มเหงรังแก ทั้งยังกลัวว่าหากตัวเองเป็นอะไรไป นางจะต้องรออยู่ในถ้ำโดยไม่มีวันได้พบกับเขาอีก
ยามนี้ยากนักกว่าจะได้กลับมา พอได้กอดนางไว้ในอ้อมแขน เขาถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้น
ในขณะที่ทั้งสองกำลังถูไถแก้มเข้าด้วยกันนั้นเอง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนวิ่งมาด้วยความเร่งร้อนพลางร้องตะโกนว่า “ต้าเซียน ต้าเซียน ช่วยผัวของข้าด้วยเถอะ!”
เอ่อ…มีคนมาขอให้ไปช่วยผัวอีกแล้วงั้นรึ?
ผู้ป่วยหนักสองคนในวันนี้ มีคนหนึ่งเริ่มเป็นไข้จริงๆ
ตอนที่กู้จิ้งไปถึง พ่อแม่ของผู้ชายคนนั้นกำลังเช็ดน้ำตา ท่านหมอเหลิ่งผู้มีสีหน้าเคร่งขรึมยืนอยู่ด้านข้าง ดูเหมือนกำลังเตรียมยาอยู่