นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 94 เจ้าหาเงินได้เท่าไร
เหล่าไท่ไท่ชะงักไป คิดไม่ถึงกับเรื่องนี้
คราวนี้เสียงด่าจึงหยุดลง
คนที่แอบเรียนรู้ยังอยากเรียนต่อไป ทำได้แต่ต้องกลับไปทำงานของตัวเอง
“โอ้ยยัยเด็กนี่ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ ถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป พี่ชายเจ้าจะหาคู่แต่งงานได้ยังไง!” พูดอย่างนั้นแล้วเหล่าไท่ไท่ก็ตีแขนโจวกุ้ยหลาน
โจวกุ้ยหลานรู้สึกว่านางถูกทารุณเสียยิ่งกว่านางเอกละครน้ำเน่าเสียอีก แต่เมื่อคิดถึงที่ว่าท่านแม่โกรธแทนนาง นางจึงไม่ใส่ใจ รีบชวนเหล่าไท่ไท่ให้ตามนางไปพักในบ้าน
เมื่อเข้าไปในบ้าน เหล่าไท่ไท่ไปเอาตะกร้าเย็บปักถักร้อยในห้องตัวเองมาเริ่มเย็บเสื้อผ้า
“พี่ใหญ่ของเจ้านี่ก็จริงๆ เลย เมื่อวานไปหาก็ไม่เห็นมีเรื่องนี้ กลับมาก็ไม่บอกข้า!”
พูดแล้วยังโกรธไม่หาย
โจวกุ้ยหลานรีบปกป้องพี่ชายตัวเอง “ข้าเองแหละที่ไม่ให้พี่ใหญ่บอกท่านแม่ ไม่อย่างนั้นท่านแม่ก็ต้องอารมณ์เสียไม่ใช่เหรอ ข้าอยากให้ท่านแม่รู้เรื่องวันนี้แต่ท่านแม่ด่าไปซะนานนี่นา!”
“แล้วทำไมจะไม่ด่าล่ะ ไม่งั้นคนอื่นจะคิดว่าเราอ่อนแอไร้ทางสู้น่ะสิ!”
โจวกุ้ยหลานช่วยคลายอารมณ์ให้เหล่าไท่ไท่ พูดพร้อมกับยิ้มตาหยี “ลูกสาวของท่านแม่จะไม่ให้ตัวเองต้องกล้ำกลืนยอมทน ไม่ช้าก็เร็วเราต้องแก้แค้น จริงสิ ของของพี่ใหญ่เตรียมไว้แล้วหรือยัง ต้องไปพรุ่งนี้แล้วนะ”
“เตรียมไว้แล้ว แป้งที่เจ้าเอามาเมื่อวานนั่นก็พอแล้ว” เหล่าไท่ไท่คลายอารมณ์ น้ำเสียงนั้นดีขึ้นไม่น้อย
เมื่อวานเอาแป้งมาไม่เท่าไรเอง ถ้าเอาไปหมดแล้วพวกเขาจะกินอะไร
“ท่านแม่เอาไข่ไปแล้วเก็บแป้งไว้กินเอง ท่านแม่กับพี่ใหญ่ต่างผอมเหมือนกัน จึงต้องกินดีๆ” โจวกุ้ยหลานเกลี้ยกล่อม
เหล่าไท่ไท่นำเสื้อผ้าไปเปรียบเทียบตรงหน้าโจวกุ้ยหลาน พิจารณาใกล้ๆ แล้วเย็บเสื้อผ้าต่อ
“พวกไข่เอาไว้ขายได้ เอาแป้งไปเถอะ ถ้าดูตัวได้ การแต่งงานยังต้องใช้เงินจำนวนมาก จริงสิ เจ้าบอกฉางหลินเรื่องยืมเงินหรือยัง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เหล่าไท่ไท่จึงนึกถึงเรื่องเงินเรื่องทองขึ้นมาได้
โจวกุ้ยหลานถอดรองเท้าและนั่งไขว่ห้างบนเตียงเตา “บอกแล้ว เขาบอกว่าจะให้พี่ใหญ่ยืมสิบตำลึง”
“สิบตำลึง?!”
เหล่าไท่ไท่ร้องอุทานแล้วตามด้วยเจ็บที่มือ นางมองดู โอ๊ย เมื่อครู่เข็มแทงจนเลือดออก
นางรีบเอานิ้วเข้าปากดูดแล้วบ้วนเลือดทิ้ง
“ท่านแม่ ทำไมท่านไม่ระวังเลย มือเลือดออกหมดแล้วเนี่ย!”
โจวกุ้ยหลานปวดใจมาก ยื่นมือจะไปจับมือของเหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่เบี่ยงมือทันทีไม่ให้นางจับ
จากนั้นรีบลุกขึ้นจากเตียงเตา วิ่งออกไปมองรอบๆ เมื่อไม่เห็นว่ามีคนก็รู้สึกโล่งใจ จึงรีบปิดประตูห้องโถงและลงกลอนประตูหลังอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรีบเดินเข้ามาปิดประตูห้องตัวเอง
โจวกุ้ยหลานมองดูการกระทำของนางแล้วส่ายหน้าซ้ำๆ
เหล่าไท่ไท่ขี้ระแวงจริงๆ และอีกเดี๋ยวคงมาสอบสวนนาง
เป็นอย่างที่คาด หลังจากเหล่าไท่ไท่นั่งลงบนเตียงเตาอีกครั้ง ดวงตาคู่เล็กจับจ้องโจวกุ้ยหลาน “บ้านเจ้ามีเงินสิบตำลึงเลยเหรอ”
โจวกุ้ยหลานไม่คิดปิดบังเหล่าไท่ไท่ จึงพยักหน้าตอบรับ
“ไปเอามาจากไหน ไม่ใช่ว่าฉางหลินจะ…” นางพูดแล้วยกมือทำท่าเชือดคอตัวเอง
ยังคงมีสีหน้าระแวงระวัง
โจวกุ้ยหลานเหงื่อตก
เหล่าไท่ไท่คิดถึงสิ่งนี้ได้ยังไง
แต่เมื่อคิดถึงชื่อเสียงในหมู่บ้านของสวีฉางหลิน นางก็เข้าใจได้
“โอ๊ยไม่ได้นะ เจ้ารีบกลับมาอยู่ที่นี่เลย แล้วเลิกกับสวีฉางหลินซะ กลับมาๆ แม่จะเลี้ยงเจ้าเอง!”
เหล่าไท่ไท่เห็นโจวกุ้ยหลานไม่พูดอะไรก็เข้าใจผิดว่านางยอมรับ จึงตบต้นขาอย่างร้อนใจและจัดแจงอย่างตื่นตระหนก
จริงสิ ถ้าลูกสาวกลับมาก็จะไปเก็บกวาดบ้านหลังนั้นให้นาง ต่อไปก็ให้นางอยู่
โจวกุ้ยหลานเห็นท่าทางของนางแล้วทั้งโมโหทั้งขำ จึงพูดตามคำพูดนาง “ถ้าข้ารู้เรื่องพวกนี้แล้วเขาจะปล่อยข้าไปเหรอ ถ้าเอาเรื่องของเขาไปป่าวประกาศจะทำยังไง”
“จริงด้วยๆๆ เขาไม่ยอมปล่อยเจ้าแน่ ไม่ได้ จะอยู่ในหมู่บ้านอีกไม่ได้!” เหล่าไท่ไท่นั่งไม่ติด ลงจากเตียงเตาแล้วเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจหนัก
จะทำยังไงดี โอ๊ย ลูกสาวตัวน้อยกำลังจะตายแล้ว!
“จริงสิ ไปหลบที่บ้านพี่สาวคนรองของเจ้าเลย! ไปอยู่บ้านของนาง เมื่อสวีฉางหลินไม่อยู่เจ้าค่อยกลับมา ถ้านางรังแกเจ้า ข้าจะตามไปตีนาง!”
ตอนนี้เหล่าไท่ไท่คิดหาทางหนีที่ไล่ได้แล้ว
โจวกุ้ยหลานพยายามกลั้นขำอย่างสุดความสามารถ ดึงเหล่าไท่ไท่ที่ยังคงเดินอยู่ “ท่านแม่คิดมากไปแล้ว ฉางหลินเขาไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้น”
ถ้ายังไม่บอกอีกแล้วเหล่าไท่ไท่กลัวจนเป็นอะไรไปนางคงเสียใจตาย
“เจ้าหลอกข้า! ถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้นแล้วไปหาเงินสิบตำลึงมาจากไหน พวกเจ้าเพิ่งสร้างบ้านใหม่ไปเองนะ!”
เหล่าไท่ไท่โต้แย้ง
สิบตำลึงเลยนะ!
ทั้งชีวิตนางไม่เคยเห็นเงินมากขนาดนั้นเลย
ทั้งชีวิตชาวนาเก็บเงินได้เพียงสิบกว่าตำลึง ถ้าสร้างบ้านเงินก็หมดแล้ว
ตลอดปีจะได้รายได้สองหรือสามตำลึง และครอบครัวต้องกินต้องใช้ แล้วจะเหลือเงินสักเท่าไรกัน ทั้งยังมีพวกเทศกาลที่ต้องให้ของขวัญญาติพี่น้อง ไหนจะลูกแต่งงานผู้สูงอายุเสียชีวิต ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นค่าใช้จ่าย
ดังนั้นพวกเขาจึงยากจนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมปฏิกิริยาแรกของเหล่าไท่ไท่คือคิดว่าสวีฉางหลินฆ่าคนปล้นทรัพย์
“ลูกเขยของท่านแม่มีความสามารถ สร้างบ้านใหม่ได้เพราะเขาหาของป่าไปขายเป็นเวลาหนึ่งเดือน เงินนี่เราได้มาเพราะทำธุรกิจ ข้าสาบานกับท่านแม่ได้ว่าได้รับเงินมาอย่างถูกต้อง!”
กลัวว่าเหล่าไท่ไท่จะไม่เชื่อโจวกุ้ยหลานจึงพูดเน้นหนักในตอนท้ายด้วย
พูดจริงๆ นางเป็นคนที่ได้เงินนี้มา อย่างสะอาดหมดจดจริง
ใจเหล่าไท่ไท่ค่อนข้างเข้าข้างความพูดของโจวกุ้ยหลาน นางก็ไม่อยากให้ลูกเขยตัวเองเป็นฆาตกร…
“จะมีธุรกิจอะไรที่ทำเงินได้มากขนาดนี้” เหล่าไท่ไท่ถามอย่างทนไม่ไหว
โจวกุ้ยหลานยิ้มจนเห็นฟัน “ฮิฮิ…ไม่บอกท่านแม่หรอก!”
เหล่าไท่ไท่โมโหจนแทบเอารองเท้าตีนาง
“ยัยเด็กนี่ยังจะปิดบังแม่อีก! มีเรื่องดีๆ ก็ไม่แบ่งปันพี่ชายเจ้า เลี้ยงเสียข้าวสุก!”
“นั่นเป็นการทำธุรกิจกันแค่ครั้งเดียว ต่อไปจะไม่มีอีก เงินที่ได้มาข้าก็เอาไปช่วยพี่ใหญ่แต่งงานไม่ใช่เหรอ” โจวกุ้ยหลานอธิบายทันที
ถ้าพูดไม่ชัดเจน เหล่าไท่ไท่จะจำไว้ในใจ แล้วนางจะอยู่ดีไม่ได้เลยในวันหลัง
รู้ที่มาของเงินแล้วเหล่าไท่ไท่ก็โล่งใจ
ที่ลูกสาวตัวเองพูดก็ถูก นางมีเงินแล้วก็เอามาช่วยเหลือครอบครัวไม่ใช่เหรอ
“โอ้ย เงินสิบตำลึง! มันพอแล้วที่จะให้พี่ชายเจ้าแต่งงานพาสาวสวยกลับมา!” เหล่าไท่ไท่ยิ้มเมื่อนึกถึงเงินสิบตำลึง
นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดี
โจวกุ้ยหลานเองก็สุขใจ อย่างที่คิดเอาไว้เลย ความรู้สึกของการมีเงินนั้นดีจริงๆ
เหล่าไท่ไท่นั่งบนเตียงเตาอีกครั้ง ยกขาพับขึ้นแล้วเข้าใกล้โจวกุ้ยหลาน “เจ้าบอกมาซิว่าเจ้าหาเงินได้เท่าไร”
“ก็แค่นั้นแหละ!” โจวกุ้ยหลานแกล้งทำเป็นโง่
มันเป็นความลับของครอบครัวทั้งสามคนของนาง จะไม่มีทางบอกเหล่าไท่ไท่ ไม่อย่างนั้นเหล่าไท่ไท่คงตกใจจนสลบ
เหล่าไท่ไท่เลิกคิ้ว “ครอบครัวเจ้ามีเงินแค่สิบตำลึงจะเอามาให้ยืมทั้งหมดได้เหรอ”