สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค – ตอนที่ 55.1 ตอนพิเศษ 4 เจเนอเรชั่นแก็ป

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังช่วงเวลาฝึกฝนในวันธรรมดาๆวันหนึ่ง

วันนี้เวอร์เนลและผองเพื่อนออกมาทำการฝึกฝนกันอยู่ด้านนอก วิ่งรอบสนามเพื่อเสริมสร้างกำลังกาย

การจะเป็นอัศวินนั้นต้องเรียนรู้ทั้งวิชาดาบ เวทมนตร์ การเคลื่อนไหว แต่ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือกำลังกายพื้นฐาน ทั้งการต่อสู้ เดินทัพ หรือแค่การยืนเฝ้ายาม ทุกอย่างล้วนต้องใช้ความอดทนทั้งนั้น

ยกตัวอย่างเช่น ในศึกปกป้องเมืองหลวง ทหารและอัศวินทั้งหลายต้องคอยยืนหยัดป้องกันเมืองเอาไว้นานเป็นชั่วโมงกว่าสารจะถูกส่งไปถึงปราสาทเซนต์ และยังต้องใช้เวลาอีกแปดนาทีกว่าเอลริสจะเดินทางมาถึง ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องใช้ความอดทนทางร่างกายที่สูงอย่างน่าเหลือเชื่อ

ไม่ว่าจะโจมตีรุนแรงแค่ไหน ถ้าไม่สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องก็ไร้ประโยชน์ การจะมาหมดก็อกหลังจากที่เพิ่งสังหารปีศาจไปได้ไม่กี่ตัวนี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้…สำหรับอัศวินน่ะนะ ถ้าเป็นอาชีพอื่นก็พอเอาไปใช้ประโยชน์ได้อยู่

เพราะอย่างนั้นอัศวินฝึกหัดทั้งหลายจะต้องฝึกวิ่งในทุกๆวัน ส่วนมากแล้วก็ถือเป็นแค่การวอร์มอัพเฉยๆก่อนที่จะปล่อยให้ไปฝึกอย่างอื่นต่อ แต่นานๆทีครูฝึกก็จะสั่งให้วิ่งเพื่อทดสอบสมรรถภาพทางกายของนักเรียน โดยจะต้องวิ่งรอบสนามหนึ่งร้อยรอบ รอบหนึ่งเป็นการวิ่งสามร้อยเมตร เท่ากับว่านักเรียนจะต้องวิ่งติดต่อกันสามสิบกิโลเมตร…พร้อมกับแบกอาวุธและเครื่องป้องกันของตัวเองไปด้วย

แน่นอนว่านักเรียนส่วนมากจะเหนื่อยจนหมดแรงหลังการฝึกเช่นนี้ พวกที่เชี่ยวชาญในด้านเวทมนตร์มากกว่าอย่างไอน่า แมรี่ และเอเทอร์น่าถึงกับลุกไม่ขึ้นด้วยซ้ำ

แต่เจ้าสมองกล้ามเวอร์เนลและทหารเก่าอย่างจอห์นยังดูเหมือนว่าจะวิ่งได้อีกอย่างไม่มีปัญหาใดๆ

ไอน่าหายใจไม่ทั่วท้อง “ฮ่าา…วิ่ง…ไม่…ไหวแล้ว จะตาย…แล้วเนี่ย…” เธอหอบอย่างหนัก

ตามที่พูดเลย เธอรู้สึกว่าจะตายอย่างความเหนื่อยล้าได้ทุกเมื่อ

เอเทอร์น่าเช็ดหงื่อออกจากใบหน้า เสื้อของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ ส่งผลให้มันแนบติดกับผิวของเธอ

“อยากอาบน้ำจัง…”เธอบ่น

นักเรียนทุกคนต่างสวมชุดสำหรับออกกำลังกาย ทำให้สัดส่วนของนักเรียนหญิงโดดเด่นมากขึ้น ทางฝั่งชายก็ช่วยไม่ได้ที่จะหันมามอง

“เป็นยังไงกันบ้าง?”

ครูใหญ่ฟ็อกซ์ถามในขณะที่เดินมาหาเหล่านักเรียน

เขาทำเป็นว่ามาดูพวกอัศวินฝึกหัด แต่ความจริงแล้วแค่จะมาหาลูกสาวสุดที่รักของตัวเองมากกว่า

“สวัสดีครับครูใหญ่” เวอร์เนลกล่าวทักทาย

“พวกเธอตั้งใจฝึกกันดีมากเลย น่าประทับใจมาก กำลังกายเป็นส่วนสำคัญสำหรับการเป็นอัศวิน ฉะนั้นก็พยายามเข้าไว้ล่ะ”

ครูใหญ่ชื่นชมด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนไปเป็นจ้องเขม็งไปยังพวกนักเรียนชายที่เหล่สายตามามองไอน่า

“ค่ะ ท่านพ่อ!”

ไอน่าตอบอย่างร่าเริงเมื่อได้เห็นพ่อของเธอ จากนั้นเธอก็ถามกลับ

“จะว่าไปแล้ว…ท่านพ่อเองก็มาวิ่งด้วยหรือคะ?”

ฟ็อกซ์ตอบอย่างสงสัย “ไม่หรอก เดี๋ยวนี้พ่อเปลี่ยนมาทำงานเอกสารอย่างเต็มตัวแล้วน่ะ ไหล่พ่อจะแข็งเกินไปถ้าเอาแต่นั่งทั้งวัน เลยออกมาเดินยืดเส้นยืดสายหน่อยน่ะ”

“เอิ่ม ท่านพ่อคะ…” ไอน่าพูดตะกุกตะกักเล็กน้อย “ได้…ได้อาบน้ำบ้างใช่ไหมคะ?”

ฟ็อกซ์ตอบไปอย่างเคืองๆ “แน่นอนอยู่แล้วสิ”

“อา…นั่นสินะคะ แน่นอนอยู่แล้วว่าท่านพ่อต้องไม่ลืม ขอโทษนะคะที่เสียมาร—“

“เพิ่งจะอาบไปเมื่อสี่วันก่อนเอง” เขาตอบกลับ

ไอน่าที่ได้ยินพ่อของเธอตอบมาอย่างนั้นถึงกับตัวแข็งทื่อ เธอทำหน้าเหมือนไม่อยากจะเชื่อเลย แมรี่เองก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน ในขณะที่เวอร์เนล เอเทอร์น่า จอห์น และฟิโอร่าไม่มีการตอบสนองใดๆเป็นพิเศษ

หลังจากค้างไปครู่หนึ่ง ไอน่าก็เอื้อนเอ่ยสองประโยคที่ทำร้ายจิตใจบิดาของเธออย่างรุนแรงออกมา

“ท่านพ่อคะ ตัวเหม็นอ่ะ”

คราวนี้เป็นครูใหญ่ฟ็อกซ์เองที่ตัวแข็งค้างไป

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไม่ได้อาบน้ำมาตั้งสี่วันแล้ว! ไม่แปลกเลยที่ท่านพ่อจะตัวเหม็น!” เธอพูดต่อ

“ขะ-ข้าตัวเหม็นเหรอ…?”

“แน่นอนอยู่แล้วสิคะ! ทำไมถึงไม่อาบเป็นประจำล่ะคะ!?”

“สี่วันก็ไม่ได้นานขนาดนั้นนา…พ่อว่าสัปดาห์ละครั้งก็เกินพอแล้ว…”

“ที่ว่า’เกินพอ’นี่หมายความว่ายังไงกันคะ!?” ไอน่าต่อว่าพ่อของตัวเอง

แมรี่เองก็พยักหน้าเห็นด้วย ฟ็อกซ์ถึงกับเข่าทรุด คำพูดของลูกสาวทิ่มแทงหัวใจเจ็บกว่าดาบเป็นพันๆเล่ม

สายตาของนักเรียนคนอื่นๆก็เย็นชาไม่ต่างกัน แต่เวอร์เนลและเพื่อนไม่เข้าใจว่าทำไม

จริงอยู่ที่เดี๋ยวนี้พวกเขาอาบน้ำทุกวันเพราะว่ามีโรงอาบน้ำสาธารณะอยู่(และเวอร์เนลก็เพิ่งจะเริ่มอาบเป็นกิจวัตรตั้งแต่ที่เอลริสมาหาโดยไม่ทันตั้งตัวในครั้งนั้น) แต่ก่อนที่จะมาที่นี่ พวกเขาเองก็ไม่ได้มีโอกาสอาบน้ำบ่อยนัก

น้ำเป็นทรัพยากรที่มีค่าและไม่สามารถใช้ทิ้งขว้างได้ ถ้าจำเป็นก็จะใช้ผ้าเปียกเช็ดตัว แต่อย่างมากก็แค่นั้น

“น่าจะเป็นเพราะว่าช่องว่างระหว่างยุคสมัย”

ซัปเปิ้ลพูดในขนะที่ดันแว่นขึ้นจนเกิดเป็นแสงสะท้อน

เมื่อทุกคนพร้อมที่จะฟังแล้ว เขาก็เริ่มอธิบายด้วยใบหน้าของผู้ทรงภูมิ

“ในยุคสมัยนี้ ชนชั้นสูงมักจะอาบน้ำกันเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่นี่เป็นค่านิยมที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้—เมื่อสิบสองปีที่แล้ว ก่อนหน้านั้น ผู้คนมักจะหวาดกลัวน้ำกัน เพราะมันนำมาซึ่งความตาย ก็มีคนที่อาบน้ำอยู่บ้างนะ แต่อย่างมากก็เดือนละครั้งเท่านั้น ส่วนมากแล้วก็จะทำเพียงแค่เช็ดตัวเสียมากกว่า พวกเธอก็ไม่มีความทรงจำที่ตัวเองอาบน้ำเป็นประจำในวัยเด็กใช่ไหมล่ะ?”

“พออาจารย์พูดอย่างนั้นแล้ว…ดูเหมือนว่าตอนเด็กๆชั้นก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้อาบน้ำจริงๆด้วยค่ะ…” ไอน่ากล่าว

สิบสองปีนั้นไม่ใช่เวลาที่ยาวนานเกินไป แต่สำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างไอน่าแล้ว นั่นก็ไม่ใช่เวลาที่สั้นเลย

ในสมัยนั้นเธอยังมีอายุอยู่เพียงห้าปี ถึงแม้ความทรงจำเกี่ยวกันช่วงเวลานั้นจะเลือนลาง แต่เมื่อมองย้อนดูดีๆ ก็จะพบว่าตัวเธอในตอนเด็กเองก็ไม่ได้อาบน้ำเป็นประจำอย่างทุกวันนี้

“เพราะว่าในยุคสมัยนั้น น้ำถือเป็นสิ่งที่อันตรายอย่างไรล่ะ”

“แหล่งน้ำมักจะถูกปีศาจทำให้ปนเปื้อนด้วยพิษ ข่าวที่ผู้คนเสียชีวิตจากการดื่มน้ำในแม่น้ำน่ะเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ในทุกๆวัน”

ปีศาจคือข้ารับใช้ของแม่มด และจุดมุ่งหมายของพวกมันมีเพียงอย่างเดียว เพื่อทำลายล้างมนุษยชาติ

ไม่ใช่แค่การบุกโจมตีใช้ความรุนแรงเท่านั้น แต่รวมไปถึงวิธีการเลวร้ายต่างๆนาๆอย่างเช่นการทำลายพืชผลและวางยาพิษแหล่งน้ำ ทำให้แหล่งน้ำตามธรรมชาติทุกประเภทล้วนมีความเสี่ยงทั้งสิ้น

“แหล่งน้ำเดียวที่ปลอดภัยก็คือน้ำฝน –ไม่สิ นั่นเองก็ไม่ได้ปลอดภัยเช่นกัน เพราะว่าแม่มดสามารถใช้เวทมนตร์สร้างเป็นฝนพิษเพื่อโจมตีพวกเราได้ กระผมยังจำได้อยู่เลย ครั้งที่แม่มดรุ่นก่อนใช้เวทมนตร์สร้างฝนกรดที่เผาไหม้ผิวหนังของมนุษย์ แถมน้ำยังสามารถเน่าเสียได้หากเก็บไว้นาน จึงไม่มีใครที่สามารถกักเก็บน้ำไว้มากพอจนใช้อาบได้”

“ถ้าอย่างนั้น…น้ำชนิดเดียวที่สามารถใช้งานได้ก็มีเพียงน้ำที่สร้างขึ้นจากเวทมนตร์เช่นนั้นหรือคะ?”

“ใช่แล้วล่ะแมรี่คุง เวทมนตร์ธาตุน้ำที่สร้างขึ้นจากนักเวทย์เป็นเพียงแหล่งน้ำเดียวที่ปลอดความเสี่ยง… จนกระทั่งมาถึงยุคของท่านเอลริส”

ไม่มีใครถามแต่ซัปเปิ้ลก็สาธยายเสียยืดยาว ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกันวีรกรรมของเอลริสเขาก็จะไม่ยอมหุบปาก

ทุกๆคนเตรียมพร้อมกับการต้องฟังบรรยายไปอีกนาน

.

ดีจ้า! เอลริสเองเน้อ! วันนี้ถ่ายทอดสดจากโบสถ์แห่งเซนต์ประจำเมืองหลวง!

“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่”เหรอ? ก็เพราะมีงานน่ะสิไอ้เวร!

ถึงจะน่ารำคาญก็เถอะ แต่ชั้นก็ต้องมาใช้เวทย์ของชั้นต่อหน้าพวกระดับสูงกับสาวกอีกเพียบ ที่ชั้นต้องทำก็คือสร้างบาเรียเพื่อกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปทำน้ำเสีย เป็นแค่บาเรียกันเชื้อโรคเลยไม่ต้องทำให้มันทนทานมากก็ได้—ดีดนิ้วใส่ก็แตกแล้ว

ที่ชั้นต้องทำก็แค่ทำให้มันอยู่ได้นานขึ้น เอาให้คงสภาพไปได้ซักปีนึง

ผู้คนบอกว่าน้ำเน่าเสียง่าย แต่นั่นเป็นความเข้าใจแบบตื้นๆเท่านั้น สิ่งที่เน่าเสียจริงๆก็คือเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำต่างหาก ถ้าทำให้เชื้อโรคเข้าไปอยู่ในเน้าไม่ได้ เท่านี้น้ำก็ไม่เน่าแล้ว

ชั้นเติมน้ำลงไปให้เต็มโอ่งขนาดใหญ่ จากนั้นก็ร่ายบาเรียล้อมรอบไว้ ทำแบบนี้ไว้ร้อยโอ่ง ก็ถือว่าเสร็จงานแรกแล้ว โอ่งนึงก็ใส่น้ำได้พอๆกับอ่างอาบน้ำล่ะนะ

จากนั้นชั้นก็เดินลงไปยังชั้นใต้ดินของโบสถ์ ที่เป็นแหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่

“กรุณาด้วยขอรับท่านเอลริส” นักบวชระดับสูงคนนึงกล่าวพร้อมกุมมือเข้าด้วยกันเหมือนจะขอพร

ชั้นก็ยิ้มตอบไปตามมารยาท “ปล่อยให้ชั้นจัดการเองค่ะ”

ชั้นสร้างเจ้าแทงค์น้ำนี่ไว้เมื่อนานมาแล้ว ใช้เวลาตั้งหลายวันกว่าจะเสร็จ ขนาดก็พอๆกับโตเกียวโดมได้ จากนั้นทางโบสถ์ก็สร้างรางน้ำเพื่อรองน้ำฝนให้ไหลมาที่นี่ ที่ชั้นต้องทำก็เหลือแค่ฆ่าเชื้อโรคกับกำจัดสารพิษที่อาจปนเปื้อนอยู่ในน้ำ เท่านี้ก็เรียบร้อย

หลังจากนั้นชั้นก็แค่สร้างบาเรียกันเชื้อโรคเข้า เท่านี้ก็…โอเค เสร็จละ!

“เรียบร้อยค่ะ ตอนนี้น้ำในแหล่งเก็บนี้ปลอดภัยต่อการใช้งานแล้วค่ะ”

“มหัศจรรย์จริงๆ… ข้าพเจ้าช่างโชคดีเหลือเกิน ที่ได้มาเห็นปาฏิหาริย์ของท่านด้วยตาตนเองในครั้งนี้” นักบวชคนนั้นซึ้งจนร้องไห้เลย 555+

พวกนักบวชระดับสูงจะผลัดกันมาดูชั้นทำงานในแต่ละปี ดูเหมือนว่าจะคิดกันจริงๆว่าชั้นสร้างปาฏิหาริย์ได้ เลยคิดว่าถ้าได้เห็นด้วยตาตัวเองจะได้พรไรงี้มั้ง?

ใจเย็นลุง ชั้นแค่ใช้เวทมนตร์เอง

ทางโบสถ์จะแจกจ่ายน้ำไปให้พวกชาวบ้านตาดำๆ น้ำในแทงค์นี้จะถูกเรียกว่าน้ำมนต์ ส่วนน้ำที่ชั้นสร้างขึ้นโดยใช้เวทมนตร์จะเรียกว่า น้ำศักดิ์สิทธิ์ของท่านเซนต์

ไอ้น้ำมนต์น่ะไม่มีปัญหาหรอก แต่ไอ้น้ำศักดิ์สิทธิ์นี่มันบ้าอะไรเนี่ย มันทำให้ชั้นคิดไปถึงน้ำอีกแบบนึง…

น้ำมนต์จะถูกแจกจ่ายให้ชาวบ้านธรรมดาๆ ส่วนน้ำศักดิ์สิทธิ์จะถูกนำไปขาย—คนซื้อส่วนมากก็พวกขุนนางนั่นแหละ

จริงๆมันก็แค่น้ำเปล่าๆเหมือนกันน่ะนะ

พวกขุนนางมักจะชอบอวดว่าการอาบน้ำด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ทำให้สุขภาพดีขึ้น แต่ชั้นว่าน่าจะคิดกันไปเองแหละ

เอาเหอะ ทำงานให้เสร็จแล้วกลับบ้านดีกว่า

ชั้นออกมาข้างนอกและสร้างภูตขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ เป็นเวทย์เดียวกับตอนที่ชั้นใช้ฝึกเล่นในห้อง จากนั้นชั้นก็ปล่อยให้พวกมันลอยไปยังโบสถ์แห่งเซนต์ทุกแห่งที่กระจายอยู่ทั่วทวีป

“อา! นั่นมันภูต…” นักบวชระดับสูงอ้าปากค้างไปแล้ว

ก็แค่เวทมนตร์น่า เป็นแค่กลุ่มก้อนพลังเวทย์ที่ทำให้หน้าตาคล้ายๆภูตเฉยๆ

โบสถ์ทุกที่จะมีแหล่งเก็บน้ำคล้ายๆกับที่อยู่ใต้ดิน ที่ชั้นทำก็แค่ส่งเวทย์รูปแบบเดียวกันไปชำระล้างและสร้างบาเรียให้กับทุกโบสถ์ในทวีปผ่านทางภูติ

จะให้ชั้นบินไปทั่วทวีปก็คงไม่ได้ป่ะ เลยต้องใช้ภูติทำแทน ถึงยังไงชื่อเสียงชั้นก็เพิ่มอยู่ดีล่ะนะ—ที่เหลือก็ปล่อยให้เวทมนตร์มันจัดการของมันเอง ถือว่าเสร็จแล้ว

ถ้าจำเป็นต้องขยันก็จะขยัน แต่ถ้าขี้เกียจได้ก็จะขึ้เกียจ แบบนั้นนั่นล่ะ

ไรนะ? แล้วจะมาที่โบสถ์เมืองหลวงตั้งแต่แรกทำแป๊ะอะไรเหรอ? ถ้าทำได้ก็ไม่อยากมาหรอก แต่ว่า…

นานๆทีชั้นก็ต้องโผล่หน้ามาบ้างอ่ะนะ คือไม่อยากหรอก เกลียดเลยด้วยซ้ำ แต่ครั้งนึงที่ชั้นขี้เกียจแล้วไม่มาน่ะ พวกตาแก่ทั้งหลายก็ทยอยกันมาที่ปราสาทชั้นใหญ่เลย ถามว่า”พวกเราทำอะไรที่ทำให้ท่านไม่พอใจหรือเปล่า?” แล้วก็ทำเหมือนว่าโลกจะจบสิ้นแล้วอะไรอย่างนั้นเลย ยังคิดเลยนะว่าถ้าชั้นไม่ไปอีกนี่พวกแกจะหัวใจวายตายกันรึเปล่า…

แบบนั้นชั้นก็ไม่มีทางเลือกใช่มั้ยล่ะ?

“ขอบพระคุณมากขอรับท่านเอลริส! เป็นเพราะความปราณีของท่าน เท่านี้ชาวบ้านก็จะมีน้ำมาดื่มพอใช้กันไปอีกนาน” ว่าแล้วลุงแกก็ก้มหัวให้

บอกว่า ขอบคุณ เฉยๆก็พอแล้วน่า โดนบูชาอยู่ตลอดนี่ก็เหนื่อยนะเนี่ย

ที่ชั้นต้องทำแบบนี้อยู่ทุกๆปีก็เพราะว่าโลกนี้น้ำขาดแคลนอย่างมากไงล่ะ

สมัยนี้ยังถือว่าดีมากแล้วนะ ถ้าเป็นยุคก่อนๆนี้ขาดแคลนกันหนักกว่านี้อีก

สร้างเขื่อนกักเก็บน้ำไม่ได้เพราะจะถูกปีศาจทำให้ปนเปื้อน ไม่มีน้ำดื่มมากพอในแต่ละหมูบ้าน เลยต้องประทังชีวิตด้วยเบียร์แทน

แหล่งน้ำดื่มเดียวที่ปลอดภัยคือน้ำที่สร้างจากเวทมนตร์ พวกขุนนางก็มักจะจ้างนักเวทย์ที่เชี่ยวชาญเวทมนตร์น้ำมาเพื่อให้มีน้ำดื่ม ถ้าเก่งๆหนอยก็อาจได้มีน้ำอาบสักสัปดาห์ละครั้ง

ทางโบสถ์เองก็พยายามที่จะหานักเวทย์น้ำมาสร้างน้ำดื่มแจกจ่ายประชาชน แต่นักเวทย์น้ำก็ใช่จะหากันง่ายๆ แค่ในหมู่ขุนนางก็ตีกันจะตายเพื่อแย่งนักเวทย์น้ำมาอยู่ภายใต้ตัวเองแล้ว มันจะมีใครเหลือมาให้ประชาชนตาดำๆล่ะ

คนที่ไม่สามารถทำความสะอาดร่างกายได้ก็มักจะเจ็บป่วยง่ายขึ้น เพราะงี้ประชากรในโลกถึงมีแต่จะลดลงเรื่อยๆ บ้างก็หิวตาย บ้างก็ป่วยตาย

ในตอนที่ชั้นยังเด็ก ชั้นเหมือนจะชอบอาบน้ำอยู่ทุกๆวันเลย จนลุงฟ็อกซ์แกมาบอกว่า “การต้องมาเติมอ่างอาบน้ำทุกวันมันฟุ่มเฟือยเกินไปแล้วขอรับ ท่านช่วยอ่อนข้อลงเสียหน่อยได้หรือไม่?” จากนั้นก็บ่นให้ฟังว่าน้ำมีค่าแค่ไหน

ชั้นทนไม่ได้หรอกนะ! ก็คนญี่ปุ่นนี่นา ใครๆก็รู้ว่าคนญี่ปุ่นน่ะจริงจังกับการอาบน้ำมากแค่ไหน! ถ้าไม่ได้อาบน้ำนี่ชั้นจะอยู่ไม่สุขเลย

ถ้าชั้นรับข้อจำกัดไม่ได้ ก็มีแค่อย่างเดียวที่ต้องทำ ก็คือการแก้ปัญหา ถ้าการอาบน้ำมันฟุ่มเฟือยเกินไปล่ะก็ ชั้นก็แค่ต้องทำให้มีน้ำเหลือเฟือมากพอจนไม่ถือเป็นการฟุ่มเฟือยไงล่ะ

ยิ่งไปกว่านั้นนะ… ถ้าไม่มีการอาบน้ำ ก็ไม่มีฉากเซอร์วิสของพวกสาวๆให้ชั้นดูสิเฟ้ย?! นี่ตูอุตส่าห์เปลี่ยนเพศตอนมาเกิดใหม่เลยนะ! อย่างน้อยชั้นก็ควรจะได้รับสิทธิ์ในการอาบน้ำรวมกับสาวน้อยน่ารักไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างชั้นก็ไม่อยากให้พวกนางเอกเกมจีบสาวทั้งหลายตัวเหม็นกันด้วยนา อีแบบนั้นน่ะชั้นรับไม่ได้โว้ย!

จริงๆชั้นก็ใช้เวทมนตร์ทำความสะอาดร่างกายทั้งภายในและภายนอกอยู่เป็นประจำน่ะนะ ถ้าพูดก็คือไม่ต้องอาบน้ำก็ยังได้ ถึงชั้นจะโดนพิษเข้าไปก็ไม่มีปัญหาอะไรด้วย

ไงก็ตาม ชั้นเลยต้องออกมาแก้ปัญหาเอง และผลลัพท์ก็ดีขึ้นอย่างที่เห็นนี่แหละ

แถมถ้าพูดตรงๆนี่ก็ไม่มีปีศาจที่เข้าไปปนเปื้อนแหล่งน้ำธรรมชาติแล้วอ่ะนะ แถมพวกแหล่งน้ำทั้งหลายก็ถูกชั้นชำระล้างไปหมดแล้วด้วย ถ้าอยากจะดื่มจะใช้ก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ก็ไม่มีการันตีว่าจะมีปีศาจที่เหลือรอดมาทำอะไรบ้าๆอีกรึเปล่า ช่วงนี้เลยต้องระวังเอาไว้ก่อน ถ้าทำได้ก็ให้ใช้น้ำที่แจกจ่ายไป

เอาล่ะวะ! เสร็จงานซะที ขอกลับห้องพักไปอาบน้ำให้ฉ่ำอุราหน่อยแล้วกัน!

.

“และนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมมูลค่าของน้ำจึงลดลงในรอบหลายปีมานี้ พวกเราได้รับการอวยพรจากท่านเซนต์ผู้ยิ่งใหญ่ ท่านผู้นั้นนำมาซึ่งสุขอนามัยที่ดีขึ้น และการลดลงของโรคระบาด ในอดีตน้ำเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัว แค่แตะต้องก็อาจทำให้โรคภัยแพร่กระจายไปทั่วแล้ว จึงมีคำสอนจากเซนต์รุ่นก่อนๆเกี่ยวกับการระวังการใช้น้ำ เพื่อป้องกันการเกิดโรคระบาดใหญ่ขึ้น”

คาบเรียนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของซัปเปิ้ลก็จบลงสักที พวกเวอร์เนลถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่ควรจะเป็นราบฝึกฝนแท้ๆ แต่ดันต้องมาฟังซัปเปิ้ลสาธยายซะยาวเฟื้อย

“ไม่เคยรู้เรื่องนี้เลยค่ะ” ไอน่ากล่าว

“เพราะอย่างนี้สินะคะที่ทำให้ท่านพ่อหลีกเลี่ยงที่จะอาบน้ำ…”

“เขาคงยังไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับค่านิยมสมัยใหม่ได้อย่างเต็มตัวน่ะ ในสายตาของเขา น้ำสะอาดเป็นสิ่งที่หายากและมีค่า จึงไม่สามารถนำมาใช้ฟุ่มเฟือยได้” ซัปเปิ้ลสรุปให้ฟัง

มูลค่าของน้ำลดลงไปอย่างมากด้วยฝีมือของเอลริส ในสมัยก่อนน้ำเดียวที่ปลอดภัยคือน้ำที่ผลิตโดยนักเวทย์ จึงเป็นเรื่องปกติที่คนเก่าคนแก่จะคิดว่าการอาบน้ำเป็นเรื่องฟุ่มเฟือย

“ผลลัพท์อีกอย่างหนึ่งคือการปลดระวางพวกนักเวทย์ธาตุน้ำ” ซัปเปิ้ลเสริมต่อ

“เดี๋ยวนี้เมืองไหนๆก็มีแหล่งกักเก็บน้ำกัน เมืองใหญ่บางแห่งเช่นเมืองหลวงอาจมีได้ถึงหลายแหล่ง พวกนักเวทย์ธาตุน้ำจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป พวกขุนนางจึงยอมที่จะปล่อยให้พวกเขาปลดระวางได้แล้ว พวกนักเวทย์ส่วนใหญ่เลยย้ายกันไปอยู่แถบชนบท ทำให้กระทั่งในหมู่บ้านที่ห่างไกลก็จะมีแหล่งน้ำให้ใช้เช่นกัน”

ในฐานะสามัญชนแล้ว จอห์นไม่ชอบใจวิธีของพวกขุนนางเอาเสียเลย นี่ทำให้เขานึกถึงสภาวะแห้งแล้งของหมู่บ้านในสมัยที่เขายังเด็ก

“พวกขุนนางนี่จะเห็นแก่ตัวกันเกินไปแล้วนะ… พวกมันฮุบนักเวทย์เอาไว้ฝ่ายเดียวแล้วใช้งานเยี่ยงทาส แต่พอหมดประโยชน์ก็ทิ้งไปอย่างกับเป็นขยะ”

“เธอพูดถูก แต่การที่พวกเขาถูกทิ้งก็เท่ากับว่าพวกเขาได้อิสรภาพคืนมาเช่นกัน เราพูดให้ดูดีว่านักเวทย์น้ำถูกพวกขุนนาง’จ้าง’ไว้ แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเองก็ไม่มีตัวเลือกให้ปฏิเสธได้หรอก อย่างดีก็ถูกปฏิบัติเหมือนกับเป็นแค่บ่อน้ำเท่านั้นล่ะ ข้ามั่นใจว่าท่านเอลริสเองก็คิดถึงความเป็นอยู่ของพวกเขาด้วยในตอนที่เธอเลือกจะทำเช่นนี้”

ซัปเปิ้ลจ้อจนน้ำลายกระเด็น แต่พวกเวอร์เนลก็ประทับใจกับเรื่องราวของเอลริสมาก

ไม่ต้องบอกเลยว่าซัปเปิ้ลคิดไปเองในเรื่องนี้ เอลริสไม่ได้สนใจคนพวกนี้เลยแม้แต่น้อยในตอนที่เธอแก้ปัญหาเรื่องน้ำขาดแคลน พวกมันตกงานแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอล่ะเออ

ถ้าปล่อยให้ซัปเปิ้ลพูดต่อนี่พวกเธอจะไม่ได้อาบน้ำเอา เอเทอร์น่าเลยพูดขึ้น

“อืมมม… เรื่องราววีรกรรมของท่านเอลริสก็ดีนะคะ แต่ว่า…ปล่อยพวกเราไปอาบน้ำได้รึยังอ่ะคะ? ตัวเหนียวไปหมดแล้วเนี่ย”

“ชั้นด้วย” ไอน่าพูดต่อ

“พวกผู้ชายก็ไปอาบน้ำให้สะอาดด้วยล่ะ อย่ามาเข้าเรียนทั้งๆที่เนื้อตัวยังสกปรกอยู่นะ!”

ถึงแม้หลังคาบฝึกจะมีเวลาให้ไปอาบน้ำพักผ่อนกันก็จริง แต่เวลาพักนี้ก็ใช่จะไร้ขีดจำกัด อาบเสร็จแล้วก็ต้องไปเรียนคาบต่อไปอีก ถ้าเข้าสายอาจารย์ก็จะเริ่มบทเรียนไปเลยทั้งๆที่ยังไปไม่ถึง พูดง่ายๆก็คือ ตอนนี้ไม่มีเวลามานั่งฟังซัปเปิ้ลพล่ามแล้ว

เวอร์เนลและผองเพื่อนรีบทยอยกันกลับไปยังตึกเรียน ปล่อยให้ครูใหญ่ฟ็อกซ์นั่งจ๋อยอยู่คนเดียว เอามือเขี่ยดินนั่งคอตก

“ข้า…ตัวเหม็น…”

ลูกสาวสุดที่รักได้โจมตีคริติคัลทางด้านจิตใจใส่ตัวเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำเอาครูใหญ่ลุกไม่ขึ้นไปเลย

ตั้งแต่นั้นมา ครูใหญ่ฟ็อกซ์ก็ตั้งใจอาบน้ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก

______________________________

กลับมาแล้วจ้าาา หายไปเป็นอาทิตย์แน่ะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ก่อนหน้านี้ติดช่วงสอบ

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

สุดยอดเซนต์ตัวปลอมแห่งยุค

Status: Ongoing
[บุปผานิรันดร์ร่วงโรย] ไม่เหมาะสมที่จะถูกเรียกว่าเกมจีบสาว เพราะไม่ว่าเลือกรูทไหน นางเอกหลักก็จะต้องตายในทุกรูทไป ฟุโดว นิอิโตะ เข้านอนทันทีหลังจากผ่านฉากจบของเกมที่ไม่น่าพอใจ เมื่อเขาตื่นมา เขาก็พบว่าตัวเองนั้นอยู่ในร่างของตัวละครเซนต์ตัวปลอมผู้น่ารังเกียจ เอลริส ถึงแม้จะสับสน แต่เขาเข้าใจว่าการกระทำของเอลริสจะส่งผมกระทบร้ายแรงต่อตัวละครมากมายในอนาคต เขาจึงใช้โอกาสนี้เพื่อเปลี่ยนเแปลงประวัติศาสตร์ของเกม กลับกลายเป็นว่า ถึงแม้ข้างในจะเน่าเหม็น แต่เอลริสกลับถูกยกย่องโดยผู้คนทั่วโลกในฐานะของเซนต์ผู้สมบูรณ์แบบ ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเกมที่อยู่ในโลกเก่าก็ถูกเปลี่ยนไปด้วยตามการกระทำของเอลริสผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ข้างนอกคือเซนต์ ข้างในคือชายใจทราม ผู้เกิดใหม่นิสัยสารเลวที่เกิดในร่างของตัวละครสารชั่ว! การรวมกันของขยะเปียกและขยะแห้ง เกิดเป็นเซนต์ตัวปลอมผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท