บทที่ 41 ก็แค่พูดไม่กี่คำ
บทที่ 41 ก็แค่พูดไม่กี่คำ
เพียงไม่นาน ประตูห้องส่วนตัวก็ถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนในชุดสไตล์ตะวันตกก้าวเดินเข้ามา
“นายน้อยหลี่กับคุณหนูเกิ่งมาที่ร้าน ทำไมไม่มาทักทายกันเลยล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะพนักงานคนอื่นบอก ผมคงไม่รู้ว่าวันนี้ทั้งสองมาใช้บริการที่ร้าน” ทันทีที่ชายวัยกลางคนเข้ามา ก็กล่าวคำทักทายอย่างกระตือรือร้น
แม้เขากล่าวคำต่อว่าจากปาก ทว่าสีหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เกิ่งหย่าเฟยพยักหน้ารับให้อีกฝ่าย แต่ไม่ได้พูดอะไรตอบ แต่หลี่ปิงลุกขึ้นเข้าไปพูดคุยตอบรับ
“พวกเราก็แค่มากินมื้อเย็นกับเพื่อนร่วมงาน คงไม่ถึงกับต้องรบกวนผู้จัดการหวง”
“รบกวนอะไรกัน นายน้อยหลี่คนเดิมหายไปไหนแล้ว?” ชายวัยกลางคนยังคงยิ้มรับ ก่อนจะหันมองยังอู๋ฝานและคนอื่น “ยินดีที่ได้พบทุกคนนะครับ ผมหวงถิงเฟิง เป็นผู้จัดการร้านคัลเลอร์แมน ในเมื่อเป็นเพื่อนร่วมงานกับนายน้อยหลี่ หากมีโอกาสมารับประทานอาหารที่นี่อีก ผมยินดีมอบส่วนลดให้ 20% เลยครับ”
คำของผู้จัดการหวงทำให้หวังฝูและคนอื่นรู้สึกยินดี กระทั่งมองหลี่ปิงดียิ่งขึ้น
ส่วนอู๋ฝานไม่ได้เปลี่ยนท่าทีแต่อย่างใด
“ไม่ทันได้รู้ว่ามีคนมาร่วมทานไม่น้อย พึงพอใจกับอาหารมื้อนี้ไหมครับ? อาหารยังอร่อยอยู่ไหม?” ผู้จัดการหวงเอ่ยถาม
“อร่อยครับ พอใจเต็มที่เลย”
“คัลเลอร์แมนถือเป็นร้านอันดับหนึ่งในเจียงโจว คงบรรยายเรื่องรสชาติอาหารได้ไม่พอ”
พวกหลี่เทียนเร่งรีบตอบรับ
“ผู้จัดการหวง พวกเราค่อนข้างพอใจกับอาหารมื้อนี้ไม่ใช่น้อยเลย แต่ก็มีบางคนคิดว่าอาหารของที่นี่ธรรมดาไปบ้าง” หลี่ปิงกล่าว
“ครับ?” ผู้จัดการหวงเผยท่าทีฉงนใจ ก่อนจะหันมองทุกคนที่นี้และถามว่า “แม้ไม่รู้ว่าท่านใดมองว่ารสชาติอาหารของพวกเราธรรมดา แต่หากเป็นไปได้ ขอโอกาสช่วยชี้แนะ พวกเราจะได้ปรับปรุงครับ”
“ผู้จัดการหวง อย่าได้เก็บไปคิดเป็นจริงเป็นจริง เพื่อนร่วมงานของเราก็แค่หยอกล้อเท่านั้น” เกิ่งหย่าเฟยเอ่ยคำขึ้น
“แต่ฉันไม่คิดว่าเขาจะล้อเล่นอะไรนะ จริงไหม? อาจารย์อู๋” หลี่ปิงมองยังอู๋ฝาน พร้อมกล่าวออกด้วยน้ำเสียงเป็นการกระตุ้นอารมณ์
ผู้จัดการหวงหันสายตามองยังอู๋ฝาน “คุณลูกค้า หากมีคำติชมใด สามารถบอกได้เลยครับ คัลเลอร์แมนของเรายินดีรับคำติชมและความพึงพอใจต่อมื้ออาหารจากลูกค้า เพื่อให้ทุกท่านกลับบ้านด้วยความอิ่มเอมใจ หากมีอะไรผิดพลาดไป พวกเราจะได้แก้ไขให้ถูกต้องครับ”
อู๋ฝานมองตอบหลี่ปิง จากนั้นจึงหันมองผู้จัดการหวงและจึงเอ่ยคำขึ้น “ผมเป็นคนพูดเองครับ และไม่ได้ล้อเล่นด้วย ผมเคยกินอาหารที่อื่นที่ดีกว่าที่นี่จริง ๆ”
“โอ้ เป็นแบบนั้นนี่เอง” ผู้จัดการหวงตอบรับ “ในเมื่อสุภาพบุรุษท่านนี้มองว่าอาหารของพวกเรารสชาติธรรมดา หากเป็นไปได้รบกวนช่วยติชมเพื่อให้พวกเราแก้ไขด้วยครับ”
ผู้จัดการหวงพูดด้วยความสุภาพ แต่อู๋ฝานย่อมได้ยินถึงน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยความดูหมิ่น
ด้วยเหตุนี้ อู๋ฝานจึงไม่คิดสุภาพกับอีกฝ่ายต่อไป แต่เลือกที่จะยืนขึ้นและชี้จานอาหารบนโต๊ะพร้อมเอ่ยขึ้น “ในเมื่อผู้จัดการหวงจริงใจเพียงนี้ งั้นผมก็ขอพูดสักหลายคำ อย่างเช่นอาหารจานนี้ ช่วงเวลาที่ใช้ปรุงน่าจะช้าไปราวสิบวินาทีเห็นจะได้ ทำให้อาหารจานนี้ไม่สดไปบ้าง อีกทั้งยังมีผงชูรสจำนวนไม่ใช่น้อยเลย มันทำให้วัตถุดิบเสียรสชาติ และอาหารจานนี้ไม่ควรใส่ต้นหอม มันเป็นการทำลายรสชาติดั้งเดิม และจานนี้…”
อู๋ฝานกล่าวออกมาประหนึ่งเรื่องราวธรรมดา ทว่าพูดออกไปไม่ใช่น้อย เขากล่าวถึงส่วนที่ยังขาดไปของอาหารแทบทุกจาน ราวกับว่าไม่มีอาหารจานใดที่ทำเขาพึงพอใจได้แม้แต่น้อย
ทักษะทำอาหารระดับสูงทำให้เขาเติบโตขึ้น ไม่เพียงแต่มีทักษะ แต่ยังรวมถึงทฤษฎีความรู้ความเข้าใจอีกมากมาย
ยิ่งอู๋ฝานพูดมากเท่าไหร่ สีหน้าของผู้จัดการหวงก็ยิ่งเหยเกมากขึ้นเท่านั้น ตอนแรกเขายังคงรอยยิ้มเอาไว้ได้ แต่สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปประหนึ่งโดนเมฆหมอกสีดำปกคลุม อู๋ฝานยังคงชี้บอกส่วนที่ขาดไปของอาหารแต่ละจาน กระทั่งเกิ่งหย่าเฟยยังต้องลอบขยิบตา เป็นการบอกให้เขาหยุดพูดได้แล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ทำเป็นมองไม่เห็น
ในเมื่อร้องขอให้ติชมเอง ทำไมถึงยังต้องสุภาพอีก สีหน้าเหยเกแล้วยังไง ควรต้องไว้หน้างั้นหรือ?
ในขณะที่ผู้จัดการหวงมีสีหน้าเหยเก หลี่ปิงเผยสีหน้ายินดีเสียด้วยซ้ำ เป็นรอยยิ้มที่สว่างสดใสไม่จางหาย
หลังจากอู๋ฝานกล่าวจนครบ กลุ่มคนในห้องเงียบงัน บรรยากาศแปรเปลี่ยนไป
“ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติท่านนี้ที่ชี้แนะครับ” ผู้จัดการหวงทำลายความเงียบ
แม้กล่าวคำขอบคุณ ทุกคนก็ได้เห็นว่าคำพูดนั้นไร้ซึ่งความจริงใจ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีอย่างแรง
“ยินดีครับ ผมพูดแค่พูดสรุปเท่านั้น เห็นว่าผู้จัดการหวงจริงใจก็เลยบอก หากเป็นคนอื่น ผมก็คงคร้านจะบอกนะครับ” อู๋ฝานตอบรับ
“ขอบคุณครับ!” ผู้จัดการหวงตอบรับ ทุกคนที่ได้ยินต่างรับรู้ว่าเป็นการกัดฟันตอบ
“ผู้จัดการหวงอาจยังไม่ทราบว่าอาจารย์อู๋ของพวกเรามีความรู้ในด้านอาหารวิเศษเลิศล้ำ เขายังกล่าวด้วยว่าทำอาหารได้ดีกว่าร้านของคุณเป็นไหน ๆ ก่อนหน้านี้ผมไม่เชื่อ แต่พอได้เห็นเขาติชมอาหารหลายจาน เขาคงจะพูดความจริง” หลี่ปิงลุกขึ้นยืนเพื่อสุมไฟให้แรงยิ่งขึ้น
“จริงเหรอครับ? ในเมื่อลูกค้าท่านนี้มีความรู้ด้านการทำอาหาร ทั้งยังช่วยชี้แนะส่วนที่อาหารของพวกเราขาดไป เหตุใดไม่ให้เชฟของพวกเราและลูกค้าท่านนี้ได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เชฟของเราจะได้ทราบด้วยว่าขาดแคลนส่วนไหนไป!” ผู้จัดการหวงเผยสีหน้าอัปลักษณ์
“ผู้จัดการหวง ฉันว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ อาจารย์อู๋ก็แค่ติชมตามสมควร” เกิ่งหย่าเฟยพูดขึ้นแทนอู๋ฝานอีกครั้งหนึ่ง
เพียงแต่การออกตัวของเกิ่งหย่าเฟยแทนอู๋ฝานยิ่งทำหลี่ปิงไม่พอใจ เขาแค่นเสียงกล่าวเบา ๆ “ผมไม่คิดว่าเขาจะพูดไปเรื่อยนะครับ เมื่อครู่ก็พูดฉะฉานดี คัลเลอร์แมนถือเป็นภัตตาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในเจียงโจว หากสิ่งที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่เปิดเผยออกไป ก็ไม่ทราบว่าจะส่งผลกับภัตตาคารขนาดไหน เรียกได้ว่าเป็นการโจมตีคัลเลอร์แมนก็ไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้ไร้สาระไปเสียทั้งหมด แต่ก็ถือเป็นการจงใจโจมตีชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของภัตตาคาร หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ ก็สามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากเขาได้”
“ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้นด้วย? อู๋ฝานติชมอยู่ที่นี่ ไม่ได้เอาไปโพนทะนาที่ไหน” เกิ่งหย่าเฟยขมวดคิ้ว
“ต้องจริงจังครับ!” ผู้จัดการหวงตอบรับ “ภัตตาคารของเราดึงดูดลูกค้าด้วยภาพลักษณ์อันเป็นส่วนสำคัญ พื้นฐานของพวกเราคือสิ่งที่ต้องยึดมั่น พวกเรายอมรับคำแนะนำอย่างจริงใจได้ แต่พวกเราจะไม่นิ่งเฉยหากมีคนเจตนาใส่ร้าย!”
ผู้จัดการหวงมองไปยังอู๋ฝาน “ในเมื่อคุณมีฝีมือขนาดนั้น ได้โปรดชี้แนะเชฟของเราด้วยครับ”
“ผมไม่มีเวลาขนาดนั้น” อู๋ฝานส่ายศีรษะตอบ “อันที่จริงผมก็ไม่คิดจะมาที่นี่ด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เพื่อนร่วมงานใหม่ชวนมา”
“อู๋ฝาน นายเป็นแค่อาจารย์พละศึกษา จะยุ่งได้ไง? ไม่มีเวลางั้นเหรอ? เอาเวลาไปทำอะไรน่ะ?” หลี่ปิงเอ่ยถาม
“ก็ตามที่บอก ผมยุ่งครับ” อู๋ฝานตอบรับ “ผมไม่ใช่ไรข้าวที่มีข้าวเป็นถังในบ้านให้กินตั้งแต่เกิด ผมจึงต้องทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองครับ”
เกิ่งหย่าเฟยเหม่อมองอู๋ฝาน จนอู๋ฝานต้องเร่งร้อนเอ่ยคำขึ้น “ผมไม่ได้พูดถึงอาจารย์เกิ่งครับ”
คำของอู๋ฝานชัดเจนว่าหมายถึงหลี่ปิง!