ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 10 เยี่ยมเยือนยามค่ำ

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 10 เยี่ยมเยือนยามค่ำ

ฉินเต้าเปียนมีสีหน้าเบื่อหน่าย เนื่องจากการลงมือที่เดาทางไม่ถูกของคนลึกลับผู้นั้น ทำให้ พวกเขาพลอยระแวง ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรหลินยวนอีก เพราะไม่ใช่ทุกครั้งที่หลิ่วจวินจวินจะโชคดีรอดมาได้ ไม่เช่นนั้นแล้วหลินยวนไม่มีทางรอดไปถึงเมืองหลวงได้อย่างแน่นอน ต่อให้ไปถึงเมืองหลวง ขอเพียงเปิดเผยร่องรอย เขาก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้นานเช่นกัน

แม้ตระกูลฉินจะไม่มีสิทธิ์แทรกแซงกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเมืองหลวง แต่อาศัยกำลังทรัพย์ของตระกูลฉิน การจะหาคนไปจัดการคนธรรมดาอย่างหลินยวนนั้นไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไร

สิ่งที่ทำให้ฉินเต้าเปียนยิ่งกลุ้มใจก็คือเขาได้รับข่าวในภายหลังว่าหลินยวนกลับสอบเข้าสถาบันอันดับหนึ่งในดินแดนเซียนได้ และกลายเป็นนักเรียนของหลิงซาน

เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร? ก็หมายความว่าอย่างน้อยหลินยวนมีความสามารถในการบำเพ็ญเพียรที่ไม่เลวน่ะสิ

นี่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายอย่างมาก หลิงซานที่ถูกขนานนามว่าเป็นสถาบันอันดับหนึ่งในดินแดนเซียนเป็นสถานที่เช่นใดกัน? บุคลากรชั้นยอดหลายคนในสภาเซียนล้วนมาจากหลิงซาน

เด็กยากจนที่ไม่เคยออกจากเมืองปู๋เชวี่ยผู้หนึ่ง เมื่อไปเมืองหลวงกลับสอบเข้าหลิงซานได้งั้นหรือ?

เรื่องนี้ยิ่งทำให้พวกเขาสงสัยว่ามีคนที่อยู่เบื้องหลังหลินยวน และสงสัยว่าคนลึกลับผู้นั้นกำลังช่วยหลินยวนอยู่

หลังจากที่หลินยวนเข้าไปในหลิงซาน ฉินเต้าเปียนก็เกิดความกังวลขึ้นมา เขากลัวว่าวันหน้าหลังจากหลินยวนเรียบจบแล้ว อีกฝ่ายจะสามารถเข้าไปในสภาเซียน และหากไต่เต้าขึ้นไปได้แล้วจะกลับมาแก้แค้นตระกูลฉิน

นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาจากหลิงซานโดยทั่วไปจะได้บรรจุเข้าไปอยู่ในบัญชีรายชื่อเซียน กลายเป็นสมาชิกของสภาเซียนอย่างเป็นทางการ และเจริญก้าวหน้าอยู่ในสภาเซียน!

ยิ่งไปกว่านั้นหลินยวนยังมีคนลึกลับคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง การจะก้าวหน้านั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

ด้วยเหตุนี้ฉินเต้าเปียนจึงได้ใช้วิธีการติดหนี้บุญคุณแทน โดยมอบค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งให้หลินยวนโดยไม่ประสงค์ออกนาม เพื่อสนับสนุนการเรียนในหลิงซานของเขา

เงินสนับสนุนที่มอบให้คงจะเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในเมืองหลวงของหลินยวน

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้หลินยวนรู้ในตอนนี้ หากวันหน้าหลินยวนมีอนาคตที่สดใสจริงและต้องการที่จะแก้แค้นตระกูลฉิน ตระกูลฉินก็สามารถหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่อประนีประนอมกันได้

ดังนั้นตระกูลฉินจึงมอบค่าใช้จ่ายมาโดยตลอด สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้หลินยวนอย่างเงียบๆ มายาวนานนับร้อยปี เรื่องนี้แม้แต่ฉินอี๋ก็ยังไม่รู้

สรุปแล้วค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนก้อนนั้นเมื่อคำนวณคร่าวๆ แล้ว เรียกได้ว่ามีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านมุกเสียอีก!

แต่สิ่งที่ทำให้ฉินเต้าเปียนหมดคำจะพูดก็คือ หลินยวนเรียนไปร้อยปีแล้วก็ยังไม่สามารถเรียบจบจากหลิงซานได้ เจ้าคนไร้ประโยชน์ผู้นี้ทำให้ฉินเต้าเปียนไม่รู้ว่าควรพูดเช่นไรดี

เมื่อมาลองๆ คิดดูก็พอจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าสภาเซียนจะรับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้เข้าไปได้อย่างไร

ฉินเต้าเปียนรู้ดีว่าเงินที่ตนเองลอบสนับสนุนก้อนนั้นสูญเปล่า หากสนับสนุนต่อไปก็คงเปล่าประโยชน์เช่นกัน

หลังจากสนับสนุนมายาวนานนับร้อยปี ฉินเต้าเปียนก็ได้ยุติการสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้วยความโมโห

และความจริงก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเขาคิดถูก หลินยวนไม่เพียงแต่จะไม่สามารถสำเร็จการศึกษาในเวลาหนึ่งร้อยปี ทว่าผ่านไปสามร้อยปีแล้วก็ยังไม่สามารถสำเร็จการศึกษาได้ นี่ต้องเป็นคนไร้ประโยชน์ขนาดไหนกัน?

บัดนี้เจ้าคนไร้ประโยชน์ผู้นี้กลับมาที่เมืองปู๋เชวี่ยอีกครั้ง ทั้งยังมาพัวพันกับลูกสาวของเขาอีก จะให้เขาทนไหวได้อย่างไร

แล้วก็เป็นเพราะจนบัดนี้หลินยวนก็ยังไม่สามารถสำเร็จการศึกษาได้ จึงทำให้ฉินเต้าเปียนนำเรื่องเก่าขึ้นมาพูดอีกครั้ง เขาสงสัยว่าเบื้องหลังของหลินยวนมีคนที่ร้ายกาจขนาดนั้นคอยช่วยเหลืออยู่จริงหรือไม่?

หลังจากที่ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง ฉินเต้าเปียนก็กัดฟันพร้อมเอ่ยออกมาว่า“วิชาเอกที่หลิงซานของเจ้าเศษสวะนั่นคือเทพมหาวิญญาณ ตอนนี้ผมสงสัยว่าที่ลูกอี๋สอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องของเทพมหาวิญญาณจะเป็นเพราะเรื่องส่วนตัว”

หลิ่วจวินจวินยิ้มแห้ง “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว มาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรอีก”

ฉินเต้าเปียนเอามือไพล่หลัง แล้วเอ่ยขึ้นมาช้าๆ “ที่นี่คือเมืองปู๋เชวี่ย ผมหวังว่าเจ้าเศษสวะนั่นจะรู้สถานการณ์ดี ทางที่ดีอย่าบีบให้ผมต้องลงมือจะดีกว่า คุณรีบไปเถอะ ไปคุยกับมันซะ เรื่องในตอนนั้นผ่านไปหลายปีแล้ว ผมไม่อยากหยิบเอาเรื่องเก่ามาพูดอีก หวังว่ามันจะรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร!”

“ได้ เวลาไม่เคยคอยท่า ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” หลิ่วจวินจวินพยักหน้าแล้วหมุนกายจากไป ก่อนจะหายไปในคืนที่มืดมิด…

ภายในห้องไป๋หลิงหลงซึ่งสวมชุดนอนกำลังนั่งสมาธิฝึกปราณ สีหน้าสงบนิ่ง

ด้านหลังของเธอมีริบบิ้นล่องหนสองเส้นเปล่งแสงสีขาวจางๆ ล่องลอยอยู่ ริบบิ้นล่องหนล่องลอยและพริ้วไหวเป็นรูปร่างต่างๆ ไม่หยุด ประเดี๋ยวก็คล้ายริบบิ้นกำลังโบยบิน ประเดี๋ยวก็คล้ายกระบี่คมปลาบ ประเดี๋ยวก็คล้ายปีกผีเสื้อ

ก๊อก ก๊อก! มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากข้างนอก ไป๋หลิงหลงค่อยๆ ลืมตาขึ้นพลางส่งเสียงถาม “ใคร?”

เสียงของฉินอี๋ดังมาจากด้านนอก “ฉันเอง”

ไป๋หลิงหลงประสานมือผนึกปราณ ยุติการฝึกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบลุกจากเตียงแล้วเดินไปเปิดประตู เห็นฉินอี๋ที่อยู่ในชุดนอนร่างกายถูกห่อไว้ด้วยผ้าห่มและกอดหมอนเอาไว้ยืนอยู่ที่หน้าประตู จึงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เห็นฉินอี๋ที่สวมชุดนอนยืนอยู่ด้านนอกประตู บนตัวคลุมไว้ด้วยผ้าห่ม มือข้างหนึ่งกอดหมอนเอาไว้ จึงอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ “ท่านประธาน นี่ท่าน…?”

ฉินอี๋แทรกกายเข้าไปในห้องโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเชื้อเชิญ “คืนนี้ฉันจะนอนกับเธอ”

ไป๋หลิงหลงนิ่งอึ้งไป ก่อนจะมองออกไปด้านนอก แล้วจึงปิดประตูและกลับเข้ามาในห้อง พบว่าฉินอี๋ได้ขึ้นไปบนเตียงของเธอแล้ว อีกฝ่ายกำลังจัดหมอนสองใบเอาไว้ทั้งซ้ายและขวา

หลังจากจัดวางเรียบร้อยแล้ว ฉินอี๋ก็มุดเข้าไปในผ้าห่ม

ไป๋หลิงหลงที่เตะรองเท้าแตะออก ก่อนจะพลิกตัวมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มเช่นกัน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนนอนด้วยกัน ทั้งสองแทบจะนอนด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโตก็ว่าได้

เมื่อนอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนใหญ่ก็จะเข้าสู่โลกส่วนตัวของคนทั้งคู่ ไม่มีประธานและผู้ช่วยอีก

หลังจากล้มตัวนอนเรียบร้อยแล้ว ไป๋หลิงหลงก็เอ่ยถามออกมา “มีอะไรในใจอย่างนั้นเหรอ?”

ทุกครั้งที่อีกฝ่ายมาหา มีครั้งไหนบ้างที่ไม่ใช่เพราะนอนคนเดียวไม่หลับ

ฉินอี๋ยื่นมือออกไปปิดไฟ เมื่ออยู่ภายใต้ความมืดแล้ว เธอจึงกล่าวพึมพำออกมา “หลิงหลง พรุ่งนี้หลินยวนจะมาทำงาน เธอช่วยจัดการให้ทีสิ”

ไป๋หลิงหลงกล่าว “จัดการยังไง?”

ฉินอี๋กล่าว “วิชาเอกที่หลิงซานของเขาคือเทพมหาวิญญาณ จัดการให้เขาไปเป็นผู้ช่วยของหลัวคังอันก็แล้วกัน”

“ห๊ะ!” ไป๋หลิงหลงตกใจจนแทบจะเด้งตัวขึ้นมา

ฉินอี๋เหยียดแขนออกไปดึงเธอลงมา พร้อมกับใช้ขาข้างหนึ่งพาดและกดเธอเอาไว้ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปกอดเธอ “ค่ำมืดดึกดื่น เอะอะโวยวายทำไมกัน ฉันไม่ใช่ผู้ชายสักหน่อย เธอกลัวอะไร? กลัวฉันจะทำอะไรเธอหรือยังไง?”

ไป๋หลิงหลงร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก ผลักเธอยังไงก็ไม่ขยับ จึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย “โธ่ คุณหนูของฉัน เลิกล้อเล่นได้แล้ว ตอนนี้ธุรกิจของเทพมหาวิญญาณเป็น

โครงการระดับสูงสุดของหอการค้า เธอให้เขาไปเป็นผู้ช่วยของหลัวคังอันแบบนี้เหมาะสมแล้วเหรอ?”

ฉินอี๋กล่าว “ไม่มีใครไร้ประโยชน์มาตั้งแต่เกิดหรอก ขอเพียงมีโอกาสที่เหมาะสม ก็จะมีโอกาสเปล่งประกายได้ทั้งนั้น ฉันไม่เคยคิดว่าเขาจะแย่ขนาดนั้น และฉันก็ไม่เชื่อว่าสายตาของฉันจะแย่ถึงขนาดมองคนผิด เห็นเขาเป็นเพียงดินโคลนที่ไม่สามารถฉาบผนังได้ [1] แต่ถ้าหากเขาเป็นดินโคลนจริง อย่างนั้นฉันก็จะพยายามเป็นดวงอาทิตย์ สาดแสงให้เขาจนแห้งเอง ภูมิหลังของเขาไม่ดี บางทีอาจเพียงแค่เพราะเขาขาดโอกาสก็เป็นได้”

“หลิงหลง ฉันอยากให้โอกาสเขาสักครั้ง แล้วก็อยากให้โอกาสตัวเองด้วย… ฉันนิ่งเงียบมาหลายปี และตอนนี้ก็อยากได้คำตอบให้กับตัวเองแล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นปมในใจของฉันตลอดไป”

“หลิงหลง เรื่องในตอนนั้นเป็นความสมัครใจของฉันเอง ความจริงแล้วเขาไม่ได้ทำอะไรที่ผิดต่อฉันเลย เขาไม่สามารถขัดใจฉันได้ แถมยังถูกคุณพ่อตีจนขาหักไปข้างหนึ่ง แต่ฉันกลับทิ้งเขาไปโดยไม่ทำอะไรเลย แบบนั้นมันสมควรแล้วเหรอ? อย่างน้อยก็ต้องพิสูจน์ให้รู้ว่ามันไม่ได้จริงๆ ฉันถึงจะมีสิทธิ์พูดว่ายอมแพ้ จริงไหม?”

ไป๋หลิงหลงถอนหายใจแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านประธานใหญ่จะยอมเหรอ?”

ฉินอี๋กล่าว “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอก ตอนนี้ฉันเป็นคนดูแลตระกูลฉิน หากทะเลาะกันจนเกิดความบาดหมางภายในขึ้นมา นั่นไม่ใช่เรื่องดีสำหรับทุกคน คุณพ่อต้องไม่กล้าดึงดันแน่ อย่างไรซะเขาก็ต้องยอมฉัน”

ไป๋หลิงหลงเอ่ยอย่างจนปัญญา “เธอนี่มองได้ขาดจริงๆ แต่หลัวคังอันล่ะ? เธอจะให้คนที่ใช้เวลาสามร้อยปีก็ยังเรียนที่หลิงซานไม่จบจนต้องพักการเรียนไปเป็นผู้ช่วยเขา หลัวคังอันจะตกลงอย่างนั้นเหรอ?”

ฉินอี๋ “ถ้าหลินยวนเรียนจบได้ เขายังต้องเป็นผู้ช่วยหลัวคังอันอีกเหรอ? ฉันหวังว่าหลินยวนจะคว้าโอกาสนี้ เรียนรู้อะไรจากเขามาบ้าง ขอเพียงอยู่ข้างกายเขา ได้ยินได้เห็นนานวันเข้าก็น่าจะเข้าใจอะไรมากขึ้นหรือเปล่า? คนเราพอมีความมั่นใจก็มักจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ส่วนหลัวคังอันน่ะเหรอ เขาอยู่ในอำนาจของฉัน ดังนั้นเรื่องนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา เขาจะตกลงหรือไม่สุดท้ายก็ต้องตกลงอยู่ดี ถ้าไม่ได้ก็แค่เอาเงินฟาดหัว ยังไงก็ต้องมีวิธีทำให้เขายอมก้มหัวอยู่แล้ว”

ไป๋หลิงหลงเข้าใจแล้ว ฉินอี๋คิดที่จะสนับสนุนหลินยวนนี่เอง

ก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยสงสัยอยู่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เมื่ออีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจนแล้ว ยังมีอะไรที่เธอไม่เข้าใจอีกล่ะ ความรู้สึกยังหลงเหลืออยู่ไม่รู้คลายนี่เอง!

แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เธอคิดไม่ออก จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยด้วยความสงสัย “เสี่ยวอี๋ ฉันไม่เข้าใจเลย สามร้อยปี สามร้อยปีเต็มๆ เลยนะ ทำไมเธอถึงไม่เคยติดต่อเขาเลย เธอทนได้ยังไงกัน?”

ฉินอี๋กอดเธอเอาไว้แล้วกระซิบข้างหูเธอ “ไม่ใช่ไม่อยากติดต่อ แต่ติดต่อไม่ได้ เขาอยู่เมืองหลวง ฉันช่วยอะไรเขาไม่ได้ หากติดต่อกันอีกล่ะก็ ฉันกลัวว่าคุณพ่อจะทำร้ายเขาอีก”

ไป๋หลิงหลงนิ่งเงียบ นี่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยคิดถึงมาก่อน และเธอก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่ฉินอี๋พูดมานั้นถูกต้อง ฉินเต้าเปียนสามารถทำแบบนั้นได้จริงๆ

เธอรู้ดีว่าการที่ตระกูลฉินสามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ ฉินเต้าเปียนซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้ตระกูลร่ำรวยขึ้นมาจะไม่มีวิธีการที่รุนแรงได้อย่างไร พวกคนที่ทำงานสีเทาที่ตระกูลฉินเลี้ยงเอาไว้เหล่านั้นไม่ใช่พวกที่เลี้ยงเสียข้าวสุก….

ค่ำคืนที่มืดมิด ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน สายลมเย็นโชยมาเป็นครั้งคราว

ภายในโรงอีหลิว คนสองคนที่นั่งสมาธิอยู่ภายในห้องของตัวเองต่างก็สะดุ้งเพราะเสียงเคาะประตูจากด้านนอก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นไม่หยุด ราวกับว่ามันจะไม่หยุดจนกว่าประตูจะเปิดออก

สุดท้ายจางเลี่ยเฉินก็โผล่หน้าออกไป เปิดประตูพลางพึมพำออกมา “ใคร?”

ชายชุดดำคนหนึ่งมองหน้าเขา ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อหลีกทาง

จางเลี่ยเฉินเห็นรถหลายคันจอดอยู่ด้านหนึ่ง ประตูรถเปิดออก หลิ่วจวินจวินก้าวลงมาจากรถพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณจาง”

จางเลี่ยเฉินนิ่งงัน ก่อนจะรีบเดินออกไปรับเธอ “คุณนายหลิ่ว ค่ำมืดป่านนี้คุณมาทำไมเหรอครับ”

เขาไม่ได้เรียกเธอว่าคุณนายฉิน

หลิ่วจวินจวินยิ้มพลางกล่าวว่า “ได้ยินว่ามีแขกคนพิเศษมา ฉันก็เลยมาหา”

“…”สีหน้าของจางเลี่ยเฉินชะงักขึ้นมา รู้ทันทีว่าเธอมาที่นี่เพราะใคร

หลิ่วจวินจวิน“ทำไม ไม่คิดจะเชิญฉันเข้าไปนั่งเหรอ?”

จางเลี่ยเฉินไม่กล้าปฏิเสธ รีบพยักหน้าพลางโค้งตัวลง กล่าวว่า “เชิญครับ คุณนายหลิ่วเชิญด้านในครับ”

หลิ่วจวินจวินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางสบายๆ แต่กลับยกมือขึ้นไม่ให้ผู้คุ้มกันตามเข้าไป หลังจากเข้ามาด้านในก็ให้จางเลี่ยเฉินปิดประตู

หลิ่วจวินจวินก้าวเข้ามาในลานบ้าน กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมา “แขกคนพิเศษอยู่ไหนล่ะ?”

จางเลี่ยเฉินรีบวิ่งไปที่ประตูห้องของหลินยวนแล้วเคาะประตู หลินยวนโผล่หน้าออกมา หลิ่วจวินจวินเดินเข้าไปหาด้วยท่าทางภูมิฐาน

ทั้งสองมองหน้ากัน หลิ่วจวินจวินหันไปถามจางเลี่ยเฉิน “คุณจาง ฉันขอคุยกับเขาตามลำพังได้ไหม?”

“ได้ครับๆๆ” จางเลี่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก พลางถอยหลบไป

หลังจากนั้นหลิ่วจวินจวินก็เอื้อมมือไปผลักอกหลินยวนที่ยืนขวางประตูอยู่ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของหลินยวนโดยที่หลินยวนยังไม่อนุญาต

เมื่อเข้าไปในห้องก็สำรวจเครื่องเรือนต่างๆ ก่อนจะปัดมือไปมาบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วนั่งลงอย่างสง่างาม ราวกับว่าเป็นบ้านของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งยังผายมือเป็นการเชื้อเชิญไปทางหลินยวน “เชิญนั่ง”

หลินยวนเดินไปนั่งลงที่ข้างเตียง

หลิ่วจวินจวินยิ้มพลางกล่าวขึ้น “หลินยวน ไม่เจอกันหลายปีเลยนะ”

หลินยวนเอ่ยตรงๆ ว่า “คุณนายหลิ่ว ไม่ทราบว่ามาดึกดื่นป่านนี้มีอะไรจะชี้แนะเหรอครับ”

……………………………………………………………………..

[1]ดินโคลนที่ไม่สามารถฉาบผนังได้ (烂泥扶不上墙) มีความหมายว่าไร้ความสามารถจนหมดทางที่จะช่วยเหลือ

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน