ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 29 เทพมหาวิญญาณ

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 29 เทพมหาวิญญาณ

เจ้าหยวนเฉินรู้จักพวกของตระกูลพาน เพียงแต่รู้สึกยากจะเชื่อได้ คนที่ถูกทุบตีจนใบหน้าเละเทะผู้นั้นคือพานหลิงอวิ๋นอย่างนั้นหรือ?

โกวซิงที่ถูกตีจนบาดเจ็บสาหัสอย่างเห็นได้ชัดคือผู้ติดตามคนสนิทของพานหลิงอวิ๋น เจ้าหยวนเฉินเองก็รู้จักเช่นเดียวกัน แล้วก็ยังมีคนนั้นๆๆ เห็นได้ชัดว่าถูกจับตัวเอาไว้

คิดไม่ถึงว่าคนที่เป็นผู้นำกลุ่มเจ้าหน้าที่จะเป็นเหิงเทาที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปของเมืองปู๋เชวี่ย

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้คนที่เดินเข้าออกหอการค้าตระกูลฉินต่างมองดูด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหิงเทานำคนออกมาด้วยตัวเอง เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรอ?

หลังเดินออกมาจากประตูหน้าไม่ไกล พวกเหิงเทาก็พาตัวผู้ก่อเหตุบินขึ้นไปบนฟ้า ไม่นานก็หายลับไปในอากาศ

คนที่เดินเข้าๆ ออกๆ หอการค้าพากันกระซิบกระซาบ พากันถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เจ้าหยวนเฉินและเฉาลู่ผิงสบตากัน ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เฉาลู่ผิงตอบว่า “เหมือนจะเป็นลูกคนที่สามของตระกูลพาน”

เจ้าหยวนเฉินกล่าว “เหลวไหล ฉันรู้จักนังผู้หญิงแก่นคนนั้นดีกว่านายเสียอีก”

เฉาลู่ผิงกล่าวว่า “เหมือนจะถูกเหิงเทาจับไปแล้ว”

เจ้าหยวนเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ฉันไม่ได้ตาบอด”

เฉาลู่ผิงไหนเลยจะรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงกล่าวอย่างสงสัยว่า “ตระกูลพานมาที่นี่ทำไมก็รู้ๆ กันอยู่ เป็นเพราะทะเลาะอะไรกับตระกูลฉินเรื่องเทพมหาวิญญาณ ก็เลยถูกผู้พิทักษ์เมืองลงมือเหรอ?”

เจ้าหยวนเฉินขมวดคิ้ว นอกจากเหตุผลนี้ เขาเองก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร จึงกล่าวอย่างสงสัยว่า “ฉันรู้จักนังผู้หญิงแก่นคนนี้ ถึงเธอจะอวดดีจองหองอย่างไรก็ไม่มีทางที่เธอทำอะไรในหอการค้าตระกูลฉินอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังได้ เธอไม่ได้โง่ขนาดนั้น แล้วก็ไม่กล้าด้วย อย่างมากก็แค่มีปากเสียงกันเท่านั้น หัวหน้าฝ่ายบริหารงานทั่วไปของเมืองปู๋เชวี่ยถึงกับต้องออกหน้าด้วยตัวเองเพราะเรื่องแค่นี้อย่างนั้นเหรอ?”

เฉาลู่ผิงกล่าวว่า “ถูกซ้อมจนเป็นแบบนั้น ถ้าไม่ใช่ฝีมือตระกูลฉิน ก็ต้องเป็นฝีมือของผู้พิทักษ์เมือง ภายนอกลั่วเทียนเหอเป็นคนแบ่งแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวอย่างชัดเจน หากตระกูลฉินลงไม้ลงมืออย่างเปิดเผยล่ะก็ เขาคงไม่มีทางจับแต่คนของตระกูลพานไปแน่ อย่างน้อยเขาก็ต้องจับคนของตระกูลฉินไปสอบถามให้ละเอียดด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังเป็นการลงมือกับตระกูลพานอีก ไม่ใช่เรื่องที่จะจบง่ายๆ ดูแล้วคงเป็นคนของผู้พิทักษ์เมืองนั่นแหละที่ลงมือ”

“แค่มีปากเสียงกันนิดหน่อยถึงกับต้องซ้อมกันแบบนี้เลยหรือ? หากแค่มีปากเสียงกันนิดหน่อยแล้วโดนซ้อมแบบนี้จริง อย่างนั้น…เจ้าซยง คุณแน่ใจนะว่ายังจะสร้างสถานการณ์เพื่อเจอกับประธานฉินอีก?”

เจ้าหยวนเฉินกลืนน้ำลายดังอึก เงยหน้ามองดูต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้าที่อยู่ตรงหน้าต้นนี้ ในสายตาเขาแล้ว ตระกูลฉินไม่ได้มีอะไรน่ากลัวเลย สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวคือกำลังของสภาเซียนที่สามารถบดขยี้ตระกูลโจวได้อย่างง่ายดาย พานหลิงอวิ๋นตกอยู่ในสภาพแบบนี้ คล้ายว่าคนที่ดูแลเมืองปู๋เชวี่ยจะแสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนแล้วว่ายืนอยู่ข้างตระกูลฉิน นี่ทำให้เขาไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรไม่คิดอีก

“ไป” เจ้าหยวนเฉินเหลียวหน้ากลับมาพูด ก่อนจะมุดเข้าไปนั่งในรถ

ทั้งสองคนขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว….

……

หลังเซ็นสัญญาเรียบร้อย ฉินอี๋ก็จัดงานเลี้ยงรับรองช่วงกลางวันให้แก่จูลี่

ภายในงานเลี้ยง ฉินอี๋บอกจูลี่ว่าค่าใช้จ่ายที่ระบุเอาไว้ในสัญญาจะจ่ายเข้าบัญชีของทางสถานีออกอากาศทั้งหมดในช่วงบ่ายนี้ เรียกได้ว่ารวดเร็วทันใจ จูลี่ย่อมต้องรู้สึกดีใจ

หลังงานเลี้ยงเสร็จสิ้น พวกจูลี่เองก็มิได้รั้งรอ รีบกลับไปรวบรวมคน ช่วงบ่ายจะเริ่มทำการถ่ายรายการกับคนของทางหอการค้าตระกูลฉิน

หอการค้าตระกูลฉินจ่ายเงินรวดเร็ว ทางสถานีออกอากาศก็ไม่มีทางชักช้ารีรอเช่นกัน

ฉินอี๋ยืนกรานที่จะลงมาส่งพวกจูลี่ที่ชั้นล่าง จากนั้นถึงจะกลับไปยังห้องทำงานของตัวเอง เธอยืนอยู่ตรงริมหน้าต่าง มองดูทิวทัศน์เมืองปู๋เชวี่ยที่อยู่ด้านนอก แผนการดำเนินไปอย่างเรียบร้อยภายใต้การควบคุมของเธอ ไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมาย ในที่สุดเธอก็รู้สึกโล่งใจ

ความจริงการเซ็นสัญญาระดับนี้ไม่จำเป็นต้องให้เธอออกหน้าเองเลย แต่ที่เธอทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการให้เกียรติลั่วเทียนเหอและทำให้ลั่วเทียนเหอดู อีกทั้งยังเป็นการใช้ประโยชน์จากแผนการด้วย

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของไป๋หลิงหลงที่เดินเข้ามา ฉินอี๋ที่ยืนหันหลังอยู่ตรงริมหน้าต่างก็ถามขึ้นมาว่า “พวกเจ้าหยวนเฉินล่ะ?”

ไป๋หลิงหลงเดินมาข้างกายเธอ “หลังเห็นเหิงเทาคุมตัวพวกพานหลิงอวิ๋นไปก็รีบออกไปทันทีค่ะ”

“เหอะ!” มุมปากฉินอี๋ยิ้มหยันขึ้นมาเล็กน้อย

ไป๋หลิงหลงกลับรู้สึกเป็นกังวล “ตระกูลโจวกับตระกูลพานล้วนแต่ส่งคนมา แต่ท่านประธานกลับไม่แม้แต่จะเจอหน้าพวกเขา แถมยังเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก แบบนี้ก็คุยกันไม่ได้แล้ว ท่านประธานไม่ให้โอกาสพวกเขาแม้แต่นิดเดียว เกรงว่าทั้งสองตระกูลคงจะไม่เกรงใจแล้วเช่นกัน”

ฉินอี๋ยกมือขึ้นมากอดอก “ถ้าเจอหน้ากันแล้วจะคุยกันได้เหรอ? พวกเขาต้องการอะไรทุกคนต่างรู้ดี ในเมื่อฉันไม่มีทางให้พวกเขา แล้วจะคุยกันอย่างไรอีก? ในเมื่อต้องเปิดศึกอยู่แล้ว อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเถียงกับพวกเขา”

ไป๋หลิงหลงกล่าว “ความจริงท่านประธานคนก่อนมองว่าตระกูลพานกับตระกูลโจวล้วนแต่มีอำนาจและอิทธิพล พวกเราควรจะใจเย็นๆ แล้วลองคุยกันดูก่อน หากเสียสละผลประโยชน์ส่วนน้อยแล้วสามารถรักษาผลประโยชน์ส่วนใหญ่เอาไว้ได้ อย่างนั้นเราก็ประนีประนอมกันได้ ถ้าหากตกลงกันไม่ได้จริงๆ ถึงตอนนั้นค่อยมาเปิดศึกกันก็ยังไม่สาย”

ฉินอี๋กล่าว “คุณพ่ออายุมากแล้ว ไม่เด็ดขาดเฉียบคมเหมือนอย่างสมัยที่ก่อร่างสร้างหอการค้าขึ้นมา ทำอะไรไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงพลิกแพลง หากไม่เป็นเพราะแบบนี้ คุณแม่ก็คงไม่ต้องตกอยู่ในน้ำมือพวกศัตรูและจากไปเร็วขนาดนี้ หากไม่มีอำนาจมากพอที่จะบีบให้อีกฝ่ายประนีประนอม ตระกูลโจวกับตระกูลพานก็ไม่มีทางมองดูคู่แข่งรายที่สามขึ้นมานั่งเทียบเคียงอยู่ในระดับเดียวกันกับพวกเขาในแคว้นเซียนคุนกว่างโดยไม่ทำอะไรแน่นอน ทันทีที่มีคู่แข่งปรากฏขึ้นมา พวกเขาจะต้องบดขยี้โดยไม่ออมมือแน่ หากเราอ่อนแอแม้เพียงนิดเดียว อีกฝ่ายก็จะได้คืบเอาศอก”

ฉินอี๋ค่อยๆ เหลียวหน้ากลับมามองไป๋หลิงหลง “พวกเขาอยากจะชิงกันเป็นใหญ่ในแคว้นเซียนคุนกว่าง ส่วนฉันก็ไม่คิดจะแย่งอาหารในหม้อเดียวกันกับพวกเขา!”

ไป๋หลิงหลงงุนงงไม่เข้าใจ

ฉินอี๋หมุนตัวเดินไปนั่งลงด้านหลังโต๊ะทำงาน ก่อนจะถอดรองเท้าส้นสูงออกใต้โต๊ะ จุดบุหรี่ขึ้นมา จมดิ่งอยู่ในความคิดท่ามกลางควันบุหรี่ที่ลอยอบอวล

ครั้งนี้เธอชิงลงมือเล่นงานอีกฝ่ายก่อนก็เพื่อจะทำให้อีกฝ่ายได้เห็นท่าทีที่ชัดเจนของลั่วเทียนเหอ ใช้การข่มขวัญทำให้พวกเขายำเกรง เพื่อลดความเสี่ยงบางอย่างลง พยายามเคลื่อนไหวก่อนเพื่อชิงความได้เปรียบบางส่วนมาไว้ในมือ จะได้ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในทุกๆ ด้านจนส่งผลเสียต่อการเผชิญหน้าหลังจากนี้ การทำให้ศัตรูหวาดกลัวจนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามนั้นเป็นประโยชน์ต่อเธอ

จากที่เจ้าหยวนเฉินหวาดกลัวจนหนีไป จะเห็นได้ว่าผลของแผนการนี้เริ่มปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว

……

หมู่เขาโอบล้อม มีแมกไม้เขียวขจี มีเนินเขารกร้าง แล้วก็มีหุบเหวลึกหมื่นจ้าง ที่นี่คือสถานที่ตั้งของค่ายผู้พิทักษ์เทพของเมืองปู๋เชวี่ย

เป็นฐานที่มั่นที่สำคัญของเทพมหาวิญญาณของเมืองปู๋เชวี่ย มีการป้องกันเข้มงวดแน่นหนา

หลินยวนและหลัวคังอันเองก็ถูกตรวจค้นอย่างละเอียดแล้วจะถึงเข้าไปข้างในได้ แต่เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เข้าไปข้างในได้คือต้องได้รับอนุญาตเสียก่อน

แม้นค่ายผู้พิทักษ์เทพจะอยู่ด้านนอกเมืองปู๋เชวี่ย ทว่าอาณาเขตพื้นที่ของเมืองปู๋เชวี่ยนั้นมีขนาดใหญ่อย่างมาก ทั้งสองกว่าจะเดินทางมาถึงก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว

ทันทีที่มาถึงก็ถูกส่งเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง หลังกินอาหารเล็กน้อยเพื่อเป็นการพักผ่อน ประตูใหญ่ที่อยู่ด้านในถ้ำถึงจะเปิดออก ภายในโถงโลหะทรงกระบอกที่สูงใหญ่แห่งหนึ่งยืนไว้ด้วยสิ่งที่มีรูปร่างเหมือนคนที่สูงใหญ่อย่างมากตนหนึ่ง คนที่อยู่ใต้เท้าจำเป็นต้องแหงนหน้ามองจนสุดถึงจะสามารถมองเห็นเค้าโครงทั้งหมดได้อย่างชัดเจน

คนยักษ์หลับตายืนสงบนิ่ง บนร่างสวมเกราะติดอาวุธ มีความสูงประมาณสิบห้าจ้าง หากใช้ภาษาในโลกมนุษย์ก็จะเท่ากับประมาณสี่สิบห้าเมตร นี่ก็คือสิ่งที่เรียกกันว่าเทพมหาวิญญาณ

หลินยวนได้สัมผัสกับเทพมหาวิญญาณอยู่บ่อยๆ ในตอนที่เรียนอยู่ที่หลิงซาน เพียงมองดูก็คือรู้ว่านี่มิใช่เทพมหาวิญญาณที่แต่งกายตามรูปแบบทางสภาเซียน ภายนอกเทพมหาวิญญาณของทางสภาเซียนล้วนแต่สวมเกราะรบ เป็นเกราะรบที่เหมือนกับทางทหารเซียนและแม่ทัพเซียนเหล่านั้น เพียงแต่ขยายให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า

แต่แน่นอน เทพมหาวิญญาณของสภาเซียนเองก็มิใช่ว่าจะใส่เกราะรบอยู่จริงๆ เช่นกัน มันเป็นเพียงแค่การสร้างให้ดูเหมือนว่าสวมเกราะรบอยู่เท่านั้น

หลัวคังอันยกมือตบไหล่หลินยวน โบกมือส่งสัญญาณให้ตามเขามา ทั้งสองคนเดินเข้าไปในลิฟต์ยกที่อยู่ด้านข้าง เคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน

เมื่อมาถึงตำแหน่งที่เป็นส่วนหัวของเทพมหาวิญญาณ ทั้งสองคนที่เดินออกมาจากลิฟต์ยกก็เดินไปตามทางเดินโค้งที่อยู่ด้านในกำแพงของโถงโลหะทรงกระบอก เดินข้ามสะพานที่สามารถยืดหดได้แห่งหนึ่ง มาถึงส่วนหูของเทพมหาวิญญาณ ภายในส่วนหัวของเทพมหาวิญญาณก็คือศูนย์การควบคุม รูหูก็คือทางที่จะเดินเข้าไป

ทั้งสองคนที่เดินเข้าไปในรูหูยืนอยู่ตรงหน้าประตูโลหะบานหนึ่ง บนประตูโลหะมีสิ่งที่ดูเหมือนวัตถุทรงกรวยยื่นออกมาเต็มไปหมด ตัวหลัวคังอันก็คือกุญแจที่ใช้เปิดประตูบานนี้ เขายื่นมือไปกดลงบนแผ่นกระจกชิ้นหนึ่งที่อยู่ตรงกึ่งกลางประตู พลังบนร่างกายเริ่มเกิดการกระเพื่อม จากนั้นเขาถ่ายเทพลังเข้าไป แผ่นกระจกเปล่งแสงออกมา ปลายแหลมของวัตถุทรงกรวยที่ห้อมล้อมบานกระจกพากันหดกลับเข้าไปในบานประตู ส่งเสียงดังฟึบๆๆ

แท่งเหล็กที่ถักทอกันเป็นบานประตูทยอยหดกลับเข้าไปในกำแพงทั้งสี่ด้าน มิใช่แค่ชั้นเดียว หากแต่หดกลับไปทีละชั้นๆ

หลัวคังอันดันบานกระจกเดินไปยังสุดทาง ขณะที่เดินก็กล่าวไปว่า “อีกเดี๋ยวนายก็บันทึกพลังเข้ากับเทพมหาวิญญาณตัวนี้ซะ ต่อไปจะได้เข้าออกได้สะดวก”

ด้านหลังบานกระจกคือเสาโลหะต้นหนึ่ง บนเสาเต็มไปด้วยรูที่วัตถุทรงกรวยหดกลับเข้าไป

บานกระจกได้รับแรงกดก็หดกลับเข้าไปด้านหลัง จนกระทั่งมันฝังเข้าไปในรูที่อยู่บนเสาด้านหลัง ประตูด้านในบานสุดท้ายถึงจะเปิดออก

หลังทั้งสองคนเดินเข้าไป หลัวคังอันก็กดสวิตช์อันหนึ่ง กำแพงด้านหนึ่งคล้ายเคลื่อนตัว ประตูปิดลงโดยอัตโนมัติ ด้านนอกมีเสียงหวึ่งๆๆ ดังต่อเนื่อง แท่งเหล็กจำนวนนับไม่ถ้วนปิดตายทางเข้าเอาไว้อีกครั้ง

ภายในห้องเล็กๆ ทั้งสองคนเดินขึ้นบันไดไป ก่อนจะเดินออกไปจากรูที่อยู่ด้านบน มาถึงห้องทรงกลมที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่ง มีเพียงพื้นใต้เท้าเท่านั้นที่ราบเรียบ

หลัวคังอันกดนิ้วลงไปบนผนัง รูทางเข้าที่อยู่บนพื้นทำการปิดลงโดยอัตโนมัติ ทั้งสองคนคล้ายเข้ามาในพื้นที่ที่ถูกปิดผนึกเอาไว้อย่างไรอย่างนั้น

บนพื้นมีลวดลายดาวหกแฉกอยู่ดวงหนึ่ง หรือก็คือศูนย์กลางในการถ่ายโอนและปลดปล่อยพลังของข่ายพลังข่ายหนึ่ง

ภายใต้พื้นเรียบที่โปร่งใสมีหินพลังงานวิญญาณสีดำจำนวนมากฝังเอาไว้อยู่

หินพลังงานวิญญาณระดับสูงแบบนี้ แต่ละก้อนล้วนมีราคาที่สูงลิ่ว คิดไม่ถึงว่าที่นี่จะติดตั้งหินพลังงานวิญญาณแบบนี้เอาไว้เต็มไปหมด หลินยวนที่เพียงกวาดตามองดูก็รับรู้ได้ถึงจำนวนเงินที่ตระกูลฉินลงทุนไป ไม่รู้ว่าจะเกี่ยวข้องกับการที่เดิมทีตระกูลฉินก็ทำเมืองหินวิญญาณด้วยหรือเปล่า

หลัวคังอันเดินไปยังกำแพงทรงโค้งด้านหนึ่งแล้วเลื่อนเปิดออก ก่อนจะหยิบเอาสายรัดชุดหนึ่งมาสวมไว้บนร่างของตัวเอง

หลังสวมเสร็จเรียบร้อยและทำการรัดเข้าที่แล้ว เขาถึงจะหมุนตัวมาชี้ไปรอบด้าน “นายว่านี่เป็นเทพมหาวิญญาณรุ่นที่เท่าไร? รุ่นที่หก!สภาเซียนนั้นสามารถซื้อชิ้นส่วนมาประกอบเองได้ ทำให้มีต้นทุนที่ถูก การที่ซื้อเทพมหาวิญญาณมาทั้งตัวแบบนี้ เห็นทีตระกูลฉินคงจะต้องลงทุนไปมหาศาลแน่”

รุ่นที่หก? ถึงอย่างไรหลินยวนก็เรียนเอกด้านเทพมหาวิญญาณอยู่ที่หลิงซาน เขาย่อมต้องรู้ว่ารุ่นที่หกมันหมายความว่าอย่างไร

เทพมหาวิญญาณที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือรุ่นที่เจ็ด แล้วก็เป็นเทพมหาวิญญาณที่ทางผู้พิทักษ์เทพในเมืองหลวงใช้กัน เพื่อป้องกันไม่ให้อาวุธเทพที่ดีที่สุดตกไปอยู่ในมือคนไม่ดี ขอบเขตการใช้งานในระดับสูงสุดจึงถูกควบคุมเอาไว้อย่างเข้มงวดมาโดยตลอด ช่วยไม่ได้ ถ้าหากปล่อยให้มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายเป็นวงกว้างล่ะก็ เช่นนั้นก็อาจจะถูกคนไม่ดีฉกฉวยใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ได้โดยง่าย การลดขอบเขตการใช้งานให้เล็กลงย่อมต้องทำให้ควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น

ส่วนเทพมหาวิญญาณที่ผู้พิทักษ์เทพนอกเมืองหลวงส่วนใหญ่ใช้ก็ล้วนแต่เป็นเทพมหาวิญญาณตกรุ่นที่ทางเมืองหลวงไม่เอาแล้ว มีแต่ต้องรอให้ทางผู้พิทักษ์เทพของเมืองหลวงเปลี่ยนรุ่นแล้ว เมืองอื่นๆ ถึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้

แม้นจะเป็นเช่นนี้ เทพมหาวิญญาณรุ่นที่หกก็ยังไม่ธรรมดาอย่างมาก ผู้พิทักษ์เทพในหลายๆ ที่ล้วนยังไม่ได้ใช้ เทพมหาวิญญาณในหลายๆ ที่ยังคงเป็นรุ่นที่สี่และรุ่นที่ห้าอยู่ ตระกูลฉินซื้อเทพมหาวิญญาณแบบนี้มาได้ จำนวนเงินที่ต้องจ่ายไปเป็นจำนวนเท่าไรก็คงพอจะนึกภาพออก

หลินยวนแสดงความสงสัยออกมา “ตระกูลฉินคิดจะทำอะไรถึงได้ซื้อเทพมหาวิญญาณแบบนี้มา?”

หลัวคังอันหัวเราะหึหึพลางกล่าว “ทำธุรกิจยังไงล่ะ พวกเขายังจะทำอะไรได้อีก จะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจอย่างแน่นอน”

คำถามที่ดูคล้ายยากจะเข้าใจกลับถูกเขาตอบออกมาได้ถูกต้องอย่างไม่ตั้งใจ

……………………………………………

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน