ตอนที่ 152 ลู่หงเยียน
เมื่อเห็นแหวนสารพัดนึกที่คล้ายจงใจเผยออกมาให้เห็นบนนิ้วที่จับแขนเสื้ออยู่ของเธอ เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาจากไหน คนที่คิดอยากจะเข้ามาพูดคุยทำความรู้จักกับเธอล้วนแต่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไร
เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา คนที่ยืนขวางอยู่ทางด้านหน้าพากันฉากหลบ เปิดทางให้เธอทันที
มีบางคนไม่ได้สนใจอะไรนัก เพียงแค่ชื่นชมในความงามของเธอเล็กน้อย จากนั้นรีบหันกลับไปจัดการเรื่องของตัวเองต่อ
แต่ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังมองดูแผ่นหลังอันงดงามที่เดินเยื้องย่างออกไปของเธอ พวกเขามองดูทิศทางที่เธอเดินไป คล้ายอยากรู้ว่าเธอจะเดินไปไหน บางทีอาจจะอยากรู้ว่าเธอพักอยู่ที่ไหน
ทิศทางของหญิงสาวชัดเจนแน่วแน่ แต่การย่างก้าวกลับดูเยือกเย็นสง่างาม จังหวะการเดินไม่เร่งร้อน มิได้มีความปั่นป่วนใดๆ แม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกคล้ายอยู่เหนือจากความวุ่นวายบนโลก
ก้าวเดินออกมาจากความวุ่นวาย ก้าวเดินออกมาจากกลุ่มคนที่วุ่นวาย เดินตรงไปยังริมที่ราบหนานผิง
ตรงริมที่ราบหนานผิงมีรถที่จอดอยู่อย่างโดดเดี่ยวคันหนึ่ง บนรถนั่งไว้ด้วยชายผู้หนึ่ง เป็นชายที่มัดผมหางม้าคนหนึ่ง ชายคนนั้นนั่งนิ่งอยู่บนหลังคารถ จ้องมองหญิงสาวที่ค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น
คนที่ยังคงมองดูสาวงามล้วนมองออกแล้ว คนที่มารับเธอก็คือชายที่นั่งอยู่บนหลังคารถผู้นั้น มีหลายคนที่เหลือบมองดูชายคนนั้น ด้วยคิดอยากจะดูว่าหญ้าแบบไหนถึงคู่ควรกับดอกไม้งามเช่นนี้ บางทีอาจจะคิดมากไป บางทีพวกเขาอาจจะเป็นญาติพี่น้องกัน
ในตอนที่หญิงสาวเดินเข้าไปใกล้รถ หลินยวนก็ได้ขยับตัว พลิกตัวกระโดดลงมาจากหลังคารถ รอขึ้นรถพร้อมกันกับเธอ
แต่หญิงสาวที่เข้ามาใกล้กลับหยุดฝีเท้า จ้องมองเขาพร้อมฉีกยิ้มอ่อนหวาน
หลินยวนที่เปิดประตูฝั่งคนขับเอียงศีรษะแล้วบอกว่า “ขึ้นรถ”
แต่หญิงสาวกลับส่ายศีรษะเล็กน้อย จากนั้นค่อยๆ กางแขนทั้งสองข้างไปทางเขา เห็นได้ชัดว่าต้องการให้เขากอด
หลินยวนขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
หญิงสาวยังคงยืนนิ่ง กางแขนทั้งสองข้างรอคอยเขา คล้ายว่าถ้าไม่กอดฉันก็ไม่ไป
หลินยวนมองดูสายตาของผู้คนที่จ้องมองมา หากมัวรีรอต่อไปคงจะไม่เหมาะ จึงปล่อยมือจากประตูรถแล้วเดินเข้าไปทันที หลังเข้าไปใกล้ก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปโอบเอวของเธอเอาไว้ กระชากเธอเข้ามาแล้วโอบรัดเธอเอาไว้ในอ้อมอก
ดูคล้ายไม่มีอะไร แต่ความจริงเรี่ยวแรงกลับไม่ใช่น้อย มีความรู้สึกเหมือนเป็นการลงโทษเล็กน้อย หญิงสาวถูกรัดจนส่งเสียง ‘อื้อ’ ออกมา ร่างกายโอนอ่อนบอบบาง แขนทั้งสองข้างกอดเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน ศีรษะแนบชิดกัน กระซิบกระซาบข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน “หงเยียนคารวะท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ไม่เจอกันนานเลยนะเพคะ” น้ำเสียงอ่อนหวาน
หญิงสาวผู้นี้ก็คือแฟนสาวจากเมืองหลวงที่เขาพูดถึง บุตรสาวของตระกูลลู่ นามลู่หงเยียน
ญาติอะไรล่ะ? นั่นมันคู่รักชัดๆ ในกลุ่มคนที่คอยจับตาดูพลันมีหลายคนรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา บางคนพูดจาไม่ค่อยน่าฟัง
“ดอกฟ้ากับหมาวัดชัดๆ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นมั้ง ผู้ชายก็หน้าตาดีออก”
“ดีอะไรล่ะ ดูรถเขานั่น น่าจะประมาณแสนมุกเองมั้ง? ผู้หญิงเองก็ตาถั่วจริงๆ เลย”
“แกเนี่ยนะ ผู้หญิงที่อยากได้เงินแกก็บอกว่าเขาหน้าเงิน พอเป็นคนที่ไม่อยากได้เงินแกก็บอกว่าเขาตาถั่ว”
มือของหลินยวนที่โอบรัดหญิงสาวเอาไว้ข้างนั้นตบไปที่แผ่นหลังของลู่หงเยียนเบาๆ “เธอสะดุดตาเกินไปแล้ว คนตั้งเยอะตั้งแยะมองดูอยู่ เดี๋ยวกลับไปแล้วค่อยว่ากัน”
ลู่หงเยียนยิ้มหวาน “เรื่องความสวยมันเป็นเรื่องธรรมชาติ หม่อมฉันเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกันเพคะ”
หลินยวนไม่ต่อปากต่อคำกับเธอ เอามือผลักเอวของเธอออกไป
เขาหมุนตัวขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับแล้วปิดประตู ลู่หงเยียนเดินไปยังตำแหน่งข้างคนขับ เปิดประตูแล้วสอดตัวเข้าไปในรถ จากนั้นปิดประตู
รถหักเลี้ยวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแล่นบึ่งออกไปท่ามกลางสายตาของคนจำนวนมาก
ภายในรถ ลู่หงเยียนจ้องมองดูใบหน้าด้านข้างหลินยวนที่กำลังขับรถอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกไม่ค่อยชินกับผมหางม้าของเขาสักเท่าไร หลังมั่นใจว่าเขายังคงเป็นเขาคนนั้น เธอก็ยิ้มบางๆ ออกมาอีกครั้ง มีความรู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนอารมณ์ไปมองดูทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง
หลังรถวิ่งเข้ามาในเขตเมืองที่ใหญ่โต สายตาที่ดูค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นของเธอก็กวาดมองไปรอบๆ พลางเอ่ยพึมพำขึ้นมาว่า “นี่คือเมืองปู๋เชวี่ยอย่างนั้นเหรอ…”
เธอรู้สึกอยากรู้อยากเห็นจริงๆ ในเวลานี้เรื่องบางเรื่องนั้นไม่อาจปิดบังต่อไปได้แล้ว เพียงครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ได้ว่าหลินยวนนั้นเกิดที่นี่
เธออยากมาดูเมืองปู๋เชวี่ยแห่งนี้ตั้งแต่ก่อนมาที่นี่แล้ว อยากมาดูว่าสถานที่แบบไหนถึงให้กำเนิดคนแบบนี้ขึ้นมาได้
แต่หลังจากได้เห็นถึงได้พบว่าก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ อย่าว่าแต่เมืองหลวงเลย หากไปเทียบกับเมืองที่เจริญรุ่งเรืองบางแห่งแล้ว จะบอกว่าเมืองปู๋เชวี่ยนั้นเป็นเหมือนบ้านนอกก็ว่าได้
เมื่อได้ยินเธอกล่าวพึมพำ หลินยวนจึงเหลือบมองเล็กน้อย จากนั้นหันมองไปทางด้านหน้าต่อ
หลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ลู่หงเยียนพลันเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “รถไม่มีปัญหาใช่ไหมเพคะ?”
ในเมื่อเป็นคนที่อยู่บนเส้นทางเดียวกัน หลินยวนย่อมเข้าใจในความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเธอ “รถใหม่เพิ่งซื้อมา ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีปัญหา”
ลู่หงเยียนถึงจะยิ้มขึ้นมาพร้อมเอ่ยว่า “เหมือนจะมีหาง[1]อยู่ไม่น้อยเลยนะเพคะ นี่มันหมายความว่ายังไงเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “ที่แน่ๆ ตอนนี้มีอยู่สองพวง พวงหนึ่งคือผู้พิทักษ์เมือง อีกพวงหนึ่งไม่รู้ที่มา”
ลู่หงเยียนร้องโอ้ขึ้นมา “ถูกจับตามองแล้วเหรอ? อย่างนั้นหม่อมฉันมาแบบนี้จะดีหรือเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “ทางผู้พิทักษ์เมือง ฉันเป็นคนขอให้มาคุ้มครองเอง”
ลู่หงเยียนพลันยิ้มหวานขึ้นมาทันที “อย่างพระองค์ต้องให้คนมาคุ้มครองด้วยเหรอเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “กลับไปค่อยเล่าให้ฟัง”
ลู่หงเยียนกล่าวต่อว่า “แล้วอีกพวงที่ไม่รู้ที่มาล่ะเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “มีสองคน ไม่รู้เป็นใคร จับตาดูฉันมาพักใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีความเคลื่อนไหวอะไร ไม่รู้ว่าจะทำอะไรกันแน่ ดูๆ ไปก่อนค่อยว่ากัน”
ลู่หงเยียนเอ่ย “พระองค์บอกว่าสองพวงนี้คือที่แน่นอนแล้ว ยังมีที่ไม่แน่นอนด้วยเหรอเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “บางครั้งก็จะมีหอการค้าตระกูลฉิน บางครั้งก็จะมีพวกตัวเล็กตัวน้อย ตัวตนไม่แน่ชัด”
ลู่หงเยียนว่า “ปกติตัวตนที่พระองค์เปิดเผยมักจะไม่มีอะไรโดดเด่น ทำไมถึงมีคนจับตาดูเยอะแยะแบบนี้ล่ะเพคะ?”
สำหรับเรื่องนี้ หลินยวนเองก็คร้านที่จะพูด ทั้งหมดเป็นเพราะฉินอี๋นั่นแหละ เดิมทีมันควรจะเป็นสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ แต่หลังจากเรื่องที่หอการค้าตระกูลฉินจะเข้าร่วมการประมูลเทพมหาวิญญาณเล็ดลอดออกไป มันก็ทำให้รอบตัวเขาวุ่นวายไม่หยุด
ถ้ารู้แต่แรกว่าเข้ามาในหอการค้าตระกูลฉินแล้วจะเป็นแบบนี้ ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่มีทางไปเป็นผู้ช่วยของหลัวคังอันอะไรนั่นเด็ดขาด
ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่ขาดข้อมูลข่าวสาร ไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่แน่ชัดของทางเมืองปู๋เชวี่ย ก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่อยากส่งคนมาแทรกซึมเอาไว้ที่เมืองปู๋เชวี่ย เพราะเดิมทีเมืองแห่งนี้คือแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในใจเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่เขาคิดเอาไว้เสียแล้ว!
คนของผู้อาวุโสรุ่นก่อนเหมือนจะหมายตาหอการค้าตระกูลฉินเอาไว้แต่แรกแล้ว!
เมื่อเห็นเขาไม่พูด ลู่หงเยียนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เพราะนี่คือกฎ!
เธอผ่อนคลายร่างกาย เอ่ยด้วยสีหน้าสบายใจเล็กน้อยว่า “ไม่เคยอยู่ด้วยกันเป็นเวลานานเลย ตอนนี้พอคิดว่าจะต้องอยู่กันอย่างเปิดเผยพักหนึ่ง หม่อมฉันก็รู้สึกไม่อยากกลับแล้วเพคะ”
หลินยวนกล่าว “ลุงเฉิน ระวังเขาเอาไว้หน่อย”
ลู่หงเยียนมีสีหน้าระแวดระวังขึ้นมาทันที ถามว่า “ทำไมเพคะ หรือว่าลุงเฉินคนนั้นจะมีปัญหาอะไร?”
หลินยวนกล่าว “คงจะไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แต่เรื่องบางเรื่องมันก็ยากจะอธิบายให้สมเหตุสมผลได้ ดูแล้วตัวตนในอดีตคงจะไม่ได้ขาวสะอาดสักเท่าไร คล้ายว่าล้างมือแล้วมาใช้ชีวิตอย่างสันโดษอยู่ที่เมืองปู๋เชวี่ย คนแบบนี้พบปะพูดคุยตามปกติได้ แต่อะไรที่ไม่ควรพูดก็อย่าไปพูดด้วยจะดีกว่า”
ก่อนที่จะกลับมายังเมืองปู๋เชวี่ยครั้งนี้ เขาไม่เคยนึกสงสัยจางเลี่ยเฉินมาก่อน อาจจะเป็นเพราะสายตาของตัวเองเมื่อในอดีตยังมองไปได้ไม่ไกลพอด้วย จึงทำให้มองข้ามเรื่องบางเรื่องไป แต่หลังจากกลับมาครั้งนี้ จางเลี่ยเฉินกลับช่วยเขารักษา ‘พิษผนึกมาร’ ที่คนจำนวนมากไม่มีทางรักษา ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านคมดาบและกลิ่นคาวเลือดมาอย่างโชกโชนของเขา จะไม่ให้เขานึกสงสัยก็คงเป็นไปได้ยาก
แล้วก็ยังมี ‘โจ๊ก’ ที่ช่วยเร่งการฟื้นฟูสภาวะได้อันนั้นอีก นั่นมันจะใช่ของธรรมดาๆ ที่ไหนกัน?
แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้เช่นกัน ทั้งช่วยรักษาพิษให้เขา แล้วยังช่วยเขาฟื้นฟูสภาวะ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย
เรื่องเหล่านี้เขาไม่สามารถพูดกับลู่หงเยียนได้ เรื่องที่เขาถูกพิษผนึกมารไม่อาจพูดให้ใครฟังได้ เรื่องที่สภาวะของเขาลดลงอย่างมากยิ่งไม่อาจพูดให้ใครฟังได้ เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความลับสุดยอด เพราะทันทีที่มันเล็ดลอดออกไป ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะร้ายแรงจนไม่สามารถจินตนาการได้
มีแต่ต้องทำให้คนนอกไม่รู้เรื่องที่สภาวะเขาได้รับความเสียหาย มันถึงจะสามารถข่มขวัญคนบางคนเอาไว้ได้ มันถึงจะทำให้คนบางคนไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรที่โง่เขลาได้
ลู่หงเยียนประหลาดใจเล็กน้อย “สภาวะของเขาสูงมากหรือเพคะ?”
หลินยวนกล่าว “ก็ไม่ได้สูงอะไร สภาวะธรรมดา อยู่ในขั้นเซียนนภาเท่านั้น แต่ประวัติความเป็นมาอาจจะไม่ธรรมดา ตอนนี้เป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู คนแบบนี้หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็อย่าไปฉีกหน้ากากของเขาจะดีกว่า ทำเป็นว่าไม่รู้อะไรต่อไปก็พอ”
ลู่หงเยียนพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อสื่อว่าตนเข้าใจแล้ว จากนั้นเปลี่ยนประเด็นว่า “ผู้อาวุโสรุ่นก่อนส่งข้อความมาให้หม่อมฉัน ให้หม่อมฉันนำมาบอกพระองค์เพคะ!”
หลินยวนกล่าว “ว่ามา”
ลู่หงเยียนกล่าว “หอการค้าตระกูลฉินประมูลได้สำเร็จนับเป็นเรื่องดี ไม่ว่ารุ่นที่แปดจะเปลี่ยนไปอย่างไร มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะใช้ข่ายพลังเชื่อมข้อต่อของทางหอการค้าตระกูลฉิน นี่คือโอกาสดีที่จะได้ชิงเอาความลับของรุ่นที่แปดมา หากสถานการณ์ในการประมูลมีการเปลี่ยนแปลง ให้ลงมือกำจัดอุปสรรคให้หอการค้าตระกูลฉินทันที ใครขวางทางหอการค้าตระกูลฉิน กำจัดทิ้งให้หมด! ความหมายของผู้อาวุโสรุ่นก่อนคือต้องการให้พระองค์ฉวยโอกาสนี้แฝงตัวลึกเข้าไปในหอการค้าตระกูลฉิน เพื่อที่จะได้เข้าไปใกล้รุ่นที่แปดของทางสภาเซียนได้ ห้ามพลาดโอกาสนี้เด็ดขาดเพคะ!”
หลินยวนนิ่งเงียบไป สำหรับเรื่องนี้แล้ว เขาไม่ได้แปลกใจเลยแม้แต่น้อย นี่อยู่ในการคาดเดาของเขาแต่แรกแล้ว นับตั้งแต่ที่ให้เขาช่วยหอการค้าตระกูลฉินเอาชนะการประมูล เขาก็พอจะคาดเดาเรื่องราวส่วนใหญ่ได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ ในตอนที่ฉินอี๋ให้โอกาสเขาแยกตัวออกมาจากหลัวคังอัน เขาจึงปฏิเสธไป
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่เขาให้หลัวคังอันทิ้งเงินรางวัลพันล้านมุกนั่นไปซะ สละรางวัลชิ้นหนึ่งเพื่อรักษาคำสัญญาอีกอย่างหนึ่งของฉินอี๋เอาไว้ ทำให้เธอเปลี่ยนใจได้ลำบากขึ้น
เขาจะให้หลัวคังอันขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงของหอการค้าตระกูลฉิน ส่วนเขาก็แค่ควบคุมหลัวคังอันเอาไว้ก็พอ
เขาเริ่มวางแผนเอาไว้แล้ว
นี่มิใช่เพราะว่าเขาต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโสรุ่นก่อน ตอนนี้ผู้อาวุโสรุ่นก่อนได้ถอยไปอยู่เบื้องหลังแล้ว คนที่กุมอำนาจที่แท้จริงคือคนในรุ่นนี้อย่างพวกเขา
การที่เขายินดีรับฟังความเห็นของผู้อาวุโสรุ่นก่อน เหตุผลข้อแรกเป็นเพราะผู้อาวุโสรุ่นก่อนควรค่าให้เขาเคารพ ในอดีตเขาเดินทางไปยังเมืองหลวงด้วยตัวเปล่าๆ หากไม่มีการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากผู้อาวุโสรุ่นก่อน ตัวเขาที่เป็นเด็กหนุ่มโง่เขลาที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวคนหนึ่งก็ยากที่จะเดินมาถึงจุดนี้ได้ จนสุดท้ายผู้อาวุโสรุ่นก่อนก็มอบอำนาจต่อให้เขา
เหตุผลต่อมาเป็นเพราะความเห็นของผู้อาวุโสรุ่นก่อนควรค่าแก่การรับฟัง เพราะถ้าเป็นคำขอที่ไม่สมเหตุสมผล เขาเองก็ไม่มีทางเชื่อฟัง
แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เขารู้สึกมั่นใจว่าอาจารย์ที่ลึกลับของเขาผู้นั้นก็คือผู้นำรุ่นก่อน ไม่อย่างนั้นทำไมเหล่าผู้อาวุโสรุ่นก่อนถึงได้เลือกเขาที่ในตอนนั้นยังไม่ประสีประสาอะไรแม้แต่น้อยขึ้นมาแล้วให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วย? นับตั้งแต่ที่ส่งเขาเข้าไปในหลิงซาน ค่อยๆ สั่งสอนเลี้ยงดู
ดังนั้นไม่ว่าในด้านความรู้สึกหรือในด้านเหตุผล เขาก็ต้องให้ความเคารพแก่ผู้อาวุโสรุ่นก่อน
เนื่องจากความจำเป็นทำให้เขาต้องวางแผนบางอย่างต่อหอการค้าตระกูล เรื่องนี้ต่อให้ผู้อาวุโสรุ่นก่อนไม่พูด เขาก็คงทำอยู่ดี
ถึงแม้เขาจะไม่อยากให้ฉินอี๋หรือว่าหอการค้าตระกูลฉินเข้ามาพัวพันในพายุที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่มันช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขายืนอยู่ในตำแหน่งนี้แล้ว
เพราะเขาคือป้าหวัง!
เพราะเขาคือผู้นำของคนจำนวนมาก!
เรื่องบางเรื่องไม่อาจใช้ความรู้สึกมาจัดการได้ เขาต้องคิดถึงอนาตของคนจำนวนมาก ทันทีที่สภาเซียนนำเอาเทพมหาวิญญาณรุ่นที่แปดออกมาใช้งาน ผลลัพธ์ที่ตามมามันจะเป็นอย่างไร? เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่คนจำนวนมากถูกสภาเซียนไล่ล่าสังหารแต่เพียงฝ่ายเดียว แล้วจะให้เขานั่งมองดูคนของตนถูกฆ่าตายไปโดยไม่ทำอะไรได้อย่างไร?
เมื่อต้องเผชิญกับความอยู่รอดของคนจำนวนมาก เมื่อต้องเผชิญกับความเป็นความตายของคนจำนวนมาก ความรู้สึกของเขานับเป็นอันใดได้?
ถึงแม้ในด้านความรู้สึกมันจะยากที่จะยอมรับได้ แต่เขาก็จำเป็นต้องทำ!”
………………………………………………………………
[1]หาง ในภาษาจีนมีความหมายว่าคนที่ตามอยู่ข้างหลังด้วย