ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 176 ท่านทวารบาล

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 176 ท่านทวารบาล

ผืนดินกว้างใหญ่ ยอดเขาสูงชัน ผืนฟ้าสุดลูกหูลูกตา

บนยอดของหมู่เขา ฉินอี๋และตัวแทนของสภาเซียนกำลังหันหน้าไปทางที่ราบอันกว้างใหญ่ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขาพลางชี้นั่นชี้นี่ รอบด้านมีกองกำลังของผู้พิทักษ์เมืองปู๋เชวี่ยคอยเฝ้าระวัง อีกทั้งยังมีเทพมหาวิญญาณจากค่ายผู้พิทักษ์เทพอีกหลายตน อย่างน้อยก็สามารถหยุดยั้งเหล่าสัตว์ร้ายไม่ให้เข้ามารบกวนได้

เวลานี้นับว่าได้ข้อสรุปในเรื่องสถานที่แล้ว สถานที่ที่จะใช้ทำการหลอมข่ายพลังเทพมหาวิญญาณของหอการค้าตระกูลฉินจะตั้งอยู่ที่นี่ หลังจากนี้จะทำการบุกเบิกพื้นที่ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อลงไปยังพื้นด้านล่าง ทำการปรับเปลี่ยนพื้นที่เพื่อให้กลายเป็นสถานที่สำหรับทำการผลิต

ความจริงฉินอี๋อยากให้สถานที่ผลิตข่ายพลังอยู่ในเมืองปู๋เชวี่ยมากกว่า เพราะหากเป็นแบบนั้นจะทำให้มีความสะดวกในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยด้านสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างมีความปลอดภัยมากกว่า

แต่ลั่วเทียนเหอไม่เห็นด้วย พื้นที่ที่หอการค้าตระกูลฉินต้องใช้ในครั้งนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ผู้บำเพ็ญเพียรที่มีความเกี่ยวข้องก็มีจำนวนค่อนข้างมาก การสร้างข่ายพลังในปริมาณมากนั้นมีความเสี่ยงในระดับหนึ่งอยู่ หากเกิดการระเบิดขึ้นมา มันอาจจะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องมีการทดสอบความสามารถในการรับการโจมตีหรือแบกรับน้ำหนักอยู่เป็นประจำ ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมอย่างแน่นอน และนั่นจะเป็นการรบกวนประชาชนภายในเมืองได้ง่าย

ฉินอี๋พยายามเกลี้ยกล่อมแล้ว แต่ก็ไม่เป็นผล จึงไม่ได้ยืนกรานดึงดันในเรื่องนี้อีก เรื่องบางเรื่องเธอยังต้องเคารพท่าทีของลั่วเทียนเหออยู่

ยิ่งไปกว่านั้นการที่มีผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากมาเกี่ยวข้องกับการผลิตข่ายพลัง นั่นจะทำให้เกิดผลกระทบบางอย่างขึ้นในเมืองได้ง่าย แล้วก็มีความเสี่ยงอยู่ในระดับหนึ่งจริงๆ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้แก่การใช้ชีวิตประจำวันของประชาชนด้วย เธอเองก็ไม่มีทางสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวเมืองเพื่อการหาเงินของตัวเองเช่นกัน

แล้วก็เป็นเพราะว่าทางกองทัพของสภาเซียนค่อนข้างให้ความสนใจต่อข่ายพลังของหอการค้าตระกูลฉินในครั้งนี้ พวกเขาไม่อยากให้มันตกไปอยู่ในมือคนชั่ว หลังทำการเจรจาหารือแล้ว ทางกองทัพก็ตอบตกลงเงื่อนไขของฉินอี๋ ส่งกองทหารรักษาการณ์จำนวนหนึ่งมาที่นี่ รับผิดชอบเรื่องการปกป้องรักษาการผลิตที่เกี่ยวข้องกับข่ายพลัง ลั่วเทียนเหอไม่ค่อยพอใจในเรื่องนี้ ทางกองทัพจึงรับปากว่าจะไม่แทรกแซงการทำงานของเมืองปู๋เชวี่ย ลั่วเทียนเหอถึงจะตอบตกลงให้กองทหารมาประจำการอยู่ที่นี่ได้

ทางกองทหารรักษาการณ์เองก็ไม่ได้มาที่นี่เปล่าๆ เช่นกัน หอการค้าตระกูลฉินต้องจ่ายค่าประจำการให้พวกเขา ฉินอี๋ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยในเรื่องนี้ ตอบตกลงเงื่อนไขของทางกองทัพอย่างรวดเร็ว

เมื่อเทียบกันแล้ว สุดท้ายหอการค้าตระกูลฉินก็ยังประหยัดเงินไปได้ก้อนใหญ่ อย่างน้อยก็ไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายทางการทหารให้แก่กองทหารรักษาการณ์ ไม่อย่างนั้นหากหอการค้าตระกูลฉินเชิญผู้บำเพ็ญเพียรมาเป็นจำนวนมากล่ะก็ ทางหอการค้าไม่เพียงแต่จะต้องจ่ายค่าประจำการเท่านั้น แต่ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนให้แก่ผู้บำเพ็ญเพียรทุกๆ คนด้วย ยิ่งไปกว่านั้นการดูแลผู้บำเพ็ญเพียรเป็นจำนวนมากก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกับทางกองทัพของสภาเซียนที่มีความสามารถในการควบคุมกำลังพลของตัวเองอยู่แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นกองทหารรักษาการณ์ยังรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยด้วย อีกทั้งมีประสิทธิภาพในการข่มขวัญที่แตกต่างไปจากผู้บำเพ็ญเพียร ปกติไม่มีใครกล้ามาทำอะไรวุ่นวาย ไม่อย่างนั้นหากกองทหารรักษาการณ์ทำการโจมตีกลับ นั่นมิใช่สิ่งที่หอการค้าตระกูลฉินจะเทียบได้ มีอานุภาพที่น่าเกรงกลัวเป็นอย่างมาก

สิ่งสำคัญที่สุดคือหอการค้าตระกูลฉินสามารถอาศัยจุดนี้ในการสร้างสัมพันธ์กับทางกองทัพของสภาเซียนอย่างเป็นทางการได้ นี่มิใช่สิ่งที่กองกำลังของผู้พิทักษ์เมืองของเมืองปู๋เชวี่ยจะเทียบได้ ค่อยๆ ผูกสัมพันธ์อย่างถูกจังหวะและค่อยเป็นค่อยไปได้ นี่คือจุดที่ฉินอี๋ให้ความสำคัญมากที่สุด

จู่ๆ เจียงอวี้ที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้รับข้อความจากยันต์ส่งข้อความ หลังแกะออกอ่านก็รีบเดินเข้าไปหาไป๋หลิงหลง

ที่นี่อยู่ค่อนข้างไกลจากเมืองปู๋เชวี่ย มีสัตว์ร้ายที่ดำดินโบยบินได้อยู่เต็มไปหมด ไม่สะดวกที่จะสร้างจุดส่งสัญญาณ ดังนั้นพวกอุปกรณ์สื่อสารอย่างเช่นโทรศัพท์มือถือจึงไม่สามารถใช้งานที่นี่ได้ เอาไว้เมื่อทำการสร้างอุปกรณ์การผลิตต่างๆ ขึ้นที่นี่เรียบร้อยแล้ว ทางหอการค้าตระกูลฉินน่าจะควักเงินสร้างจุดส่งสัญญาณขึ้นมา แต่ในตอนนี้ยังไม่มี จึงยังต้องพึ่งพาอุปกรณ์ส่งข่าวสารอย่างยันต์ส่งข้อความอยู่

ไป๋หลิงหลงกระซิบกระซาบอะไรกับอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเดินมาเรียกฉินอี๋ใกล้ๆ ฉินอี๋ทราบว่าอีกฝ่ายจะต้องมีเรื่องอะไรอย่างแน่นอน จึงเดินตามเธอไปอีกด้านหนึ่ง

คนอื่นเหลือบมองเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร อีกฝ่ายจำเป็นต้องหลบไปคุยเรื่องความลับทางธุรกิจอะไรก็นับเป็นเรื่องปกติ

ไป๋หลิงหลงเอ่ยเสียงเบาๆ ว่า “ทางหอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานมีความเคลื่อนไหวค่ะ ตระกูลเซียงหลัวกับตระกูลกงหู่ลงมือสังหารเผิงซีกับสวีเฉียนจริงๆ ด้วยค่ะ”

ฉินอี๋ถาม “แล้วสองคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?”

ไป๋หลิงหลงกล่าว “สู้กันดุเดือดมากค่ะ เกือบไม่รอด ถูกทั้งสองตระกูลไล่ล่าสังหาร แต่ว่าโชคดีที่ตระกูลหนานชีแอบรวบรวบกำลังคนเอาไว้ แอบลงมือขัดขวางการไล่ล่าอย่างกะทันหัน เลยช่วยทั้งสองคนมาได้อย่างราบรื่นค่ะ”

ฉินอี๋แอบโล่งอก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “รีบปล่อยข่าวลือในเมืองฝูปอกับเมืองเทียนกู่ บอกว่านี่เป็นหลุมพลางของตระกูลเซียงหลัวกับตระกูลกงหู่ เป้าหมายของพวกเขาคือหวังจะล่อโจวหม่านเชากับพานชิ่งออกมา”

ไป๋หลิงหลงเอ่ยอย่างลังเลว่า “ข่าวลือแบบนี้หลอกพวกเขาไม่ได้หรือเปล่าคะ ช้าเร็วก็ต้องโดยมองออกแน่นอน”

ฉินอี๋กล่าว “แค่ทำให้โจวหม่านเชากับพานชิ่งเกิดความระแวงจนไม่กล้าโผล่หน้าออกมาตอนนี้ก็พอแล้ว จะสร้างความวุ่นวายให้หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานได้มากน้อยเท่าไรก็ช่าง ทำให้พวกเขาเสียหายได้มากน้อยเท่าไรก็ช่าง เพราะพวกเราก็ไม่ได้เสียอะไรอยู่แล้ว”

สำหรับเธอแล้ว หอการค้าตระกูลโจวกับหอการค้าตระกูลพานอยู่ในสถานะเป็นฝ่ายตั้งรับ ส่วนหอการค้าตระกูลฉินเป็นฝ่ายโจมตี เวลานี้หอการค้าตระกูลฉินจะโจมตีอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ส่วนหอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวก็ได้แต่ต้องรับการโจมตีไปเพียงอย่างเดียว ขอเพียงมีโอกาสสร้างความวุ่นวายให้กับทางนั้น ฉินอี๋ก็ไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปแน่นอน

สรุปแล้วคือเธอต้องการให้หอการค้าตระกูลพานกับหอการค้าตระกูลโจวเกิดความวุ่นวาย ฝั่งนั้นยิ่งวุ่นวายยิ่งดี ดังนั้นเธอย่อมต้องเติมน้ำมันลงไปในกองไฟ!

ไป๋หลิงหลงเข้าใจแล้ว จึงพยักหน้าเล็กน้อย หมุนตัวเดินออกไปสั่งกำชับเจียงอวี้อย่างรวดเร็ว

ในตอนที่เจ้าหน้าที่ของทางสภาเซียนทำการสำรวจพื้นที่ดูอีกครั้ง ชายชราผมขาวคนหนึ่งที่มีนามว่าเว่ยผิงกงค่อยๆ เดินมือไพล่หลังเข้ามายืนอยู่ข้างกายเจียงอวี้ เขาคือตัวแทนที่ทางกองทัพของสภาเซียนส่งมา เอ่ยถามเจียงอวี้ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “นายคือเจียงอวี้?”

สำหรับคนที่อยู่ข้างกายฉินอี๋แล้ว ทางสภาเซียนย่อมต้องทำการสืบประวัติมาแล้วอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นในเวลานี้เจียงอวี้ได้เปิดเผยตัวตนแล้ว เขาย่อมต้องถูกทางสภาเซียนจับตาดูเอาไว้

เวลานี้เจียงอวี้ถือว่าเป็นผู้ติดตามที่อยู่ใกล้ชิดฉินอี๋ เรียกได้ว่าเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากฉินอี๋ แล้วก็เป็นผู้ติดตามคนสนิทที่ฉินอี๋ให้ความดูแลมาโดยตลอด คอยอยู่ข้างกายฉินอี๋อย่างลับๆ มาเป็นเวลาหลายปี ได้รับความเชื่อใจจากฉินอี๋เป็นอย่างมาก

ความเชื่อใจที่ฉินอี๋มีให้แก่เจียงอวี้เรียกได้ว่ามีมากกว่าตาแก่ฝาแฝดจินเจ่ากับจินหว่านคู่นั้นเสียอีก เพราะฝาแฝดคู่นั้นเป็นผู้ติดตามที่ฉินเต้าเปียนส่งมาอยู่ข้างกายฉินอี๋

ทว่านี่มิได้เป็นเพราะฉินอี๋ระแวงว่าพ่อของเธอจะทำร้ายเธอ หากแต่เป็นเพราะแนวคิดบางอย่างของทั้งสองคนไม่ตรงกัน เรื่องบางเรื่องมักจะคุยกันไม่รู้เรื่อง เธอกลัวว่าพ่อของเธอจะเป็นห่วงเธอมากเกินไป

ต่อให้พ่อลูกจะไว้ใจกันมากแค่ไหน มันก็ใช้งานได้ไม่สะดวกเท่าคนของตัวเองอยู่ดี

กำลังของคนคนหนึ่งนั้นมีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะคนที่ก้าวมาอยู่ในระดับฉินอี๋เช่นนี้ การที่มีคนที่จงรักภักดีและไว้วางใจได้เพิ่มขึ้นมาสักคนมีประโยชน์และมีความสำคัญมากกว่าหลายๆ เรื่อง จะเห็นได้จากการที่ฉินอี๋ยอมเอาผลประโยชน์หนึ่งส่วนมาเป็นหมากในการเจรจากับทางตระกูลหนานชี

สีหน้าและท่าทีที่เจียงอวี้มีต่อคนผู้นี้ดูค่อนข้างกริ่งเกรงอย่างเห็นได้ชัด หลายวันมานี้เขาติดตามอยู่ข้างกายฉินอี๋ รู้เช่นเดียวกันว่าคนผู้นี้คือใคร จึงรีบประสานมือพลางกล่าว “ใช่ครับ เจียงอวี้คารวะท่านทวารบาล!”

เว่ยผิงกงโบกมือ “เฮ้อ ไม่มีทวารบาลอะไรแล้ว กลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว ตอนนี้ก็แค่ใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น” บนใบหน้าแฝงไว้ด้วยความรู้สึกเย้ยหยันตัวเองอยู่หลายส่วน

ในอดีตเขาคือหนึ่งในจอมพลเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าอยู่หน้าตำหนักของจักรพรรดิโยวหมิงแห่งดินแดนหมิง ภายหลังเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย จึงถูกลดตำแหน่ง ไม่ได้มีอำนาจที่แท้จริงอะไร เรียกได้ว่าใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างแท้จริง

ส่วนสาเหตุที่ใบหน้าเขามีรอยยิ้มเย้ยหยันตัวเองปรากฎขึ้นมา นั่นเป็นเพราะตัวเขาที่ในอดีตมีผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่มากมาย ยามนี้กลับตกต่ำจนต้องกลายเป็นยามเฝ้าประตูแล้ว

การที่เขามาถึงที่นี่ด้วยตัวเองได้ เรียกได้ว่าแทบจะเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาต้องนำกำลังพลหนึ่งหมื่นนายมาประจำการอยู่ที่นี่เพื่อทำให้การสร้างเทพมหาวิญญาณของสภาเซียนดำเนินไปได้อย่างราบรื่น

ด้วยสถานะของเขาเมื่อในอดีต การที่ตอนนี้เขาต้องนำกำลังพลเพียงแค่หนึ่งหมื่นนายมาประจำการอยู่ที่นี่ สำหรับเขาแล้วนี่ไม่เรียกว่ายามเฝ้าประตูแล้วจะเรียกว่าอะไร?

แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าที่เขามาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ นั่นเป็นเพราะว่าเขาถูกฉินอี๋หมายตาเอาไว้แล้ว

ในเรื่องบางเรื่อง ฉินอี๋เรียกได้ว่ามีสายตาที่เฉียบคมเป็นอย่างมาก เธอเชี่ยวชาญในการหาตัวคนที่มีประโยชน์ต่อตัวเองจากข้อมูลของคนจำนวนมาก ก่อนหน้านี้เธอไม่เพียงแต่จะหาตัวหลัวคังอันได้เท่านั้น แต่ยังหาตัวเจียงอวี้พบ หาตัวเจออู๋จื่อพบ หาตัวหนานชีหรูอันมาร่วมมือได้ แล้วตอนนี้ยังหาตัวเว่ยผิงกงที่ว่างงานมาได้อีก

ตัวฉินอี๋นั้นไม่สามารถใช้งานเว่ยผิงกงได้ แต่เธอเชี่ยวชาญการคว้าโอกาสแล้วนำมาใช้ประโยชน์ เธอไปหาหนานชีหรูอัน ฉวยโอกาสตอนที่เพิ่งจะร่วมมือกัน มอบผลประโยชน์ก้อนใหญ่กับทางตระกูลหนานชี ตอนนี้เมื่อเอ่ยปากขอร้องอะไร ทางตระกูลหนานชีก็จะเห็นแก่หน้าฉินอี๋ได้ง่าย เธอจึงหาข้ออ้างที่เหมาะสม ไหว้วานให้หนานชีหรูอันใช้อิทธิพลของตระกูลหนานชีแอบจัดการอย่างลับๆ ถึงทำให้เว่ยผิงกงมาอยู่ที่นี่ได้

เว่ยผิงกงสามารถเย้ยหยันตัวเองได้ แต่เจียงอวี้กลับไม่กล้าเอ่ยหยอกล้อส่งเดช ยืนอย่างสงบเสงี่ยม

เว่ยผิงกงพินิจดูเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “ฉันเคยได้ยินเรื่องของนายมา ในเมื่อเรื่องราวมันผ่านไปแล้ว หากนายยังอยากเข้าไปอยู่ในบันทึกรายชื่อเซียน หากอยากกลับมาอยู่ในกองทัพของสภาเซียน ตาแก่อย่างฉันก็นับว่าใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพมาหลายปี จะมากจะน้อยก็พอจะรู้จักคนอยู่บ้าง พอจะมีคนยอมช่วยเหลืออยู่ จะลองคิดดูหน่อยไหม?”

เขาหวังดีอยากจะช่วยเจียงอวี้ เรื่องในอดีตของเจียงอวี้ได้ทำให้คนบางคนในกองทัพรู้สึกโกรธเกรี้ยวจริงๆ จนปัญญาที่เจียงอวี้นำกำลังคนบุกเข้าไปในบ้านพักส่วนตัวของอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตระกูลใหญ่ที่มีความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงต่อสภาเซียนด้วย ซึ่งนับเป็นการทำผิดกฎหมายดินแดนเซียนจริงๆ การที่เขาถูกไล่ออกจึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

อีกทั้งด้วยอิทธิพลของตระกูลหนานชี จะมากจะน้อยก็จำเป็นต้องคิดถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองด้วย หลายๆ คนจึงปล่อยให้เจียงอวี้ทนรับความอยุติธรรมไปอย่างเงียบๆ

ตอนนี้ตระกูลหนานชีรามือแล้ว ความแค้นของทั้งสองฝ่ายคลี่คลาย ขอเพียงช่วยพูดให้กับเจียงอวี้เล็กน้อย ทางกองทัพก็น่าจะคิดถึงอดีตของเจียงอวี้และความเห็นของคนที่อยู่เบื้องล่าง น่าจะทำให้เจียงอวี้กลับเข้ามาในกองทัพได้โดยไม่ยากเย็นอะไร เขาเองก็อยากจะช่วยเจียงอวี้จริงๆ จะได้ถือเป็นการชดเชยความผิดภายในใจของเขาไปด้วย

แต่หลังจากเจียงอวี้นิ่งเงียบไปเล็กน้อย สุดท้ายก็ส่ายศีรษะ “ผมขอขอบคุณในความหวังดีของผบ.เว่ยครับ แต่มันกลายเป็นอดีตไปหมดแล้ว นิสัยของผู้น้อยอาจจะไม่เคยชินกับเรื่องบางเรื่องและคนบางคน รู้สึกว่าตอนนี้มีความอิสระมากกว่า ตอนนี้เจียงอวี้สบายดีครับ” เขาปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม คำเรียกขานก็เปลี่ยนไป ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ชอบให้เรียกว่า ‘ท่านทวารบาล’ เช่นนั้นเขาก็เรียกอีกฝ่ายว่า ‘ผบ.เว่ย’

เหตุผลแรกคือเขาออกมาจากกองทัพเป็นเวลานานแล้ว เคยชินกับชีวิตในตอนนี้แล้ว รู้สึกไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตในกองทัพอีกแล้วจริงๆ

เหตุผลต่อมาคือตอนนี้เขาเองก็ไม่อาจอยู่ห่างฉินอี๋ได้แล้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยแอบช่วยฉินอี๋ทำงานสกปรกหลายๆ เรื่อง การจะกลับไปยังกองทัพโดยมีจุดอ่อนบางอย่างติดตัวไปด้วยนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมเช่นเดียวกัน

อีกอย่างคือลูกสาวของเขาได้รับการดูแลจากฉินอี๋ และฉินอี๋ก็จ่ายค่าตอบแทนไปเป็นจำนวนมหาศาลเพื่อช่วยล้างแค้นให้เขาแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือว่าความรู้สึก หรือว่าเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ เขาก็ไม่อาจไปจากฉินอี๋ได้

“เฮ้อ!” เว่ยผิงกงมองเขา จู่ๆ พลันถอนใจออกมา ยกมือขึ้นตบไหล่เจียงอวี้ “ออกมาแล้วก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องแย่ แล้วแต่นายแล้วกัน ต่อไปถ้ามีเรื่องส่วนตัวอะไรก็ลองพูดกับฉันดูได้” ยามนี้เขาตกต่ำถึงเพียงนี้ ตัวเองยังมีหน้ามีตาอยู่เท่าไรก็บอกไม่ได้เช่นกัน เขาจึงไม่กล้าให้คำมั่นสัญญาอะไร ในคำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความแบ่งรับแบ่งสู้อยู่ แต่เจตนาที่อยากช่วยเหลือนั้นได้แสดงออกไปแล้ว

แต่แน่นอน เขาเน้นย้ำไปแล้วว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเจียงอวี้ ถ้าหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฉินอี๋ นั่นต้องค่อยมาว่ากันอีกที

“ขอบคุณท่านผบ.เว่ยครับ” เจียงอวี้ประสานมือกล่าวขอบคุณ”

ฉินอี๋ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่ยังคงแอบจับตามองเว่ยผิงกงอย่างเงียบๆ เหลือบมองดูตอนที่เว่ยผิงกงคุยกับเจียงอวี้อยู่หลายครั้ง

………………………………………………………

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน