ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 222 เกิดความโกลาหล

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 222 เกิดความโกลาหล

ไม่ใช่แค่พวกเขา แต่ทุกคนรวมถึงผู้คุ้มกันขั้นเซียนเทพที่เพิ่งเดินเข้ามาสองคนนั้นต่างตกใจกับภาพที่ฉินอี๋มีเลือดเต็มปากแบบนี้

โต๊ะอาหารที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แดงจนสะดุดตา!

บรรยากาศในสถานที่นี้หยุดชะงัก ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความวุ่นวายทันที

“ลูกอี๋!”

“เสี่ยวอี๋!”

“ท่านประธาน!”

เสียงอุทานตกใจของทุกคนดังขึ้น ฉินเต้าเปียนลุกขึ้นเข้าไปพยุงฉินอี๋ไว้แล้วตะโกนว่า “ใครก็ได้! มาช่วยหน่อย!” เรียกได้ว่าวุ่นวายกันไปทุกตารางนิ้ว

ผู้คุ้มกันขั้นเซียนเทพสองคนรีบพุ่งเข้ามา จับข้อมือฉินอี๋ไว้คนละข้างด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง ใช้พลังตรวจดูอาการ

กลุ่มผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างนอกได้ยินเสียงฉินเต้าเปียนตะโกนจึงรีบวิ่งเข้ามา แต่กลับถูกไป๋ซานเป้าขวางไว้ที่หน้าประตู ไป๋ซานเป้าไล่พวกเขาออกไป สถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ชัดเจน เรื่องของฉินอี๋ยังไม่ควรจะให้คนนอกรับรู้

หลัวคังอันกับจูเก่อม่านไหนเลยจะยังนั่งอยู่ได้ พวกเขาค่อยๆ ลุกขึ้นมาด้วยความตกใจและสงสัย ต่างไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถึงเป็นเช่นนี้ การที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับร่างกายของฉินอี๋มันน่าตกใจเป็นอย่างมาก!

ทำไมจู่ๆ ถึงกระอักเลือดล่ะ? ฉินอี๋เองก็ตกใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้ มุมปากมีเลือดไหลหยด

เวลานี้ทุกคนต่างมองดูท่าทีของยอดฝีมือขั้นเซียนเทพทั้งสองคน

เจียงซั่งซานกับจู๋เม่าคือชื่อของยอดฝีมือทั้งสองคนที่ตระกูลหนานซีส่งมา

ไม่นานฉินอี๋ก็ได้สติกลับมา หลังจากกระอักเลือดออกมา เธอก็รู้สึกดีขึ้นมาก เวลานี้ไม่ไอแล้ว เธอที่มุมปากยังมีคราบเลือดมองไปทางไป๋หลิงหลง เอ่ยถามว่า “ทางโรงงานเป็นยังไงบ้าง?”

นี่คือเรื่องที่เธอกังวลใจมากที่สุดในตอนนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าที่หอการค้าตระกูลฉินจะเดินมาจนถึงวันนี้ได้ ไม่ง่ายเลยกว่าที่หอการค้าตระกูลฉินจะเปลี่ยนรูปแบบอุตสาหกรรมเป็นอย่างวันนี้ได้ ถ้าจู่ๆ ธุรกิจนี้ถูกคนทำลายไป ความเสียหายจะหนักหนาสาหัสเพียงใด หอการค้าตระกูลฉินยากจะแบกรับความสูญเสียตรงนี้เอาไว้ได้!

ไป๋หลิงหลงยังไม่ทันตอบ จู๋เม่าก็เอ่ยห้ามไว้ก่อน “ท่านประธาน ตอนนี้ร่างกายท่านค่อนข้างแปลก อย่าเพิ่งพูดอะไรให้เลือดลมปั่นป่วนเลยครับ ให้พวกผมสองคนได้ตรวจอย่างละเอียดก่อน”

ฉินเต้าเปียนรีบกล่าว “เสี่ยวอี๋ อย่าเพิ่งพูดๆ ฟังผู้อาวุโสจู๋นะ”

ฉินอี๋ทำได้เพียงนั่งนิ่งๆ ให้ยอดฝีมือทั้งสองตรวจอาการ แต่จากสายตาของฉินอี๋นั้นสามารถมองออกว่าเธอยังคงครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ผู้อาวุโสเจียงซั่งซานและจู๋เม่าต่างขมวดคิ้วมุ่น มองกันไปมองกันมา ในสายตาฉายแววสงสัยและความรู้สึกไม่เข้าใจ

สุดท้ายผู้อาวุโสทั้งสองก็มองหน้ากันพลางส่ายหน้าไปมา ต่างปล่อยมือของฉินอี๋ลง ฉินอี๋หันมองทั้งสองคน

ฉินเต้าเปียนเอ่ยถาม “ทั้งสองท่าน อาการของลูกสาวผมเป็นยังไงบ้าง?”

เจียงซั่งซานยกมือขึ้นลูบเครา เอ่ยอย่างลังเลว่า “อาการนี้ ดูไม่คล้ายอาการป่วย แล้วก็ไม่คล้ายว่าถูกพิษ แต่เลือดลมของท่านประธานปั่นป่วนผิดปกติ สมดุลของร่างกายก็ปั่นป่วนแปลกๆ เราสองคนความรู้ตื้นเขิน จึงไม่อาจรู้แน่ชัด แล้วก็ยังบอกอะไรไม่ได้”

แม้แต่สองคนนี้ก็บอกว่าตนเองความรู้ตื้นเขินเหรอ? ฉินเต้าเปียนร้อนใจ “อย่างนั้นจะทำยังไงดี?”

ฉินอี๋กลับเอ่ยถามไป๋หลิงหลงอีกครั้ง “สถานการณ์ทางโรงงานเป็นยังไงบ้าง?”

ไป๋หลิงหลงมองฉินเต้าเปียน แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ฉินเต้าเปียนกระทืบเท้าพลางเอ่ย “ลูกอี๋ ทางโรงงานเดี๋ยวพ่อจัดการเอง ลูกรักษาตัวก่อนเถอะ”

ฉินอี๋มุมปากยังมีคราบเลือดอยู่ แต่เวลานี้เธอหยุดไอแล้ว กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ในเมื่อแม้แต่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองท่านยังไม่รู้ว่าหนูป่วยเป็นอะไร ถึงรักษาไปตอนนี้มันก็เหมือนเป็นการรักษาส่งเดช แต่ตอนนี้ทางโรงงานก็มีคนที่มีอาการแบบเดียวกับหนู อย่างนั้นก็แสดงว่ามันต้องมีสาเหตุ การหาสาเหตุให้เจอต่างหากถึงจะเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด เรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงกำลังทหารแล้ว สภาเซียนไม่มีทางนั่งดูอยู่เฉยๆ แน่ พวกเขาจะต้องหาวิธีรักษาแน่นอน คุณพ่อไม่ต้องกังวลค่ะ”

ฉินเต้าเปียนได้ยินก็สงบลงเล็กน้อย พอคิดๆ ก็ดูพบว่าจริงดังว่า

ฉินอี๋จ้องมองไป๋หลิงหลงอีกครั้ง “เธอถามสถานการณ์ของทางโรงงานมาหรือยัง?”

ครั้งนี้ไป๋หลิงหลงถึงจะตอบออกมาว่า “ถามมาคร่าวๆ แล้วค่ะ มีหลายคนที่มีอาการแบบเดียวกับท่านประธาน คนที่ไอออกมาเป็นเลือดล้วนเป็นคนธรรมดา ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรจะแสดงอาการค่อนข้างช้า ตอนนี้ยังไม่มีใครที่ไอเป็นเลือดค่ะ เว่ยผิงกงได้จัดกำลังป้องกันอย่างแน่นหนา ห้ามไม่ให้ใครเข้าออกทั้งสิ้น ขณะเดียวกันก็จัดกำลังทำการตรวจค้นทั้งโรงงานด้วยค่ะ”

“ตรวจค้น?” ฉินอี๋ถามต่อทันที “ตรวจค้นอะไร?”

ไป๋หลิงหลง “ไม่ทราบค่ะ รู้แค่ว่าตรวจค้นละเอียดมาก ใช้วิธีปูพรมตรวจค้นทุกตารางนิ้ว กระทั่งรื้อสิ่งก่อสร้างบางส่วนออกจนเกิดความเสียหายด้วยค่ะ”

ฉินอี๋กล่าว “นี่ก็แสดงว่าเว่ยผิงกงพบเบาะแสอะไรเข้าแล้ว”

ไป๋หลิงหลง “ไม่ทราบเลยค่ะ อาจจะเป็นเช่นนั้น อ้อ ใช่แล้วค่ะ เป็นเพราะเว่ยผิงกงถามว่าคนที่ไปร่วมพิธีเปิดโรงงานมีอาการแปลกๆ หรือเปล่า ทางเราถึงได้พบว่าผู้บริหารระดับสูงบางส่วนของหอการค้าก็มีอาการไอเหมือนกัน หลังจากตรวจสอบแล้วถึงได้พบว่าเป็นคนที่ไปร่วมพิธีเปิดในวันนั้นทั้งหมดค่ะ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ไป๋ซานเป้าจึงมองไปที่เธอทันที เพราะว่าหลานสาวของเขาผู้นี้ก็ไปร่วมงานวันนั้นด้วยเช่นกัน

จูเก่อม่านมองหลัวคังอันอย่างเป็นห่วง ส่วนในแววตาของหลัวคังอันนั้นเผยให้เห็นถึงความตื่นกลัว เขาเองก็ไปร่วมพิธีเปิดโรงงานมาเหมือนกันนี่ จึงอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาลูบคอตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองอยากจะไอออกมา

ฉินอี๋กล่าว “ดูท่าทางเว่ยผิงกงจะพบเบาะแสอะไรเข้าแล้วจริงๆ ”

จู่ๆ เจียงซั่งซานก็พูดแทรกขึ้นมา “พวกคุณหมายความว่ายังมีคนอีกไม่น้อยที่เกิดอาการแบบนี้เหรอ?”

ตอนที่เขากับจู๋เม่ามาถึง พวกเขาไม่ได้ฟังรายงานของไป๋หลิงหลงในช่วงเริ่มต้น เวลานี้เมื่อได้ฟังรายงานครั้งที่สองนี้ พวกเขาถึงจะเข้าใจเรื่องราวขึ้นมา

ไป๋หลิงหลงพยักหน้า “ใช่ค่ะ”

เจียงซั่งซานที่มีสีหน้าประหลาดใจระคนสงสัยมองไปทางจู๋เม่าทันที จู๋เม่าส่ายหน้าเล็กน้อย

เจียงซั่งซานเข้าใจความหมายของเขา สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่แน่นอน บางเรื่องไม่อาจพูดส่งเดชได้ ไม่อย่างนั้นมันจะยิ่งทำให้เกิดความตื่นตระหนกกันไปใหญ่

ฉินเต้าเปียนกล่าวเบาๆ ว่า “แสดงว่าอาการที่เสี่ยวอี๋เป็นไม่ใช่อาการป่วย แต่มีคนแอบใช้แผนสกปรกเล่นงานหอการค้าตระกูลฉินอย่างนั้นเหรอ!”

ในเวลานี้ไม่มีใครตอบเขาได้

ฉินอี๋หยิบผ้าเช็ดมือที่อยู่ข้างๆ มาเช็ดคราบเลือดบนปากแล้วลุกขึ้น “หลิงหลง เดี๋ยวเธอไปเตรียมตัวซะ ฉันจะไปดูที่โรงงานหน่อย จะไปสอบถามเว่ยผิงกงต่อหน้า”

มือถือของไป๋ซานเป้าดังขึ้น เขาหยิบมือถือออกมาแล้วรีบออกไปรับสายข้างนอก

ฉินเต้าเปียนยื่นมือไปกดไหล่ฉินอี๋ไว้ “ลูกพักผ่อนอยู่ที่นี่เถอะ เดี๋ยวพ่อไปดูเอง”

“อย่าแตะตัวหนูค่ะ ก่อนที่จะตรวจสอบอะไรจนแน่ชัด ทุกคนพยายามอยู่ให้ห่างจากตัวหนูไว้ เพราะไม่รู้ว่าโรคนี้มันเป็นโรคติดต่อหรือเปล่า” ฉินอี๋ปัดมือเขาออก ส่ายหน้าแล้วอธิบาย “คุณพ่อ คุณพ่อยังไม่เข้าใจอีกเหรอคะ? คนที่ไปร่วมงานพิธีเปิดโรงงานล้วนอาจจะติดโรคนี้กันหมด สถานการณ์ทางโรงงานก็ยังไม่แน่ชัด คนที่ไม่เคยไป ถ้าเข้าไปจะอันตรายอย่างมาก ให้คนที่เคยเข้าไปมาแล้วอย่างพวกหนูไปถึงจะเหมาะที่สุดค่ะ”

ฉินเต้าเปียนย่อมต้องเข้าใจ แต่เขาเป็นห่วงลูกสาวตัวเอง ขณะที่อยากจะพูดอะไรอีก ฉินอี๋ก็ยกมือห้าม “ถ้าอาการป่วยของหนูมันยากจะรักษาให้หายได้ หอการค้าจำเป็นต้องมีคนมาคอยนำทาง เราสองพ่อลูกจำเป็นต้องมีคนหนึ่งที่สบายดีค่ะ! ถ้ามีคนเจตนาร้ายคิดจะเล่นงานหอการค้าตระกูลฉินจริงๆ แล้วเราพ่อลูกล้มกันทั้งคู่ ถึงเวลานั้นหอการค้าจะเสียหายอย่างหนัก นั่นต่างหากถึงจะเป็นการติดกับที่แท้จริง!”

ฉินเต้าเปียนเม้มปากแน่น แววตาเต็มไปด้วยความร้อนใจและเป็นห่วง แต่กลับยากจะพูดอะไรออกมาได้อีก

เวลานี้ ไป๋ซานเป้าเดินกลับเข้ามาอย่างรีบร้อน กล่าวรายงานว่า “นายท่าน คุณหนู จู่ๆ ผู้พิทักษ์เมืองก็เคลื่อนพลวางแนวป้องกันหนาแน่น ผู้พิทักษ์เทพที่อยู่ในค่ายก็กำลังรวมพลกันอยู่ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรครับ”

ฉินอี๋ “ไม่ต้องพูดแล้ว จะต้องเป็นเพราะเรื่องนี้แน่ๆ โรงงานสร้างข่ายพลังเกิดเรื่องแบบนี้ แสดงว่าการป้องกันมีช่องโหว่ เว่ยผิงกงคงจะขอความช่วยเหลือจากคนที่อยู่ใกล้ๆ เรื่องนี้ท่านเจ้าเมืองไม่มีทางนั่งมองเฉยๆ โดยไม่สนใจแน่ เขาเองก็เคยไปที่โรงงาน เกรงว่าเขาก็จะไปอีกเช่นกัน”

เธอหันกลับไปกล่าวกับไป๋หลิงหลง “หลิงหลง ไม่ต้องปิดบังแล้ว ติดต่อไปหาหัวหน้าเหิงเลย ถามว่าทางท่านเจ้าเมืองจะไปที่โรงงานหรือเปล่า ถ้าไปจะได้ไปด้วยกันพอดี ระหว่างทางจะได้มีคนคอยคุ้มครองมากขึ้นอีกหน่อย ตอนนี้สิ่งที่ฉันกังวลก็คือจะมีคนฉวยโอกาสตอนที่กำลังวุ่นวายบุกเข้ามาโจมตี แล้วก็ติดต่อคุณชายหรูอันด้วย เชิญเขาไปด้วยกัน วันนั้นเขาก็ไปร่วมพิธีเปิดเหมือนกัน”

เจียงซั่งซานกับจู๋เม่าสบตากัน

“ค่ะ!” ไป๋หลิงหลงรีบไปดำเนินการ

ฉินอี๋กล่าวกับหลัวคังอันและจูเก่อม่านที่ยืนมึนงงอยู่ข้างๆ “วันนี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆ อาหารมื้อนี้ถูกฉันทำพังเสียแล้ว เอาไว้จบเรื่องแล้ว ฉันจะเชิญพวกคุณมาใหม่นะคะ”

หลัวคังอันขมวดคิ้วหน้าเจื่อน “กินดื่มมันเรื่องเล็ก เรื่องตรงหน้าต่างหากที่สำคัญที่สุด แล้วก็ร้ายแรงที่สุดด้วยครับ”

ตอนนี้เขาร้อนใจอย่างมาก ถ้าเป็นโรคอะไรที่รักษาไม่หายล่ะ ชีวิตน้อยๆ ของตนเองจะทำยังไง?

ยามค่ำคืน เป็นช่วงเวลาที่งดงามในการเริ่มต้นชีวิตกลางคืน ผู้คนเดินเล่นเตร็ดเตร่กันโดยไม่รู้ว่าค่ำคืนนี้มีหายนะแบบใดซ่อนตัวอยู่

หลินยวนกับลู่หงเยียนที่ไปพักอยู่ในละแวกใกล้ๆ ที่ประจำการของผู้พิทักษ์เมืองกลับพบเห็นถึงความผิดปกติ การระดมพลของผู้พิทักษ์เมืองทำให้พวกเขาผิดสังเกต ทั้งสองเปิดหน้าต่างออก จ้องมองเงาคนที่บินไปบินมาเป็นระยะ

หลังจากผ่านไปสักพัก ลู่หงเยียนกล่าวว่า “จู่ๆ ก็มีการเคลื่อนพลกันกลางดึกแบบนี้ น่าจะเกิดเรื่องขึ้นนะเพคะ หรือว่าคนพวกนั้นลงมือแล้ว?”

หลินยวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ พลันกล่าวว่า “ลองถามเหิงเทาดู”

“เพคะ” ลู่หงเยียนรีบเดินไปยังห้องน้ำที่ค่อนข้างเงียบทันที

ในเวลานี้เอง โทรศัพท์ของหลินยวนก็ดังขึ้นเช่นกัน เขาหยิบออกมาดู พบว่าเป็นหลัวคังอันที่โทรมา จึงรับสายแล้วถามว่า “มีอะไร?”

“น้องหลิน เกิดเรื่องแล้ว เราสองคนน่าจะลำบากแล้วล่ะ…” หลัวคังอันเล่าเรื่องที่เขาพบเจอในคฤหาสน์ตระกูลฉินให้หลินยวนฟัง ถามอย่างร้อนใจว่าจะทำยังไงดี คล้ายยังมีความหวังอยู่น้อยนิด ฝากความหวังไว้ที่หลินยวนผู้เก่งกาจ หวังว่าจะได้รับการปลอบใจอะไรบ้าง

ฉินอี๋กระอักเลือด? หลินยวนสีหน้าคร่ำเคร่ง “พวกฉินอี๋จะไปที่โรงงานเหรอ?”

หลัวคังอันว่า “ใช่ๆ”

หลินยวนว่า “แกก็ไปด้วย!”

หลัวคังอัน “ห้ะ อะไรนะ? ไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้น ยังจะไปอีกเหรอ!”

หลินยวน “แกไป ฉันก็ไป เดี๋ยวฉันรีบไปเจอแก” กล่าวจบก็วางสายไปทันที

ลู่หงเยียนก็ออกมาจากห้องน้ำด้วยเช่นกัน รีบเดินเข้ามา กล่าวอย่างรีบร้อนว่า “เกิดเรื่องแล้วเพคะ ที่โรงงานเกิดเรื่องแล้วเพคะ เว่ยผิงกงสงสัยว่า ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว จึงรีบขอความช่วยเหลือจากลั่วเทียนเหอ ขอให้ลั่วเทียนเหอเร่งส่งคนมาป้องกัน เผื่อจะมีคนฉวยโอกาสบุกเข้ามาโจมตี…” เธอรีบเล่าสถานการณ์ออกมาให้ฟังคร่าวๆ

ม่านตาของหลินยวนหดวูบทันที กล่าวเสียงขรึมว่า “เทพเจ้าแห่งโรคระบาด?”

ลู่หงเยียนกล่าว “จากอาการป่วยบางอย่าง เว่ยผิงกงก็เลยสงสัย แต่ก็ยังไม่แน่ใจ เพราะคนที่เคยเห็นสิ่งสิ่งนั้นกับตามีไม่มากเพคะ”

หลินยวนเรียกได้ว่าตกใจจนเกือบจะหลั่งเหงื่อเยียบเย็นออกมา ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่อาจจะลงมือถึงไม่ลงมือเสียที ที่แท้ก็วางหลุมพรางที่ใหญ่กว่าเอาไว้แล้ว ถ้าเกิดอีกฝ่ายลงมือในคืนนี้ นั่นจะกลายเป็นหายนะ เกรงว่าจำนวนคนที่บาดเจ็บล้มตายคงจะมีเป็นหมื่น!

เขาหันกลับไปมองนอกหน้าต่าง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าเป็น ‘เทพเจ้าแห่งโรคระบาด’ จริงๆ คนที่มาก็น่าจะเป็น ‘เว่ยเต้า’ ในอดีตว่ากันว่า ‘เว่ยเต้า’ เคยชิงเอาของสิ่งนี้มาได้ คิดไม่ถึงว่าเป็นเรื่องจริง เจ้านี่มันบ้าหรือเปล่า? คิดไม่ถึงว่ากล้าใช้ของสิ่งนี้!”

…………………………………………………………………..

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน