ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน – ตอนที่ 242 เฮ่าไห่

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ตอนที่ 242 เฮ่าไห่

กวนเสี่ยวไป๋ถอนใจพลางกล่าว “ไม่มีรูปหรอก เจ้านั่นเป็นตายยังไงบ้างก็ไม่รู้ ไม่ได้ข่าวอะไรเลย”

หลินยวน “ไม่มีก็ช่างเถอะ แค่นี้ก่อนนะ ฉันยังมีธุระอีก”

กวนเสี่ยวไป๋คล้ายอยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดไป เขารู้สึกว่าการที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็นึกถึงสวี่สยงขึ้นมามันไม่ค่อยปกติ แต่สุดท้ายก็รับคำ “อือ”

เรื่องบางเรื่องเขาก็รู้ตัวดี ระดับของทั้งสองคนต่างชั้นกันโดยไม่รู้ตัวแล้ว ไม่สามารถเล่นอยู่ด้วยกันได้อีกเหมือนเมื่อก่อนอีก เรื่องบางเรื่องของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสามารถเข้าไปก้าวก่ายหรือเข้าใจได้ ถามมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าถามออกไป ไม่ว่าอีกฝ่ายจะอธิบายหรือไม่อธิบายมันก็ทำให้อีกฝ่ายลำบากใจอยู่ดี

หลินยวนที่วางสายไปก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน ใช่ เขาสงสัยว่าเป้าหมายที่เขาติดตามจากเมืองหมอกจนมาถึงเมืองเซินยวนคนนั้นจะเป็นหนึ่งในสามเพื่อนสนิทที่เคยเล่นด้วยกันเมื่อสมัยเด็กๆ เขาสงสัยว่าจะเป็นสวี่สยง

ในตอนที่ทั้งสองคนเดินผ่านกันที่หน้าประตูโรงเตี๊ยมทะเลหมอก เขาไม่ได้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง อีกฝ่ายก็ไม่ได้เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงเช่นกัน แต่สร้อยข้อมือที่อยู่บนข้อมือของอีกฝ่ายเส้นนั้นเขากลับคุ้นตาเป็นอย่างมาก

พูดอีกอย่างคือคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เพราะว่าเดิมทีนั่นก็คือสร้อยข้อมือที่เขาทำมันขึ้นมาด้วยตัวเอง

ในอดีตทุกคนล้วนไม่มีเงิน ลุงเฉินแห่งโรงอีหลิวก็ค่อนข้างขี้เหนียว ในบรรดาพวกเขาสามคน เขาคือคนที่ขัดสนเรื่องเงินมากที่สุด เรียกได้ว่าเขาคือคนที่ได้รับการดูแลจากกวนเสี่ยวไป๋และสวี่สยงค่อนข้างมาก ต่อมา ในวันเกิดอายุยี่สิบปีของสวี่สยง มันเป็นช่วงเวลาที่เขาขัดสนเรื่องเงินมากที่สุด เรียกได้ว่าบนตัวไม่มีเงินแม้แต่นิดเดียว เขาไม่มีปัญญาหาของขวัญอะไรมาให้ได้เลยจริงๆ จึงไปรวบรวมวัสดุมาลงมือทำสร้อยข้อมือแบบใหม่ที่ไม่เหมือนใครให้สวี่สยงด้วยตัวเอง

เพื่อจะทำสร้อยข้อมือเส้นนั้นแล้ว เขายังทำให้นิ้วตัวเองบาดเจ็บด้วย

รูปแบบของสร้อยข้อมือที่ทำด้วยตัวเอง ประกอบกับวัสดุที่ใช้ เรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใคร เขามองเพียงปราดเดียวก็จำได้ ไม่มีทางผิดแน่

ทุกคนไม่ได้เจอกันมานานหลายปี รูปร่างต่างก็มีการเปลี่ยนแปลงไป หรือพูดอีกอย่างคือเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ถ้าหากไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงและพูดคุยกันจริงๆ เขาก็ไม่กล้ามั่นใจจริงๆ

แต่สร้อยข้อมือเส้นนั้นไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้ สร้อยข้อมือที่ไม่มีมูลค่าเส้นหนึ่ง ต่อให้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่น แล้วใครจะเอามาใส่ล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นอีกฝ่ายยังเป็นคนประเภทที่ดูแล้วมีเบื้องลึกเบื้องหลังแบบนั้นอีก อาศัยเพียงแค่เรื่องนี้ เขาก็พอจะแน่ใจได้ว่าคนคนนั้นคือสวี่สยง

เพียงแต่จู่ๆ สวี่สยงก็มาปรากฏตัวอยู่ที่เมืองหมอก ท่าทางดูคุ้นเคยกับเมืองหมอกเป็นอย่างดี แล้วก็คล้ายว่าจะมีลูกน้องคอยติดตามอีก กลับมาถึงเมืองเซินยวนก็มีรถหรูมารับ สถานที่ที่เขากลับไปก็เป็นคฤหาสน์หรูของเมืองเซินยวนอีก

ทุกอย่างนี้ล้วนแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน สวี่สยงในตอนนี้คล้ายจะไม่ธรรมดาเลย

หลังจากเงียบไปเป็นเวลานาน เขาไม่ได้ล้มเลิกการตามสืบ หากแต่กวาดตามองไปรอบๆ เจอร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆ ร้านหนึ่ง จึงเข้าไปซื้อแผนที่เมืองเซินยวนมาหนึ่งใบ เดินไปยังที่เงียบๆ แล้วดูแผนที่นี้อย่างละเอียด หาสถานที่ที่เป้าหมายที่น่าสงสัยเข้าไปก่อนหน้านี้ จากนั้นหยิบปากกามาวาดวงกลมใหญ่ๆ ตรงหน้าผานั้นก่อนหนึ่งวง หลังจากนั้นก็วาดวงกลมเล็กข้างในนั้นอีกที วงตำแหน่งคร่าวๆ ของคฤหาสน์หรูหลังนั้น

แล้วก็กางแผนที่ลงบนพื้น จากนั้นถ่ายรูปเครื่องหมายที่ทำไว้บนแผนที่ส่งให้ลู่หงเยียน

ขณะที่เพิ่งจะเก็บของทุกอย่างเรียบร้อย เขาก็ได้รับข้อความตอบกลับจากลู่หงเยียน เธอส่งกลับมาแค่เครื่องหมายคำถาม เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่ารูปที่เขาส่งไปหมายความว่าอะไร

หลินยวนกำลังจะอธิบายพอดี จึงโทรกลับไปทันที “เห็นสถานที่เป้าหมายในรูปแล้วใช่ไหม?”

ลู่หงเยียน “เห็นแล้วเพคะ อยู่ที่เมืองเซินยวน สถานที่นี้มีปัญหาอะไรไหมเพคะ?”

หลินยวน “ส่งคนไปตรวจสอบหน่อยว่าคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งอยู่โดดๆ หลังนั้นมีที่มาที่ไปยังไง”

ลู่หงเยียนรู้ว่าตอนนี้เขาก็อยู่แถวนั้น ตามหลักแล้วตอนนี้เขาน่าจะอยู่ที่เมืองหมอกถึงจะถูก จู่ๆ มาตามหาสถานที่แห่งนี้มันหมายความว่าอะไร เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถาม “มีปัญหาอะไรไหมเพคะ? หรือว่าเจอร่องรอยของเทพแห่งความฝันแล้ว?”

หลินยวน “ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกับเทพแห่งความฝัน แค่จู่ๆ ก็เจอกับคนคนหนึ่งเข้า อยากจะตรวจสอบให้แน่ใจสักหน่อย ลองสืบดูหน่อย อย่าใช้คนของเรา”

ลู่หงเยียนกล่าว “ได้เพคะ เรื่องนี้ไม่ยากเพคะ คนที่สามารถครอบครองคฤหาสน์ขนาดใหญ่ในสถานที่อย่างเมืองเซินยวนได้ ถามจากคนในพื้นที่ดูก็น่าจะได้ข้อมูลแล้วเพคะ”

หลินยวนตอบอืมแล้ววางสายไป เดินไปตามถนน โบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง ออกไปนอกเมืองอีกครั้ง ก่อนจะซื้อตั๋วพาหนะโบยบินอีกที

ในการเดินทางไปกลับนี้ ตอนที่กลับมาถึงร้านที่เมืองหมอก ท้องฟ้าก็ใกล้สว่างแล้ว

หลัวคังอันที่รอจนกระทั่งเขากลับมาเอ่ยถามทันทีที่เจอหน้า “ออกไปตั้งนาน นายไปไหนมา?” ท่าทางคล้ายกำลังต่อว่า

หลินยวนย้อนถามเขา “แกไม่ได้ออกไปเถลไถลใช่ไหม?”

หลัวคังอันเอ่ยรับรองทันที “ไม่ได้ไป อยู่ที่นี่ตลอด ฉันไม่รู้นี่นาว่านายจะกลับมาเมื่อไหร่ ถ้าฉันออกไปแล้ว เกิดนายกลับมาไม่เจอฉัน ฉันไม่ซวยหรือไง? ถึงอยากจะออกไปก็ไม่กล้าออกไปหรอก!” นี่กลับเป็นการพูดออกมาจากใจจริง

หลังจากฟ้าสว่าง หลินยวนกลับไม่ได้ปล่อยให้เขาต้องรู้สึกอึดอัดอีกต่อไป พาเขาไปเดินเล่นทั่วเมืองหมอกด้วยตัวเอง เพื่อให้เขาได้ทำความคุ้นเคยกับเส้นทางภายในเมือง

ตอนแรกเริ่ม หลัวคังอันที่หงอยเหงาก็มีชีวิตชีวาขึ้นมา แต่หลังจากที่เริ่มเดินเล่น เขาก็นึกเสียใจขึ้นมา ยอมไม่ออกมาเดินเล่นเสียดีกว่า การออกมาเดินเล่นกับคนคนนี้มันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย หลินยวนกำลังทดสอบเขา หลังจากเดินผ่านร้านหนึ่งไปสักพัก จู่ๆ ก็ถามขึ้นมาว่าป้ายร้านนั้นเขียนว่าอะไรบ้าง หรือไม่ก็ถามว่าเมื่อกี้มีคนเดินออกมาจากตรงมุมนั้นกี่คน

ในหนึ่งวันนี้ เรียกได้ว่าเป็นวันที่ต้องคอยสังเกตทุกอย่าง ตื่นตัวแบบเกินร้อยก็ยังไม่เพียงพอ ทำเอาหลัวคังอันแทบจะกลายเป็นบ้า ไม่คิดจะพูดถึงเรื่องออกไปเดินเล่นกับหลินยวนอีก

ตอนที่ฟ้าสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เขามีความรู้สึกหวาดระแวง กลัวว่าหลินยวนจะมาชวนออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่โชคดี สถานที่ที่เขาสั่งทำของไว้โทรมา บอกว่าเตรียมของที่เขาต้องการให้เรียบร้อยแล้ว ให้เขาไปเอา

พอไปเอาของกลับมาแล้วก็ทำนั่นทำนี่ต่ออีกพักใหญ่ หลินยวนชี้นิ้วสั่ง เขาก็ทำตามคำสั่งนั้น จัดเรียงของที่ไปเอามาเหล่านั้นไม่หยุด

เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ สุดท้ายเรื่องที่หลัวคังอันหวาดกลัวก็เกิดขึ้น หลินยวนพาเขาออกไปเดินเล่นอีกแล้ว เขาไม่อยากไป บอกว่าตนเองอยากอยู่เฝ้าร้าน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจอยู่ดี

หลังจากวันที่แสนทรมานเช่นนี้ผ่านไปสองวัน ในที่สุดเขาก็ได้รับสายจากไป๋หลิงหลง บอกว่าของที่เขาต้องการมาถึงแล้ว ส่งไปที่เมืองเซินยวนแล้ว

หลินยวนให้เขาไปเอาของที่เมืองเซินยวน จากที่เขาสั่งกำชับเอาไว้ ของพวกนั้นถูกปิดผนึกเอาไว้ คนส่งของก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าของที่ส่งมาคืออะไร เขาเองก็ไม่มีทางให้คนส่งของเอาของมาส่งถึงที่ร้านนี้ได้ จึงทำได้เพียงต้องไปรับของเอง

หลัวคังอันมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว เตรียมที่จะถือโอกาสไปเที่ยวเล่นที่เมืองเซินยวนสักหน่อย

ใครจะไปรู้ว่าหลินยวนจะจับข้อมือเขาไว้ ชี้ที่นาฬิกาข้อมือของเขา กำหนดเวลาที่เขาจะกลับมา ไม่ให้โอกาสเขาได้เที่ยวเตร่เลย

หลัวคังอันหมดคำพูด เดินออกไปอย่างซึมเซาอีกครั้ง

หลังจากที่เขาออกไปได้ไม่นาน หลินยวนก็ได้รับสายจากลู่หงเยียน “เรื่องที่พระองค์ให้สืบได้เรื่องแล้วเพคะ คฤหาสน์หลังนั้นคือคฤหาสน์ของเฮ่าไห่ที่เป็นผู้ก่อตั้งหอการค้าตระกูลเฮ่าเพคะ หม่อมฉันได้รูปของเฮ่าไห่กับลูกน้องที่สำคัญของเขามา ในนั้นอาจจะมีคนที่พระองค์อยากตามหา จะให้หม่อมฉันส่งรูปไปให้พระองค์ตรวจสอบดูสักหน่อยไหมเพคะ?”

หลินยวนกล่าว “ส่งมา” แล้ววางสาย

ไม่นาน เสียงมือถือก็ดังขึ้น รูปถูกส่งมาแล้ว เขาเปิดดู ผลปรากฏว่ารูปที่ส่งมารูปแรกก็คือรูปถ่ายหน้าตรงของคนที่เขาต้องการตามหา

เขามองแวบแรกก็จำได้ทันทีว่าคือสวี่สยงเพื่อนเก่าของเขา นี่เท่ากับเป็นการยืนยันแล้วว่าคนที่ใส่สร้อยข้อมือที่เขาเห็นในวันนั้นคือใคร พิสูจน์แล้วว่าเขาไม่ได้จำผิด

คนที่อยู่ในรูป หากเทียบกับสวี่สยงคนที่อยู่ในความทรงจำของเขาคนนั้นก็นับว่าเปลี่ยนแปลงไปเยอะมาก อย่างแรกคือบุคลิกของเขา สีหน้าท่าทางของเขามีกลิ่นอายความน่าเกรงขามอยู่

แต่ชื่อที่ระบุเอาไว้ด้านล่างกลับเป็นชื่อของเฮ่าไห่ผู้ก่อตั้งหอการค้าตระกูลเฮ่าที่ลู่หงเยียนบอก

เฮ่าไห่? ชื่อของสวี่สยงในตอนนี้คือเฮ่าไห่? หลินยวนค่อนข้างแปลกใจ

เมื่อเปิดดูรูปอื่นๆ ในนั้นยังมีรูปของสวี่สยงในโอกาสต่างๆ อีกหลายรูป มีทั้งภาพที่ถือซิการ์พูดคุยกับคนอื่น มีทั้งภาพที่มีสาวสวยขนาบข้าง มีทั้งภาพที่ห้อมล้อมไปด้วยคนกลุ่มหนึ่ง

รูปเหล่านี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสวี่สยงไม่ใช่เด็กยากจนในตอนนั้นแล้ว หากแต่เป็นคนรวยที่อยู่ดีกินดี

คิดไม่ถึงว่าสวี่สยงจะมาก่อตั้งหอการค้าที่เมืองเซินยวน ทั้งยังเปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยจริงๆ ! หลินยวนรู้สึกทอดถอนใจ แล้วก็รู้สึกว่าเส้นทางที่ทำให้สวี่สยงร่ำรวยขึ้นมานั้นไม่ใช้เส้นทางที่ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นแค่เปลี่ยนชื่อก็ยังพอว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนกระทั่งแซ่เลย ยังมีเบาะแสอื่นๆ อีกที่พิสูจน์ให้เห็นในจุดนี้ได้

เปิดรูปดูต่อไป เป็นรูปของคนอื่นๆ ล้วนเป็นคนข้างกายของสวี่สยง หรือไม่ก็พวกลูกน้องคนสนิทของเขา

เมื่อดูรูปเหล่านี้เสร็จแล้ว เขาก็เงียบไปสักพัก จากนั้นโทรไปหาลู่หงเยียนอีกครั้ง “สืบเรื่องเฮ่าไห่คนนี้มาอีกหน่อย”

ลู่หงเยียน “ถ้าไม่ได้อยากรู้ข้อมูลลึกมาก ก็ไม่ต้องไปสืบอะไรเพคะ คนคนนี้นับว่ามีชื่อเสียงอยู่ในเมืองเซินยวนทีเดียว ในข้อมูลของเมืองเซินยวนที่ทางเรากำลังจับตาอยู่ก็มีข้อมูลของเขาอยู่ด้วยเพคะ หลังจากรู้ว่าพระองค์ให้ความสนใจกับคฤหาสน์ของเขา หม่อมฉันก็ไปสืบดูมาเล็กน้อยแล้วเพคะ”

หลินยวน “ว่ามา”

ลู่หงเยี่ยนกล่าว “ธุรกิจหลักของหอการค้าตระกูลเฮ่าคือโรงแรมและร้านอาหาร ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารระดับสูงประมาณหนึ่งในห้าของเมืองเซินยวนล้วนเป็นกิจการของเขาเพคะ โรงเตี๊ยมทะเลหมอกที่เมืองหมอกที่พระองค์เพิ่งไปมาครั้งที่แล้วก็เป็นกิจการของเขา กิจการทั้งหมดของหอการค้าตระกูลเฮ่า เดิมทีเป็นของตระกูลตงเหวินเพคะ”

“ตระกูลตงเหวิน?” หลินยวนค่อนข้างประหลาดใจ นี่คือหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่อยู่ในระดับสูงสุดของดินแดนเซียน ถึงขนาดที่มีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกับองค์จักรพรรดิด้วย ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลหนานชีที่อยู่เบื้องหลังหอการค้าตระกูลฉินจะเทียบได้เลย สวี่สยงมีความสามารถครอบครองกิจการของตระกูลตงเหวินได้ยังไงกัน?

ลู่หงเยียน “ใช่เพคะ เรื่องนี้ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน ก่อนหน้านี้เฮ่าไห่เป็นคนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลย เดิมทีเป็นเพียงลูกน้องที่ทำงานเบ็ดเตล็ดคนหนึ่งของตระกูลตงเหวินเท่านั้น ไม่รู้ว่ามาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเซินยวนได้อย่างไร ภายหลังกลับค่อยๆ เติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ กล้าเสี่ยงตายจนมีหน้ามีตาขึ้นมา เขาเป็นคนโหดเหี้ยม คนที่ขวางทางเขาล้วนถูกเขากำจัดทิ้งจนหมด ลูกหลานของตระกูลสาขาที่ดูแลกิจการของตระกูลตงเหวินอยู่ที่นี่ก็น่าจะถูกเขากำจัดทิ้งไปด้วยเช่นกัน ภรรยาของลูกหลานตระกูลสาขาของตระกูลตงเหวินคนนั้นหน้าตาสะสวย เฮ่าไห่บอกว่าเลี้ยงดูไว้เพราะเห็นแก่เป็นรักเก่า แต่มีข่าวลือและเบาะแสที่แสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายถูกเขาบีบบังคับมาครอบครองเพคะ”

หลินยวนขมวดคิ้ว “จู่ๆ ก็มีคนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงแบบนี้โผล่ขึ้นมา ทั้งยังกล้าลงมือกับกิจการของตระกูลตงเหวิน? หรือว่าตระกูลตงเหวินไม่ได้สนใจเลยเหรอ?”

ลู่หงเยียน “เกมที่อยู่ในกฎกติกา คนที่มีความสามารถถึงจะเป็นผู้ชนะ นี่จึงไม่อาจเรียกว่าเป็นการลงมือกับกิจการของตระกูลตงเหวินได้ ควรจะบอกว่าเป็นการเข้ามาแทนที่ผู้ดูแลคนเดิมมากกว่า แต่หมอนี่ค่อนข้างโหดเหี้ยม แม้แต่บทบาทของการเป็นสามีก็ยังเข้าไปแทนที่ กระทั่งลูกชายของคนอื่นก็เอามาเลี้ยงเอง เป็นพ่อบุญธรรมของลูกคนอื่น”

“เจ้าของกิจการที่อยู่เบื้องหลังก็ยังคงเป็นตระกูลตงเหวิน เพียงแต่เปลี่ยนชื่อผู้ดูแลกิจการเท่านั้น กลายเป็นหอการค้าตระกูลเฮ่าในตอนนี้ แต่ต่อให้เป็นลูกหลานตระกูลสาขาของตระกูลตงเหวิน นั่นมันก็คือลูกหลานของตระกูลตงเหวินเช่นกัน การที่คนคนนี้ซึ่งเป็นคนนอกสามารถจัดการลูกหลานของตระกูลตงเหวินแล้วขึ้นมาแทนที่ อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากตระกูลตงเหวินอีก เรียกได้ว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เพคะ”

………………………………………………………………

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

ชะตาฟ้าหาญกล้าท้ายอดคน

Status: Ongoing
อดีตแมงดาหวนคืนสู่มาตุภูมิในรอบ 300 ปี หวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่าง แต่กลับต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูลเทพมหาวิญญาณและการชิงอำนาจจนเสี่ยงจะถูกเปิดเผยตัวตน?!อีก 1 ผลงานใหม่จากนักเขียนระดับแพลตตินัมของ Qidian ‘เยวี่ยเชียนโฉว’ผู้เขียนเรื่อง < พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า > และ < ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า >ณ แดนเซียนในยุคปัจจุบัน‘หลินยวน’ อดีตแมงดา เดินทางกลับมายังมาตุภูมิพร้อมกับตัวตนใหม่ด้วยหวังจะใช้ชีวิตอย่างสงบเพื่อหลบเลี่ยงเรื่องบางอย่างแต่ด้วยความจำเป็น เขาจึงต้องเข้าไปทำงานในบริษัทของคนรักเก่าที่เขาเคยหลอกใช้ในฐานะผู้ช่วยของ ‘หลัวคังอัน’ จอมลวงโลกที่โกหกว่าตัวเองคือผู้ทำให้ ‘ป้าหวัง’ 1 ใน 13 มารสวรรค์บาดเจ็บสาหัสและนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้หลินยวนต้องเข้าไปพัวพันกับการประมูล ‘เทพมหาวิญญาณ’ซึ่งเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมหาศาลและการชิงอำนาจระหว่างตระกูลจนเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน