ตอนที่ 127 ต่อต้านจวินฝู
ณ เรือนฟางฮว๋าในตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง
จวินฝูสวมใส่ชุดสีแดงฉานคอลึก เผยให้เห็นหน้าอกอวบนูนขาวนวลราวกับหิมะ
นางนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะเครื่องแป้งและกำลังส่องกระจกวาดคิ้วอย่างบรรจง
แม่นมหวางที่ยืนอยู่ด้านหลัง รวบผมสีดำเงางามของนางก่อนมวยยกสูง “พอนายหญิงแตกเนื้อสาว ผิวพรรณช่างงามลออเหลือเกินเจ้าค่ะ”
จวินฝูคลี่ยิ้มอย่างสวยงามให้กระจก ปิ่นปักผมประดับมุขสะท้อนวาวภายใต้แสงเทียบวิบไหว เรียวปากสีแดงฉานรั้งขึ้นเผยรอยยิ้มพริ้มพราว
นางวางกระจกลงอย่างพึงพอใจ ก่อนเอี้ยวตัวกลับมาถามหรงชุ่ย “ท่านพี่มาถึงหรือยัง”
ใบหน้าหรงชุ่ยฉายแววดีใจ นางตอบกลับเสียงแผ่ว “เกรงว่าคงใกล้ถึงแล้วเจ้าค่ะ”
จวินฝูบุ้ยปากอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาอันคมคายมองจิกหรงชุ่ย “เจ้าดีใจที่ท่านพี่ของข้ามาเยือนขนาดนั้นเชียวหรือ”
“ข้ารับใช้อย่างหม่อมฉัน หากล้าคิดเช่นนั้นไม่” หรงชุ่นรีบตอบกลับ
“เช่นนั้นเจ้าก็ออกไปได้”
จวินฝูมองใบหน้าอันสวยใสของหรงชุ่ย นางกลัวว่าหรงชุ่ยจะแย่งความสนใจของจวินมั่วหรันไปจากนาง
ขณะพูดอยู่นั้น จวินมั่วหรันก็มาถึงเรือนฟางฮว๋าแล้ว
เดิมทีเขาจะใช้เท้าถีบประตูเข้ามาอย่างเคยชิน แต่พอฉุกคิดได้ว่าทุกสรรพสิ่งย่อมมีวิญญาณจึงหยุดการกระทำนั้น และเปลี่ยนเป็นเคาะบานประตูแทน
“มีใครอยู่หรือไม่”
เมื่อจวินฝูได้ยินเช่นนั้นจึงลุกขึ้นพรวดก็รีบวิ่งแจ้นไปที่ประตู
“ท่านพี่เจ้าคะ จวินเอ๋อร์รอท่านพี่มานานแล้วเจ้าค่ะ” ใบหน้าของจวินฝูถูกแต่งแต้มอย่างงดงามหมดจด ดวงตาฉ่ำวาว องค์รวมดูงดงามเหลือล้น
จวินหลานหรันพยักหน้าเล็กน้อย เขาหลบแขนของจวินฝูที่พุ่งเข้ามาหมายเกี่ยวแขนเขาและเดินตรงเข้าไปในเรือน
“ท่านพี่เจ้าคะ วันนี้จวินเอ๋อร์สั่งทางโรงครัวให้เตรียมอาหารที่ท่านพี่ชอบเอาไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
จวินหลานหรันกวาดมองอาหารเลิศรสนานาชนิดที่จัดเรียงอยู่บนโต๊ะละลานตา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองจวินฝูที่เล่นหูเล่นตาใส่เขาอยู่ ทว่าจวินหลานหรันกลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย
เป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ทำไมใบหน้าเยือกเย็นของเฟิงอู๋โยวกลับน่าชมมากกว่าใบหน้าสะสวยของจวินฝูหลายเท่า
จวินหลานหรันนั่งลงด้านหน้าโต๊ะอาหาร ก่อนยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเอง ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ภาพท่าทางอันเขินอายของเฟิงอู๋โยวตอนทาโอสถให้เขาอยู่เต็มหัว
นางช่างเหมือนแมวป่าตัวน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูแบบแปลกๆ
เมื่อจวินฝูเห็นจวินหลานหรันเหม่อลอย จึงยกถ้วยแกงตุ๋นโสมร้อนผ่าวยื่นให้ พร้อมกับพูดด้วยเสียงเล็กบาง “ท่านพี่เจ้าคะ นี่เป็นแกงตุ๋นโสมที่จวินเอ๋อร์ตั้งใจทำให้ท่านพี่เองกับมือ ท่านพี่ลองชิมดูสิเจ้าคะ”
คิ้วทรงกระบี่ของจวินหลานหรันย่นเข้าหากันเล็กน้อย น้ำเสียงเยือกเย็นพลันเปล่งออกมา “สรุปให้ข้ามากินข้าวเป็นเพื่อนเจ้า หรือเจ้ากินข้าวเป็นเพื่อนข้ากันแน่”
“แล้วมันต่างกันตรงไหนหรือเจ้าคะ”
จวินฝูมองจวินหลานหรันอย่างตะลึงงัน นางสัมผัสถึงท่าทีเย็นชาของจวินหลานหรันได้ ซึ่งเป็นท่าทีที่อบอุ่นเหมือนตอนที่อยู่กับเฟิงอู๋โยว
ริมฝีปากเรียวบางของจวินหลานหรันขยับพูด “หากข้ากินข้าว ไฉนข้าต้องอยากเรียกเจ้ามากินเป็นเพื่อนด้วย แล้ววันนี้ข้ามากินข้าวเป็นเพื่อนเจ้าโดยเฉพาะ หากเจ้าทานอาหารดีๆ บนโต๊ะนี้ไม่หมด เจ้าห้ามออกจากเรือนฟางฮว๋าเด็ดขาด”
“…”
มุมปากจวินฝูเกร็งกระตุก ทำไมนางรู้ว่าจวินหลานหรันกำลังแกล้งนางอยู่
อาหารบนโต๊ะนี้มีเป็นสิบอย่าง
เกรงว่าคงกินไม่หมดภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน
“เป็นอะไร ไม่เห็นด้วยหรือ”
“เห็นด้วยเจ้าค่ะ ขอแค่มีท่านพี่อยู่เป็นเพื่อนกินข้าวด้วย จวินเอ๋อร์ก็รู้สึกเจริญอาหารขึ้นทันทีเลย”
ใบหน้าของจวินฝูผุดแววจนปัญญาขึ้นรำไร ภายในใจกำลังพยายามหาวิธีอ่อยจวินหลานหรันอย่างสุดความสามารถ
นางยกถ้วยแกงตุ๋นโสมขึ้นมาจิบเล็กน้อยก่อนพูดขึ้น “ท่านพี่ไม่คิดจะชิมสักนิดเลยหรือเจ้าคะ”
จวินหลานหรันยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเท้าคาง ดวงตาเจือแววนึกสนุกขึ้นมา
เรียวปากขยับพูด เสียงทุ้มต่ำชวนดึงดูดเปล่งออกมา “เจ้ากินไปแล้ว สกปรก”
อาจเป็นเพราะชื่นชมนิสัยที่ดูเป็นธรรมชาติของเฟิงอู๋โยว ทำให้จวินหลานหรันในตอนนี้รู้สึกขัดหูขัดตากับจวินฝูเป็นยิ่งนัก
หากนางไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ ของเขา ป่านนี้เขาคงจับนางโยนออกจากตำหนักเซ่อเจิ้งหวางและปล่อยไปตามยถากรรมตั้งนานแล้ว
จวินฝูกัดฟันแต่ก็ไม่กล้าหืออือ ทำได้แค่ฝืนยิ้มและพูดเสียงเล็กเสียงน้อย “ท่านพี่ก็ช่างเป็นคนติดตลกจริงๆ จวินเอ๋อร์แปรงฟันทุกวันแล้วจะสกปรกได้เยี่ยงไรเจ้าคะ”
“ยามกินห้ามพูด ยามนอนห้ามเสียงดัง”
น้ำเสียงของจวินหลานหรันเรียบนิ่ง เขาเริ่มเข้าใจจวินมั่วหรันขึ้นมาบ้างแล้วว่าทำไมต้องทำตัวเคร่งขรึมเย็นชาขนาดนั้น
หากต้องรับมือกับผู้หญิงไร้สาระน่ารำคาญ ทางทีที่ดีที่สุดคือต้องบีบคอให้ขาดไปเลย ไม่เช่นนั้นคงถูกตามรังควานไม่จบไม่สิ้น
จวินฝูมองแกงตุ๋นโสมร้อนผ่าวด้านหน้าอย่างคับข้องใจ นางไม่เข้าใจว่าแผนการของนางผิดพลาดตรงไหน
ตามปกติแล้ว เวลาอาการป่วยทางจิตของจวินมั่วหรันกำเริบ บุคลิกของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและไม่น่าจะเย็นชาถึงขนาดนี้
พอคิดไปคิดมา ในที่สุดจวินฝูก็ลองเดิมพันดูอีกสักตั้ง
เคล้ง!
นางอาศัยจังหวะที่จวินหลานหรันเหม่อลอย แกล้งทำเป็นว่าถ้วยแกงตุ๋นโสมหก
“โอ้ย…ร้อนจัง!”
นางแสร้งทำเป็นร้องตกใจเจือความเจ็บปวด ทำหน้าทำตาน่าสงสารไร้เดียงสาและสะบัดมือเล็กๆ ที่โดนน้ำแกงลวกต่อหน้าจวินหลานหรัน
จวินหลานหรันหลุบตามองหลังฝ่ามือที่แดงเรื่อขึ้นมาของนาง ครั้นแล้วความรู้สึกอยากปกป้องก็ผุดขึ้นมาในใจ
เขากุมมือของจวินฝูขึ้นมาอย่างเบามือพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “ไฉนถึงซุ่มซ่ามขนาดนี้ เสี่ยวจูผี[1] “
“…”
จวินฝูที่ได้ยินจวินหลานหรันเรียกนางว่า “เสี่ยวจูผี” ก็ถึงกลับเศร้าใจเป็นที่สุด
นางรู้ว่าจวินมั่วหรันในบุคลิกที่สองเป็นคนชอบตั้งฉายาให้คนนั้นคนนี้
เขาตั้งฉายาให้เถี่ยโส่วว่า ‘เสี่ยวหลิ่วเถียว’ ตั้งฉายาให้เฟิงอู๋โยวว่า ‘สุ่นเอ๋อร์’ ทำไมพอถึงคราวของตัวนางเองกลับได้ฉายาว่า ‘เสี่ยวจูผี’
“ท่านพี่ ไฉนท่านพี่ถึงลำเอียงแบบนี้ ตั้งฉายาให้จวินเอ๋อร์ไม่น่าฟังเลย”
“จูผีแปลว่าหนังหมู และหมูที่ตายแล้วก็ไม่กลัวน้ำร้อนลวก แบบนี้ไม่ดีตรงไหน”
จวินหลานหรันควักกระปุกโอสถหยกออกมาจากแขนเสื้อก่อนทาให้นางเบามือ
จวินฝูโมโหจนตัวสั่น เสียงของนางเริ่มขาดห้วง “ท่านพี่เปลี่ยนไปแล้ว จวินเอ๋อร์สัมผัสได้ว่าหัวใจของท่านพี่ไม่อยู่กับจวินเอ๋อร์แล้ว”
“พูดจาเหลวไหล! ข้าไม่เคยเปลี่ยนไป”
ที่เขาพูดคือความจริง
เพราะเขาไม่เคยฝากหัวใจไว้กับจวินฝู แล้วมาบอกว่าเขาเปลี่ยนไปได้เยี่ยงไร
แต่ว่าจวินฝูไม่เข้าใจคำพูดของเขา ซ้ำยังทำเป็นยิ้มแย้มและขยับตัวด้านข้างแนบแขนและถูแขนเขาไปมา
จวินหลานหรันสัมผัสได้ถึงผิวเนียนนุ่มของนางที่เฉียดไปมาตรงแขนตัวเอง ภายในใจก็เกิดความไม่เป็นสุข
ทันใดนั้น เขาลุกขึ้นพรวด สายตามองจวินฝูที่ทำท่าเย้ายวนอย่างเย็นชา “ไม่ได้อาบน้ำมานานแค่ไหนแล้ว คันมากขนาดนั้นเชียวหรือ”
“หะ…จวินเอ๋อร์เพิ่งอาบน้ำไปนะเจ้าคะ”
จวินฝูประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด นางเข้าใจผิดคิดว่าจวินหลานหรันรังเกียจกลิ่นตัวของนาง จึงรีบอธิบายขึ้น
“ในเมื่ออาบน้ำไม่อาจรักษาอาการคันได้ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งคทาหยกหรูอี้[2]มาให้เจ้าเป็นเยี่ยงไร”
“ไม่จำเป็นเจ้าค่ะ”
จวินฝูเบะปาก เมื่อเห็นว่าลูกไม้นี้ใช้ไม่ได้ผล นางก็เปลี่ยนมาเป็นยกมือขาวๆ ของตัวเองขึ้นมากุมอยู่หน้าเนินอก
“เจ็บจัง”
จวินฝูนั่งบิดตัวเพื่อแสดงส่วนเว้าส่วนโค้งของเรือนร่างตัวเอง จากนั้นก็ชี้รอยขีดข่วนเล็กๆ ที่เนินอกตัวเอง “ท่านพี่เจ้าคะ จวินเอ๋อร์เจ็บจัง”
“อยากให้ข้าทาโอสถหยกให้อย่างนั้นหรือ”
[1] จูผี หมายถึงหนังหมู
[2] คทาหยกหรูอี้ คือเครื่องยศชั้นสูงแสดงถึงความสูงศักดิ์ สำหรับจักรพรรดิ ขุนนางชั้นสูง และพระจีนชั้นผู้ใหญ่ไว้ใช้ทำพิธีกรรมรูปลักษณ์ตรงส่วนหัวเป็นเห็ดหลินจือ