ตอนที่ 128 นึกอยากกลับเรือน / ตอนที่ 129 เขาวางแผนรับผิดชอบนาง
ตอนที่ 128 นึกอยากกลับเรือน
ดวงตาของจวินหลานหรันซุกซ่อนความนึกสนุก เขาแค่เหลือบมองรอยขีดข่วนเล็กๆ บนตัวจวินฝูก่อนถอนสายตาออกมา
สำหรับเขาแล้ว ผู้หญิงบนโลกนี้ช่างน่าเบื่อ ไม่มีสามหัวหกแขน ไม่สามารถเปล่งแสงออกมาได้ มันช่างน่าเบื่อสิ้นดี
แน่นอนว่าเฟิงอู๋โยวคือข้อยกเว้น
เรือนร่างของนางเพรียวบางสวยงามราวกับหยกขาวแกะสลักชั้นดี แค่มองก็ชวนให้ลุ่มหลง ทำเอาคนที่จิตใจสงบอย่างเขาหวั่นใจและ…รักใคร่จนไม่อยากปล่อยมือจาก!
ต่อให้จวินฝูที่อยู่ด้านหน้าจะแต่งองค์ทรงเครื่องสวยงาม หน้าอกทั้งสองข้างก็อวบใหญ่กว่าเฟิงอู๋โยวหลายเท่า แต่ในสายตาของเขาก็มีแต่เฟิงอู๋โยวคนเดียว
“หากท่านพี่ทาโอสถหยกให้จวินเอ๋อร์ได้ มันจะดีไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”
ดวงตาของจวินฝูเปี่ยมด้วยอารมณ์อันเข้มข้น นางแทบอยากจะถลาตัวเข้าใส่จวินหลานหรันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
มุมปากจวินหลานหรันเกร็งกระตุก ไม่ว่าจะคิดเยี่ยงไรก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจวินฝูถึงกล้าทำเรื่องผิดผีแบบนี้ได้ลงคอ
ผู้หญิงที่ทำตัวไม่สำรวมมีมาก แค่ผู้หญิงที่วันๆ คิดแต่จะอ่อยพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองมีน้อยยิ่งนัก!
เดิมทีจวินหลานหรันอยากจับจวินฝูมัดมือแขวนไว้บนคานแล้วเฆี่ยนลงโทษ แต่พอคิดไปคิดมา ทุกครั้งที่บุคลิกที่สองอย่างจวินหลานหรันปรากฏขึ้นมา อย่างมากสุดก็อยู่ได้แค่สามชั่วยามเท่านั้น
ดังนั้นเขาไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องไม่จำเป็น
ส่วนหน้าที่สั่งสอนจวินฝูก็ปล่อยให้จวินมั่วหรันเป็นคนจัดการดีกว่า
เพราะจวินมั่วหรันเหี้ยมโหดและเด็ดขาดมากกว่า ไม่รู้จักคำว่าทะนุถนอมออมมือ เมื่อลงมือขึ้นมา จวินฝูมีหวังร้องขอชีวิตแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ มุมปากของจวินหลานหรันก็รั้งขึ้นเล็กน้อย สายตาจ้องมองใบหน้าหื่นกามของจวินฝู ก่อนค่อยๆ พูดขึ้น “ขึ้นไปนอนบนเตียง เดี๋ยวข้าจะทาโอสถหยกให้เจ้าเอง”
“ท่านพี่ แบบนี้… มันน่าอายนะเจ้าคะ”
จวินฝูยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้า แม้ปากจะพูดไปแบบนั้น แต่ขาทั้งสองข้างกลับวิ่งไปที่เตียง ถอดรองเท้าและยัดตัวเข้าไปในผ้าห่มอย่างรวดเร็ว
ต่อมา นางก็ปลดเสื้อผ้าของตัวเองออก “ท่านพี่ไม่เข้ามาหรือเจ้าคะ”
“สาม”
“สอง”
“หนึ่ง”
จวินหลานหรันมองก้านธูปนับเวลาเพื่อรอเวลายามสวี สลับกับหันไปมองจวินฝูที่กำลังรออยู่บนเตียงอย่างร้อนรนใจ
“ท่านพี่?”
จวินฝูวางมือเล็กๆ ของตัวเองไว้บนเนินอกพร้อมกับเอ่ยเรียกเสียงกระเส่า
ครั้นยามสวีมาถึง จวินมั่วหรันก็ขับไล่จวินหลานหรันกลับไปอยู่ในมุมมืดไร้แสงข้างในตัวเขาอีกครั้ง บุคลิกหลักเข้ายึดร่างอย่างสมบูรณ์
“จวินฝู?”
จวินมั่วหรันเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาฉายแววเยือกเย็นดุจคมมีด สีหน้าดุดันเคร่งขรึม
ตอนนี้เขาเหมือนอาชูร่ากระหายเลือดที่เพิ่งขึ้นมาจากขุมนรก รังสีอำมหิตหนาวเย็นแผ่ซ่านทั่วร่างทำเอาจวินฝูหวั่นใจวูบวาบไม่หยุด
“ท่านพี่ จวินเอ๋อร์เจ็บจัง”
จวินฝูเรียกเขาด้วยเสียงเล็กๆ อีกครั้ง ดวงตาใสวาวพยายามเย้ายวนอย่างสุดความสามารถ
“น่าไม่อาย!”
จวินมั่วหรันมองเสื้อคลุมสีฟ้าครามบนร่างกายของตัวเอง จึงพอเดาขึ้นมาได้ว่าช่วงเวลาสามชั่วยามที่ผ่านมา จวินหลานหรันได้ออกมาเล่นสนุกอีกแล้ว!
ความทรงจำของเขาหยุดนิ่งไปตั้งแต่เมื่อสามชั่วยามก่อน เขาพอจำได้ว่าเฟิงอู๋โยวใช้ร่างกายของนางเข้ามากำบังอันตรายให้ชิงหลวนโดยที่ไม่คิดถึงความปลอดภัยของตัวเอง
จวินฝูเห็นท่าทางจวินมั่วหรันผิดปกติ จึงสวมใส่เสื้อผ้าและลงเตียงมาด้านหน้าเขา
“ท่านพี่เป็นอะไรหรือเจ้าคะ”
จวินมั่วหรันตั้งสติกลับคืนมาอีกครั้ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็น “จวินฝู อย่าได้ใช้ลูกไม้ตื้นๆ กับข้าอีก”
จวินฝูใจหวิวขึ้นมาทันที เมื่อรู้ว่าจวินมั่วหรันกลับมาเป็นปกติแล้ว นางก็ไม่กล้าทำตัวเย้ายวนต่อหน้าเขาอีก
มือสองข้างยกขึ้นกุมอก นางกลัวจวินมั่วหรันโกรธจนลงโทษนาง
“คนโง่เง่าอย่างจวินเอ๋อร์ไม่กล้าเล่นลูกไม้ตื้นๆ กับท่านพี่หรอกเจ้าค่ะ”
จวินมั่วหรันแสยะยิ้ม นิสัยของจวินฝูเป็นเยี่ยงไร พี่ชายอย่างเขารู้ดีกว่าใคร
“กลับไปพิจารณาตัวเอง ก่อนงานเลี้ยงบัณฑิต ห้ามออกจากเรือนฟางฮว๋าเด็ดขาด”
“ท่านพี่ แบบนี้ไม่ยุติธรรมเลย! ตั้งแต่เฟิงอู๋โยวโผล่มา ท่านพี่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาเอาแต่สร้างเรื่องสร้างปัญหาไม่ขาดสาย แต่ท่านพี่กลับปฏิบัติกับเขาเหมือนของรักล้ำค่า! ยิ่งไม่กว่านั้นยังอุ้มเขาเข้าเรือนต่อหน้าคนรับใช้อีก ท่านพี่ปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม จวินเอ๋อร์ไม่ยอมเจ้าค่ะ! อีกอย่าง จวินเอ๋อร์ไม่ได้ทำอะไรผิด ไฉนท่านพี่ต้องลงโทษจวินเอ๋อร์ด้วย”
จวินมั่วหรันคิดได้เช่นนั้น ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
เขาครุ่นคิดสงสัยว่าจวินหลานหรันคงทำอะไรบ้างอย่างที่ตัวเขาเองก็อยากทำไว้
และพอนึกขึ้นได้ว่าบางทีเฟิงอู๋โยวอาจกำลังรอกินข้าวกับเขาอยู่ที่เรือนมั่วหรัน เมฆหมอกอึมครึมภายในใจของจวินมั่วหรันก็สลายหายไปและนึกอยากกลับเรือนขึ้นมาทันที
ตอนที่ 129 เขาวางแผนรับผิดชอบนาง
ตอนนี้จวินฝูตัวสั่นไปทั้งตัว น้ำตาใสวาวคลอเต็มเบ้าตา
น้ำตาหลั่งรินอาบใบหน้า นางค่อยๆ ยกมือสั่นเครือขึ้นมาปาดน้ำตาบนใบหน้าเบาๆ
นางกลัวจวินมั่วหรันโกรธ จึงร้องไห้ไร้เสียง และพยายามกัดฟันข่ม เงยหน้าขึ้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีก การแสดงออกของนางเป็นการต่อต้านจวินมั่วหรันอย่างไร้เสียง
จวินมั่วหรันไม่สนใจจวินฝูที่น้ำตาคลอเบ้าแม้แต่น้อย เขาเอามือไพล่หลังและเดินออกจากเรือนฟางฮว๋าทันที
จวินฝูยืนพิงขอบประตู ดวงตาจ้องมองแผ่นหลังจากจวินมั่วหรันอย่างแน่นิ่ง
“นายหญิงอย่าได้เสียใจไปเลย วันนี้ท่านใต้เท้ามาร่วมทานอาหารเป็นเพื่อนนายหญิงแบบนี้ แสดงว่าในหัวใจของท่านใต้เท้ายังมีพื้นที่ให้นายหญิงอยู่” แม่นมหวางค่อยๆ เดินเข้ามาและพูดปลอบใจจวินฝูเสียงแผ่ว
“แม่นมคิดว่าเฟิงอู๋โยวดีกว่าข้าตรงไหน”
“คนอย่างเขาจะเปรียบเทียบกับนายหญิงได้เยี่ยงไร นายหญิงเปรียบเหมือนเมฆครามสูงส่ง เขาเป็นเพียงโคลนตมในบ่อโคลนเท่านั้น ไม่ใช่คนที่สมควรจะไปเกลือกกลั้วด้วยเจ้าค่ะ”
“ที่พูดมาก็ถูก” จวินฝูตอบกลับอย่างเหม่อลอย ภายในใจกลับว้าวุ่นยิ่งขึ้น
นางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของจวินมั่วหรันที่มีต่อเฟิงอู๋โยวได้ตั้งนานแล้ว
ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเฟิงอู๋โยวเป็นผู้ชาย ไม่ว่าเยี่ยงไรก็ไม่มีทางได้เป็นสนมเอกแห่งตำหนักเซ่อเจิ้งหวาง
แต่นางไม่คิดเช่นนั้น
เพราะเดิมทีจวินมั่วหรันก็เป็นพวกที่คิดไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง ซ้ำยังอุ้มเฟิงอู๋โยวกลับตำหนักต่อหน้าผู้อื่น
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ดวงตาของนางก็ผุดแววเคียดแค้นขึ้นมารำไร “แม่นมหวาง เตรียมการไปถึงไหนแล้ว”
แม่นมหวางจ้องมองไปที่แผ่นหลังจากจวินมั่วหรันที่คล้อยจากไป พลางพูดขึ้นด้วยเสียงชั่วช้า “เตรียมครบถ้วนเสร็จสมบูรณ์ เหลือเพียงฤกษ์อันประจวบเหมาะ”
จวินมั่วหรันใจร้อนรีบกลับตำหนัก เมื่อนึกถึงท่าทางซื่อบื้อน่ารักของเฟิงอู๋โยว หัวใจก็เต้นระรัวขึ้น
เจ้าหมอนี่ช่างกวนใจเหลือเกิน!
ครั้นย่างเท้าเข้าเรือนมั่วหรัน จวินมั่วหรันก็วางมาดกลับมาเป็นคนเยือกเย็นอีกครั้ง ดวงตา ทั้งสองข้างกวาดมองไปทั่วทุกมุมในเรือน มั่วหรัน
ให้ตายเถิด เจ้าหมอนั่นหนีไปแล้วอย่างนั้นหรือ? !
ใบหน้าของเขาบึ้งตึงลงฉับพลัน ครั้นจึงเข้าห้องไป เปลวไฟเร่าร้อนโหมกระพือขึ้นมาในใจอย่างไร้ที่มา
ไม่นาน เสียง ฝีเท้าเบาแผ่วก็ดังมากจากนอกเรือน
จวินมั่วหรันดีใจเป็นยิ่งนัก เขาคิดว่าเฟิงอู๋โยวกลับมา ขณะเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาวาวประกายดั่งดวงดาราทั่วฟ้าราตรี
“ท่านใต้เท้าเจ้าคะ จุยเฟิงได้สั่งให้หม่อมฉันตุ๋นแกงเยื่อไผ่เนื้อแพะมาให้ท่านใต้เท้าเจ้าค่ะ”
สาวรับใช้ยกโถแกงเข้ามา สายตาของนางสบประสานกับดวงตาอันลุ่มลึกของจวินมั่วหรันอย่างไม่ตั้งใจ ทำเอานางตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม
จวินมั่วหรันเห็นเช่นนั้นจึงได้แต่มองและพูดขึ้นอย่างหน่ายอารมณ์ “ออกไป”
สาวรับใช้รีบตอบกลับ “เจ้าค่ะ”
แต่อยู่ๆ จวินมั่วหรันก็ตั้งสติกลับมาได้
“เอากลับไปให้จุยเฟิง
“เจ้าค่ะ”
สาวรับใช้เพิ่งออกจากเรือนไป ซือมิ่งก็ยิ้มร่าเดินเข้ามาในเรือน
ในมือของเขาถือผ้าปูที่นอนที่นำไปขึงปักอัดกรอบมาอย่างวิจิตรบรรจง เขาวางมันลงที่โต๊ะข้างๆ เตียงจวินมั่วหรัน “ขอท่านใต้เท้าโปรดชม”
“อะไร”
“นี่คือ…”
ซือมิ่งหน้าแดงก่ำ อยู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรตอบจวินมั่วหรันกลับไปเยี่ยงไร
เขาไม่กล้าพูดออกไปว่า…นี่เป็นร่องรอยความรักระหว่างท่านใต้เท้ากับแม่ทัพเฟิง
โชคดีที่จุยเฟิงเข้ามาทันเวลา เมื่อเห็นซือมิ่งก็เข้าใจขึ้นมาทันที
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ขอรับท่านใต้เท้า ในมือของซือมิ่งคือผ้าปูที่นอนที่ยังไม่ได้ซัก เขาได้นำไปขึงอัดกรอบเพื่อเป็นของที่ระลึกขอรับ” จุยเฟิงพูดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ก่อนรีบยื่นแกงตุ๋นในมือมาด้านหน้าอีกครั้ง “นี่เป็นแกงตุ๋นเยื่อไผ่เนื้อแพะที่มีสรรพคุณบำรุงร่างกายดีเยี่ยม เป็นประโยชน์กับสุขภาพของท่านใต้เท้าเป็นยิ่งนักขอรับ”
ติ้วทรงกระบี่ของจวินมั่วหรันขมวดแน่น เขาถามย้อนกลับ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
จุยเฟิงยิ้มร่าอย่างดีใจ เขาพยายามกดเสียงพูด “พวกเราก็ไม่ทราบรายละเอียดอย่างแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แค่ว่าแม่ทัพเฟิงถูกท่านใต้เท้าอุ้มเข้าเรือน จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องครวญครางดังออกมาเป็นระยะๆ หลังจากท่านใต้เท้าออกจากเรือนไปสักพักใหญ่ๆ แม่ทัพเฟิงก็เอาผ้าห่มห่อตัวและเดินถ่างขาแปลกๆ ออกจากเรือนขอรับ”
เสียงร้องครวญคราง? เดินถ่างขาแปลกๆ ?
ใบหน้าของจวินมั่วหรันฉายแววสงสัยขึ้นมา “ข้าแตะต้องตัวเขาจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
จุยเฟิงไอกระแอมปรับน้ำเสียงก่อนกระซิบกระซาบขึ้น “ท่านใต้เท้าลองนึกย้อนดูดีๆ ขอรับ แต่ถ้านึกไม่ออกก็ลองสำรวจความเปลี่ยนแปลงในเรือนร่างของตัวเองกูขอรับ”
การเปลี่ยนแปลง…
จวินมั่วหรันก้มหน้ามอง อยู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะแปลกๆ ช่างน่าอึดอัดเป็นที่สุด
หรือว่า…
ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นทันที ทันใดนั้นก็ลุกพรวดและพุ่งตรงไปที่บ่อน้ำพุกลางแจ้งทันที
“ท่านใต้เท้าต้องการจะเก็บผ้าปูที่นอนอัดกรอบที่ท่านใช้แล้วเอาไว้หรือไม่ขอรับ”
“เก็บไว้”
จวินมั่วหรันตอบกลับเสียงเย็น เมื่อนึกว่าตัวเองกับเฟิงอู๋โยวพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นไปอีกระดับ อยู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมา
แต่น่าเสียดายว่าเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรกับเฟิงอู๋โยวไปบ้าง
แต่ถ้าหากเฟิงอู๋โยวเรียกร้องให้เขารับผิดชอบนางขึ้นมา เขาก็จะรับผิดชอบนางให้ถึงที่สุด
…
“ฮัดชิ้ว…”
เฟิงอู๋โยวจามติดต่อกันหลายครั้งก่อนบุ่นอุบ “เจ้าตัวเฮงซวยจวินมั่วหรันกำลังด่าข้าอยู่แหงๆ!”
“ฮือๆๆ เซ่อเจิ้งหวางขืนใจนายหญิงแล้วยังไม่คิดจะรับผิดชอบอีก ช่างไม่เป็นลูกผู้ชายเอาเสียเลย” ชิงหลวนน้ำตาไหลพรากเป็นสายน้ำ
เฟิงอู๋โยวกลับแก้ต่างทันที “พูดจามั่วซั่ว! ข้ากับเขาไม่ได้ทำอะไรกันทั้งนั้น”
เปรี้ยง!
บนน่านฟ้าราตรี แสงดาวหรี่แสง เสียงฟ้าผ่าบังเกิดดังลั่น
เฟิงอู๋โยวตัวสั่นงัก นางหยุดพูดลงทันที
ชิงหลวนเห็นเช่นนั้นจึงพูดกระซิบขึ้น “นายหญิงไม่ต้องพูดแล้ว เทพเจ้าย่อมมองเห็น!”
“…”
เฟิงอู๋โยวไม่เชื่อเรื่องพรรค์นั้น แต่กระนั้นก็พูดขึ้น “ข้ายังบริสุทธิ์อยู่!”
เปรี้ยง!
ปร้าง ปร้าง ปร้าง!
ทันใดนั้น เสียงฟ้าผ่าก็ติดติดต่อกัน ฟ้าแล่บแปลบๆ ไม่ขาดห้วง และฝนก็กระหนำลงมาอย่างโหมคลั่งน่ากลัว
คนที่งมงายคงคิดว่านี่เป็นปรากฏการณ์ที่เทพปีศาจฝึกตนจนบรรลุตบะ
ชิงหลวนปลดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกลง จากนั้นก็ยื่นให้เฟิงอู๋โยวเอาไว้กันฝน “นายหญิงเจ้าคะ สัญชาตญาณของชิงหลวนไม่เคยผิดพลาด ท่านไม่ใช่หญิงสาวพรหมจรรย์แล้ว ชิงหลวนสัมผัสได้เจ้าค่ะ”
เฟิงอู๋โยวไม่อยากโกหกต่อไป นางจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก่อนหน้านี้ให้ชิงหลวนฟังอย่างละเอียด