ตอนที่ 285 ฟ้าผ่า
“แก!”
หยุนเฟยไป๋โกรธจัดจนกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
หากเขาไม่ได้อยู่ในถิ่นของจวินมั่วหรันในขณะนี้ เขาสู้กับจวินมั่วหรันถึงตายแน่นอน
เฟิงอู๋โยวอาศัยจังหวะที่หยุนเฟยไป๋ตื่นตระหนกและไม่ทันระวังตัวปาเข็มเงินใต้แขนเสื้อไปที่เป้ากางเกงของเขาติดต่อกัน
ฟุบๆๆ
เข็มเงินหลายสิบเล่มพุ่งตรงไปยังส่วนที่สำคัญของหยุนเฟยไป๋อย่างแม่นยำ คมเข็มเฉือดตัดผ้ากางเกง จนกลายเป็นผ้าทรงสามเหลี่ยมกลับหัว
หยุนเฟยไป๋ที่ไร้อาภรณ์ปกปิดส่วนนั้น อับอายจนโกรธจัด “เฟิงอู๋โยว อย่าให้มันมากไปนัก!”
“พลั้งมือ”
เฟิงอู๋โยวยิ้มร่า “องค์รัชทายาทแห่งแคว้นหยุนฉิน จงอย่าลืมว่าท่านเป็นฝ่ายพลั้งมือก่อน พวกเราแค่ทำตามอย่างท่าน”
จวินมั่วหรันเข้ามายืนบังด้านหน้าเฟิงอู๋โยวเพื่อปิดกั้นการมองเห็นของนาง ก่อนพูดเสียงต่ำ “ถ้ากล้าก็ลองมองดูต่อไปสิ!”
เฟิงอู๋โยวข่มแววไร้ความเกรงกลัวในดวงตาของนางลง ตอบด้วยเสียงเล็ก “มีปานอยู่จริงๆ ด้วย”
“…”
จวินมั่วหรันรู้สึกเศร้าใจมาก ยามปกติ ต่อให้เขาจะพยายามหว่านล้อมนางทุกวิถีทางแต่นางก็ไม่เคยอยากมองดูของเขา
แต่วันนี้นางกลับแสดงความสนใจต่อเรือนร่างของหยุนเฟยไป๋ออกมาอย่างชัดเจน
“เฟิงอู๋โยว ถ้าเจ้าต้องการจะดู ข้าจะให้เจ้ามองดูให้หนำใจ”
“ไม่จำเป็น”
เฟิงอู๋โยวรีบหดคอและซบหลังจวินมั่วหรันแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย
เห็นเฟิงอู๋โยวกับจวินมั่วหรันกระซิบกันไม่หยุดหย่อน ดวงตาเล็กตี่กึ่งยิ้มกึ่งหุบของฟู่เย่เฉินก็ผุดแววหดหู่ขึ้นมา
ไป๋หลี่เหอเจ๋อกลับไม่สะทกสะท้าน แม้ตอนนี้เขาอาจจะยังเอาชนะใจเฟิงอู๋โยวไม่ได้ แต่เขาจะทำให้นางยอมรับในตัวเขาสักวันหนึ่งอย่างแน่นอน
หยุนเฟยไป๋ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันนั้นไม่เข้าข้างตัวเองสียเลย ต่อให้ไม่เต็มใจเพียงใดเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยออกไปก่อน
“จวินมั่วหรัน เฟิงอู๋โยว รอก่อนเถิด”
เพื่อชดเชยความอับอายเขาจึงพูดขึ้นอย่างเหี้ยมโหด มือข้างหนึ่งยกกุมหน้าอก อีกข้างหนึ่งจับเป้ากางเกง แล้วออกไปอย่างหมดสภาพ
ฮ่าๆๆ
เหล่าขุนนางเห็นเช่นนั้นก็หัวเราะเสียงดัง
ทุกคนรู้ดีว่าหยุนเฟยไป๋ไปพวกหยิ่งในศักดิ์ศรีตนเอง การที่ได้เห็นเขาเสียท่าจนหมดสภาพเช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องน่าอภิรมย์ใจ
มีเพียงเฟิงอู๋โยวเท่านั้นที่หันกลับมามองเป่ยถางหลงถิง “ฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยหลี ยังต้องการให้ข้าพิสูจน์ตัวเองอยู่อีกหรือไม่”
หลังจากเห็นสภาพเสียท่ายับเยินของหยุนเฟยไป๋ เป่ยถางหลงถิงก็คิดขึ้นในใจทำนองว่า ‘ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา[1]’ ดังนั้นเขาจึงสงบลงและพูดขึ้น “เฟิงอู๋โยว หลังจากนี้ต่อไป ขอแค่เจ้าไม่รังแกข่มเหงอินเอ๋อร์ ข้าก็จะไม่ตำหนิเรื่องความผิดในอดีตอีก”
“ฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยหลี่ เมื่อคืนเจ้าบังคับให้ข้าคุกเข่าลงและพยายามเฆี่ยนตีข้า ข้าจดเอาไว้หมดแล้ว”
เฟิงอู๋โยวหยิบสมุดเล่มเล็กใต้แขนเสื้อออกมาและพลิกหน้ากระดาษอย่างระมัดระวัง
จวินมั่วหรันชำเลืองมอง พบว่าเฟิงอู๋โยวได้บันทึกการกดขี่ข่มเหงทั้งหมดที่นางได้รับในช่วงเวลานั้นเอาไว้ในสมุดเล่มเล็ก
แน่นอน หลายสิบหน้าแรกของสมุดเล่มเล็กล้วนบันทึกความโหดร้ายที่เขากระทำกับนาง
จวินมั่วหรันตื่นตระหนกกลัวว่าเฟิงอู๋โยวจะไม่ยกโทษให้เขา
ฟู่เย่เฉินยังเห็นบันทึกรายการที่เขาตบหน้านางพร้อมกับรูปภาพประกอบ
เขายกมือถูจมูกอย่างเก้ๆ กังๆ พลางเตือนตัวเองซ้ำๆ ว่าอย่าหยาบคายกับนางอีก
ไป๋หลี่เหอเจ๋อยังคงดูนิ่งเฉย เพราะเขาติดหล่มอยู่ในบ่อโคลนตั้งนานแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวถูกนางเกลียด
ในหัวของเป่ยถางหลงถิงรู้สึกอับจนหนทาง เขาเหลือบมองสมุดเล่มเล็กที่เต็มไปด้วยรูปภาพและข้อความ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเฟิงอู๋โยวน่ารักไม่เบา ให้ความรู้สึกเหมือนเด็ก
จี้มั่วอิ้นเหรินกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นในท้องพระโรงอีก ดังนั้นจึงรีบสั่งให้หัวหน้าขันทีประกาศสิ้นสุดการว่าราชกิจ
อดีตฮ่องเต้องค์ก่อนแห่งแคว้นตงหลินรับสั่งกับเขาไว้ว่า ชาตินี้ตราบชั่วนิรันดร์ห้ามทำศึกกับแคว้นเป่ยหลีเด็ดขาด
ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเห็นจวินมั่วหรันและคนอื่นๆ เผชิญหน้ากับเป่ยถางหลงถิงในบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้
เป่ยถางหลงถิงสงบสติอารมณ์ลง เขาไม่ต้องการให้เรื่องบานปลายจนควบคุมไม่อยู่เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงต้องหยุดเมื่อเห็นว่าสมควร ลุกพรวดขึ้นและเดินออกจากท้องพระโรงก่อนใคร
เฟิงอู๋โยวเดินตามหลังมาติดๆ และสบถด่าอย่างโมโห “ไอ้ลูกเมียน้อย!”
นางเหลืออดแล้วจริงๆ
ถ้าเป็นคนอื่นรังแกนางยังพอทน อย่างมากก็ตาต่อตา ฟันต่อฟันได้ และคงไม่ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนางขนาดนี้
แต่เป่ยถางหลงถิงต่างออกไป เพราะมีความเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะเป็นพ่อที่แท้จริงของนาง
จำบุตรีของตัวเองไม่ได้ก็เป็นเรื่องบ้าบอเกินทนแล้ว แต่ตอนนี้กลับยังปกป้องเป่ยถางหลีอินอยู่อีก เป็นเหตุให้นางโกรธจัดเอามากๆ
เปรี้ยง
เป่ยถางหลงถิงยังไม่ทันโต้ตอบ อยู่ๆ สายฟ้าแลบก็ปรากฏขึ้นพร้อมเสียงฟ้าผ่าดังสนั่นอย่างไม่คาดคิด
เฟิงอู๋โยวรู้สึกใจหวิว นางคิดในใจ…หรือว่าเป็นเพราะตัวนางด่าเป่ยถางหลงถิง ก็เลยจะถูกลงโทษจากสวรรค์
นางไม่เชื่อเช่นนั้น ครั้นจึงด่าไปอีกรอบ “เป่ยถางหลงถิง บัดซบทั้งโคตร!”
เปรี้ยง!
เปรี้ยง ปร้าง
เวลานี้ เมฆครึ้มคืบคลานปกคลุมเมือง ประกายสายฟ้าแลบแปลบ เสียงฟ้าร้องดังลั่นสะท้านโสต
“หึ! เจ้าขุนนางบาปหนา ขืนด่าอีกคำเดียวอัสนีบาตรคงลงทัณฑ์” เป่ยถางหลงถิงสะบัดชายแขนเสื้อจากไป
เฟิงอู๋โยวเม้มปาก นางไม่กล้าด่าเป่ยถางหลงถิงขึ้นอีก
ไป๋หลี่เหอเจ๋อที่เชี่ยวชาญปรากฎการณ์ของท้องฟ้า สังเกตเห็นความแปลกประหลาดของฟ้าร้องครั้งนี้ เขาจึงจ้องไปที่แผ่นหลังของเป่ยถางหลงถิงอย่างสงสัย
เสียงฟ้าร้องนี้เหมือนเสียงฟ้าร้องคำรามที่เกิดจากบาปที่บุตรชาย บุตรีด่าทอบิดามารดา
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเฟิงอู๋โยวกับเป่ยถางหลงถิงมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง
สีหน้าของไป๋หลี่เหอเจ๋ออึมครึมลงเล็กน้อย แต่เขาไม่เคยพูดอะไรสักคำ ได้แค่เดินจากไปพร้อมกับฟู่เย่เฉิน
หลังจากออกจากท้องพระโรง เจ้ากรมพิธีกรรมก็มาหาจวินมั่วหรันเพื่อหารือเกี่ยวกับงานเลี้ยงบัณฑิตในวันพรุ่งนี้
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฟิงอู๋โยวก็ชิงพูดขึ้น “ข้าจะไปที่ตำหนักพระที่นั่งสูงสุดอยู่พอดี พรุ่งนี้ก็เป็นงานเลี้ยงบัณฑิตแล้ว ในฐานะหัวหน้าแม่ทัพทหารม้าอย่างข้าก็ควรสั่งการให้เหล่าทหารไปช่วยงานเสียหน่อย”
จวินมั่วหรันมองนางงอย่างไม่วางใจ “อย่าหลงล่ะ”
เฟิงอู๋โยวพยักหน้าราวกับไก่จิกเม็ดข้าว ก่อนวิ่งไปทางตำหนักพระที่นั่งสูงสุด
เมื่อเห็นนางจากไป จวินมั่วหรันก็หันกลับมาพูดคุยเรื่องงานเลี้ยงบัณฑิตกับเจ้ากรมพิธีกรรม
เนื้อหาของการสนทนาไม่เกี่ยวข้องกับงานเลี้ยงบัณฑิตแม้แต่น้อย ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับพิธีอภิเษกสมรส
ใบหน้าของเจ้ากรมพิธีกรรมเต็มไปด้วยความสับสน แต่น้อยครั้งนักที่จะได้เห็นจวินมั่วหรันดูร่าเริง ดังนั้นเขาจึงเล่าประเพณีทั้งหมดเกี่ยวกับกับพิธีอภิเษกสมรสของแคว้นตงหลินไปจนถึงแคว้นเป่ยหลีให้ฟังอย่างมีความสุข
[1]ตราบใดที่ขุนเขาเขียวขจียังอยู่ อย่าได้กลัวไม่มีฟืนเผา หมายถึงตราบใดมีชีวิต ย่อมต้องมีความหวัง