ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? – ตอนที่ 8 ภารกิจใหม่ (รีไรท์)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ตอนที่ 8 ภารกิจใหม่ (รีไรท์)

ตอนที่ 8 ภารกิจใหม่ (รีไรท์)

เดิมทีเขาวางแผนว่าหากนางไม่ยอมกลับไป ก็จะบีบให้คนพานางไป แต่ด้วยความสามารถตอนนี้ของหญิงคนนี้ หากอยากคุมตัวกลับก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างเด็กทั้งสองยังมีอคติกับเขา หากเขาทำอะไรบุ่มบ่ามกับหญิงผู้นั้น ก็จะยิ่งโดนเกลียดชังมากขึ้น

ครั้นนึกมาถึงตรงนี้ มู่ฉินเจินก็อดกระวนกระวายใจขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่มีทางพาหญิงตรงหน้ากลับไปได้เลย!

ดวงตากลมโตของระบบตัวน้อยฉายประกายตื่นเต้นออกมา พลางยัดพ็อปคอร์นเข้าปาก ดูโฮสต์ตัวเองกับผู้ชายคนนั้นทะเลาะกันอย่างสนุกสนาน และรู้สึกแค่ว่าสนุกว่าการ์ตูนที่นางดูเสียอีก!

ทันใดนั้น จอแสดงผลพลันสว่างวาบ มีภารกิจใหม่ที่ยังไม่ได้อ่านแสดงออกมา

[ท่านโฮสต์ มีภารกิจใหม่เข้ามาล่ะ!]

เฉียวเยี่ยนใจเต้นตึกตัก พลางขมวดคิ้วมุ่นเมื่อสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง

“ภารกิจอะไร?”

ระบบตัวน้อยเปิดภารกิจ ดวงตากลมโตเปล่งประกายทันใด

[เนื้อหาภารกิจ: ให้โฮสต์กลับไปเมืองหลวงเพื่อทำการค้าและการเกษตร]

[รางวัลภารกิจ: สารละลายธาตุอาหารเร่งการเจริญเติบโตของพืชหนึ่งขวด]

[ภารกิจล้มเหลว: หักทรัพย์สินที่เหลืออยู่ก่อนหน้านี้ทั้งหมด และต้องรับผิดชอบหนึ่งพันตำลึง]

เส้นเลือดตรงขมับของเฉียวเยี่ยนกระตุก ใบหน้างามล่มเมืองมิอาจซ่อนความโกรธไว้ได้ มือที่กำอยู่ข้างตัวค่อย ๆ กุมกันแน่น พลางเอ่ยกัดฟันกรอด “ระบบ ภารกิจนี้ใครเป็นคนออกคำสั่ง?”

ระบบตัวน้อยสัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของท่านโฮสต์ จึงจิกชายเสื้ออย่างรู้สึกประหม่า ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยหยาดน้ำ

[ไม่เกี่ยวกับระบบ แต่เป็นระบบหลักที่ออกคำสั่งมา]

สีหน้าเฉียวเยี่ยนลุ่มลึกดุจวังน้ำ แอบด่าระบบหลักบ้านั่นสองสามประโยค นี่มันเป็นการฆ่านางชัด ๆ!

แต่เมื่อนึกถึงเงินอันน้อยนิดที่ตัวเองหามาได้อย่างยากลำบาก แล้วนึกถึงการต้องรับผิดชอบเป็นเงินหนึ่งพันตำลึง เฉียวเยี่ยนจึงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ และหันไปยิ้มหวานดุจดอกไม้แย้มบานกับมู่ฉินเจิน “เอาเถิด ข้ากลับไปกับท่านดีกว่า แล้วอย่าลืมที่ดินสมบูรณ์พันหมู่นั่นเสียล่ะ”

มู่ฉินเจิน “…”

สตรีช่างมีจิตใจยากแท้หยั่งถึงจริง ๆ!

แต่ไม่ว่าอย่างไร นางยอมกลับไปด้วยย่อมดีที่สุดแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องคิดอะไรมาก

เฉียวเยี่ยนยืดอกขึ้น และเอ่ยอย่างจริงจัง “ท่านอ๋อง ตอนนี้ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการ ขอเวลาให้ข้าห้าวัน อีกห้าวันข้าจะกลับไปเมืองหลวงกับท่าน”

นางยังเก็บมันเทศไม่เสร็จ ผักในสวนก็ยังไม่ได้จัดการ แถมยังต้องอธิบายเหตุผลกับภัตตาคารคู่ค้าอีก

เฮ้อ! พอนึกว่าจะต้องทิ้งทรัพย์สินที่นางทำงานหนักมาทีละนิด นางก็รู้สึกปวดใจเหมือนดั่งมีดทิ่มแทง!!

มู่ฉินเจินมึนงง “ทำไมรึ?”

เฉียวเยี่ยนชี้ไปยังแปลงผักตัวเอง “เฮ้ ข้าต้องจัดการสมบัติผืนนี้ของข้าน่ะสิ”

มู่ฉินเจินชินแล้วที่นางมองสวนผักผืนนี้เป็นสมบัติ จึงไม่พูดอะไรมาก และตกลงตามคำขอของนาง

และเพราะสัญญาให้เฉียวเยี่ยนพักได้อีกห้าวัน มู่ฉินเจินจึงพาคนของตนมาอาศัยอยู่ในบ้านไร่นี้ จะได้ผูกพันกับลูกทั้งสองไปอีกนิด

เฉียวเยี่ยนกัดฟันกรอด แสดงออกว่าบ้านหลังน้อยของนางเล็กเกินไปที่จะรองรับคนมากมาย แต่ท่านอ๋องผู้นี้หน้าด้านนัก พูดออกมาตรง ๆ ว่าต้องมีเขาอยู่คนเดียว ไม่ต้องไปสนใจผู้ติดตามคนอื่น

เฉียวเยี่ยนจะทำอย่างไรได้ ทำได้แค่เพียงพึมพำด่ามู่ฉินเจินตั้งแต่ข้างนอกจนถึงข้างใน จากนั้นก็เดินบ่นไปทางครัวเพื่อทำอาหาร

คล้ายกับมู่ฉินเจินไม่มองว่าตัวเองเป็นคนนอก เขาสำรวจบ้านกระเบื้องทรุดโทรมหลังเล็กที่สามแม่ลูกอาศัยอยู่อย่างอารมณ์ดี

บ้านกระเบื้องทรุดโทรมหลังเล็กมีอยู่สามห้อง ตรงมุมด้านข้างยังมีห้องครัวอีกห้องหนึ่ง ลานบ้านเล็ก ๆ ปูไปด้วยแผ่นหินดำ ภายในลานบ้านปลูกไม้กระถางไว้มากมาย และไม้กระถางส่วนใหญ่ที่ปลูกในลานบ้านทุกจวนที่เมืองหลวงล้วนเป็นพืชพรรณดอกไม้ที่มีชื่อเสียง แต่หญิงคนนี้กลับปลูกมันหลากหลายชนิด

มีดอกไม้ป่าเล็ก ๆ ที่ไม่รู้จักอยู่ริมทางเดิน บ้างก็มีผักสีเขียวอ่อนเติบโตอยู่ และเก็บกวาดลานบ้านได้อย่างสะอาดเกลี้ยงเกลา ด้านข้างยังตากชุดเล็ก ๆ สองสามชุดบนราวตากผ้า

ทุกอย่างดูเรียบง่ายมาก แต่กลับมีกลิ่นอายการดำรงชีวิตที่อบอุ่นสบาย มู่ฉินเจินรู้สึกว่าบ้านทรุดโทรมเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นเหมือนบ้านมากกว่าตำหนักอ๋องเสียอีก

หลังจากสำรวจลานบ้านเสร็จ เขาก็ลังเลอยู่นาน แต่กระนั้นก็ยังตัดสินใจเดินไปทางห้องที่เด็กทั้งสองคนอยู่

เขายืนอยู่หน้าประตู ฝืนบังคับตัวเองแสดงสีหน้าอ่อนโยนออกมา จากนั้นก็เคาะประตูเบา ๆ “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ พ่อเข้าไปได้หรือไม่?”

เขายังไม่รู้ชื่อของลูกชาย ครั้งแรกที่เรียกตัวเองว่าพ่อ เขารู้สึกอาย และรู้สึกว่าปลายหูเขาร้อนขึ้นมาเล็กน้อย

ใบหน้าเขาสงบนิ่ง ทว่าความจริงเต็มเปี่ยมไปด้วยความคาดหวัง พวกเด็ก ๆ จะยอมรับพ่ออย่างเขาที่มาปรากฏตัวอย่างกะทันหันหรือไม่?

หลังจากคอยอยู่นาน ประตูที่ปิดสนิทก็ยังไร้วี่แววเปิดออก มู่ฉินเจินรู้สึกเงียบเหงา และอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไปก็แล้วกัน

เขากำลังจะหมุนตัวจากไป กลับได้ยินเสียงประตูเปิดออก พลันดวงตาฉายแววปีติยินดีออกมา แล้วมองเจ้าก้อนแป้งที่เปิดประตูให้เขา

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ตีหน้าขรึม มองมู่ฉินเจินด้วยแววตาเย็นชาและเคร่งขรึม ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอ่านหนังสือตรงโต๊ะหนังสือเล็ก ๆ ของตัวเองต่อ

มู่ฉินเจินยิ้มค้าง เผยให้เห็นสีหน้าผิดหวัง แต่เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กน้อยที่คล้ายกับเขา ก็รู้สึกร้อนผ่าวอยู่ในอก

เขาเดินมาอยู่ด้านข้างเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ พลางหลุบตามองเด็กน้อยที่กำลังอ่านหนังสือ ซึ่งไม่คิดว่ามันจะเป็น ‘ตำราพันอักษร’ !

บนโต๊ะมีกระดาษซวนจื่อที่เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่เต็มหน้าวางอยู่ ตัวอักษรดูเรียบร้อย เต็มไปด้วยความเป็นเด็ก แม้ความแข็งแรงในการเขียนจะยังขาดอยู่ แต่ก็สามารถดูออกได้ว่าต่อไปรูปแบบนี้จะเป็นรูปแบบอย่างไร

เขามองไปที่เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ ใบหน้าเล็ก ๆ ฉายแววจริงจังยิ่งขึ้น และมือเล็ก ๆ กำลังจับหนังสือไว้แน่น เด็กน้อยกำลังอ่านหนังสืออย่างจริงจัง แต่หัวใจดวงน้อยกลับเต้นแรง

มู่ฉินเจินมองลูกชายอย่างชื่นชม ช่างเหมือนกับเขาตอนเด็กจริง ๆ!

เขายกมือลูบศีรษะของเด็กชายเบา ๆ และยิ้มบาง ๆ “เจ้าชื่ออะไร? อ่าน ‘ตำราพันอักษร’ รู้เรื่องด้วยรึ?”

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์เงยหน้าเล็ก ๆ ขึ้นมา แม้จะวางมาดขรึมเช่นเดิม แต่กลับเผยความภูมิใจออกมาเล็กน้อย “เฉียวสิงโจว อ่านรู้เรื่อง”

ช่างเป็นเด็กที่ปากไม่ตรงกับใจจริง ๆ

มู่ฉินเจินยิ้มออกมา พลางเอ่ยชม “ไม่เลวเลย ฉลาดมาก เฉียวสิงโจว ชื่อนี้ไพเราะยิ่งนัก”

เสี่ยวฉวนเอ๋อร์ที่ตีหน้าขรึมยกมุมปากขึ้นบางเบา แต่ก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมทันที และนั่งตัวตรงอ่านหนังสือต่อ

มู่ฉินเจินไม่ใช่คนพูดมาก เวลานี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับลูกชาย ระหว่างทั้งสองจึงตกสู่ความเงียบ

ครั้นเหลือบเห็นกระดาษและพู่กันบนโต๊ะ มู่ฉินเจินก็คิดได้อย่างรวดเร็ว เขาถือพู่กันเขียนชื่อเด็กน้อยลงบนกระดาษ

ลายมือดูยิ่งใหญ่ทรงพลัง ตัวอักษรมีความแข็งแรง มีอานุภาพเด็ดขาด หลังจากเขียนเสร็จ เขาแอบเหลือบมองลูกชาย และเห็นท่าทางเคารพนับถือบนใบหน้าเคร่งขรึมของเด็กน้อย

เขาลอบยิ้ม พยายามอย่างไม่ลดละ และเขียนตัวอักษรต่ออีกสองสามตัว จากนั้นก็ชี้แนะตัวอักษรไม่ครบที่เขาเขียนล่าสุดให้เสี่ยวฉวนเอ๋อร์

เด็กน้อยฟังอย่างตั้งใจ และลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้เขายังไม่ยอมรับพ่อคนนี้

เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ซ่อนตัวอยู่หลังฉากบังลมหน้าในระหว่างที่มู่ฉินเจินเข้ามาเมื่อครู่ นางไม่อยากเห็นพ่อที่หน้าตาเหมือนพี่ชายอีกแล้ว

ครั้นนึกถึงตอนที่เขายั่วยุจนมารดาโกรธ แถมยังทะเลาะกับมารดาด้วย เด็กน้อยก็เสียใจอย่างยิ่ง

ความจริงแล้วนางชอบพ่อคนนี้มาก แต่ในเมื่อมารดาไม่ชอบ นางก็ไม่ชอบ!

หึ! บุรุษทุกคนล้วนเป็นคนหลายใจ!

ทว่าเมื่อได้ยินมู่ฉินเจินพูดคุยกับพี่ชายด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร เด็กน้อยก็อดโผล่หน้าออกไปดูไม่ได้ ดวงตากลมโตเผยความอิจฉาออกมา นางก็อยากให้พ่อลูบศีรษะตนเหมือนกัน

มู่ฉินเจินสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเด็กน้อย จึงหันไปมองนางด้วยท่าทางอ่อนโยน ความจริงแล้วเขาสังเกตเห็นเด็กน้อยอยู่หลังฉากบังลมตั้งแต่เข้ามาแล้ว แต่เขาไม่ได้ทำให้นางตกใจ บางทีเด็กน้อยอาจจะกำลังโกรธเขาอยู่

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ระบบหลักคือใคร ส่งภารกิจมาได้ทำร้ายอาเยี่ยนมาก

เข้าทางลูกน่าจะมีหวังนะท่านอ๋อง

ไหหม่า(海馬)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

Status: Ongoing
หลังตกภูเขาตายก็ได้มาเกิดใหม่ในร่างชายาอ๋องผู้ถูกเนรเทศที่กำลังคลอดบุตร​ แถมได้อยู่ในบ้านอันรกร้างมีแค่ที่ดินเปล่าๆ​ ผืนหนึ่งและระบบตัวช่วยชาวสวนที่จ้องแต่จะหักแต้มหากขี้เกียจ ต่อจากนี้ฉันจะทำยังไงดี?เรื่องย่อ: หลังพลัดตกภูเขาลงมาตาย​ วิญญาณของเฉียวเยี่ยนก็ได้มาเข้าร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดบุตร​อย่างไม่ทันตั้งตัว​ พอตั้งตัวได้ก็ต้องปวดหัวกับเรื่องที่พบเจอ​ ได้แก่…​ 1.ตนเป็นชายาอ๋องที่มีความผิดฐานบังคับจิตใจสามีจนถูกเนรเทศ​มาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแห่งนี้​ 2.ตนมีลูกกับเขาผู้นั้นแล้ว​ และยังเป็นลูกแฝด​ชายหญิง 3.ตนมีระบบปลาเค็มคอยเป็นผู้ช่วยในภารกิจต่างๆ​ ติดตัวมาด้วย​ แต่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบมากกว่า​ ถ้าไม่ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวก็จะโดนหักแต้มเฉียวเยี่ยนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องงัดวิชาความรู้ทั้งหมดมาใช้ในการทำสวน​ หาเลี้ยงลูก​ สร้างฐานะให้ตัวเอง… ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งสามีอ๋องโบ้ผู้นั้นกระมัง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท