ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? – ตอนที่ 64 คุยกันใต้ต้นไทรใหญ่

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ตอนที่ 64 คุยกันใต้ต้นไทรใหญ่

ตอนที่ 64 คุยกันใต้ต้นไทรใหญ่

ขณะที่เฉียวเยี่ยนคิดฟุ้งซ่านอะไรไม่รู้อยู่ในหัว พลันผ้าห่มที่คลุมหน้าก็ถูกดึงออก สิ่งที่เห็นคือใบหน้าอันหล่อเหลาของมู่ฉินเจิน แสงไฟสลัวรางราวกับฟิลเตอร์ชั้นหนึ่งยิ่งขับให้เขาดูหล่อเหลาขึ้นไปอีก

มู่ฉินเจินยกมือลูบใบหน้านาง ในน้ำเสียงเปี่ยมด้วยความจำใจกับหลงใหล “ข้าเป่าเทียนดับแล้ว เจ้าโผล่หัวออกมาได้ นอนคลุมโปงเช่นนี้เดี๋ยวก็อึดอัดแย่หรอก”

พอเสียงเป่าเทียนดังขึ้น ทั่วห้องพลันตกสู่ความมืด เหลือเพียงเสียงหายใจสม่ำเสมอของเด็ก ๆ ดังข้างหู ความรู้สึกของเฉียวเยี่ยนได้หยุดอยู่ตรงบริเวณที่มู่ฉินเจินลูบ ทั้งอ่อนโยน ร้อนรุ่ม ทำให้นางหน้าร้อนผ่าวอย่างช่วยไม่ได้

ความรู้สึกนางผสมปนเปไปกันหมด มู่ฉินเจินเองก็เช่นกัน นับแต่วินาทีหอบผ้าห่มเข้ามาในห้อง เขาก็เริ่มกระสับกระส่ายแล้ว เขากลัวว่าเจ้าท่อนไม้จะไม่เห็นด้วยแล้วไล่ตะเพิดเขาออกมา กลัวว่านางจะโกรธ แต่ตอนนี้เขาพนันถูกข้างแล้ว นางไม่ได้ไล่เขาไป มีแค่ความอึดอัดเล็กน้อย

นี่หมายความว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้วใช่หรือไม่?

แม้นเจ้าท่อนไม้เฉียวเยี่ยนยังไม่อาลัยอาวรณ์เขามาก แต่เขารอได้ เขาอยากให้ตัวเองค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในชีวิตนาง ทำให้รอบตัวนางมีแต่กลิ่นอายกับร่างกายเขา ทำให้นางชินกับการมีอยู่ของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

เฉียวเยี่ยนที่เดินทางมาตลอดวันก็เหนื่อยแล้วเช่นกัน รถม้าโบราณเทียบได้กับรถแทรกเตอร์สมัยปัจจุบัน สามารถทำให้คนเหนื่อยสายตัวแทบขาดได้ เมื่อศีรษะถึงหมอน ความง่วงก็เข้ามาครอบงำ ไม่นานก็จมสู่ห้วงนิทรา

เมื่อนางหลับ ร่างกายนางพลันผ่อนคลายลง และพลิกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนมู่ฉินเจินโดยไม่รู้ตัว มู่ฉินเจินลองวาดวงแขนกอดเอวนาง เห็นนางไม่ตื่นก็ดึงนางเข้ามาใกล้ตัวอีกนิดอย่างองอาจ และทั้งสองก็ผล็อยหลับไปประหนึ่งฝาแฝดตัวติดกัน

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เด็กน้อยสองคนที่เข้านอนแต่หัวค่ำก็ตื่นขึ้นเพราะปวดปัสสาวะ จึงกลิ้งตัวลุกขึ้นจากเตียง แต่กลับพบว่ามารดากับบิดากำลังหลับอยู่ เด็กน้อยทั้งสองจึงนั่งมองอยู่บนเตียงอย่างมึนงง

ครั้นเสี่ยวฉวนเอ๋อร์ได้สติกลับมา ก็จูงมือน้องสาว ย่องลงจากเตียงอย่างเงียบ ๆ ออกไปหาพี่ฮุ่ยเซียงให้นางพาไปเข้าห้องน้ำ

มู่ฉินเจินลืมตาตั้งแต่วินาทีที่เด็ก ๆ เปิดประตู อาการสลึมสลือทำให้เขายังไม่ตื่นเต็มที่ พลางกระชับมือที่กอดเฉียวเยี่ยนแน่นขึ้น และนอนกอดเจ้าท่อนไม้ต่ออย่างพึงพอใจ

เด็กทั้งสองตื่นเต้นมากกับสถานที่ใหม่ หลังจากปลดเบาเสร็จก็ถูกเหล่าองครักษ์พาออกไปเล่น แม้แต่หน้าก็ไม่ล้าง

จวบจนฮุ่ยเซียงทำอาหารเช้าเสร็จ เจ้านายทั้งสองก็ไม่มีวี่แววว่าจะออกมา จึงไม่มีทางอื่น นอกจากส่งเด็กทั้งสองเข้าห้องไปสอบถามสถานการณ์

พวกเขาไม่กล้าไปเรียก ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องกับหวางเฟยกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่ หากพวกเขาเข้าไปขัดเรื่องดี ๆ ท่านอ๋องไม่ถลกหนังพวกเขาแย่รึ!

เด็กทั้งสองที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือย่องเข้าไปในห้อง หมอบศีรษะอยู่ข้างเตียง มองบิดามารดานอนหลับด้วยดวงตากลมโตสั่นระริก

ใบหน้าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เคลือบไปด้วยความมึนงง “ท่านพี่ ท่านพ่อกับท่านแม่ป่วยหรือเจ้าคะ?”

หากเป็นเมื่อก่อน พวกเขาคงตื่นกันนานแล้ว

ครานี้เฉียวเยี่ยนหลับสนิทมาก ช่วงนี้นางยุ่งเหมือนลูกข่าง ไม่วิ่งไปที่พระราชวังก็ไปที่เรือนกระจก ไม่ได้นอนตื่นสายมานานมากแล้ว และหลังจากนอนมาทั้งคืนก็รู้สึกผ่อนคลายสบายกาย

นางลืมตาขึ้น พร้อมรอยยิ้มมุมปากที่แฝงไปด้วยการได้นอนเต็มอิ่มกับพึงพอใจ ในระหว่างที่ตื่นเต็มที่นั้น นางก็พบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของมู่ฉินเจินอีกแล้ว

หลังได้รับประสบการณ์ในครั้งก่อน ครั้งนี้นางจึงสงบลงมาก ค่อย ๆ แกะมือที่โอบรอบเอวออก และกลิ้งตัวออกมา หลังจากหลุดพ้นสำเร็จ เฉียวเยี่ยนก็ลุกขึ้นนั่งอย่างภูมิใจ พลันเห็นเด็กทั้งสองหมอบศีรษะอยู่ข้างเตียงมองนาง และมู่ฉินเจินเองก็ตื่นแล้ว สายตานั้นแฝงด้วยความขบขัน

แหะ ๆ !

เฉียวเยี่ยนหัวเราะแห้ง กระโดดลงจากเตียง ใช้การล้างหน้ามาบดบังความอายของตัวเอง

เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ที่เล่นมาทั้งเช้า ผมเผ้ายังยุ่งเหยิง ผมจุกที่มัดเมื่อวานบิดเบี้ยวไปนานแล้ว เฉียวเยี่ยนจึงลากเด็กน้อยมาหวีผม และต่อว่าออกมาเบา ๆ “เจ้าตัวแสบ ตื่นแล้วก็ไม่เรียกแม่ อยากเห็นแม่ขายหน้าขนาดนี้เชียวหรือ”

เจ้าปลาอ้วนกำลังเล่นนิ้วมือตัวเองอยู่ ไม่ได้ฟังคำบ่นของมารดาเลยแม้แต่น้อย

……

หลังกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็ออกไปรวมตัวหารือที่ใต้ต้นไทรใหญ่ในหมู่บ้าน และหัวหน้าหมู่บ้านได้พาพวกชาวบ้านมารออยู่ตรงนั้นแล้ว

เด็กทั้งสองถูกบิดาอุ้มอยู่คนละข้าง พลางแกว่งเท้าน้อยไปมา ขณะที่ใบหน้ามู่ฉินเจินประดับด้วยรอยยิ้มสดใสจนเหล่าองครักษ์เห็นได้ชัด วันนี้ท่านอ๋องค่อนข้างอารมณ์ดี น่าจะได้รับความพึงพอใจแล้วสินะ

เมื่อมาถึงใต้ต้นไทรใหญ่ หัวหน้าหมู่บ้านก็พาพวกชาวบ้านคุกเข้าทำความเคารพ สรรเสริญอวยพรให้ท่านอ๋องกับหวางเฟยอายุยืนหมื่นพันปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนมากมายคุกเข่าทำความเคารพนางเช่นนี้ นับดูคร่าว ๆ แล้ว คนที่มาก็น่าจะราวๆ ร้อยกว่าคน

หลังจากทุกคนลุกขึ้น เฉียวเยี่ยนก็เริ่มคุยกับพวกชาวบ้านเพื่อทำลายบรรยากาศ จะให้พวกเขาเอาแต่กลัวนางเช่นนี้ไม่ได้ นางต้องการคนเคารพเลื่อมใส แต่ต้องยอมรับและเคารพด้วยใจจริง หาใช่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวเหมือนอย่างตอนนี้

บนใบหน้านางประดับด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร น้ำเสียงที่พูดอ่อนโยน ทำให้พวกชาวบ้านที่ฟังต่างรู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางปุยเมฆ

ที่หัวหน้าหมู่บ้านพูดนั้นเป็นความจริง หวางเฟยเหนียงเหนียงอ่อนโยน เป็นมิตร และงดงามดุจนางฟ้าบนสวรรค์ ชั่วชีวิตพวกเขายังไม่เคยเห็นใครสมบูรณ์แบบเช่นนี้เลย

เฉียวเยี่ยนเองก็เป็นชาวนาคนหนึ่ง จึงมีหัวข้อมากมายไว้คุยกับพวกชาวบ้านธรรมดาเหล่านี้ได้

ปีนี้พวกเจ้าปลูกพืชพรรณอะไรรึ? ยุ่งหรือไม่?

อ้อ ปลูกข้าวโพด ข้าวโพดดีเลย ให้ผลผลิตสูง พื้นที่หมู่บ้านเรานี้เหมาะกับการปลูกข้าวโพดมาก นอกจากปลูกข้าวโพดแล้ว ยังปลูกกวางตุ้งฮ่องเต้ได้ ผักกวางตุ้งฮ่องเต้ทนหนาว ราว ๆ เดือนเก้า หลังเก็บเกี่ยวข้าวโพดเสร็จ สักพักก็หว่านเมล็ดผักกวางตุ้งฮ่องเต้ได้เลย

พวกชาวบ้านอดตกใจไม่ได้ที่ได้ยินหวางเฟยเหนียงเหนียงผู้ดูราวนางฟ้าเปิดปากเอ่ยเรื่องพืชผัก การกระทำนี้ต่างจากที่พวกเขาคิดเอาไว้นัก?

มีบางคนองอาจทนความอยากรู้ไม่ไหว ถามออกมาอย่างสงสัย หวางเฟยปลูกผักด้วยรึ?

เฉียวเยี่ยนอธิบายด้วยรอยยิ้ม

ปลูกสิ ข้าไม่เพียงแต่ปลูกผัก แต่ยังไถที่ในตำหนักอ๋องกับพระราชวังปลูกผักด้วย เจ้าคิดดูนะ ต่อให้ดอกโบตั๋น ดอกชาที่ปลูกในตำหนักอ๋องจะสวยงาม แต่พวกมันก็ไร้ประโยชน์ มิสู้ให้ข้าปลูกผักสองสามต้น ทั้งดูดีทั้งรับประทานได้ด้วย

นอกจากไถที่ในตำหนักอ๋องแล้ว ข้ายังปลูกผักอีกสองสามเรือนกระจก พอถึงฤดูหนาวหิมะตก ทว่าผักด้านในเรือนกระจกยังเขียวชอุ่ม และผักเหล่านั้นต่อให้กินทั้งฤดูหนาวก็กินไม่หมด

พวกชาวบ้านฮือฮาไม่หยุด แม้แต่ตำหนักอ๋องกับพระราชวังยังกล้าไถที่ปลูกผักได้ หวางเฟยผู้นี้ช่างเก่งกาจจริง ๆ !

พวกเขาได้ยินชาวบ้านที่ไปเมืองหลวงในช่วงฤดูหนาวพูดกันว่าตอนนี้คนรวยในเมืองหลวงสามารถกินผักสดในฤดูหนาวได้แล้ว ซึ่งผักเหล่านั้นฉ่ำน้ำ แถมยังคุณภาพดีกว่าผักที่ปลูกในฤดูใบไม้ผลิอีก

หลังจากที่พวกเขาได้ยินก็คิดว่ามันเป็นเรื่องตลก ตอนนี้ตนยากจนแม้แต่ข้าวก็กินไม่อิ่ม ใครจะสนใจว่าคนมีเงินกินอะไรกันเล่า

แต่ไม่คิดเลยว่าหวางเฟยที่เหมือนเทพยดาตรงหน้าจะเป็นคนปลูกผักเหล่านี้ ช่างหาได้ยากนัก!

ด้วยทักษะการเจรจาของเฉียวเยี่ยน นางจึงคุยกับพวกชาวบ้านอย่างออกรสออกชาติ ไม่นานก็เปลี่ยนจากเรื่องปลูกผักมาเป็นเรื่องของเด็ก ๆ ใครบ้างไม่ได้เป็นพ่อแม่คน? ดังนั้นเวลานี้จึงมีหัวข้อให้พูดมากมาย

ลูกพวกเจ้าอายุเท่าใดแล้ว หน้าตาน่ารักนัก ท่าทางดูกำยำน่าเอ็นดู

เด็ก ๆ ที่ถูกชมบ้างก็เขินอายจนซุกหน้าเข้าไปในชายเสื้อบิดามารดา บ้างก็ยิ้มซื่อบื้อมองหวางเฟยนางฟ้า ใบหน้าเล็กนั้นทั้งธรรมดาทั้งไร้เดียงสา

พวกผู้ใหญ่ถูกชมจนเขินอาย หากเอ่ยชมเด็ก ๆ ของพวกเขาว่าดูดี พวกเขาจะบังอาจไปเทียบกับบุตรธิดาของท่านอ๋องกับหวางเฟยได้อย่างไร เมื่อครู่พวกเขาสังเกตเห็นคู่แฝดที่ท่านอ๋องจูงมือมา หน้าตาน่ารักมาก ลูกของเทพธิดาน่าจะเป็นเช่นนี้สินะ

เจ้าปลาอ้วนพบว่าตัวเองถูกผู้คนจ้องก็ฉีกยิ้มหวานออกมา ทั้งยังโบกมือน้อยให้กับทุกคน “สวัสดีจ้าทุกคน”

ไอหยา…ท่าทางน่ารักนั้นทำให้พวกชาวบ้านใจละลาย ทำไมถึงได้น่ารักขนาดนี้ หน้าตาเหมือนเจ้าก้อนแป้งเลย ทั้งเหนียวทั้งนุ่ม

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

ท่านคิดว่าตัวเองชนะเหรอ? ท่านคิดผิดแล้วท่านอ๋อง ท่านแพ้เฉียวเยี่ยนตั้งแต่ยอมเป็นโบ้แล้วล่ะ หวายยยยย

หมั่นไส้ท่านอ๋องโบ้ขี้เก๊กรอบที่สิบค่ะ อยากทำลายความมั่นหน้าของฮีเหลือเกิน เห็นท่าทางจ๋อยๆ หูลู่หางตกแล้วมันสะจายยย

ไหหม่า(海馬)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

Status: Ongoing
หลังตกภูเขาตายก็ได้มาเกิดใหม่ในร่างชายาอ๋องผู้ถูกเนรเทศที่กำลังคลอดบุตร​ แถมได้อยู่ในบ้านอันรกร้างมีแค่ที่ดินเปล่าๆ​ ผืนหนึ่งและระบบตัวช่วยชาวสวนที่จ้องแต่จะหักแต้มหากขี้เกียจ ต่อจากนี้ฉันจะทำยังไงดี?เรื่องย่อ: หลังพลัดตกภูเขาลงมาตาย​ วิญญาณของเฉียวเยี่ยนก็ได้มาเข้าร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดบุตร​อย่างไม่ทันตั้งตัว​ พอตั้งตัวได้ก็ต้องปวดหัวกับเรื่องที่พบเจอ​ ได้แก่…​ 1.ตนเป็นชายาอ๋องที่มีความผิดฐานบังคับจิตใจสามีจนถูกเนรเทศ​มาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแห่งนี้​ 2.ตนมีลูกกับเขาผู้นั้นแล้ว​ และยังเป็นลูกแฝด​ชายหญิง 3.ตนมีระบบปลาเค็มคอยเป็นผู้ช่วยในภารกิจต่างๆ​ ติดตัวมาด้วย​ แต่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบมากกว่า​ ถ้าไม่ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวก็จะโดนหักแต้มเฉียวเยี่ยนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องงัดวิชาความรู้ทั้งหมดมาใช้ในการทำสวน​ หาเลี้ยงลูก​ สร้างฐานะให้ตัวเอง… ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งสามีอ๋องโบ้ผู้นั้นกระมัง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท