ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม? – ตอนที่ 230 ห่านป่าโหยไห้ระงมแผ่นดิน

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ตอนที่ 230 ห่านป่าโหยไห้ระงมแผ่นดิน

ตอนที่ 230 ห่านป่าโหยไห้ระงมแผ่นดิน

ผู้ประสบภัยยังคงหลั่งไหลเข้าสู่เมืองหลวง และสถานการณ์ภัยพิบัติในอวี๋โจวยังไม่ได้รับการแก้ไข ข่าวที่ข้าหลวงใหญ่ผู้แทนพระองค์ส่งมาคือสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฮ่องเต้เฒ่าก็กังวลทุกวัน

ในวันที่สิบที่ผู้ประสบภัยเข้าเมืองมา มู่ฉินเจินจึงขอพระราชโองการจากฝ่าบาทไปบรรเทาภัยพิบัติที่อวี๋โจวด้วยตัวเอง

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในเขตรัฐฉู่ก่อนหน้านี้ยังคงฉายชัดอยู่ในความทรงจำ ฮ่องเต้เฒ่าลังเลเล็กน้อย ฮองเฮาเองก็ออกเสียงคัดค้าน

ต่อให้บอกว่านางเห็นแก่ตัวไม่เห็นอกเห็นใจใครก็ตาม แต่นางมีโอรสเพียงคนเดียวเท่านั้น ดังนั้นจะให้เกิดอะไรผิดพลาดไม่ได้

ทว่ามู่ฉินเจินยืนกรานจะไปให้ได้ หากชายชราไม่เห็นด้วย เขาก็จะแอบนำทหารออกไปเอง

เฉียวเยี่ยนรู้ว่าท่านอ่องของตนเป็นห่วงประชาชน หากไม่ปล่อยให้เขาไป เขาก็จะกังวลอยู่ในใจ ดังนั้นนางจึงสนับสนุนเขามาตลอด และตัดสินใจร่วมเดินทางไปยังอวี๋โจวกับเขา

สองสามีภรรยาต่างก็เป็นคนดื้อรั้น เมื่อตัดสินใจแล้วก็จะไม่เปลี่ยนใจ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีใครโน้มน้าวใคร

จะไปหรือ? ย่อมได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเสีย ไปเผชิญหน้ากับพายุฝนร่วมกัน!

เด็กน้อยทั้งสองถูกเฉียวเยี่ยนส่งไปที่จวนสกุลเฉียว ช่วงนี้ฮองเฮางานยุ่ง ไม่มีเวลาดูแลเด็กๆ จึงเป็นการดีที่จะมอบให้ซูเนี่ยนหว่านกับเฉียวจิ่นดูแล

เด็กทั้งสองต้องแยกกับบิดารมารดาอีกแล้ว ทั้งสองจึงเสียใจจนดวงตากลมโตแดงก่ำ อยากจะร่วมไปด้วยกันกับพวกเขา ทว่าพวกเขารู้ท่านพ่อกับท่านแม่ไปทำงานจริงจัง และยุ่งมากจนไม่มีเวลามาดูแลพวกเขา

ดังนั้นจึงอยู่กับท่านยายและท่านลุงอย่างว่าง่าย รอคอยพวกเขากลับมา

เฉียวเยี่ยนจัดการเรื่องทุกอย่างในเมืองหลวงเสร็จแล้วก็ออกเดินทางไปกับกองทหารของมู่ฉินเจิน

นางสั่งให้หลันหนิงอยู่ที่เมืองหลวง รับผิดชอบคุ้มกันเสบียงที่ลำเลียงไปยังอวี๋โจว

ระหว่างเดินทางลงใต้ก็พบกับผู้ประสบภัยไม่น้อย เมื่อพวกเขาเห็นขบวนรถคุ้มกันเสบียง ก็แทบเบียดกันเข้าไปแย่งอย่างบ้าคลั่ง หลังฝากฝังเรื่องนี้ให้หลันหนิงแล้ว นางก็พอวางใจไปได้บ้าง

ช่วงนี้โรงงานเฉียวจี้ได้หยุดทำการค้าชั่วคราว พวกคนงานต่างทำงานผลิตสินค้าล่วงเวลา และสินค้าทั้งหมดที่ผลิตมาจะถูกส่งไปยังอวี๋โจวเพื่อเป็นเสบียงบรรเทาทุกข์ภัย

ครั้งนี้พี่ชายของเว่ยอวิ๋นซูก็ร่วมเดินทางไปบรรเทาทุกข์ภัยที่อวี๋โจวในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่ฉินเจินเช่นกัน ซึ่งนางก็อยากจะตามไปด้วย แต่กังวลว่าตัวเองจะช่วยอะไรไม่ได้ จึงตัดสินใจคุ้มกันเสบียงร่วมกันกับหลันหนิง

ภัยพิบัติครั้งนี้อันตรายนัก ดังนั้นมู่ฉินเจินจึงนำผู้ติดตามไปจำนวนมาก พาทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายเดินทางไปบรรเทาทุกข์ภัย ณ อวี๋โจว

ทหารส่วนใหญ่พึ่งพาการเดินเท้า ความเร็วจึงค่อนข้างช้า ใช้เวลาไปราวๆ ห้าวันก็มาถึงอวี๋โจว เฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินที่ขี่ม้าจึงนำกลุ่มทหารม้าเดินทางไปยังอวี๋โจวก่อน

หลังเดินทางทั้งกลางวันกลางคืนไม่มีพัก และเผชิญลมฝนมากมาย ในที่สุดก็มาถึงที่หมายในอีกสองวันต่อมา

เมื่อมาถึงเมืองอันหยาง เฉียวเยี่ยนถึงได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าอะไรที่เรียกพังทลายย่อยยับ ห่านป่าโหยไห้ระงมแผ่นดิน(1)

ถนนที่พลุกพล่านในอดีตเต็มไปด้วยน้ำขัง บ้านหลายหลังถูกน้ำท่วมซัดจนพังทลาย ที่ไม่ถูกท่วมก็โคลงเคลงไม่มั่นคง ราวกับว่าแค่ลมกระโชกแรงพัดมานิดเดียวก็พังลงได้

หลายหมู่บ้านที่อยู่ใกล้เขื่อนยิ่งดูน่าสังเวชเข้าไปใหญ่ บ้านเรือนจมหาย มองเห็นหลังคาได้เพียงริบหรี่ อีกทั้งบางหลังก็ลอยไปกับกระแสน้ำ

เจ้าหน้าที่ทหารท้องถิ่นพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือผู้รอดชีวิต ทั้งนี้ จุดช่วยเหลือผู้ประสบภัยตั้งอยู่ในหมู่บ้านที่ค่อนข้างสูง จึงไม่มีความเสี่ยงจะถูกน้ำท่วมในขณะนี้

หลังจากเฉียวเยี่ยนกับมู่ฉินเจินมาถึงเมืองอันหยาง ไม่ทันพักผ่อนอะไรก็ทุ่มเทกำลังให้กับการบรรเทาทุกข์ภัย

กองทหารส่วนใหญ่ยังมาไม่ถึง มู่ฉินเจินจึงนำเจ้าหน้าที่ทหารท้องที่ออกค้นหาช่วยเหลือผู้รอดชีวิต ในขณะที่เฉียวเยี่ยนอยู่ที่จุดช่วยเหลือ ทำงานเบ็ดเตล็ดให้กับพวกหมอหลวงและแม่ครัว

ผู้ประสบภัยมีจำนวนมหาศาล และต้องใช้เสบียงอาหารประมาณห้าร้อยกว่าชั่งต่อวัน แม้เสบียงบรรเทาทุกข์ที่ทางราชสำนักจัดสรรมาให้จะเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน แต่ก็คาดว่าจะรองรับได้เพียงไม่กี่วัน

ดังนั้นตอนนี้อะไรที่ประหยัดได้ก็ประหยัด ผู้ประสบภัยที่มีสุขภาพร่างกายดีหน่อยให้กินข้าวต้ม ส่วนผู้ประสบภัยที่บาดเจ็บหรือป่วยหนักให้กินโจ๊ก ผักดองโถที่เฉียวเยี่ยนให้คนขนส่งมามีจำนวนไม่น้อย ข้าวต้มน้ำใสบวกกับผักดองหนึ่งคำก็ดูไม่เลวนัก

ผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บจะถูกแยกจากผู้ประสบภัยปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครในนั้นติดเชื้อ สองสามวันมานี้เฉียวเยี่ยนเห็นพวกหมอหลวงใช้อ้ายเฉ่ารมควัน รวมถึงน้ำด่างมาฆ่าเชื้อ ก็นึกถึงเม็ดยาฆ่าเชื้อขึ้นมา

นางซื้อเม็ดยาฆ่าเชื้อกับระบบมาสองสามขวด และแอบใส่ลงไปในน้ำทุกวัน จากนั้นเอาไปโรยไว้ที่ด้านหน้าด้านหลังในที่พักผู้ป่วยบาดเจ็บเล็กน้อย

ผักชุดแรกที่ส่งมาจากเรือนกระจกในหมู่บ้านลวี่หลัวถูกกินไปแล้ว ทว่าผักไม่ทนต่อการเก็บรักษา จึงเน่าเสียไปไม่น้อยระหว่างขนส่งมา

พวกแม่ครัวที่รับผิดชอบทำอาหารมองใบผักเน่าเสียที่ถูกทิ้งอย่างเจ็บปวดใจมาก ในเวลานี้ ใบผักเน่าเสียก็ล้ำค่าเช่นกัน

พวกนางถึงขั้นคิดอยากใส่ใบผักที่ไม่ค่อยเน่าเสียเท่าใดลงไปในโจ๊กเพื่อต้มกิน เฉียวเยี่ยนเห็นแล้วก็ห้ามพวกนางไว้ทันที แม้ตอนนี้เสบียงจะขาดแคลนมาก แต่ผักที่เน่าเสียแล้วก็ไม่ควรรับประทาน

ไม่เช่นนั้น เกิดมีปัญหาเรื่องอาหารเป็นพิษขึ้นมาก็ต้องสิ้นเปลืองสมุนไพรและกำลังคนอีก มันไม่คุ้มเลย

“ผักไม่พอไม่เป็นไร ข้ากำลังให้คนส่งชุดที่สองมาแล้ว แม้จะรับประกันไม่ได้ว่าทุกคนจะได้กินดี แต่จะไม่ทำให้ทุกคนท้องหิวแน่นอน”

นี่คือคำพูดที่เฉียวเยี่ยนพูดกับพวกแม่ครัว เมื่อพวกแม่ครัวได้ยินเช่นนี้ก็ขอบตาร้อนผ่าว ภัยพิบัติกล้ำกราย บ้านเมืองล่มสลาย มีหลายคนในบรรดาพวกนางสูญเสียคนที่รักไป เดิมที่ท้อแท้หมดกำลังใจ แต่เมื่อได้ยินคำพูดอบอุ่นหัวใจเช่นนี้ในยามนี้ ก็คล้ายกับมองเห็นความหวังขึ้นมาอีกครั้ง

เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมทั่วพื้นที่ล้วนเป็นสภาพปกติของจุดช่วยเหลือผู้ประสบภัยในสองสามวันนี้

บางคนนึกถึงคนรักที่จากไปก็เศร้าสร้อยเป็นอย่างมาก ในขณะที่บางคนนึกถึงตัวเองที่ดิ้นรนต่อสู้มาครึ่งค่อนชีวิต รากฐานที่หามาอย่างยากลำบากกลับถูกกระแสน้ำพัดไป ก็รู้สึกทั้งหมดหวังทั้งขุ่นเคือง

มีผู้บาดเจ็บบางคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะได้รับการช่วยเหลือไว้ ทว่าสุดท้ายก็ยังคงจากโลกนี้ไป คนที่รักข้างกายต่างคุกเข่าร้องไห้อย่างขมขื่น ภาพอันน่าเวทนาเช่นนี้ กระทั่งคนรอบข้างเห็นแล้วยังพลอยน้ำตาตกไปด้วย

เฉียวเยี่ยนมองภาพเหตุการณ์เหล่านี้ ในใจก็รู้สึกขมขื่นอย่างหาที่เปรียบมิได้ ตอนที่นางเพิ่งข้ามมาสมัยโบราณ ก็มักจะนึกถึงพ่อแม่ของตัวเองบ่อยๆ เช่นกัน

จินตนาการไปว่าพวกเขากอดร่างอันไร้วิญญาณของนางร้องไห้คร่ำครวญหลั่งน้ำตาอย่างเจ็บปวด ส่งร่างนางเข้าฌาปนสถาน จัดงานศพให้นางอย่างด้วยจิตใจห่อเหี่ยว สุดท้ายก็วางภาพถ่ายของนางไว้ในบ้าน มองรูปของนางทุกวันด้วยน้ำตานองหน้า…

ภาพนี้เคยปรากฏในความฝันของนางหลายครั้ง และทุกครั้งก็มักจะตกใจสะดุ้งตื่น ก่อนจะพบว่าตัวเองน้ำตาไหลนองหน้านานแล้ว

กระนั้นนางก็โชคดียิ่งกว่าใคร วิญญาณของนางเข้ามาสู่ร่างใหม่ และเริ่มมีชีวิตใหม่อีกครั้ง นางจึงขอให้คนที่จากไปเหล่านั้นมีปาฏิหาริย์เหมือนกับนาง มีชีวิตที่ดีอยู่ในโลกใหม่

บรรยากาศในจุดช่วยเหลือภัยอึมครึมลง หลายคนถึงขั้นไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ เฉียวเยี่ยนรู้สึกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปมันจะไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ต้องรวบรวมกลุ่มใหม่ จุดประกายความหวังขึ้นมาใหม่ให้พวกเขา

นางครุ่นคิดอยู่สามวัน ตกดึกก็นอนไม่หลับ กลางวันตอนทำงานก็เอาแต่คิดเรื่องนี้

ความสามารถเดิมของนางก็คือการทำสวน ทว่าสถานการณ์เช่นนี้จะปลูกอะไรได้ล่ะ?

น้ำท่วมในเมืองอันหยางหาใช่ประเดี๋ยวประด๋าวก็แก้ไขได้ ทหารชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายที่มาจากเมืองหลวงต่างก็เร่งรีบซ่อมเขื่อน และขุดลอกคูน้ำที่ถูกปิดกั้น อย่างสั้นสุดต้องใช้เวลาเดือนกว่าๆ ถึงจะควบคุมภัยน้ำท่วมได้

รอควบคุมภัยน้ำท่วมได้แล้ว การบูรณะหลังภัยพิบัติก็เป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน ผู้ประสบภัยบางส่วนถูกส่งไปยังรัฐ อำเภอใกล้เคียงแล้ว ทว่าส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่อวี๋โจว

ตอนนี้ชีวิตส่วนใหญ่ของทุกคนที่นี่ล้วนพึ่งพาเสบียงที่ขนส่งมาจากภายนอก การนั่งกินไม่ทำอะไรต่อไปไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา จำต้องให้พวกเขาพึ่งพาตัวเองให้ได้โดยเร็ว

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1)哀鸿遍野 เป็นสำนวน แปลว่าเหตุการณ์ทุกขภิกขภัยที่ราษฎรได้รับความเดือดร้อนอดอยากจนร่ำไห้ระงมไปทั่วหย่อมหญ้า

สารจากผู้แปล

บรรยากาศหดหู่มากเลยค่ะ ขอให้หวางเฟยหาทางออกได้เร็วๆ นะคะ

ไหหม่า(海馬)

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

ชายาผู้นี้ชอบทำสวน พวกเจ้าจะยุ่งทำไม?

Status: Ongoing
หลังตกภูเขาตายก็ได้มาเกิดใหม่ในร่างชายาอ๋องผู้ถูกเนรเทศที่กำลังคลอดบุตร​ แถมได้อยู่ในบ้านอันรกร้างมีแค่ที่ดินเปล่าๆ​ ผืนหนึ่งและระบบตัวช่วยชาวสวนที่จ้องแต่จะหักแต้มหากขี้เกียจ ต่อจากนี้ฉันจะทำยังไงดี?เรื่องย่อ: หลังพลัดตกภูเขาลงมาตาย​ วิญญาณของเฉียวเยี่ยนก็ได้มาเข้าร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอดบุตร​อย่างไม่ทันตั้งตัว​ พอตั้งตัวได้ก็ต้องปวดหัวกับเรื่องที่พบเจอ​ ได้แก่…​ 1.ตนเป็นชายาอ๋องที่มีความผิดฐานบังคับจิตใจสามีจนถูกเนรเทศ​มาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแห่งนี้​ 2.ตนมีลูกกับเขาผู้นั้นแล้ว​ และยังเป็นลูกแฝด​ชายหญิง 3.ตนมีระบบปลาเค็มคอยเป็นผู้ช่วยในภารกิจต่างๆ​ ติดตัวมาด้วย​ แต่ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหนี้นอกระบบมากกว่า​ ถ้าไม่ทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวก็จะโดนหักแต้มเฉียวเยี่ยนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องงัดวิชาความรู้ทั้งหมดมาใช้ในการทำสวน​ หาเลี้ยงลูก​ สร้างฐานะให้ตัวเอง… ลำพังตัวข้าคนเดียวก็ทำได้โดยไม่ต้องพึ่งสามีอ๋องโบ้ผู้นั้นกระมัง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท