คนฝั่งตรงข้ามคือเยี่ยนซีอู่ที่ชะงักค้างไป
เมื่อเห็นเยี่ยนซีอู่ยืนค้างไป อีกคนก็เดินเข้ามาดู จากนั้นมองตามสายตาเยี่ยนซีอู่ไปแล้วก็พลันคลี่ยิ้ม “ชิงอวี่ ดูท่าเราจะอยู่ห้องตรงข้ามกัน”
“ไหลไหล! บังเอิญจริง!” ชิงอวี่ว่าพลางเลิกคิ้ว เหตุใดพวกนางสามคนจึงมาอยู่ที่เดียวกันได้? อีกทั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกันอีก
มู่ไหลอีกฝั่งยกยิ้มเช่นกัน “เดิมทีข้าอยู่ที่อื่น แต่ข้าบอกอาจารย์ว่าหากไม่หาห้องใกล้ ๆ เจ้า ข้าจะหนีไปเข้าภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์ อาจารย์จึงตอบตกลงทันที”
อาจารย์ของนางคือผู้อาวุโสจิน เมื่อรู้ว่านางเป็นสหายสนิทกับชิงอวี่ อีกทั้งเขาก็ชอบมู่ไหลมาก ด้วยเก่งกาจทั้งวิชาแพทย์และวิชายุทธ์ ดังนั้นจึงยอมผ่อนปรนเอาใจนางบ้าง
แค่คิดว่าจะเสียนางไปให้ภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์ ต้องไปอยู่กับเจ้าแก่งี่เง่านั่นแล้ว มีหรือที่ผู้อาวุโสจินจะรับได้? เขาจึงรับคำมู่ไหลทันที
ชิงอวี่ได้ยินแล้วก็หัวเราะ จากนั้นกะพริบตาชั่วร้าย “วันไหนนอนไม่หลับเราก็มาคุยกันได้”
มู่ไหลตาเป็นประกาย “ความคิดดี”
แต่ละภาควิชาในสำนักละอองหมอกนั้นแยกเป็นอิสระจากกัน ห่างกันราวสิบเมตร
ภาควิชาพิเศษมีคนน้อยที่สุด อีกทั้งยังไร้อาจารย์ เพราะศิษย์ทั้งหลายเป็นอัจฉริยะจากรอบแดน และด้วยตัววิชาที่เป็นเอกลักษณ์หาได้ยาก จึงไร้อาจารย์ใดที่มีวิชาสูงส่งพอมาชี้แนะแนวทาง
และถึงจะมี แต่ก็คงไม่อาจกำราบกลุ่มคนหยิ่งผยอง ที่เกรงกลัวเพียงเฟิ่งเทียนเหิงได้เป็นแน่
คนทั้งหลายเข้าภาควิชาพิเศษมานานหลายเดือน แต่กลับได้เห็นหน้าเฟิ่งเทียนเหิงน้อยกว่าจำนวนนิ้วมือเสียอีก ดังนั้นยามได้ยินว่าเฟิ่งเทียนเหิงกลับมา ทุกคนก็ตื่นเต้นยินดี ยืนชะเง้อคอรอดูพี่ใหญ่ของตน เตรียมพร้อมต้อนรับอีกฝ่าย แต่รอมากว่าครึ่งวันก็ยังไม่เห็นคน
เนิ่นนานกว่าจะเห็นคนเดินมาจากที่ไกล ๆ แต่ยังไม่ทันได้ดีใจก็พากันคอตกร้องครวญ จ้องคนที่เดินมาด้วยความไม่พอใจทันที
ซู่หลีม่อเห็นแล้วก็เดือดดาล ทำไมเจ้าพวกนี้ถึงมองเขาเช่นนั้นเล่า?
แต่ก็ยังไม่ลืมจุดหมายที่เดินมาถึงที่นี่ เขาจึงกระแอมไอแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าหนูทั้งหลาย ข้านำข่าวดีมาบอก”
แรงดูถูกในสายตาจากเจ้าหนูทั้งหลายยิ่งรุนแรงขึ้น
เจ้าหมอนี่เข้าภาควิชามาก่อนได้ไม่กี่ปี แก่กว่าไม่เท่าไหร่ แต่ชอบวางท่าเป็นศิษย์พี่ของพวกเขา แล้วเมื่อครู่เรียกพวกเขาว่าเจ้าหนูทั้งหลายหรือ?
หากไม่ใช่เพราะเจ้านี่สนิทสนมกับพี่ใหญ่ พวกเขาก็คงอัดคนผู้นี้เละไปแล้ว
ซู่หลีม่อถูกหลายสายตาทิ่มแทง บังเกิดความไม่พอใจขึ้นทันที “หากพวกเจ้ายังจ้องข้าเสียมารยาทเช่นนี้ก็ไม่ต้องรู้ข่าวดีแล้ว!”
“ก็แค่ข่าวที่พี่ใหญ่กลับมาไม่ใช่หรือ!? เหอะ พวกข้ารู้กันหมดแล้ว” เด็กสาวใบหน้าคล้ายตุ๊กตาเอ่ยขึ้น ใบหน้ากลมของนางทำปากยื่น เอ่ยออกมาพร้อมสีหน้าไร้ความยินดี
“หึ ไม่ใช่เรื่องนั้นหรอก” ซู่หลีม่อเลิกคิ้ว “พวกเจ้าคงยังไม่รู้กระมังว่าในการทดสอบปีนี้มีเด็กสาวอัจฉริยะโผล่มาด้วย?”
“อัจฉริยะ? พวกเราในภาควิชาพิเศษมีใครไม่ใช่อัจฉริยะบ้าง? ศิษย์พี่ ข้าว่าท่านเริ่มแก่ เลอะเลือนจนคิดว่าเรื่องนั้นมันน่ามหัศจรรย์ไปแล้วกระมัง” คนที่เอ่ยชื่อชายหนุ่มหน้ามน ท่าทางอ่อนโยนเงียบขรึม นัยน์ตาคล้ายผลท้อมีเสน่ห์ทั้งยาวและโค้งมน มีใบหน้างดงามยิ่งกว่าสตรี
ซู่หลีม่อไม่โกรธ แต่หัวเราะออกมา “อย่าหาว่าศิษย์พี่ไม่บอกก็แล้วกัน การทดสอบในวันนี้ เด็กสาวคนนี้มีอาจารย์จากหลายภาควิชาพยายามชิงตัวไป แต่สุดท้ายพี่ใหญ่ของเรากลับดึงนางเข้าภาควิชาพิเศษของเราได้ ดังนั้นต่อไปพวกเจ้าจะมีศิษย์น้องน้อยหน้าตางดงามอีกคนหนึ่ง พวกเจ้าอย่าได้กลั่นแกล้งนางเชียว!”
เขารู้ดีว่าเจ้าพวกนี้ชั่วร้ายถึงกระดูกดำ มีเด็กใหม่คนไหนที่ไม่ถูกเจ้าเด็กเกเรพวกนี้เล่นจนเกือบตายบ้าง?
“ท่านจะบอกว่าพี่ใหญ่เป็นคนรับนางเข้ามาเองเลยหรือ?” เด็กสาวใบหน้าคล้ายตุ๊กตาที่เอ่ยคำเมื่อก่อนหน้าถามขึ้น เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
คนอื่น ๆ ก็ไม่อยากเชื่อเช่นกัน เพราะพวกเขาทั้งหมดพากันมาที่ภาควิชานี้เอง พี่ใหญ่ก็ไม่เคยรับใครเข้าภาควิชาเป็นการส่วนตัวมาก่อน ดังนั้นจึงคิดว่าซู่หลีม่อคงคุยโวไปอย่างนั้น
ซู่หลีม่อมองคนทั้งหลายด้วยความสังเวชใจ “ใช่แล้ว พี่ใหญ่ของเราเชิญนางมาด้วยตนเอง และเพื่อแสดงความจริงใจยังตกปากรับคำว่าจะสอนวิชาเชิดหุ่นให้ สิ่งที่ข้าพยายามบอกคือเด็กสาวคนนี้ไม่ใช่อัจฉริยะธรรมดาทั่วไป พวกเจ้าคงได้กลายเป็นศิษย์หัวเน่าในอีกไม่นาน”
ราวกับถูกสายฟ้าฟาดตอนฟ้าใสกระจ่าง!
ในตอนนั้น หัวใจของพวกเขาราวกับถูกคลื่นลมซัดสาด ตกใจกระทั่งไม่อาจตอบสนองได้เป็นเวลานาน
แล้วความตกตะลึงและความยากลำบากไม่อาจยอมรับความจริงนั้นพลันผันเปลี่ยน กลายเป็นความเป็นปฏิปักษ์ต่อเด็กสาวที่พวกตนยังไม่เคยพบหน้าไปเสียอย่างนั้น
ซู่หลีม่อทำหน้าที่จบก็เดินจากไปด้วยความย่ามใจ หึ แน่นอนว่าเขาบอกไปไม่หมด ก็แค่เบื่อ ๆ อยากหาอะไรสนุกทำเท่านั้น เขาล่ะสงสัยจริงว่าแม่นางน้อยจะสามารถทานทนกับเจ้าเด็กชั่วร้ายกลุ่มนี้ได้หรือไม่
———————-
เป็นไปอย่างที่ชิงอวี่คาดการณ์ไว้ ชิงเป่ยเข้าภาควิชาบำเพ็ญวิญญาณได้สำเร็จ แน่นอนว่าหมิงอีอีเองก็คอยช่วยกล่าวสิ่งดี ๆ ให้หมิงจิ้งฟัง และชิงเป่ยก็มีความสามารถแท้จริง หมิงจิ้งจึงยินดีต้อนรับเขาเข้าสำนักมา
ในเรือนที่เขาได้พักอาศัย ชิงอวี่รู้จักเพียงเด็กหนุ่มที่อยู่กับหมิงอีอีนามว่าหลานอวี่ ส่วนอีกสองคนนางไม่รู้จัก หมิงอีอีคงกลัวว่าเขาอาจปรับตัวไม่ทัน จึงมีน้ำใจส่งหลานอวี่ไปอยู่ด้วย อย่างน้อยจะได้ช่วยดูแลกันได้บ้าง
หลังจัดเก็บของเรียบร้อยแล้ว เขาก็อยากออกมาหาชิงอวี่ มาดูว่านางพักอยู่ที่ไหน
แต่เพิ่งจะเดินผ่านไปเรือนหนึ่ง ก็เห็นไกล ๆ ว่ามีเงาร่างคุ้นตากำลังเดินตรงมาทางเขา แม้ชิงเป่ยจะเห็นไม่ชัด แต่ในใจก็คิดอยากเลี่ยงคนผู้นั้นไปแล้ว กระนั้นทั้งที่เพิ่งคิดจะเลี่ยง กลับถูกเรียกออกมาจนชะงักเท้าที่กำลังเดินอยู่เสียได้
“นี่ คนตรงนั้น ใช่ เจ้าน่ะ อย่าเพิ่งไป” ซู่หลีม่อเข้ามาอย่างรวดเร็ว ห่างสามก้าวแต่เขาก้าวเพียงสอง ไม่คิดเลยว่าแค่กำลังนึกถึง คนก็มาปรากฏตรงหน้าได้ นี่มันเหมือนย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกกลับไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่เสียเวลาเลยจริง ๆ เชียว
ชิงเป่ยปวดขมับตุบ อยากจะแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่พริบตาเดียวอีกฝ่ายกลับมาหยุดขวางด้านหน้าไปแล้ว
“นี่เจ้าหนู ไม่ได้เจอกันเดือนหนึ่งถึงกับลืมกันแล้วหรือ? จะหนีไปไย? ข้าไม่กินเจ้าหรอก” ซู่หลีม่อเผยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
ชิงเป่ยสีหน้าเคร่งขรึม “ศิษย์พี่ต้องการอะไรหรือ?”
เข้าเป็นศิษย์สำนักละอองหมอกแล้ว ถึงไม่อยาก อย่างไรก็ต้องเรียกอีกฝ่ายว่าศิษย์พี่
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นคนคุ้นเคยเละจะมาทักทายเท่านั้น” ซู่หลีม่อเอ่ยอย่างอวดดี จากนั้นทำเป็นถามไม่ใส่ใจ “แล้วเจ้าเด็กที่มากับเจ้าเมื่อครั้งก่อนเล่า? อย่าบอกนะว่าไม่ได้มาด้วย!”
ชิงเป่ยรู้สึกเย็นท้ายทอยวาบ เขารู้ว่าเจ้าหมอนี่มาถามหาชิงอวี่เป็นแน่ เมื่อครั้งอยู่ที่ป่าโคลนสาบสูญ อีกฝ่ายก็พยายามตีสนิทชิงอวี่เช่นกัน
แม้ในใจจะตระหนกอยู่เล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับสงบนิ่ง ถามกลับไปแทน “เหตุใดเขาต้องมาด้วยเล่า?”
ซู่หลีม่อชะงักไปก่อนเอ่ยเสียงหยัน “เขาไม่มาจริงหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอก เจ้าหลอกข้าเป็นแน่ ข้ารู้ว่าเจ้าสนิทกับเจ้าเด็กนั่นมาก ไม่ค่อยแยกจากกันแน่ ในเมื่อเจ้าเข้าสำนัก เขาก็ต้องมาด้วย รีบบอกมาเลยว่าเขาอยู่ภาควิชาไหน ข้าจะได้ไปหาเขาสักหน่อย อย่างไรเราก็สหายเก่ากันนี่”
ชิงเป่ยมุมปากกระตุกกึก หมอนี่มาทำสนิทกับคนอื่นเองเช่นนี้ ใครเป็นสหายเก่ากับเขากัน?
“เขาไม่ได้มาจริง ๆ ข้าจะโกหกท่านไปเพื่ออะไร?”
ซู่หลีม่อเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมบอกจึงขมวดคิ้ว คิดจะระเบิดอารมณ์ แต่กลับได้ยินเสียงอ่อนโยนของเด็กสาวดังขึ้นที่เบื้องหลัง “เสี่ยวเป่ย เจ้ามาหาข้าหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ในใจชิงเป่ยก็เกือบระเบิดตูม เจ้าหมอนี่ตามหานางตั้งนาน แต่นางกลับมาโผล่ต่อหน้าเขาเองงั้นหรือ?
ซู่หลีม่อจำชิงอวี่ที่สวมชุดสตรีเช่นนี้ไม่ได้จึงยิ้มทัก “แม่นางน้อย รู้จักเขาหรือ?”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว ก่อนจะเมินซู่หลีม่อแล้วมองผ่านไปยังเด็กหนุ่มด้านหลังที่กำลังใช้สายตาส่งสัญญาณบางอย่าง นางรู้ความในพลัน แต่ไม่คิดปิดบัง ริมฝีปากสีลูกอิงเถายกขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“ดูท่าคุณชายท่านนี้จะไม่เพียงชอบแอบฟังคนเขาคุยกัน แต่ยังชอบกลั่นแกล้งศิษย์น้องที่เพิ่งเข้าสำนักอีกด้วยงั้นหรือ?”
น้ำเสียงและท่าทางการพูดประกอบกับรอยยิ้มอ่อน ๆ พร้อมกับนัยน์ตาหงส์ยกขึ้นทรงเสน่ห์คล้ายใบหน้างดงามเย้ายวนของปีศาจน้อยเช่นนี้มัน
ซู่หลีม่อในใจพลันว่างเปล่าไปชั่วขณะ ก่อนที่นัยน์ตาดำขลับจะเบิกกว้างราวกับเห็นผี เอ่ยเสียงสะดุดขึ้น “เจ้า….. เจ้าคือ….. เจ้าหนูเมื่อตอนนั้น?!”
นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกัน?
เด็กคนนี้ยังเก่งกาจเรื่องปลอมตัวอีกหรือ? เป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลาร้ายกาจ เป็นสตรีงดงามเย้ายวน ทว่ามองดูแล้วกลับไม่รู้สึกแปลกตาสักนิด!
แต่ดูแล้วชิงอวี่คงจะประเมินความฉลาดของชายหนุ่มพลาดไป นางอุตส่าห์เปิดเผยไปตามตรงเช่นนี้แล้ว แต่เขากลับยืนบื้ออยู่เช่นนั้น สีหน้าเปลี่ยนไปมาก่อนจะจ้องนางด้วยความสับสน “เจ้าล่วงเกินใครไว้จึงไม่กล้าใช้หน้าจริงออกมาพบผู้คน? แล้วเหตุใดต้องแต่งกายเช่นสตรี….. นี่มันแปลกเกินไปแล้ว”
ชิงอวี่เกือบขำตายกับความโง่งมของอีกฝ่าย เหมือนไก่กับเป็ดที่ให้ตายอย่างไร ก็คุยกันไม่รู้เรื่องจริง ๆ
หากไม่เข้าใจนางก็ไม่คิดอธิบายแล้ว นางพลันหันมองชิงเป่ย “ไปกันเถอะ” จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ชิงเป่ยพยักหน้าก่อนรีบเดินตามไป สุดท้ายก็กำจัดเจ้าคนน่ารำคาญใจไปได้
ทั้งสองทิ้งให้ซู่หลีม่อยืนคงเพียงลำพัง ในใจสับสนไปหมด เขาพูดอะไรผิดไปงั้นหรือ?
หลังจากเรื่องสงบลง ร่างในชุดขาวก็ค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามา เป็นเฟิ่งเทียนเหิง
นัยน์ตาคู่นั้นของเขาเหม่อมองไปยังทิศทางที่เด็กสาวเดินจากไปอย่างอ่อนโยน มองอ้อยอิ่งอยู่นาน ไม่รู้ผ่านไปเท่าไรจึงถอนหายใจเบาออกมา เหตุใดเขาจึงต้องการนางมากมายเพียงนั้น….. เป็นความต้องการที่แรงกล้าเสียจนมองเมินไปไม่ได้เลย
ในหัวพลันมีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น “นางเป็นของเจ้ามาโดยตลอด”
ร่างเฟิ่งเทียนเหิงชะงักค้างไป ใบหน้าตื่นตะลึงกลายเป็นใบหน้ากระจ่างแจ้ง
———————-
สถานที่ตั้งใหม่ของหอเมฆาเคลื่อนอยู่บนยอดเขาฝั่งตรงข้ามกับสำนักละอองหมอก ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล เดินมาใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม
เดิมทีในเขตป่าเขาเช่นนี้ไม่มีคนมาก แต่ไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวถึงสถานที่ใหม่นี้ออกไป ยามก้าวเท้าเข้าไป ชิงอวี่และชิงเป่ยพบว่ากิจการหอเมฆาเคลื่อนนั้นคึกคักกว่าตอนอยู่ในเมืองหลวงเสียอีก
ชิงอวี่เหลือบมองรอบ ๆ พบเงาร่างสวมชุดสีเขียวเข้มหลายคนที่ที่มุมหนึ่ง ใบหน้าปิดบังด้วยหน้ากากปีศาจ เป็นกลุ่มบุรุษที่ดูน่าขนลุกไม่น้อย