บทที่ 163 สุนัขเฝ้ายามผู้ภักดีและแสนอบอุ่น
รอยยิ้มจาง ๆ ที่ปรากฏบนใบหน้าของเยี่ยนหนิงลั่วแข็งค้างไป
เสิ่นจิงไม่เห็นสีหน้าเยี่ยนหนิงลั่ว หากแต่มองภาพกะพริบตาด้วยความตะลึง “หนิงลั่ว นั่นมันน้องสาวของเจ้าไม่ใช่หรือ? ทำไมนางถึงเดินมาพร้อมกับชางไห่อ๋องได้?”
เจียงอี้หานช่างสังเกต เห็นสีหน้าเยี่ยนหนิงลั่วแปลกไป บังเอิญว่ามีกลุ่มศิษย์ที่หิวโหยกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในห้องอาหาร ส่วนใหญ่เป็นศิษย์จากภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์ ถูกอาจารย์กวดขันเข้มงวดเช่นนี้ ท้องพวกเขาจึงส่งเสียงร้องด้วยความหิวจนร่างกายเริ่มร้องประท้วง
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มร่างกำยำกำลังจะชนเข้ากับชิงอวี่ ชิงเยี่ยหลีก็ตาเป็นประกายวาบ ยื่นแขนยาวไปดึงนางมาแนบอกท่าทางปกป้องทันที
ด้วยกลิ่นอายที่แผ่ออกจากร่างเขานั้นดูเย็นยะเยือกนักจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาแม้แต่นิด ทำให้ชิงอวี่หลบฝูงคนที่พุ่งเข้ามาในห้องอาหารได้
ชิงเยี่ยหลีขมวดคิ้วก่อนก้มลงถามเด็กสาวที่กำลังประหลาดใจ “เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
“อืม ข้าสบายดี” ชิงอวี่ยิ้มก่อนจะดิ้นออกจากวงแขนเขา “ข้าเห็นเสี่ยวเป่ยกับคนอื่น ๆ แล้ว เจ้า… .. จะไปกินข้าวด้วยกันหรือไม่?”
ชิงเยี่ยหลีพยักหน้าก่อนเอ่ยขึ้นง่าย ๆ “ไปด้วยกัน”
“ชายคนนั้นใครน่ะ? ดูแปลก ๆ อยู่นะ”
“เด็กคนนั้นเหมือนจะเป็นผู้ถือครองทุกธาตุจากภาควิชาพิเศษ ทั้งสองมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่?”
“นี่เจ้าถามสิ่งที่คนที่มองเห็นไม่ชัดยังรู้ว่าหมายความว่ายังไงออกมางั้นหรือ? ไม่เห็นหรือไรว่าเขาปกป้องนางมากถึงเพียงไหน?”
“ไม่ใช่ว่าสำนักละอองหมอกห้ามไม่ให้พวกศิษย์มีความสัมพันธ์เช่นนี้ต่อกันหรือ? แต่บุรุษคนนั้นดูเหมือนไม่ได้มาจากสำนักเรา แล้วเขามาทำอะไรที่นี่กัน?”
“เจ้ามองหน้าเขาให้ดี มองแล้วไม่ทำให้นึกถึงคนผู้หนึ่งเลยหรือ….. ”
“ผมสีเงินตาสีเขียว….. จะเป็นคนคนนั้นได้จริงหรือ?”
“สวรรค์….. ไม่อยากเชื่อเลยจริง ๆ ว่าจะได้เห็นเขาอยู่ในสำนักละอองหมอกได้!”
ทุก ๆ คนพากันจับกลุ่มกระซิบกระซาบกันเสียงเบา ศิษย์ที่หญิงไร้เดียงสาและไร้เดียงสาหลายคนต่างก็รู้สึกใจเต้นรัว เมื่อเห็นว่าใบหน้าของชายผู้นี้งดงามเพียงใด อีกทั้งยังมีท่าทางอ่อนโยนดูน่าพึ่งพิงได้นัก
นัยน์ตากระจ่างของเยี่ยนหนิงลั่วพลันทะมึนลงทันใด
นางเองก็รู้มาก่อน แต่ตอนนี้ก็เห็นกับตาจนชัดเจนมากแล้ว
ที่ชิงเยี่ยหลียอมมาเป็นอาจารย์ภาควิชาพิเศษที่สำนักละอองหมอก ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะชิงอวี่
นางลืมไปเสียสนิทว่าชิงอวี่นั้นอยู่ภาควิชาพิเศษ
หลังจากเหตุการณ์เมื่อครั้งอยู่ที่จวนหย่งอันอ๋อง นางก็ควรรู้ได้แล้วว่าชิงเยี่ยหลีปฏิบัติอกับเยี่ยนชิงอวี่ไม่ธรรมดา จากสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะไม่ธรรมดา อาจเรียกได้ว่าสนิทสนมกันลึกซึ้งก็ว่าได้
นางไม่ลืมว่าชิงเยี่ยหลีไม่ชอบให้มีใครเข้าใกล้ตน กระทั่งตอนที่เขาเคยบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังระแวดระวังนาง ไม่ยอมให้นางเข้าใกล้สักนิด
แต่เขากลับปกป้องเยี่ยนชิงอวี่โดยไม่คิดมากอะไร การกระทำเช่นนี้ของเขาทำให้ในใจนางที่เคยสงบเริ่มมีความรู้สึกหึงหวงและริษยาก่อเกิดขึ้นมา
เยี่ยนชิงอวี่ เจ้ามีสิทธิ์อะไร?
นอกจากจะมีใบหน้างดงามเหมือนมารดาที่ทำให้บุรุษหลงเสน่ห์แล้ว ยัยเด็กนั่นมีอะไรมาเทียบนางได้อีก?
“อาเช่อ เจ้าจ้องอะไรเสียขนาดนั้นกัน?” เหลียนฉ่าวเจี๋ยอดถามขึ้นมาไม่ได้เมื่อถือชามข้าวกลับมาถึงโต๊ะแล้วเห็นซวนหยวนเช่อกำลังเหม่อลอยจ้องอะไรอยู่
ซวนหยวนเช่อเงยหน้าขึ้นก่อนจะยกยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก แค่สงสัยว่าหากเยี่ยนหนิงลั่วเห็นชางไห่อ๋องสนิทสนมกับหญิงอื่นแล้วจะน่าชมเพียงไหน”
เหลียนฉ่าวเจี๋ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมายามได้ยิน “เจ้าเห็นแล้วรู้สึกยินดีใช่หรือไม่!? เจ้าคงไม่คิดแค้นแค่เพราะอีกฝ่ายถอนหมั้นหรอกกระมัง? เช่นนั้นไม่ใช่วิถีแห่งบุรุษเลยนะ”
ซวนหยวนเช่อยิ้มหยัน “ข้าไม่ใช่คนน่าสมเพชเช่นนั้น เรื่องหมั้นนั้นพวกเราทั้งคู่ไม่มีใครต้องการ ดังนั้นถูกยกเลิกไปก็ดีแล้ว แค่สงสารนางเท่านั้นที่บุรุษที่นางพึงใจกลับไปมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสตรีอื่น ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งเช่นนาง ต้องอดทนฝืนกลืนเช่นนั้นคงได้สำลักตาย”
“เฮ้ ๆ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันจะเป็นเช่นนั้น? เจ้ายังคิดถึงนางมากอยู่ขนาดนั้นเลยหรือ!?” เหลียนฉ่าวเจี๋ยเอ่ยหยอก นัยน์ตามองไปทางประตู “แต่เด็กสาวที่อยู่กับชางไห่อ๋องก็ไม่ด้อยไปกว่าเยี่ยนหนิงลั่วเลยนะ แต่ก็ดูน่ารักกว่าท่าทางเย็นชาเย่อหยิ่งของนางเยอะ ไม่แปลกที่บุรุษผู้นั้นจะไม่สนใจไยดีนาง”
ซวนหยวนเช่อไม่ได้ใส่ใจใบหน้าของเด็กสาวอีกคนมากนัก เมื่อได้ยินคำพูดของเหลียนฉ่าวเจี๋ย เขาก็หันไปมองนางทันที พบว่านางดูคุ้นเคยราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ที่อีกด้านหนึ่ง ชิงอวี่และชิงเยี่ยหลีก็มานั่งพร้อมกันกับมู่ไหลและคนอื่น ๆ พวกเขาเหลือที่นั่งเผื่อไว้แค่ชิงอวี่ ตอนนั้นในห้องอาหารมีคนเข้ามาจนแน่นแล้ว ไม่เหลือที่นั่งอื่นอีก
ชิงเยี่ยหลีขมวดคิ้ว จ้องไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งทางด้านซ้ายของกลุ่ม เด็กหนุ่มกำลังกินอาหารอย่างเงียบ ๆ เมื่อถูกจ้องเช่นนั้นทั่วร่างก็เหงื่อแตกพลั่ก ส่งผลให้เขารีบเบี่ยงตัวหลบไปอีกด้านจนมีที่ว่างสำหรับอีกหนึ่งคนพอดี
ชิงเยี่ยหลียังคงขมวดคิ้วแน่นพลางลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มแทบน้ำตาไหลเมื่อถูกกลิ่นอายน่าเกรงขามจับจ้อง ปากสั่นกึก ๆ ตะเกียบยังค้างอยู่ในปากเช่นนั้น
ชิงอวี่ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะลุกไปนั่งยังที่ที่เด็กหนุ่มเคยนั่งอยู่ ชิงเยี่ยหลีจึงนั่งตรงที่นั่งที่เคยเป็นของเด็กสาว ถึงตอนนั้นเขาถึงได้คลายคิ้วที่ขมวดอยู่ออก
คงจะไม่พอใจกับที่นั่งที่เด็กหนุ่มเพิ่งลุกไปกระมัง! พวกจอมยุทธ์ทรงพลังทั้งหลายต่างก็มีนิสัยพิลึกพิสดารแท้!
ชิงเป่ยพลันถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ชางไห่อ๋อง ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ?” จากนั้นก็หยุดเอ่ยแล้วส่งสายตามองเด็กสาวฝั่งตรงข้ามที่นัยน์ตากำลังยิ้มอยู่ จากนั้นก็เหมือนรู้อะไรบางอย่าง “ท่านมาหาชิงอวี่หรือ?
“อืม” ชิงเยี่ยหลีส่งเสียงตอบ อีกทั้งยังเอ่ยเสริมอย่างหาได้ยาก “ข้ามาเป็นอาจารย์ภาควิชาพิเศษ”
ชิงเป่ยพลันมีนัยน์ตาเป็นประกาย ท่านมาเป็นอาจารย์ที่สำนักละอองหมอกจริงหรือ? เช่นนั้นข้าย้ายไปภาควิชาพิเศษได้หรือไม่?”
ชิงอวี่ถึงกับพูดไม่ออก เหงื่อตกทันใด เจ้าเด็กนี่นับถือบูชาเสี่ยวเยี่ยมากจริง ๆ!
ด้านเยี่ยนซีอู่เองได้ยินก็ตื่นเต้น เอ่ยด้วยเสียงสะเทิ้นอายขึ้นว่า “ข้าไปด้วยได้หรือไม่?”
หากแต่พริบตาที่เยี่ยนซีอู่เอ่ยคำกลับถูกชิงเป่ยเอ่ยเยาะใส่อย่างไร้เมตตา “ตอนนี้เจ้าลืมไปได้เลย แค่อยู่ในภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์ให้รอดก็หืดขึ้นคอแล้ว อย่าคิดเพ้อฝันไปไกลเลยเถอะ”
ใจร้ายนัก!
เยี่ยนซีอู่คิดโกรธอยู่ในใจ แต่กล้าเผยมันออกมา
มู่ไหลมองภาพนั้นด้วยความขบขัน ก่อนจะหันไปถามชิงอวี่ “คนผู้นี้คือชางไห่อ๋องใช่หรือไม่? เหตุใดข้าจึงไม่เคยรู้ว่าเจ้ารู้จักกับคนมีชื่อเช่นเขาได้?”
ชิงอวี่ยักไหล่ไม่รู้จะทำอย่างไร “ข้าไม่เคยเจอเขามาก่อน ตอนที่ได้พบกันจึงเพิ่งจะจำได้”
“แล้วพวกเจ้าสนิทกันมากไหม?” มู่ไหลถามพลางขยิบตาให้ น้ำเสียงหยอกล้อในที
ชายหนุ่มที่แผ่ความเหน็บหนาวออกจากร่างไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ใช้ตะเกียบคีบอาหารมาใส่ชามเด็กสาวเงียบ ๆ เท่านั้น การกระทำนั้นไม่เพียงแต่ทำให้ทุกคนในกลุ่มจ้องด้วยความตกตะลึง แต่ยังทำให้ทุกคนในห้องโถงหันมาจับจ้องมาทางกลุ่มพวกนางจนลืมกินอาหารของตนเองไป เอาแต่จ้องแล้วกระซิบกระซาบไม่หยุด
อสูรตัวหนึ่งที่นั่งอยู่ในหมู่ศิษย์จากภาควิชาผู้ฝึกยุทธ์กำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่รู้ความ ราวกับว่าไม่ถูกสิ่งใดในห้องโถงรบกวนแม้แต่นิด แต่ใบหูกลับกระดิก ได้รับข้อมูลมามากมายนัก
แม่หนูน้อยผู้นี้เหยียบย่างอยู่บนเส้นทางอันตรายเหลือเกิน…. ไม่เพียงแต่มีเฟิ่งเทียนเหิง ตอนนี้ยังมีมาอีกคนอีก แม้คนนี้จะมีท่าทีเย็นชานัก แต่ก็รู้จักเป็นห่วงเป็นใยสตรี ไม่ใช่ว่าสตรีเดี๋ยวนี้ชอบบุรุษประเภทนี้กันทั้งนั้นหรอกหรือ?
นายท่านที่น่าสงสารของเขากลับไม่รู้เลยว่าแม่นางน้อยกำลังถูกบุรุษอื่นรุกไล่อยู่เช่นนี้!
คนอื่น ๆในกลุ่มจ้องอาหารในชามชิงอวี่จนชามนางแทบจะทะลุเป็นรู
ชิงอวี่รู้สึกว่าคำถามนั้นดูน่าขันอยู่เล็กน้อย ก่อนหยิบตะเกียบขึ้นมาและเอ่ยตอบช้า ๆ “ อืม เราสนิทกันมาก”
มู่ไหลยังเอ่ยถามต่อเสียงเย้า “แล้วสนิทขนาดไหนเล่า?”
ชิงอวี่เคี้ยวอาหารในปากเงียบ ๆ ก่อนจะกลืนลงไป หลังครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “คนบางคน แม้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกันเลย แต่กลับเลือกยืนเคียงเจ้าตลอดไปโดยปราศจากคำถาม เคียงข้างเจ้าไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด ทั้งเจ้ายังไว้ใจให้เขาช่วยระวังหลังให้โดยไม่ต้องกลัวจะถูกหักหลัง เพราะคนคนนั้นเต็มใจยอมตายเพื่อเจ้า สนิทขนาดนั้นล่ะ”
โดยไม่รู้ตัว หากแต่สายตาของชายผู้สูงศักดิ์ที่เย็นชาและห่างเหิน ผู้ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นางพลันแดงขึ้นเล็กน้อย ทั่วทั้งร่างแข็งค้างไปนิดหน่อย
คำพูดเหล่านั้นทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไป ด้วยเหตุผลอันใดไม่มีใครรู้ คำถามที่ถามขึ้นเพื่อหยอกล้อกลับทำให้บรรยากาศกดดันขึ้นเสียได้ ทำให้คนทั้งคู่ราวกับต้องเผชิญกับแรงกดดันที่ไม่มีใครอาจเข้าใจ
คำตอบของชิงอวี่เหมือนไม่ใช่พูดขึ้นไปอย่างนั้น แต่เป็นคำที่ออกมาจากใจ จากประสบการณ์ที่นางเคยผ่านมา
ผ่านไปครู่หนึ่งชิงเยี่ยหลีจึงหรี่ตาลง น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกของเขาเอ่ยขึ้นเบา ๆ เจือไปด้วยแววอารมณ์ “เจ้าจะต้องไม่ตาย”
หากวัน ๆ นั้นจะต้องมาถึงอีกครา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร เขาจะไม่ยอมให้ชิงอวี่ต้องตายไปต่อหน้าต่อตาเขาอีก
เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของอีกฝ่ายราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายแล้ว ชิงอวี่ก็กะพริบตาของสองสามครั้ง ก่อนจะยัดอะไรบางอย่างเข้าปากเขาแล้วถามขึ้น “อร่อยหรือไม่?”
ใบหน้าที่เยือกเย็นและสง่างามของชิงเยี่ยหลีเผยแววอับจนหนทางอย่าหาได้ยาก สุดท้ายเขาก็ยอมเคี้ยวมัน มันทั้งนุ่มและสัมผัสหนุบหนับ ให้กลิ่นสดชื่นจาง ๆ เขาผงกศีรษะเล็กน้อยก่อนตอบกลับ “อร่อยดี”
“หากชอบก็กินให้มากหน่อย คนครัวที่นี่ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่าคนข้างนอกเลย แถมเจ้ายังผอมเกินไปด้วย” ชิงอวี่พูดยิ้ม ๆ ก่อนจะคีบอาหารมาใส่ชามเพิ่ม ทำเอาเขาเหม่อลอยไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็เอ่ยกระตุ้น “กินสิ!”
ชายหนุ่มที่ไม่เคยปฏิเสธสิ่งใดที่ชิงอวี่ร้องขอได้ยินคำนางแล้วก็เงียบไป ก่อนจะก้มหน้าลงกินข้าวในชามตนเอง
ทุกคนตกตะลึง “….. !!!”
นี่นางพาเปลี่ยนหัวข้อได้ง่ายดายเช่นนี้เลยหรือ??
ยิ่งไปกว่านั้น ยามเขาอยู่ต่อหน้าชิงอวี่เช่นนี้ ชางไห่อ๋อง… แท้จริงแล้ว…กลับว่าง่ายขนาดนี้เลยหรือนี่?!
จะมีใครคิดว่าบุรุษเย็นขาไร้เมตตา ฆ่าคนตาไม่กะพริบเช่นเขาจะมีด้านเช่นนั้นได้ด้วย
แค่คิดก็ไม่มีอะไรจะน่าขนลุกไปกว่านี้แล้ว
มู่ไหลอาจถูกภาพฉากนั้นทำให้ตกตะลึงไป ตอนนี้จึงได้แต่นั่งกินข้าวไปเงียบ ๆ มู่ไหลเกรงว่าคำตอบอาจทำให้นางได้รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้ ทำให้นางเก็บเอาไปฝันร้ายได้
หมิงอีอีนิ่งเงียบมาโดยตลอด ไม่ส่งเสียงสักนิด นางเพียงมองชิงเยี่ยหลีด้วยความสงสัย ขมวดคิ้วเล็กน้อยราวกับอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่เอ่ยคำ
ณ แดนเมฆาสวรรค์
แคว้นมาร
โหลวจวินเหยาเปลี่ยนไปใส่ชุดคลุมสีม่วงเข้ม กำลังจะออกไปข้างนอก เมื่อมีร่างผอมสีคล้ายแสงจันทร์ปรากฏอยู่ตรงหน้า ก่อนเอ่ยคำกับเขาเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้ยังออกไปไม่ได้”
“ว่าอะไรนะ? ข้าจากไปไม่นาน พวกเจ้าคิดจะควบคุมสถานที่ที่ข้าคิดไปแล้วอย่างนั้นหรือ?” แม้โหลวจวินเหยาจะเลิกคิ้ว ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แต่ในนัยน์ตาสีม่วงกลับไร้แววขบขัน
ใบหน้าหล่อเหลาน่าหลงใหลพร้อมกับนัยน์ตาสีเลือด คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านายท่านผู้ยิ่งใหญ่ก็คือปีศาจน้อยนั่นเอง
เขาเป็นคนหนึ่งเดียวในแดนเมฆาสวรรค์ที่มีดวงตาสีประหลาด และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าจ้องลึกเข้าไปในดวงตาชั่วร้ายของโหลวจวินเหยาได้ มีคำกล่าวกันมาตั้งแต่สมัยโบราณว่าคนที่เกิดมาพร้อมกับดวงตาสีแปลกนั้นไม่ธรรมดา ซึ่งนั่นก็ถูกต้องกับทั้งโหลวจวินเหยาและปีศาจน้อย
มองเข้าไปยังนัยน์ตาที่มีแววไม่พอใจแล้ว ใบหน้าของปีศาจน้อยก็ยังไม่มีแววตื่นตกใจอะไร “ท่านบาดเจ็บอยู่ อย่างน้อยก็รอจนกว่ากลิ่นเลือดบนตัวจะจางลงก่อนถึงจะออกไปได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะดึงความสนใจจากพวกน่ารังเกียจนั่นมาอีก”
“หึ เจ้าพวกนั้นน่ะหรือ?” โหลวจวินเหยาเดาะลิ้นก่อนหัวเราะเสียงเหยียด
สายตาปีศาจน้อยเฉียบคมขึ้น “ท่านดูรีบร้อนอยากจากไปนัก เป็นเพราะแม่นางน้อยนั่นหรือ?”