ตอนที่ 478 ตอบโต้
เรื่องราวของปลาดุก มาจากความทรงจำในโลกความฝันของลู่เฉิน
ในโลกแห่งความฝันมีชื่อเฉพาะว่าปรากฏการณ์ปลาดุก จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นการแข่งขันของธุรกิจหรือกำลังของอุตสาหกรรม และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสมมติ ไม่มีอยู่จริง
ลู่เฉินนำเรื่องราวแปลกใหม่มาอภิปรายในโลกนี้ เห็นภาพชัดและบ่งบอกถึงความฉลาดหลักแหลมอย่างไม่ต้องสงสัย ใครฟังก็เข้าใจ และก็พอเข้าใจความหมายของเขา
ที่สำคัญที่สุดคือ อุตสาหกรรมภาพยนตร์โทรทัศน์ของฮ่องกงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอย่างเร่งด่วน!
ความรุ่งโรจน์ในอดีตไม่ต้องพูดถึงอีก ความเฟื่องฟูครั้งสุดท้ายของละครและภาพยนตร์ฮ่องกงอยู่ในยุค 1990หลังจากเข้าสู่ศตวรรษใหม่ก็เริ่มถดถอย พวกนักธุรกิจของเกาะฮ่องกงยังคงยึดติดกับอดีตไม่คิดจะพัฒนาความก้าวหน้ายังไม่ตระหนักว่าการปรากฏตัวของพลังอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของตลาด สุดท้ายก็จะถูกตลาดทอดทิ้ง
จวบจนทุกวันนี้ ถึงแม้อุตสาหกรรมภาพยนตร์โทรทัศน์ของฮ่องกงยังคงพัฒนามาก แต่อิทธิพลกลับสู้ในอดีตไม่ได้แล้ว และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ความสำเร็จของหัวข้อที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ ทำให้เกิดกระแสการลอกเลียนแบบบนจอเงิน เนื้อหาเดิมๆ เล่นมุกเดิมสิบปีก็ยังไม่เปลี่ยน แม้แต่คนดูชาวฮ่องกงก็เริ่มเบื่อหน่าย เช่นนี้ยังจะปกป้องพื้นที่ของตลาดในประเทศจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างไร
อนาคตของอุตสาหกรรมนี้กำลังเสี่ยงอย่างมาก รัฐบาลฮ่องกงจึงร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศจีนออกนโยบายสนับสนุน อนุญาตให้บริษัทภาพยนตร์โทรทัศน์ของประเทศจีนมาลงทุนที่ฮ่องกง และแบ่งปันสิทธิพิเศษให้ พูดง่ายๆ คืออยากใช้โอกาสนี้กระตุ้นนักธุรกิจในท้องถิ่นนั่นเอง
และที่น่าขำก็คือคนวงในบางคนกลับไม่พิจารณาปัญหาที่มีอยู่ของตน คิดแต่จะขับไล่คู่แข่งที่มาจากต่างถิ่นอย่างเดียว ผลสุดท้ายก็ต้องตายรวมกันเหมือนพวกปลาซาร์ดีนเหล่านั้น!
อันที่จริงธุรกิจภาพยนตร์โทรทัศน์ในประเทศจีนก็มีปัญหามากมาย แต่เนื่องจากความเฟื่องฟูของนิยายดังนำความมั่งคั่งมาสู่ตลาด รายได้ตั๋วหนังจึงเพิ่มขึ้นทุกปี หากภาพยนตร์ฮ่องกงอยากจะกลับไปรุ่งเรืองอีกครั้ง ก็ต้องจับตลาดในประเทศจีนใหม่ถึงจะได้
สำหรับปัญหานี้ ลู่เฉินเปิดเผยออกมาตามตรงและไม่หลีกเลี่ยง “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของภาพยนตร์โทรทัศน์ฮ่องกงในตอนนี้คือ ขาดนิยายดังและความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่ ฮ่องกงมีคนเก่งด้านภาพยนตร์โทรทัศน์มากมาย และไม่ขาดแคลนช่องทางของทรัพยากร มีประสบการณ์มากมายที่สะสมมาหลายสิบปี แต่ตอนนี้กลับอยู่ในยุคที่ตกต่ำ”
ได้ฟังคำพูดของเขาแล้ว พวกคนดูโทรทัศน์อีกหลายคนต่างพยักหน้าอย่างเงียบๆ
คนฮ่องกงชอบดูภาพยนตร์เป็นอย่างมาก ตามสถิติแล้ว คนฮ่องกงหนึ่งคนโดยเฉลี่ยจะจ่ายเงินให้กับภาพยนตร์ในแต่ละปีเกินสามร้อยหยวน นั่นหมายถึงรายได้ตั๋วหนังสามถึงสี่พันล้านหยวน ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอย่างอื่นในโรงภาพยนตร์อีกนะ
ทว่าคนฮ่องกงหลายคนในตอนนี้ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ต่างชื่นชอบและสนับสนุนหนังใหญ่ที่มาจากฮอลลีวูดรวมทั้งภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ของญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ สาเหตุนั้นเป็นเพราะอะไรไม่จำเป็นต้องพูดอีก
เสิ่นซูหลิงถามว่า “นี่คือเหตุผลที่คุณเลือกมาถ่ายทำภาพยนตร์ที่ฮ่องกงใช่ไหมคะ”
ลู่เฉินกล่าวอย่างมั่นใจว่าจะเป็น ‘ปลาดุก’ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์โทรทัศน์ของฮ่องกง ฉะนั้นวิธีการแสดงออกที่ชัดเจนตรงไปตรงมาที่สุดก็คือภาพยนตร์ใหม่ของเขา ไม่อย่างนั้นก็เหมือนกับพูดปากเปล่าไร้สาระเท่านั้นเอง
“เป็นหนึ่งในเหตุผลครับ…”
ลู่เฉินพยักหน้าพลางครุ่นคิด แล้วเอ่ยพูดอย่างมั่นใจว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้ของผมเป็นผลงานสร้างสรรค์แนวใหม่และทำด้วยใจครับ!”
ภาพลักษณ์ของลู่เฉินไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ เป็นผู้ชายตัวสูงหล่อมาดแมน เขาประสบความสบความสำเร็จในวงการ ยกระดับตำแหน่งของตนเองอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเขาจึงมีบุคลิกที่คนอื่นรู้สึกเลื่อมใส เชื่อมั่นและมั่นใจในตัวเขาเป็นธรรมดา
ความมั่นใจของเขาแบบนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อคนที่อยู่ในห้องส่ง แม้แต่ผู้ชมที่ดูอยู่ตรงหน้าจอก็สัมผัสได้เช่นกัน
“ว้าว!”
ภายในห้องของอาคัง น้องสาวของเขาส่งเสียงกรี๊ดออกมา กอดแขนของพี่ชายตัวเองแน่น ใช้แรงเขย่าแขนแล้วเอ่ยว่า “ลู่เฉินหล่อจังเลย!”
“ฉันขอประกาศว่า นับจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะเป็นแฟนคลับของลู่เฉิน!”
อาคังอดไม่ได้ที่จะกลอกตา รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย
เสี่ยวเวยชอบลู่เฉิน น้องสาวก็กลายเป็นแฟนคลับของลู่เฉินอีก เสน่ห์ของศิลปินที่มาจากประเทศจีนคนนี้แรงเกินห้ามใจจริงๆ
แม้แต่เขาก็จำเป็นต้องยอมรับว่า ลู่เฉินที่นั่งพูดด้วยวาจาที่ฉะฉานอยู่ในรายการขณะนี้ เป็นคนหล่อและโดดเด่นมาก
ศิลปินที่อายุน้อยของฮ่องกง มีไม่กี่คนที่สามารถเอามาเทียบกับเขาได้
จวงต้งไม่ยอม จึงพูดเสียดสีอีกหนึ่งประโยค “ถ้าหากผมจำไม่ผิด นี่คือภาพยนตร์เรื่องแรกของคุณใช่ไหมครับ”
ความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดก็คือ เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกก็กล้าอวดขนาดนี้ ไม่กลัวว่าจะเป็นคำที่คุยโวไปหน่อยหรือ
ลู่เฉินยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า “ผมเดบิวต์ปีที่แล้ว ออกอัลบั้มของตัวเองยอดขายเกินสามล้าน สร้างละครโทรทัศน์เรื่องแรกของตัวเองเรตติ้งในประเทศทะลุ 3% ออกอากาศที่เกาหลีใต้เรตติ้งเกิน 30%!”
กลองดีไม่ต้องตีแรง จวงต้งเงียบไม่พูด
ยอดขายของอัลบั้มแรกได้ทริปเปิลแพลทินัมดิสก์ ละครโทรทัศน์เรื่องแรกได้เรตติ้งในประเทศทะลุ 3% และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในเกาหลีใต้ ผลงานที่สะดุดตาขนาดนี้ ช่วงปีแรกๆ ตอนที่หลิวกั่งเซิงเพิ่งจะเดบิวต์ยังเทียบไม่ติดเลย!
จวงต้งยังมีสิทธิ์อะไรคิดว่าภาพยนตร์เรื่องแรกของลู่เฉินจะไม่ประสบความสำเร็จล่ะ
ลู่เฉินอาศัยโอกาสนี้โปรโมตภาพยนตร์ของตัวเอง “ขอเชิญทุกท่านมาร่วมชม ‘โปเยโปโลเย’ ภาพยนตร์เรื่องแรกของผม และโปรดแสดงความคิดเห็นอันมีค่าของพวกคุณกันเยอะๆ นะครับ!”
มาออกรายการ ‘สนทนาสามบันเทิง’ แล้วถูกวางระเบิดในครั้งนี้ จริงๆ แล้วลู่เฉินก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก เพราะก่อนหน้าเขา มีบริษัทภาพยนตร์โทรทัศน์ของจีนหลายบริษัทเข้ามาถ่ายทำภาพยนตร์ที่ฮ่องกงแล้ว
และบริษัทภาพยนตร์โทรทัศน์เหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียง ตำแหน่งในวงการ หรือพลังความสามารถ ล้วนเหนือกว่าสตูดิโอของลู่เฉินในฮ่องกงที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมามาก ผลสุดท้ายฝ่ายหลังกลับเป็นนกที่ถูกปืนยิงหัวเสียก่อน
ถึงแม้จะตอบโต้คำวิจารณ์ที่ไม่ดีในรายการไปแล้ว ลู่เฉินก็ยังอยากเรียกต้นทุนกลับมามากกว่านี้
เสิ่นซูหลิงก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่
ถึงแม้ศิลปินดาราที่มาออกรายการมักจะพูดโปรโมตอัลบั้มหรือภาพยนตร์ของตัวเองเป็นเรื่องปกติ แต่มีน้อยมากที่จะเปิดเผยตรงไปตรงมาเหมือนอย่างลู่เฉิน
แต่แบบนี้ก็ยิ่งเห็นความจริงใจและความเปิดเผยของเขาชัดเจนยิ่งขึ้น
เสิ่นซูหลิงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “รอให้หนังของคุณออกฉายก่อน ฉันจะสนับสนุนตั๋วหนังของคุณหนึ่งใบแน่นอนค่ะ”
ลู่เฉินสิบนิ้วประนมมือแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณคุณเสิ่นครับ หนึ่งใบ…คุณสามารถพาสามีของคุณไปดูด้วยกันได้ไหมครับ”
เสิ่นซูหลิงหัวเราะฮ่าๆ…เธอรู้สึกขำมากจริงๆ
และเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นทุกที่นั่งในห้องส่ง บรรยากาศภายในห้องส่งดูกลมกลืนและปรองดองกันเป็นพิเศษ ความรู้สึกที่จะต่อสู้ห้ำหั่นกันในตอนต้นพลันมลายหายไป
และในเวลานี้ ตอนที่ออกอากาศ ‘สนทนาสามบันเทิง’ อยู่ เสิ่นซูหลิงกำลังนั่งอยู่ในห้องออนแอร์เพื่อติดตามยอดรับชมรายการที่ตัวเองเป็นพิธีกรเทปล่าสุด
เธอเห็นท่าทางเป็นสุขของตัวเองอยู่ในจอมอนิเตอร์ รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอีกครั้ง
ตอนนี้มาลองคิดดูแล้ว มีหลายสิ่งที่สามารถค้นพบได้ในตัวของลู่เฉิน เสียดายเวลาสั้นเกินไป
กริ๊ง~
เสียงโทรศัพท์ในห้องออนแอร์จู่ๆ ก็ดังขึ้น ทีมงานคนหนึ่งรับสายทันที
เขาพูดใส่ไมค์ ‘อืมๆ’ สองคำ จากนั้นก็ยื่นมือไปหาเสิ่นซูหลิง พร้อมกับกางห้านิ้ว
5%!
ถึงแม้จะมีประสบการณ์พิธีกรมาหลายปี เจอคลื่นลมพายุฝนจนชิน แต่หัวใจของเสิ่นซูหลิงก็อดเต้นรัวไม่ได้
ทีมงานคนนี้ใช้ภาษามือบอกเธอว่า เรตติ้งรายการ ‘สนทนาสามบันเทิง’ รอบนี้มากถึง 5% เกินมาตรฐานเฉลี่ยปกติ 3%
ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก!
…………………………………………………………………………