ในกระจกมีร่างเด็กผู้ชายตัวเล็กสามชุดเครื่องแบบคล้ายทหารของห้องสเปเชียลเอในตำนาน สีแดงที่เด่นชัด ออกแบบตัดเย็บแนบชิดตัว บนเท้ามีรองเท้าบูทหนังหุ้มข้อสูงเล็กๆ ที่สว่างแวววาวจนแทบจะสามารถสะท้อนร่างคนออกมา บนเอวยังมีเข็มขัดหนังกลัดกระดุมโลหะอันหนึ่งไว้ ทำให้เด็กชายตัวน้อยที่เดิมทีดูหล่อเหลาอย่างมากยิ่งดูองอาจกล้าหาญขึ้นอีกหลายส่วน ทำให้หัวใจของผู้หญิงที่อยู่ข้างกายสั่นกระเพื่อม เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของมารดา
หลานลั่วเฟิ่งประคองแก้มตัวเองไว้ ทำสีหน้าเพ้อฝัน “หลานหลาน ลูกดูเหมือนพ่อของลูกมากเกินไปแล้ว หล่อไร้เทียมทานเหลือเกิน”
หลิงหลานอดกลอกตาไม่ได้ ชมก็ชมสิ ทำไมต้องพูดถึงพ่อเธอด้วย? ชมเธอชัดๆ แต่ความจริงแล้วคนที่นึกถึงก็คือพ่อของเธอเหรอ?
เมื่อคิดถึงประวัติมากมายนับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้ของหลานลั่วเฟิ่ง หลิงหลานก็แน่ใจมากว่าแม่ของเธอคลั่งรักอีกแล้ว เธอเมินผู้หญิงคนนี้ไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นก็เลยเอ่ยกับหลิงหนานอีตรงๆ ว่า “คุณย่าแม่บ้าน รบกวนดูแลแม่ด้วยนะครับ”
หลิงหนานอีเป็นภรรยาของพ่อบ้านหลิงฉิน หลานลั่วเฟิ่งกับหลิงหลานเข้ามาพักอยู่ในสถาบันลูกเสือครั้งนี้ก็ได้พาหลิงหนานอีมาด้วย ให้เธอมีอำนาจสิทธิขาดรับผิดชอบเรื่องทุกอย่างของบ้านพัก และหลิงหนานอีก็เลือกแม่บ้านที่ไม่มีปัญหาอะไรและจงรักภักดียินดีสละชีวิตเพื่อตระกูลหลิงมาหนึ่งคนอย่างระมัดระวังเพื่อมารับหน้าที่ทำความสะอาดบ้านพัก
หลิงหนานอีเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายหลาน โปรดวางใจเถอะค่ะ”
หลิงหลานค่อยโบกมือบอกลาพวกเธอก่อนจะเดินไปที่หน้าประตูบ้านพัก เธอเพิ่งจะเปิดประตูออกไป ทางด้านหลานลั่วเฟิ่งก็ได้สติจากสภาวะเคลิบเคลิ้ม “หลิงหลาน ลูกเห็นแม่เป็นอะไร ลูกมันอกตัญญู!” หลานหลัวเฟิ่งตวาดมาจากทางด้านหลัง เธอเพิ่งจะตระหนักได้ถึงความหมายในคำพูดของหลิงหลานจนรู้สึกโมโห
หลิงหลานหันมาด้วยยิ้ม “ยินดีด้วยครับแม่ แม่ยังไม่ได้โง่ไปหมด” เธอกล่าวจบก็พุ่งตัวออกไป
“โครม!” เสียงวัตถุบางอย่างกระแทกกับประตูใหญ่ จากนั้นเสียงคำรามที่ดุราวกับเสือของหลานลั่วเฟิ่งก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “หลิงหลาน คอยดูนะ กลับมาแล้วแม่จะจัดการลงโทษลูก!”
หลิงหลานเดินออกจากบ้านพักขณะที่มุมปากมีรอยยิ้ม แม่ของเธอก็แค่พูด พอเธอกลับมาจริงๆ ก็จะกอดเธอด้วยความกระตือรือร้นแน่นอน หลังจากนั้นก็จะหอมเธอไม่หยุด ท่าทางเหมือนกับว่าจะไม่ยอมหยุดถ้าหากหอมจนหน้าเธอบวมไม่ได้ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลิงหลานสงสัยว่า แม่ได้รับการปลูกฝังนิสัยแย่ๆ นี้มาจากพ่อของเธอหรือเปล่า…น่าเสียดายที่ไม่มีของให้อ้างอิง เธอเลยไม่สามารถพิสูจน์ความจริงได้
หลิงหลานค่อยๆ เดินไปบนเส้นทางหลักของเขตบ้านพักแห่งนี้ ช่วงเวลารุ่งสาง มีเด็กเล็กและเด็กวัยรุ่นที่สวมชุดเครื่องแบบสีแดงแบบเดียวกันโผล่ขึ้นมาบนถนนสายนี้ อายุของพวกเขามีตั้งแต่เด็กยันโต ทว่าพวกเขากลับมีทิศทางเดียวกัน ก็คือไปเขตการเรียนรู้ของสถาบันลูกเสือ
ที่แท้เขตบ้านพักขนาดใหญ่ที่หลิงหลานเข้าพักอาศัยอยู่เป็นเขตบ้านพักที่ให้นักเรียนห้องสเปเชียลเอของสถาบันศูนย์กลางลูกเสืออยู่อาศัย นักเรียนจากชั้นปีหนึ่งจนถึงชั้นปีสิบต่างอยู่ที่นี่กันทุกคน
อย่างไรก็ตาม น้อยมากที่นักเรียนพวกนี้จะเดินเหมือนกับหลิงหลาน พวกเขากำลังบินไปอย่างอิสระบนถนนหลักขณะที่สวมรองเท้าที่พ่นกระแสลมไปทางด้านหลัง
รองเท้าแบบนี้เรียกว่าฟลายอิ้งสเก็ต มันดูเหมือนรองเท้าสเก็ตชาติก่อนของหลิงหลานมาก ข้างใต้รองเท้ามีล้อ มีล้อสองแถว และก็มีล้อแถวเดียว แต่ฟลายอิ้งสเก็ตล้ำหน้ายิ่งกว่ารองเท้าสก็ต มันมีอุปกรณ์ขับเคลื่อนขนาดจิ๋วติดตั้งอยู่ที่สองฝั่งของรองเท้ารวมไปถึงตรงส้นเท้า ซึ่งสามารถยืมพลังงานของหน่วยเก็บพลังงานมาขับเคลื่อนให้สเก็ตไปเอง จนกระทั่งไปถึงความเร็วในระดับหนึ่ง รองเท้าก็สามารถพาคนบินขึ้นมาได้ แน่นอนว่าระดับความสูงมากที่สุดคือสามารถบินได้แค่ประมาณสองจุดห้าเมตรเท่านั้น
หลิงหลานมึนงงอยู่บ้าง เนื่องจากกฎของสถาบันไม่อนุญาตให้นักเรียนใช้พลังภายนอกมาบินมั่วซั่วภายในสถาบัน ทำไมนักเรียนห้องพิเศษพวกนี้ถึงได้กล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้ล่ะ
“ยืนยันได้ว่า นักเรียนพวกนี้เป็นนักเรียนปีสองขึ้นไปทั้งหมด” เสี่ยวซื่อกระโดดออกมา
“ตรวจสอบดูหน่อยว่าทำไมพวกเขาสามารถใช้ฟลายอิ้งสเก็ตได้” หลิงหลานไม่คิดว่า นักเรียนห้องสเปเชียลเอจะมีอิสระขนาดนี้จริงๆ จะต้องมีสาเหตุอะไรบางอย่างแน่นอน
“หาเจอแล้ว ที่แท้พวกเขาใช้แต้มผลการรบแลกฟลายอิ้งสเก็ตมา ดังนั้นก็เลยสามารถบินอยู่ในสถาบันได้อย่างอิสระ”เสี่ยวซื่อยอดเยี่ยมมาก สุ่มเชื่อมต่อสัญญาณไร้สายสักอันเข้าไปที่อินทราเน็ตของสถาบันและค้นหาคำตอบที่หลิงหลานต้องการ
“ฟลายอิ้งสเก็ตที่แลกมาเป็นของที่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือสั่งทำเป็นพิเศษ มีรหัสประจำตัวของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ดังนั้นถึงสามารถบินอยู่ในสถาบันได้อย่างอิสระ ฟลายอิ้งสเก็ตอื่นๆ ถูกห้ามบิน ถ้าหากพบจะถูกหักคะแนน แล้วยังถูกลดระดับห้องหนึ่งระดับด้วย” เสี่ยวซื่อเอ่ยปากพูดเสริมโดยที่ไม่รอให้หลิงหลานถามต่อ
นี่สิถึงจะถูก! เดิมทีหลิงหลานคิดอยู่ว่าสถาบันแยกออกยังไงว่าเป็นฟลายอิ้งสเก็ตที่แลกมาหรือว่าเป็นของที่นำมาจากข้างนอกเอง คำอธิบายเพิ่มเติมต่อมาของเสี่ยวซื่อได้แก้ไขความสงสัยของเธอ เธอมองพวกรุ่นพี่ที่บินบินมาพวกนั้นด้วยความอิจฉา ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากนี้ถ้ามีโอกาสเธอก็จะแลกมาสักอัน
หลิงหลานเดินไปที่ป้ายรถประจำทางโฮเวอร์คาร์ของเขตบ้านพัก สถาบันอยู่ไกลมาก ถ้าหากอาศัยสองขาเดินไป ย่อมไปไม่ถึงเขตการเรียนรู้ภายในหนึ่งชั่วโมงแน่นอน นักเรียนใหม่อย่างพวกเขาไม่มีฟลายอิ้งสเก็ต ถ้าอยากจะประหยัดเวลาก็ได้แต่อาศัยป้ายรถประจำทางโฮเวอร์คาร์ที่ทางสถาบันจัดตั้งไว้พวกนี้
หลิงหลานยังเดินไปไม่ถึงป้ายรถประจำทางโฮเวอร์คาร์ก็เห็นคนมากมายยืนรออยู่ตรงนั้น หลิงหลานนวดหว่างคิ้วด้วยความกลัดกลุ้ม ดูท่าจะต้องรออีกหลายคัน หวังว่าเธอจะไม่ไปสายนะ เป็นเพราะหลานลั่วเฟิ่งทำให้เวลาออกจากบ้านของหลิงหลานไม่ได้เช้ามากนัก
หลิงหลานเดินไปที่ป้ายรถประจำทางโดยที่รักษาความเร็วคงเดิมไว้ เวลานี้เองเธอก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยตะโกนดังลั่นไม่ไกลจากด้านหลัง “จี้จวิน ลั่วล่าง เร็วหน่อยพวกนาย พวกเราใกล้จะสายแล้ว…”
เป็นฉีหลง! หลิงหลานทำหน้าประหลาดใจ ไม่นึกว่าจะบังเอิญเจอพวกฉีหลงที่นี่แบบนี้ มุมปากเธอเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา พวกฉีหลงสามคนยังไม่รู้ว่าเธอเองก็อยู่ประจำแล้วเหมือนกัน พวกเขาน่าจะไม่คาดคิดว่าจะได้เจอเธอที่นี่ในตอนเช้า
ฉีหลงไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่เดินอยู่ข้างหน้าคือหลิงหลานตามที่คาดไว้จริงๆ เขาพุ่งผ่านจากข้างกายหลิงหลานราวกับบินก็ไม่ปาน ทันใดนั้นหลิงหลานก็ยื่นขาออกมาขวางไว้
“ฉีหลง ระวัง” ลั่วล่างที่อยู่ด้านหลังมองเห็นชัดเจนมาก แต่เนื่องจากเขาอยู่ห่างมากเกินไป ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ทำได้แค่ตะโกนเสียงดังพยายามเตือนฉีหลงด้วยความเดือดดาล
ฉีหลงมีลางสังหรณ์ระดับสัตว์ร้ายจริงๆ จังหวะที่หลิงหลานยื่นขาออกไปเป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมที่สุด แน่นอนว่าฉวยโอกาสตอนที่เขาไม่ได้เตรียมตัว ไม่นึกว่าต่อให้เป็นแบบนี้ ชั่วพริบตาที่ฉีหลงกำลังจะสะดุด หมอนี่ยังสามารถรับมือกับสถานการณ์จวนตัวได้สำเร็จ เขาหดเท้าแทบจะเฉียดผ่านเท้าน้อยๆ ของหลิงหลาน หลีกเลี่ยงเคราะห์ร้ายที่สะดุดล้มนี้ แต่ถึงยังไงก็เป็นการโจมตีโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวมากเกินไป จังหวะของฉีหลงถูกก่อกวน เขายืนลงบนพื้นโดยที่ไม่มั่นคง ก่อนจะโซเซจนเกือบจะล้มลงไป
“ไอ้สารเลว…” เมื่อร่างกายฉีหลงยืนได้มั่นคงแล้ว เขาก็หันหน้ากลับไปด้วยความโกรธเกรี้ยวเตรียมตัวจะสั่งสอนคนที่ลอบโจมตีเขา แต่เขาก็เห็นหลิงหลานกำลังมองเขาด้วยรอยยิ้มเต็มเปี่ยม
“ลูกพี่ เป็นนายนี่เอง! นายมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?” ฉีหลงดีใจมาก ก้าวเท้ายาวๆ ขึ้นหน้าไปกอดหลิงหลานอย่างหนักหน่วง แล้วค่อยถามคำถามที่อยู่ในใจเขาออกมา
เดิมทีหานจี้จวินกับลั่วล่างวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว พอได้ยินเสียงตะโกนของฉีหลง พวกเขาก็เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดีในชั่วพริบตา หานจี้จวินยิ่งเอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายว่า “ลูกพี่หลาน นายตัดสินใจพักอยู่ในสถาบันแล้วเหรอ?” การที่หลิงหลานปรากฏตัวขึ้นในสถานที่แห่งนี้ นอกจากเธอพักอยู่ในสถาบันแล้วก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่สองอีก
หลิงหลานพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสาว่า “ช่วยไม่ได้ ฉันถูกทางสถาบันบังคับให้ยกเลิกการเรียนแบบไปกลับ ฉันเลยได้แต่พักอยู่ในโรงเรียนแล้ว”
“ดีเหลือเกิน คราวนี้พวกเราก็ฝึกฝนเรียนรู้ด้วยกันได้แล้ว” ฉีหลงเป็นคนที่ดีใจมากที่สุด เขาหาคนที่สามารถต่อสู้กับเขาได้แล้ว เมื่อวานเขาต่อสู้กับลั่วล่างมารอบหนึ่ง ฉีหลงรู้สึกว่าเขาไม่สะใจเลยสักนิดเดียว สู้กับลูกพี่หลานยังรู้สึกดีมากกว่า ถึงแม้ว่าเขาจะถูกลูกพี่หลานทารุณตลอดก็ตามที
สีหน้าของหานจี้จวินกับลั่วล่างเองก็ดีใจอย่างยิ่งเช่นกัน พวกเขาหัวเราะพูดคุยกันแล้วก็มาถึงป้ายรถประจำทางโฮเวอร์คาร์ เวลานี้คนที่อยู่ตรงป้ายรถประจำทางลดน้อยลงนิดหน่อยแล้ว หานจี้จวินใช้อุปกรณ์สื่อสารของตัวเองแสกนไปที่เซนเซอร์ของป้ายรถประจำทาง จากนั้นก็ได้ยินเซนเซอร์ส่งเสียงจักรกลขึ้นมาว่า “โฮเวอร์คาร์ที่คุณต้องการจะมาถึงในอีกสามนาทียี่สิบวินาที โปรดเตรียมตัวให้พร้อม”
ไม่นาน นักเรียนที่เข้าแถวด้านหน้าก็ขึ้นไปนั่งบนโฮเวอร์คาร์ทีละคนก่อนจะจากไป ในที่สุดก็ถึงตาของพวกหานจี้จวินสี่คน โฮเวอร์คาร์ของสถาบันเป็นรถรูปแบบสองที่นั่งทั้งด้านหน้าและด้านหลัง คล้ายคลึงกับรถสปอร์ตเปิดประทุนของโลก โฮเวอร์คาร์มาถึงตรงเวลามาก เป็นสามนาทียี่สิบวินาทีจริงๆ พวกหลิงหลานสี่คนแบ่งกันขึ้นไปนั่งบนเบาะหน้าและเบาะหลังตามใจชอบ ก่อนจะเลือกห้องเรียนของห้องสเปเชียลเอชั้นปีหนึ่งที่พวกเขาต้องไป
พวกเขาเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูห้องเรียนก็มีเสียงกริ่งเตรียมตัวเข้าเรียนดังขึ้นภายในห้องเรียน พวกเด็กๆ รีบไปนั่งบนที่นั่งของตัวเองทันที ก่อนจะเริ่มทำการเตรียมตัวครั้งสุดท้าย เมื่อหลิงหลานเดินเข้าไปในห้องเรียนก็ดึงดูดสายตาสงสัยใคร่รู้ของพวกเขา เนื่องจากหลิงหลานเป็นคนแปลกหน้า ทำให้พวกเขาเดาได้อย่างรวดเร็วว่าหลิงหลานก็คือเพื่อนร่วมชั้นลึกลับที่หยุดเรียนในวันแรกของการเปิดเรียน ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่มีเบื้องหลังที่ทรงอำนาจ
หานจี้จวินส่งสัญญาณบอกให้หลิงหลานตามเขาไป ที่แท้เมื่อวานคุณครูประจำชั้นได้จัดที่นั่งเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และที่นั่งของหลิงหลานก็อยู่ด้านหลังหานจี้จวิน โดยที่มีฉีหลงกับลั่วล่างอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของหลิงหลาน
“ทำไมถึงจัดแบบนี้ล่ะ?” หลิงหลานสงสัยมาก ที่นั่งของพวกเขาทั้งสี่คนอยู่ด้วยกัน ทำให้สะดวกต่อการพูดคุยของพวกเขามาก
หานจี้จวินพูดด้วยสีหน้าจนใจว่า “ที่นั่งของฉันกับนายเป็นที่นั่งที่ครูจัดให้ แต่ของฉีหลงกับลั่วล่างเป็นที่นั่งที่ได้จากการต่อสู้” ดูท่าหานจี้จวินจะห้ามปรามการกระทำของฉีหลงกับลั่วล่างแล้ว แต่น่าเสียดายที่ทำไม่สำเร็จ
“ทำไมถึงเป็นที่นั่งที่ได้จากการต่อสู้ล่ะ?” หลิงหลานสงสัย
ฉีหลงที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “หลังจากที่ครูจัดที่นั่งแล้วก็บอกว่า ใครไม่พอใจกับที่นั่งของตัวเองก็สามารถท้าประลองกับเพื่อนร่วมชั้นของที่นั่งที่ตัวเองอยากนั่งได้ ถ้าชนะการประลองก็สลับที่นั่งได้ ถ้าเกิดแพ้การประลองก็จะต้องรับใช้เพื่อนที่ตัวเองท้าประลองหนึ่งเดือน และฉันกับลั่วล่างต่างก็ชนะกันทั้งคู่ไงล่ะ”
หน้าผากของหลิงหลานขึ้นขีดดำ โลกใบนี้อันตรายมากจริงๆ เด็กอายุน้อยขนาดนี้ ครูก็เริ่มบ่มเพาะจิตวิญญาณต่อสู้ของพวกเขาแล้ว ดูท่าเธอจะหย่อนยานไม่ได้จริงๆ ถ้าหากคิดจะเอ้อระเหยอยู่ในโลกใบนี้
ในเวลานี้เอง เสียงกริ่งเข้าเรียนอย่างเป็นทางการก็ดังขึ้นมาในห้องเรียน ชายหนุ่มหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่งค่อยๆ เดินเข้ามาในห้องเรียน เขาก็คือครูประจำชั้นปีหนึ่งห้องสเปเชียลเอของพวกเขา
อาทิตย์แรกของนักเรียนใหม่จะไม่มีการสอนอย่างเป็นทางการ ทว่าจะแบ่งเป็นหลักสูตรอธิบายกฎของสถาบันในตอนเช้า และขั้นตอนการฝึกฝนร่างกายรวมไปถึงทำความคุ้นเคยกับโรงยิมและอุปกรณ์ออกกำลังกายต่างๆ ของสถาบันในช่วงบ่าย
ครูประจำชั้นปีหนึ่งของห้องสเปเชียลเอนามสกุลเฉิง มีชื่อว่าหย่วนหัง เมื่อเขาเห็นหลิงหลาน สายตาก็เย็นเยียบ หลังจากนั้นเขาก็กล่าวกับนักเรียนว่า “เมื่อวานครูบอกไปแล้วว่า ถ้ามีใครถูกใจที่นั่งไหนก็สามารถท้าประลองกับเพื่อนเจ้าของที่นั่งนั้นได้ เดิมทีเมื่อวานก็ควรจะจบกิจกรรมนี้แล้ว แต่เนื่องจากเมื่อวานมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งไม่มาพวกเราเลยไม่สามารถจบมันได้ ดังนั้นวันนี้ครูจะถามอีกครั้ง มีใครต้องการที่นั่งของหลิงหลานไหม?”
หลิงหลานขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าครูประจำชั้นตรงหน้าคนนี้จะไม่ชอบเธอเอามากๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เอ่ยชื่อของเธอออกมาโดยตรง
พวกนักเรียนมองหน้ากันเอง ทว่าไม่มีใครส่งเสียงออกมา ทุกคนต่างไม่อยากท้าประลองหลิงหลาน คิดดูสิ ไปท้าประลองกับเพื่อนที่ไม่รู้ความสามารถที่แน่ชัดเพื่อที่นั่งที่แทบจะไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาก็ยังต้องรับใช้อีกฝ่ายหนึ่งเดือน…ดูยังไงก็ไม่คุ้มเลย ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะอยู่ในอันดับที่ 17 แต่ว่าฉีหลงกับลั่วล่างที่มีอันดับตามหลังเขายังมีความสามารถแข็งแกร่งมากโดดเด่นเป็นม้ามืด ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องระมัดระวัง
เมื่อเฉิงหย่วนหังคิดว่าไม่มีใครท้าประลองแล้ว ทันใดนั้นเองก็มีเด็กร่างผอมบางคนหนึ่งลุกขึ้นมาพูดว่า “ผมอยากท้าประลองครับ!”
“หลินจงชิง?” นักเรียกทุกคนส่งเสียงฮือฮา เพื่อนร่วมชั้นที่มีอันดับรั้งท้ายสุดของห้องสเปเชียลเอกล้าท้าประลองหลิงหลานที่อยู่ในอันดับปานกลางเนี่ยนะ? หาเรื่องตายหรือไง
…………………………………………