หลิงหลานย่อมสามารถเลือกวิธีโต้ตอบไปทีละท่า อีกฝ่ายโจมตีมายังไงเธอก็ทำลายอย่างนั้น แต่น่าเสียดายอู่จย่งที่ดีดลูกคิดรางแก้วคนนี้ไม่ได้ช่วยให้เธอสมปรารถนาเลย พูดอีกอย่างก็คือ อู่จย่งตัดสินใจไม่ลงมือบุกโจมตีเอง แต่เขาอยากให้หลิงหลานลงมือ
ดังนั้นตอนนี้หลิงหลานเลยปวดหัวมาก นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมทางด้านฉีหลงต่อสู้กันเกินหนึ่งร้อยกระบวนท่าแล้ว แต่ทางด้านหลิงหลานกลับลงมือหยั่งเชิงกันแค่สิบกว่ากระบวนท่าเท่านั้น พูดได้ว่า เวลาส่วนใหญ่ของพวกเขาทั้งสองคนต่างหมดไปกับวนเวียนอยู่ด้านบน
อย่างไรก็ตาม ต่อให้หลิงหลานขาดทุกอย่าง แต่ความอดทนนั้นไม่เคยขาด ขนาดอาจารย์หมายเลขหนึ่งยังเคยพูดว่า ความอดทนของหลิงหลานอยู่ในระดับผิดปกติแล้ว นอกเสียจากเธอไม่อยากอดทนจริงๆ คาดเดาได้เลยว่าสถานการณ์วนเวียนกันไปกันมาโดยไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันแบบนี้น่าจะยังดำเนินต่อไป นี่ทำให้พวกนักเรียนที่ชมการต่อสู้หมดความอดทน และทยอยกันจากไป และอาจารย์ส่วนใหญ่ก็เบนสายตาจากทางฝั่งหลิงหลานไปสังเกตสถานการณ์การแข่งขันของสนามประลองอื่น
เวลานี้เสี่ยวซื่อที่อยู่ในมิติแห่งจิตถูกการวนรอบอย่างอืดอาดที่ดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุดตรงหน้านี้ทำให้ร้อนใจขึ้นแล้ว “ลูกพี่ ไม่เวียนหัวเลยเหรอ?” วนมาห้าสิบหกสิบแล้วใช่ไหม?
“ยังไหวอยู่ ไม่ได้รู้สึกเวียนหัว” หลิงหลานเย้ยหยันตัวเองอย่างเย็นชา เธออับจนหนทางกับสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน ควรรู้ไว้ว่า การลงมือหลายครั้งของเธอเป็นการลงมือที่จงใจเปิดเผยช่องโหว่เล็กๆ แต่น่าเสียดายที่ความอดทนกับความอดกลั้นของอู่จย่งดีมาก ต้านทานการล่อลวงนี้ไปได้โดยที่ไม่เลือกลงมือ
“ลูกพี่ KO มันตรงๆ เถอะ” เสี่ยวซื่อเอ็ดตะโร เห็นได้ชัดว่าลูกพี่ของเขาใช้นิ้วเดียวก็สามารถจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว ทำไมถึงต้องทำซับซ้อนขนาดนี้ด้วย? เสี่ยวซื่อไม่เข้าใจความหวั่นเกรงของหลิงหลานเลย
KO ตรงๆ ไปเลย? ถ้าเกิดมันง่ายขนาดนั้นก็ดีสิ หลิงหลานถลึงตาใส่เสี่ยวซื่อด้วยความไม่สบอารมณ์บ่งบอกให้เขาเลิกทำเรื่องที่ไม่มีความหมายแบบนี้ได้แล้ว
ความแคลงใจของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อโกรธมาก เขาพองแก้มขึ้นมาอย่างฉุนเฉียว ปากน้อยๆ กระดกขึ้นสูง เอ่ยด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “ทำไมลูกพี่ต้องต่อสู้โดยที่คำนึงถึงความเร็วของเขาด้วย? เคลื่อนไหวเร็วกว่าเขาก็โจมตีโดนเขาแล้วไม่ใช่เหรอ?” เสี่ยวซื่อรู้ความสามารถของหลิงหลานดี ความเร็วในการโจมตีของเธอสามารถเร็วได้มากกว่านี้ ขอเพียงเพิ่มความเร็วขึ้นหนึ่งขึ้น เด็กน่ารังเกียจตรงหน้าย่อมหลบไม่พ้นแน่นอน
หลิงหลานอึ้งไป พริบตาเดียวก็ยิ้มขื่นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองเดินเข้าไปทางตันจริงๆ ทำไมเธอต้องเล็งโจมตีไปที่จุดอ่อนในการโจมตีของอีกฝ่ายด้วย? จริงๆ แล้วเธอมีความสามารถมองทะลุจุดอ่อนได้ในแวบเดียว ทำให้เธอสามารถหาจุดอ่อนถึงแก่ชีวิตจากการโจมตีของอีกฝ่ายได้ในชั่วพริบตา เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่เธอไม่ได้มีแค่สิ่งเหล่านี้อย่างเดียว เธอยังมีพละกำลัง ความเร็ว รวมไปถึงการตอบสนองที่เหนือกว่าคนอื่นหนึ่งขั้น เธอสามารถอาศัยของเหล่านี้บดขยี้กำราบคู่ต่อสู้ได้…นี่เป็นการแสดงออกถึงความแข็งแกร่ง
“เสี่ยวซื่อ นายเป็นลูกน้องแสนดีของฉันจริงๆ ขอบใจนะ!” หลิงหลานที่แก้ปัญหาได้แล้วก็ยิ้มกว้างให้เสี่ยวซื่อ ราวกับความอบอุ่นในวันที่หนาวเหน็บ หัวใจดวงน้อยๆ ของเสียวซื่อเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ เหมือนกับเขาอยู่ท่ามกลางความอบอุ่น ความอุ่นสบายทำให้คนรู้สึกอาลัยอาวรณ์
เสี่ยวซื่อรู้สึกได้ว่าตัวเขากำลังมึนงงด้วยความชื่นมื่น ดวงหน้าน้อยๆ ที่เดิมทียังพองแก้มด้วยความโกรธก็นุ่มนวลขึ้น มุมปากอดยกขึ้นมาน้อยๆ ไม่ได้
หลิงหลานที่แก้ปัญหาได้แล้วก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เธอใส่เต็มแรงกระทืบเท้าทีหนึ่ง ยืมพลังนี้พุ่งเข้าไปหาอู่จย่งที่อยู่ตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันมือขวาก็กำหมัดโจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างรุนแรง
อู่จย่งเห็นการเคลื่อนไหวนี้ก็ตะลึงงัน แต่ว่านี่เป็นเพียงเหตุการณ์ในชั่วพริบตา เขารีบตั้งสองมือขึ้นมาทำท่าป้องกัน เตรียมพร้อมต้านทานการโจมตีที่ทรงอานุภาพอย่างยิ่งของหลิงหลาน
ในใจอู่จย่งรู้สึกตกตะลึงเนื่องจากหลิงหลานเคยใช้การโจมตีนี้ในตอนที่เริ่มการประลองมาก่อน แต่ว่าเขากลับป้องกัน ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เห็นได้ชัดว่าวิธีการโจมตีนี้ไร้ประโยชน์ แต่ทำไมหลิงหลานยังใช้ออกมาอีกครั้งล่ะ?
อู่จย่งคิดไม่ออก แต่ว่าไม่นานเขาก็เข้าใจ การตั้งรับแบบเดียวกัน ท่วงท่าแบบเดียวกัน ความเร็วแบบเดียวกัน อู่จย่งที่ทำการป้องกันเหมือนกับก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงกลับพบว่า กำปั้นที่โจมตีมาทางเขา ห่างจากตรงหน้าเขาไม่ถึงสามสิบเซนติเมตรจู่ๆ ก็หายไปอย่างกะทันหัน
ใช่แล้ว เห็นชัดๆ ว่ากำปั้นอยู่ตรงหน้า แต่มันก็หายไปแบบนี้
เวรเอ๊ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อู่จย่งงุนงงสับสนและก็รู้ว่าสถานการณ์ของเขาท่าจะไม่ดีแล้ว
ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมาในใจ เขาก็รู้สึกได้ว่าแขนซ้ายถูกพลังมหาศาลซัดใส่อย่างหนักหน่วง พลังนี้ทำให้ร่างกายของเขาถอยหลังกระเด็นออกไปโดยที่ไม่สามารถควบคุมได้ หลังจากนั้นก็กระแทกลงไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว
“แย่แล้ว ถูกโจมตีจนได้!” ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่แขนซ้ายทำให้อู่จย่งสูดลมหายใจยะเยือก แต่เขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ หากแต่ฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดบิดกายตรงกลางอากาศ การพลิกตัวกลางอากาศราวกับเหยี่ยวทำให้เขาปัดพลังนี้ออกไปได้และร่วงลงสู้พื้นด้วยความมั่นคง มือขวาของเขากดแขนซ้ายตัวเองไว้ ตรวจสอบบาดแผลของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ยังดีนะ เป็นแค่อาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ!” อู่จย่งลอบยินดีในใจ พละกำลังของหลิงหลานไม่นับว่าแข็งแกร่ง เขาแค่ได้รับบาดเจ็บเบาๆ ที่ผิวหนัง ไม่ได้ส่งผลกระทบในการต่อสู้ถัดไป
อย่างไรก็ตาม โชคดีของอู่จย่งก็มาถึงแค่ตรงนี้เท่านั้น ในตอนที่เขาเพิ่งจะแน่ใจได้ว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย การโจมตีของหลิงหลานก็เข้ามาอีกครั้งในชั่วพริบตา
“คราวนี้ ฉันจะต้องเห็นการโจมตีให้ได้!” อู่จย่งไม่สบอารมณ์กับการจู่โจมเมื่อสักครู่นี้มาก คิดว่าสาเหตุมาจากการที่เขาหย่อนยานไป ถึงยังไงเขาก็ป้องกันการโจมตีสิบกว่ากระบวนท่าก่อนหน้านี้ได้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่เชื่อว่าคราวนี้เขาตั้งสมาธิจดจ่อแล้วยังจะเกิดข้อผิดพลาดได้อีก
ทว่าความเป็นจริงก็ทำให้อู่จย่งตะลึงงัน เพราะว่าคราวนี้เขาไม่เพียงไม่เห็นการเคลื่อนไหวจู่โจมของหลิงหลาน ขนาดตัวหลิงหลานก็หายไปจากขอบเขตสายตาของเขา
เขาเห็นชัดๆ ว่าตอนที่หลิงหลานอยู่ห่างจากเขาประมาณสามเมตร จู่ๆ ร่างของหลิงหลานก็หายไป
ให้ตายสิ หลิงหลานยังล่องหนได้ด้วยเหรอ? อู่จย่งอดสบถในใจไม่ได้ เขาย่อมรู้ว่านี่เป็นไปไม่ได้ ความจริงเพียงหนึ่งเดียวก็คือความเร็วของหลิงหลานรวดเร็วถึงขึ้นที่เขามองตามไม่ทัน นี่มันเป็นไปได้ด้วยเหรอ?
เวลานี้นักเรียนจำนวนไม่น้อยที่กำลังชมการประลองของหลิงหลานกับอู่จย่งต่างอดร้องตกใจขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่าหลิงหลานหายไปจากสายตาของพวกเขาเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้ดียิ่งกว่า พริบตาที่หลิงหลานหายตัวไป เธอก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ตอนนี้หลิงหลานมาถึงตรงหน้าอู่จย่งแล้ว เนื่องจากอู่จย่งอยู่ในท่าคุกเข่า สายตาของเขาเลยไม่เห็นหลิงหลานที่อยู่ด้านล่าง แต่ว่าพวกเขามองเห็น
ฉีหลงสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งตัวด้วยความตื่นเต้น เขากุมมือหานจี้จวินไว้แน่นและกล่าวว่า “สวรรค์ ลูกพี่แข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ความเร็วนี้ แม่งเท่เกินไปแล้ว”
ลั่วล่างที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำพูดนี้ก็ได้แต่พยักหน้ารับอย่างสุดความสามารถ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาจ้องเขม็งไปบนสนามประลอง กลัวว่าเขาจะพลาดการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมมากกว่านี้
“แข็งแกร่งขึ้นอีกเหรอ?” หานจี้จวินเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สงสัย การกระทำของหลิงหลานไม่ใช่จังหวะที่เกิดจากการแข็งแกร่งขึ้นกะทันหัน ท่าทางของเขาเหมือนกับถูกปลดผนึกมากกว่า
“ผัวะ!” เสียงหนึ่งดังขึ้น อู่จย่งส่งเสียงอู้อี้ขณะที่ร่างกายลอยขึ้นมาอีกครั้ง
“หลิงหลาน!” ทุกคนอดร้องตะโกนเสียงดังไม่ได้ หลิงหลานที่เดิมทีอยู่ในท่าคุกเข่าก็เตะขึ้นไปด้านบน อู่จย่งที่ไม่ได้ทำการป้องกันเลยสักนิดถูกเตะขึ้นไปกลางอากาศ
แรงระเบิดที่ส่วนขาเข้ามาด้วยพลังที่มากกว่าพละกำลังแขน ทว่าคราวนี้ส่วนที่อู่จย่งถูกเตะก็คือแขนขวาของเขา ครั้งนี้ไม่เพียงบาดเจ็บที่ผิวหนัง หลังจากที่แขนขวาเจ็บอย่างรุนแรงแล้ว อู่จย่งรู้สึกถึงเพียงความชา ไร้ความรู้สึกไปทั่วทั้งแขนขวาแล้ว
เขาหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา ไม่รู้ว่าแขนขวาของตัวเองเป็นอย่างไร ถูกเตะจนกระดูกหักไปแล้วใช่ไหม? ถึงแม้ว่าสหพันธรัฐจะพัฒนาน้ำยารักษาฟื้นฟูขึ้นมา สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น ทว่ากระดูกหักไม่ใช่สิ่งที่จะรักษาได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าหากผิดตำแหน่งขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของเขาได้
ลูกเตะของหลิงหลานดูเหมือนโหดเหี้ยม แต่ความจริงแล้วเธอยังควบคุมพละกำลังไว้ ไม่ได้สร้างบาดแผลให้กับอู่จย่งไปชั่วชีวิต ถึงแม้ว่าเธอไม่อาจแน่ใจได้ว่ากระดูกจะมีรอยร้าวหรือไม่ แต่ว่าไม่มีทางเกิดการบาดเจ็บสาหัสอย่างกระดูกหักหรือแตกเป็นเสี่ยงๆ เด็ดขาด
“ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!” การโจมตีของหลิงหลานไม่ได้หยุดเพราะเรื่องนี้ เธอต่อยไปสามครั้งติดกัน หลิงหลานที่อยู่กลางอากาศไม่ได้มอบโอกาสให้อู่จย่งโจมตีกลับอีก เธอซัดจนเขาออกจากขอบเขตสนามประลองและร่วงลงไปที่ด้านล่างสนาม ส่วนเธอก็ร่อนลงมาบนลานประลองอย่างมั่นคง รอคอยการตัดสินสุดท้ายของกรรมการด้วยดวงตาเย็นชา
บางทีการจู่โจมของหลิงหลานอาจจะรวดเร็วมากเกินไป หรือบางทีช่วงเวลาก่อนหน้านี้หลิงหลานกับอู่จย่งจะเอื่อยเฉื่อยมากเกินไป สรุปคือ อาจารย์ที่รับหน้าที่ตัดสินการประลองรอบนี้ตกตะลึงไปสามสิบวินาทีเต็มๆ
เวลานี้ทุกอย่างเงียบกริบ ความเก่งกาจของหลิงหลานทำให้ทุกคนไม่กล้าหลุดเสียงออกมา การแสดงความสามารถก่อนหน้านี้แตกต่างกับตอนหลังมากเกินไปแล้ว ทุกคนต่างเชื่อไม่ลง ควรทราบว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเอาแต่อ้อมไปอ้อมมา หลังจากนั้นพริบตาเดียวก็ตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว? อันดับสองคนนั้นถูก KO ง่ายขนาดนี้เลยเหรอ? หรือว่าหลิงหลานแค่กำลังเล่นมาตั้งแต่แรกแล้ว?
ทุกคนต่างรู้สึกพูดไม่ออกอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าควรจะเผชิญหน้ากับหลิงหลานยังไงแล้ว ในใจพวกเขารู้สึกกลัดกลุ้มมาก ทำไมถึงต้องมีปีศาจอัจฉริยะอย่างหลิงหลานโผล่ขึ้นมาในชั้นปีของพวกเขาด้วย? เขาแข็งแกร่งจนทำให้พวกเขาไม่มีความคิดที่อยากจะเอาชนะเขาแล้ว
ทันใดนั้นอาจารย์ก็ได้สติ เขารีบตะโกนเสียงดังว่า “การประลองรอบนี้ ผู้ที่เลื่อนอันดับคือหลิงหลาน ยินดีกับหลิงหลานที่ได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ!”
คำประกาศของอาจารย์ตัดสินทำให้พวกฉีหลงสามคนร้องไชโยขึ้นมา จากนั้นเสียงปรบมือดังขึ้นมาอย่างเบาบางจนสุดท้ายเสียงปรบมือก็ดังไปทั่วทั้งสนาม กระทั่งรุ่นพี่ที่อยู่ชั้นปีสูงบางคนซึ่งชมการประลองของหลิงหลานเองก็ปรบมือขึ้นตาม
หลิงหลานแข็งแกร่งเกินไป หลังจากที่รู้สึกหดหู่ไม่นาน พวกเด็กปีหนึ่งต่างก็ยอมรับนับถือหลิงหลานแล้ว ความคิดเรื่องผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพทำให้พวกเขายอมรับความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของหลิงหลาน
นักเรียนชั้นปีสูงปรบมือไม่ใช่เพราะยอมรับหลิงหลาน หากแต่ชื่นชมการโค่นอันดับของหลิงหลาน ควรรู้ไว้ว่าความจริงแล้วอัตราที่นักเรียนอันดับต่ำสามารถก้าวข้ามเลื่อนอันดับในศึกจัดอันดับนั้นต่ำมาก ถึงแม้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ แต่ว่ามันน้อยจนยิ่งกว่าน้อย ทว่าปีนี้ผู้คนกลับรู้สึกตกตะลึง เนื่องจากมีเด็กสองคนโค่นล้มเลื่อนอันดับเข้าสู่รอบชิงได้สำเร็จพร้อมกัน หลิงหลานกับฉีหลงได้สร้างสถิติใหม่ ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสืออย่างไม่ต้องสงสัย
………
ภายในห้องผู้อำนวยการ เวลานี้มีชายสองคนกำลังสนใจการประลองรอบนี้เช่นกัน
“เหล่าสวี นายคิดว่าไง?” ท่านผู้อำนวยการยิ้มกริ่มเอ่ยถามขณะที่ชี้ไปยังหลิงหลานที่ยืนทำหน้าเย็นชาอยู่บนสนามประลองเป็นคนสุดท้าย
“ไม่เลว นับว่าหลิงเซียวมีผู้สืบทอดที่คู่ควรแล้ว” คนที่ถูกเรียกว่าเหล่าสวีสวมชุดเครื่องแบบทหารที่รีดจนเรียบตรง ดวงดาวบนบ่ารวมไปถึงยศทหารที่หน้าอกบอกกับผู้คนว่า เขาเป็นพลโทคนหนึ่ง
พลโทสวีเอ่ยถามเป็นห่วงว่า “นายเตรียมอาจารย์เริ่มแรกให้เด็กคนนี้หรือยัง? ถ้ายังไม่มีตัวเลือกที่ดี ฉันเตรียมให้ได้นะ”
……………………………………….