หุ่นรบของหลิงหลานตกลงไปฉับพลัน ทั่วทั้งร่างหุ่นรบตีลังกาอยู่กลางอากาศ สองขาพลันงอขึ้นมาก่อนจะเตะขึ้นด้านบนอย่างดุดัน หุ่นรบของจักวรรดิฮิงูเระที่เดิมทีถูกจับเอาไว้ในมือก็โดนเตะออกไปอย่างรุนแรง
หุ่นรบฮิงูเระพุ่งชนไปยังหุ่นรบที่ซุ่มโจมตีอยู่ไกลๆ อย่างรวดเร็วราวกับจรวดก็ไม่ปาน ส่วนหุ่นรบของหลิงหลานอาศัยแรงสะท้อนกลับนี้ทะยานไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว เครื่องยนต์หลักและเครื่องยนต์สำรองของหุ่นรบเปิดใช้งานทั้งหมดจนพลังขับเคลื่อนถึงจุดสูงสุดแทบจะในเวลาเดียวกัน อาศัยแรงสะท้อนเร่งความเร็วในการผลักดันร่างมหึมาให้ออกห่างจากหุ่นรบที่ถูกเตะกระเด็นตัวนั้น
ตรงจุดที่ห่างออกไปประมาณสามร้อยเมตร หุ่นรบฮิงูเระที่รับหน้าที่ซุ่มโจมตีตัวนั้นก็ลั่นไกปืนใหญ่พลังงานเลเซอร์เช่นกัน ลำแสงพลังงานที่มีอานุภาพร้ายแรงสุดขีดถูกยิงตรงออกมาจากในปากกระบอกปืนใหญ่…
เสียงระเบิดอย่างรุนแรงดังลั่นไปทั่วทั้งท้องฟ้า อานุภาพของมันยิ่งใหญ่จนถึงขั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกสั่นสะเทือนอย่างหนักหน่วงภายในรัศมีสองสามกิโลเมตร ต้นไม้ทุกต้นที่อยู่ห่างออกไปห้าร้อยเมตรจากจุดที่ใกล้ศูนย์กลางระเบิดต่างถูกการระเบิดมหาศาลนี้ทำลาย โดยเฉพาะในพื้นที่หนึ่งร้อยเมตรใกล้กับจุดศูนย์กลางมากที่สุดไม่มีสีเขียวหลงเหลืออยู่เลยสักนิดเดียว มีเพียงดินที่ถูกระเบิดจนเป็นสีดำ รวมไปถึงหลุมขนาดใหญ่ประมาณห้าสิบเมตรเท่านั้น
การควบคุมของหลิงหลานเหนือกว่าขีดจำกัดของเธอจนไปถึงขอบเขตที่คนทั่วไปไม่สามารถไปถึงได้ภายในช่วงเวลาความเป็นความตาย ทว่าต่อให้เธอมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วเช่นนี้ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากขอบเขตการระเบิดตัวเองของหุ่นรบฮิงูเระได้ทั้งหมด ขาขวาของหุ่นรบเธอถูกระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ทันที
การสั่นสะเทือนของพลังมหาศาลนี้ทำให้หลิงหลานได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เธอส่งเสียงแหวะ กระอักเลือกออกมาอีกครั้ง ทั่วทั้งร่างถูกกระทบกระเทือนจนรู้สึกตาพร่ามัววิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง
หลิงหลานกัดปลายลิ้นของตัวเองอย่างดุดัน ให้ความเจ็บปวดพาเธอกลับมามีสติแจ่มใส เธอเช็คคราบเลือดที่มุมปาก เอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมอานุภาพการระเบิดตัวเองถึงได้รุนแรงขนาดนั้น?”
เสี่ยวซื่อวิเคราะห์ออกมาในชั่วพริบตาว่า “หุ่นรบระเบิดตัวเองพร้อมกับตอนที่ปืนใหญ่พลังงานยิงใส่หุ่นรบ ในเวลาเดียวกันก็ระเบิดอานุภาพของปืนใหญ่พลังงานออกมา พลังมหาศาลสองสายนี้ซ้อนทับกัน ผลที่ออกมาจึงเหนือกว่าการที่ทั้งสองคนบวกพลังกันหลายเท่า”
“ดูท่ามันจะมีปฏิกิริยาทางเคมีสินะ” หลิงหลานขมวดคิ้ว เป็นเพราะอานุภาพการระเบิดที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ล่วงหน้านี้ทำให้เธอกับหุ่นรบได้รับความเสียหายอย่างหนักพร้อมกัน
……………..
พวกฉีหลงที่กำลังเร่งเดินทางถูกแรงระเบิดมหาศาลนี้สั่นสะเทือนจนกลิ้งไปกับพื้น หานจี้จวินที่มีความสามารถด้อยที่สุดถึงกับถูกกระเทือนจนกระเด็นลอยไปทันที โชคดีที่ฉีหลงมีปฏิกิริยาตอบสนองฉับไว กดเขาไว้และโถมตัวล้มลงไปกับพื้นได้ทันเวลา เขาจึงโชคดีมากที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
ฉีหลงรอให้การสั่นสะเทือนหยุดลงก่อนจะรีบคลานขึ้นมามองไปบนฟ้า แล้วก็เห็นขาขวาของหุ่นรบสหพันธรัฐที่อยู่กลางอากาศตัวนั้นถูกระเบิดทำลาย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันใด
“พวกเราต้องเร็วขึ้นอีก” สงครามเวหาดูเหมือนอยู่ไม่ไกล แต่ความจริงแล้วมันก็มีระยะห่างถึงสามสี่กิโลเมตร พวกฉีหลงเดินทางรวดเร็วอย่างยิ่งยวดแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขายังไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของฉีหลงในคราวนี้ทำให้มีคนคัดค้านขึ้นมา และเขาก็คือหานจี้จวินเพื่อนสนิทของฉีหลงนั่นเอง “ฉีหลง ยิ่งเข้าใกล้สนามรบของหุ่นรบ พวกเราก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้นนะ โดยเฉพาะตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหุ่นรบสองตัวของฝ่ายตรงข้ามไปถึงช่วงเวลาสู้สุดชีวิตแล้ว พวกมันอาจจะระเบิดตัวเองให้ตายตกร่วมกันได้ทุกเวลา ถ้าพวกเราเข้าใกล้มากเกินไป ดูจากแรงระเบิดเมื่อสักครู่นี้ พวกเราจะถูกกระเทือนจนตายได้ทันทีเลยนะ”
หานจี้จวินมีเหตุผลอย่างมากและไม่ได้บุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าการเดินทางขึ้นหน้าจะนำอันตรายมาสู่ชีวิตพวกเขาได้ก็ยื่นคำคัดค้านออกมา ไม่ได้ปล่อยให้ฉีหลงทำตามอำเภอใจเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของเขา
“ฉันรู้” ฉีหลงไม่ได้ปฏิเสธคำกล่าวของหานจี้จวิน เขาเองก็รู้ว่าการเข้าใกล้ที่นั่นไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย แต่ว่ามีเสียงหนึ่งร้องดังอยู่ในใจมาตลอดว่าให้เขาเข้าไปใกล้ๆ อีก ถ้าหากไม่ทำแบบนี้ อกของเขาก็จะรู้สึกงุ่นง่าน จะไม่สบายใจจนแทบตายได้
ฉีหลงชี้ไปที่หน้าอกตัวเองพลางกล่าวว่า “แต่หัวใจฉันบอกฉันว่า ควรจะไปที่นั่น นายรู้ดีนี่ว่าหลายครั้งที่หัวใจของฉันแม่นยำกว่าความคิดของฉัน….ถึงแม้ฉันไม่รู้ว่าทำไมมันจะต้องให้ฉันทำแบบนี้ให้ได้…แต่ที่นายพูดมาก็ถูกต้องมากๆ การเข้าใกล้ที่นั่นมันอันตรายมากจริง ฉันจะเห็นแก่ตัวให้พวกนายไปเสี่ยงด้วยกันกับฉันขนาดนั้นไม่ได้”
ฉีหลงรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัว เขาควรจะบอกพวกเพื่อนร่วมทีมให้กระจ่างแล้วปรึกษากันก่อนถึงค่อยทำการตัดสินใจ
หานจี้จวินมองฉีหลงอย่างเงียบเชียบแวบหนึ่งแล้วพบว่าสายตาของฉีหลงแน่วแน่อย่างยิ่งยวด เขาจะเข้าใกล้ที่นั่นให้ได้ ในฐานะที่หานจี้จวินเป็นเพื่อนสนิทแล้ว เขาเข้าใจฉีหลงมาก ถึงแม้ว่าภายนอกฉีหลงจะทำตัวหุนหันไม่แยแสอะไร นอกจากการต่อสู้แล้วก็ไม่เอาอะไรมาใส่ใจเลย แต่ความจริงแล้วนิสัยของฉีหลงดื้อรั้นมาก ขอเพียงเขาตัดสินใจแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่ต่อให้วัวหลายหมื่นตัวก็ลากกลับมาไม่ได้
“ฉันอยากไป” ลั่วล่างเอ่ยปากขึ้นมาฉับพลัน
การเอ่ยปากอย่างกะทันหันของลั่วล่างทำให้ฉีหลง หานจี้จวินหันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง ลั่วล่างเกาแก้มด้วยความขัดเขินและกล่าวยิ้มๆ ว่า “อันที่จริงทุกคนก็รู้ว่าสัญชาตญาณสัตว์ป่าของฉีหลงแม่นยำมาก ในเมื่อสัญชาตญาณบอกฉีหลงว่าต้องไปที่นั่น งั้นที่นั่นจะต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน บางทีอาจจะปลอดภัยกว่าก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น…” สีหน้าของลั่วล่างเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา “ฉันเองก็อยากดูผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเราฆ่าศัตรูแล้วเอาชีวิตรอดกลับไปที่ค่ายด้วยเหมือนกัน…”
เวลานี้เอง หลินจงชิงก็เอ่ยปากพูดขึ้นตามว่า “ความจริงแล้ว ฉันเองก็อยากไปเหมือนกัน…”
คราวนี้ขนาดลั่วล่างก็หันไปมองด้วยความประหลาดใจ เหตุผลส่วนใหญ่ที่ลั่วล่างสนับสนุนการเดินทางขึ้นหน้าของฉีหลงเป็นเพราะว่าพวกเขาสามคนเป็นเพื่อนซี้กันตั้งแต่ที่เข้าเรียน จึงจำเป็นต้องไปต่อหรือถอยกลับด้วยกัน แต่ว่าหลินจงชิงเป็นสมาชิกที่เข้าร่วมกลุ่มทีหลัง ความผูกพันย่อมเทียบกับพวกเขาสามคนไม่ได้ ลั่วล่างกับหานจี้จวินยินดีไปเสี่ยงเป็นเพื่อนฉีหลง แต่เห็นได้ชัดว่าหลินจงชิงเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
พวกเขาสามคนเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวหลินจงชิง รอคำอธิบายของเขา
หลินจงชิงพูดด้วยความจริงจังว่า “ลางสังหรณ์ของหัวหน้าจะตรงหรือเปล่า ฉันเองก็ไม่รู้ แต่ว่าเรื่องที่ฉันอยากแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่เรื่องโกหก ดังนั้นฉันไม่มีทางถอยเพราะว่ากลัวอันตรายเด็ดขาด…คนขี้ขลาดไม่มีทางกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้”
ไม่ว่าเหตุผลของหลินจงชิงจะเป็นความจริงหรือโกหก แต่ท่าทีของเขาทำให้พวกฉีหลงสามคนรู้สึกหวั่นไหวอย่างไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดเดียว การที่หลินจงชิงยินดีมอบชีวิตไปด้วยกันนั้นได้พิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมของพวกเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่จำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะว่าถูกสถานการณ์บังคับ
หานจี้จวินฝืนข่มกลั้นอารมณ์ที่ฮึกเหิมขึ้นมาแล้วเอ่ยปากว่า “ถ้างั้น หัวหน้า พาพวกเราไปด้วยกันเถอะ”
ฉีหลงมองไปรอบๆ คนทั้งสามตรงหน้าเขาก่อนจะพยักหน้าหนักๆ และตอบรับว่า “ได้! พวกเราไป!”
หลังจากนี้ไป พวกเขาจะไม่มีความหวาดระแวงอีก จะมีแค่มิตรภาพระหว่างพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันเท่านั้น
พวกเขาสี่คนมีฉีหลงนำหน้า หานจี้จวินตามหลังไปติดๆ หลินจงชิงเป็นคนที่สาม ส่วนลั่วล่างอยู่รั้งท้าย พวกเขาทะลุผ่านไปในป่าอย่างรวดเร็ว การสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจากการระเบิดเมื่อสักครู่นี้นำพาเรื่องแย่ๆ มา และก็มีข้อดีเล็กน้อยเช่นกัน นั่นก็คือในป่าไม่มีสัตว์อสูรเลยสักตัว ต่อให้มีสัตว์อสูรหลายตัวที่ติดอยู่บ้าง พวกมันก็ตกใจกลัวหลบซ่อนเข้าไปในเขตระดับ F เพราะการระเบิดอย่างรุนแรงครั้งนี้เหมือนกัน ดังนั้นกลุ่มฉีหลงจึงไม่ได้เจออุปสรรคอะไรเลย เดินทางไปหาจุดหมายได้อย่างราบรื่นตลอดทาง
ระหว่างทางหานจี้จวินพูดขึ้นเบาๆ จากด้านฉีหลงว่า “ฉีหลง นายต้องกลายเป็นหัวหน้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสมแน่นอน!” เสียงนี้เบาสุดขีด ราวกับหานจี้จวินเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
ฉีหลงที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดสะดุ้งตัวขึ้นมาฉับพลัน หน้าอกเต้นแรง มือของเขาพลันกำหมัดแน่นตรงจุดที่ทุกคนมองไม่เห็น
………….
ส่วนบนสนามรบกลางเวหา หลิงหลานเผชิญหน้ากับวิกฤติอีกครั้ง หลิงหลานจำเป็นต้องควบคุมหุ่นรบให้บินอย่างไร้กฎเกณฑ์เพื่อที่จะหลบหลีกการซุ่มโจมตีของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง ทว่าการบินในขั้นสูงแบบนี้ทำให้หุ่นรบแบกรับภาระหนักอย่างยิ่งยวด
เวลานี้เอง พื้นที่มากมายบนหน้าจอสำรองสองฝั่งเริ่มกระพริบสัญญาณสีแดงอย่างรุนแรงขึ้นมา เสียงแจ้งเตือนดังไปทั่วห้องคนขับ
“เสี่ยวซื่อ ตรวจสอบสภาพความเสียหายของตัวหุ่นรบ” หลิงหลานบังคับหุ่นรบให้หลบหลีกกระสุนปืนใหญ่ที่อีกฝ่ายซุ่มยิงไปพลาง สั่งการเสี่ยวซื่อให้รวบรวมข้อมูลรายงานไปพลาง
“ขาขวาเสียหาย 100% ขาซ้ายก็ได้รับความเสียหาย 30% เครื่องยนต์หลักด้านซ้ายอยู่ในสภาพทำงานหนัก ทั่วทั้งร่างของหุ่นรบได้รับระดับความเสียหายถึง 52%…เอ่อ 53% แล้ว…ลูกพี่ ทุกครั้งที่เธอบังคับหุ่นรบให้บินไร้กฎเกณฑ์ อัตราความเสียหายที่ทั่วทั้งร่างหุ่นรบได้รับจะเพิ่มมากขึ้น คาดว่าจะฝืนประคองไว้ได้มากสุดสิบนาที หุ่นรบก็จะแตกเป็นเสี่ยงๆ…” เสี่ยวซื่อรายงานสภาพทั่วทั้งร่างของหุ่นรบให้หลิงหลานฟังอย่างรวดเร็ว “เรื่องที่สำคัญที่สุดคือ เป็นเพราะต่อสู้อย่างดุเดือดติดต่อกัน พลังงานขับเคลื่อนของหุ่นรบเลยเหลือแค่เอเนอร์จอนสำรองอันสุดท้ายเท่านั้น ใช้ไป 20% แล้วด้วย ถ้าเกิดต่อสู้เต็มกำลัง มากสุดก็ประคองไว้ได้แค่ 5 นาทีเท่านั้น!”
“ข่าวร้ายจริงๆ” หลิงหลานกัดฟันกล่าว สรุปคือหุ่นรบตัวนี้ยันไว้ได้ไม่นานเท่าไหร่ และเธอต้องหาโอกาสโจมตีกลับในช่วงเวลาจำกัด ไม่อย่างนั้นเธอได้แต่ถูกฝ่ายตรงข้ามไล่โจมตีจนตาย
“เสี่ยวซื่อ พวกเรายังมีอาวุธที่ใช้ได้อีกเท่าไหร่?” หลิงหลานควบคุมหุ่นรบให้หลบการซุ่มยิงของฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง บนหน้าจอขึ้นสัญญานเตือนสีแดง ข้อความที่ว่าความเสียหายของหุ่นรบไปถึง 55% ทำให้เธอขมวดคิ้ว
“ปืนไรเฟิลเลเซอร์พลังงานสูง 57mm ที่แขวนไว้บนไหล่ซ้ายสามารถยิงกระสุนเลเซอร์ติดต่อกันได้สิบแปดนัด ที่ด้านข้างต้นขาแต่ละข้างมีมีดคลื่นแม่เหล็กอยู่หนึ่งเล่ม” เสี่ยวซื่อพูดด้วยความเสียใจ “มีแค่นี้แหละ”
“ต้องคิดวิธีเข้าประชิดตัว…” หลิงหลานใคร่ครวญเงียบๆ อาศัยแค่กระสุนเลเซอร์สิบแปดนัดของปืนไรเฟิลเลเซอร์พลังงานสูง 57mm ไม่สามารถกำจัดอีกฝ่ายได้ มีเพียงเข้าประชิดตัวเท่านั้นถึงจะมีโอกาส ถึงแม้ว่ามีดคลื่นแม่เหล็กจะทื่อนิดหน่อย แต่ก็สามารถชดเชยได้ด้วยการฟันหลายที
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายตรงข้ามเองก็รู้ดีว่าผลของการถูกหลิงหลานเข้าประชิดตัวคืออะไร ดังนั้นจึงเตรียมการป้องกันไว้อย่างยิ่งยวด ทุกครั้งที่หลิงหลานอยากจะเข้าใกล้ อีกฝ่ายก็ถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว รักษาระยะห่างกับหลิงหลานไว้ระดับหนึ่ง พูดอีกอย่างก็คือ ฝ่ายตรงข้ามวางแผนโจมตีระยะไกลเพื่อกำจัดหลิงหลาน
“เสี่ยวซื่อ วิเคราะห์ภูมิประเทศรอบๆ!” หลิงหลานบังคับมือขวาให้หยิบปืนไรเฟิลเลเซอร์พลังงานสูง 57mm ที่แขวนไว้บนไหล่ซ้ายลงในระหว่างที่บิน ในขณะเดียวกันก็รอผลการวิเคราะห์ของเสี่ยวซื่อ
“ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกเป็นป่าพื้นที่ราบไม่มีที่สิ้นสุด พื้นดินชื้นอ่อนนุ่ม ตรงสามร้อยเมตรทางด้านตะวันตกมี ภูเขาหินลูกหนึ่ง ภาพถ่ายระยะใกล้บอกว่าเป็นอดามันเทียม…” เสี่ยวซื่อรายงานภูมิประเทศรอบๆ ให้หลิงหลานฟังทีละอัน
“อดามันเทียม?” แววตาหลิงหลานส่องประกายราวกับคิดอะไรบางอย่างออก “ค่าความแข็งเท่าไหร่?”
“ถึงระดับ 12!” เสี่ยวซื่อเอ่ยอย่างเฉียบขาด
“เพียงพอแล้ว!” หลิงหลานทำการตัดสินใจทันที เธอชูปืนไรเฟิลเลเซอร์ที่แขนขวาขึ้นมาในขณะที่บินก่อนจะเริ่มยิงโจมตีอีกฝ่าย
การยิงปืนไม่ใช่จุดแข็งของเธอจริงๆ แต่ว่านี่เป็นการเปรียบเทียบกับจุดแข็งของเธอ ถ้าหากเทียบกับคนอื่นแล้ว ความสามารถในการยิงปืนของหลิงหลานอยู่ในระดับยอดเยี่ยมแล้ว เพียงแต่ยังไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยมที่สุดเท่านั้น
………………………………..
Related