อาจารย์หมายเลขสองไม่ได้โรคจิตขนาดอาจารย์หมายเลขห้า เขามีวิธีการนับไม่ถ้วนมาทรมานหลิงหลาน ทว่าเขาใช้แต่วิธีการที่เรียบง่ายที่สุด แต่กลับทำให้หลิงหลานสะบักสะบอมจนเกือบตายในการฝึกฝนทุกครั้ง
ไม่รู้ว่าอาจารย์หมายเลขสองเอาข้อมูลมาจากไหน (เสี่ยวซื่อหัวเราะลั่นด้วยความลำพอง แน่นอนว่ามาจากเขาอยู่แล้ว) จำลองหนังผีหนังสยองขวัญในชาติก่อนของหลิงหลานออกมา เดิมทีหลิงหลานคิดว่าเธอผ่านการทรมานของอาจารย์โรคจิตหมายเลขห้ามาแล้ว ร้อยพิษไม่กล้ำกรายเธอแล้ว ไม่นึกเลยว่าที่แท้เธอยังมีจุดอ่อนอีก เธอกลัวไอ้ผีปลอมๆ สมควรตายพวกนั้นอยู่บ้างจริงๆ
ผีไม่มีร่าง จึงไม่สามารถจัดการได้ด้วยการโจมตีทางกายภาพ มีอยู่หลายครั้งที่หลิงหลานถือดาบแหลมคมผ่าท้องแทงหัวใจตัวเองโดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ สุดท้ายก็ค่อยหายใจเฮือกสุดท้ายด้วยความจนปัญญา นี่ทำให้หลิงหลานกลุ้มใจมาก เธอไม่เคยอับจนหนทางแบบนี้มาก่อนเลย ต่อให้เป็นการฝึกสอนของอาจารย์โรคจิตหมายเลขห้า เธอก็ไม่ได้หมดหนทางในการตอบโต้เหมือนกัน
อาจารย์หมายเลขสองไม่ได้บอกเธอว่าควรจะทำยังไงตั้งแต่แรก ทุกครั้งที่เธอเข้าไปในมิติการเรียนรู้ก็จะถูกอาจารย์หมายเลขสองโยนเข้าไปทดสอบในหนังผีต่างๆ ทำให้หลิงหลานเผชิญกับความน่ากลัวอย่างไร้ที่สิ้นสุดครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่าการทดสอบอย่างไร้ที่สิ้นสุดคืออะไร นี่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์รับไหวจริงๆ
หลังจากที่ตายมาห้าหกครั้ง หลิงหลานก็ได้ทดลองวิธีการมากมายนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็เรียนรู้ที่จะใช้การสัมผัสด้วยพลังจิต เธอคล้ายกับสัมผัสตัวตนของผีร้ายได้รางๆ ดังนั้นเธอจึงเริ่มมุ่งมั่นฝึกฝนตามวิธีการฝึกปรือพลังจิตที่บิดาถ่ายทอดให้เธอ และลองใช้พลังจิตมาตอบโต้ผีร้ายในหนังผีเหล่านี้…. จนกระทั่งเวลานี้เอง อาจารย์หมายเลขสองค่อยปรากฏตัวขึ้นมาชี้แนะหลิงหลานว่าจะดึงพลังจิตออกมายังไงรวมไปถึงวิธีการแยกมัน
การแยกและการดึงพลังจิตเป็นเรื่องที่ทรมานมาก แต่ละครั้งหลิงหลานต่างประสบกับความเจ็บปวดจากการที่พลังจิตถูกฉีกออกทั้งเป็น มันทรมานและยากจะทานทนมากกว่ากายเนื้อถูกฉีกกระชากเสียอีก ทุกครั้งหลิงหลานปวดร้าวจนอาเจียนออกมาถึงค่อยฝืนทำได้สำเร็จ ถ้าไม่ใช่เพราะไม่อยากตายด้วยวิธีการแปลกๆ ต่างๆ นานาแล้วละก็ หลิงหลานคงไม่มีความกล้าทดลองเป็นครั้งที่สองหรอก
อย่างไรก็ตาม การทรมานผิดมนุษย์มนาแบบนี้ยังทำให้หลิงหลานได้รับความสำเร็จมาไม่น้อย พลังจิตที่จากเดิมเป็นกลุ่มเดียวได้แยกออกเป็นสองกลุ่ม และจากสองกลุ่มก็แยกออกเป็นสามกลุ่ม จนสุดท้ายก็แยกออกเป็นหนวดพลังจิตสิบสองสาย จากคำพูดของอาจารย์หมายเลขสอง เธอกลายเป็นผู้มีความสามารถด้านพลังจิตระดับต้นแล้ว แน่นอนว่าจากการที่หลิงหลานดึงพลังจิตไร้รูปร่างและปล่อยออกมาได้สำเร็จก็หมายความว่า เธอมีความสามารถป้องกันผีไร้ร่างทำให้เธอมีโอกาสรอดในหนังผีที่น่ากลัวอย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว
สามปีมานี้ หลิงหลานแทบจะใช้ชีวิตผ่านหนังผีทั้งหมดในชาติก่อน จากตอนแรกเธอได้แต่ป้องกันตัวจากการถูกกระทำ จนมีความสามารถในการโจมตี แล้วค่อยกลายมาเป็นเข่นฆ่าตามอำเภอใจในหนังผี สามปีนี้ทำให้หลิงหลานเติบโตเร็วมาก! วิธีการของอาจารย์หมายเลขสองที่ให้หลิงหลานทำเป็นวัฏจักรโดยไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ทำให้หลิงหลานเชี่ยวชาญวิธีการใช้พลังจิตทั้งหมดในช่วงเวลาที่สั้นสุดขีด ถึงขนาดที่หลิงหลานยังสร้างกระบวนท่าโจมตีทางจิตของตัวเองออกมาได้หลายท่า…
ด้วยเหตุนี้เอง อาจารย์หมายเลขสองเลยลอบทอดถอนใจว่าความสามารถในการอดทนของหลิงหลานแข็งแกร่งผิดปกติจริงๆ เพราะแบบนี้เขาถึงได้เพิ่มระดับความยากขึ้น เขาลงสนามด้วยตัวเองในการโจมตีบางฉาก….ดังนั้นหลิงหลานเลยได้ลองรสชาติตายในเงื้อมมือของผีอีกครั้ง และต้อนรับการพัฒนารอบใหม่ของเธออีก
พรสวรรค์ของหลิงหลานตื่นขึ้นมาเร็วกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากการกดขี่อันน่าหวาดกลัวอย่างไร้ขีดจำกัด ไม่เพียงพรสวรรค์รู้แจ้งเห็นจริงที่ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว เธอยังสามารถเปิดใช้งานได้ตามใจชอบ จนถึงขนาดปลุกพรสวรรค์ที่สอง พันธะน้ำแข็ง ทำให้หลิงหลานเรียนรู้ธาตุน้ำแข็งได้ ด้วยเหตุนี้ร่างกายของหลิงหลานจึงปล่อยไอเย็นออกมาจางๆ บวกกับหน้าน้ำแข็งที่เย็นชาไร้อารมณ์แล้ว หนุ่มหล่อสีหน้าเย็นชารุ่นใหม่ถือกำเนิดแล้ว!
การปลุกพันธะน้ำแข็งไม่เพียงทำให้หลิงหลานประหลาดใจ กระทั่งเหล่าอาจารย์ของมิติการเรียนรู้ก็ประหลาดใจมากเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าในร่างกายหลิงหลานไม่ได้มีธาตุน้ำแข็งเลย แล้วทำไมถึงปลุกพรสวรรค์นี้ขึ้นมาได้ล่ะ? ต่อมาอาจารย์หมายเลขหนึ่งคาดเดาส่งๆว่า บางทีในใจหลิงหลานอาจจะคิดว่าคนที่มีบรรยากาศเย็นเยียบใบหน้าไร้อารมณ์ต่างก็เป็นคนดี ส่วนพวกที่ชอบยิ้มต่างก็เป็นคนที่เต็มไปด้วยจิตใจชั่วร้าย ดังนั้นเธอก็เลยมีความรู้สึกดีๆ กับธาตุน้ำแข็งเป็นอย่างมาก
เชื่อถือไม่ได้มากๆ เลยใช่ไหม? ดูดีๆ แล้ว นี่เป็นการคาดเดาส่งๆ สินะ!
พรสวรรค์ของหลิงหลานตื่นขึ้นมาทำให้ผู้คนตกตะลึง การตื่นของพรสวรรค์คนอื่นๆ ก็ปรากฏสัญญาณออกมาไม่มากก็น้อยเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น พรสวรรค์สัญชาตญาณสัตว์ป่าของฉีหลงที่เด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลานี้อาจารย์แรกเริ่มของเขาได้ชี้แนะเขาอีกหนึ่งปี ให้เขาเรียนรู้สัญชาตญาณสัตว์ป่าโดยสมบูรณ์ เขาสัมผัสได้ถึงความคิดที่แท้จริงในใจของฝ่ายตรงข้ามได้ทันทีโดยเฉพาะกับคนที่พยายามเข้าใกล้เขาทางด้านข้าง เขาเป็นเครื่องจับเท็จร่างมนุษย์ไปแล้ว และฉีหลงก็ได้เป็นลูกศิษย์สืบทอดแท้จริงอย่างเป็นทางการภายใต้คำเชิญของอาจารย์…
พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาของหานจี้จวินคือ กลยุทธ์ เป็นเวอร์ชั่นยกระดับของสติปัญญาอย่างหนึ่ง เขาย่อมกลายเป็นทหารประเภทเสนาธิการที่สมบูรณ์แบบได้แน่นอน
พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาของลั่วล่างก็ทำให้คนแปลกใจนิดหน่อย นั่นก็คือ มารผกผัน! เมื่อเปิดใช้พรสวรรค์ก็จะสร้างบุคลิกอันหนึ่งออกมาเอง สามารถเป็นนิสัยเร่าร้อน และก็ไร้ความรู้สึก สามารถโกรธเกรี้ยว และก็เย็นชาได้เหมือนกัน ถึงขนาดที่มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากลายเป็นเครื่องจักรต่อสู้ไร้ความปราณี เวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นทักษะการโจมตีหรือว่ากลยุทธ์ต่างก็น่ากลัวสุดขีด เพราะว่าเขาสามารถเย็นชาจนเอาตัวเองคำนวณเข้าไปด้วย….
เมื่อเปิดใช้พรสวรรค์นี้ ฉีหลงจะเคร่งเครียดอย่างมาก เพราะว่ามีเพียงสัญชาตญาณสัตว์ป่าของฉีหลงเท่านั้นที่จะจับสังเกตได้ว่าบุคลิกที่ลั่วล่างสร้างขึ้นมาเป็นบุคลิกคนดีหรือว่าบุคลิกคนเลวกันแน่ ถ้าหากเป็นบุคลิกคนเลวก็จะรุมกระโจนเข้าไปปราบลั่วล่าง หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาทำเรื่องน่ากลัวอะไรออกมา ช่างเป็นการตื่นของพรสวรรค์ที่อันตรายจริงๆ! พรสวรรค์ที่ควบคุมไม่ได้อย่างของลั่วล่างย่อมถือว่าเป็นพรสวรรค์กึ่งไร้ประโยชน์…ถ้าบุคลิกคนเลวออกมาโดยที่ไม่มีฉีหลงอยู่ ใครจะไปรู้ได้กันเล่า บุคลิกเหล่านี้ต่างมีความสามารถเสแสร้งทั้งนั้น และก็มีแค่สัญชาตญาณสัตว์ป่าของฉีหลงที่เป็นดาวข่มของมัน แน่นอนว่าการรู้แจ้งเห็นจริงของหลิงหลานก็เป็นแบบนี้ด้วยเหมือนกัน แต่ไม่มีใครรู้เรื่องพรสวรรค์นี้ของหลิงหลาน ทุกคนต่างคิดว่าพรสวรรค์ที่หลิงหลานปลุกขึ้นมาคือพันธะน้ำแข็ง
พวกเขาสองคนถูกอาจารย์ของตัวเองรับเป็นลูกศิษย์สืบทอดแท้จริงเหมือนกัน โดยเฉพาะลั่วล่าง พรสวรรค์ที่อันตรายแบบนี้ทำให้อาจารย์จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากสำนัก หวังว่าจะสามารถคิดวิธีอะไรดีๆ ออกมาแก้ไขภัยอันตรายแอบแฝงของลั่วล่างนี้ไปได้
แน่นอนว่าพรสวรรค์ของฉีหลงกับลั่วล่างต่างเหมาะกับการควบคุมหุ่นรบ อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับมารผกผันที่ไม่มั่นคงแล้ว สัญชาตญาณสัตว์ป่าเหนือกว่าหนึ่งขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาของหลินจงชิงคือ การอำพราง หลังจากที่เปิดใช้แล้ว กลิ่นอายของเขาจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย จากคำพูดของหลิงหลาน เขาเป็นคนที่เหมาะกับการเป็นนักฆ่า
พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาของหานซู่หย่าคือ ความรุนแรง เมื่อเปิดใช้แล้วพลังรบจะเพิ่มขึ้นหลายเท่า ก็นับว่าเป็นพรสวรรค์ระดับต่ำที่เหมาะกับการควบคุมหุ่นรบเหมือนกัน ทุกคนต่างบอกว่าการที่พรสวรรค์นี้อยู่บนตัวหานซู่หย่าเป็นการสิ้นเปลืองมากเกินไปแล้ว นี่ทำให้หานซู่หย่าเปิดใช้พรสวรรค์มา PK กับพวกเขาด้วยความเดือดดาล แล้วผู้หญิงพลังปีศาจก็สามารถล้มพวกเขาได้ทุกครั้ง เห็นได้ว่าพลังรบของพรสวรรค์ความรุนแรงนั้นยอดเยี่ยมมาก
ลั่วเฉาพิเศษมากที่สุด เดิมทีทุกคนคิดว่าเธอขี้อายไม่ชอบการต่อสู้จะปลุกพรสวรรค์ประเภทการใช้ชีวิตออกมา อย่างให้ความรู้สึกดีๆ ควบคุมเสียงอะไรแบบนี้…ไม่นึกเลยว่าจะปลุกพรวรรค์ต้นหนที่ยากจะตื่นขึ้นมาในหมู่ผู้หญิง นี่บ่งบอกว่าต่อไปลั่วเฉาจะกลายเป็นกัปตันยานอวกาศที่โดดเด่นคนหนึ่ง
พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาของหยวนโหยวอวิ๋นคือ สำรองพลังงาน เหมาะกับการต่อสู้ยืดเยื้อมากที่สุด ส่วนหลัวเส่าอวิ๋นก็คือ คลุ้มคลั่ง เขาคือนักสู้ที่เน้นจัดการคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็ว ใช้การบุกโจมตีราวกับพายุโหมกระหน่ำมาทำลายคู่ต่อสู้ ไม่ถนัดด้านการต่อสู้ยืดเยื้อ เหอเฉาหยางปลุกพรสวรรค์ภาพมายา หลี่จิงหงปลุกพรสวรรค์ถอดจิตเดินทางพันลี้ นี่ไม่นับว่าเป็นพรสวรรค์ด้านพลังรบ ธรรมดาสุดขีด อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ดีใจมาก เพราะว่ามีนักเรียนมากมายในชั้นเรียนพวกเขาที่ไม่มีพรสวรรค์ตื่นขึ้นมาเลย และก็ไม่ได้มีการกลายพันธุ์ของจิตวิญญาณด้วย
พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาของสมาชิกทั้งสองทีมหลายคนที่ขัดแย้งกันหรือใกล้เคียงกันอยู่บ้าง ดังนั้นพวกเขาเลย PK ด้วยกันบ่อยๆ ความสัมพันธ์พวกเขาจึงพุ่งขึ้นสูงจนถึงระดับสนิทสนม อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้ว่า พวกเขาบางคนจะต้องจากไปหลังจากที่อายุสิบหก เพราะว่าพวกเขาเดินอยู่บนเส้นทางในอนาคตที่แตกต่างกัน
ทุกคนต่างรู้ว่า ลั่วเฉาน้องสาวคนเล็กสุดชอบลูกพี่หลาน เพียงแต่ลูกพี่หลานคล้ายกับไม่ได้มีความคิดนี้…เขาปฏิบัติต่อลั่วเฉาเหมือนกับที่ทำกับพวกเขา นี่ทำให้พวกเขาเสียดายอยู่บ้าง ความจริงแล้วพวกเขายินดีมอบน้องลั่วเฉาที่น่ารักให้ลูกพี่หลานมากๆ
………….
วันหนึ่ง ในขณะที่หลิงหลานกำลังศึกษาข้อมูลหลักสูตรบางอย่างในอินเตอร์เน็ตเสมือนจริง ก็ได้ยินอุปกรณ์สื่อสารของตัวเองส่งเสียงดังอย่างรุนแรง
หลิงหลานมองไปแวบหนึ่ง นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นลั่วล่าง ปกติแล้วคนที่จะติดต่อเธอถ้าไม่ใช่ฉีหลง ก็เป็นหานจี้จวิน ลั่วล่างมีน้อยมาก ไม่รู้ว่าหมอนี่มีธุระอะไรถึงติดต่อหาเธอ…หลิงหลานกดปุ่มรับและเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ลั่วล่าง มีเรื่องอะไรถึงติดต่อหาฉัน?”
“ลูกพี่ รีบมาที่โรงอาหารของสถาบันเร็ว ฉีหลงมีเรื่องกับนักเรียนปีสิบแล้ว…อีกฝ่ายมียี่สิบกว่าคนด้วย!” เสียงของลั่วล่างดูร้อนใจอยู่บ้าง ฉีหลงแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่เมื่อปะทะกับคนมากมายขนาดนี้ เกรงว่าสองมือของเขาจะจัดการศัตรูหมู่มากได้ยากเหมือนกัน
“ใจเย็นหน่อย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” หลิงหลานตอบกลับด้วยความเยือกเย็น
“นักเรียนหญิงของห้องบีพวกเราชนอีกฝ่ายโดยไม่ทันระวัง ไม่รู้ว่าทะเลาะกันยังไง ผู้หญิงหนึ่งในนั้นถึงได้ตบนักเรียนหญิงคนนั้นหลายที พวกเราอยู่ในเหตุการณ์พอดี หานซู่หย่าทนดูไม่ไหวออกหน้าเข้าไป ลูกพี่ก็รู้จักอารมณ์ร้อนของหานซู่หย่า พูดไม่กี่ประโยค พวกเขาก็แทบจะอัดหานซู่หย่าแล้ว ดังนั้นฉีหลงก็ยื่นมือออกมา หลังจากนั้นจู่ๆ พวกเขาก็โผล่ออกมายี่สิบกว่าคนล้อมฉีหลงไว้ โวยวายว่าจะให้ฉีหลงคุกเข่าขอโทษ! แล้วก็จะสั่งสอนรุ่นน้องที่อวดดีอย่างพวกเราด้วย…” ลั่วล่างบอกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หลิงหลานฟัง
“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปทันที! แล้วก็พยายามยื้อเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!” หลิงหลานสั่งลั่วล่างแล้วก็วางสายอุปกรณ์สื่อสาร เธอครุ่นคิดสักพักแล้วก็ติดต่อไปที่อู่จย่งทันที “อู่จย่ง แจ้งนักเรียนห้องเอและห้องบีทุกคนให้ไปรวมกลุ่มกันที่โรงอาหารสถาบัน!”
“เอ๋? ได้!” อู่จย่งอึ้งไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็ตอบรับทันทีและเอ่ยถามต่อว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ทำไมต้องให้นักเรียนสองห้องไปหมดเลย?”
มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “อยากเล่นใหญ่กับฉันไหม?”
“เล่นใหญ่?” อู่จย่งสนใจขึ้นมาทันที
“ฉันอยากรู้มากๆว่า การต่อสู้ประจัญบานที่หายไปจากสถาบันร้อยปีเป็นยังไงกันแน่” หลิงหลานยิ้มสะพรึง เวลานี้บนตัวเธอมีเงาของอาจารย์หมายเลขห้าอยู่รางๆ
“ต่อสู้ประจัญบาน!” อู่จย่งอุทานขึ้นมา ทั่วร่างชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
“ทำไม? ไม่กล้าเล่นเป็นเพื่อนฉันเหรอ?” เสียงของหลิงหลานฟังดูเยาะหยัน แต่มันกลับยิ่งมีความรู้สึกเย้ายวนของปีศาจร้าย
อู่จย่งรู้สึกได้ทันทีว่าหัวใจเต้นโครมคราม ในใจเต็มไปด้วยเรื่องการต่อสู้ประจัญบาน เขากลืนน้ำลายดังอึกแรงๆ “ได้ ฉันจะไปเล่นเป็นเพื่อนนาย! คู่ต่อสู้คือใครล่ะ?”
……………………………