หนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุการณ์ต่อสู้ประจัญบานมาก่อนเลย เพราะว่ามันนองเลือดและโหดเหี้ยมมากเกินไป เป็นการดึงนักเรียนของสองชั้นปีทั้งหมดเข้าไปทำการต่อสู้ประจัญบานกลุ่มใหญ่! ไม่มีใครสามารถควบคุมตัวเองได้เลย ความหวาดกลัว ความโกรธเกรี้ยว การยอมจำนน ความอัปยศ ปัจจัยต่างๆ นานาทำให้คนสูญเสียการควบคุม การต่อสู้ประจัญบานในประวัติศาสตร์เคยปรากฎจำนวนคนบาดเจ็บล้มตายมหาศาล นี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้การต่อสู้ประจัญบานเงียบหายไป
แน่นอนว่าเมื่อคำว่า ‘การต่อสู้ประจัญบาน’ นี้หลุดออกมา ไม่เพียงนักเรียนปีสิบที่ตกตะลึงเท่านั้น ขนาดนักเรียนปีเจ็ดที่อยู่ในที่เกิดเหตุ อย่างพวกนักเรียนห้องเอที่ตามหลิงหลานเข้ามาก็ตะลึงงันไปเหมือนกัน พวกเขาได้รับแจ้งว่าเพื่อนผู้หญิงปีเจ็ดห้องบีโดนรุ่นพี่ปีสิบรังแก ก็เลยโกรธเคืองและมาช่วยเป็นกำลังเสริมโดยไม่ลังเล แต่ไม่นึกเลยว่าหลิงหลานกับอู่จย่งที่เป็นผู้นำจะทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทันที
อย่างไรก็ตาม ในใจทุกคนอดเดือดเลือดพล่านไม่ได้ ถ้าหากการต่อสู้ประจัญบานที่ทำให้ลูกเสือเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนกลัวจนหน้าซีดเผือดสามารถปรากฎขึ้นมาอีกครั้งในมือพวกเขาได้ละก็…นี่แม่งโคตรสะใจเลยจริงๆ!
“พี่สวี จำนวนคนของพวกเขาไม่พอ มีแค่ 89 คน…” นักเรียนปีสิบคนหนึ่งเอ่ยเตือนหัวหน้าเบาๆ ไม่ให้ตื่นตระหนก มีความเป็นไปได้ว่านี่เป็นวิธีการขู่ของเด็กปีเจ็ด พวกเขาไม่อาจทำเสียแผนตัวเองได้
พี่สวีถูกเพื่อนเตือนสติก็มองดูให้ละเอียดแวบหนึ่งก่อนจะเห็นว่าเป็นแบบนี้จริงๆ จากนั้นเขาก็ใจเย็นลงทันที จริงๆ เลย ใครจะโง่เอาชีวิตตัวเองมาล้อเล่นขนาดนี้กันเล่า การต่อสู้ประจัญบาน? ต่อให้คิดจะสู้ พวกเขาก็ไม่กล้าสู้กับพวกปีเจ็ดหรอก นี่ไม่ได้เป็นการรนหาที่ตายเหรอ? ไอ้เด็กเวรพวกนี้อยากจะขู่ให้พวกเขาถอยแน่นอน คิดจะให้พวกเขาถอยหนีไม่สู้แล้วพ่ายแพ้ไป เขาไม่มีทางติดกับแล้วทำลายอำนาจนักเรียนปีสิบของพวกเขาหรอก ดังนั้นเขาจึงแหงนหน้ามองข้างบนและหัวเราะยาวๆ ว่า “ฮ่าๆๆ…ตลกชะมัดยาดเลย กล้าท้าต่อสู้ประจัญบานกับพวกเราเนี่ยนะ ได้ ฉันจะเล่นเป็นเพื่อนพวกนาย ดูว่าสุดท้ายพวกนายจะรวมคนได้ 95 คนแล้วเริ่มการต่อสู้ประจัญบานได้หรือเปล่า!”
เดิมทีนักเรียนปีสิบได้ยินคำว่าต่อสู้ประจัญบานก็สับสนอลหม่านเล็กน้อย แต่เมื่อทุกคนกระซิบซาบกันแล้วก็สงบนิ่งลงอย่างเร็ว เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของหัวหน้าก็พากันตะโกนขึ้นมาว่า “ใช่แล้ว พวกเรารออยู่นะ…”
“เรื่องสนุกขนาดนี้ จะขาดฉัน หลี่อิงเจี๋ยไปได้ยังไง!” เสียงที่ฟังดูห้วนๆ และโอ้อวดดังขึ้นตรงหน้าประตู หน้าผากของพวกหลิงหลานกับอู่จย่งขึ้นขีดดำ ไอ้หลี่อิงเจี๋ยคนนี้ชอบทำตัวเด่นวางท่ามาก
อย่างไรก็ตาม การมาของทีมหลี่อิงเจี๋ยก็หมายความว่า สามทีมที่แข็งแกร่งที่สุดของรุ่น 4738 ได้ร่วมมือกันอย่างเป็นทางการ และตอนนี้จำนวนนักเรียนปีเจ็ดที่อยู่ในที่แห่งนี้ก็ถึง 95 คนพอดี ถ้าหากทุกคนเลือกเห็นด้วยก็ครบเงื่อนไขขั้นต่ำสุดในการเริ่มต่อสู้ประจัญบานได้อย่างประจวบเหมาะ
“เพื่อนๆ หลังจากที่เข้ามาในเขตระดับสูงแล้ว พวกนายก็น่าจะสัมผัสได้ถึงการกดขี่ของพวกรุ่นพี่ปีสูงที่ทำต่อเรา มีคนหลายคนที่ถูกเอาเปรียบไม่มากก็น้อย ลูกพี่หลานเคยพูดไว้ว่า คนเราต้องทระนงในศักดิ์ศรี ยอมตายทั้งที่ยืน แต่จะคุกเข่าเอาชีวิตรอดอย่างอัปยศไม่ได้เด็ดขาด เพราะว่านี่เป็นเกียรติยศของเรา ความภาคภูมิใจของเรา เมื่อใดที่สูญเสียมันไป ก็ไม่คู่ควรเป็นทหารที่มีคุณวุฒิ…และลูกเสืออย่างพวกเราคืออะไร? เราเป็นเด็กที่ได้รับการอบรมบ่มเพาะให้เป็นทหารที่มีคุณสมบัติ…พวกนายว่า พอเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้แล้ว พวกเราจะยอมก้มหัวศิโรราบได้หรือเปล่า?” อู่จย่งพลันกล่าวเสียงสูง
“ไม่ได้!”
“ไม่ได้!”
“ไม่ได้!” นักเรียนปีเจ็ดถูกคำพูดของอู่จย่งกระตุ้นจนเต็มไปด้วยโทสะ แล้วทยอยกันกำหมัดตะโกนคำว่า ‘ไม่ได้’ ออกมาด้วยความเดือดดาล
“พวกเราควรจะหยิบอาวุธมาปกป้องเกียรติยศของตัวเองหรือไม่? ทำให้ทุกคนรู้ว่า ถึงแม้พวกเราจะเป็นสมาชิกใหม่ของเขตระดับสูง แต่เราไม่อนุญาตให้ใครมาสบประมาทเป็นอันขาด” อู่จย่งปลุกระดมต่อ
“ต่อสู้ประจัญบาน!” ไม่รู้ว่าใครตะโกนประโยคนี้ขึ้นมาด้วยเสียงสูง หลังจากนั้นนักเรียนของปีเจ็ดทั้งหมดก็ตะโกนออกมาด้วยกันว่า “ต่อสู้ประจัญบาน! ต่อสู้ประจัญบาน! ต่อสู้ประจัญบาน!”
มีเพียงเริ่มการต่อสู้ประจัญบานเท่านั้น นักเรียนปีเจ็ดถึงจะมีคุณสมบัติอยู่ตำแหน่งเดียวกับพวกเด็กปีสิบ ทำการต่อสู้กันอย่างยุติธรรม
“ถ้างั้นก็ให้เราเปิดการต่อสู้ประจัญบานเถอะ” อู่จย่งชูมือขวาขึ้นเผยให้เห็นอุปกรณ์สื่อสาร จากนั้นก็ยื่นหนังสือขอเริ่มการต่อสู้ประจัญบานของชั้นปีให้กับนักเรียนปีสิบทุกคน
ในขณะเดียวกัน นักเรียนปีเจ็ดห้องพิเศษทุกคนต่างได้รับตัวเลือกว่ายอมรับการเริ่มต่อสู้ประจัญบานหรือไม่ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างกดปุ่มยอมรับอย่างเฉียบขาด ต่อให้นักเรียนปีเจ็ดห้องพิเศษที่ไม่ได้มาก็ได้รับข้อความนี้จากในอุปกรณ์สื่อสารพร้อมกัน
…………..
เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งกำลังนอนพักผ่อนอยู่บนพื้นหญ้าด้านหน้าบ้านพัก ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนที่ข้อมือ เขากดเปิดข้อความอย่างเบื่อๆ แต่เมื่อเห็นเนื้อหาด้านในแล้วก็เด้งตัวขึ้นมาทันที “ต่อสู้ประจัญบาน? ฮ่าๆ น่าสนใจมากเกินไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าคนของห้องเอจะกล้าหาญขนาดนี้ ฉันต้องไปดูความคึกคักแล้ว” คนริเริ่มต้องเป็นคนในห้าอันดับแรกของห้องเอแน่นอน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่เขาก็ยังกดปุ่มยอมรับโดยไม่ลังเล หลังจากนั้นก็กระทืบเท้าทีหนึ่งแล้วก็หายไปจากบนพื้นหญ้า!
“การท้าต่อสู้ประจัญบานกับชั้นปีสิบ จำนวนคนของห้องพิเศษชั้นปีเจ็ดที่ยอมรับมี 97 คน จำนวนคนเกินกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำสุด การต่อสู้ประจัญบานของชั้นปีตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ!”
เรื่องแพร่ไปทั่วทุกมุมของสถาบัน บนอุปกรณ์สื่อสารของนักเรียนปีเจ็ดทุกคนไม่ว่าจะเป็นห้องพิเศษ ห้องดีเด่น หรือว่าห้องทั่วไปต่างได้รับข้อความนี้พร้อมกัน ทำให้นักเรียนปีเจ็ดสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ….
หลังจากนั้น เสียงเตือนก็ดังขึ้นทั่วทั้งสถาบันติดต่อกันสามนาทีเต็ม! ทุกคนถูกเสียงเตือนนี้ทำให้ตกใจจนวิ่งออกมาจากในมุมต่างๆ พากันสอบถามคนข้างๆ ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ น่าเสียดายที่นอกจากนักเรียนปีเจ็ดรวมไปถึงนักเรียนชั้นปีสูงจำนวนเล็กน้อยแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่ต่างมึนงงหาคำตอบไม่ได้
ในขณะเดียวกัน เสียงผู้หญิงที่ค่อนข้างให้ความรู้สึกเหมือนจักรกลก็ดังขึ้นไปบนฟ้าทั่วทั้งสถาบันว่า
“แจ้งเตือน อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังจะเปิดการต่อสู้ประจัญบานของปีเจ็ดกับปีสิบอย่างเป็นทางการ ระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง นักเรียนทุกคนที่ไม่สามารถเข้าร่วมการต่อสู้ประจัญบานโปรดฟัง โปรดรีบเข้าไปในเขตหอพักภายในเวลาหนึ่งชั่วโมง นักเรียนปีเจ็ดและนักเรียนปีสิบที่ปฏิเสธการเข้าร่วมการต่อสู้ประจัญบานโปรดเข้าไปในเขตหอพักเช่นเดียวกัน! อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง เขตหอพักจะทำการปิดล็อกทั้งหมด กลายเป็นเขตปลอดภัยเพียงหนึ่งเดียวของการต่อสู้ประจัญบาน ไม่ว่าใครต่างก็ไม่สามารถทำการต่อสู้ในเขตปลอดภัยได้ ผู้ฝ่าฝืนจะได้รับการลงโทษขั้นเด็ดขาด!”
การแจ้งเตือนของสถาบันถูกประกาศติดต่อกันสามรอบ นักเรียนทั้งหมดของสถาบันต่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาทันใด นักเรียนชั้นปีต่ำๆ บางคนถึงขนาดไม่รู้ว่าการต่อสู้ประจัญบานคืออะไร พวกเขาทยอยกันใช้อุปกรณ์สื่อสารค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ประจัญบาน หลังจากที่รู้ถึงความโหดร้ายของการต่อสู้ประจัญบานแล้ว สีหน้าของเด็กบางคนต่างเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
ไม่นาน ก็มีคลิปเสียงหนึ่งดังขึ้นในสถาบัน มันเป็นบทสนทนาระหว่างอู่จย่งกับนักเรียนห้องพิเศษในโรงอาหารว่า
““เพื่อนๆ หลังจากที่เข้ามาในเขตระดับสูงแล้ว พวกนายก็น่าจะสัมผัสได้ถึงการกดขี่ของพวกรุ่นพี่ปีสูงที่ทำต่อเรา มีคนมากมายที่โดนดูถูกไม่มากก็น้อย ลูกพี่หลานเคยพูดไว้ว่า คนเราต้องทระนงในศักดิ์ศรี ยอมตายทั้งที่ยืน แต่จะคุกเข่าเอาชีวิตรอดอย่างอัปยศไม่ได้เด็ดขาด…”
“พวกเราควรจะหยิบอาวุธมาปกป้องเกียรติยศของตัวเองหรือไม่? ทำให้ทุกคนรู้ว่า ถึงแม้พวกเราจะเป็นสมาชิกใหม่ของเขตระดับสูง แต่เราไม่อนุญาตให้ใครมาสบประมาทเป็นอันขาด”
………….
“ต่อสู้ประจัญบาน! ต่อสู้ประจัญบาน! ต่อสู้ประจัญบาน!”
สุดท้ายพวกนักเรียนก็รวมกลุ่มตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวว่า ‘ต่อสู้ประจัญบาน’ โน้มน้าวนักเรียนทุกคนของสถาบันให้รู้สึกแบบเดียวกัน โดยเฉพาะพวกนักเรียนปีเจ็ดห้องดีเด่นและห้องทั่วไป ในช่วงเวลานี้พวกเขาได้รับการรังแกกดขี่จากพวกชั้นปีสูงครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมทีพวกเขาข่มกลั้นความอัปยศมาตลอด เวลานี้พลันระเบิดอารมณ์ออกมาทันที
การต่อสู้ประจัญบาน! นี่เป็นโอกาสแก้แค้นที่นักเรียนห้องพิเศษมอบให้พวกเขา! พวกเขาลอบกำหมัดแน่น ต่อให้ตายก็จะลากพวกรุ่นพี่ที่เคยข่มเหงพวกเขาลงนรกไปด้วย!
“จุดรวมตัวของปีเจ็ด จัตุรัสรื่อเย่ว์ของเขต N! จุดรวมตัวของปีสิบ จัตุรัสจื้อโหยวของเขต E!” สุดท้ายออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของสถาบันได้มอบจุดรวมพลของสองชั้นปีออกมา ทุกคนต่างทำการเคลื่อนพล เมื่อเทียบกับเจตจำนงในการต่อสู้ที่นักเรียนปีเจ็ดสะกดกลั้นเอาไว้เงียบๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่านักเรียนปีสิบดูตื่นตระหนกกระสับกระส่ายอยู่บ้าง…
“ระยำเอ๊ย เด็กปีเจ็ดพวกนั้นบ้าไปแล้วแน่นอน!” นักเรียนปีสิบส่วนใหญ่ต่างก็มีความคิดแบบนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเริ่มการต่อสู้ประจัญบานที่บ้าระห่ำขนาดนี้ได้ยังไง
อย่างไรก็ตาม นักเรียนปีแปดและปีเก้าต่างตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าเด็กปีเจ็ดที่ขึ้นมาใหม่จะเลือดร้อนขนาดนี้ ยอมริเริ่มการต่อสู้ประจัญบานที่โหดเหี้ยม แต่ไม่ยอมประนีประนอมศิโรราบ ทนรับความอัปยศจากพวกชั้นปีสูง…หรือว่าเขตระดับสูงจะเกิดการพลิกผันขึ้นแล้วเหรอ?
กระทั่งมีคนไม่น้อยลอบนึกเสียใจ ถ้าหากตอนนั้นพวกเขาสามารถยื่นคำขอต่อสู้ประจัญบานในตอนที่โดนนักเรียนปีสิบดูถูก พวกเขาจะเปลี่ยนไปจากเดิมหรือเปล่า ถึงขนาดที่แข็งแกร่งมากขึ้น?
…………
ภายในห้องอาหารของอาจารย์ เดิมทีพวกอาจารย์กำลังทานอาหารกันเงียบๆ ส่วนท่านผู้อำนวยการของเรา วันนี้ก็ทานอาหารในห้องอาหารด้วยเช่นกัน
ในขณะที่กำลังทานอย่างมีความสุขอยู่นั้น จู่ๆ ทั่วทั้งสถาบันก็ส่งสัญญาณเตือนขึ้นมา ท่านผู้อำนวยการตกใจจนพ่นกับข้าวในปากออกมา เขาลุกขึ้นทันทีและเอ่ยอย่างโมโหว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักจะกระตุกหรือไง? หรือว่ามีคนไม่มีตากล้าบุกโจมตีสถาบันลูกเสือ?
อุปกรณ์สื่อสารบนข้อมือท่านผู้อำนวยการสั่นอย่างรุนแรง เมื่อเขากดรับ หัวหน้าทีมหุ่นรบไพ่ราชาที่คุ้มกันสถาบันก็ปรากฎตัวขึ้นด้านใน “ผู้อำนวยการ เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ฉันเองก็อยากถามนายเหมือนกัน หรือว่าด้านนอกมีคนบุกเข้ามาในน่านฟ้าของสถาบันอีกแล้ว?” ท่านผู้อำนวยการนึกถึงเรื่องของหลิงหลานเมื่อเจ็ดปีก่อน ตระกูลหลิงขับหุ่นรบเข้ามาในน่านฟ้าของสถาบันด้วยความบ้าบิ่นทำให้พวกเขาตื่นตูมขึ้นมา
“ไม่มี พวกเราใช้เรดาร์ตรวจค้นด้านนอกแล้ว ทุกอย่างปกติดี ไม่มีวัตถุที่ไม่รู้จักอะไรเข้าใกล้สถาบันเลย เกิดปัญหาขึ้นในสถาบันหรือเปล่า?” หัวหน้าทีมหุ่นรบรายงานสถานการณ์ของฝั่งพวกเขาให้ผู้อำนายการฟัง
“เข้าใจแล้ว พวกนายทำการเตรียมพร้อมปฏิบัติการให้เรียบร้อย ฉันจะไปสอบถามออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักของสถาบัน…” ผู้อำนวยการยังพูดไม่จบก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนของออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักดังขึ้นในห้องอาหารว่า
“แจ้งเตือน อีกหนึ่งชั่วโมงให้หลังจะเปิดการต่อสู้ประจัญบานของปีเจ็ดกับปีสิบอย่างเป็นทางการ ระยะเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง…”
“ต่อสู้ประจัญบาน? เชี่ย ทำไมของเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนถึงออกมาอีกแล้ว?” อาจารย์ทุกคนมองหน้ากันเอง พวกเขาไม่เคยผ่านยุคสมัยที่มีการต่อสู้ประจัญบานมาก่อน ดังนั้นจึงได้ยินแค่ชื่อเท่านั้น แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องความน่ากลัวและการนองเลือดของการต่อสู้ประจัญบานเลย
“สวรรค์ ไอ้เวรคนไหนเริ่มเนี่ย?” ผู้อำนวยการหน้าเปลี่ยนสี สะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ เขาย่อมเคยเห็นไฟล์ลับพวกนั้นมาก่อน ทุกครั้งการต่อสู้ประจัญบานทำให้ความสามารถของพวกเด็กๆ เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวจริงๆ แต่ว่าตัวเลขบาดเจ็บล้มตายก็น่าสยดสยองมากเกินไป ดังนั้น ผู้อำนายการแต่ละรุ่นต่างระวังไม่ให้เกิดการต่อสู้ประจัญบานมาก พวกเขายินดีให้พวกเด็กๆ พัฒนาไปอย่างมั่นคง ไม่อยากใช้วิธีการโหดร้ายแบบนี้มาบีบพวกเขาเติบโตขึ้น นี่ก็คือสาเหตุที่การต่อสู้ประจัญบานหายไปหนึ่งร้อยปี
ท่านผู้อำนวยการเชื่อมต่อกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักแล้วดึงสถานที่ที่เริ่มการต่อสู้ประจัญบานออกมา
ทันใดนั้นหน้าจอขนาดใหญ่ด้านหน้าสุดของห้องอาหารสว่างขึ้นมา จากนั้นก็ปรากฏฉากประจันหน้ากันของสองฝ่าย พวกหลิงหลาน ฉีหลง อู่จย่ง ไม่ขาดไปสักคน ทุกคนต่างปรากฏอยู่ด้านใน…
“ไอ้เชี่ย สมาชิกหลักห้องพิเศษของปีเจ็ดออกโรงกันหมดเลย” เมื่อเห็นห้องพิเศษของปีเจ็ดรวมใจเป็นหนึ่งขนาดนี้ ในแววตาของพวกอาจารย์ก็เผยความรู้สึกชื่นชมออกมา นี่ทำให้พวกเขานึกถึงตอนที่พวกเขาร่วมเป็นร่วมตายกับเพื่อนร่วมรบในสงคราม…
ดีๆๆ! สมกับที่เป็นเชื้อสายของเขาจริงๆ! ท่านผู้อำนวยการเห็นร่างของหลิงหลานก็อดสูดลมหายใจเฮือกหนึ่งไม่ได้ ผู้อำนวยการคือจิ้งจอกเฒ่า แค่ดูจากตำแหน่งการยืนของนักเรียนปีเจ็ดก็มองออกว่าใครเป็นคนนำพาให้เกิดการต่อสู้ประจัญบานนี้
…………………………..