สิ้นเสียงนี้กลุ่มของหลี่อิงเจี๋ยรวมถึงพวกนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่เดิมทีคันไม้คันมืออยู่นิดหน่อยก็พุ่งเข้าไปล้อมรอบคนสิบกว่าคนนั้นทันที จากนั้นก็เริ่มต่อสู้ตะลุมบอนขึ้นมา ห้องอาหารตกอยู่ในความวุ่นวาย
ฉีหลงมองฉากตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง พึมพำว่า “สู้กันแล้วจริงๆ อะ?” เอาเถอะ เมื่อสักครู่นี้เขาคิดว่าจะแก้ปัญหาเรื่องข้อขัดแย้งนี้อย่างสันติเสียอีก
หลิงหลานนวดหว่างคิ้วด้วยความจนปัญญา รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย พอหลี่อิงเจี๋ยคนนี้อาละวาดขึ้นมาก็ควบคุมยากมากจริงๆ…แต่ว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยที่สุดนักเรียนบางคนที่คิดจะกระทำลับหลังก็ไม่กล้าก่อกวนพวกเขาง่ายๆ แล้ว
“อู่จย่ง ไปดูหลี่อิงเจี๋ยที อย่าให้เขาเล่นมากเกินไป!” หลิงหลานกังวลว่านิสัยของหลี่อิงเจี๋ยจะทำให้เขายั้งมือไว้ไม่อยู่ ดังนั้นเลยให้อู่จย่งออกหน้าปิดฉากเรื่องราว เมื่อเทียบกับพวกฉีหลงแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยดีกว่าเล็กน้อย
อู่จย่งพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว อย่างไรก็ตาม เรื่องที่หลิงหลานกังวลก็ไม่ได้เกิดขึ้น หลี่อิงเจี๋ยยังคงจดจำคำสั่งของหลิงหลานไว้มั่น ไม่ได้ทำร้ายใครจนถึงแก่ชีวิต แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกอู๋หย่งสิบกว่าคนก็ได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสอย่างยิ่งยวด ท้ายที่สุดทหารของป้อมปราการก็โยนพวกเขาเข้าไปที่ยานอวกาศของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งทันที จนกลายเป็นหนึ่งในเรื่องขบขันของโรงเรียนทหาร
นี่ทำให้พวกเขาเจ็บแค้นต่อนักเรียนที่มาจากโดฮาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายก็เข้าร่วมกับเหล่าศัตรูที่ขัดแย้งกับฝ่ายโดฮา เพิ่มอุปสรรคให้พวกหลี่อิงเจี๋ยไม่น้อย แน่นอนว่านี่เป็นย่อมเป็นเรื่องราวในภายหลัง ไม่ได้ปรากฏขึ้นที่นี่ชั่วคราว
คนตรงมุมห้องที่เฝ้าสังเกตพวกหลิงหลานมาตลอดก็เห็นฉากนี้ชัดเจนเช่นกัน
“โจวย่า ดูเหมือนว่าที่นายพูดจะถูกต้องนะ นักเรียนจากโดฮารุ่นนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ฉันต้องระวังหมอนี่หน่อยแล้ว” หวังฮุยชี้ไปยังหลี่อิงเจี๋ยที่มีสีหน้าท่าทางหยิ่งทระนงในจุดเกิดเหตุและเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
โจวย่าผงกศีรษะ แต่สายตาของเขากลับทอดมองไปที่โต๊ะของหลิงหลาน เขาเห็นหลี่อิงเจี๋ยออกมาจากโต๊ะตัวนั้น เช่นนั้นคนอื่นๆ ที่อยู่โต๊ะเดียวกับเขาจะเป็นคนแบบไหนกันล่ะ?
โจวย่าคิดว่าคนพวกนี้ไม่ธรรมดากันทั้งนั้น เขาถึงขนาดสงสัยว่าผู้แข็งแกร่งที่ปลุกระดมได้อย่างแท้จริงไม่ใช่เด็กหนุ่มที่อวดดีคนนั้น มีความเป็นไปได้สูงว่าจะซ่อนตัวอยู่ในโต๊ะนั้น…
โจวย่ากวาดตามองไปรอบหนึ่ง เขามองข้างลั่วล่างกับหลิงหลานที่ดูเป็นเด็กหนุ่มค่อนข้างบอบบาง ก่อนจะมองตรงไปยังใบหน้ายิ้มแย้มซื่อๆ ของฉีหลง หรือว่าจะเป็นเขา? ไม่เหมือน…หรือว่าเป็นเขา? ดวงหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของเซี่ยอี๋ปรากฏเข้ามาในสายตา…หรือว่าจะเป็นเขา? ดวงหน้าเคร่งครึมเย็นชาของหานจี้จวินทำให้แววตาของโจวย่าหดลงฉับพลัน เขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอย่างหนึ่งที่มองไม่เห็น….
“โจวย่า นายเป็นอะไร?” หวังฮุยเห็นหน้าผากโจวย่าจู่ๆ หลั่งเหงื่อออกมาก็อดเอ่ยถามด้วยความตกใจไม่ได้
โจวย่าหลับตาให้ตัวเองใจเย็นลงอย่างรวดเร็ว เขาเหมือนกับตอบและก็เหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันอาจจะเจอคู่ต่อสู้ของฉันแล้ว”
“ว่าไงนะ?” เสียงของโจวย่าเบามากเกินไป หวังฮุยได้ยินไม่ชัด
โจวย่ายิ้มให้หวังฮุยแล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ฉันอาจจะเหนื่อยเกินไป”
คำพูดของโจวย่าทำให้หวังฮุยวางใจ โจวย่าสิ้นเปลืองความคิดมากมายเพื่อรับมือพวกลูกเรือในยานบินจริงๆ นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อความสามารถอ่อนแอกว่าอีกฝ่าย ก็ได้แต่อาศัยสติปัญญาเข้ามาชดเชย
โจวย่าปรายตามองหานจี้จวินอีกครั้งและลอบคิดกับตัวว่า ‘หมอนั่นเป็นเสนาธิการของพวกเขาเหรอ? ดูท่าจะเป็นคนที่ร้ายกาจ’ โจวย่ารู้ดีว่าในเมื่อพวกเขาอยู่คนละฝ่าย ต้องมีสักวันที่พวกเขาต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม…จิตใจของเขาฮึกเหิมขึ้นมา แววตาส่องประกายแวบหนึ่ง โจวย่าไม่ใช่คนที่กลัวการท้าทาย!
หานจี้จวินกวาดตามองห้องอาหารรอบหนึ่งราวกับรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง แต่เขาสัมผัสถึงสายตาที่ทำให้เขารู้สึกถึงไม่ได้ เขาลอบส่ายศีรษะ หรือว่าตัวเองจะคิดมากไป?
………….
ห้องอาหารกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง ฝ่ายโดฮาแทบจะยึดครองครึ่งหนึ่งของห้องอาหารเนื่องจากมีคนมาก ส่วนนักเรียนจากดาวดวงอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปนั่งตรงอีกครึ่งหนึ่งของห้อง มองดูกลุ่มนักเรียนโดฮาอย่างระมัดระวัง ในระหว่างนี้ยานบินทยอยกันมาถึงหลายลำ ในที่สุดพอห้องอาหารถูกยึดเต็มทุกพื้นที่ บรรดานักเรียนก็ได้รับแจ้งว่า พวกเขาจะขึ้นยานบินลำใหม่และเริ่มออกเดินทางสู่เส้นทางใหม่
พวกหลิงหลานมาถึงจุดขึ้นเครื่องของยานบินลำใหม่ภายใต้การนำทางของเจ้าหน้าที่ป้อมปราการ จากนั้นพวกเขาก็ตกตะลึงกับภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของยานบินทันที ที่แท้ยานบินในครั้งนี้ไม่ได้ปลอมแปลงเป็นยานบินที่ใช้ในพลเรือน หากแต่เป็นยานรบทหารของจริง เป็นยานลาดตระเวนที่ติดสัญลักษณ์สหพันธรัฐ
หัวยานของยานลาดตระเวนมีปืนใหญ่พลังงานต่อสู้อากาศยานอยู่กระบอกหนึ่ง ปืนใหญ่เลเซอร์ที่อยู่สองฝั่งของท้ายยานแยกกันติดตั้งตรงคนละมุมอย่างดุดัน ส่วนท้องของยานรบยังติดจรวดดาวนำวิถีระยะไกลสองลูก สามารถโจมตีศัตรูที่อยู่ห่างไกลได้
ตัวยานรบไม่ใช่สิ่งที่พวกยานบินขนาดเล็กที่ปลอมแปลงเป็นยานบินให้พลเรือนใช้นั้นเทียบได้เลย ทั่วทั้งลำแทบจะมีขนาดใหญ่กว่าแตรที่เจ็ดสามเท่า ยานรบขนาดมหึมาค่อยๆ เคลื่อนที่อยู่ในท่าอวกาศ เมื่อเทียบกับยานบินขนาดเล็กที่อยู่รอบๆ แล้ว เห็นได้ชัดว่ามันดูยิ่งใหญ่ทรงอำนาจมากกว่า
หลิงหลานไม่รู้ว่ายานแม่ที่มีขนาดใหญ่กว่ายานรบสิบเท่าจะมีตัวตนแบบไหน แต่ว่าตอนนี้ ยานรบของจริงที่ปรากฏตัวตรงหน้าหลิงหลานลำนี้ทำให้หัวใจหลิงหลานสั่นสะท้าน รู้สึกว่าเลือดเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
นักเรียนทุกคนต่างขึ้นยานโดยที่แฝงความรู้สึกยำเกรงและความเฝ้าใฝ่ฝัน หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รับกฎเกณฑ์บางอย่างที่จำเป็นต้องปฏิบัติตามขณะอยู่ในยานรบ บางทีพวกนักเรียนใหม่อาจจะถูกความองอาจของยานรบสยบลง หรือบางทีพวกเขาอาจจะผ่านความทรมานบนยานบินลำแรกมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้ายั่วโมโหทหารบนยานรบ ทำตัวเชื่อฟังขณะอยู่บนยานรบอย่างยิ่งยวด
พวกหลิงหลานไม่อยากก่อเรื่องอยู่แล้ว ดังนั้นจึงเป็นการเดินทางโดยสวัสดิภาพ สามวันให้หลังพวกเขามาถึงดาวที่สวยงามลึกลับอย่างราบรื่น
เสี่ยวซื่อลอบติดต่อกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักบนยานรบนานแล้วและรู้พิกัดที่พวกเขาพวกเขาร่อนลง เขาเตือนหลิงหลานว่าที่นี่เป็นดาวที่ไม่ได้ถูกสหพันธรัฐทำสัญลักษณ์ไว้ หลิงหลานอดไม่ไหวนึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ออกเดินทางครั้งแรกเพื่อไปยังดาวสัตว์อสูร เธอลอบตัวสั่น รู้สึกตลอดว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่ดาวลึกลับนี้…เธอหวังแค่ว่าตัวเองจะโชคดี สามารถใช้ชีวิตในโรงเรียนทหารหกปีนี้ได้อย่างปลอดภัย
แน่นอนว่ายานรบไม่อาจร่อนลงมาที่ชั้นบรรยากาศของดาวโดยตรงได้ มันจอดอยู่ในท่าอวกาศบริเวณนอกดาว พวกนักเรียนโดยสารรถไฟขบวนพิเศษด้วยความรู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่จากท่าอวกาศไปยังจุดหมายปลายทางของพวกเขาในครั้งนี้ เมืองหลวงทหาร!
หน้าจอบนรถไฟขบวนพิเศษมีคำอธิบายว่า ดาวดวงนี้มีเมืองของมนุษย์เพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเมืองหลวงทหาร สมาชิกในเมืองหลวงทหารมีเพียงสองประเภท หนึ่งคือนักเรียนทหาร ส่วนอีกประเภทก็คือทหาร ถูกต้อง ความจริงแล้วอาจารย์ของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งก็คือทหารที่โดดเด่นจากตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ
เมืองหลวงทหารสร้างขึ้นมาอย่างงดงามมาก มันใช้แผนผังของยันต์แปดทิศโบราณในการวางอาคารต่างๆ ถ้าหากไม่มีแผนที่ที่สัมพันธ์กัน มีความเป็นไปได้สูงว่าจะหลงทางในนี้ได้ ตรงกลางสุดของเมืองหลวงทหารคือสวนดอกไม้จัตุรัสกินพื้นที่ใหญ่มากและสวยงามอย่างยิ่งยวด รอบด้านไม่มีอาคารสูงใหญ่อะไรเลย มีเพียงอาคารขนาดเล็กรูปลักษณ์ต่างๆ นานาซ่อนอยู่ท่ามกลางต้นไม้เพื่อให้เข้ากับที่นี่
ถ้าหากถามว่าโรงเรียนทหารอยู่ที่ไหน? เมืองหลวงทหารก็คือโรงเรียนทหารไงล่ะ! อาคารทั้งหมดของที่นี่ต่างเป็นสถานที่ให้พวกนักเรียนศึกษา พักผ่อน สนุกสนานเพลิดเพลินและซื้อของ เมืองหลวงทหารมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ของกิน ของใช้ เครื่องแต่งกายสวมใส่กระทั่งของเล่นต่างมีอยู่ในนี้ทั้งหมด ไม่มีทางทำให้คนรู้สึกว่าตัวเองใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ปิดตายตลอดกาล และโลกเสมือนจริงก็เปิดให้นักเรียนทหารใช้ตามที่ต้องการ สามารถล็อกอินเข้าสู่โลกเสมือนจริงได้ทุกที่ทุกเวลา
เมื่อนักเรียนใหม่รุ่นหลิงหลานเหยียบย่างเข้าไปในเมืองหลวงทหาร หลิงหลานก็สังเกตเห็นนักเรียนทหารบางคนที่สวมชุดเครื่องแบบเดียวกันกำลังมองพวกเขาด้วยสายตาแปลกพิกลสุดขีด ถึงขนาดที่มีคนไม่น้อยเปิดอุปกรณ์สื่อสารราวกับกำลังติดต่อใครบางคนอยู่ นี่ทำให้หลิงหลานระมัดระวังมากขึ้น หรือว่านักเรียนเก่าพวกนี้คิดจะกำราบนักเรียนใหม่อย่างพวกเขา?
หลิงหลานคิดว่านี่มีความเป็นไปได้อย่างมากเลยเตือนพวกฉีหลง อู่จย่งและหลี่อิงเจี๋ยให้ระวังตัวหน่อย อย่าแยกกันให้นักเรียนเก่ามีโอกาสลงมือเป็นอันขาด
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งนี้จะลึกล้ำซับซ้อนมาก…หลิงหลานเตือนหลินจงชิงกับเซี่ยอี๋ด้วยสีหน้าจริงจังว่าต้องรีบทำความเข้าใจสถานการณ์ของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง โดยเฉพาะเกี่ยวกับขุมอำนาจต่างๆ และผู้นำของมัน
หลิงหลานเอ่ยอย่างลับๆ ว่า ‘ดูท่าคิดจะตั้งมั่นยืนหยัดอยู่ในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งคงจะไม่ง่ายอย่างที่เธอคิดเอาไว้!’
แน่นอนว่าหลิงหลานไม่ได้ขี้ขลาดตาขาว นับตั้งแต่ที่มีหลิงเซียวหนุนหลังเธอเก็บกวาดเรื่องราวให้ หลิงหลานก็ทำเรื่องใจกล้ากว่าเมื่อก่อนมาก
…………
ภายในสวนดอกไม้ของบ้านพักแห่งหนึ่งในเขตหอพักของปีสี่ เวลานี้มีชายหนุ่มสี่คนกำลังเล่นไพ่กันอย่างสบายอารมณ์
หนึ่งในนั้นเป็นชายรูปร่างสูงกำยำ ใบหน้าเหลี่ยมที่ดูเรียบร้อยเต็มไปด้วยความเย็นชา ต่อให้กำลังเล่นไพ่อยู่ สีหน้าของเขาก็จริงจังสุดขีด เหมือนกับว่าตอนนี้เขากำลังทำสงครามหุ่นรบครั้งใหญ่ ตั้งสมาธิจดจ่อกับมัน
ตรงข้ามชายหนุ่มร่างกำยำคือชายหนุ่มที่ดูงดงามอย่างยิ่งยวด เพียงแต่ความงดงามนี้เต็มไปด้วยด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย ดวงตาสองข้างหรี่ลงเล็กน้อย สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเขาทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดหวั่น
ด้านขวามือของชายหนุ่มรูปงามที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายกลับเป็นชายหนุ่มที่หน้าตาธรรมดาสุดขีด อย่างไรก็ตาม ความเรียบง่ายธรรมดาบนตัวเขาทำให้เขาไม่ได้ถูกเพื่อนข้างกายสองคนที่มีลักษณะท่าทางแปลกตานี้กลบเลย เขาเหมือนกับเป็นไข่มุกมันขลับที่แสดงความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ในหมู่เพชรที่แวววาวสองเม็ด ไม่ได้ดูอ่อนด้อยกว่าเลย
ตรงข้ามชายหนุ่มที่ดูธรรมดากลับเป็นชายหนุ่มที่สวมหน้ากากปกปิดไว้ครึ่งหน้า ริมฝีปากสีแดงโค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างสวยงามเสมอ ดวงตาสองข้างที่อยู่ด้านหลังหน้ากากดูยิ้มแย้มอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายอ่อนโยนทำให้คนอดอยากเข้าใกล้ไม่ได้ ควรพูดว่าคนที่ให้ความรู้สึกสนิมสนมไม่เป็นพิษเป็นภัยตั้งแต่แรกพบก็ต้องเป็นเขานี่แหละ
“ได้ยินว่ารุ่นนี้มีปีศาจอัจฉริยะมาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือของโดฮาหนึ่งคน?” ชายหนุ่มที่ดูชั่วร้ายดีดไพ่ในมือ เล่าข่าวซุบซิบที่เขาได้มาด้วยสีหน้าสนอกสนใจ
“นายได้ยินมาจากไหน?” ชายหนุ่มที่ดูธรรมดาเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วขึ้น
ชายหนุ่มที่ดูชั่วร้ายยิ้มน้อยๆ “ศัตรูเก่าของเราไง ตั้งแต่ที่จางจิงอันจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือคนนั้นแพ้ให้พวกเรา เขาเคยบอกว่าปีศาจอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือคนนั้นจะมาที่โรงเรียนทหารเราในปีนี้ ต่อให้ฉันอยากลืมก็ทำได้ยากนะ”
ชายหนุ่มร่างกำยำทำเหมือนกับไม่ได้ยินอะไร เขาดึงไพ่ใบหนึ่งออกมาจากในมือด้วยความจริงจังก่อนจะวางไว้บนโต๊ะและตะโกนว่า “แจ็ค!” หลังจากนั้นเขาก็หันหน้ามองไปที่ชายหนุ่มสวมหน้ากากและเอ่ยว่า “หลานเฟิง ตานายลงไพ่แล้ว” เขาไม่สนใจข่าวซุบซิบแบบนี้ ถ้าหากมียอดฝีมือประลองหุ่นรบปรากฏตัวออกมา บางทีเขาอาจจะสนใจอีกฝ่ายได้
ชายหนุ่มที่ดูอ่อนโยนรวบไพ่ทันใดและเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จ้าวจวิ้น อย่ารีบร้อน ยังไงไพ่ก็ต้องโผล่ออกมา” เขาค่อยๆ เปิดไพ่ที่หยิบออกมาจากในมือหนึ่งใบแล้ววางลงไปบนโต๊ะเบาๆ ปากก็เอ่ยถามว่า “หานอวี้ นายรู้หรือเปล่าว่าคนๆ นั้นคือใคร?”