ลั่วล่างเพิ่งจะยึดสถานการณ์ที่ได้เปรียบ ทว่าความแตกต่างของความสามารถทำให้การโจมตีอันทรงพลังของลั่วล่างไม่มีผลเลยสักนิดเดียว ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนเสียเปรียบนิดหน่อย แต่เขาทำลายสถานการณ์ได้เปรียบของลั่วล่างได้แล้ว ทำให้พวกเขาสองคนกลับมาอยู่ในสภาพเท่าเทียมกันอย่างในตอนแรกอีกรอบ
หลิงหลานดูออกว่า ลั่วล่างที่อยู่ในระหว่างการต่อสู้เองก็รู้ว่าสถานการณ์ได้เปรียบของตัวเองอันตรธานหายไปแล้วหลังจากการโจมตีครั้งนั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ฝืนโจมตีต่อ หากแต่เลือกตั้งท่าป้องกันด้วยความระมัดระวัง ทั้งสองคนเว้นช่องว่างประจันหน้ากันอีกครั้ง
ถังอวี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นการกระทำของลั่วล่างก็อดลอบพยักหน้าไม่ได้ นักเรียนปีหนึ่งคนนี้ไม่ได้เปลี่ยนเป็นมั่นใจในตัวเองอย่างหน้ามืดตามัวเพราะความได้เปรียบในตอนแรก เขารู้ดีว่าสถานการณ์พลิกกลับแล้ว เมื่อเห็นว่าความได้เปรียบของตัวเองหายไปก็ตั้งท่าป้องกันอย่างรวดเร็ว มองเห็นได้ถึงความเยือกเย็นและสติสัมปชัญญะของเขา นี่ย่อมเป็นหน่ออ่อนที่ดีของทหารหุ่นรบ
ถังอวี้ยิ่งมองลั่วล่างก็ยิ่งชอบพอ ตอนนี้เรื่องเดียวที่ส่งผลกระทบต่อลั่วล่างในการกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่ยอดเยี่ยมคือร่างกายอันบอบบางของเขา ถังอวี้อดคิดไม่ได้ว่าจะไปหาเพื่อนเก่าในคณะแพทย์แล้วเอายายีนดัดแปลง S ที่พวกเขาพัฒนาออกมาสักหลายหลอดดีหรือไม่ ได้ยินว่าประสิทธิภาพดีกว่ายายีนระดับพิเศษด้วย…
ถังอวี้ที่เป็นกรรมการสลัดความคิดออกไปชั่วคราว ถึงแม้ฉีย่าที่ยืนตรงข้ามลั่วล่างจะดูเหมือนไม่ได้ตั้งท่าป้องกันอย่างในตอนแรก แต่ว่าภายในกลับเตรียมการโจมตีไว้นานแล้ว ถ้าหากลั่วล่างหุนหันตัดสินใจฝืนโจมตีอีกครั้ง มีความเป็นไปได้สูงว่าจะโดนฉีย่าฉวยโอกาสทำร้ายเขาในหนึ่งกระบวนท่า น่าเสียดายที่ลั่วล่างรอบคอบมาก ไม่ได้กระทำอย่างที่ฉีย่าคิดไว้ นี่ทำให้ฉีย่าอดลอบสบถไม่ได้ โกรธเคืองที่นักเรียนใหม่ปีหนึ่งคนนี้ค่อนข้างระมัดระวังตัวมากเกินไปแล้ว
ท่าทางและการกระทำของลั่วล่างทำให้ฉีย่ารู้ว่ารอให้ลั่วล่างโจมตีก่อนนั้นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย หนทางที่ตั้งอยู่ตรงหน้าฉีย่ามีเพียงสองสายเท่านั้น หนึ่งก็คือแข่งความอดทนกับลั่วล่าง ดูว่าใครอดทนไม่ไหวทำการโจมตีก่อน และหนทางที่สองก็คือฉีย่าโจมตีก่อนเอง
หนทางสองสายนี้ ฉีย่าเลือกหนทางที่สองโจมตีก่อนเองโดยที่แทบจะไม่ต้องใคร่ครวญเลย เนื่องจากเขาไม่อยากหยุดชะงักกับลั่วล่างต่อไป เขาคิดว่านี่เป็นการสบประมาทเขาอย่างหนึ่ง เขาคิดว่า KO อีกฝ่ายอย่างหมดจดไปเลยถึงจะเข้ากับความสามารถของเขา ถึงจะแสดงอำนาจของเหลยถิงออกมาได้
แน่นอนว่าเขาเลือกโจมตีก่อนก็เป็นเพราะการปะทะกันเมื่อสักครู่นี้ทำให้เขารู้ระดับความสามารถที่แท้จริงของทักษะการต่อสู้มือเปล่าของลั่วล่าง เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ลั่วล่างอ่อนแอกว่าเขามากอย่างเห็นได้ชัด น่าจะเพิ่งเข้าสู่ระดับพลังปราณขั้นต้น เขาเหนือกว่าอีกฝ่ายสามขั้นเล็กๆ การเอาชนะอีกฝ่ายคือเรื่องที่แน่นอนแล้ว ระดับพลังปราณไม่เหมือนกับหลายระดับก่อนหน้านี้ที่ความแตกต่างของขั้นเล็กๆ แต่ละขั้นไม่ได้ใหญ่มาก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จะถูกโค่นล้มกลับจริงๆ แต่พอถึงระดับพลังปราณแล้ว ความแตกต่างขั้นเล็กๆ เพียงพอที่จะบดขยี้ศัตรูให้ตายได้
ฉีย่าที่มีความมั่นใจพุ่งเข้าไปฉับพลัน พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าลั่วล่าง หมัดขวาที่แข็งแกร่งและทรงพลังต่อยไปที่ลั่วล่าง
ลั่วล่างเห็นการโจมตีของฉีย่ามาถึง ได้ยินเสียงลมอัดที่กำปั้นซัดขึ้นมาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่การโจมตีที่เขาสามารถฝืนรับได้ เวลานี้เอง างกายสูงโปร่งบอบบางแต่เดิมกลับแสดงลีลาการต่อสู้ที่แตกต่างจากคนที่มีร่างกายกำยำโดยสิ้นเชิง ลั่วล่างเคลื่อนที่ออกไปหนึ่งก้าวด้วยความปราดเปรียว บิดเอวไปทางด้านข้างเล็กน้อย กำปั้นแฉลบผ่านไปจากทางด้านซ้ายของตัวเขา…
ระยะห่างนี้ถูกควบคุมไว้อย่างประณีตมากแน่นอน แทบจะคำนวณรัศมีขอบเขตลมอัดที่ระเบิดออกมาของฝ่ายตรงข้ามอย่างแม่นยำ หลบได้อย่างเฉียดฉิว เรื่องเดียวที่ไม่อาจควบคุมได้ย่อมเป็นเวลาในการหลบ มีปลายผมหลายเส้นไม่อาจหลบรัศมีลมอัดได้ทันเวลา ถูกกำปั้นของอีกฝ่ายตัดขาด บอกลาเจ้าของอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วเริ่มปลิวไสวอย่างอ่อนช้อยขึ้นในกลางอากาศ
เสียง ‘ปัง’ ดังลั่น หมัดของฉีย่าที่หนักหน่วงทรงพลังไม่อาจรับไว้ได้ซัดใส่พื้นเวทีประลองไปตรงๆ จนเกิดเสียงดังสนั่น
พื้นเวทีประลองแตกขึ้นมาทันทีเพราะแรงมหาศาลนี้ ก่อนจะแผ่ขยายออกไปจนถึงบริเวณขอบเวทีประลอง จุดที่กำปั้นตกลงไปนั้นปรากฏหลุมตื้นๆ ที่มีขนาดประมาณสามสิบเซนติเมตร
ลั่วล่างฉวยโอกาสตอนที่ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนกระบวนท่าไม่ทัน กระทืบเท้าพุ่งไปยังอีกทางด้านหนึ่ง เว้นระยะห่างกับฉีย่าอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขายังดูเคร่งขรึมมากกว่าเมื่อสักครู่นี้ เนื่องจากพอสัมผัสพลังของกำปั้นอีกฝ่ายในระยะใกล้ ก็รู้ว่าถ้าหากโดนโจมตีโดยไม่ทันระวัง ร่างกายของเขาย่อมแบกรับไม่ไหว บาดเจ็บสาหัสจนพ่ายแพ้ไปทันทีแน่นอน นี่ก็คือระดับพลังปราณ ถึงแม้ดูเหมือนว่าระดับขั้นต่างกันไม่มาก แต่ระดับความแข็งแกร่งและความเข้มข้นของพลังปราณกลับแตกต่างราวฟ้ากับดิน
ฉากที่เวทีประลองถูกทำลายนี้ทำให้บรรดานักเรียนใหม่ที่ชมการประลองอยู่ด้านล่างเวทีอุทานขึ้นมาฉับพลัน หรือว่าการแข่งขันจะจบลงตรงนี้แล้ว? โจมตีครั้งเดียวก็ทำเวทีประลองพังจนถึงระดับนี้ เวทีประลองนี้ยังทนรับได้อีกกี่กระบวนท่า?
นักเรียนเก่าเห็นบรรดานักเรียนใหม่สับสนอลหม่านแบบนี้ก็อดกวาดตามองพวกเขาด้วยแววตาดูถูกไม่ได้ ตอนนี้พวกเขาลืมไปแล้ว พวกเขาในปีนั้นก็ตื่นตะลึงกับฉากเหตุการณ์แบบนี้เหมือนกัน
ไม่เพียงนักเรียนใหม่ที่ตกตะลึงจากการชมการต่อสู้ กระทั่งพวกฉีหลงเองก็ตกใจกับฉากนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเวทีประลองของโรงเรียนทหารจะเปราะบางขนาดนี้ ต้านทานการโจมตีของระดับพลังปราณขั้นต้นสูงสุดครั้งเดียวก็ไม่ได้ หลี่อิงเจี๋ยยังไม่ได้ตระหนักอย่างลึกซึ้งมากนัก แต่อู่จย่งกับฉีหลงลอบพึมพำกับตัวเองว่า พวกเขาต้องเก็บงำพลังปราณตอนที่ขึ้นไปประลองบนเวทีเพื่อป้องกันไม่ให้ต่อสู้จนเวทีประลองแห่งนี้พังทลายไหม?
หลิงหลานเห็นบรรดาเพื่อนๆ ทำสีหน้าตื่นตกใจก็ลอบถอนหายใจ เธอเอ่ยปากอธิบายว่า “นี่เป็นเทคโนโลยีจำลองชั้นสูง แสดงพลังของผู้เข้าประลองบนเวทีออกมาโดยตรง สามสิบวินาทีให้หลังก็จะกลับคืนเป็นปกติได้”
คำพูดเพิ่งจะถูกกล่าวออกมาก็เห็นพื้นที่แตกออกบนเวทีประลองค่อยๆ สมานกัน สุดท้ายก็ฟื้นฟูกลับคืนมาโดยสมบูรณ์ ฉากนี้ทำให้เหล่านักเรียนใหม่อุทานไม่หยุดด้วยความตกใจอีกครั้ง ไม่นึกเลยว่าโรงเรียนทหารจะนำวิธีการจำลองมารวมกับเวทีประลอง ใช้วิธีการเช่นนี้แสดงพละกำลังและอานุภาพของนักสู้ออกมาให้ชมการประลองโดยที่เผชิญกับสภาพแวดล้อมดังกล่าวด้วยตัวเอง
พวกฉีหลงกับอู่จย่งเห็นฉากนี้ก็หันหน้าไปมองหลิงหลานด้วยความนับถือ ลอบเอ่ยว่า ‘ลูกพี่คือลูกพี่จริงๆ มีความรู้กว้างขวาง ไม่ว่าอะไรก็ปิดบังสายตาของเขาไม่ได้เลย’
หลิงหลานรับสายตาเคารพนับถือของพวกเพื่อนๆ ด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ทว่ากำลังเหงื่อแตกอยู่ในที่ลับ โชคดีที่เสี่ยวซื่อเตือนเธอได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นเธอก็เป็นคนที่โดนหลอกเหมือนกัน! แน่นอนว่าหลิงหลานเองก็ดีใจที่ตัวเองมีหน้าน้ำแข็ง นิ่งสนิทดุจขุนเขา ไม่ได้เปิดเผยความเป็นจริงออกไป รักษาภาพลักษณ์อันสูงส่งของเธอในสายตาเพื่อนๆ ไว้…
ในขณะที่ทางด้านหลิงหลานกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น บนเวทีประลองไม่ได้หยุดการต่อสู้เลย ฉีย่าโจมตีใส่ลั่วล่างอย่างไม่ยอมแพ้อีกครั้ง แต่ก็ถูกลั่วล่างหลบได้หมด เวลานี้ลั่วล่างเชื่อฟังคำแนะนำของลูกพี่หลานอย่างแน่วแน่ ไม่เข้าปะทะกับอีกฝ่าย คอยพัวพันหลบหลีกตลอด ต่อสู้แบบนี้หลายรอบ บนสนามประลองมีร่างหนึ่งเคลื่อนที่ไม่หยุดนิ่ง ร่างหนึ่งมีพลังแกร่งกล้า ร่างหนึ่งเบา ร่างหนึ่งหนักทะยานขึ้นลง ทำให้ผู้คนมองอย่างตกใจจนพูดไม่ออก การต่อสู้เพียงฝ่ายเดียวที่พวกเขาคิดไว้แต่เดิมไม่ได้ปรากฏขึ้น จากวิธีการต่อสู้เช่นนี้ของลั่วล่างย่อมยืนหยัดได้นานมากก่อนที่เขาจะหมดแรงลงแน่นอน
ทางฝั่งเหลยถิงเริ่มสับสนวุ่นวายขึ้นมานิดหน่อยเช่นกัน มีตัวแทนการประลองหลายคนเผยสีหน้าไม่พอใจออกมาเหมือนกัน คิดว่าฉีย่าทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนัก ขายหน้าชั้นปีสูงของพวกเขา
ฉีย่าย่อมรู้ถึงความวุ่นวายด้านล่างเวทีดี ในใจเขาทั้งโมโหทั้งแค้นเคือง แต่ว่าเขาไม่อาจจัดการลั่วล่างที่มีความเร็วเหนือกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด ลั่วล่างที่บอบบาง ระดับความคล่องแคล่วว่องไวของเขาเหนือกว่าคนทั่วไปอย่างชัดเจน ถ้าหากคิดจะจับอีกฝ่าย ถ้าไม่ทำให้เรี่ยวแรงของเขาหมดลง ก็ต้องทำให้เขาสูญเสียความเยือกเย็นไป…
เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามหายใจยาวติดต่อกันรู้ว่าตอนนี้พลังกายของลั่วล่างเต็มเปี่ยม ฉีย่าถึงขนาดสงสัยว่าไอ้เห็บน่ารังเกียจตัวนี้ยังกระโดดโลดเต้นต่อไปได้ต่อให้เรี่ยวแรงของเขาหมดลงแล้วหรือเปล่า กอปรกับเดิมทีฉีย่าไม่อยากรอต่อไป เขาคิดแค่ว่าต้องเอาชนะคู่ต่อสู้ให้เร็วที่สุดเพื่อป้องกันเกียรติยศของเขา เช่นนั้นเขาก็ได้แต่ทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความเยือกเย็นแล้ว…
มุมปากของฉีย่าเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา ตอนที่เขาพุ่งเฉียดกายลั่วล่างก็เอ่ยเยาะหยันว่า “ไอ้ขยะที่ทำได้แค่หลบอย่างนายกลายเป็นคนที่ถูกคัดเลือกให้เข้าประลองครั้งนี้ได้ เพราะว่านายใช้ร่างกายของนายแลกมาใช่ไหม?”
ดวงหน้างดงามของลั่วล่างแดงก่ำขึ้นทันใด เขาหลบไปอีกครั้ง ฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ เขารู้ว่าอีกฝ่ายพูดแบบนี้ก็เพื่อยั่วโมโหเขา ทำให้เขาสูญเสียความเยือกเย็น เขาไม่อาจตกหลุมพรางเป็นอันขาด…
ฉีย่าตามติดอีกครั้ง สองหมัดโจมตีเข้าไปอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ลั่วล่างหลบซ้ายหลบขวา เขาเกือบจะโดนลมอัดเฉียดใส่หลายครั้ง แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ ชุดเครื่องแบบของลั่วล่างถูกตัดขาดหลายแห่ง เผยผิวหนังที่ขาวเนียนของเขาออกมา
“มีคุณสมบัติที่ดีมากจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะหัวหน้าของนายถึงโดนนายล่อลวง เลื่อนตำแหน่งให้นายโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น” ฉีย่าใช้สายตาคลุมเครือกวาดตามองผิวหนังที่หลุดรอดออกมา
“หุบปากนะ!” ลั่วล่างตะโกนเสียงดังฉับพลัน เขาอดทนต่อการดูถูกเขาได้ แต่เขาไม่อนุญาตให้มีคนสบประมาทลูกพี่หลานของเขาเด็ดขาด!
“หุบปาก? ทำไมฉันต้องหุบปากด้วย ในเมื่อเขาทำได้ ก็อย่ากลัวโดนคนอื่นพูดถึงสิ!” ฉีย่ารู้ว่าจุดอ่อนของลั่วล่างคืออะไรจากในปฏิกิริยาตอบสนองของลั่วล่างแล้ว เขาหัวเราะบ้าคลั่งมากขึ้น “ฉันอยากบอกทุกคนว่า หัวหน้ากลุ่มของนายเป็นเกย์ เป็นพวกรักร่วมเพศ…”
ลั่วล่างหน้าแดงฉาน ดวงตาสองข้างเริ่มขึ้นสีแดงเลือด เขาหลบไปพลาง แต่ร่างกายกลับสั่นเทาขึ้นมาโดยที่ไม่อาจควบคุมได้…
“ฮ่าๆ โดนฉันพูดจี้ใจดำละสิ…” ฉีย่าเอ่ยเสริมขึ้นมาอย่างชั่วร้าย จากนั้นขาขวาที่สะสมพลังเตรียมไว้นานแล้วก็เตะไปทางด้านข้างทันที…
ทุกคนต่างคิดว่าลั่วล่างจะหลบได้ แต่ว่าตอนนี้เอง ลั่วล่างพลันหยุดนิ่งไม่ไหวติง ศีรษะก้มหน้าลงต่ำ ตอนที่เห็นฉีย่าเตะทางด้านข้างใส่ร่างกายของลั่วล่างอย่างอำมหิต ก็เห็นลั่วล่างยื่นมือซ้ายออกมาจับข้อเท้าข้างขวาของฉีย่าไว้ทันที
ฉีหลงที่ชมการประลองลุกขึ้นมาทันใด เขาเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปยกใหญ่ว่า “แย่แล้ว!”
การเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันนี้ทำให้อู่จย่งและหลี่อิงเจี๋ยหันมามองด้วยงงงัน อย่างไรก็ตาม เสียงอุทานด้วยความตกใจที่ดังลั่นไปทั่วทั้งสนามได้ดึงดูดสายตาของพวกเขากลับไปบนเวทีประลองอีกครั้ง พวกเขาคิดว่าเพราะฉีหลงเป็นห่วงเพื่อนถึงได้ลุกขึ้นมาร้องอุทานในตอนที่เขาตกอยู่ในอันตรายเมื่อสักครู่นี้ มีเพียงหลิงหลานเท่านั้นที่ว่าเพราะอะไร เธอดึงฉีหลงลงมา เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “เบาเสียงหน่อยสิ!”
ฉีหลงตระหนักขึ้นได้ก็รีบนั่งลง ทว่าสีหน้ายังคงดูไม่ดี เขาเอียงไปทางข้างหูของหลิงหลานและเอ่ยเสียงเบาหวิวว่า “ลูกพี่ ลั่วล่างเปิดใช้พรสวรรค์แล้ว” เขาคิดไม่ถึงว่าลั่วล่างจะเปิดใช้พรสวรรค์บนเวทีประลองโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ฝ่ายตรงข้ามพูดอะไรที่ยั่วโมโหเขากันแน่นะ?
ถึงแม้ว่าเสียงพูดของฉีย่าจะเบามาก ผู้ชมด้านล่างไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร ทว่าจากริมฝีปากของอีกฝ่ายที่เคลื่อนไหวไม่หยุด และสีหน้าของลั่วล่างที่แย่มากขึ้นเรื่อยๆ เขาจะต้องพูดอะไรบางอย่างที่ยั่วยุลั่วล่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น ลั่วล่างคงไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของหลิงหลาน เปิดใช้งานพรสวรรค์โดยพลการ
หลิงหลานตอบอย่างนิ่งเรียบว่า “ฉันรู้!”
หลังจากคำพูดประโยคนี้ กลิ่นอายบนตัวหลิงหลานก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบอย่างหาใดเปรียบ ถึงขนาดที่มีจิตสังหารโผล่ออกมารางๆ โชคดีที่กลิ่นอายของหลิงหลานผุดขึ้นมาแค่พริบตาเดียวแล้วก็หายไป นอกจากพวกคนที่อยู่ใกล้ที่สุดสัมผัสได้นิดหน่อยแล้ว ก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่น มีเพียงถังอวี้ที่อยู่บนเวทีหันมามองทางนี้แวบหนึ่งด้วยความสงสัย แต่เขาก็หันกลับไปที่บนเวทีประลองด้วยความงุนงงอย่างรวดเร็ว