ถึงแม้ลั่วล่างยังอยู่ในสภาวะหมดสติ แต่ใบหน้าของเขาแดงขึ้นเรื่อยๆ หอบหายใจกระชั้นถี่มากขึ้น ถึงขนาดที่ทั่วทั่งร่างเริ่มกระตุกเกร็งขึ้นมา นี่บ่งบอกว่ายาปลุกในตัวลั่วล่างออกฤทธิ์อย่างเต็มที่แล้ว
นี่ทำให้หลิงหลานที่ใจเย็นมาตลอดไม่อาจสงบนิ่งได้แล้ว ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี เธอไม่รู้ว่าใช้น้ำเย็นราดใส่ตรงๆ จะช่วยลั่วล่างได้หรือเปล่า? หลิงหลานที่รู้เรื่องยาปลุกแค่คร่าวๆ เท่านั้นทำอะไรไม่ถูกแล้วในเวลานี้
เสี่ยวซื่อสัมผัสได้ว่าลูกพี่ของเขาอับจนหนทางก็รีบวิ่งกลับไปขอความช่วยเหลือที่มิติการเรียนรู้ทันที ไม่นานเขาก็กลับมา เอ่ยด้วยใบหน้ายินดีว่า “ลูกพี่ อาจารย์หมายเลขหนึ่งเรียกหาเธอน่ะ”
หลิงหลานใจกระตุก รีบสั่งการว่า “เสี่ยวซื่อ ดูแลโฮเวอร์คาร์กับลั่วล่างดีๆ นะ…”
หลิวหลานยังพูดไม่จบก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าตนเองปรากฏวังวนสีดำหมายจะกลืนกินเธอ
เชี่ย มาอีกแล้ว! สติของหลิงหลานล่องลอยไปแล้วก็ถูกอาจารย์หมายเลขหนึ่งลากเข้าไปในมิติการเรียนรู้ทันที
…….
นี่เป็นมิติส่วนตัวของอาจารย์หมายเลขหนึ่ง อากาศมืดครึ้มไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล ตรงชั้นเมฆบนยอดเขาสูงสุดลูกนั้น อาจารย์หมายเลขหนึ่งยังคงนั่งหลับตาทำสมาธิตามลำพังอยู่ตรงนั้นเหมือนเช่นเคย
หลิงหลานโผล่ขึ้นที่ด้านหลังอาจารย์หมายเลขหนึ่งอย่างไร้ที่มาที่ไป เมื่อหลิงหลานเห็นเงาหลังของอาจารย์หมายเลขหนึ่งก็กล่าวทักทายด้วยความเคารพว่า “อาจารย์หมายเลขหนึ่ง สวัสดีค่ะ!”
อาจารย์หมายเลขหนึ่งค่อยลืมตาขึ้น กล่าวอย่างเรียบนิ่งว่า “มาแล้วสินะ!”
หลิงหลานอดแขวะในใจไม่ได้ คำพูดประโยคนี้พูดออกมาได้เสแสร้งมาก เธอถูกอาจารย์หมายเลขหนึ่งลากเข้ามานะ อาจารย์หมายเลขหนึ่งยังจะไม่รู้ได้อีกเหรอว่าเธอมาแล้วหรือว่ายังไม่มา?
“ได้ยินเสี่ยวซื่อพูดว่า เพื่อนของเธอโดนยาปลุกเหรอ?” หมายเลขหนึ่งไม่สนใจความคิดในใจของหลิงหลาน เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่ค่ะ อาจารย์หมายเลขหนึ่ง ยาปลุกนี้ถอนได้ไหมคะ?” หลิงหลานได้ยินคำกล่าว แววตาสว่างไสวฉับพลัน ใช่แล้ว เธอลืมเข้ามาสอบถามอาจารย์ในมิติการเรียนรู้ได้ยังไง? เสี่ยวซื่อยังเฉลียวฉลาดกว่า นึกเรื่องนี้ได้ หลิงหลานยกนิ้วโป้งเสี่ยวซื่อโดยไม่ลังเล
“ยาปลุกไม่มียาถอน” อาจารย์หมายเลขหนึ่งตอบกลับเรียบๆ
หลิงหลานได้ยินคำพูด แววตาก็ทะมึนลง หรือว่าเธอได้แต่มองดูลั่วล่างทนทรมานเหรอ?
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางแก้เลย” อาจารย์หมายเลขหนึ่งกล่าวต่อ นี่ทำให้อารมณ์ของหลิงหลานที่เดิมทีหดหู่ใจตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งประกายจ้องมองอาจารย์หมายเลขหนึ่ง หวังว่าอาจารย์หมายเลขหนึ่งสามารถบอกวิธีการดีๆ ออกมาได้
“เพื่อนของเธอชื่อลั่วล่าง ใช่ไหม” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเหมือนกับไม่สนใจความร้อนรนของหลิงหลาน เริ่มยืดบทสนทนาออกไป
หลิงหลานรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจว่า “ใช่ค่ะ อาจารย์หมายเลขหนึ่ง ต้องใช้วิธีการอะไรคะ ถึงจะแก้ปัญหาเรื่องยาปลุกบนตัวลั่วล่างได้?” ขอร้องล่ะ นี่มันเร่งด่วนจนไฟไหม้มาถึงขนคิ้วแล้วนะ อาจารย์หมายเลขหนึ่ง คุณก็พูดคำตอบออกมาตรงๆ หน่อยเถอะ
อาจารย์หมายเลขหนึ่งกวาดตามองมาด้วยสายตาเย็นชา แช่แข็งความรู้สึกร้อนใจของหลิงหลานทันที สมองของเธอแจ่มใสโดยพลัน
“ใจเย็นลงแล้วหรือยัง?” อาจารย์หมายเลขหนึ่งแค่นเสียงเย็น ไม่พอใจกับอาการตื่นตระหนกของหลิงหลานอยู่บ้าง
“ขอโทษค่ะ อาจารย์หมายเลขหนึ่ง จิตใจของฉันไม่มั่นคงแล้ว” หลิงหลานได้สติกลับมาก็รีบก้มหน้าเอ่ยยอมรับผิด
“เป็นห่วงเพื่อนไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องจำเอาไว้ว่า ไม่ว่าเมื่อไหร่เธอต้องรักษาความเยือกเย็นไว้ ไม่อย่างนั้นเธอไม่เพียงช่วยเหลือเพื่อนของเธอไม่ได้แล้ว เธอยังจะทำร้ายอีกฝ่ายด้วย” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเข้าใจความรู้สึกร้อนใจของหลิงหลานตอนนี้ได้ แต่ว่าเขาไม่อาจยอมรับได้ ควรรู้เอาไว้ว่าถ้าหากสูญเสียความเยือกเย็นในขณะที่อยู่บนสนามรบ ไม่เพียงแต่จะทำร้ายตัวเอง มันยังจะถ่วงเพื่อนร่วมรบด้วย นี่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้เป็นอันขาด
“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ!” หลิงหลานผงกศีรษะ ตอนนี้แววตาของเธอไม่มีความลังเลอีกต่อไปแล้ว มีเพียงความเยือกเย็นและความแน่วแน่เท่านั้น
อาจารย์หมายเลขหนึ่งจ้องมองหลิงหลานอยู่หลายวินาทีด้วยสายตาเย็นเยียบ ส่วนหลิงหลานที่อยู่ภายใต้สายตากดดันอย่างยิ่งยวดของอาจารย์หมายเลขหนึ่ง ก็ไม่ได้กลัวหัวหด หากแต่มองอาจารย์หมายเลขหนึ่งอย่างเด็ดเดี่ยวตั้งแต่ต้นจนจบ
“จำคำที่เธอพูดในวันนี้เอาไว้!” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเก็บสายตากลับมาด้วยความพึงพอใจ กล่าวต่อว่า “เธอลืมไปแล้วสินะ ไม่ว่าเธอจะอยู่ในมิติการเรียนรู้นานเท่าไหร่ เมื่อออกไปก็เป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งวินาทีเท่านั้น ไม่ได้ถ่วงเวลาในการช่วยเหลือเพื่อนของเธอเลย”
หลิงหลานก้มหน้าด้วยความละอายใจ ว่าไปแล้วเมื่อสักครู่เธอก็ลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ เป็นเหมือนกับที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งว่าไว้ สภาพจิตใจของเธอไม่มั่นคงแล้ว สูญเสียความเยือกเย็นไป ไม่มีความสามารถในการตัดสินใจ การกระทำที่ห่วยแตกแบบนี้ควรโดนสั่งสอนจริงๆ นั่นแหละ
“ฉันจำได้ว่า ลั่วล่างคือคนที่เปิดใช้พรสวรรค์ด้านบุคลิก และจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังควบคุมตัวเองไม่ได้?” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเห็นหลิงหลานรับรู้ความผิดพลาดของตัวเองอย่างลึกซึ้งแล้ว ก็เอ่ยหัวข้อในตอนแรกต่อ
ตอนนี้หลิงหลานกลับมาเป็นปกติแล้ว เธอเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “ใช่ค่ะ อาจารย์หมายเลขหนึ่ง” นี่ก็เป็นปัญหาที่รบกวนใจเธอ เธออยากช่วยลั่วล่างแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหนดี ควรรู้เอาไว้ว่า พรสวรรค์ของลั่วล่างคือพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมสุดขีด แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถควบคุมได้ นี่ก็เหมือนกับดาบสองคม ในขณะที่ทำร้ายศัตรูก็ทำร้ายตัวเองไปด้วย นี่ก็เป็นสาเหตุที่ก่อนหน้านี้หลิงหลานจำกัดการเปิดใช้พรสวรรค์ของลั่วล่างมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนทหารหรือว่ากองทัพต่างก็ไม่อาจยอมรับพรสวรรค์ที่ไม่มั่นคงได้
“นั่นเป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมากจริงๆ…” อาจารย์หมายเลขหนึ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็อดมองหลิงหลานแวบหนึ่งไม่ได้ ลอบทอดถอนใจที่หลิงหลานถูกสวรรค์รักเอ็นดูจริงๆ กระทั่งเพื่อนข้างกายเธอต่างก็ปลุกพรสวรรค์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ได้ “ถ้าหากเธออยากให้เพื่อนของเธอควบคุมพรสวรรค์นี้ได้อย่างเต็มที่ละก็ เรื่องยาปลุกในครั้งนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมมาก”
แววตาของหลิงหลานหลานเปล่งประกายเมื่อได้ยินคำกล่าว แต่เธอจดจำคำพูดของอาจารย์เอาไว้มั่นเลยสูดลมหายใจลึกๆ ข่มกลั้นความตื่นเต้นที่มีอยู่เต็มอก เอ่ยถามอย่างใจเย็นว่า “อาจารย์หมายเลขหนึ่งโปรดอธิบายด้วยค่ะ”
อาจารย์หมายเลขหนึ่งผงกศีรษะเงียบๆ ท่าทีเช่นนี้ของหลิงหลานทำให้เขาพึงพอใจอย่างยิ่งยวด ดังนั้นเขาเลยไม่ได้ทำให้หลิงหลานลำบากใจอีก บอกวิธีการแก้ปัญหาออกมาตรงๆ “หาห้องที่มิดชิดสักห้อง ให้ลั่วล่างเปิดใช้พรสวรรค์ ในพรสวรรค์ของเขาน่าจะมีบุคลิกที่เย็นชาสุดขีดอยู่ ขอเพียงหาบุคลิกนี้ออกมาก็แก้ปัญหาเรื่องยาปลุกได้แล้ว”
“เย็นชาสุดขีด?” หลิงหลานงุนงงเล็กน้อย หรือว่าบุคลิกนี้สามารถกำจัดยาปลุกได้ด้วย?
“อันที่จริงก็คือให้เขาตัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของเขาทิ้งไป รักษาไว้เพียงรูปแบบความคิดที่เย็นชาสุดขีด ขอเพียงอดทนให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยาปลุกออกฤทธิ์ไปได้ เพื่อนของเธอก็จะผ่านด่านนี้ไปได้” อาจารย์หมายเลขหนึ่งตอบ
“มีผลข้างเคียงภายหลังไหมคะ?” หลิงหลานครุ่นคิดสักพักแล้วถามต่อ เธอไม่อยากให้ลั่วล่างมีอันตรายแอบแฝงอะไรเพราะเหตุนี้
“ไม่มี แต่ว่าในระหว่างที่เปิดใช้งานบุคลิก เธอจำเป็นต้องให้เพื่อนของเธอคงสติเอาไว้ตลอด หรือก็คือถ้าเปิดใช้งานบุคลิกผิดพลาด ก็ต้องไล่เขากลับไปแล้วเปิดใช้งานบุคลิกถัดไปอีกครั้ง และเรื่องนี้จำเป็นต้องอาศัยกำลังของเธอในการปราบปราม ดูจากความสามารถเขตแดนครึ่งก้าวของเธอแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” หมายเลขหนึ่งเอ่ยเตือน “จำไว้ว่า ต้องให้เขาคงสติเอาไว้ ถ้าหากไม่ใช่บุคลิกที่มีสติก็ต้องไล่กลับไป จนกระทั่งเพื่อนของเธอควบคุมการเปิดใช้งานบุคลิกได้ทั้งหมดในขณะที่มีสติ”
“เข้าใจแล้วค่ะ อาจารย์หมายเลขหนึ่ง ไม่รู้ว่ายังมีอะไรต้องระวังอีกไหมคะ? ถ้าเกิดว่าไม่มีแล้ว ฉันอยากกลับไปจัดการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดค่ะ” หลิงหลานเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ตอนนี้สิ่งที่ทำให้เธอกังวลมากที่สุดก็คือเรื่องยาปลุกของลั่วล่าง
“เธอไปเถอะ ไว้เธอแก้ปัญหาเรื่องเพื่อนเธอเสร็จแล้ว ค่อยกลับมาหาฉัน…” อาจารย์หมายเลขหนึ่งโบกมือ จากนั้นหลิงหลานก็ถูกส่งออกไปจากมิติการเรียนรู้ มิติที่ดำทะมึนกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง อาจารย์หมายเลขหนึ่งถอนหายใจด้วยแววตาซับซ้อน จากนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็ปิดลงอีกครั้ง
หลายวินาทีให้หลัง ทันใดนั้นตรงพื้นที่บริเวณที่ห่างจากด้านหลังอาจารย์หมายเลขหนึ่งไปสามเมตรพลันแยกออกเป็นช่องว่าง ผู้หญิงในชุดเครื่องแบบท่าทางอ่อนช้อยนุ่มนวลเดินออกมา เธอก็คืออาจารย์หมายเลขสี่นี่เอง เธอเอ่ยด้วยใบหน้าติเตียนว่า “พี่ใหญ่ ทำไมพี่ไม่ให้ฉันสอนเธอเกี่ยวกับเรื่องความรักใคร่ล่ะ? นี่เป็นโอกาสดีชัดๆ ไม่เพียงสามารถถอนพิษของเพื่อนได้โดยตรง ยังทำให้เธอเข้าใจว่าอาวุธของผู้หญิงคืออะไรด้วยนะ…”
“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา เส้นทางวิถีครอบงำของหลิงหลานค่อยๆ เข้าสู่สภาวะที่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จะสั่นคลอนจิตใจของเธอไม่ได้” หมายเลขหนึ่งกล่าวอย่างเย็นชา “นอกจากนี้ หลิงหลานไม่จำเป็นต้องมีอาวุธแบบนี้ สาเหตุที่ให้เธอเตรียมตัวอยู่เสมอเป็นเพราะกลัวว่าหลิงหลานจะหานิสัยของผู้หญิงกลับมาไม่ได้ในอนาคต…” พอกล่าวถึงตรงนี้ คิ้วของอาจารย์หมายเลขหนึ่งก็ขมวดแน่นขึ้นมา ถึงแม้หลิงหลานจะก้าวหน้าในเส้นทางแห่งวิถีครอบงำรวดเร็วมาก แต่ในทางกลับกัน ความอ่อนโยนงดงามที่มีเฉพาะผู้หญิงของเธอกลับหายไปแล้ว หรือว่านี่คือค่าตอบแทนของเส้นทางแห่งวิถีครอบงำ?
“งั้นก็น่าเสียดายมากเกินไปแล้ว เห็นชัดๆ ว่าหลิงหลานมีคุณสมบัติที่ดีขนาดนี้” อาจารย์หมายเลขสี่กล่าวด้วยแววตาเหงาหงอย ความยืดหยุ่นของร่างกายหลิงหลานดีเลิศมาก นี่เป็นผลอันเนื่องจากการอบรมสั่งสอนอย่างยากลำบากของหมายเลขเก้า และก็ทำให้หลิงหลานเรียนรู้ความสามารถในการล่อลวงของผู้หญิงได้เป็นสองเท่า หลิงหลานย่อมเป็นหยกงามที่เลอค่า แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่มีสถานที่ให้แสดงศักยภาพของเธอ
“ถ้าเกิดหลิงหลานไม่ได้สร้างผลงานในด้านอื่นเลยสักนิดเดียว ฉันก็คงไม่ขัดขวางเธอ แต่ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่า อนาคตของหลิงหลานจะดียิ่งขึ้น ถ้าหากเธอเดินไปบนเส้นทางของวิถีครอบงำ” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเอ่ยอย่างเฉียบขาด หลิงหลานเป็นลูกศิษย์ที่เขาพึงพอใจมากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีใครอื่นอีก
“ในเมื่อหมายเลขหนึ่งพูดแบบนี้ ฉันยังจะทำอะไรได้อีกล่ะ แต่ว่าพอหลิงหลานจบจากเส้นทางของวิถีครอบงำแล้ว พี่ก็ขัดขวางไม่ให้ฉันสอนหลิงหลานเรื่องวิชาล่อลวงของผู้หญิงไม่ได้อีกแล้วนะ” หมายเลขสี่ทิ้งท้ายประโยคนี้อย่างหงุดหงิด แล้วกลับไปที่มิติของตัวเอง
เธอก็รู้หรอกว่าเรื่องดีของเธอไม่ได้มาเร็วขนาดนั้น เธอยังต้องรอไปอีกหลายปี เธออยากให้หลิงหลานรีบโตจริงๆ ทางที่ดีคือให้ถึงวัยรักๆ ใคร่ๆ เวลานั้นพี่ใหญ่ที่สมควรตายก็ไม่มีทางขัดขวางไม่ให้เธอสอนกลเม็ดของผู้หญิงให้หลิงหลานได้อีกแล้ว
อาจารย์หมายเลขหนึ่งเห็นหมายเลขสี่หายตัวไปจากมิติแล้วก็ค่อยสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง สงบอารมณ์ที่ปั่นป่วนของตัวเองลง
ร้ายกาจอย่างที่คิดไว้จริงๆ ใช้วิชาล่อลวงต่อหน้าเขาอย่างเงียบเชียบ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขามีพลังมากพอ ก็อาจต้านทานได้ยากจริงๆ…อาจารย์หมายเลขหนึ่งนึกถึงอนาคตว่าหลิงหลานก็จะครอบครองวิชาล่อล่วงเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน บวกกับรูปลักษณ์หล่อเหลาเย็นชาทรงอำนาจของเธอในตอนนี้…คิ้วของหมายเลขหนึ่งขมวดแน่นอีกครั้ง เอาเถอะ เขาไม่สามารถจินตนาการว่าผลลัพธ์นี้จะเป็นยังไง แต่โดยรวมแล้วเขารู้สึกว่ามันไม่ค่อยงดงามนัก
“ช่างเถอะ พอถึงเวลานั้นค่อยมากังวลละกัน” อาจารย์หมายเลขหนึ่งก็มีจิตวิญญาณของอาคิว[1]เช่นกัน เนื่องจากเขาไม่สามารถทนปฏิเสธความเร่าร้อนในการอบรมสั่งสอนอย่างเต็มเปี่ยมของอาจารย์หมายเลขสี่ได้หลายครั้งเช่นกัน อนาคตก็ได้แต่ทำผิดต่อหลิงหลานแล้ว
หลิงหลานถูกอาจารย์หมายเลขหนึ่งที่เธอเคารพรักขายออกไปอย่างล้ำลึกโดยไม่รู้ตัว ต่อให้เป็นคนที่เคร่งขรึมเย็นชาดั่งอาจารย์หมายเลขหนึ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับอาจารย์หมายเลขสี่ที่มีเสน่ห์ล่อลวงอย่างยิ่งก็จำเป็นต้องถอยให้อีกฝ่ายเล็กน้อย
……
หลิงหลานกลับเข้ามาในโฮเวอร์คาร์ในหนึ่งวินาทีตามที่คาดไว้จริงๆ เสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยความตื่นเต้นยินดีว่า “ลูกพี่กลับมาแล้วเหรอ? มีวิธีแก้ปัญหาใช่ไหม?”
หลิงหลานพยักหน้าตอบว่า “ใช่ เสี่ยวซื่อ รีบเปลี่ยนจุดหมายปลายทางทันที พวกเราจะไปหอต่อสู้!” หากต้องการหาพื้นที่ปิดสนิท มีเพียงห้องประลองส่วนตัวในหอต่อสู้เท่านั้น เธอไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “เสี่ยวซื่อ อย่าทิ้งร่องรอยอะไรว่าพวกเราไปที่นั่นล่ะ”
“ได้เลย ลูกพี่!” สิ้นเสียงนี้ โฮเวอร์คาร์ก็เปลี่ยนทิศทางในการแล่นอย่างเงียบเชียบ แล่นไปยังหอต่อสู้ของโรงเรียนทหารอย่างรวดเร็ว
—————
[1] หมายถึงวิธีการปลอบใจตัวเองอย่างหนึ่งโดยการมองโลกในแง่ดีมากเกินไป ต่อให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็จะจินตนาการว่าตัวเองเอาชนะอีกฝ่าย