“ฉันตามหานายมานานมาก” หลิงหลานตอบกลับอย่างเย็นชา “ฉันคิดว่าตอนนี้นายคงรู้สึกถึงสภาพของร่างนี้ได้แล้ว”
“ตามหาฉันก็เพื่อเรื่องนี้เนี่ยนะ?” บุคลิกเย็นชาสุดขีดรู้สาเหตุที่เขาต้องปรากฏตัวออกมาก็อดเอ่ยอย่างดูถูกไม่ได้ “ปัญหาเล็กๆ แค่นี้ก็อดทนไม่ไหวแล้ว? น่าขายหน้าเกินไปแล้ว”
ต่อให้ใบหน้าของลั่วล่างถูกอัดจนเขียวช้ำ แต่มันยังคงขึ้นสีชมพูพราวพร่างเพราะฤทธิ์ของยาปลุก อย่างไรก็ตาม แววตาของเขายังกระจ่างใส ราวกับไม่รู้สึกถึงความปรารถนาและความปั่นป่วนภายในร่างกายเลย บุคลิกเย็นชาสุดขีดมีความสามารถในการตัดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้อย่างที่คิดไว้เลย ดังนั้นเขาถึงได้นิ่งเฉยแบบนี้
แต่หลิงหลานกลับรู้สึกได้รางๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอเริ่มหวนนึกถึงหลังจากที่บุคลิกแต่ละอันก่อนหน้านี้ปรากฏตัวขึ้นมา บุคลิกเหล่านั้นไม่ได้สูญเสียการควบคุมเพราะฤทธิ์ของยาปลุกเลย ต่อให้บุคลิกป่าเถื่อนที่ขาดสติคนนั้นปรากฏตัวขึ้นมา สิ่งที่มันแสดงออกมาทั้งหมดก็เป็นเพียงสัญชาตญาณฆ่าฟันของสัตว์ป่าเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งอื่นใด…
หรือจะบอกว่า ความจริงแล้วขอเพียงบุคลิกอื่นปรากฏตัวขึ้นมา พวกเขาต่างก็มีความสามารถข่มกลั้นยาปลุกได้? ถ้าอย่างนั้นทำไมทุกครั้งที่ลั่วล่างสยบบุคลิกพวกนั้นแล้ว เขากลับรู้สึกถึงอานุภาพของยาปลุกอีกล่ะ? หลิงหลานไม่เข้าใจอยู่บ้าง
ข้อสงสัยเหล่านี้แล่นวาบขึ้นมาเท่านั้น หลิงหลานไม่มีเวลาไปใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง เพราะว่าตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดยังคงเป็นการช่วยลั่วล่างปราบบุคลิกที่เย็นชาสุดขีดนี้ ให้ลั่วล่างอดทนผ่านพ้นฤทธิ์ยาของยาปลุกไปได้โดยสิ้นเชิง
หลิงหลานไม่นึกเลยว่ายาปลุกของโลกอนาคตจะรุนแรงขนาดนี้ ไม่หมดฤทธิ์ตลอดทั้งคืน ทุกครั้งที่เขาเปลี่ยนบุคลิกก็จะเห็นลั่วล่างทำสีหน้าอดทนด้วยความทรมาน นี่ทำให้หลิงหลานเป็นห่วงร่างกายของลั่วล่างอยู่บ้างว่าจะอดทนผ่านพ้นไปได้หรือเปล่า จะทำร้ายรากฐานของเขาหรือไม่…หวังว่ามันจะไม่หลงเหลือผลตกค้างในภายหลังอย่างที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งว่าไว้จริงๆ!
หลิงหลานสะกดกลั้นความกังวลในใจ แล้วเริ่มเจรจาเงื่อนไขกับบุคลิกเย็นชาสุดขีด “พูดมา ต้องทำยังไงนายถึงจะยินดียอมอยู่ใต้อำนาจบุคลิกหลัก?”
ไม่ต้องลงมือได้เป็นการดีที่สุด เมื่อหลิงหลานเจอบุคลิกที่มีสติปัญญาสามารถพูดคุยกันได้ เธอก็จะไม่ลงมือ หากแต่เปิดฉากด้วยรูปแบบการเจรจาก่อน หลิงหลานก็กลัวเหมือนกันว่าหากเธอฝืนซัดเขามาโดยตลอด ร่างกายของลั่วล่างจะทนรับไม่ไหว
“ยอมอยู่ใต้อำนาจ? ตอนนี้เขายังไม่มีคุณสมบัติพอ” บุคลิกเย็นชาสุดขีดตอบกลับเรียบๆ
“ตอนนี้? งั้นอนาคตก็ได้เหรอ? นี่หมายความว่า ความจริงแล้วนายก็คาดหวังในตัวเขามากเลยใช่ไหม?” หลิงหลานเลิกคิ้วถาม
“เขาเป็นบุคลิกหลักของพวกเขา เมื่อเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเราแล้ว พวกเราย่อมยอมอยู่ใต้อำนาจเขา” บุคลิกเย็นชาสุดขีดตอบอย่างเฉยชา นี่คือความจริง การที่พรสวรรค์ของลั่วล่างไม่อาจควบคุมได้ตามใจชอบเป็นเพราะว่าบุคลิกหลักอ่อนแอมากเกินไป ไม่แปลกเลยที่บุคลิกรองจะร่วมกันก่อกบฏ
“ทำไมไม่ลองยอมอยู่ใต้อำนาจตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ อันที่จริงแบบนี้ก็เป็นผลดีต่อพวกนายด้วยนะ” หลิงหลานเสนอแนะ
บุคลิกเย็นชาสุดขีดส่ายหน้าอย่างเฉยเมย กล่าวปฏิเสธว่า “เรามีเกียรติของเรา พวกเราจะอยู่ใต้อำนาจคนที่แข็งแกร่งเท่านั้น ถ้าหากบุคลิกหลักไม่สามารถแข็งแกร่งกว่าพวกเราได้ตลอดไป เขาก็ไม่สามารถบังคับพวกเราได้ตลอดกาล นี่ก็คือค่าตอบแทนที่เขาต้องจ่าย ไม่มีทางลัดให้เดิน”
“ไม่มีจริงๆ เหรอ?” หลิงหลานถามกลับคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ความจริงตรงหน้ายืนยันแล้วว่าต้องมีทางลัดอยู่แน่นอน เพียงแต่มันถูกค้นพบแล้วหรือเปล่าก็เท่านั้น
การถามกลับของหลิงหลานทำให้บุคลิกเย็นชาสุดขีดสะอึกไป เขาเงียบไปหลายวินาทีถึงค่อยเอ่ยปากพูดว่า “แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจริงๆ ถ้าเกิดมีลูกพี่ที่ทำให้บุคลิกรองอย่างพวกเรายินดียอมรับละก็ พวกเราสามารถเชื่อฟังคำสั่งของลูกพี่คนนั้น ยอมรับบุคลิกหลักเป็นร่างหลักของพวกเรา”
บุคลิกเย็นชาสุดขีดมองไปทางหลิงหลานอย่างเย็นชา กล่าวต่อว่า “คิดๆ ดูแล้ว ทางลัดนี้คงถูกนายสังเกตเห็นแล้ว บุคลิกรองที่ถูกปราบพวกนั้นเกรงว่าจะถูกบุคลิกหลักเอาชนะแบบนี้เองสินะ ถ้าเกิดนายเอาชนะฉันได้ ฉันก็ยินดียอมอยู่ใต้อำนาจนาย เวลานั้นนายให้ฉันยอมจำนนต่อบุคลิกหลัก ฉันก็ยินดีเชื่อฟังคำสั่งเหมือนกัน”
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง” เวลานี้หลิงหลานถึงค่อยเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว อาจารย์หมายเลขหนึ่งเสนอวิธีการนี้มา ไม่ใช่ให้เธอตามหาบุคลิกที่เย็นชาสุดขีด หากแต่ให้เธอเอาชนะบุคลิกเหล่านี้ไปทีละคน ช่วยลั่วล่างทำการปราบปรามให้สำเร็จ
“ไม่รู้ว่ายังมีบุคลิกอีกเท่าไหร่? นี่ฉันต้องต่อสู้ไปจนถึงบุคลิกสุดท้ายถึงจะจบลงได้เหรอ?” หลิงหลานพึมพำกับตัวเอง หัวเราะเจื่อนๆ อยู่ในใจไม่หยุด ถ้าเกิดโชคร้าย เธอก็ต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่อีกหลายวัน เป็นงานที่ยุ่งยากจริงๆ ดังนั้นถึงบอกแล้วไงว่า ลูกพี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นกันง่ายๆ เลย…
“ไม่จำเป็น ขอเพียงนายเอาชนะฉันได้แล้ว บุคลิกรองอื่นๆ ก็จะยอมรับนาย เพราะว่าฉันคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บุคลิกทั้งหมด” บุคลิกเย็นชาสุดขีดได้ยินหลิงหลานพูดพึมพำกับตัวเองก็ตอบมา ถึงแม้น้ำเสียงของเขาจะเย็นชาเรียบนิ่งมาก แต่หลิงหลานยังคงฟังออกถึงความทระนงตนและความมั่นใจในตัวเองของบุคลิกเย็นชาสุดขีด
คำพูดของบุคลิกเย็นชาสุดขีดก็ได้อธิบายแล้วว่าทำไมอาจารย์หมายเลขหนึ่งถึงบอกให้เธอหาตัวบุคลิกเย็นชาสุดขีดออกมาให้ได้ ดูท่าไม่ใช่ลั่วล่างจำเป็นต้องอาศัยเขาผ่านพ้นวิกฤติยาปลุกไปให้ได้ หากแต่จำเป็นต้องปราบอีกฝ่ายถึงจะทำให้ลั่วล่างควบคุมพรสวรรค์ของเขาได้อย่างแท้จริง
สิ่งที่เรียกว่าโอกาสเป็นเพียงข้ออ้างที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งให้เธอลงมือเท่านั้น มิน่าล่ะ พอถึงช่วงท้าย แรงต้านทานต่อยาปลุกของลั่วล่างถึงได้แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนกับตอนแรกที่แทบขาดสติ เขาเปิดใช้พรสวรรค์ได้อย่างราบรื่นมาโดยตลอด ฝืนทนจนบุคลิกถัดไปปรากฏตัวขึ้นมาได้ ความจริงแล้วในขณะที่เขาต่อสู้ ยาปลุกก็ได้ระบายออกไปแล้ว ก็เหมือนกับที่บุคลิกเย็นชาสุดขีดพูดไว้ในตอนแรก ยาปลุกในร่างกายลั่วล่างเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น เพราะว่ามันใกล้จะจบลงแล้ว ฤทธิ์ยาไม่ได้รุนแรงอีกต่อไป
หลิงหลานคิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันใด ในเมื่อยาปลุกไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป ขอแค่ทำภารกิจช่วยลั่วล่างควบคุมพรสวรรค์ของเขาได้ตามใจชอบให้สำเร็จ เธอก็จบเรื่องได้อย่างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
“ดี งั้นก็ให้ฉันลองดูหน่อยว่าบุคลิกเย็นชาสุดขีดจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน” หลิงหลานยื่นมือขวาออกมาอย่างใจเย็น บ่งบอกให้บุคลิกเย็นชาสุดขีดลงมือ
นี่เป็นท่วงท่าของคนที่อยู่เหนือกว่าปฏิบัติต่อคนที่อยู่ต่ำกว่า แต่บุคลิกเย็นชาสุดขีดไม่ได้รู้สึกว่าเขาโดนอีกฝ่ายดูถูกเพราะเหตุนี้เลย เพราะว่าตั้งแต่ที่เขาออกมาก็สัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวที่อยู่ภายในร่างหลิงหลาน เขารู้ดีว่าคนตรงหน้านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เขาพบเจอในครั้งแรก เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่า แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีโอกาสชนะได้เลย
มุมปากของบุคลิกเย็นชาสุดขีดเผยรอยยิ้มหยันออกมา เขากระทืบเท้าทีหนึ่งฉับพลัน ทันใดนั้นร่างของเขาก็หายไป วินาทีถัดมา หมัดของเขาก็มาถึงตรงหน้าหลิงหลาน เห็นได้ชัดว่าความเร็วของเขาทำลายสถิติความเร็วแต่เดิมของลั่วล่าง ไปถึงขีดจำกัดของลั่วล่างแล้ว…
“ดี!” หลิงหลานตะโกนชมเชย เธอขยับศีรษะหลบหมัดนี้โดยพลัน ซัดฝ่ามือโจมตีกลับไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เธอโจมตีใส่ช่องว่างเพียงหนึ่งเดียวในการโจมตีของลั่วล่าง และก็เป็นจุดอ่อนถึงตายเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือหน้าอก!
หลิงหลานคิดว่าบุคลิกเย็นชาสุดขีดจะเลือกหลบ เพราะว่าถ้าหากฝ่ามือโจมตีโดน ดูจากความต่างของพลังเธอกับลั่วล่างแล้ว เขาจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน คนที่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ไม่มีทางเอาชีวิตไปทิ้งโง่ๆ แบบนี้…
อย่างไรก็ตาม การกระทำของบุคลิกเย็นชาสุดขีดกลับทำให้หลิงหลานตกใจทันที เพราะว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลบเลย หากแต่ประจันหน้าเข้ามาตรงๆ
“เชี่ย ไอ้บ้า!” การกระทำของฝ่ายตรงข้ามทำให้หลิงหลานคาดไม่ถึง กอปรกับอีกฝ่ายจงใจเข้ามา พริบตาเดียว ฝ่ามือของหลิงหลานก็ปะทะเข้ากับหน้าอกของลั่วล่าง
ไม่มีเวลาเปลี่ยนกระบวนท่าแล้ว หลิงหลานได้แต่เก็บกำลังภายในที่ทรงพลังในฝ่ามือกลับไป ถึงแม้ฝ่ามือนั้นจะโจมตีโดนหน้าอกของลั่วล่าง แต่มันไม่ได้ทำให้ลั่วล่างได้รับบาดเจ็บเลยเนื่องจากไม่มีกำลังภายใน ทว่าตอนนี้เอง จู่ๆ หมัดอีกข้างที่ลั่วล่างเตรียมเอาไว้นานแล้วก็โจมตีใส่ด้านล่างสีข้างของหลิงหลานโดยแฝงพลังของหมัดหนึ่งนิ้วสามชั้นลงไปด้วย
หลิงหลานที่เปลี่ยนกระบวนท่าไม่อาจหลบหลีกได้ แต่หลิงหลานคือใคร การตอบสนองของคนที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณโดยสมบูรณ์ไม่ใช่คนที่อยู่ช่วงต้นของระดับพลังปราณสามารถเทียบเคียงได้ หลิงหลานเอามืออีกข้างมาสกัดไว้ พลังสองสายปะทะกัน พลังมหาศาลแตกกระจายออกระหว่างคนทั้งคู่ในชั่วพริบตา
‘ปัง’ หลังจากที่ปะทะกันแล้ว พวกเขาสองคนก็ถูกดีดกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ ต่างฝ่ายต่างถอยหลังไปหลายก้าวถึงค่อยยืนได้อย่างมั่นคง
ต่อให้เป็นหลิงหลาน เวลานี้ก็รู้สึกว่าเลือดลมที่หน้าอกปั่นป่วนเนื่องจากการรับกระบวนท่าอย่างกะทันหันโดยที่เตรียมตัวไม่พอ มีกลิ่นคาวหวานพุ่งมาที่ลำคอ ควรพูดว่าแผนการที่ไร้หัวใจกอปรกับหมัดหนึ่งนิ้วสามชั้นของบุคลิกเย็นชาสุดขีดทำให้หลิงหลานได้ลิ้มรสความลำบากนิดหน่อยแล้ว
“ไม่นึกเลยว่าจะกล้าใช้ชีวิตของลั่วล่างมาวางแผนใส่ฉัน…” ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงหลานเย็นยะเยือกขึ้นมาฉับพลัน ไอเย็นเยียบสายหนึ่งแผ่ออกมา เวลานี้ในใจของหลิงหลานรู้สึกเดือดดาลนิดหน่อยแล้ว
เธอพบว่าบุคลิกเย็นสุดขีดตรงหน้านี้ไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาจริงๆ หลงเหลือเพียงความเย็นชาอย่างไร้ที่สิ้นสุดเท่านั้น เขาวางแผนโดยใช้มิตรภาพระหว่างพี่น้องของหลิงหลานที่มีต่อลั่วล่างเข้าไปด้วย เขารู้อยู่นานแล้วว่าการโจมตีในตอนเริ่มแรกเป็นการเสียแรงเปล่า แต่เขาก็รู้เช่นกันว่า หลิงหลานทะนุถนอมร่างกายของเขาอย่างยิ่งยวด ไม่อยากทำร้ายเขาจริงๆ และนี่ก็คือโอกาสของเขา ความจริงเขาเกือบจะทำสำเร็จแล้ว เพียงแต่ความสามารถของหลิงหลานแข็งแกร่งมากเกินไป ต่อให้ติดกับของเขาก็อาศัยความสามารถที่แข็งแกร่งสุดขีดต้านทานไว้ได้
“ถ้าในใจนายไม่มีความอาวรณ์ แผนการของฉันคงไม่สำเร็จหรอก” บุคลิกเย็นชาสุดขีดตอบ “ดังนั้น นี่ไม่ใช่ความผิดของฉัน”
หลิงหลานได้ยินคำพูดนี้ก็แทบจะกระอักเลือดออกมา สรุปเธอเป็นคนรนหาเรื่องในครั้งนี้เอง แต่พอคิดๆ ดูแล้วที่บุคลิกเย็นชาสุดขีดพูดมาก็ไม่นับว่าผิดเหมือนกัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอตัดใจทำไม่ลง อีกฝ่ายก็คงวางแผนใส่เธอไม่สำเร็จ
“ต่ำช้าจริงๆ นายไม่กลัวว่าฉันจะเปลี่ยนจากทำเล่นๆ มาเป็นฆ่านายจริงๆ หรือไง?” หลิงหลานกล่าวด้วยความหงุดหงิดใจ
“ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ก็ถือว่าฉันวางแผนผิดพลาด ตายไปก็สมควรแล้ว” บุคลิกเย็นชาสุดขีดทำหน้าเฉยชา ในใจเขาคิดว่าถ้าหากแผนการที่เขาขบคิดมาอย่างยากลำบากไม่สำเร็จละก็ ความตายก็คือราคาที่เขาควรจ่าย ไม่มีอะไรต้องพูด
เมื่อเผชิญหน้ากับบุคลิกเย็นชาสุดขีดที่ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก มีเพียงแผนการ ไม่กลัวความตายอีกทั้งยังดื้อรั้น หลิงหลานก็รู้สึกว่าอับจนปัญญาอยู่บ้างเหมือนกัน แม่งเอ๊ย บุคลิกนี้จัดการยากมากเกินไปแล้ว หรือว่าต้องให้เธอลงมือถึงตายจริงๆ?
จำเป็นต้องพูดว่า บุคลิกเย็นชาสุดขีดจับจุดอ่อนของหลิงหลานได้จริงๆ หลิงหลานไม่อยากทำร้ายลั่วล่าง ถึงแม้ตอนนี้ลั่วล่างจะดูน่าเวทนาอยู่บ้าง ดวงหน้าเป็นสีเขียวม่วงช้ำไปทั้งหน้า บนตัวก็มีรอยแผลฟกช้ำบวมแดง ไม่มีผิวหนังที่ดูดีสักจุด แต่พวกนี้ต่างก็เป็นอาการบาดเจ็บทางผิวกาย ไปรักษาในแคปซูลรักษาหนึ่งหรือสองชั่วโมงก็กลับมาเป็นปกติแล้ว ทว่าถ้าหากหลิงหลานลงมืออย่างโหดเหี้ยม ทำร้ายลั่วล่างจนบาดเจ็บสาหัสจริงๆ ละก็ เกรงว่าลั่วล่างจะต้องกลับไปที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารอีกครั้ง ออกมาไม่ได้จนกว่าจะผ่านไปสิบวันจนถึงครึ่งเดือน…นี่จึงทำให้หลิงหลานตกอยู่ท่ามกลางสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ลูกพี่ ฟ้าจะสว่างแล้ว ต้องสร้างภาพปลอมของเธอกับลั่วล่างออกจากบ้านพักในเช้าวันนี้แล้วมาประลองกันที่หอต่อสู้หรือเปล่า?” ในตอนนี้เอง เสี่ยวซื่อที่ไม่สามารถถ่วงเวลาได้อีกต่อไปก็เอ่ยเตือนขึ้นมาในห้วงจิตใจของหลิงหลาน
หลิงหลานได้ยินคำพูดนี้ก็มีความคิดแล่นวาบขึ้นมา ใช่แล้ว ถ้าเกิดสร้างภาพปลอมแบบนี้ เธอก็มีเหตุผลส่งลั่วล่างกลับไปรบกวนหลี่ซื่ออวี๋ที่ศูนย์วิจัยแพทย์ทหารอีกรอบแล้ว….
สามารถพูดว่า พวกเขาประลองกัน นึกไม่ถึงว่าแผลเก่าของลั่วล่างจะกำเริบขึ้นมา หลี่ซื่ออวี๋ที่เป็นหมอเจ้าของไข้จำเป็นต้องแบกรับความรับผิดชอบนี้