ด้วยเหตุนี้เอง ฉีหลงแทบจะต่อยกำแพงอย่างหงุดหงิดใจ ลั่วล่างก็น้ำตาคลอ คนอื่นๆ ก็ไม่ดีไปกว่ากัน ถึงอย่างไรนี่เป็นการประลองหุ่นรบชี้แนะของผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ ต้องมีโชคมากแค่ไหนถึงจะได้เห็น แต่พวกเขาเบิกตามองโชคนี้ไหลออกไปจากร่องนิ้ว ทว่าพวกเขาไม่มีทางอื่นแล้ว
หลิงหลานได้แต่เกลี้ยกล่อมพวกเขาด้วยคำพูดดีๆ สัญญาว่าต่อไปยังมีโอกาสอีก เวลานั้น เธอจะต้องแจ้งพวกเขาล่วงหน้าให้เข้าไปในห้องประลองก่อนเพื่อชมการต่อสู้ นี่ถึงปลอบโยนความเศร้าเสียใจของเด็กกลุ่มนี้ลงได้
และเพราะสาเหตุนี้เองทำให้หลิงหลานไม่ได้ตั้งรหัสผ่านไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาทันที เมื่อเธอปลอบใจพวกเพื่อนๆ เสร็จ สองคนนี้ก็เข้ามาในห้องส่วนตัวแล้ว
“ไม่ต้องหรอก ในเมื่อพวกเขามาถึงห้องนี้แล้ว ก็นับว่ามีวาสนากับพวกเรา อีกอย่างพวกเขาไม่รู้จักพวกเรา ให้พวกเขาดูสักหน่อย ถ้าหากรู้แจ้งอะไรบางอย่างได้ก็เป็นโอกาสของพวกเขาเหมือนกัน” หลิงเซียวไม่สนใจเรื่องนี้เลย เขาไม่มีความคิดพอใจกับที่เป็นอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ขึ้นไปบนสนามประลองของกองทัพเชิญคนมา PK บ่อยๆ หรอก ยิ่งปรมาจารย์หุ่นรบของสหพันธรัฐแข็งแกร่ง หลิงเซียวก็จะยิ่งมีความสุข เขาเป็นทหารที่จิตใจบริสุทธิ์คนหนึ่ง
“ในเมื่อคุณพ่อพูดแบบนี้ งั้นก็ปล่อยพวกเขาไปละกัน” หลิงหลานเห็นด้วยกับความคิดของพ่อเธอมากๆ กล่าวได้ว่าผู้ควบคุมหุ่นรบในโลกหุ่นรบมาจากทั่วทั้งกาแล็กซีของสหพันธรัฐ ไม่มีใครรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร มาจากดาวดวงไหนเหมือนกัน ถ้าหากพวกเขาเก็บเกี่ยวอะไรบางอย่างได้เพราะเหตุนี้จริงๆ ละก็ มันก็การทำดีจริงๆ
หลิงหลานนึกถึงครั้งแรกที่เธอเข้ามาในโลกหุ่นรบ เจอหุ่นรบเสือชีตาห์ตัวนั้น พวกเขาไม่รู้จักกัน แต่กลับรู้ใจกันอย่างน่าอัศจรรย์ ถ้าหากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอยู่เป็นเพื่อนเธอ ให้กำลังใจดูแลซึ่งกันและกันตลอดช่วงเวลานั้น บางทีเธออาจจะอดทนผ่านการฝึกฝนพื้นฐานที่จืดชืดนั่นไม่ได้
หลิงหลานทะนุถนอมวาสนาที่สวรรค์ประทานให้เช่นนี้ ดังนั้นเธอก็ไม่คิดขัดขวางโอกาสของอีกฝ่าย ในเมื่อคุณพ่อไม่มีความเห็น หลิงหลานก็ปล่อยให้พวกเขาชมการต่อสู้ แน่นอนว่าเงื่อนไขที่จำเป็นคือพวกเขาต้องรู้จักบันยะบันยัง อย่าส่งผลกระทบต่อพวกเธอ
……
หุ่นรบสองตัวที่เดิมทียืนสบายๆ อยู่บนเวทีประลองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง หุ่นรบระดับกลางตัวนั้นพลันยื่นมือ ไปคว้า อาวุธยาวเล่มหนึ่งด้านหลังตนมาถือไว้ในมือ ทำท่าโจมตี ทว่าหุ่นรบระดับราชันยังคงนิ่งไม่ขยับเขยื้อน
จ้าวจวิ้นเห็นถึงตรงนี้ก็อดถามเสียงเบาไม่ได้ว่า “หลานเฟิง การประลองรอบนี้น่าจะจบในกระบวนท่าเดียว ความสามารถของทั้งสองคนแตกต่างกันมากเกินไป ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับกลางไม่มีทางรับการโจมตีของหุ่นรบระดับราชันได้แน่นอน”
“ไม่มีทางเป็นแบบนั้น” หลี่หลานเฟิงตอบอย่างเฉียบขาด
“ฮะ? ทำไมล่ะ?” จ้าวจวิ้นตะลึงงัน
“นายคิดดูสิ ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชันคนไหนมีเวลาว่างมา PK กับนักรบหุ่นรบชั้นกลางด้วย? ฉันเดาว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นลูกศิษย์รุ่นหลังของผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชัน ดังนั้นถึงได้เข้ามาชี้แนะสักรอบ” หลี่หลานเฟิงเอ่ยวิเคราะห์ “การประลองรอบนี้ ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชันจะต้องควบคุมพลังของตัวเอง ถึงขนาดที่ไม่ใช่ท่าไม้ตายทักษะควบคุมระดับสูงบางอย่างเหมือนกัน”
“พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นการประลองชี้แนะ” แววตาของจ้าวจวิ้นวาวโรจน์ขึ้นมาฉับพลัน การประลองชี้แนะไม่เพียงมีประโยชน์ต่อคนที่เข้าประลองอย่างมาก ผู้ชมก็สามารถเรียนรู้ได้ไม่น้อยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จ้าวจวิ้นกังวลขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “หลานเฟิง นายว่าพวกเขาจะไล่พวกเราออกไปหรือเปล่า ถึงยังไงการประลองชี้แนะก็เกี่ยวพันถึงความลับบางอย่างที่ถ่ายทอดกันในสำนักนะ”
หลี่หลานเฟิงถลึงตามองจ้าวจวิ้นแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้นายเพิ่งจะตระหนักเรื่องนี้ได้เหรอ? ถ้าไม่ได้ก็คงไม่ได้ไปนานแล้ว การที่พวกเขาไม่ได้ไล่พวกเราออกไป มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขายอมรับการคงอยู่ของพวกเราแล้ว”
“ฮะ? จริงเหรอ?” คำพูดของหลี่หลานเฟิงทำให้จ้าวจวิ้นตื่นเต้นยินดีอย่างมาก
“ใช่ แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะคิดว่าพวกเราเป็นคนรู้จักของพวกเราก็ได้เหมือนกัน แต่ว่าความเป็นไปได้แบบนี้แทบจะเป็นศูนย์ สามารถตัดทิ้งไปได้เลย” หลี่หลานเฟิงรู้ดีว่าโลกหุ่นรบสามารถปกปิดไอดีได้จริง นอกจากแลกชื่อเพื่อนกับอีกฝ่ายแล้วถึงจะได้รับชื่อของกันและกัน แต่เรื่องนี้ไม่มีผลกับยอดฝีมือชั้นยอดอย่างผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชันเลย นี่เป็นความเคารพที่โลกหุ่นรบมีต่อผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชัน แค่คิดก็รู้ว่าแล้วว่าอีกฝ่ายจะต้องรู้ว่าพวกเขาสองคนคือคนแปลกหน้า
“ฉันคิดว่า สาเหตุที่พวกเขาไม่ได้ไล่พวกเราออกมา ก็เพราะอยากให้โอกาสเราสักครั้ง” หลี่หลานเฟิงคิดว่านี่มีความเป็นไปได้มากที่สุด ยอดฝีมือชั้นยอดมากมายเชื่อเรื่องวาสนามาก บางทีอีกฝ่ายอาจจะคิดว่านี่เป็นวาสนาของเขากับจ้าวจวิ้น ดังนั้นก็เลยปล่อยพวกเขาไป
“ดีเหลือเกิน” จ้าวจวิ้นกำหมัดด้วยความตื่นเต้น คำพูดของหลี่หลานเฟิงทำให้เขาฮึกเหิมเร้าใจอย่างมาก ถ้าหากสามารถเรียนรู้อะไรบางอย่างจากตัวผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชันคนนี้ได้จริงๆ ละก็ เขาไม่มีทางลืมบุญคุณครั้งนี้ไปชั่วชีวิตแน่นอน
“วันนี้โชคของพวกเราดีมากจริงๆ…” หลี่หลานเฟิงเอ่ยพลางทอดถอนใจ บางทีชีวิตของเขาอาจจะไม่ได้น่าสังเวชอย่างที่เขาคิดไว้ นี่จะเป็นจุดเปลี่ยนของเขาหรือเปล่า?
“อ้า พวกเขาเริ่มแล้ว” จ้าวจวิ้นอุทาน เรียกสติที่หลุดลอยของหลี่หลานเฟิงกลับมาทันที
จากนั้นก็เห็นหุ่นรบสองตัวที่ความแข็งแกร่งแตกต่างกันมากในสนามประลองเกิดการปะทะกันครั้งแรกแล้วในที่สุด
เมื่อเผชิญหน้ากับหลิงเซียวคุณพ่อที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง คราวนี้หลิงหลานเลยเลือกโจมตีก่อน เธอไม่มีความมั่นใจว่าสามารถรับมือกับการโจมตีที่ทรงพลังของพ่อได้ ดังนั้นเลยตัดสินใจลงมือชิงความได้เปรียบก่อน
หลิงหลานบังคับหุ่นรบตัวเองให้พุ่งไปทางด้านหน้าราวกับสายลมหอบหนึ่ง จากนั้นก็โจมตีใส่หุ่นรบของหลิงเซียว ในตอนที่ห่างกันประมาณสามเมตร ปู้หุ่ยที่เดิมทีห้อยลงต่ำถูกยกขึ้นมาฉับพลันก่อนจะฟันทแยงออกไปทีหนึ่ง รัศมีเย็นเยียบสายหนึ่งวาดออกไปกลางอากาศ
นี่เป็นการโจมตีระยะกลาง! ในตอนที่หลิงหลานกำลังรอคอยนั้น เธอก็ใคร่ครวญดีแล้วว่า อาวุธบนตัวหุ่นรบของพ่อเธอมีเพียงมีดสั้นกับดาบสั้นซึ่งเป็นอาวุธสั้น ไม่มีอาวุธยาวเหมือนปู้หุ่ยมาใช้ต้านทานได้ นี่ทำให้หลิงหลานยึดความได้เปรียบด้านอาวุธอย่างไม่ต้องสงสัย และก็เป็นข้อได้เปรียบเพียงหนึ่งเดียวที่เธอมีเช่นกัน
“ไม่เลว!” พอเห็นลูกสาวตัวเองเลือกอาวุธยาวมาโจมตีในระยะกลาง หลิงเซียวก็มอบคำชมให้โดยไม่มีความลังเลใจเลยสักนิดเดียว เผชิญหน้ากับคนที่แข็งแกร่งอย่างเขา หลิงหลานที่ไม่มีอัตราความเป็นไปได้ในการเอาชนะใดๆ ยังคงเลือกใช้จุดที่ตัวเองได้เปรียบมากที่สุดมาโจมตีจุดอ่อนของเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าความเยือกเย็นกับกลยุทธ์ของหลิงหลานล้ำเลิศอย่างยิ่งยวด
แต่ถึงยังไงหลิงเซียวก็เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ ยิ่งไปกว่านั้นหุ่นรบที่เขาบังคับอยู่ก็เป็นหุ่นรบระดับราชันที่แข็งแกร่งทรงพลัง ไม่ว่าจะเป็นทักษะการควบคุม หรือว่าความได้เปรียบของหุ่นรบต่างเหนือกว่าหลิงหลานมากนัก สำหรับหลิงเซียวแล้ว กระบวนท่าโค่นล้มศัตรูที่หลิงหลานสิ้นเปลืองความคิดศึกษาวิจัยออกมานั้น ไม่มีผลอะไรเลย
จากนั้นก็เห็นหลิงเซียวบังคับหุ่นรบให้ก้าวไถลออกไปอย่างสง่างามทีหนึ่ง หลบรัศมีดาบที่โหดเหี้ยมนี้ไปทางด้านข้าง ในขณะเดียวกัน สองแขนของหุ่นรบก็กันรัศมีดาบสายนั้นฉับพลัน ก่อนจะใช้มือเปล่าของหุ่นรบเข้าไปหาคมดาบ
ถึงแม้ว่าการโจมตีของหลิงหลานจะรวดเร็วจนตาแทบจะมองตามไม่ทัน แต่สำหรับหลิงเซียวแล้ว มันยังช้าไปเล็กน้อย เขาล็อกปู้หุ่ยของหลิงหลานไว้ตรงกลางฝ่ามือทั้งสองข้าง
“หลิงหลาน กระบวนท่านี้ใช้ไม่ได้กับพ่อหรอกนะ” หลิงเซียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลูกต้องคิดวิธีการอื่นอีก”
“คุณพ่อ อย่าประมาทนักสิ” แขนขวาหุ่นรบของหลิงหลานสั่นขึ้นโดยพลัน หลังจากนั้นก็บิดอย่างแรง หลิงเซียวสัมผัสได้ว่าดาบยาวในฝ่ามือหุ่นรบของเขาเล่มนั้นหลุดออกมาจากฝ่ามือทั้งสองข้างที่ล็อกแน่นราวกับปลาที่ลื่นหลุดลอดออกไป
หลิงเซียวประหลาดใจ รีบพุ่งไปข้างหลังทันที เว้นระยะห่างกับหลิงหลานอีกครั้ง
เขาจ้องมองปู้หุ่ยในมือหลิงหลานด้วยความใคร่รู้ อดเอ่ยถามไม่ได้ว่า “อาวุธเล่มนี้มีเอกลักษณ์มาก มันมีคุณสมบัติอะไร?” ต่อให้เป็นหลิงเซียวก็ไม่เคยเจอเอกลักษณ์เช่นนี้มาก่อน
“คุณสมบัติพิเศษของมันคือทนทานและแหลมคม” หลิงหลานตอบ
หลิงเซียวแบบมือของหุ่นรบออกทันใดก่อนจะเห็นบนฝ่ามือมีรอยบาดจางสุดขีด นี่ทำให้หลิงหลานอดอุทานขึ้นมาไม่ได้ ควรรู้เอาไว้ว่าระดับความทนทานของเปลือกหุ้มด้านนอกหุ่นรบระดับราชัน ต่อให้เป็นดาบแสงที่แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธรัฐก็ไม่สามารถทิ้งรอยแผลไว้บนเปลือกนอกหุ่นรบได้สักครั้ง ไม่คาดคิดว่าปู้หุ่ยเล่มนี้กลับทำได้…
“อาวุธเล่มนี้ทรงพลังมากเลย” หลิงเซียวกล่าวชม
“นี่เป็นผลงานที่รุ่นพี่คนหนึ่งในโรงเรียนวิจัยสร้างออกมา ขอเพียงใช้อย่างเหมาะสม ต่อให้ติดตั้งไปจนถึงหุ่นรบไพ่ราชาก็ไม่มีทางถูกคัดออก” หลิงหลานชอบอาวุธเล่มนี้มากจริงๆ เห็นได้ชัดว่าตอนที่เธอแนะนำมันก็แฝงไปด้วยความภูมิใจเล็กน้อย
“ไว้รอให้รุ่นพี่คนนั้นของลูกเติบโตขึ้นแล้วทำการดัดแปลงอาวุธเล่มนี้สักสองสามครั้ง ไม่แน่ว่าบางทีอาจจะใช้ได้นานมากขึ้น” หลิงเซียวเอ่ยพลางทอดถอนใจ
“ยังทำการดัดแปลงได้อีกสองสามครั้งเหรอครับ?” หลิงหลานสงสัยขึ้นมา เธอยังคิดว่าอาวุธทุกอย่างต่างสร้างเสร็จในครั้งเดียวเสียอีก
“แน่นอน ดังนั้นหน่วยหุ่นรบที่เติบโตเต็มที่ จำเป็นต้องมีช่างพัฒนาที่เก่งกาจสักคน เขาสามารถทำให้กำลังรบของหน่วยรบพุ่งสูงขึ้นได้” แน่นอนว่าเมื่อไปถึงระดับราชันขึ้นไป ทุกอย่างนี้ต่างเป็นเมฆที่ล่องลอย
“หน่วยหุ่นรบต่างเป็นคนของภาควิชาหุ่นรบตั้งกลุ่มกันขึ้นมาไม่ใช่เหรอครับ?” คำพูดของหลิงเซียวทำให้หลิงหลานมึนงง เธอนึกว่าหน่วยหุ่นรบต่างเป็นคนของภาควิชาควบคุมหุ่นรบมาตั้งกลุ่มด้วยกันเสียอีก
“ไม่ใช่อยู่แล้ว…” หลิงเซียวตอบด้วยความตกตะลึง หรือว่าหลิงหลานไม่รู้เรื่องนี้? หลิงเซียวอึ้งไปก่อนจะเข้าใจ ปกติแล้วการสั่งสอนเรื่องพวกนี้ต่างเป็นหน้าที่ของพ่อ และเขาหายตัวไปสิบหกปี พอกลับมาก็มีการงานต่างๆ รัดตัว ไม่มีโอกาสพูดคุยกับลูกสาวตัวเองดีๆ เลย ยิ่งไม่เคยนึกถึงเรื่องสอนพวกเรื่องราวเหล่านี้ด้วย
แน่นอนว่าถ้าหากพ่อของนักเรียนไม่ใช่ผู้ควบคุมหุ่นรบ เขาก็ไม่ได้รับการสั่งสอนที่เกี่ยวข้องกับมัน พอถึงตอนปีสองของโรงเรียนทหารก็จะมีอาจารย์ด้านหุ่นรบสอนพวกนักเรียนตั้งกลุ่มหรือว่าเข้าร่วมหน่วยรบเอง เวลานั้นหลิงหลานก็จะเข้าใจองค์ประกอบของหน่วยรบได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หลิงหลานยังเป็นนักเรียนปีหนึ่ง ยังไม่มีโอกาสทำความเข้าใจเรื่องพวกนี้
หลิงเซียวคิดถึงตรงนี้ก็เอ่ยขอโทษว่า “ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของพ่อเอง ไม่ทันได้สอนลูกเกี่ยวกับความรู้พวกนี้” พูดตามตรง มันคือความบกพร่องต่อหน้าที่คนเป็นพ่ออย่างเขา
“ความจริงแล้ว สมาชิกของหน่วยหุ่นรบไม่ได้มีแค่คนของภาควิชาควบคุมหุ่นรบ มันประกอบด้วยภาควิชามากมายก็ต้องดูว่าลูกต้องการเดินไปบนเส้นทางความเชี่ยวชาญสายไหน โดยปกติแล้ว หน่วยรบต้องการนักรบหุ่นรบต่อสู้ระยะประชิด ครอบคลุม และระยะไกลสามประเภท บวกกับฝ่ายแนวหลังประกอบด้วย ช่างซ่อมบำรุง แพทย์ทหาร ฝ่ายพลาธิการ ฯลฯ ดังนั้นต่อให้เป็นหน่วยรบที่มีจำนวนคนน้อยที่สุดก็ยังต้องมีหกคน แต่ว่าหน่วยรบขนาดเล็กแบบนี้ไม่สามารถเลี้ยงดูแนวหลังได้ ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดหน่วยหุ่นรบที่เติบโตตอนนี้ก็ต้องมีคนถึงสิบสองคน ต้องการนักรบหุ่นรบอย่างน้อยแปดคน บวกกับสมาชิกแนวหลังสี่คน” หลิงเซียวอธิบาย “นักรบหุ่นรบสองคนดูแลสมาชิกแนวหลังหนึ่งคน หน่วยหุ่นรบแบบนี้ถึงจะสามารถดำเนินการต่อไปได้ ทุกคนต่างพัฒนาได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลือง”
คนของแนวหลังต้องการนักรบคอยเลี้ยงดู ไม่อย่างนั้นคนของแนวหลังจะไม่มีความสามารถและก็ไม่มีทรัพยากรมาพัฒนาความสามารถของตัวเอง นี่ก็เป็นเหตุผลที่หน่วยรบขนาดเล็กทยอยกันถูกคัดออก แน่นอนว่าหน่วยรบสามารถทิ้งแนวหลังได้ แต่ว่าหน่วยรบเช่นนี้ย่อมไม่มีความสามารถไปต่อสู้กับหน่วยรบอื่นที่จัดสรรหน้าที่อย่างครบครัน สุดท้ายก็ต้องถูกคัดออกแน่นอนเช่นกัน
—————————–