ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ หลิงหลานได้สติกลับมารางๆ ก่อนจะพบความมืดสลัว หลิงหลานอดอึ้งไปไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะรู้สึกได้ถึงเข็มขัดนิรภัยบนตัวละก็ หลิงหลานคงคิดว่าเธอไม่ได้นอนอยู่ในห้องคนขับของหุ่นรบ
ควรรู้เอาไว้ว่า ขอเพียงมีคนอยู่ ห้องคนขับของหุ่นรบก็จะรักษาแสงสว่างระดับหนึ่งเอาไว้ตลอด นอกเสียจากหุ่นรบจะเกิดปัญหาถึงได้เปลี่ยนเป็นสภาพในตอนนี้
หลิงหลานกำลังคิดจะขยับตัว แต่ก็พบว่าร่างกายเจ็บปวดอย่างรุนแรงขึ้นมา เธอรู้ว่าเธอถูกออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักตัดสินว่าอยู่ในสภาวะบาดเจ็บสาหัสในโลกหุ่นรบแล้ว คิดๆ ดูแล้วก็ใช่ การที่เธอสามารถรอดชีวิตมาได้จากการเผชิญหน้ากับคลื่นพายุสนามแม่เหล็กที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างก็น่าฉลองอย่างใหญ่หลวงแล้ว แน่นอนว่านี่ก็คือผลจากความยอดเยี่ยมของอุปกรณ์ป้องกันของหุ่นรบระดับราชัน
หลิงหลานฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมานบนร่าง กดเข้าไปทางปุ่มติดเครื่องยนต์ของหุ่นรบจากความทรงจำในสมอง
เสียง ‘ตี๊ด’ ทำให้หลิงหลานโล่งใจในพริบตา เสียงนี้คล้ายกับเสียงของสวรรค์ บ่งบอกว่าหุ่นรบยังใช้งานได้ตามปกติ ไม่นานหน้าจอก็สว่างขึ้นมา เข้าสู่ระบบควบคุมหุ่นรบแล้ว ในขณะเดียวกัน ห้องคนขับเปลี่ยนเป็นส่องสว่าง ทุกอย่างต่างสมบูรณ์ดี ที่แท้หุ่นรบแค่เข้าสู่โหมดสแตนด์บายอัตโนมัติ ประหยัดพลังงานเพราะว่าไม่มีคนบังคับ เมื่อกดปุ่มติดเครื่องยนต์ก็สามารถติดเครื่องยนต์ในได้พริบตา
หลิงหลานไม่สนใจสถานการณ์ภายนอก สิ่งแรกที่เธอทำก็คือหยิบยารักษาออกมาหนึ่งหลอดจากในกระเป๋าก่อนจะตบมันลงบนร่างกายตัวเองถึงค่อยรู้สึกว่าสภาพร่างกายดีขึ้น นี่อยู่ในโลกหุ่นรบ การฟื้นฟูถึงได้รวดเร็วขนาดนี้ ถ้าเกิดอยู่ในโลกความจริง ดูจากระดับอาการบาดเจ็บสาหัสของหลิงหลานแล้ว หากต้องการฟื้นฟูร่างกายกลับมาให้แข็งแรงคงจะไม่ง่ายขนาดนั้น
หลิงหลานจัดการร่างกายตัวเองเรียบร้อยแล้วถึงค่อยมีความคิดตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบๆ จากนั้นก็พบว่ารอบข้างหุ่นรบมิดสนิทเช่นเดียวกัน เธอเปิดสปอทไลท์ด้านนอกของหุ่นรบส่องออกไปโดยไม่ลังเลก่อนจะพบว่า ตอนนี้หุ่นรบของเธอกำลังลอยอยู่กลางอากาศ ข้างกายยังมีซากโลหะกำลังลอยอยู่นับไม่ถ้วน
หลิงหลานเห็นดังนั้นก็ตกตะลึงอยู่บ้าง นี่เธออยู่ที่ไหนกัน? สิ่งสุดท้ายที่เธอจำได้คือ เธอใช้หุ่นรบระดับราชันขวางคลื่นพายุสนามแม่เหล็กไว้ หลังจากถูกอัดลงไปที่ยานรบในตอนสุดท้ายแล้วก็หมดสติไป หรือว่ายานรบยังหลบหนีเภทภัยไม่พ้น เปลี่ยนเป็นซากในอวกาศไปแล้ว? แต่ถ้าเกิดพวกเขาอยู่ในอวกาศจริงก็คงไม่มืดแบบนี้นี่นา
อันที่จริง ในอวกาศอันไร้ขอบเขตจะต้องมีรัศมีแสงแน่นอน ไม่มีทางปรากฏสภาพที่มืดสนิทแบบนี้ หลิงหลานตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปโดยไม่ลังเล
ขณะที่หลิงหลานกำลังมึนงงสับสนอยู่นั้น เสียงร้องไห้คร่ำครวญพลันดังขึ้นมาในห้วงจิตใจว่า “ลูกพี่ ในที่สุดเธอตื่นสักที ฮือๆๆ ดีเหลือเกินจริงๆ”
“เสี่ยวซื่อ…” หน้าผากของหลิงหลานอดกระตุกขึ้นมาไม่ได้ เธอแค่หมดสติไปเท่านั้น ไม่ได้จะตายสักหน่อย ทำไมเสี่ยวซื่อถึงแสดงท่าทีแบบนี้ล่ะ?
เสี่ยวซื่อคล้ายกับสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจของลูกพี่เลยกล่าวอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ลูกพี่สลบไปหนึ่งคืนแล้ว ไม่มีคนสนใจฉันเลย ฉันกลัวมากเลยนะ” หนึ่งคืนมานี้ เสี่ยวซื่อคล้ายกับถูกขังในห้องมืดเล็กๆ ที่ปิดตายเอาไว้ โลกที่ไร้เสียงทำให้เขาอึดอัดแทบบ้า นี่ทำให้เขานึกถึงตอนที่เขาอยู่คนเดียวรอคอยให้หลิงหลานรู้สึกถึงเขาอย่างเงียบเหงามาตลอดในชาติก่อนของหลิงหลาน แต่น่าเสียดายที่หลิงหลานได้ยินเสียงเขาในช่วงเวลาสุดท้าย ทำให้เขาต้องรอคอยมายี่สิบเอ็ดปีเต็ม
เสี่ยวซื่อกลัวว่าจะกลับไปเป็นเหมือนในอดีตอีกครั้ง เสี่ยวซื่อที่คุ้นชินกับการเป็นเด็กเอาแต่ใจทำตัวไร้สาระไม่อาจทนรับความเปลี่ยวเหงาในตอนนั้นได้อีกต่อไป เขาเชื่อว่า ถ้าเกิดหลิงหลานเกิดเรื่องจริงๆ ละก็ ชิปของเขาจะต้องเลือกทำลายตัวเองแน่นอน
“ไม่ต้องกลัว ฉันตื่นแล้วไม่ใช่เหรอ? นายต้องเชื่อมั่นฉันอย่างเต็มที่นะ” หลิงหลานเห็นแบบนี้ก็ใจอ่อน ลูบเสี่ยวซื่อที่ได้รับบาดเจ็บทางใจเบาๆ ปลอบโยนเขาว่าอย่ากลัวในห้วงจิตใจ
“อื้อๆๆ ลูกพี่ยอดเยี่ยมที่สุด” เสี่ยวซื่อยิ้มขึ้นโดยที่น้ำตายังไม่ได้เช็ดจนแห้งสนิท ท่าทางนั้นทั้งดูน่ารักและน่าสงสาร
หลิงหลานเห็นแล้วก็อดเงียบลงไปไม่ได้ เธอพลันตระหนักได้ว่า เสี่ยวซื่อไม่ใช่ตัวตนทางปัญญาสารพัดนึก เขาเหมือนกับคนที่มีชีวิตอยู่ มีความรู้สึกแตกต่างกันออกไปรวมถึงของที่ทำให้เขาเสียใจและหวาดกลัว…
หลิงหลานลูบเสี่ยวซื่ออย่างเงียบเชียบไปสักพัก ในที่สุดก็ทำให้เสี่ยวซื่อสงบลง หลังจากนั้นเธอค่อยบังคับหุ่นรบตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบๆ บริเวณ แต่พบว่าหุ่นรบของเธอถูกของอะไรบางอย่างรัดไว้ หลิงหลานซูมภาพที่ถูกรัดไว้ถึงค่อยพบว่า ที่แท้เธอถูกแขนสองข้างของหุ่นรบชีตาห์กอดไว้แนบแน่น ดูออกว่าชีตาห์ไม่เคยปล่อยมือของเขามาตั้งแต่ต้น
เมื่อเห็นว่าตอนนี้หุ่นรบของชีตาห์ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดเดียว หัวใจของหลิงหลานพลันสะดุ้งขึ้นมา รีบตะโกนด้วยความเคร่งเครียดว่า “ชีตาห์ ชีตาห์…”
“เขาไม่เป็นไร แค่หมดสติไปเท่านั้น” เสี่ยวซื่อที่ใจเย็นลงเห็นหลิงหลานทำท่าทางร้อนใจก็บอกสภาพของอีกฝ่ายให้หลิงหลานฟัง
หลิงหลานนึกถึงตอนสุดท้ายที่พวกเขาสองคนถูกทะเลพายุสนามแม่เหล็กอัดเข้าไปในยานรบ ชีตาห์รับแรงกระแทกนั้นไปเต็มๆ เลยอดกล่าวด้วยความรู้ผิดในใจไม่ได้ว่า “เขาได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ก็เพื่อปกป้องฉัน…”
“ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านั้นเธอสกัดคลื่นพายุสนามแม่เหล็กไว้ละก็ จุดจบของเขาคงไม่ใช่บาดเจ็บสาหัส แต่เป็นถูกทำลายจนหมดแล้ว เขาควรจะขอบคุณเธอถึงจะถูก” เสี่ยวซื่อตอบกลับอย่างประหลาดใจ ในสายตาของเสี่ยวซื่อ การที่เนี่ยนเทียนโหยวเหรินเป็นเหยื่อผู้เสียสละ นั่นก็คือค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเพื่อเอาชีวิตรอด ทำไมลูกพี่ต้องรู้สึกผิดและขอบคุณอีกฝ่ายด้วยล่ะ
คำพูดของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานพูดไม่ออก เธอไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เสี่ยวซื่อฟังอย่างไรว่า ไม่ควรมองเรื่องราวแบบนี้…อย่างไรก็ตาม พอคิดว่าเสี่ยวซื่อเป็นคนดื้อรั้น หลิงหลานก็ไม่ได้เอ่ยหัวข้อนี้ต่ออย่างชาญฉลาด หากแต่เชื่อมต่อกับช่องสื่อสารของเนี่ยนเทียนโหยวเหริน ตะโกนเรียกชีตาห์ครั้งแล้วครั้งเล่า
หลิงหลานรู้ดีว่าต้องปลุกชีตาห์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาที่รับการรักษาไม่ทันกาลจะบาดเจ็บหนักจนถึงแก่ความตายได้
บางที่การตะโกนเรียกอาจจะได้ผล ไม่นาน หลิงหลานก็ได้ยินเสียงครางเบาๆ หลิงหลานดีอกดีใจ รับตะโกนดังลั่นว่า “ชีตาห์ ชีตาห์ นายไม่เป็นไรใช่ไหม”
“แค็กๆ ฉันไม่เป็นไร กระต่าย นายไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ในที่สุดชีตาห์ก็ตอบกลับมา เสียงของเขาฟังดูอ่อนระโหยโรยแรงมาก ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บรุนแรงมาก ถึงขนาดที่ยังสาหัสกว่าหลิงหลานอีก คิดๆ ดูแล้วก็จริง ถึงแม้หลิงหลานจะสกัดกั้นคลื่นพายุสนามแม่เหล็กจนบาดเจ็บหนัก แต่เนื่องจากหุ่นรบที่เธอใช้คือหุ่นรบระดับราชัน การป้องกันของหุ่นรบระดับราชันต่อผู้ควบคุมหุ่นรบนั้นไม่ใช่สิ่งที่หุ่นรบระดับสูงสามารถเทียบได้เลย
ไม่นาน เสียงของชีตาห์เริ่มมีเรี่ยวแรงขึ้นมา เขาคล้ายกับสังเกตเห็นสถานการณ์รอบด้านแล้วเหมือนกันจึงเอ่ยถามหลิงหลานว่า “ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” หลิงหลานมองพื้นที่อันมืดมิดที่พวกเขาลอยอยู่ก็อดกล่าวด้วยยิ้มฝืดเฝื่อนไม่ได้
“ฉันรู้แค่ว่าสุดท้ายพวกเราถูกอัดเข้าไปในยานรบแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังอยู่ข้างในหรือเปล่า…” หลี่หลานเฟิงปลุกใจตัวเองครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างกระตืนรือร้น
เสียงพูดเพิ่งจะหลุดออกมาก็เห็นศพที่เสียชีวิตแล้วลอยผ่านหน้าหุ่นรบของพวกเขา ชุดที่เขาสวมคือเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลาธิการหุ่นรบของยานรบ บนบ่าของพวกเขาสามารถมองเห็นยศทหารของพวกเขาได้ชัดเจน ดูท่า พวกเขายังอยู่ภายในยานรบจริงๆ อย่างไรก็ตาม นี่ก็ยืนยันแล้วว่า ยานรบลำนี้ถูกทำลายไปเรียบร้อยแล้ว
หลิงหลานเห็นดังนั้น ในใจก็อดหนักอึ้งไม่ได้ ถ้าเกิดยานรบถูกทำลายอย่างสิ้นเชิงจริงๆ ละก็ อาศัยหุ่นรบของพวกเขาเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถบินไปยังฐานที่มั่นซวิ่นหลงได้ หรือว่าพยายามมานานขนาดนี้ สุดท้ายสิ่งที่ได้รับยังคงเป็นภารกิจล้มเหลว พวกเพื่อนๆ เสียชีวิตเหรอ?
“ไม่เป็นไร ถึงแม้ว่าสภาพของยานหลักบัญชาการจะย่ำแย่มาก แต่แรงขับเคลื่อนพื้นฐานไม่ได้พัง ยังคงแล่นอยู่” เสี่ยวซื่อรู้สึกได้ถึงความกังวลในใจหลิงหลานจึงรีบตอบว่า “แต่ตำแหน่งที่ลูกพี่อยู่ในปัจจุบันคือส่วนหางของยานรบที่ถูกทำลายจนไม่เหลือ พวกเขาปิดประตูกั้นกักอากาศไว้แล้ว ดังนั้นที่นี่ถึงได้อยู่ในสภาพลอยอยู่กลางอากาศ”
“งั้นรู้สถานการณ์ของพวกฉีหลงไหม?” หลิงหลานเป็นห่วงพวกเพื่อนๆ ที่เข้ามาข้างในตั้งแต่เริ่มแรก
“ไม่แน่ใจ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างตรงส่วนหางถูกทำลายหมดแล้ว ฉันเองก็ไม่สามารถใช้ระบบกล้องวงจรปิดของยานหลักมาตามหาพวกเขาได้” เสี่ยวซื่อตอบด้วยความเสียใจ
“ในเมื่อพวกเราไม่เป็นไร ฉันเชื่อว่าพวกเขาก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน” หลิงหลานยังคงมีความเชื่อมั่นต่อพวกเพื่อนๆ มาก อันที่จริงการระเบิดหางของยานในช่วงเวลาสุดท้ายนั้นเป็นการโจมตีถึงแก่ความชีวิตต่อบรรดาเจ้าหน้าที่พลาธิการที่ไม่มีการป้องกันของหุ่นรบ โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาตายกันหมดในการระเบิดครั้งนั้น คนที่สามารถรอดชีวิตได้มีเพียงพวกผู้ควบคุมหุ่นรบที่อาศัยการป้องกันของหุ่นรบเท่านั้น
“กระต่าย ฉันเหมือนรู้สึกได้ว่าตำแหน่งของพวกเรากำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ บางทีคลื่นพายุสนามแม่เหล็กนั้นอาจจะไม่ได้โจมตีใส่ยานรบจนพังเสียหายยับเยินทั้งหมด” หลี่หลานเฟิงคล้ายกับสัมผัสได้ถึงสภาพบางอย่างเลยรีบกล่าวกับหลิงหลาน
“อืม เราตรวจสอบสถานการณ์ดูก่อน ตามหาพวกเก๋อโต้ว หลังจากนั้นค่อยวางแผนปฏิบัติการต่อไป” หลิงหลานทำการตัดสินใจในพริบตา ต้องหาสมาชิกทีมของเธอก่อนท่ามกลางซากเหล่านี้
พวกเขาสองคนบังคับหุ่นรบผ่านท่ามกลางซากพวกนี้ ศพนับไม่ถ้วนกำลังลอยผ่านข้างกายพวกเขา ดูเหมือนว่า พวกเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีอุปกรณ์ป้องกันเหล่านี้ต่างสละชีพท่ามกลางคลื่นพายุแม่เหล็กไฟฟ้าไปแล้ว ถึงแม้หลิงหลานรู้ว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้ต่างเป็น NPC แต่เธอก็อดรู้สึกหนักอึ้งไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หลิงหลานปลุกจิตใจให้ฮึกเหิมอย่างรวดเร็ว เธอเริ่มคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากกว่า เนื่องจากคนที่รู้ว่าพวกเขาลักลอบเข้ามาต่างเสียชีวิตหมดแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะเปลี่ยนสถานะ แทรกซึมเข้าไปเป็นทหารหุ่นรบทางการของยานรบได้อย่างราบรื่น
หลังจากที่ค้นหาหนึ่งรอบแล้ว ไม่พบพวกฉีหลง หลิงหลานก็คาดการณ์ด้วยความดีใจว่าพวกเขาเข้าไปในเขตปลอดภัยของยานรบแล้ว สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ เมื่อพวกเขาสัมผัสหุ่นรบระดับสูงตามมาตรฐานที่ทหารสหพันธรัฐใช้ซึ่งมีฟังก์ชั่นด้านต่างๆ สมบูรณ์ดีลอยอยู่กลางอากาศ ระบบก็เด้งข้อความแจ้งเตือนว่า ‘ต้องการเก็บหรือไม่’ นี่หมายความว่าหุ่นรบที่สมบูรณ์เหล่านี้สามารถให้ผู้เล่นเก็บได้อย่างอิสระ
หลิงหลานกับหลี่หลานเฟิงย่อมไม่ปล่อยผลประโยชน์ที่ดีแบบนี้ไปแน่นอน ควรรู้เอาไว้ว่าหากต้องการได้รับหุ่นรบพวกนี้ จำเป็นต้องใช้คะแนนที่สูงมากถึงจะสามารถแลกในศูนย์แลกเปลี่ยนได้ กอปรกับพลังงานหุ่นรบของหลี่หลานเฟิงอยู่ในสภาพหมดเกลี้ยงแล้ว หากได้รับหุ่นรบระดับสูงที่มีพลังงานเต็มเปี่ยมสักตัวย่อมเป็นการช่วยเหลือที่ทันเวลาสำหรับหลี่หลานเฟิงอย่างไม่ต้องสงสัย ควรรู้เอาไว้ว่าเมื่อพลังงานหมดเกลี้ยง ไม่เพียงไม่สามารถทำให้หุ่นรบแล่นได้แล้ว ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถรักษาออกซิเจนในห้องคนขับของหุ่นรบไว้ได้นานหมือนกัน
ทั้งสองคนเลือกเก็บหุ่นรบสองตัวที่มีมีสภาพด้านต่างๆ ดีที่สุดเข้าไปในกระเป๋า ไม่ใช่ว่าไม่อยากเก็บมาเยอะๆ หากแต่เก็บเยอะแล้วก็ดูแลไม่ไหว
หุ่นรบแต่ละตัวที่อยู่ในคลังอุปกรณ์ของผู้เล่นจะบริโภคแคลอรี่ของพลังงานที่กำหนดไว้ทุกๆ ชั่วโมง ถ้าหากไม่นำมาใช้ตลอด สุดท้ายมันยังคงกลายเป็นหุ่นรบที่มีแต่เปลือกไม่มีพลังงาน วางไว้ในคลังอุปกรณ์ก็จะเพิ่มน้ำหนักที่แบกรับ เพิ่มค่าความเหนื่อยล้าของผู้เล่น นี่ก็คือหนึ่งในวิธีการที่โลกหุ่นรบป้องกันไม่ให้ผู้เล่นเก็บสะสมหุ่นรบมากเกินไปจนสุดท้ายไม่สามารถตั้งสมาธิฝึกฝนการควบคุมหุ่นสักตัวได้
——————————