พวกฉีหลงเจ็ดคนต่างรอดชีวิตต่อไปได้เนื่องจากเหตุผลเหล่านี้ ต่อให้พวกเขาไม่กล้าก็ยังถูกระเบิดอัดไปที่ส่วนหลังจนถึงส่วนกลางของยานรบ แน่นอนว่าหลายคนได้รับบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรงเพราะเหตุนี้ จำเป็นต้องพูดถึงข้อดีของการมีหลี่ซื่ออวี๋ที่นี่ เขาหยิบยาระดับพิเศษที่เขาวิจัยออกมาทันที ผ่านไปไม่กี่นาทีก็ฟื้นฟูร่างกายกลับมาแข็งแรงได้มากกว่าครึ่งแล้ว
เดิมทีพวกฉีหลงคิดจะไปตามหาลูกพี่หลิงหลานกับเนี่ยนเทียนโหยวเหรินที่ส่วนปลายสุดของหางยานรบ แต่พลังงานของพายุสนามแม่เหล็กที่หลงเหลืออยู่รวมถึงพลังงานของหุ่นรบที่หมดเกลี้ยงแล้วทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้ส่วนหางได้ ในขณะที่พวกเขาอับจนหนทางนั้น จีอู๋ปู้ซิวค้นพบความลับอย่างหนึ่ง นั่นก็คือหุ่นรบที่ไร้คนขับด้านข้างสามารถให้ผู้เล่นเก็บไปได้ ขอเพียงอัตราความเสียหายไม่เกินสี่สิบเปอร์เซ็นต์
หลังจากที่รู้ความลับข้อนี้ พวกฉีหลงเจ็ดคนต่างตื่นเต้นยินดีมาก นี่หมายความว่าพวกเขามีโอกาสไปยังปลายสุดของหางยานรบและตามหาลูกพี่หลานได้แล้ว พวกเขาค้นดูบริเวณใกล้ๆ รอบหนึ่ง พบว่ามีหุ่นรบสิบกว่าตัวที่สามารถเก็บได้ และไม่ได้รับความเสียหายพลังของพายุสนามแม่เหล็กมากนักจาก ทั้งเจ็ดคนเลือกหุ่นรบเจ็ดตัวที่ดีที่สุดมาสับเปลี่ยน ในขณะที่คิดจะไปยังส่วนหางนั้นก็ได้ยินเสียงผู้ควบคุมหุ่นรบปรากฏตัวขึ้นที่ตรงกลางของยานอวกาศเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์
ความเสียหายที่คลื่นพายุสนามแม่เหล็กนำมาทำให้ยานรบพังไปเจ็ดแปดส่วน ไม่เพียงแต่เจ้าหน้าที่ส่วนหางต่างเสียชีวิตกันหมด กระทั่งเจ้าหน้าที่ที่ไม่มีการป้องกันมากนักหรือว่าผู้ควบคุมหุ่นรบที่ไม่ได้อยู่ในหุ่นรบบางส่วนตรงบริเวณส่วนกลางของยานรบก็เสียชีวิตเพราะแรงระเบิดมหาศาล เรียกได้ว่าเป็นหายนะที่ร้ายแรงจริงๆ
ถึงแม้ว่ากองบัญชาการของยานรบคิดว่าส่วนหางไม่มีผู้รอดชีวิต แต่ก็ยังส่งหน่วยหุ่นรบเข้ามาตรวจสอบรอบหนึ่ง เดิมทีกลุ่มฉีหลงพบหน่วยหุ่นรบของยานก็คิดจะซ่อนตัวโดยพลัน แต่หานจี้จวินกลับผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา สั่งให้สมาชิกทีมเข้าไปเจอพวกเขาทันที
เป็นไปตามที่คาดไว้เลย เมื่อหน่วยหุ่นรบกลุ่มนั้นเห็นพวกเขาก็ไม่ได้สงสัยเลย ตรงกันข้ามพวกเขาแทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้น เดิมทีพวกเขาคิดว่าเพื่อนร่วมรบตรงส่วนหางจะเสียชีวิตกันหมดแล้ว ไม่นึกเลยว่ายังมีผู้รอดชีวิตอยู่…นี่ทำให้พวกเขาดีใจแทบบ้า ยังจะมีความคิดไปสอบถามหมายเลขทีมและข้อมูลที่เกี่ยวข้องของอีกฝ่ายที่ไหนกัน
พวกฉีหลงจึงถูกรับเข้ามาในเขตปลอดภัยของยานรบเช่นนี้เอง เมื่อพบว่าบนตัวพวกเขาเต็มไปด้วยบาดแผลก็จัดการให้พวกเขานอนอยู่ในแคปซูลรักษาหนึ่งคืน
ความจริงแล้ว พวกฉีหลงยังมีช่องโหว่ถึงตายอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือชุดเครื่องแบบควบคุมหุ่นรบของพวกเขาไม่ใช่ชุดเครื่องแบบควบคุมที่ทหารใช้อย่างเป็นทางการ มันเป็นชุดควบคุมของพลเรือนที่สร้างเลียนแบบขึ้นภายในโลกหุ่นรบ ยังมีความแตกต่างจากเครื่องแบบหุ่นรบของทางการ แต่พวกเขาก็เฉลียวฉลาดมาก ฉีกชุดเครื่องแบบควบคุมของตัวเองตรงจุดที่เปิดเผยฐานะได้ง่าย ฉีหลงฉีกจนแทบจะเปลือยกายอยู่แล้ว ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็โหดเหี้ยมเช่นกัน ทำร้ายตัวเองโดยไม่ลังเล ย้อมชุดเครื่องแบบควบคุมที่เหลืออยู่ของตัวเองจนแดงฉาน บาดแผลที่หลั่งเลือดไม่หยุดทำให้ผู้ช่วยเหลือมองข้ามชุดเครื่องแบบควบคุม ความสนใจของทุกคนต่างอยู่ที่อาการบาดเจ็บของพวกเขา และก็ทำให้พวกเขาผ่านด่านที่ยากที่สุดนี้มาได้
หลังจากผ่านการพักผ่อนมาหนึ่งคืน พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบทหารที่จัดมาให้โดยเฉพาะ เนื่องจากหอพักของผู้ควบคุมหุ่นรบตรงส่วนหางอยู่ที่ส่วนหางของยาน มันจึงถูกระเบิดเช่นเดียวกัน ดังนั้นเสื้อผ้าของใช้ชีวิตประจำวันของพวกเขาย่อมไม่มีแล้ว ฝ่ายพลาธิการของยานรบต้องคำนึงถึงพวกเขาแน่นอน ไม่เพียงแต่มีชุดเครื่องแบบทหาร พวกเขาถึงขนาดส่งชุดเครื่องแบบควบคุมหุ่นรบทางการของทหารมาให้หนึ่งชุดเช่นกัน ทำให้พวกฉีหลงลอบยิ้มว่าพวกเขาปลอดภัยแล้วในที่สุด
แน่นอนว่าการที่ทำให้ฝ่ายพลาธิการช่วยเหลือของยานรบเชื่อว่าพวกเขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบของยานแบบนี้นั้นยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือเจ้าหน้าที่หุ่นรบรวมถึง JMC ของพวกเขาตรงส่วนหางของยานรบที่พวกเขาคุ้นเคยต่างเสียชีวิตท่ามกลางการระเบิดครั้งนั้นโดยไม่เหลือรอดแม้แต่คนเดียว นี่ก็เป็นสาเหตุที่พวกฉีหลงเจ็ดแทรกซึมเข้ามาในยานรบได้ง่ายเช่นนี้ พวกเขาคิดตามจิตใต้สำนึกว่า ผู้ควบคุมหุ่นรบที่บังคับหุ่นรบของยานพวกเขาย่อมต้องเป็นคนของพวกเขาอยู่แล้วสิ
พวกเขาไม่คิดว่าจะมีคนสามารถลอบเข้ามาอย่างเงียบเชียบได้ ดังนั้นจึงไม่มีใครสงสัยประวัติความเป็นมาของพวกฉีหลง พวกเขาแค่แอบฉลองกันอย่างลับๆ ที่เพื่อนร่วมรบตรงส่วนหางของยานไม่ได้ถูกกำจัดจนหมด ยังมีผู้โชคดีรอดชีวิตมาได้ นี่เป็นการปลอบใจพวกเขาอย่างหนึ่ง
ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกเขาปล่อยผ่านฉีหลงไปอย่างลวกๆ พวกเขาไม่กล้ามองแววตาสอบถามและอ้อนวอนของพวกฉีหลง เพราะว่าหลังจากที่ช่วยเหลือพวกฉีหลงเจ็ดคนแล้ว พวกเขาค่อยพบว่าอากาศของยานรบเริ่มไหลทะลักออกไปอย่างบ้าคลั่ง นอกจากนี้ยานรบไม่มีพลังงานเพียงพอที่จะสร้างอากาศมารักษาสมดุลของอากาศในยานรบ ดังนั้นผู้บัญชาการจำเป็นต้องหยุดการการค้นหาช่วยเหลือ ปิดประตูกั้นอากาศตรงส่วนครึ่งหลังของยาน ป้องกันไม่ให้อากาศหลุดรอดต่อไปเพื่อรับรองความปลอดภัยชีวิตคนตรงส่วนกลางและด้านหน้าของยาน
ถึงแม้ว่าพวกฉีหลงเจ็ดคนอ้อนวอนขอให้ทำการค้นหาช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่า และบอกว่าตรงส่วนหางยังมีผู้ควบคุมหุ่นรบที่รอดชีวิตอยู่แน่นอน แต่สุดท้ายพวกเขายังไม่สามารถเข้าไปในส่วนหางได้ เวลาไม่คอยใคร พวกเขาจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อคนที่เหลืออยู่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปิดประตูกั้นอากาศ หยุดการค้นหาช่วยเหลือ
สีหน้าคาดหวังของพวกฉีหลงทำให้ทหารที่ค้นหาช่วยเหลือละอายใจ รู้สึกผิดต่อเพื่อนร่วมรบตรงส่วนหางของพวกเขา เพราะฉะนั้นพอส่งอีกฝ่ายเข้าไปในแคปซูลรักษาแล้ว ก็หลบหลีกพวกเขาตามจิตใต้สำนึก ไม่มีใครยินดีไปตรวจสอบสถานะของพวกเขา เพราะพวกเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะสอบถามผลการค้นหาช่วยเหลือ…พวกฉีหลงจึงหลบการถูกเปิดโปงได้อีกครั้งเช่นนี้เอง
จำเป็นต้องพูดว่า พวกฉีหลงโชคดีมาก ทหารที่รอดชีวิตบนยานรบต่างกำลังโศกเศร้าที่เพื่อนร่วมรบเสียชีวิตไปเกือบครึ่ง ดังนั้นจึงปฏิบัติต่อผู้รอดชีวิตดีเป็นพิเศษ ทิ้งขั้นตอนการยืนยันที่จำเป็นบางอย่างไป ส่วนผู้บัญชาการได้รับรายงานว่าตรงส่วนหางยังมีผู้ควบคุมหุ่นรบรอดชีวิตอยู่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่บอกให้เจ้าหน้าที่ดูแลให้มากๆ เท่านั้น เพราะว่าเวลานั้นผู้บัญชาการกำลังกังวลใจว่า เขาควรจะพายานหลักบัญชาการที่เต็มไปด้วยความเสียหายจนไม่รู้ว่ายังประคับประคองต่อไปได้อีกนานเท่าไหร่ลำนี้แล่นไปยังฐานที่มั่นซวิ่นหลงอย่างไร…
“อีกฝ่ายเป็นยานช่วยเหลือที่มาจากฐานที่มั่นซวิ่นหลงจริงๆ พวกเราน่าจะเข้าไปในฐานที่มั่นซวิ่นหลงได้อย่างราบรื่น…แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้พวกลูกพี่กับเนี่ยนเทียนโหยวเหรินเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีหรือเปล่า…” เซี่ยอี๋เอ่ยเสียงแผ่วเบา ยากจะปกปิดความวิตกกังวลบนดวงหน้าได้ ไม่รู้ว่าลูกพี่หลานจะเอาชีวิตรอดได้อย่างราบรื่นในคลื่นพายุสนามแม่เหล็กหรือเปล่า
“วางใจเถอะ ลูกพี่คือใครกัน ในเมื่อพวกเรารอดมาได้กันหมด ลูกพี่จะต้องเอาชีวิตรอดมาได้แน่นอน” ลั่วล่างตอบอย่างเด็ดขาดเบาๆ ด้วยแววตาแน่วแน่ ลั่วล่างเป็นหนึ่งคนที่สนับสนุนหลิงหลานมากที่สุด ในสายตาของลั่วล่าง ลูกพี่ของเขาไม่มีทางพ่ายแพ้ ต่อให้เป็นคลื่นพายุสนามแม่เหล็กก็เอาชนะเขาไม่ได้เหมือนกัน
หานจี้จวินผงกศีรษะกล่าวว่า “ลั่วล่างพูดถูก ลูกพี่ไม่เป็นไรแน่นอน สิ่งที่พวกเราต้องทำในตอนนี้ไม่ใช่มาคิดว่าสถานการณ์ของลูกพี่เป็นยังไงบ้าง แต่คิดว่าเราจะแทรกซึมอยู่ในฐานที่มั่นซวิ่นหลงโดยที่ไม่มีพิรุธยังไงก่อนที่ลูกพี่จะตามหาพวกเราเจอ” หานจี้จวินคิดว่าความยากยังอยู่ที่ช่วงหลัง พวกเขาจำเป็นต้องทำการเตรียมตัวไว้ก่อน “พอพวกเราปักหลักที่ฐานที่มั่นซวิ่นหลงแล้ว ฉันเชื่อว่าจะต้องมีการลงทะเบียนข้อมูลผู้รอดชีวิตของยานรบที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน แต่พวกเราไม่รู้ข้อมูลของสมาชิกในยานรบเลย พอถึงเวลานั้น เราจะต้องถูกเปิดโปงแน่นอน”
“ถ้าเกิดลูกพี่อยู่ก็ดีสิ เขาเป็นแฮคเกอร์ จะต้องหาข้อมูลของผู้ควบคุมหุ่นรบตรงส่วนหางเจอแล้วมอบสถานะตัวตนที่เหมาะที่สุดให้พวกเราได้แน่นอน” แววตาของหลินจงชิงมีร่องรอยความเสียใจพาดผ่าน เขานึกถึงเรื่องนี้ได้เหมือนกัน เนื่องจากยานรบได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ทหารทั่วไปต่างตายอยู่ท่ามกลางคลื่นพายุสนามแม่เหล็ก ยังไม่ทันได้เก็บกวาดเรื่องราวก็ไม่มีแรงไปสอบถามผู้รอดชีวิตแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกอย่างเข้าที่แล้ว ไม่ว่าผู้บัญชาการของยานรบหรือว่าผู้นำของฐานที่มั่นซวิ่นหลงต่างต้องดำเนินการเช่นนี้ แล้วพวกเขาจะถูกเปิดโปงเหมือนที่หานจี้จวินพูดไว้แน่นอน
หลินจงชิงกล่าวถึงตรงนี้ก็อดยิ้มเจื่อนไม่ได้ เขาตระหนักได้อีกครั้งแล้วว่า ลูกพี่หลานเป็นตัวตนที่ทำได้ทุกอย่างจริงๆ เหมือนกับว่าขอเพียงเขาอยู่ ไม่ว่าปัญหาอะไรต่างก็ไม่เป็นปัญหา สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
“พูดถึงแฮคเกอร์ ฉันเหมือนได้ยินเนี่ยนเทียนโหยวเหรินเคยพูดว่า เขาเองก็เป็นแฮคเกอร์เหมือนกัน ถ้าเกิดเขาอยู่ละก็ บางทีอาจจะได้ข้อมูลพวกนี้มาแล้วก็ได้…” เซี่ยอี๋นึกถึงคำพูดที่เนี่ยนเทียนโหยวเหรินกล่าวไว้บนยานลำเลียงแล้วเอ่ยด้วยความเสียใจเล็กน้อย
“ใช่เลย! โชคร้ายชะมัด ถ้าเกิดเขาอยู่ พวกเราก็จะปลอดภัยมากขึ้น…” ฉีหลงได้ยินคำกล่าวก็เอ่ยอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง “ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นแบบนี้ ตอนนั้นฉันน่าจะให้เนี่ยนเทียนโหยวเหรินเข้ามาในยานรบก่อน”
“ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็สายเกินไปแล้ว ไม่สู้ระดมความคิดกันดีกว่าว่าเราควรจะรับมือกันยังไงดี” หลี่ซื่ออวี๋ตัดบทฉีหลงทันที เตือนทุกคนว่าเลิกคิดเรื่อยเปื่อยกันได้แล้ว
หานจี้จวินได้ยินคำพูดก็พยักหน้ากล่าววว่า “นักเรียนดีเด่นหลี่พูดถูกแล้ว แฮคเกอร์ที่มีเพียงแค่สองคนของทีมต่างไม่อยู่ ดังนั้นพวกเราไม่จำเป็นต้องคิดวิธีใช้ความสามารถของแฮคเกอร์ไปเอาข้อมูลเลย มาคิดวิธีการอื่นกันเถอะ”
หลายคนเริ่มคิดหนัก น่าเสียดายที่ไม่สามารถคิดหาวิธีการดีๆ ออกมาได้เลย เซี่ยอี๋เห็นจีอู๋ปู้ซิว หรือก็คือฉางซินหยวนในโลกความเป็นจริงที่ถูกราชันสายฟ้าสนใจจนตกอยู่ในสภาพตกอับซ้ำชั้นอยู่ในโรงเรียนทหารสองปี ปัจจุบันนี้ยังคงเป็นนักเรียนปีสองอยู่ กำลังมองไปยังมุมหนึ่งด้วยสีหน้าใจลอย
เซี่ยอี๋มองตามไป แต่ก็พบว่านอกจากแมงมุมที่กำลังชักใยอยู่ตรงนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก…เขามองจีอู๋ปู้ซิว หรือฉางซินหยวนด้วยความสงสัย หรือว่าเขาคิดอะไรออกแล้ว?
ฉางซินหยวนคล้ายกับสัมผัสได้ถึงสายตาเร่าร้อนของเซี่ยอี๋จึงได้สติกลับมาอย่างช้าๆ เขายิ้มด้วยความขัดเขิน เอ่ยถามว่า “เซี่ยอี๋ นายมีอะไรเหรอ?”
“นายเหม่อมองอยู่จุดเดียว หรือว่าคิดอะไรออกแล้ว?” เซี่ยอี๋เอ่ยถามอย่างใคร่รู้
ฉางซินหยวนลูบศีรษะอย่างเก้อเขิน “ฉันแค่นึกไม่ถึงว่า หลิงเทียนอีเซี่ยนคือลูกพี่หลานที่เอาชนะกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงคนนั้น ฉันยิ่งนึกไม่ถึงเลยว่า ฉันจะได้เข้าร่วมหน่วยรบของพวกนาย…นี่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนฝันเฟื่องมากๆ เลย…”
เซี่ยอี้ไร้คำพูดไปทันที ตอนที่พวกเขาออกจากหุ่นรบ ฉางซินหยวนทำหน้านิ่ง เขายังนึกว่าอีกฝ่ายไม่รู้จักพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจเหมือนกัน ไม่คาดคิดเลยว่าฉางซินหยวนจะรู้ประวัติความเป็นมาของพวกเขาทั้งหมด เพียงแต่พอถึงตอนนี้ เขาค่อยเผยร่องรอยออกมาเล็กน้อย ท้ายที่สุดเขาเสแสร้งเก่งมากเกินไป หรือว่าปฏิกิริยาตอบสนองของเขาชักช้าผิดปกติเลยเพิ่งตระหนักได้ตอนนี้?
คำพูดของฉางซินหยวนทำให้คนอื่นๆ ยากจะเชื่อเหมือนกัน นี่ผ่านไปหนึ่งคืนแล้วนะ สหาย ตอนนี้นายค่อยทอดถอนใจ ไม่ช้าเกินไปหน่อยเหรอ?
สายตาแหลมคมของทั้งหกคนทำให้จีอู๋ปู้ซิวอึดอัดเล็กน้อย เขาลูบหัวอีกครั้ง กล่าวว่า “ความจริงแล้ว เมื่อตะกี้ฉันยังนึกถึงคำพูดที่ลูกพี่หลานบอกกับเราตอนที่เราออกเดินทางได้” ฉางซินหยวนเรียกลูกพี่หลานตามพวกฉีหลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
———————-