เวลานี้เอง เสี่ยวซื่อที่ไปจากหลิงหลานเพื่อจัดการไวรัส T ได้กลับมาแล้ว เขาพลันปรากฏตัวขึ้นในห้วงจิตใจของหลิงหลาน
หลิงหลานเห็นเสี่ยวซื่อโผล่มาก็รู้ว่าเสี่ยวซื่อจะต้องจัดการไวรัส T แล้ว แต่ไวรัส T มีพลังทำลายล้างต่อโลกเสมือนจริงของสหพันธรัฐมากเกินไปจริงๆ หลิงหลานยังคงอดเอ่ยถามไม่ได้ “จัดการไวรัส T หรือว่าดอกไม้โลกาวินาศแล้วสินะ”
เสี่ยวซื่อพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกริ่มและกล่าวว่า “อื้อๆ จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว”
“แน่ใจนะว่าไวรัส T จะไม่โผล่ขึ้นมาในโลกเสมือนจริงอีก?” หลิงหลานไล่ถามต่อด้วยความเป็นห่วง
“อื้อๆ ขอเพียงลูกพี่ไม่อยากเห็น ไวรัส T ก็จะไม่ปรากฏตัวขึ้นที่นี่” ดวงตาดำสนิทของเสี่ยวซื่อพลันส่องประกาย ตอบกลับด้วยสีหน้าเด็ดขาด
หลิงหลานค่อยวางใจ ทว่าตอนที่เธอไม่ได้สังเกตนั้น เธอไม่เห็นเสี่ยวซื่อก้มหน้าลงและเม้มปากลอบยิ้ม
เสี่ยวซื่อย่อมต้องลอบยิ้มอยู่แล้ว เขาแค่บอกว่าหลิงหลานไม่อยากเห็น ไวรัส T ก็จะไม่ปรากฏตัวขึ้นอีก แต่ถ้าเกิดหลิงหลานอยากเห็นละก็ อยากให้ไวรัส T ปรากฏตัวเมื่อไหร่ก็ได้ทั้งนั้น…
ถูกต้อง เขา…เสี่ยวซื่อได้ย้ายไวรัส T หรือก็คือดอกไม้โลกาวินาศนั่นเข้าไปในมิติการเรียนรู้ของเขาเพื่อทำการเพาะเลี้ยงอย่างเต็มที่ เสี่ยวซื่อคิดว่าไวรัสจะดีหรือไม่นั้นต้องดูว่าผู้ใช้คือใคร นอกจากนี้ ไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นของที่เกี่ยวข้องกับระบบดาวแมนโดรา เสี่ยวซื่อกำจัดมันไม่ลงเหมือนกัน…
ควรรู้เอาไว้อาจารย์ในมิติการเรียนรู้รังเกียจที่เขาเด็กเกินไป ไม่ยอมพูดคุยกับเขามากนัก และเรื่องราวในชีวิตจริงของหลิงหลานก็มีมากมาย เลยไม่ได้มาคุยเล่นเป็นเพื่อนเขาบ่อยๆ ส่วนในโลกเสมือนจริง นอกจากออปติคัลคอมพิวเตอร์น้อยบนยานบินลำนั้นที่มีการวิวัฒนาการในเบื้องต้นแล้ว เขายังไม่เคยเจอตัวตนทางปัญญาตัวใหม่ที่มีความคิดเป็นของตัวเองจากทั่วทั้งโลกเสมือนจริงเลย…ใช่แล้ว เสี่ยวซื่อรู้สึกเหงา
เสี่ยวซื่อออกไปจากห้วงจิตใจของหลิงหลานด้วยความตื่นเต้น วินาทีต่อมาเขาก็มาถึงมิติที่ถูกล็อกไว้แห่งหนึ่งในมิติการเรียนรู้ ในนั้นมีเด็กทารกกำลังนอนหลับใหลอยู่กลางอากาศ ร่างของเขาถูกเส้นสีขาวและสีดำนับไม่ถ้วนเชื่อมติดกันไว้ อีกปลายฝั่งหนึ่งของเส้นพวกนี้จมหายเข้าไปในความมืดอันไร้ที่สิ้นสุดของมิติแห่งนี้ มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดชั่วนิรันดร์
ร่างของเสี่ยวซื่อกระพริบอีกครั้งก็ลอยมาถึงข้างกายทารก เขายื่นนิ้วไปแตะแก้มนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายอย่างสงสัยใคร่รู้ คิ้วงดงามของทารกตัวน้อยที่ถูกคนรบกวนขมวดเข้าหากันโดยพลัน ปากเล็กๆ สีแดงสดเม้มขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว ดูเหมือนว่าเขารำคาญที่มีคนมารบกวนการนอนหลับของเขามากๆ
“เจ้าหนู นอนหลับเหมือนหมูตายเลย นายรอดมาได้ก็ต้องขอบคุณพี่เสี่ยวซื่อของนายนะ…อืม นายเป็นคนที่ฉันช่วยไว้ ก็ควรให้ฉันเป็นคนตั้งชื่อสิ เรียกว่าอะไรดีนะ? เสี่ยวโม่ (สิ้นโลกน้อย)? เสี่ยวซื่อ (โลกใบน้อย)? ไม่ได้ เสี่ยวซื่อฟังเหมือนกับชื่อเสี่ยวซื่อ (สี่น้อย) ของฉัน นั่นเป็นชื่อที่ลูกพี่ตั้งให้ฉัน เป็นชื่อเรียกของฉันคนเดียวเท่านั้น” เสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยความไม่พอใจ นัยน์ตากรอกไปมาแฝงร่องรอยการกลั่นแกล้งอย่างชัดเจน “ฉันตัดสินใจแล้ว จะเรียกนายว่าเสี่ยวฮัว (ดอกไม้น้อย)…เสี่ยวฮัว นายต้องรีบโตแล้วตื่นขึ้นมาไวๆ นะ ต่อไปอยู่กับฉันแล้ว ฉันรับรองว่าจะให้นายกินดีอยู่ดี จำเอาไว้ว่าต่อไปฉันก็คือลูกพี่ของนาย หลังจากนี้นายต้องเรียกฉันว่าพี่เสี่ยวซื่อ!” เสี่ยวซื่อประกาศอย่างภาคภูมิใจ
เวลานี้ทารกน้อยที่กำลังนอนหลับไม่รู้เลยว่า เขาถูกเสี่ยวซื่อที่นิสัยไม่ดีตั้งชื่อที่เชยโคตรๆ ไว้ในตอนที่เขายังไม่ตื่น จนกระทั่งเขาโตขึ้นมาเข้าใจถึงความเลวร้ายของชื่อนี้ เขาก็ประท้วงอย่างรุนแรงต่อหน้าลูกพี่หลานโดยไม่ลังเล ถึงค่อยกู้หน้ากลับมาได้สำเร็จและได้ชื่อใหม่มาครอบครอง
เสี่ยวซื่อมองทารกน้อยที่กำลังหลับใหล รู้สึกอารมณ์ดีสุดขีด เขาพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พบว่าอนาคตมีความหวังแล้ว…
เสี่ยวซื่อที่กำลังจมอยู่ในห้วงวันเวลาที่สวยงามในอนาคตจนไม่อาจถอนตัวนั้น จู่ๆ ก็เงยหน้าขึ้นมาฉับพลัน เขาขมวดคิ้ว เนื่องจากสัมผัสได้ถึงผีซวีคนหนึ่งที่เดิมทีควรอยู่ในหลุมพรางทางฝั่งนั้นกำลังเข้ามาใกล้ตำแหน่งของลูกพี่เขาอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา
ร่างของเสี่ยวซื่อขยับทีหนึ่ง พริบตาเดียวก็กลับมาที่ห้วงจิตใจของหลิงหลานอีกครั้งแล้วก็บอกการค้นพบของเขาให้หลิงหลานฟังทันที
หลังจากที่หลิงหลานรู้แล้ว เธอก็ให้เสี่ยวซื่อลงมือสังหารคนผู้นั้นโดยไม่ไตร่ตรองเลยสักนิดเดียว หลี่หลานเฟิงฆ่าคนติดต่อกันมาสิบกว่าคนแล้ว ไม่ว่าจิตใจหรือว่าพลังผีซวีต่างก็อ่อนเพลียหมดแล้ว หลิงหลานไม่อยากให้เขาหักโหมต่อไปจนนำอันตรายแอบแฝงที่ไม่จำเป็นมา
ไวต์ที่กำลังรีบมาพลันรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วทั้งร่าง หลังจากนั้นก็มีพลังผีซวีอันล้นหลามสายหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยและหวาดกลัวบดขยี้เข้ามา ถึงแม้ว่าเขาจะตอบสนองว่องไว ปลดปล่อยพลังผีซวีของตนมาคุ้มครองตัวเองทันใด แต่พลังของคนทั้งสองห่างชั้นกันมากเกินไป การคุ้มกันของเขาทำได้เพียงหยุดพลังที่แข็งแกร่งสายนั้นได้ชั่วขณะเท่านั้น ก่อนที่สติของเขาก็ถูกบดจนแหลกละเอียดทันที
เขาเหมือนกับรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของตัวเองกำลังแตกร้าว จากนั้นเบื้องหน้าก็เป็นสีดำสนิท ไม่รู้สึกตัวอีกต่อไป เขาไม่มีโอกาสเห็นว่าร่างกายของตัวเองก็เป็นเหมือนกับตี้ซวีที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจุดสีขาวหายไปในโลกเสมือนจริงแห่งนี้
อีกทางด้านหนึ่ง ผีซวีที่ชื่อไรเตอร์ผู้กำลังเข้าไปใกล้ทีมตรวจสอบอย่างใจเย็นคนนั้นพลันพบว่าพลังผีซวีของตัวเองเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาอย่างรุนแรง นี่คือการแสดงสัญญาณเตือนภัยอย่างหนึ่ง เขาชะงักเท้าทันใด ก่อนจะใช้พลังผีซวีปกป้องตัวเองแล้วเริ่มตรวจสอบสถานการณ์รอบๆ บริเวณ ทว่าก็ไม่พบความผิดปกติอะไร เขาส่ายศีรษะอย่างงุนงง ได้แต่รุดหน้าต่อไปเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนเป็นระมัดระวังตัวมากกว่าตอนแรก
ตอนที่เสี่ยวซื่อรายงานให้หลิงหลานฟังว่าจัดการผีซวีคนนั้นเสร็จเรียบร้อย คนของทีมหลิงหลานก็มาถึงทางออกแล้ว
หลิงหลานกวาดตามองบรรดาลูกทีมรอบหนึ่งก่อนจะล้วงคำสารภาพชุดนั้นออกมาจากในอก เธอครุ่นคิดสักพักแล้วก็ยื่นให้หลี่หลานเฟิงและกล่าวว่า “ชีตาห์ นายเก็บรักษาข้อมูลชุดนี้ไว้ จำเอาไว้ว่าตลอดเส้นทางนี้ นายจะตายไม่ได้เด็ดขาด ต้องรอดชีวิตเพื่อมอบมันให้เจ้าเมืองหงหยาง ไม่อย่างนั้นภารกิจจะล้มเหลว”
หลี่หลานเฟิงได้ยินคำพูดก็อึ้งไปทันที เขาไม่คาดคิดว่าสุดท้ายหลิงหลานจะเลือกให้เขารับผิดชอบภารกิจสำคัญนี้ นับตั้งแต่ที่เริ่มวางแผนนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าจะมีบทบาทสำคัญแบบนี้อยู่ หลี่หลานเฟิงคิดมาตลอดว่าบทบาทนี้ ถ้าไม่ได้เป็นของฉีหลงก็ต้องเป็นของลั่วล่าง เพราะว่าความสามารถของพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอันดับสองและอันดับสามในทีม ในขณะเดียวกันยังเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันกับกระต่ายตั้งแต่เด็กๆ ดูจากระดับความเชื่อใจแล้ว พวกเขาย่อมเหนือกว่า
ทว่าตอนนี้กลับมอบภารกิจนี้ให้เขา หลี่หลานเฟิงสัมผัสได้ถึงความเชื่อใจที่กระต่ายมีต่อเขาอย่างเต็มเปี่ยม นี่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก เขาลอบสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ยื่นมือไปรับข้อมูลคำสารภาพชุดนี้ด้วยสีหน้าเยือกเย็นมาก หลี่หลานเฟิงแน่ใจแล้วว่า ความสำคัญของเขาในใจของกระต่ายไม่ได้น้อยไปกว่าพวกฉีหลงหรือลั่วล่างเท่าไหร่แน่นอน เขาจะต้องตอบแทนความจริงใจของกระต่ายที่มีต่อเขาให้ได้
อันที่จริงหลี่หลานเฟิงคิดมากไปแล้ว สาเหตุที่หลิงหลานเลือกหลี่หลานเฟิงก็เพราะเธอคิดว่าหลี่หลานเฟิงเป็นคนเจ้าเล่ห์มากแผนการ มีอุบายอยู่เต็มท้อง นอกจากนี้ความสามารถในการควบคุมหุ่นรบก็ไม่ด้อยไปกว่าฉีหลง ดูยังไงก็เป็นพวกคนชั่วที่อายุยืนพันปี เธอเชื่อว่าต่อให้คนอื่นๆ ในทีมเกมโอเวอร์ หลี่หลานเฟิงก็ยังสามารถเอาชีวิตรอดต่อไปได้อย่างฮึกเหิมราวมังกรพยัคฆ์ผาดโผน อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นการสะท้อนทางอ้อมว่าหลิงหลานมีความเชื่อมั่นต่อชีตาห์อย่างแรงกล้า ความซาบซึ้งใจของหลี่หลานเฟิงก็ไม่นับว่าเสียเปล่าเหมือนกัน
จากนั้นหลิงหลานก็มองไปทางฉีหลงอีกครั้งแล้วกำชับอย่างจริงจังว่า “ฉีหลง จากนี้ไปนายนำลูกทีมทุกคนปกป้องชีตาห์อย่างสุดกำลัง ต่อให้พวกนายต่อสู้จนตัวตายก็จะให้ชีตาห์ตายไม่ได้เด็ดขาด”
ฉีหลงทำหน้าเคร่งขรึม “ได้ ลูกพี่!” พวกฉีหลงรู้ดีว่า จากนี้ไปถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างแท้จริง
“ต่อไปก็ดำเนินการตามแผน พวกเราแบ่งกลุ่มออกเป็นสองทาง” ในขณะที่สายตาของหลิงหลานส่งสัญญาณให้ลูกทีมจากไป เธอก็สั่งเสี่ยวซื่อในห้วงจิตใจว่า “ทำตามแผนเดิม”
เสี่ยวซื่อรับคำสั่งแล้วก็ถูกำปั้นปฏิบัติการทันที การกำจัดผีซวีเป็นเพียงงานชั่วคราวเท่านั้น ทว่าตอนนี้ถึงเป็นช่วงเวลาที่เขา…เสี่ยวซื่อได้แสดงความสามารถออกมาแล้ว
……
ภายในหอพักแห่งหนึ่งในค่ายที่พักชั่วคราวที่จัดให้สำหรับผู้รอดชีวิตจากยานหลักจิ่งหลง ทหารคนหนึ่งที่คอยเฝ้ามองอุปกรณ์สื่อสารในมือพลันเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีออกมา เขารีบเงยหน้าเอ่ยกับเพื่อนๆ หลายคนที่ทำหน้าเคร่งเครียดอยู่ด้านข้างว่า “ข่าวมาแล้ว ทางพวกผู้บัญชาการทำสำเร็จแล้ว ให้พวกเราเริ่มดำเนินการเข้าควบคุมยานรบ รอคอยพวกเขากลับมา”
“ดี งั้นเราก็ทำตามแผนเดิม เริ่มปฏิบัติการได้” หนึ่งในนั้นที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าของคนเหล่านี้ได้ยินคำพูดนี้ก็พยักหน้าสั่งการทันที
คนเหล่านี้รีบจัดเก็บอาวุธในมือแล้วออกไปจากค่ายที่พักอย่างเงียบเชียบ ลอบเข้าไปยังท่าอวกาศของยานรบ เป้าหมายของพวกเขาถูกกำหนดไว้นานแล้ว นั่นก็คือยานลาดตระเวนที่พาพวกเขากลับมาในตอนแรก และตามที่นัดหมายกันไว้ หลังจากที่พวกผู้บัญชาการกลับมาแล้วก็จะลอบเข้าไปในยานรบลำนี้ ติดเครื่องยนต์ของยานรบและหนีออกไปจากสถานที่แห่งนี้ในตอนที่ทุกคนในฐานที่มั่นซวิ่นหลงยังไม่ทันสังเกตเห็น
หลิงหลานที่รู้แผนการของพวกเขาอยู่นานแล้วก็ตัดสินใจฉวยโอกาสให้คนในทีมลอบเข้าไปในยานลาดตระเวนลำนั้น แบบนี้ก็จะมีพวกคนของทางกองทัพเป็นโล่ป้องกัน และไม่มีใครสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของทางพวกเขาได้
พวกฉีหลงออกไปจากโรงอาหารอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ต้องอาศัยตัวพวกเขาเองแล้ว หลิงหลานมองพวกเขาจากไปก่อนจะพรูลมหายใจเบาๆ ในมือเธอพลันปรากฏข้อมูลหนึ่งชุดอีกครั้ง มันคือคำสารภาพที่เธอมอบให้หลี่หลานเฟิงนั่นเอง
เสี่ยวซื่อที่สารพัดประโยชน์ได้ก็อปปี้ข้อมูลชุดนี้อย่างครบถ้วนแล้ว หลิงหลานไม่มีทางวางของไว้ในชามเดียว เธอฝากฝังหลี่หลานเฟิงไว้ และก็เก็บไว้ให้ตัวเองหนึ่งชุดเช่นกัน ขอเพียงพวกเธอสองคนมีคนใดคนหนึ่งรอดชีวิตก็สามารถทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ ความจริงแล้ววิธีการแบบนี้มันผิดกฎ ทว่าเมื่อมีการแก้ไขของเสี่ยวซื่อ ทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นสมเหตุสมผล
หลิงหลานเก็บข้อมูลกลับไปอีกครั้ง สาเหตุที่เธอแบ่งกลุ่มนั้น ประการแรกคือ เธอทำเพื่อจัดการภัยแอบแฝงให้สิ้นซาก เธอไม่อาจปล่อยคนของจักรวรรดิซีซาร์ที่ลอบเข้ามาได้แม้แต่คนเดียว เพราะเธอไม่สามารถทิ้งภัยแฝงเร้นที่อาจจะนำอันตรายใดๆ มาให้ลูกทีมได้ ประการที่สอง เธอต้องช่วยเหลือพวกทหารตรวจสอบของสหพันธรัฐที่กำลังตกอยู่ในสภาพอับจน เธอยังต้องการพวกเขามาเป็นโล่ให้กับทีมของเธอ
เสี่ยวซื่อจำลองสัญญาณติดต่อของผู้บัญชาการส่งข่าวนี้ให้กับคนที่อยู่ประจำการแนวหลังในค่ายที่พักชั่วคราวแล้วก็ไปจากหลิงหลาน เริ่มไปกำจัดพวกแฮคเกอร์ที่ซ่อนอยู่ในกองบัญชาการ
ส่วนหลิงหลานก็รีบไปยังคลังเก็บของด้วยความเร็วสูงสุด เนื่องจากเธอมีการคุ้มกันที่เสี่ยวซื่อทำให้เธอ ถึงแม้ว่าที่นั่นยังมีผีซวีอยู่อีกคน แต่หลิงหลานที่รู้จักการควบคุมทางจิตมีความสามารถในการปกป้องตัวเอง ดังนั้นเธอเลยไม่กลัว นี่ก็คือเหตุผลที่เสี่ยวซื่อไปจากลูกพี่ตัวเองอย่างหมดห่วง
ภายในห้องลับแห่งหนึ่งของกองบัญชาการ แฮคเกอร์ที่สวมเสื้อคลุมดำแปดคนจ้องมองเวลาตรงหน้าจอเบื้องหน้าด้วยสีหน้าทะมึน เวลาที่กำหนดไว้แต่เดิมว่าไวรัส T จะเริ่มทำงานได้สำเร็จนั้นเลยมายี่สิบนาทีแล้ว พวกเขาทำการเตรียมพร้อมต้อนรับชัยชนะเอาไว้ แต่ความเป็นจริงกลับตีฝ่ามือของพวกเขา จนถึงตอนนี้โลกเสมือนจริงของสหพันธรัฐยังคงทำงานตามปกติ ไม่มีเค้าลางผิดปกติเลยสักนิดเดียว
————————