ภายในห้องลับขนาดมหึมาแห่งหนึ่ง มีชายชราสีหน้าเคร่งขรึมที่สวมชุดเครื่องแบบนายพลเก้าคนรวมกันอยู่บนหน้าจอขนาดใหญ่สามอันที่เหมือนกับกำแพง บรรยากาศดูตึงเครียดเล็กน้อย
“ใช้เวลาสิบหกปี เสียกำลังคนทรัพยากรนับไม่ถ้วน ผลสุดท้ายกลับพ่ายแพ้ย่อยยับ ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำให้ซีซาร์ของเราสูญเสียแฮคเกอร์ระดับสุดยอดสามสิบกว่าคน และผีซวีระดับสุดยอดหกคนทีเดียว” นายพลคนหนึ่งที่มีหน้าตาดุร้ายเย็นชาในหน้าจอถือข้อมูลชุดหนึ่งพลางเอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างมาก
“พูดได้แค่ว่าชาวหัวเซี่ยเจ้าเล่ห์มากเกินไปแล้ว ลอบส่งผีซวีเข้าไปจำนวนมาก ทำลายโปรเจค T ของพวกเราในครั้งเดียว ส่วนคนของเราก็รับมือไม่ทันแทบจะถูกล้างบาง ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเรายังมีทีมที่ซ่อนตัวอย่างลับๆ อยู่ในนั้นอีกทีมละก็ เกรงว่าจนถึงตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าที่นั่นเกิดเรื่องอะไรขึ้น” นายพลที่หน้าตาอ่อนโยนคนหนึ่งในหน้าจอทำได้เพียงเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนต่อเรื่องนี้เท่านั้น
“จากข่าวที่ด้านล่างส่งขึ้นมา ไม่ใช่ว่าหัวเซี่ยไม่ได้จ่ายค่าตอบแทนอะไรเลย ผีซวีที่เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดของพวกเขาก็เสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้…” นายพลอีกคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาเอ่ยปากแทรกประโยคนี้ขึ้นมา
“แต่ซีซาร์ของเราเสียสละชีวิตผีซวีระดับสุดยอดไปสี่คน…” นายพลคนหนึ่งในหน้าจออีกด้านได้ยินคำพูดนี้ก็มีสีหน้าทะมึนลงทันที “ผีซวีของหัวเซี่ยคนเดียวหักล้างชดเชยไม่ได้หรอกนะ”
“ใช่ ยังมีแฮคเกอร์ระดับสุดยอดอีกสามสิบกว่าคนด้วย งานนี้เราแทบบาดเจ็บถึงเอ็นและกระดูก ถ้าเกิดสงครามเสมือนจริงขึ้นครั้งต่อไป พวกเราจะตกเป็นฝ่ายรองได้ง่ายมาก พวกเราจะปล่อยให้การสูญเสียครั้งนี้จบลงแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด” นายพลที่อยู่ด้านข้างเอ่ยสนับสนุน
“ต้องให้ชาวหัวเซี่ยชดใช้!” นายพลที่อยู่ริมสุดตะโกนเสียงดังด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
“ต้องให้ชาวหัวเซี่ยชดใช้!” นายพลอีกคนในหน้าจอก็แสดงการสนับสนุนเช่นกัน
“ต้องให้ชาวหัวเซี่ยชดใช้!” ไม่นานนายพลทุกคนต่างเห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้
ในกลางหน้าจอ นายพลคนหนึ่งที่แก่ชรามากสุดเอาแต่เงียบมาตลอด เขาดึงซิการ์ที่คาบไว้ในมุมปากลง ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมาว่า “พันธมิตรที่อยากได้ส่วนแบ่งพวกนั้นถึงเวลาออกแรงบ้างแล้ว ต้องมอบบทเรียนเลือดให้หัวเซี่ยที่ลำพองใจจนลืมตัว”
“จากข่าวล่าสุดที่สำนักข่าวกรองส่งมา ได้ยินว่าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของหัวเซี่ยปรากฏปรมาจารย์หุ่นรบอัจฉริยะขึ้นมา เมื่อหลายวันก่อนเขาเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาด้วยอายุแค่สิบเก้า ถูกยกย่องว่าเป็นหลิงเซียวคนที่สอง…” เวลานี้ นายพลท่านหนึ่งบอกข่าวล่าสุดที่เขาได้รับมาให้กับคนอื่นๆ
“หลิงเซียว!” นายพลในที่แห่งนี้ได้ยินชื่อหลิงเซียว แววตาพลันขรึมขึ้นมา มีหลายคนถึงขนาดขบกรามทวนชื่อหลิงเซียว เห็นได้ว่านายพลเหล่านี้หวาดหวั่นต่อหลิงเซียวอย่างยิ่งยวด
“จะให้หัวเซี่ยมีหลิงเซียวเพิ่มมาอีกคนไม่ได้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นซีซาร์ของเราจะถูกหัวเซี่ยกดหัวแล้วจริงๆ” นายพลท่านหนึ่งกล่าวคำพูดที่อยู่ในใจนายพลทุกคนออกมาในที่สุด
ควรรู้เอาไว้ว่า หลิงเซียวเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบที่เลื่อนถึงขั้นเทวะด้วยอายุน้อยที่สุด และเขาได้รับ Belief ที่มีความสามารถด้านต่างๆ สมดุลมากที่สุดซึ่งถูกทุกประเทศประเมินว่าเป็นหุ่นรบ IN ขั้นเทวะที่แข็งแกร่งมากที่สุด นับจากนั้นมา คนที่เข้าใจความลับของหุ่นรบ IN ขั้นเทวะต่างรู้ว่า ผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งของโลกมนุษย์ในอนาคตย่อมเป็นหลิงเซียวอย่างไม่ต้องสงสัย นี่ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่พวกเขาร่วมมือกับประเทศอื่นๆ วางแผนกำจัดหลิงเซียวเมื่อสิบหกปีก่อน พวกเขาไม่อาจให้หลิงเซียวเติบโตขึ้นมาเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของโลกได้ ซีซาร์ที่เห็นว่าตัวเองเป็นประเทศที่แข็งแกร่งมากที่สุด ถ้าเกิดผู้แข็งแกร่งที่สุดดันปรากฏตัวขึ้นที่ประเทศอื่น นั่นย่อมเป็นความอัปยศขายหน้าของพวกเขา
น่าเสียดายที่ทุ่มเทกำลังความคิดทั้งหมดก็ยังกำจัดหลิงเซียวไม่ได้ หากคิดวางแผนลอบสังหารหลิงเซียวอีกย่อมไม่ง่ายดายเหมือนตอนนั้นแล้ว หลิงเซียวกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่จะเป็นจริงในไม่ช้าแล้ว พวกเขาได้แต่ฝืนยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ แต่หลิงเซียวคนเดียวก็เป็นขีดจำกัดความอดทนสูงสุดของพวกเขาแล้ว คำเรียกขานหลิงเซียวคนที่สองนี้กระตุกเส้นประสาทของชาวซีซาร์อย่างไม่ต้องสงสัย…
“ในเมื่อหัวเซี่ยทำลายอัจฉริยะสูงส่งของเราไปมากมาย เราก็ต้องทำลายความหวังในอนาคตของพวกเขา!” นายพลที่ชรามากที่สุดตรงกลางหน้าจอกุมซิการ์ เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมเย็นชาออกมา “โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของหัวเซี่ย….เหอะ ชาวหัวเซี่ยยังคิดว่าซ่อนเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ เหรอ?”
คำพูดของนายพลชราทำให้นายพลทุกคนแววตาเปล่งประกาย นายพลทั้งเก้าคนที่มีความเห็นพ้องกันก็วางแผนเอาคืนของพวกเขาอย่างรวดเร็ว แผนการนี้ถูกพวกเขาเรียกขานว่า ปฏิบัติการฆ่าล้างลูกเจี๊ยบ!
……
เวลานี้สหพันธรัฐหัวเซี่ยไม่รู้เลยว่า วิกฤติกำลังจะมาเยือนโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งที่พวกเขาทุ่มเทความคิดปกป้องซ่อนอำพรางมาโดยตลอด กองทัพรู้แล้วว่าฐานที่มั่นซวิ่นหลงถูกกลุ่มอำนาจที่ไม่แน่ชัดยึดครอง ด้านในถึงขนาดมีผีซวีอยู่มากมาย กองทัพหัวเซี่ยจึงส่งกองยานรบไปโดยที่มีผีซวีออกปฏิบัติการมากกว่าสิบคน ซึ่งสามคนในนั้นก็เป็นผีซวีระดับสุดยอดที่ติดอันดับหนึ่งในสิบเพื่อรับประกันความปลอดภัยของโลกเสมือนจริง โดยมีผู้บัญชาการที่หนีกลับมาจากฐานที่มั่นซวิ่นหลงนำทางมุ่งหน้าไปยังฐานที่มั่นซวิ่นหลง
แต่ช่วงเวลาขาไปขามานี้ทำให้ชาวซีซาร์ที่ซ่อนอยู่ในฐานที่มั่นซวิ่นหลงถอนทัพสำเร็จแล้ว พวกเขาหาผู้ช่วยผู้บัญชาการที่โชคดีรอดพ้นหายนะมาได้ ถึงค่อยรู้ว่าคนกลุ่มนี้มาจากจักรวรรดิซีซาร์ สหพันธรัฐหัวเซี่ยเดือดดาลสุดขีด ยื่นคำประท้วงอย่างรุนแรงไปที่ซีซาร์ แต่จักรวรรดิซีซาร์ไม่ยอมรับเรื่องนี้ทั้งสิ้น คิดว่านี่เป็นการใส่ร้าย พวกเขาไม่เคยส่งแฮคเกอร์กับผีซวีใดๆ ลอบเข้ามาที่โลกเสมือนจริงของสหพันธรัฐหัวเซี่ย
ทั้งสองประเทศเริ่มด่าโยนความรับผิดชอบใส่กันในทางการทูต ขณะที่สายตาของทุกคนในสหพันธรัฐหัวเซี่ยสนใจไปที่การทูตของทั้งสองประเทศ มีหลายประเทศเริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ
ความวุ่นวายทางการทูตของประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการทดสอบประเมินผลเข้ากองพลของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเลย หลังจากที่ทดสอบไปได้หนึ่งอาทิตย์ ในที่สุดการประเมินผลของโรงเรียนทหารก็ใกล้จะจบลงแล้ว ทีมผู้ประเมินของกองพลต่างๆ กำลังทำการตัดสินผู้ได้รับคัดเลือกสุดท้าย โควตาอัจฉริยะที่นำเข้ามาในแต่ละกองพลมีไม่มากนัก พวกเขาจำเป็นต้องใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อให้ได้นักเรียนทหารอัจฉริยะที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับกองพลของพวกเขามากที่สุด
ในที่สุดทีมประเมินผลของกองพลที่ยี่สิบสามของหลิงเซียวก็มีความเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกสุดท้ายได้ถูกรวบรวมส่งถึงมือของหลิงเซียวแล้ว หลิงเซียวเปิดดูลวกๆ แล้วก็พูดว่า “ก็ตามนี้เลย”
“ท่านนายพล คุณไม่พิจารณาอีกทีเหรอครับ?” สุดท้ายผู้ช่วยที่อยู่ข้างกายก็อดไม่ไหว เอ่ยปากกล่าวเตือน
หลิงเซียวชายตามองเขาอย่างงุนงง เอ่ยถามอย่างแย้มยิ้มว่า “ผู้ช่วยเฉียว นายมีความคิดอะไรเหรอ? ไม่ต้องเครียด พวกเรามาวิเคราะห์ด้วยกันได้นะ”
หลิงเซียวไม่ใช่นายพลที่เคร่งครัดแบบนั้น เขามีท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตรมาตลอดทำให้นายทหารชั้นสูงใต้บังคับบัญชาคล้ายกับได้ชโลมสายลมฤดูใบไม้ผลิ ในขณะที่เลื่อมใสบูชาเขาก็ไม่ได้หวาดกลัวจนไม่กล้าเอ่ยความคิดของตัวเองออกมา
ผู้ช่วยเฉียวได้ยินคำกล่าวก็พลิกเปิดหน้ากระดาษหนึ่งในนั้นอย่างใจกล้า ก่อนจะชี้ไปยังหลายชื่อในนั้นแล้วเอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “ไม่นานมานี้ คนพวกนี้กับคุณชายหลาน….” หลิงเซียวเหลือบมองเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ผู้ช่วยเฉียวหน้าแดง รีบเปลี่ยนคำพูด “กับหลิงหลานทำการต่อสู้บนสนามประลอง พวกเขาถูกพวกหลิงหลานเอาชนะได้ เดิมทีหนึ่งในกลุ่มของพวกเขาก็สมัครเข้ากองพลที่ยี่สิบสามของพวกเรา แต่เพราะว่าร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เลยไม่มีวาสนาเข้าทดสอบกับพวกเราในครั้งนี้ พันตรีฉินเฟิงที่ประเมินพวกเขาบอกว่า เขาเคยบังเอิญได้ยินว่าพวกเขามีความตั้งใจอยากไปล้างแค้นหลิงหลาน”
นับตั้งแต่ที่รู้ว่าคุณชายหลานคือลูกชายของนายพล บรรดาสมาชิกทีมประเมินผลที่ติดตามนายพลมาด้วยกันอย่างพวกเขาก็รู้เรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณชายหลานหลังจากที่ได้เข้าเรียนอย่างละเอียดนานแล้ว เมื่อรู้ว่าคุณชายหลานนำพากลุ่มนักเรียนใหม่ปีหนึ่งเอาชนะนักเรียนชั้นปีสูงและยังเป็นกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงที่เป็นกลุ่มอำนาจอันดับหนึ่งของโรงเรียนด้วยวิธีการเดิมพันบนสนามประลอง พวกเขาได้ยินแล้วก็อดลอบภาคภูมิใจไม่ได้ สมเป็นลูกชายของนายพลหลิงเซียวผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะของพวกเขาจริงๆ อายุน้อยก็แข็งแกร่งขนาดนี้แล้ว
หลิงหลานถูกพวกเขายอมรับโดยสมบูรณ์ และก็ทำให้หัวใจพวกเขาเริ่มเอนเอียงไปทางหลิงหลานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ต่อให้พวกฮั่วเจิ้นอวี่เป็นอัจฉริยะที่หายากอยู่บ้างจริงๆ แต่เมื่อคิดว่าพวกเขาเตรียมตัวล้างแค้นหลิงหลานในอีกหลายปีให้หลัง พวกเขาก็ไม่ชอบใจอยู่บ้าง ถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณธรรมของทหารไม่อนุญาตให้เขาใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัวละก็ พวกเขาคงคัดคนเหล่านี้ตกไปนานแล้ว
ท้ายที่สุดพวกเขายังคงคัดพวกเขาเข้ามาในรายชื่อสุดท้าย แต่ในใจยังคงไม่พอใจเล็กน้อย นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่ผู้ช่วยเตือนนายพลหลิงเซียว
หลิงเซียวได้ยินคำพูดนี้ก็อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “นี่เป็นเรื่องดีมากเลยไม่ใช่หรือไง?”
คำพูดของหลิงเซียวทำให้ผู้ช่วยเฉียวอึ้งไป ไม่รู้ว่านายพลของเขาเอ่ยคำพูดนี้มีความหมายอะไรกันแน่
“ฉันยังกลัวอยู่เลยว่าหลังจากที่หลิงหลานเข้ากองพลของฉันแล้ว คุณลุงคุณอาอย่างพวกนายจะดูแลเขามากเกินไป จนไม่ได้ตระหนักถึงการแข่งขัน ปล่อยตัวเองให้เอื่อยเฉื่อยลง” หลิงเซียวกล่าวอย่างใคร่ครวญลึกซึ้ง “มีคนพวกนี้อยู่จะเพิ่มความยากลำบากให้เขาได้ ควรรู้เอาไว้ว่าเราเพาะเลี้ยงหน่ออ่อนที่แข็งแกร่งในห้องอุณหภูมิไม่ได้หรอกนะ”
หลังจากที่หลิงเซียวกล่าวคำพูดนี้จบ เขาก็มองผู้ช่วยคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มแวบหนึ่งอีกครั้ง แล้วเอ่ยต่อว่า “ในกองพลที่ยี่สิบสามของพวกเรา ไม่มีแบ่งแยกตำแหน่งอภิสิทธิ์อะไรทั้งนั้น ไม่ว่าใครก็ต้องเริ่มต้นจากจุดเริ่มต้น ต้องอดทนเผชิญอุปสรรคที่ควรได้รับ ไม่ว่าใครก็ไม่มีข้อเว้น ถ้าคนพวกนี้มีความสามารถจริงๆ สิ่งที่ควรอบรมสั่งสอนก็ต้องอบรมสั่งสอน ไม่ต้องใช้อุบายอะไร ถ้าเกิดต่อไปหลิงหลานถูกพวกเขารังแกจริงๆ ก็แค่ยืนยันว่าความสามารถของเขาไม่เพียงพอ คนที่พ่ายแพ้แล้วมีสิทธิ์อะไรมาพูดล่ะ?”
ผู้ช่วยเฉียวถูกหลิงเซียวมองด้วยสายตาเข้าอกเข้าใจนั้นก็ใจกระตุก คล้ายกับถูกมองทะลุก็ไม่ปาน แผ่นหลังของเขาพลันหลั่งเหงื่อเย็นๆ ลงมา เขาได้แต่ปลอบตัวเองอย่างสุดชีวิตว่าคิดมากเกินไปแล้ว เมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้ของหลิงเซียว ก็รีบพูดว่าใช่ครับติดต่อกัน ไม่กล้าพูดมากอีก
เมื่อได้รับการยืนยันสุดท้ายของหลิงเซียว ผู้ช่วยเฉียวก็รีบนำรายชื่อชุดนี้ออกไปจากที่พักของหลิงเซียวอย่างรวดเร็วก่อนจะมอบให้กับทางโรงเรียนทหาร พรุ่งนี้รายชื่อชุดนี้จะประกาศในหน้าเว็บทางการของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งร่วมกับรายชื่อของกองพลอื่นๆ นี่ก็บ่งบอกว่างานประเมินทดสอบของพวกเขาสิ้นสุดลงหมดแล้ว พักผ่อนอีกหนึ่งวันค่อยออกจากโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง
หลิงเซียวมองส่งผู้ช่วยอย่างเฉยชา แววตามีร่องรอยความเย็นชา เมื่อเขาหันกายเตรียมตัวกลับห้องไปพักผ่อนก็เจอหลินเจิ้งหนานคนคุ้มกันของเขากำลังใช้ใบหน้าที่อ่อนเยาว์จ้องมองเขาอย่างเคร่งขรึม แววตามีไฟโทสะและการไม่ยอมรับ หลิงเซียวเห็นดังนั้นก็อดเลิกคิ้วถามไม่ได้ “เสี่ยวหลิน นายอยากพูดอะไรหรือเปล่า?”
“การกระทำเมื่อสักครู่นี้ของผู้ช่วยเฉียวเห็นได้ชัดว่ามีปัญหา ทำไมท่านนายพลยังไว้ใจเขาขนาดนี้ละครับ?” การที่สามารถกลายเป็นคนคุ้มกันข้างกายหลิงเซียวได้ หลินเจิ้งหนานคิดว่านี่เป็นโชคดีของเขาในขณะเดียวกันก็เป็นวาสนาของเขาด้วย เขายกย่องเลื่อมใสหลิงเซียวมาตั้งแต่เด็กๆ อยากกลายเป็นแขนซ้ายแขนขวาของหลิงเซียว เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาเชื่อใจมากที่สุด
หลายครั้งที่หลินเจิ้งหนานมองออกว่าการกระทำต่างๆ ของผู้ช่วยเห็นได้ชัดว่ามีเจตนาชักนำหลิงเซียวไปทางที่ผิด อยากให้หลิงเซียวทำเรื่องที่เสื่อมเสียชื่อเสียงของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น ใช้อำนาจในเรื่องส่วนตัว นี่ทำให้เขาที่ยังอายุน้อยอดทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ในที่สุดก็เอ่ยปากถามนายพลที่ทำให้เขาเคารพบูชาราวกับเทพตรงหน้านี้…
——————————-