บทที่ 259 หอคอยงาช้าง
เมื่อได้ยินคำกล่าวสั้นๆของราชาสวรรค์นี้ เฉินเฉียงถึงกับหัวหมุนในทันที
“ราชาสวรรค์….ท่าน….จะบอกอะไรกับข้า”
เมื่อเห็นท่าทางอันผิดแปลกของเฉินเฉียง ราชาสวรรค์ก็ยังพูดออกมาราวกับไม่แยแส “ข้า บอก ว่า ข้ารู้ว่าใครเป็นคนทำร้ายพ่อของเจ้า”
“ใคร…ใครกัน หลินไฮ่หวังเรอะ” ดวงตาของเฉินเฉียงเปลี่ยนเป็นแดงก่ำในทันที เขากัดฟันพลางกำมือแน่น ก่อนที่จะมองไปยังใบหน้าหมอกไอดำที่นิ่งเรียบของราชาสวรรค์
ยี่สิบสามปี
ถึงแม้ว่าดวงวิญญาณของเฉินเฉียงจะมาจากเมื่อพันปีก่อน แต่ในตอนนี้เขาก็ไม่ได้คิดที่จะปฏิเสธความทรงจำและเรื่องราวเกี่ยวกับของเจ้าของร่างนี้แต่อย่างใด แน่นอนว่าความเกลียดชังที่มีต่อผู้ที่ฆ่าพ่อของร่างนี้ก็ด้วย
ความรู้สึกนี้ของเขาเกิดขึ้นนับแต่ซุนต้าฮู่ได้ตกตายไป
และด้วยเหตุเดียวกันนี้ ต่อให้เขารู้ว่าราชาสวรรค์จะติดเครื่องติดตามไว้ที่ดาบดั้นเมฆของเขา เฉินเฉียงก็ไม่อาจทิ้งขว้างมันไปได้
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยพบเจอพ่อที่มีนามว่าเฉินเทียนเว่ยผู้นี้ แต่ชื่อเสียงของเขาก็ยังคงเลื่องลือในตึกจอมพลเหมันต์จันทราจนมาถึงทุกวันนี้
และในตอนนี้ เขาผู้รับสืบทอดตำแหน่งกัปตันของกองกำลังเทียนเว่ย ยิ่งทำให้เขานั้นมีความรู้สึกผูกพันกับเฉินเทียนเว่ยเข้าไปอีก
จากความคิดของเฉินเฉียงที่ส่งต่อมาให้เขานั้น เฉินเฉียงรู้เพียงว่าพ่อของเฉินเฉียงได้ตกตายโดยมนุษย์กลายพันธุ์ และนี่คือเหตุผลที่เขาไม่เคยแหนงหน่ายที่จะฆ่าฟันเมื่อเจอหน้ากับมนุษย์กลายพันธุ์
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินว่ามีเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังในการตายของเฉินเทียนเว่ย ในฐานะมนุษย์และลูกชายคนหนึ่ง มีหรือที่เขาไม่สืบหาความจริงในเรื่องนี้
“หลินไฮ่หวังเรอะ โอ้ย ไม่ใช่อย่างแน่นอน นั่นมันเรื่องเมื่อ 23 ปีก่อนเลยนะนั่น ไอ้นั่นมันพึ่งจะเข้ามามีอำนาจเมื่อไม่นานมานี้ อีกอย่าง ถ้ามันจะไปฆ่าคนอย่างเฉินเทียนเว่ยล่ะก็ หึหึหึ ข้าว่ามันเองน่ะแหละที่จะโดนเด็ดหัวซะเอง”
“แล้วมันเป็นใครกัน”
“แล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้าล่ะ” ราชาสวรรค์ทำท่าหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วพูดต่อ “เฉินเฉียง อย่าได้หลงลืมว่าตอนนี้พวกเราอยู่คนละฝั่งกัน ไอ้สิ่งที่พวกเราทำกันอยู่นี้ก็เป็นเพียงแค่ความร่วมมือชั่วคราวกันเพียงเท่านั้น”
“หรือก็คือ หากเจ้ายอมรับฟังคำขอของข้า ข้าสัญญาว่าราชาผู้นี้จะบอกทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้เจ้าได้รู้”
เพียงเมื่อได้ยินว่าราชาสวรรค์มีข้อมูลเกี่ยวกับการตายของพ่อของเขาแล้ว เฉินเฉียงก็รู้สึกได้ในทันทีว่าราชาสวรรค์นั้นมีแต้มต่อเขาในทันที
เว่ยหยวนตี้กับพ่อของเขาไม่เพียงจะถือได้ว่าเป็นเพื่อนเก่ากัน ทั้งสองยังถือได้ว่ามีสายสัมพันธ์อันดี และในช่วงสองปีมานี้ เว่ยหยวนตี้ก็ถือเขาราวกับเป็นหลานชายที่ใกล้ชิด มีหรือที่เขาจะหักหลังได้ลง
ยังไม่ต้องพูดถึงเว่ยฉิงเชิน หากเธอรู้ว่าเขานั้นทรยศหักหลังพ่อของเธอ แล้วเธอจะให้อภัยเขาได้ยังไง
เฉินเฉียงรู้สึกความขัดแย้งภายในจิตใจของเขานี้อย่างมากจนเริ่มรำคาญจึงได้พูดออกมา “ท่านราชาสวรรค์ นี่ท่านคิดจะให้ข้าร่วมมือกับมนุษย์กลายพันธุ์เพื่อลิดรอนกำลังของเผ่าพันธุ์ตัวเองเนี่ยนะ ถามยังเป็นคนที่ข้านับถือว่าเป็นลุงอีก”
“หึหึหึ ย่อมไม่ใช่อย่างนั้น”
“เฉินเฉียง เจ้าลืมไปรึเปล่าว่าก่อนหน้านี้ข้าก็ให้เจ้าลิดรอนกำลังของมนุษย์กลายพันธุ์อย่างหลินไฮ่หวังไปน่ะ”
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
“หรือว่าเจ้าเองก็สังหารเผ่าพันธุ์เดียวกันไปบ้างแล้วไม่ใช่รึไง”
“ใช่ ถึงแม้ข้าจะได้ฆ่าเผ่าพันธุ์เดียวกันไปบ้างแล้ว แต่คนเหล่านั้นสมควรแล้วที่จะตกตาย”
“แม้แต่ในตอนที่อยู่เขตแดนจักรพรรดิ หากข้าไม่ฆ่าคนเหล่านั้น จะเป็นข้าเองที่ตกตาย”
“ส่วนไอ้พวกที่อยู่ในเขตแดนหมอกโลหิตนั่นยิ่งแล้วใหญ่ พวกมันคือขยะของเผ่าพันธุ์”
“ถูกต้อง และข้าสามารถบอกเจ้าเช่นเดียวกันว่าเว่ยหยวนตี้นั้นมันสมควรตาย”
“ความขุ่นเคืองในใจของข้าที่มีต่อมันนั้น ไม่ได้ต่างจากที่ข้ามีต่อหลินไฮ่หวังเลยแม้แต่น้อย”
“ที่ข้าเกลียดเว่ยหยวนตี้นั้นเป็นเพราะว่ามันนั้นอาศัยอยู่ในตำแหน่งที่สูง หลบอยู่หลังตึกจอมพลเขตกันหนันทั้งวันทั้งคืน ถึงแม้ว่าข้าอยากจะฆ่ามันกับมือตนเอง แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยอะไรหลายๆอย่าง”
“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้อขอให้เจ้าล่อมันออกมา”
“ไม่เป็นไร เจ้านั้นไม่ต้องรีบให้คำตอบข้าในตอนนี้ เจ้าสามารถกลับมาหาข้าได้เสมอเมื่อคิดตกแล้ว”
“แต่เฉินเฉียงเอ้ย เจ้าควรจะคิดให้ดีๆล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นคืออะไรที่สำคัญกับเจ้ากว่ากันระหว่างคนที่ฆ่าพ่อของเจ้า หรือปกป้องไอ้ตัวขี้ขลาดแบบนั้น”
หลังจากมองเฉินเฉียงจากไปแล้ว หยานเสวี่ยได้ถามออกมา “ท่านราชาสวรรค์ ท่านคิดว่าเฉินเฉียงจะยอมร่วมมือหรือไม่คะ”
“หึหึหึ เฉินเฉียงจะร่วมมือหรือไม่นั้นมันไม่สำคัญหรอก ต่อให้เฉินเฉียงไม่ให้ความร่วมมือ ข้าเองก็มีแผนอื่นเตรียมไว้อยู่แล้ว”
“เพียงแต่ในครั้งนี้ ข้าได้ฝังเมล็ดพันธุ์หนึ่งไว้ในใจของเขา”
“นับจากนี้เป็นต้นไป ข้าคิดว่าเขาคงจะสงสัยมากขึ้นว่าตกลงศัตรูที่แท้จริงของพ่อของเขานั้นเป็นใคร”
“และในวันหนึ่ง เข้าจะต้องกลับมาหาข้า”
“อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถึงวันนั้น ภารกิจของเจ้าก็คือการติดตามเฉินเฉียง นอกจากนั้นเจ้าต้องทำความเข้าใจในทุกการกระทำของเขา และปกป้องเขาจากเงามืด”
“เจ้าเด็กนี่มีความลับอยู่กับตัวมากเกินไปจนทำให้หลายๆคนเริ่มสนใจในตัวของเขามากเกินไปแล้ว”
“ค่ะ ท่านราชา”
….
กว่าสามเดือนแล้วนับจากออกมาจากเขตแดนจักรพรรดิ ในวันนั้น หลังจากที่เหล่าราชาของสามเผ่าพันธุ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปพร้อมกัน
ด้วยเรื่องในครั้งนั้นทำให้ทั้งสามเผ่าพันธุ์ที่เกือบจะหลงลืมจนคิดว่ามันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าได้กลับมานึกถึงกองกำลังหนึ่งขึ้นมาอีกครั้ง ฮุยตู๋
เฉินเฉียงที่ทุกคนต่างก็รับรู้ในฐานะของหลิวหลางผู้ซึ่งเป็นคนใต้อาณัติของราชาสวรรค์ เป็นผู้ซึ่งสามารถเข้าถึงความลับของเขตแดนจักรพรรดิ ทั้งสามเผ่าพันธุ์ต่างก็ต้องการตัวหลิวหลางให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
แต่เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่ว่าผู้ลึกลับผู้นั้นคือคนจากฮุยตู๋แล้วทำให้ผู้นำของสามเผ่าพันธุ์ต่างก็คิดเลิกล้มไปในทันใด
นั่นก็เพราะความแข็งแกร่งของฮุยตู๋นั้นยากจะคาดถึง
เรื่องเล่าได้กล่าวไว้ว่าคนของฮุยตู๋นั้นไม่มีใครอยู่ต่ำกว่าระดับราชาขุนพลเลยสักคนเดียว
โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในระดับราชาจอมพล
ถึงแม้จะไม่มีสิ่งยืนยันว่าพวกเขานั้นมีผู้ที่อยู่ในระดับราชาจักรพรรดิหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะรู้
และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แม้แต่ราชาของทั้งสามเผ่าพันธุ์ต้องเผชิญหน้ากับคนจากฮุยตู๋ต้องแสดงความเคารพยำเกรง
ยังดีที่ในช่วงร้อยกว่าปีที่ผ่านมานั้น พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าฮุยตู๋มีความเคลื่อนไหวในการต่อสู้ระหว่างสามเผ่าพันธุ์ หรือแทรกแซงช่วยเหลือเผ่าพันธุ์ใดเป็นพิเศษ
นี่จึงทำให้เมื่อเอ่ยคำว่าฮุยตู๋แล้วนั้น ทั้งสามเผ่าพันธุ์จะถือว่านี่คือตัวแทนของคำว่าอำนาจที่ห้ามต้านทาน
แต่ด้วยเรื่องที่ฮั่นจุย หลี่กวง เซี่ยงปิน และราชาอีกเก้าคนทำการฝืนกฎการเข้าใช้เขตแดนจักรพรรดิ ทำให้ต้องประสบพบเจอกับผู้ที่คาดว่ามาจากฮุยตู๋ นี่จึงทำให้ชื่อนี้ถูกพูดถึงขึ้นมาอีกครั้ง ตลอดจนถึงความน่าสะพรึงที่เคยได้รับมาก่อนหน้านี้
และนี่จึงทำให้ แม้แต่ผ่านไปสามเดือนแล้ว ทั้งสามกองกำลังก็ยังไม่คิดที่จะนำเรื่องของหลิวหลางกลับมาเป็นประเด็นอีก
ส่วนตัวหลิวหลางที่ติดอยู่ในเขตแดนจักรพรรดินั้น ทุกคนต่างก็คิดว่ากว่าเขาจะออกมาได้ก็คงอีกห้าสิบปีให้หลังเสียกระมัง
ที่ในท้องฟ้าเหนือทะเลแดนใต้ เฉินเฉียงเมื่อเปิดกำไลสื่อสารขึ้นมานั้นก็ได้รับข้อมูลมากมายจนเครื่องเกือบจะค้าง
ข้อความสุดท้ายที่เขาได้รับ มาจากเว่ยฉิงเชิน
“พี่ใหญ่เฉินเฉียง ในตอนนี้ข้าติดตามผู้อาวุโสสูงทั้งสามไปยังสภาสูงภาคกลาง และข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะได้กลับไปอีกเมื่อไหร่”
เฉินเฉียงทอดถอนลมหายใจเมื่อได้เห็นข้อความนี้
ถึงแม้เขาจะไม่ชอบหน้าฮั่นจุย ตอนที่เขานั้นได้รับรู้ว่าราชาสวรรค์เกลียดชังเว่ยหยวนตี้ขนาดไหนแล้ว เขายังนึกอยู่เลยว่าราชาสวรรค์อาจจะคิดใช้เว่ยฉิงเชินในการทำลายเว่ยหยวนตี้
แต่เมื่อเห็นข้อความนี้มันก็เป็นข่าวดีสำหรับเขา เมื่อในตอนนี้เว่ยฉิงเชินเข้าไปอยู่ที่สภาสูงภาคกลางแล้ว เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องของราชาสวรรค์อีก ยังไงซะเขาก็คงจะเอื้อมมือไปถึงสภาสูงภาคกลางไม่ได้
ส่วนเว่ยหยวนตี้นั้น…..
เมื่อเฉินเฉียงคิดถึงเรื่องนี้ทำให้เขานั้นควรจะเตือนผู้การร่วมคนนี้ไว้สักหน่อย
นั่นก็เพราะเว่ยหยวนตี้ไม่เพียงจะเป็นพี่น้องที่ดีกับพ่อของตน เว่ยหยวนตี้ยังถือว่าดูแลเขาได้ดี นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเป็นพ่อของเว่ยฉิงเชินอีก
ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาเองก็คงไม่อาจจะนั่งดูเว่ยหยวนตี้ตกอยู่ในอันตรายได้เฉยๆ
นอกจากข้อความของเว่ยฉิงเชินแล้ว ข้อความที่เหลือล้วนมาจากคนในกองกำลังเทียนเว่ย
แต่ข้อความพวกนี้ถูกส่งมาอย่างเร็วที่สุดก็เมื่อสองเดือนก่อน พวกเขาต่างก็ส่งข้อความมาอวดถึงของรางวัลที่พวกเขาได้รับยามที่กลับไป
ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมานี้ จางหยวนและคนอื่นๆไม่ได้ส่งข้อความมา เป็นไปได้ว่าทุกคนคงกำลังฝึกฝนอยู่ที่ตึกจอมพลเหมันต์จันทรานั่นกระมัง
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงจึงไม่ได้ตอบข้อความของจางหยวนและพวก พร้อมทั้งเลือกที่จะไปเยี่ยมเยือนเว่ยหยวนตี้เพื่อเตือนถึงภัยอันตรายซะก่อน
หลังจากบินไปอีกสัปดาห์กว่า ในที่สุด เฉินเฉียงก็ได้ไปถึงตึกจอมพลเมืองกันหนัน
ที่ด้านนอกของตึกผู้บัญชาการร่วมของกันหนัน ผู้คนต่างก็ขอเข้าพบเพื่อเยี่ยมเยือนผู้การร่วมแห่งกันหนันอย่างไม่ขาดสาย
หลังจากมองอยู่นาน เฉินเฉียงก็ได้เข้าใจ
ที่เป็นแบบนี้เพราะว่าช่วงที่ผ่านมานั้นเว่ยหยวนตี้มีผลงานที่ดีจากพวกเขาที่กลับมาจากเขตแดนจักรพรรดิ
ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ลูกสาวสุดที่รักถูกพาตัวเข้าสภาสูงจากภาคกลางด้วยคำชวนด้วยตัวเองของฮั่นจุย เกียรติยศนี้เหนือล้ำกว่าที่คนธรรมดาจะอดที่จะสรรเสริญให้ไม่ได้
ในฐานะที่เธอเป็นลูกสาวของเขา เมื่อระดับการบ่มเพาะของเว่ยฉิงเชินสุกงอมเมื่อไหร่ พ่อของนางอย่างเว่ยหยวนตี้ก็พลอยมีอนาคตที่ไม่สิ้นสุดด้วยเช่นกัน
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องของในอนาคต แต่ในตอนนี้การที่เว่ยฉิงเชินได้เข้าไปเป็นคนของสภาสูง เพียงเท่านี้ก็ทำให้หลายคนคิดจับมือกับเว่ยหยวนตี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เฉินเฉียงเดินผ่านผู้คนเหล่านี้ตรงไปยังผู้ดูแลที่หน้าประตูแล้วพูดออกมา “โปรดบอกท่านผู้การว่าเฉินเฉียงขอเข้าพบ”
เมื่อกลุ่มคนที่ยืนรออยู่ด้านนอกนั้นได้เห็นเฉินเฉียงที่เป็นชายหนุ่มและเข้ามายังสถานที่แห่งนี้ด้วยมือเปล่า ต่างก็ดูถูกดูแคลนในทันที
“ใครกันล่ะนั่น ถึงจะมาโดยไม่มีของขวัญมันก็ไม่ผิดอะไร แต่นี่กล้าเอ่ยชื่อตัวเองออกมาตรงๆแบบนี้มันจะไม่กล้าไปหน่อยรึไงกัน”
“เห่ยๆ ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นนะ เจ้าไม่เห็นเหรอว่าเขามีแหวนเก็บของน่ะ ของขวัญก็อาจจะอยู่ในแหวนของเขาก็ได้”
“ทุกคนต่างก็มีแหวนกันทั้งนั้นล่ะว้า แต่ไอ้การเอ่ยชื่อตัวเองเพื่อขอเข้าพบแบบนี้ ข้าว่าไอ้หนูนี่มันก็แค่จะทำเป็นกร่างล่ะวะ ช่างน่าสนใจจริงๆ”
ผู้ดูแลประตูที่กำลังคอยต้อนรับผู้คนมาอยู่ครึ่งค่อนวันแล้ว เมื่อได้ยินเฉินเฉียงแนะนำตัวแล้วไม่มีของขวัญในมือ เขาก็ไม่แม้แต่คิดจะเงยหน้ามองแล้วพูดออกมา “ไปต่อแถวแล้วเมื่อถึงคิวค่อยลงชื่อไว้”
หลังจากพูดจบ เขาได้รินชาในกาแล้วเริ่มดื่มกิน
เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว เฉินเฉียงที่ไม่อยากจะรอก็ได้นำป้ายคำสั่งที่เว่ยหยวนตี้เคยมอบให้ไว้ออกมาแล้วนำมายื่นให้ผู้ดูแล “นี่คือป้ายคำสั่งที่ท่านลุงเว่ยเคยมอบให้ข้าเอาไว้ เขาบอกว่าเมื่อมอบป้ายคำสั่งนี้ให้ ข้าสามารถไปที่ไหนในเขตกันหนันแห่งนี้ก็ได้ ไม่รู้ว่าป้ายนี้จะใช้กับที่นี่ได้รึเปล่า”
เมื่อผู้ดูแลได้เห็นป้ายคำสั่งที่เฉินเฉียงยื่นให้พร้อมกับคำพูดที่ได้ยิน เขาได้หยิบมันขึ้นมาดู หลังจากนั้นเขาได้ยืนตัวตรงพร้อมอกที่ผายพึ่งแล้วรีบพูดออกมา “โปรดรอสักครู่นะพ่อหนุ่ม”
เมื่อพูดจบ ผู้ดูแลก็ได้นำตราคำสั่งนี้รีบวิ่งเข้าไปข้างใน
ไม่นาน ผู้ดูแลก็ได้กลับมาหาเฉินเฉียง พร้อมพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “น้องชายตัวน้อย เชิญตามข้ามา”
ผู้ดูแลได้พาเฉินเฉียงเดินผ่านสวน แต่ไม่ได้พอตรงไปยังห้องโถงแต่อย่างใด แต่พาเขาไปยังตึกด้านหลังแทน
“น้องชายโปรดรอที่นี่สักครู่ ท่านผู้การกำลังรับรองแขกสำคัญอยู่ อีกครู่หนึ่งเขาจะมาที่นี่”
หลังจากพูดจบ ผู้ดูแลก็ได้เรียกให้ผู้รับใช้มาเสิร์ฟชาแล้วจากไป
เฉินเฉียงดื่มชาอยู่คนเดียวอยู่ชั่วโมงกว่า ในที่สุดเว่ยหยวนตี้ก็เข้ามาพร้อมความกระปรี้กระเปร่า
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลานชายเฉินเฉียง ขอโทษจริงๆที่ทำให้เจ้าต้องรอนานไปเลย”
เฉินเฉียงก็ได้ยืนขึ้นมา แล้วป้องมือโค้งอย่างเคารพ “ลุงเว่ย เป็นหลานชายคนนี้ต่างหากที่มาโดยไม่บอกกล่าว ต้องทำให้ลุงเว่ยลำบากแล้ว”
“ไอ้เด็กนี่พูดอะไรไร้สาระจริงๆ” เว่ยหยวนตี้ยกมือขึ้นห้ามปรามพร้อมแกล้งทำท่าโกรธเคืองออกมาแล้วพูดต่อ “นี่คือบ้านของเจ้า แล้วเจ้าต้องทำตัวมีมารยาทกับลุงผู้นี้ทำไมกัน”
หลังจากเว่ยหยวนตี้ได้นั่งลง เขาก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมา “ไอ๊ยะ สองเดือนมานี้ลงคนนี้ยุ่งมากจริงๆ”
“ทุกๆวันต่างก็มีแขกเหรื่อที่ไม่คุ้นเคยมาเยี่ยมเยือนข้า”
“แต่ข้าเองจะขับไล่ก็ไม่ได้ ทำได้เพียงต้อนรับขับสู้เพียงเท่านั้น”
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าต้องคุยติดพันอยู่นั้นก็เป็นแขกของท่านผู้การสูงที่อยากจะมาเยี่ยมเยือนพร้อมขนของขวัญมาให้ ข้าเลยต้องลงไปรับรองด้วยตัวเอง”
“พูดถึงเรื่องนี้แล้วในตอนนี้ประตูตึกผู้การร่วมของข้านั้นก็ไม่เคยแห้งเหือดจากผู้คนมานานเลยทีเดียว กับเรื่องนี้ต้องขอบคุณกองกำลังเทียนเว่ยของเจ้าจริงๆที่สร้างแต่สิ่งดีๆยามที่เข้าไปที่นั่น”
“ยังไม่รวมที่ว่าเจ้าหนูน้อยฉิงเชินของข้านั่นอีก เอ้อ หลานชาย ฉิงเชินในตอนนี้เข้าไปอยู่กับสภาสูงภาคกลางแล้วนะ เจ้ารู้เรื่องนี้รึยัง”
เฉินเฉียงพยักหน้ารับ และใช้โอกาสที่จะพูดนี้ออกมาในทันที “ลุงเว่ย น้องฉิงเชินไปอยู่ที่นั่นแล้วเป็นยังไงบ้างกัน”
เว่ยหยวนตี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างภาคภูมิ “ดีมากๆเลย เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้พูดคุยกับนาง ข้าได้ยินยินมาจากนางว่าทุกคนที่นั่นล้วนให้ความสำคัญกับนาง และให้ทุกสิ่งที่นางต้องการในการบ่มเพาะให้มากที่สุดเท่าที่จะหาได้”
“เฮ้อ น่าเสียดายที่หลานชายไม่ได้มีส่วนร่วมในการเข้าเขตแดนนั่น”
“แต่ข้าก็ได้ยินมาจากจางหยวนและคนอื่นๆว่าเจ้านั้นถูกเรียกตัวกลับไปโดยอาจารย์ของเจ้านี่”
“แล้วการบ่มเพาะของเจ้าในช่วงสามปีที่กลับไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ”
เฉินเฉียงรู้ในทันทีว่าที่นั่นที่เว่ยหยวนตี้หมายถึงก็คือฮุยตู๋ เขาจึงยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่ยอมรับแต่ปฏิเสธแต่อย่างใด “หลานชายคนนี้พึ่งจะเปิดจุดลมปราณได้เพียงยี่สิบแปดจุดเพียงเท่านั้น”
หลังจากเห็นว่าหัวข้อพูดคุยเริ่มที่จะเลยเถิด เขาจึงคิดดึงหัวข้อการสนทนาเป็นเรื่องอื่น
“ลุงเว่ย ข้าที่มาที่นี่ในครั้งนี้นั้นเป็นเพราะได้ยินบางอย่างมาจากท่านอาจารย์ ข้าได้ยินมาว่าพวกมนุษย์กลายพันธุ์นั้นเริ่มเห็นท่านเป็นขวากหนามในอนาคต ข้าจึงเป็นกังวลเกี่ยวกับท่านจึงรีบเร่งมาเตือน”
เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้ยินก็อดประหลาดใจและหัวเราะดังลั่นเสียไม่ได้
“หลานชาย เจ้าต้องได้ยินมาผิดแน่ๆ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ลุงคนนี้ก็เป็นเพียงราชาขุนพลขั้นกลางเพียงเท่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าข้าไม่เคยออกหน้าไปสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์เลยสักครั้ง แล้วข้าจะตกอยู่ในอันตรายได้ยังไงกัน”
“ลุงเว่ย สิ่งที่ข้าพูดมานั้นเป็นความจริง และเท่าที่รู้มานั้น ราชาเหนือมนุษย์ที่คิดร้ายต่อท่านนั้นมีระดับการบ่มเพาะไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าท่านแต่อย่างใด”
“แถมข้ายังได้ยินมาว่าเหตุผลที่ราชาเหนือมนุษย์ผู้นี้นั้นต้องการฆ่าท่านเป็นเพราะความแค้นส่วนตัวที่มีมานานหลายปี ข้าล่ะสงสัยจริงๆว่าท่านลุงเว่ยพอจะคุ้นเคยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า”
“แค้นส่วนตัว”
เว่ยหยวนตี้ได้ละคำพูดก่อนหน้านี้ของตนทิ้งไปในทันทีเมื่อได้ยิน เขายืนขึ้นก่อนที่จะเดินคิดไปทั่วทั้งห้อง ในที่สุด ในขณะที่ยังมีใบหน้าที่เคร่งเครียด เขาก็ได้พูดออกมา “หลานชาย ขอบคุณมาที่มาเตือนข้าเรื่องนี้เป็นพิเศษ”
“ถึงแม้ว่าลุงจะยังไม่รู้ว่าราชาเหนือมนุษย์คนนั้นเป็นใครก็ตาม แต่ขอให้เจ้าหายห่วงได้ ในฐานะผู้การร่วม ยังไงซะข้าก็ต้องประจำการอยู่ที่นี่ตลอดเวลาอยู่แล้ว”
เฉินเฉียงได้ยืนขึ้นมาและพูดออกไป “หากเป็นเช่นนั้นข้าเองก็เบาใจ ยังไงก็ฝากลุงเว่ยทักทายฉิงเชิงแทนข้าด้วยแล้วกันเมื่อท่านได้พูดคุยกันอีก”
“ฮ่าฮ่าฮ่า หลานชายไม่ต้องกังวลเรื่องฉิงเชินหรอก ในสภาสูงภาคกลางนั้นไม่เพียงจะมีคนรุ่นอาวุโสอย่างผู้อาวุโสฮั่นจุยคอยดูแล้ว ข้าได้ยินมาว่าลูกชายคนโตของผู้อาวุโสเองก็อยู่ที่นั่น”
“นายน้อยฮั่นเซียงเองต่างก็เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมทั้งสองยังฝึกฝนอยู่ในฐานะกึ่งราชาพร้อมไปด้วยกันทั้งคู่ที่นั่นอีก”