ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง – ตอนที่ 509

ตอนที่ 509

ตอนที่ 509 พ่อแท้ๆ ที่ลูกไม่ยอมเจอหน้า

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋โถมเข้าหาเฉินยางจากทางด้านหลัง ในห้องไม่มีคนอยู่ เช่นนั้นแล้วมือจะทำอะไรก็ได้ เอวนางก็ช่างบอบบางเหมือนต้นหลิว แทบจะโค่นหักลงได้ พินิจดูอย่างไรก็ยังดูผอม แต่รูปร่างออกจะอวบอิ่มกว่าแต่ก่อนอยู่เล็กน้อย บวกกับเพิ่งคลอดลูกออกมา ถ้าเทียบแล้วดูอ่อนเยาว์กว่าแต่ก่อน ร่างกายมีกลิ่นอายของความเป็นผู้หญิงมากยิ่งขึ้น

 

 

เสี่ยวจินอวี๋ตาโตมองพ่อของเขาโผล่ออกมาจากทางด้านหลังของแม่ ในแววตาก็ค่อยๆ ปรากฏหยาดน้ำ ปากน้อยๆ ทำบุ้ยใส่ ตาเริ่มแดงขึ้น แล้วสุดท้ายก็ร้องไห้เสียงดังออกมา

 

 

เฉินยางอุ้มพร้อมปลอบลูกชาย ทั้งหอมทั้งโยก วิธีนี้ใช้ตอนแรกยังได้ผลอยู่ แต่ตอนนนี้กลับไม่ได้ผลเลย ไม่เพียงแต่ไม่ได้ผล ยิ่งทำให้ยิ่งร้องไห้ดังขึ้นไปใหญ่ เฝิงเยี่ยไป๋หน้าดำคร่ำเครียด ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “ร้องๆๆ ข้าไม่ได้อุ้มเจ้าสักหน่อย จะร้องไห้ทำไมกัน ข้าจะกอดเมียข้าสักนิดไม่ได้หรืออย่างไรกัน เจ้าเด็กดื้อ ร้องไห้อีกนั่น ถ้าร้องไห้อีก ข้าจะให้เขามาเอาเจ้าไป”

 

 

“เจ้าดุทำไม” เฉินยางหันมาถลึงตาใส่เฝิงเยี่ยไป๋ “ลูกจะไปรู้อะไร ทำไมเจ้าจะต้องทำให้ลูกตกใจด้วย…โอ๋ ไม่ร้องนะ … เสี่ยวจินอวี๋ไม่ร้องแล้ว เด็กดี อย่าถือสาพ่อของลูกเลย เขาแค่อยากจะล้อเจ้าเล่นเฉยๆ เราไม่ไปสนใจเขานะ”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋รู้สึกน้อยใจ เขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ทำไมร้องไห้ล่ะ พรุ่งนี้จะต้องไปหานักพรตขู่เจ่าให้ดูดวงให้หน่อยแล้ว ให้ดูว่าลูกคนนี้ดวงไม่ถูกกันกับเขาใช่หรือไม่ เป็นลูกผู้ชายเหมือนกันแท้ๆ จะให้เป็นเหมือนคู่อริกันแบบนี้ไม่ได้ ตอนนี้เพิ่งเริ่มต้น วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ไม่ใช่ว่ามีลูกแล้วเขาจะไม่สามารถแตะตัวเมียเขาได้อีกแบบนี้

 

 

ซั่งเหมยซั่งเซียงเหมือนได้ยินเสียงไม่ชอบมาพากลเลยรีบวิ่งเข้ามาดู เฉินยางไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วจริงๆ ทำได้เพียงแค่นำเสี่ยวจินอวี๋ให้พวกนางทั้งสอง ซั่งเหมยอุ้มเด็กขึ้นมาดู อดไม่ได้ยิ้มออกมา “มิน่าเล่า อ๋องซื่อจื่อของพวกเราถึงได้ร้องไห้หนักอย่างนี้ สงสัยคงปัสสาวะเป็นแน่ นายหญิงรอสักครู่ ข้าจะไปเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ท่านอ๋องซื่อจื่อ ประเดี๋ยวจะอุ้มมาให้ท่านอย่างสะอาดเลย ไม่นานก็เสร็จ”

 

 

เฉินยางพยักหน้า เฝิงเยี่ยไป๋ถอนหายใจ “ข้าบอกแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากเจอข้าตอนนี้เสียหน่อย”

 

 

เฉินยางมองเฝิงเยี่ยไป๋ด้วยคยวามไม่พอใจ “ถ้าเจ้ายิ้มให้เขามากขึ้นหน่อย ไม่ทำหน้านิ่งทื่อใส่ลูกแบบนี้ เสี่ยวจินอวี๋ก็คงไม่พอเห็นหน้าเจ้าแล้วร้องไห้”

 

 

“ข้ากับเขา…แปดส่วนเป็นศัตรูกันตั้งแต่กำเนิด นี่เพิ่งเกิดมาได้ไม่กี่วัน พอเห็นข้าก็เอาแต่ร้องไห้ พอเห็นเจ้าก็เอาแต่ยิ้ม ข้าคิดว่าเพื่อเป็นการลดการร้องไห้ วันข้างหน้าคงต้องเอาให้แม่นมดูแล ร้องไห้จนทำให้คนรู้สึกรำคาญ”

 

 

“เจ้ากล้าหรือ” นางจับเอวแล้วลุกขึ้น “ลูกชายข้า ข้าจะเลี้ยงของข้าเอง”

 

 

“เพ้ย ลูกชายไม่ยอมเจอหน้าข้าก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เจ้าก็ยังจะทำให้ข้ารู้สึกทรมานใจด้วยใช่หรือไม่ เจ้าก็รู้ว่าข้าอดทนเจ้ามานานขนาดไหน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะตอนนี้ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอ วันนี้เจ้าจะต้องไม่สบายใจแน่”

 

 

ข้างในคนทั้งสองกำลังทะเลาะกัน ข้างนอกเฉาเต๋อหลุนได้ยินเสียงไม่ชอบมาพากล จึงรีบหยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตู มือประสานโค้งคำนับแล้วพูดขึ้นว่า” ท่านอ๋อง ไทเฮาเสด็จ รถลากได้มาถึงหน้าประตูแล้ว เชิญท่านออกไปรับเสด็จ”

 

 

เฉินยางผลักเฝิงเยี่ยไป๋ออก หน้าตาผิดหวัง “ไทเฮามาได้อย่างไร” แล้วทันใดนั้นก็รู้สึกตัวได้ รีบดึงผ้าห่มออกแล้วรีบลงไปที่พื้น

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋รีบพยุงนางขึ้นมา “มาก็มาสิ ทำไมเจ้าต้องลงไปด้วย”

 

 

นางรู้สึกว่าสมเหตุสมผล “รีบรับเสด็จสิ ไทเฮามาด้วยตัวเอง ไม่รู้แสดงได้อย่างไรกัน เจ้าอย่าเพิ่งงง รีบไปสิ…”

 

 

“เจ้าไม่ต้องไป ตอนนี้เจ้ายังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ เรื่องระเบียบจะผ่อนปรนหน่อยก็ไม่เป็นไร ไทเฮาคงไม่ว่าอะไรหรอก ข้าไปรับเสด็จก็พอแล้ว เจ้านอนนิ่งๆ ไปก็พอ”

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 510 ผู้ชายอุ้มเด็กเป็นที่ไหนกัน

 

 

ไทเฮาไม่ค่อยออกนอกวัง ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนรู้เรื่องขบวนรถลากมากนัก เพียงนำคนดูแลปรนนิบัติข้างกายติดตัวมาด้วยไม่กี่คน พอถึงบ้านของลูกชายตัวเองก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรให้ใหญ่โต ไม่มีอะไรที่จะทำให้คนรู้สึกรังเกียจ

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋จัดเครื่องแต่งกายแล้วออกไปรับเสด็จที่หน้าประตู คนรับใช้ในจวนนั่งคุกเข่าตั้งแต่แรกแล้ว เฝิงเยี่ยไป๋ประคองไทเฮาลงจากรถลากด้วยตัวเอง แม้ใกล้จะอายุห้าสิบปีแล้ว แต่มือทั้งสองข้างยังเหมือนเด็กสาวอยู่เลย นางค่อยๆ วางมือไปที่ฝ่ามือของเฝิงเยี่ยไป๋ ให้เขาประคองไว้ถึงได้ลงมาอย่างสบายใจ

 

 

“ขอบใจมาก” ไทเฮาเก็บมือ ขมวดคิ้วยิ้มอ่อนโยนให้แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่ส่งคนไปบอกให้ข้ารู้สักหน่อย คนแก่อย่างข้าแม้จะไม่มีประโยชน์อะไร แต่อย่างน้อยข้าก็เคยคลอดเจ้าออกมา ลำบากกว่าเจ้ามาก”

 

 

“ได้ยินว่าช่วงนี้ร่างกายของไทเฮาไม่ค่อยแข็งแรง เลยไม่กล้ารบกวนไทเฮา” ตอนที่เขาไป หันข้าง นำไทเฮาไปข้างใน พอหันหน้าก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากไทเฮา กลิ่นคล้ายกับตอนเด็ก กี่ปีผ่านมาแล้วแต่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย เฝิงเยี่ยไป๋จำได้ตลอดมา

 

 

ไทเฮาหันไปมองหงอวี้ครู่หนึ่ง หงอวี้ส่ายหน้า แม้แต่หน้าตาของเฝิงเยี่ยไป๋เองนางก็ไม่เคยเห็นมาก่อน จะเป็นนางที่พูดได้อย่างไรกัน

 

 

“ไม่เป็นอะไรมาก เมื่อสองสามวันก่อนไม่สบาย แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” นางไม่สนใจว่าคำพูดของเขานั้นออกมาจากใจจริงหรือเป็นเพียงคำพูดที่พูดตามมารยาท สำหรับไทเฮาแล้ว นี่ยังดีกว่าแต่ก่อนที่ตึงเครียดใส่กัน แค่นี้สำหรับความสัมพันธ์ของแม่กับลูกก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว ถ้ารังเกียจกันต่อไปคงทำให้คนเสียใจไม่น้อย

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้คิดถึงเรื่องราววันก่อน ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ยังต้องให้บ่าวที่คอยปรนนิบัติรับใช้คอยดูแล้วอย่างเต็มที่จึงจะถูกต้อง ร่างกายของไทเฮามีค่ามากมาย จะเสียหายแม้แต่นิดเดียวไม่ได้”

 

 

หงอวี้รีบหยุดเดิน ทำความเคารพแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋องกล่าวสั่งสอนได้ถูกต้อง ข้าปรนนิบัติไทเฮา จะละเลยแม้แต่น้อยไม่ได้”

 

 

ในใจของไทเฮาดีใจเป็นอย่างมากแต่ไม่แสดงออกมาให้เห็น คิดในใจว่า คนที่มีลูกชายเป็นของตัวเองแล้วช่างไม่เหมือนเดิม น่าจะเพราะเห็นเมียตัวเองตอนคลอดลูก เข้าใจความทุกข์ทรมานของผู้หญิง พอมีลูกแล้วรู้สึกรักเมียของตัวเอง เช่นนั้นก็คงรู้จักรักแม่ของตัวเองด้วย อย่างไรเสียก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน คลอดลูกไม่ว่าจะคลอดยากหรือคลอดง่าย ล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย

 

 

“คนข้างในยังอยู่ในช่วงอยู่ไฟ อากาศหนาว ข้ากลัวนางได้รับความเย็นแล้วจะป่วยเอาได้ ดังนั้นจึงไม่ได้ให้นางออกมารับเสด็จ ขอไทเฮาโปรดให้อภัยด้วย”

 

 

ไทเฮาเองก็เป็นผู้หญิงเช่นกัน ทราบดีว่าช่วงที่ผู้หญิงอยู่ไฟนั้นมีข้อห้ามมากมาย ไม่สามารถคิดเล็กคิดน้อยกับนางเรื่องนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางเพิ่งคลอดลูกชายให้กับตระกูลเฝิง นับว่าต้องได้รับความดีความชอบ ดูแลรักษาตัวเองให้ดีเป็นเรื่องที่ควรทำ ถึงแม้ว่าไทเฮาจะไม่ค่อยชอบเฉินยาง ก็ไม่ควรว่ากล่าวนางในตอนนี้ ปล่อยๆ นางบ้าง

 

 

“ไม่เป็นไร ข้าเคยเป็นอย่างนี้มาก่อน รู้ดีที่สุดแล้ว” นางเดินตามเฝิงเยี่ยไป๋ไปนั่งกลางห้องโถง ในใจอยากจะเห็นเด็กเสียเหลือเกิน “แม่นมเล่า ให้แม่นมอุ้มเด็กออกมาให้ข้าดูหน่อย”

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ให้เฉาเต๋อหลุนไปอุ้มเด็กมา ไทเฮามองเด็กแล้วก็พูดขึ้นว่า “ตอนที่เจ้าเพิ่งคลอดออกมา พ่อของเจ้าดีใจเป็นอย่างมาก อุ้มไว้ไม่ยอมวางมือ แต่จงใจไม่ยอมให้เขาอุ้ม พอพ่อของเจ้าจะอุ้มก็เอาแต่ร้องไห้ พออุ้มอีกก็ร้องไห้อีก พ่อของเจ้าอยากทำความสนิทกับเจ้า แต่ไม่มีวิธีเข้าใกล้ได้ สุดท้ายขอถามว่าทำไม เจ้าทายดูสิว่าทำไมกัน”

 

 

ตอนนี้เขาเองก็ยังอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เป็นเหมือนกันกับพ่อของเขาตอนนั้น นี่ก็เป็นอะไรที่คิดเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ลูกจะเป็นคู่อริกับพ่อตัวเองแบบนี้ไม่ได้ พอไทเฮาพูดขึ้นมาแบบนี้ เขาก็ตาโต มีใจอยากจะขอร้องให้ไทเฮาช่วยสอนให้ จึงส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นพูดว่า “ทำไมหรือ”

 

 

ไทเฮาโบกมือเป็นสัญญาณให้คนที่ติดตามมาด้วยถอยห่างออกไปแล้วให้เฝิงเยี่ยไป๋ขยับหูเข้ามาใกล้ นางพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ผู้ชายอุ้มเด็กเป็นที่ไหนกันล่ะ พ่อของเจ้าเป็นคนหยาบกร้านขนาดนั้น ตอนที่อุ้มเจ้า มือวางอยู่ที่ตัวเจ้า……เจ้าคิดดูสิ จะไม่ให้ร้องไห้ได้อย่างไรกัน”

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

Status: Ongoing

ตอนที่ 1-200 อ่านนิยาย

(อ่านตอนต่อไปด้านล่าง)


ด้วยเพราะบุญคุณที่บิดาอีกฝ่ายเคยช่วยชีวิตบิดาตนไว้ เป็นเหตุให้คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเฝิงอย่าง เฝิงเยี่ยไป๋ จำต้องแต่งกับ เว่ยเฉินยาง เด็กสาวผู้มีสติปัญญาเทียบเท่าเด็กสามขวบจนกลายเป็นที่ตลกขบขันไปทั่วทั้งเมือง หนำซ้ำบิดาที่ล่วงลับไปแล้วของเขายังสั่งเสียไว้ด้วยว่า เขาจะแต่งภรรยาอีกกี่คนก็ได้ ทว่าตำแหน่งภรรยาหลวงนั้นจะต้องเป็นของเฉินยางเพียงผู้เดียว

ชีวิตของคุณชายเจ้าสำราญรูปงามที่สตรีน้อยใหญ่ทั่วเมืองหมายปองเช่นเขาจึงเปลี่ยนไปขนานใหญ่ นับตั้งแต่สตรีโง่งมผู้นั้นมาอยู่ข้างกาย ประเดี๋ยวนางก็ร่ำๆ จะหาบิดานาง ประเดี๋ยวก็ขอให้เขาเล่านิทานกล่อมนอน อีกทั้งเรื่องที่ ‘สามีภรรยาพึงกระทำกัน’ นางยังมิรู้ประสีประสาสักนิด ทำให้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า สรุปแล้วเขาแต่งภรรยาหรือรับลูกสาวมาเลี้ยงกันแน่!  

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท