ยอดชายากับองค์หนูน้อยแห่งจวนอ๋องอี้ บทที่ 274 ท่านอ๋อง คนที่ช่วยเหลือท่านในตอนนั้น
“ไม่ได้โกหกเจ้า ตอนนี้ข้ารู้สึกไม่สบายอย่างมาก เพราะเสียงดังมากเลย”
กู้โม่หานบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถลุกขึ้นมาได้ จึงทำได้เพียงคว้าจับมือหนานหว่านเยียนไว้ ถลึงตาใส่โม่หวิ่นหมิงที่นั่งอยู่บนรถเข็น พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าให้เขากลับไป”
ปัญญาอ่อน
เป็นครั้งแรกที่หนานหว่านเยียนรู้สึกว่ากู้โม่หานเหมือนเด็กน้อยเอาแต่ใจไม่มีเหตุผลคนหนึ่ง หาของไม่เจอก็จะโวยวายไร้เหตุผล
ปัญญาอ่อนยิ่งกว่าเกี๊ยวน้อยกับซาลาเปาน้อย
นางพยายามดิ้นรน แต่ก็ไม่กล้ารุนแรง พร้อมพูดขึ้นว่า “ปล่อยมือ ไม่อย่างนั้นบาดแผลจะฉีก คนที่ทุกข์ทรมานก็คือเจ้า”
สีหน้ากู้โม่หานเขียวอย่างที่สุดแล้ว หัวใจปั่นป่วนด้วยความโกรธที่ควบคุมไม่ได้
“หนานหว่านเยียน ข้าบอกแล้วว่าไม่อยากเห็นเขา เขาส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนของข้า หากอาการของข้าทรุดหนัก เจ้าก็จะต้องอยู่กับข้ายิ่งนาน”
สายตาโม่หวิ่นหมิงเยือกเย็นลง นิ้วเรียวขาวผ่องจับที่วางมือบนรถเข็นไว้แน่น พร้อมพูดขึ้นอย่างหดหู่ว่า
“หว่านหว่าน ในเมื่อท่านอ๋องไม่อยากเห็นข้า งั้นข้ากลับไปก่อน จะได้ไปอยู่เป็นเพื่อนพวกเด็กๆ เจ้าดูแลตัวเองให้ดีนะ อย่าเหน็ดเหนื่อยจนเกินไป”
“ทานข้าวให้ตรงเวลา อย่างอื่น ต่อไปค่อยคิด”
กู้โม่หานยังไม่ทันตอบโต้ หนานหว่านเยียนก็สะบัดมือของเขาออก แล้วก็เดินไปหาโม่หวิ่นหมิง
“ท่านน้า เจ้าไม่ต้องสนใจคำพูดของเขา แต่เจ้าเพิ่งผ่านการผ่าตัดเสร็จ ไม่ควรเหน็ดเหนื่อย ต้องรักษาเข่าให้ดี อย่าปล่อยให้หนาว ไม่อย่างนั้นต่อให้ขาหายดี ก็อาจทำให้เป็นโรคเก๊าท์ ได้ไม่คุ้มเสีย”
โม่หวิ่นหมิงจับจ้องมองดูหนานหว่านเยียน พร้อมพูดตอบอย่างอารมณ์ดีหน่อยว่า “อืม”
“ข้าไปส่งท่านน้า”
หน้าอกกู้โม่หานเจ็บปวด ปวดกล้ามเนื้อร่วมด้วย กลับไม่มีแรงพูด ทำได้เพียงมองดูหนานหว่านเยียนเข็นรถเข็นโม่หวิ่นหมิงออกไปจากห้องต่อหน้าต่อตา
หนานหว่านเยียนส่งโม่หวิ่นหมิงมาถึงหน้าประตูด้านนอก กลัวเขาโกรธ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะพูดเน้นย้ำว่า “ท่านน้า กู้โม่หานยั่วยุเจ้าหลายครั้ง เป็นความผิดของเขา แต่เรื่องที่เขาฟื้นขึ้นมา ท่านน้าจะต้อง…..”
“ข้าเข้าใจ” โม่หวิ่นหมิงอมยิ้ม ปากแดงฟันขาว เติมเต็มความอบอุ่นในฤดูหนาว พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าจะไม่พูดออกไป”
เรื่องภายในราชวงศ์เขาไม่ยุ่งเกี่ยวมาตลอด และก็ไม่อยากให้หนานหว่านเยียนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง
เพราะเรื่องพวกนี้ลึกซึ้งเกินไป วันนี้การที่กู้โม่หานถูกลอบทำร้ายเป็นเพียงการเตือน คนที่อยู่เบื้องหลังมีแผนชั่วร้ายยิ่งกว่านี้อีก
แต่เมื่อเขาคิดถึงท่าทีกู้โม่หานที่มีต่อหนานหว่านเยียนเปลี่ยนไป กับการที่กู้โม่หานเสียสละชีวิตเพื่อช่วยนาง ก็รู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจ
ขนตาที่หนาเรียวยาวของเขามองดูหนานหว่านเยียน อย่างสั่นไหวเล็กน้อย
“หว่านหว่าน มีเรื่องหนึ่ง ท่านน้าอยากถามความคิดของเจ้า”
“ตอนนี้กู้โม่หานยอมเสียสละชีวิตเพื่อช่วยเจ้า เขายังดีกับเด็กทั้งสองคนมาก กับเจ้า….ดูเหมือนก็เปลี่ยนไป ก่อนหน้านี้เจ้าบอกกับข้าว่าหย่า ยังคิดอย่างนั้นอยู่ไหม?”
“แน่นอนสิ” หนานหว่านเยียนไม่แม้แต่จะคิด พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าแทบอยากที่จะพาลูกทั้งสองคนไปจากที่นี่เสียตอนนี้เลย ไปให้ไกลได้เท่าไหร่ยิ่งดี”
“พระราชวังเป็นเหมือนถ้ำหมาป่าถ้ำเสือ อยู่ต่อไป ข้าไม่รู้จะตายวันไหน นอกจากนี้ สาวน้อยทั้งสองยังเป็น ‘เครื่องมือคน’ ที่ร้อนแรงอีกด้วย หากมีใครรู้เข้า กู้โม่หานเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการแย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท สำหรับพวกเรา มีแต่ผลร้ายไม่มีผลดีเลย”
นางพูดจากใจจริง กับการที่นางยิ่งได้รู้จักกู้จิ่งซานอย่างลึกซึ้ง นางยิ่งพบว่าฮ่องเต้คนนี้ไร้ความปรานีโหดเหี้ยมชั่วร้าย
ไม่อยากที่จะอยู่ที่นี่เลยสักนิด
ได้ยินแบบนี้ ก้อนหินในใจโม่หวิ่นหมิงค่อนผ่อนคลายลง ไม่พูดถึงเรื่องกู้โม่หานอีก มือทั้งคู่ของเขาปลดเสื้อคลุมบนตัวออกมา แล้วยื่นให้กับหนานหว่านเยียน
“ชุดของเจ้าบาง เอาสวมไว้ เด็กทั้งสองคนเป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้า อย่าป่วยไปเสียล่ะ”
หนานหว่านเยียนกำลังจะพูดว่าไม่ต้อง โม่หวิ่นหมิงกลับยืนกราน นางจึงเอามาสวมให้กับตนเอง พร้อมพูดขึ้นว่า “ขอบคุณท่านน้า”
“เจ้ากลับเข้าไปเถอะ ข้าจะไปล่ะ”
หนานหว่านเยียนเปิดประตู มองดูเงาร่างของเขาที่จากไปไกล พร้อมถอนหายใจแรง แล้วหันเดินเข้าห้องไป
ส่วนภายในห้องตอนนี้
เสิ่นอี่ว์ที่ไปจัดการงานมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เข้ามาทางประตูด้านข้างของลาน มองเห็นหนานหว่านเยียนกับโม่หวิ่นหมิงคุยกันอยู่ข้างนอกพอดี เขาขมวดคิ้ว แล้วเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้าไปในห้อง เสิ่นอี่ว์ก็มองเห็นใบหน้าหล่อเหลาของกู้โม่หานดุดัน สายตากลับเป็นประกาย พร้อมพูดขึ้นว่า “หนานหว่านเยียน เจ้า….เสิ่นอี่ว์?”
เสิ่นอี่ว์คิดถึงหนานหว่านเยียนกับโม่หวิ่นหมิง ก็พอจะเดาสถานการณ์ได้แล้ว จึงพูดขึ้นว่า “ท่านอ๋อง”
กู้โม่หานรีบระงับอารมณ์ของตนเองไว้ แสร้งทำเป็นเหมือนว่าไม่มีอะไร พร้อมพูดขึ้นว่า “จัดการได้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ล้วนจัดการเรียบร้อยแล้ว” เสิ่นอี่ว์พูดขึ้นด้วยเสียงเบา มองดูกู้โม่หานแล้วก็อดไม่ได้พูดขึ้นว่า “หากท่านอ๋องไม่อยากให้พระชายาไปส่งท่านน้า ก็พูดออกมาได้นี่ จะได้ไม่ทุกข์ใจ….”
กู้โม่หานโกรธจนขำ พร้อมพูดขึ้นว่า “น่าขำ ข้าไม่สนใจหนานหว่านเยียนหรอก ข้าเพียงแค่รู้สึกว่าโม่หวิ่นหมิงคนนั้นขวางหูขวางตา ปกติหนานหว่านเยียนเฉลียวฉลาดมาก ทำไมเผชิญหน้าโม่หวิ่นหมิงที่สวมหน้ากากคนนั้น กลับเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ยังคุยกันนานขนาดนั้น โง่มากเลย”
เขาไม่ได้พูดว่าท่านอ๋องสนใจพระชายา แต่ท่านอ๋องเองที่สนใจมาก…..
แต่เสิ่นอี่ว์ก็ไม่พูดว่าอะไร คิดว่าท่านอ๋องกับพระชายามีความหวังที่จะสามารถได้อยู่ด้วยกัน จึงพูดขึ้นว่า “ขอรับ”
กู้โม่หานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว ตรงนี้ก็เจ็บ ตรงนั้นก็เจ็บ อารมณ์หงุดหงิดอย่างมากด้วย
“ช่วงที่ข้าสลบหมดสติไป เกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
เสิ่นอี่ว์เล่าสถานการณ์ความจริงในตอนนี้ให้กู้โม่หานฟัง รวมทั้งหนานหว่านเยียนช่วยชีวิตเขา รวมทั้งการบริจาคเลือด และเรื่องที่เฟิ่งกงกงมาหา
ท่าทีกู้โม่หานจากซับซ้อนกลายเปลี่ยนเป็นโกรธโมโห แล้วก็สงบเยือกเย็นอย่างที่สุด
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้าไปว่า เบี้ยเลี้ยงทุกคนในเรือนซีเฟิงเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าทุกคน และเอาของไปเยี่ยมคนในครอบครัวพวกเขาด้วย อากาศหนาวแล้ว อย่าปล่อยให้ทุกคนอดมื้อกินมื้อขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม”
“อีกอย่าง ขอบคุณพวกเขา และก็ขอบคุณเจ้าด้วย”
เขาบาดเจ็บสาหัส กำลังจะตายเมื่อไหร่ไม่รู้ คนในจวนอ๋องต่างพากันบริจาคเลือดเพื่อช่วยชีวิตเขา นี่เป็นบุญคุณที่เหลือล้น แม้แต่หนานหว่านเยียนที่ไม่ชอบหน้าเขา ก็ดีกับเขา
ในทางกลับกัน เสด็จพ่อของเขา เลือดข้นกว่าน้ำแต่คอยจ้องจะทำร้าย สู้คนในจวนพวกนี้ที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาเลยก็ไม่ได้
ช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก
“พวกนี้ล้วนเป็นหน้าที่ของพวกเรา ท่านอ๋องเจอปัญหา พวกเราไม่ลังเลที่จะแลกด้วยหัวและเลือดของตนเอง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพียงแค่เลือด”
เสิ่นอี่ว์พูดเสร็จ แล้วก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ ล้วงหยิบจดหมายที่เขาเตรียมไว้ตั้งแต่แรกออกมาให้กู้โม่หาน
เขาพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ใช่แล้วท่านอ๋อง เรื่องที่ก่อนหน้านี้ท่านมอบหมายให้ข้าไปสืบได้ผลกลับมาแล้ว คนที่ช่วยท่านไว้ในตอนนั้นคือ….”