เมื่อได้ยินเช่นนี้ เด็กผู้หญิงทั้งสองก็รู้สึกเศร้าเสียใจอีกครั้ง พี่น้องทั้งสองก้มหน้าลงพร้อมกัน น้ำตาคลอเบ้า
ลู่ยวนหลีขมวดคิ้วและตอบอย่างอดไม่ได้ “จัดการหวิ่นหมิงเรียบร้อยแล้ว เจ้าวางใจได้”
อาจี้ถึงกับกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น เขาเบือนหน้าหนีและสะอื้นไห้สองครั้ง “จวิ้นจู่ เซียนเซิงได้รับการดูแลจากหวยซื่ออ๋องอย่างดี ท่านไม่ต้องกังวล”
คนของแคว้นต้าเซี่ยได้บรรจุร่างของเซียนเซิงลงในโลงไม้ที่ยากจะเน่าเปื่อย และทำการดูแลอย่างเป็นพิเศษ
หวยซื่ออ๋องเอ่ยว่า เซียนเซิงสามารถยืนหยัดเพื่อแคว้นต้าเซี่ยกับพวกเขา ถึงตอนนั้นเมื่อกลับไปแคว้นต้าเซี่ย ค่อยประกอบพิธีฌาปนกิจอย่างยิ่งใหญ่ให้แก่เซียนเซิง
ได้ฟังอาจี้เอ่ยเช่นนี้ หนานหว่านเยียนเพ่งความสนใจไปที่เขา ในแววตาเผยความตำหนิตนเองและสำนึกเสียใจอยู่ไม่น้อย
นางเม้มริมฝีปากที่ซีดเซียว และกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “อาจี้ ขอโทษด้วย ข้าผิดเองที่ไม่ปกป้องท่านน้าให้ดี”
นางรู้ว่าอาจี้กับท่านน้ามีความผูกพันที่ลึกซึ้งอย่างยิ่งมานานแล้ว ท่านน้าตายจากไป คนที่เจ็บปวดไม่ได้มีเพียงนางคนเดียว
วันนี้ทุกคนในตำหนักแห่งนี้ ต่างเจ็บปวดไม่แพ้นาง
อาจี้ส่ายหน้า เดิมทีคิดจะกล่าวด้วยรอยยิ้มเพื่อปลอบโยนหนานหว่านเยียน แต่กลับไม่คิดว่าทันทีที่พูดออกมา น้ำตาจะไหลพรากอย่างควบคุมไม่ได้
เขาทำได้เพียงเช็ดน้ำตาไป และพูดสะอึกสะอื้น “มิใช่หรอก ไม่ใช่ความผิดของจวิ้นจู่”
“ขออภัยจวิ้นจู่ บ่าว บ่าวไม่อยากร้องไห้ แต่บ่าวกลั้นเอาไว้ไม่ไหว……”
เด็กผู้หญิงสองคนเห็นสถานการณ์ จึงรีบดึงชายเสื้อของอาจี้เบาๆ เพื่อเป็นปลอบโยน ทว่าได้ยินเขาร้องไห้ไม่หยุด ซาลาเปาน้อยก็น้ำตาไหลอย่างควบคุมไม่ได้ สะอื้นไห้เบาๆ
อาจี้ร้องไห้เสียงดังขึ้นมาทันที ส่ายหน้าไปพร้อมกับพูดไปว่า “เซียนเซิงเป็นคนดีเช่นนี้ ไม่มีทางตำหนิท่านหรอก”
“แต่ก่อน เซียนเซิงมักจะบอกต่อหน้าบ่าวว่า เขาอยากปกป้องท่านและคุณหนูทั้งสอง เซียนเซิง เขา เขาทำได้แล้ว เขาไม่ทำให้ท่านบาดเจ็บ บ่าวเชื่อ ถึงแม้เขาจะจากไป ทว่าในใจจะต้องยินดีเป็นแน่……”
ลู่ยวนหลียืนเอามือไพล่หลังอยู่เงียบๆ มองดูแล้วสงบนิ่ง ทว่าภายในดวงตาสีทองอันโหดเหี้ยมที่แสนเย็นชาคู่นั้น กลับมีความเยือกเย็นและความไม่ยินยอมอยู่หลายส่วน
หัวใจของหนานหว่านเยียนปวดร้าว แววตายากที่จะเข้าใจเหลือเกิน นางกล่าวอย่างอ่อนแรง “ข้ารู้ ท่านน้าดีกับข้ามากเสมอ”
“เขาเองก็เคยบอกข้า หวังว่าในภายภาคหน้าเจ้าจะอ่านหนังสือได้มากขึ้น ออกไปเห็นโลกกว้าง เติบโตเป็นผู้ใหญ่ สามารถกลายเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอันแรงกล้าและมีสติปัญญา”
“วันนี้ท่านน้าจากไปแล้ว เจ้าตามพวกข้ากลับไปแคว้นต้าเซี่ยเถิด ข้าจะดีกับเจ้า ไม่ทำให้เจ้าต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมแม้แต่นิดเดียว”
หลังจากสิ้นเสียง อาจี้ก็ทนต่อไปไม่ไหว คุกเข่าลงข้างเตียงหนานหว่านเยียน ฝังตัวอยู่ในเครื่องนอนของนางร้องไห้โฮ “จวิ้นจู่……”
“อาจี้ยินดีติดตามจวิ้นจู่ และจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่เนรคุณต่อความคาดหวังและความหวังของเซียนเซิงที่มีต่ออาจี้เสมอมา”
อันที่จริงก็เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วที่อาศัยอยู่กับจวิ้นจู่และเซียนเซิงในหอย่างหมิง เขาจึงรู้สถานะแท้จริงของทุกคน
และเขายังรู้ในเรื่องที่หนานหว่านเยียนไม่รู้ เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าโม่หวิ่นหมิงเดิมทีควรเป็นสามีที่ชะตาฟ้าลิขิตของนาง
ได้ยินบรรดาองครักษ์ข้างกายเซียนเซิงกล่าวว่า นี่คือประเพณีที่มีมากว่าร้อยปีของแคว้นต้าเซี่ย รัชทายาทแคว้นต้าเซี่ยทุกพระองค์ที่จะสืบทอดการปกครอง สามีผู้สืบทอดสายตรงคือราชครูของแคว้นต้าเซี่ย
เมื่อก่อนเซียนเซิงสูญเสียความทรงจำ และจำทุกอย่างเกี่ยวกับอดีตไม่ได้ ทว่าตอนนี้อย่างน้อยเขาก็จำได้ และยังตายในอ้อมกอดของคนที่ตนเองรัก บางทีความเสียใจของเซียนเซิง อาจลดลงก็เป็นได้
เขาติดตามเซียนเซิงมาหลายปี แต่ก่อนเขามักจะรู้สึกว่าเซียนเซิงเป็นคนที่เคร่งขรึม ทว่าตั้งแต่หลังจากที่จวิ้นจู่กลับมา เซียนเซิงก็มีรอยยิ้มมากขึ้น กลายเป็นคนช่างพูดขึ้นมา
ทุกครั้งที่ได้ยินว่าจวิ้นจู่จะมา เซียนเซิงจะสั่งให้เขาตระเตรียมอาหารที่จวิ้นจู่ชอบรับประทานเอาไว้มากมาย ตอนที่อยู่ในหอย่างหมิง เซียนเซิงมักจะคิดเพื่อจวิ้นจู่ทุกด้าน
ตั้งแต่เรื่องสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันและค่าใช้จ่ายทั้งหมด ไปจนถึงเรื่องอื่นไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เซียนเซิงสามารถจัดเตรียมได้อย่างทั่วถึงเสมอ กางร่มให้จวิ้นจู่ในวันฝนตก และวันที่แดดออก เขาทำร่มกันแดดที่ทำงานด้วยเครื่องจักรเองกับมือ เพื่อจะได้สะดวกในตอนที่จวิ้นจู่เดินทางไปที่อื่น
ไม่เพียงเท่านี้ เขายังดีกับคุณหนูมาก ซื้อน้ำผึ้งดอกกุ้ยที่นางชอบทานมาให้ ตกกลางคืนหากซาลาเปาน้อยนอนไม่หลับ และเมื่อจวิ้นจู่รู้สึกไม่สบาย เซียนเซิงจะกล่อมนางให้นอนกลางดึก เล่าเรื่องของแคว้นต้าเซี่ยให้นางฟัง
ความรักของเซียนเซิงนั้นเป็นไปด้วยความระมัดระวัง เพียงแต่น่าเสียดาย ดูเหมือนว่าจวิ้นจู่จะไม่เคยสัมผัสมันได้เลย หรืออีกนัยหนึ่ง นางแค่เห็นเซียนเซิงเป็นคนในครอบครัว จึงไม่เคยคิดอย่างลึกซึ้งมาก่อน
ทันใดนั้นเอง ราวกับอาจี้จะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเงยหน้าที่ร้องไห้จนดวงตาพร่าเลือนมองหนานหว่านเยียน “จวิ้นจู่ เซียนเซิงเขา ก่อนที่เขาจะจากไป เขาเคยพูดอะไรกับท่านหรือไม่?”
หนานหว่านเยียนงุนงง ประหนึ่งว่าใบหน้าอันอ่อนโยนและซีดเซียวของโม่หวิ่นหมิงจะอยู่ใกล้ตรงหน้า หัวใจของนางปวดร้าว “ท่านน้าบอกว่า ขอให้ข้ามีความสุขยิ่งกว่าผู้ใด”
แววตาของอาจี้สั่นไหวโดยพลัน “แค่นี้เองหรือ?”
หนานหว่านเยียนพยักหน้า ภายในใจของอาจี้กลับทุกข์ระทม เจ็บปวดใจไม่รู้จบ
เดิมทีเขาคิดว่าเซียนเซิงชอบจวิ้นจู่เพียงนี้ เขาน่าจะบอกความในใจของตนเองให้จวิ้นจู่ฟังก่อนตาย
แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลย นึกไม่ถึงว่าเซียนเซิงจะจากไปโดยไม่ได้พูดมันออกมา
ก่อนหน้านี้ไม่กล้าพูด ตอนนี้ยังมีโอกาส และเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะสามารถบอกจวิ้นจู่ได้ เหตุใดเซียนเซิง……ถึงไม่ยอมพูดออกมาเล่า