กำเนิดใหม่ทายาทจอมมาร (Lucifer’s Descendant System) – ตอนที่ 88

ตอนที่ 88

ในขณะที่โนอาห์กําลังหลบการโจมตีของบอสอย่างเป็นธรรมชาติเหมือนกับที่เขาทํามาตลอดแต่ในขณะที่เปลวเพลิงของเขาจุดไฟเผ่ามอนสเตอร์ตัวเล็กๆตัวหนึ่งเสร็จ หน้าต่างของระบบก็ปรากฏขึ้นและลอยอยู่ตรงหน้าของเขา

สิ่งเดียวที่โนอาห์สามารถอ่านได้จากหน้าต่างคือชื่อของลิลิธก่อนที่เขาจะรู้สึกเจ็บที่ข้อมือเป็นอย่างมาก

ความเจ็บปวดนี้มันมากจนเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดที่เขาเคยเจอมาทั้งหมดในชีวิตของเขาราวกับว่าเขาได้สูญเสียแขนของเขาไปแล้ว

เมื่อมองไปที่ข้อมือของเขา โนอาห์เห็นว่าลิลิธซึ่งก่อนหน้านี้เคยนอนพันรอบข้อมือของเขาอยู่ตอนนี้เธอตื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและยังฝังเขี้ยวของเธอไว้ในผิวหนังของเขาอีกด้วย

ความคิดที่ว่าลิลิธกําลังหักหลังเขาและต้องการฆ่าเขาในตอนนี้ไม่มีอยู่ในหัวของโนอาห์เลย เพราะพวกเขาอยู่ด้วยกันมาตลอดสองสัปดาห์และอยู่ด้วยกันเกือบ 24 ชั่วโมง

และหากพูดถึงสัญญาแล้วละก็ในสัญญาก็ยังมีการระบุไว้ว่าพวกเขาไม่สามารถทําร้ายกันเอง ได้นั่นหมายความว่าลิลิทไม่มีทางหักหลังโนอาห์อย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งเดียวที่โนอาห์คิดได้ก็คือเลเวลของลิลิธได้พัฒนาขึ้นแล้วและการกัดเขานั้นคือสิ่งจําเป็นสําหรับบางอย่าง

น่าเสียดายที่เขาเจ็บปวดมากจนไม่สามารถจดจ่อกับการเคลื่อนย้ายไปยังที่อื่นและหลีกหนีจากเส้นทางของบอสได้ สิ่งเดียวที่เขาทําคือพยายามควบคุมเสียงกรีดร้องในขณะที่เขาเห็นบอสวิ่งมาที่เขาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับดวงตาสีแดงกระหายเลือด

เมื่อถึงจุดๆหนึ่ง อยู่ๆทุกอย่างช้าลงและโนอาห์คิดว่าเขากําลังจะตาย แต่เขาเริ่มตระหนักว่าเวลานั้นไม่ได้ไหลตามปกติอีกต่อไป เนื่องจากผู้ถูกเลือกคนอื่นๆยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเท่าเดิม แต่น่าแปลกสําหรับโนอาห์ เมื่อใดก็ตามที่เขามองไปที่บอส เขาก็สังเกตเห็นว่าในแต่ละขั้นตอนของบอสจะช้าลง จนกระทั่งในที่สุดมันก็หยุดอยู่กับที่

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับบอส โนอาห์ต้านทานความเจ็บปวดที่เขารู้สึกและลุกขึ้นจากพื้นพร้อมกับมีดสั้นที่เขาได้รับจากป้อมปราการ

มือเขาไม่ได้สั่นเหมือนกับตอนแรกอีกต่อไป เขาค่อยๆเดินเข้าไปทางบอสอย่างช้าๆ

บอสที่ถูกแช่แข็งอยู่ที่เดิมยังคงขยับตาได้ ทุกย่างก้าวของโนอาห์ที่เขาเดินเข้ามาหามัน มันสามารถเห็นได้นะ

มันเฝ้าดูมนุษย์คนที่อยู่ตรงหน้ามันกําลังเดินเข้ามาหามันอย่างช้าๆ ในขณะที่มันถูกขัดขวางไม่ให้เคลื่อนไหวจากแรงที่ไม่รู้จักบางอย่าง

โนอาห์ไม่สนใจว่าบอสกําลังคิดอะไรอยู่ในตอนนั้น เขายกมีดสั้นขึ้น ใช้กลยุทธ์เดียวกันกับที่เขาเคยจัดการกับมอนสเตอร์ตัวเล็กๆ

โนอาห์แทงมีดสั้นไว้ในดวงตาทั้งสองของบอส บอสยังคงไม่สามารถขยับตัวได้และมันก็ยังไม่สามารถร้องออกมาได้เช่นกัน มันไม่สามารถปลดปล่อยความเจ็บปวดเมื่อมันรู้สึกว่าดวงตาทั้งสองข้างของมันถูกแทง

โนอาห์ใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าบอสไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ โนอาห์จึงเรียกลูกไฟขึ้นมาสองลูกและเผาดวงตาของมันให้บริสุทธิ์จากระยะไกล

ทันใดนั้นเอง บอสก็เริ่มฟื้นการเคลื่อนไหวของมันอย่างช้าๆ ซึ่งทําให้โนอาห์ตื่นตัวและคลานไปด้านข้างและควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจากการกัดของลิลิธที่ยังคงติดอยู่กับข้อมือของเขา

ผู้ถูกเลือกอีกคนหนึ่งไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะในชั่วขณะหนึ่งพวกเขาเห็นโนอาห์กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและล้มลงกับพื้นโดยกุมข้อมือของตัวเองที่ดูเหมือนสิ้นหวัง อีกครู่หนึ่งบอสวิ่งไป หาโนอาห์ทําให้ทุกคนคิดว่าโนอาห์จะตายเพราะไม่สามารถหลบได้จนกระทั่งจู่ๆบอสก็หยุดอยู่ ตรงหน้าโนอาห์และปล่อยให้โนอาห์แทงตาทั้งสองของมันและทันใดนั้นเอง พวกเขาก็สังเกตเห็น ว่าบอสกําลังเคลื่อนไหว อีกครั้งพร้อมทั้งเริ่มกรีดร้องและเริ่มกระโดดไปมาเหมือนวัวผู้โกรธแค้น

แม้ว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการรับมือกับโนอาห์ที่ทําอะไรแปลกๆอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขาก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วและโจมตีบอสที่กําลังคลั่งด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามีโดยใช้ประโยชน์จากข้อเท็จจริงที่มันไม่สามารถหลบหลีกการโจมตีของพวกเขาได้

การฆ่าบอสหลังจากนี้ก็เหมือนกับการเดินในสวนสาธารณะ สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องทําก็คือการโจมตีบอสไปเรื่อยๆจนมันไม่สามารถขยับได้อีกต่อไป

ทันทีที่บอสตาย ซอมบี้มอนสเตอร์ก็ล้มลงกับพื้นเหมือนซากศพอีกครั้ง แต่พวกเขาไม่สนใจและแยกส่วนร่างของมอนสเตอร์เหล่านี้ออกจากกันโดยสิ้นเชิง เพราะพวกเขาต้องการเพื่อแก้แค้นและรับประกันว่าพวกมันจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก

ทันทีที่การต่อสู้สิ้นสุดลง ผู้รักษาของกลุ่มก็วิ่งไปหาโนอาห์และถามว่าทุกอย่างโอเคไหม

โนอาห์มองดูลิลิธครู่หนึ่งก่อนจะหันไปหาผู้รักษาและทําให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ตะโกนใส่เธอ

“ฉัน…คือ….ช่วย..ช่วยเขาด้วย..” โนอาห์พูดขณะที่พยักหน้าส่งไปทางบิ๊กบูล

เมื่อเห็นว่าโนอาห์ไม่เป็นอะไร ผู้รักษาจึงวิ่งไปหาบิ๊กบูลและไปปฐมพยาบาลเขา

ขณะที่โนอาห์กําลังหลับตาอยู่บนพื้นและควบคุมตัวเองไม่ให้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเขารู้สึกว่าลิลิธกําลังพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาทางจิตใจ แต่เสียงของเธอเบามาก

“โนอาห์… …. … … … … … ..”

สิ่งเดียวที่โนอาห์ได้ยินที่เธอพูดคือชื่อของเขา สิ่งที่เธอพูดที่เหลือมันเบามากจนเป็นเสียงกระชิบ เขาต้องใช้สมาธิอย่างมากถึงจะเริ่มเข้าใจว่าเธอกําลังพูดอะไร

“โนอาห์ ได้โปรดเผาฉัน…”

หลังจากพยายามไม่กี่ครั้ง ในที่สุดโนอาห์ก็เข้าใจสิ่งที่ลิลิธพยายามจะพูด แต่เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นถูกต้องหรือไม่ เมื่อเขาลืมตาขึ้นและเห็นว่าลิลิธกําลังมองตาเขาอยู่เขาก็พูดกับเธอในใจ

“เธอแนใจใช่ไหม?”

ลิลิธไม่ตอบด้วยวาจา แต่โนอาห์เห็นท่าทางของเธอสั่นเล็กน้อยเหมือนกับว่าเธอกําลังพยายามยืนยันเรื่องนี้

โนอาห์ยังคงลังเล แต่เขาก็ยังเรียกลูกไฟลูกเล็กๆออกมาและส่งมันไปทางลิลิธอย่างช้าๆ

ลิลิทไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยงเปลวไฟ ตรงกันข้าม ลิลิทกําลังเคลื่อนเข้าหาเปลวเพลิงโดยที่เธอพยายามจะโดนมัน

เมื่อโนอาห์ล้มลงกับพื้น ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็เข้ามาใกล้เพื่อดูว่าเขาเป็นอย่างไร แต่เขาไม่ตอบใครเลย เนื่องจากโนอาห์ยังไม่ตายด้วยบาดแผลขนาดใหญ่ พวกเขาจึงได้แต่เฝ้าดูเขาจากระยะไกลในขณะที่เขาบิดตัวไปมาและแสดงความเจ็บปวด

“นี่ เขามีงูอยู่บนข้อมือมาตลอดเลยใช่ไหม?” แจสเปอร์ถามด้วยความสงสัย

เมื่อได้ยินคําถามของแจสเปอร์ ผู้ถูกเลือกอีกคนก็มองไปที่ข้อมือของโนอาห์ และเห็นงูสีดําตัวเล็กกําลังกัดเขาอยู่ และนั่นก็ทําให้พวกเขาแปลกใจเพราะพวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นงูตัวนี้มาก่อนเลย

อันที่จริงมันก็เหมือนกับว่าพวกเขารู้สึกคุ้นตามงูตัวนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง ราวกับว่ามันอยู่ตรงนี้มาตลอดและพวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นมันเลย

“ฉันไม่รู้ฉันรู้สึกเหมือนเคยเห็นเธออยู่ตรงนี้เสมอ แต่ฉันไม่เคยรู้เลย” มาร์เซลแสดงความเห็นโดยเอามือแตะคางขณะวิเคราะห์สถานการณ์

ผู้ถูกเลือกหญิงวัยกลางคนมองดูแล้วพูดว่า

“ถ้าฉันจําไม่ผิด มีสร้อยข้อมือสีดําอยู่บนข้อมือของเขาเสมอ เป็นไปได้ไหมที่เขาจะพกงูตัวนี้ไปไหนมาไหนตลอดเวลาที่ผ่านมาแทนที่เขาจะสวมสร้อยข้อมือ?”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอกล่าว ผู้ถูกเลือกก็นึกขึ้นได้ว่าครั้งที่แล้วที่พวกเขาบุกโจมตีป้อม ปราการด้วยกันพวกเขาสังเกตเห็นสร้อยข้อมือสีดํารอบข้อมือของโนอาห์ เนื่องจากโนอาห์เป็นคนที่ใช้สิ่งที่ใช้งานได้จริงเสมอเมื่อเขาอยู่ในป้อมปราการ และเขาก็ไม่สนใจรูปลักษณ์ภายนอกดังนั้นสร้อยข้อมือสีดําที่เขาใส่จึงดึงดูดความสนใจของคนในกลุ่มเป็นอย่างมากแต่พวกเขาคิดว่า มันเป็นเพียงมรดกตกทอดของครอบครัวหรืออะไรทํานองนั้นพวกเขาเลยไม่ได้ใส่ใจมากนัก 36RN

เมื่อเห็นงูแปลกๆที่คิดว่าเป็นสร้อยข้อมือที่กัดข้อมือของโนอาห์อยู่นั้น ผู้หญิงคนนั้นก็เข้ามาใกล้โนอาห์โดยคิดว่าจะถอดงูออกจากข้อมือของเขา แต่ยิ่งเธอเข้าใกล้งมากเท่าไหร่ สัญชาตญาณภายในร่างกายของเธอก็ยิ่งบอกให้เธอถอยห่างออกมามากขึ้นเท่านั้น

ผู้หญิงคนนี้ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่เธอต่อสู้กับบอสที่เกือบคร่าชีวิตของเธอไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน แต่สําหรับงูน้อยตัวนี้ เธอรู้สึกได้ถึงอันตรายอย่างน่าประหลาดจนเธอเชื่อว่าเธออาจจะตายได้ในไม่กี่วินาทีถ้าเธอไปแตะต้องมัน

เมื่อเห็นเธอดึงมือออกด้วยความตกใจ ผู้ถูกเลือกอีกคนก็มองเธอด้วยสายตาแปลกๆและถามว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยท่าทางกังวลใจ

แต่ทันใดนั้นเองโนอาห์ก็ลืมตาขึ้น และตรงหน้าของเขาตอนนี้ก็มีหน้าต่างสถานะสีดําที่คุ้นเคยลอยอยู่แต่แทนที่จะเป็นหน้าต่างที่มีสถานะของเขา แต่มันกลับกลายเป็นหน้าต่างสถานะของลิธที่กําลังแสดงให้เขาเห็นอยู่ในขณะนี้

[ขอแสดงความยินดีด้วย! สกิล [อุโมงค์นรก] ของคุณเพิ่มขึ้นเป็นเลเวล 02]

เมื่อเห็นคําเตือน โนอาห์ก็ดีใจเป็นอย่างมาก เพราะการต่อสู้ครั้งนี้กําลังมุ่งหน้าไปสู่ความเป็นไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่สามารถช่วยพวกเขาในการฆ่าบอสตัวนี้โดยไม่มีใครตายก็คือเหตุการณ์ที่พลิกผันครั้งใหญ่และความสามารถในการเพิ่มเลเวลก็เหมือนกับเหตุการณ์ที่โนอาห์ต้องการ

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 03]

[ประสบการณ์: 131/1,600]

[HP: 14/14]

[ความแข็งแรง: 14]

[ความคล่องตัว: 14]

[ความแข็งแกร่ง: 14]

[สกิละ

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 03 : 104/2,500

คําอธิบายสกิล: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชําระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณ จะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

[** หลังจากถึงเลเวล 03 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและควบ คุมเปลวไฟได้เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น นอกจากนี้เปลวไฟยังสามารถชําระล้างมนุษย์ที่สึกกร่อนจาก บาปได้แล้ว ยิ่งบาปของมนุษย์มากเท่าใด ผลประโยชน์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น **]

[หลักแห่งไฟ เลเวล: 02 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและการควบคุมมันก็เป็นธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อยนอกจากนี้ยังทําให้มนุษย์ได้รับการกัดกร่อนจากบาป มนุษย์ที่มีบาปเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถชําระล้างได้)

[อุโมงค์นรก เลเวล: 02 : 0/1,500

ทักษะที่สามารถทําให้เปิดอุโมงค์สู่นรกและออกไปที่อื่นได้ในเสี้ยววินาทียิ่งระยะทางไกลมากเท่าไหร่พลังงานที่จะใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น]

[**หลังจากถึงเลเวล 02 ผู้ใช้จะใช้พลังงานในการเคลื่อนที่แต่ละครั้งน้อยลง นอกจากนี้ความเร็วในการเคลื่อนย้ายแต่ครั้งจะถูกเพิ่มขึ้น และเนื่องจากผู้ใช้ใช้ความสามารถในการเคลื่อนย้ายบ่อยครั้งผู้ใช้จึงได้รับการรับรู้พื้นที่เพิ่มเติมอีกด้วย แม้ว่าผู้ใช้จะหลับตาผู้ใช้ก็สามารถรับรู้พื้นที่โดยรอบได้)

ทันทีที่ทักษะของโนอาห์พัฒนาขึ้น เขาก็สามารถมองเห็นรอบๆตัวของเขาได้ในแบบ 360 องศาและแม้แต่ในระหว่างการเคลื่อนย้ายเทเลพอร์ต เขาก็รู้อยู่เสมอว่าเขาอยู่ที่ไหนและอยู่ตรงไหนของพื้นที่นั้น

ระยะทางที่เขาสามารถเห็นได้ด้วยการรับรู้ใหม่ของเขานั้นไม่เกินสองถึงสามเซนติเมตรรอบๆตัวเขา แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทําให้โนอาห์มีปฏิกิริยาตอบสนองมากพอที่จะหลบหรือโจมตีด้วยเทเลพอร์ตของเขา

เพราะสําหรับโนอาห์แล้วการได้รับมุมมองเพิ่มเติมรอบตัวของเขามันเป็นการบอก เขาว่าเขาควรจะเทเลพอร์ตออกไปหรือว่าเขาควรจะโจมตีต่อ

ด้วยทักษะใหม่ที่เขาเพิ่งได้รับ โนอาห์มั่นใจว่าอย่างน้อยเขาจะไม่ตายจากบอส ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพลังงานสําหรับการเทเลพอร์ตแต่ละครั้งยังลดลงอีกด้วย โนอาห์มั่นใจว่าเขาจะสามารถดึงความสนใจของบอสมาที่ตัวเขาเองได้ ในขณะที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆโจมตีมัน

น่าเสียดายสําหรับโนอาห์ เขาไม่ใช่คนเดียวที่เปิดใช้งานความสามารถใหม่

ทันทีที่ดวงตาของบอสเปลี่ยนเป็นสีแดง ซากศพของมอนสเตอร์รอบๆโนอาห์ก็ลุกขึ้นจากพื้นราวกับว่าพวกมันมีชีวิตอีกครั้ง สิ่งนี้ทําให้โนอาห์กลัวมาก เพราะเขาไม่คาดคิดว่ามอนสเตอร์เหล่านั้นจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

โชคดีที่เขาได้เผาและชําระล้างซากศพของมอนสเตอร์ไปบางส่วนแล้ว มันจึงไม่ได้เยอะมากเท่ากับตอนแรกที่พวกเขาสู้กับพวกมัน และตอนนี้โนอาห์ยังต้องต่อสู้กับมอนสเตอร์พวกนี้ทั้งๆที่เขายังต้องเผชิญกับบอสที่แข็งแกร่งผิดปกติอีกด้วย โนอาห์จึงกังวลอย่างมาก

โชคดีที่เขาไม่ได้อยู่คนเดียวในป้อมปราการ เมื่อโนอาห์ไม่รู้ว่าต้องทํายังไง ผู้ถูกเลือกอีกคนหนึ่งก็รีบไปหามอนสเตอร์ตัวเล็กๆนั่นเพื่อกําจัดพวกมันให้สิ้นซากและไม่ให้พวกมันเขาไปรบกวนโนอาห์

พวกเขารู้ว่ามอนสเตอร์พวกนี้จะเป็นอุปสรรค์ของโนอาห์ในการต่อสู้กับบอส ดังนั้นแทนที่พวกเขาจะปล่อยให้มันเขาไปวุ่นวายกับโนอาห์พวกเขาจึงเข้าไปจัดการมันแทน

เมื่อเห็นนักรบของกลุ่มหันความสนใจไปที่มอนสเตอร์ที่อ่อนแอกว่า โนอาห์ก็มีความรู้สึกไม่ดีและมองไปที่ภูเขาซากศพของคนแคระ เขากลัวว่าศพพวกนั้นจะกลายเป็นซอมบี้เหมือนกันแต่โชคดีที่ศพของคนแคระไม่ได้รับการฟื้นคืนชีพเหมือนมอนสเตอร์

บอสไม่ยอมให้โนอาห์คิดต่อไปในขณะที่มันวิ่งเข้าหาเขา

มันคํารามด้วยความโกรธ อย่างน้อยเสียงคํารามนี้ก็เตือนโนอาห์ให้สนใจบอสและบอก ให้เขาสร้างช่องว่างให้กับแนวหลังเพื่อโจมตีบอสด้วยเวทย์มนตร์และลูกธนูต่อไป

แม้แต่แจสเปอร์ก็ยังวิ่งและสลับไปมาระหว่างการโจมตีของบอสและมอนส เตอร์ตัวเล็กๆด้วยความเร็วสูงแต่ความสนใจของบอสไม่เคยละทิ้งจากโนอาห์ ราวกับว่ามนุษย์คนนี้เป็นศัตรูที่มันสาบานไว้ว่าจะต้องฆ่าให้ได้

น่าเสียดายที่ถึงแม้การต่อสู้จะดําเนินต่อไปเช่นนี้ โนอาห์ก็ยังมองไม่เห็นว่าพวกเขาจะเอาชนะมอนสเตอร์ที่ทรงพลังเช่นนี้ได้อย่างไร มันคล่องแคล่วมากจนโนอาห์ไม่มั่นใจในการโจมตีของตัวเขาเอง เขาไม่กล้าโจมตีมันในระยะประชิด ทั้งหมดที่เขาทําได้คือการปล่อยพลังจากระยะไกลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

การต่อสู้ดําเนินต่อไปเรื่อยๆ ที่ละเล็กทีละน้อยร่างกายของบอสเริ่มลุกเป็นไฟมากขึ้นเรื่อยๆ

โนอาห์รู้สึกเหมือนเป็นนักสู้วัวกระทิงจากยุคมืดของมนุษยชาติเมื่อหลายร้อยปีก่อน แม้ว่าจะไม่มีการสู้วัวกระทิงในอารยธรรมมนุษย์อีกต่อไป แต่วัฒนธรรมและเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังคงดําเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้

โนอาห์ได้ยินมาว่าลูกหลานของชาวสเปนถึงกับสร้างวัวอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสู้วัวกระทิงต่อไปแต่โนอาห์ไม่ได้สนใจถึงขนาดที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับมัน แต่ถึงกระนั้นเพราะเขาได้ยินเรื่องนี้มามากในชั้นเรียนวัฒนธรรมโบราณในตอนที่เขายังเด็ก โนอาห์จึงรู้สึกว่าเขาเป็นนักสู้วัวกระทิงทุกครั้งที่บอสผ่านเขาไป

แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาหลายนาทีในการโจมตีบอส แต่การโจมตีพวกนั้นก็ไม่ ได้ทําให้มันอ่อนแอลงแต่อย่างใด ผิวหนังของสิ่งมีชีวิตตัวนี้หนามากจนเปลวไฟของโนอาห์เจาะเข้าไปทําเสียหายให้กับร่างกายของมันได้ยากมาก และหลังจากครั้งแรกที่มันโดนไฟของโนอาห์ปล่อยเข้าไปในปากมันก็ไม่กล้าอ้าปากของมันใกล้กับโนอาห์อีกต่อไป

โนอาห์สามารถเห็นได้จากระยะไกลว่านักธนูและนักเวทย์เริ่มหมดแรงจากการโจมตีโดยไม่หยุด ไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อใดก็ตามที่มอนสเตอร์ปกติตาย บอสจะกรีดร้องและพวกมันก็คืนชีพขึ้นมาแม้ว่าหัวของพวกมันจะถูกตัดขาด แต่ซากของมอนสเตอร์ก็จะมารวมกันอีกครั้งและพวกมันก็จะเริ่มโจมตีพวกเขาอีก

เรื่องนี้บังคับให้โนอาห์ต้องเผาศพของมอนสเตอร์ตัวเล็กในขณะที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่พวกมันจะได้ไม่ถูกบอสคืนชีพได้อีก

เพราะเมื่อใดก็ตามที่ส่วนนั้นของมอนสเตอร์ถูกเผาด้วยเปลวไฟของโนอาห์ ส่วนนั้นของมอนสเตอร์ก็จะไม่สามารถคืนชีพได้อีกต่อไป

แต่การต่อสู้ครั้งนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นอยู่ดี นักเวทย์เริ่มหมดแรง แจสเปอร์ก็เริ่มหมดแรงนักรบก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากมอนสเตอร์ตัวเล็กๆ และโนอาห์ก็เปียกไปด้วยเหงื่อจากความพยายามในการจัดการกับบอสตัวนี้

การต่อสู้ดําเนินต่อไปในลักษณะนี้ ทีละเล็กทีละน้อย มอนสเตอร์ไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้เนื่องจากเปลวเพลิงของโนอาห์ แต่ทุกคนก็ยังเหนื่อยมากอยู่ดี

หน้าผากของโนอาห์เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ

“ฉันทําอะไรไม่ได้แล้ว..? ฉันไม่สามารถจัดการกับบอสตัวนี้คนเดียวได้ ถ้านักรบคนอื่นๆสามารถช่วยฉันได้ ฉันก็จะมีสมาธิมากขึ้นในการเผามัน แต่ถ้าฉันยังเป็นคนเดียวที่โจมตีมันในระยะใกล้แบบนี้ละก็ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะจัดการกับมันได้นานกว่านี้ไหม” โนอาห์คิด

ในที่สุดเขาก็เริ่มสิ้นหวัง เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาสามารถตายในป้อมปราการแห่งนี้ได้จริงๆ แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว หากกลุ่มของเขาเริ่มตายโนอาห์จะต้องเสี่ยงทุกอย่างที่มีเพื่อหนีไปยังทางเข้าโดยการเทเลพอร์ต และเขาจะต้องไปโดยที่เขาหวังว่าประตูมิติจะเปิดออกแต่เนื่องจากป้อมปราการแห่งนี้ผิดปกติเป็นอย่างมาก โนอาห์จึงสงสัยว่าประตูมิติจะเปิดให้เขาออกไปจริงๆหรือเปล่า

“อาาาาาาาาา!!!

บิ๊กบูลกรีดร้องในขณะที่รู้สึกเจ็บขาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อเขามองลงมาบิ๊กบูลก็เห็นว่าซอมบี้มอนสเตอร์ตัวหนึ่งฟื้นขึ้นมาอีกครั้งและกัดหน้าแข้งของเขาอย่างแรงโดยใช้ฟันของมันที่สามารถบดกระดูกของคนแคระได้ มันสามารถฉีดขาของบิ๊กบูลออกได้หากเขาไม่ตอบสนองอย่างรวดเร็ว

เสียงกรีดร้องของบิ๊กบูลทําให้คนทั้งกลุ่มสั่นคลอนเล็กน้อย เนื่องจากพวกเขาไม่เคยมีปัญหาในการจัดการกับป้อมปราการด้วยกันมาก่อน เมื่อเห็นว่าคนใดคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสทําให้ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆเริ่มสงสัยในโอกาสที่จะประสบความสําเร็จในป้อมปราการแห่งนี้ทันที

*บู๊ม*

เสียงระเบิดของโนอาห์เมื่อเขาเทเลพอร์ตกลับไปกลับมาคือสิ่งที่ทําให้ทีมยังคงต่อสู้กับมอนสเตอร์ต่อไป เนื่องจากโนอาห์เป็นความหวังของกลุ่มในจิตใจของพวกเขาแล้ว พวกเขาจึงสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาพบเจอได้เสมอ คนกลุ่มนี้จึงเชื่อว่าตราบใดที่โนอาห์ยังไม่เป็นอะไร เขาก็จะหาวิธีจัดการกับมอนสเตอร์พวกนี้ได้และนําชัยชนะมาสู่พวกเขา

แต่แล้วก็มีอีกเสียงร้องอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นทําให้คนทั้งกลุ่มตกใจ

“อ๊ากกกกกกก!!!”

แต่คราวนี้มันเป็นเสียงกรีดร้องจากคนที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน

คนกลางห้องคนที่หลบการโจมตีของบอสอย่างไม่ลําบาก บางครั้งถึงกับแสดงความสนุกเหมือนกับว่าเขาสามารถทําแบบนี้ได้ทั้งวัน คนๆนั้นคือคนที่กรีดร้อง

โนอาห์คุกเข่าลงบนพื้นพร้อมกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและกุมข้อมือของเขาเอาไว้ราวกับว่ามีบางอย่างกัดเขาและเขาก็สูญเสียมือจากการถูกกัดนั้น

บอสตัวนั้นมองมาที่พวกเขาโดยมาส่งเสียง ดวงตาสีส้มโตนั้นจ้องไปที่มูแฟกราวกับว่าเขาเป็นอาหารเรียกน้ําย่อยชิ้นเล็กๆก่อนที่มันจะกินของที่ใหญ่กว่า

เมื่อมูแฟกมองไปที่ดวงตาที่น่ากลัวคู่นั้น เขาก็หยุดนิ่งอยู่กับที่ เขารู้สึกสิ้นหวังมากในตอนที่เขามองไปที่กองซากศพโดยคิดว่าพ่อแม่ของเขาก็คงอยู่ที่นั่นเหมือนกัน และตอนนี้เขากลับต้องมาเจอมอนสเตอร์ตัวนี้ที่กําลังจ้องมองเขาด้วยความกระหายเลือด นั่นเลยทําให้มูแฟกปล่อยของเหลวร้อนๆออกมาจากหว่างขาของเขา

โนอาห์ใช้เปลวไฟของเขาอย่างเต็มที่เพื่อเผาศพของมอนสเตอร์ เพราะเขาต้องการพลังงานมากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อที่จะจัดการกับบอสตัวนี้

เขาแน่ใจว่ามอนสเตอร์ที่เขากําลังเห็นอยู่ตรงหน้านี้จะต้องเป็นตัวหัวหน้าของพวกมอนสเตอร์แน่นอนเพราะหากไม่ต้องพูดถึงขนาดของมันที่ใหญ่กว่ามอนสเตอร์ที่เขาเจอมาถึงสองเท่าแล้วออร่าที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวของมัน ก็สามารถพูดได้คําเดียวเลยว่า “แข็งแกร่ง

บอสตัวนั้นจ้องไปที่กลุ่มครู่หนึ่ง แต่ไม่มีใครตอบสนองอะไรเลย พวกเขาจ้องหน้ากันอย่างน้อย 10 วินาที จนกระทั่งพลังงานของโนอาห์ฟื้นขึ้นมามากกว่า 80 เปอร์เซ็น

“บูม”

โนอาห์ใช้ [อุโมงค์นรก] ทันทีเพื่อเทเลพอร์ตไปโผล่ข้างๆมูแฟกและนักเวทย์สายฟ้าที่ยืนอยู่ข้างกัน หลังจากนั้นโนอาห์ก็ใช้มือทั้งสองข้างของเขาโอบเอวของทั้งสองไว้ในเสี้ยววินาทีและพาพวกเขาทั้งสองกลับไปยังตําแหน่งด้านหลังสุดของกลุ่ม

หลังจากที่โนอาห์เทเลพอร์ตไปในครั้งแรก บอสก็พุ่งเข้าหาบิ๊กบูลด้วยความกระหายเลือดทัน

บอสได้วิ่งเข้าหาบิ๊กบูลอย่างรวดเร็วในช่วงที่โนอาห์เทเลพอร์ตกลับไป แค่เพียงช่วง เวลาสั้นๆมันก็ได้เข้ามาใกล้พวกเขาถึงหนึ่งในสี่ระยะห่างของพวกเขาแล้ว

เมื่อโนอาห์เทเลพอร์ตกลับมาบอสก็พุ่งชนทั้งคู่ทันที

ในตอนที่บอสพุ่งชนทั้งคู่ โนอาห์กัดฟันของเขาและใช้มีดสั้นของเขาเพื่อพยายา มยึดโมเมนตัมของบอสร่วมกับบิ๊กบูล

ชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆโนอาห์ได้ยกโล่ของตัวเองขึ้นเพื่อพยายามป้องกันบอสที่พุ่งชนเข้ามาโดยใช้พรจากความแข็งแกร่งของกระทิงของเขา

หากจะได้พูดแล้วละก็ ทั้งสองไม่สามารถต้านทานแรงกระแทกของบอสได้ พวกเขาถูกกระแทกจนกระเด็นลอยขึ้นไปในอากาศเหนือหัวของบอส

และในขณะที่พวกเขากําลังลอยอยู่ในอากาศบอสก็อ้าปากเตรียมที่จะกระซากพวกเขาทั้งคู่ในทันที

แต่โนอาห์ไม่ปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เขาคว้าแขนของบิ๊กบูลและพาเขากลับไปที่แนวหลังทันที

*บู๊ม*

ก่อนที่พวกเขาจะเทเลพอร์ตพวกเขาอยู่ในอากาศและถูกกระแทก นั้นเป็นผลทํา ให้เมื่อพวกเขาออกมาจากการเทเลพอร์ตตัวของพวกเขาทั้งคู่ก็กระเด็นออกไปในทิศทางที่พวกเขาเคยโดนกระแทกมา

พวกเขากระเด็นไปเกือบจะชนกับนักเวทย์ที่อยู่ในแนวหลังโดยไม่ทันระวัง

แจสเปอร์กําลังวิ่งเข้าหาบอสด้วยความเร็วสูงสุดเพื่อเรียกความสนใจจากมัน จากที่เขาเห็นบอสวิ่งเขารู้ว่าเขาไม่สามารถเทียบความเร็วของมันได้ แต่เขาก็ไม่สามารถปล่อยให้สิ่งนั้นหยุดเขา ได้ มันเป็นงานของเขาที่จะต้องดึงความสนใจจากมัน แม้ว่ามันจะต้องเสี่ยงชีวิตของเขาก็ตาม

คราวนี้เหล่านักรบไม่ได้เฝ้ามองจากระยะไกล นอกจากโนอาห์และบิ๊กบูลแล้ว พวกเขาทั้งหมดวิ่งเข้าหาบอสตัวนั้นเพื่อให้แน่ใจว่ามันจะไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่นักเวทย์และฆ่าทุกคนในแนวหลัง

นักเวทย์และนักธนูทั้งหมดเตรียมพร้อมสําหรับการโจมตี พวกเขาเพียงรอคนที่จะดึงความสนใจของบอสเพราะพวกเขาไม่สามารถโจมตีได้ก่อนที่จะมีคนดึงความสนใจของบอสให้

เนื่องจากหากพวกเขาโจมตีก่อนมันอาจจะเป็นการดึงความสนใจทั้งหมดมาที่พวกเขา และมันจะเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆ เพราะบอสตัวนั้นจะพุ่งตรงมาและฆ่าทุกคนที่อยู่ในแนวหลังทันที

ขณะที่โนอาห์กลิ้งไปบนพื้นพร้อมกับบิ๊กบูลและพยายามฟื้นฟูตัวเองจากการกระแทก แจสเปอร์ก็ไปถึงหัวหน้ามอนสเตอรและเริ่มตะโกน

เขากระโดดไปรอบๆบอสและฟันเข้าไปที่ร่างกายของมันด้วยมีดสั้นระดับ C ที่เขามี

โชคดีที่ในขณะที่แจสเปอร์ทําแบบนี้เขาพบว่าบอสตัวนี้ไม่ได้ว่องไวขนาดนั้นเมื่อต้องหมุนไปมามันเร็วมากเมื่อมันวิ่งเป็นเส้นตรง แต่ไม่ใช่กับสถานการณ์ที่มันต้องหมุนไปรอบๆ

เขาคิดว่าถ้าปล่อยให้บอสต้องเจอกับสถานการณ์นี้ต่อไป พวกเขาจะมีโอกาสที่จะฆ่ามันได้โดยที่ไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่นั่นคือความผิดพลาดเพียงอย่างเดียวของแจสเปอร์เขาตัดสินบอสตัว นี้ด้วยมาตรฐานปกติ

บอสมองมาที่มาร์เซลและนักรบคนอื่นๆที่วิ่งเข้ามาหามัน เมื่อมันเห็นแบบนั้นมันจึงวิ่งเข้าไปหาพวกเขาราวกับว่ามันเป็นกระทิงที่กําลังจะไปควิดสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามัน

มาร์เซลและนักรบคนอื่นๆแทบจะไม่มีเวลาตอบสนอง พวกเขาพยายามกระโดดหลบไปด้านข้างเพื่อหลบการพุ่งชนในครั้งนี้ แต่ด้วยความเร็วในครั้งนี้ที่มากกว่าครั้งที่แล้วและนักรบทุกคนไม่ทันได้ระวังตัว จึงมีนักรบคนหนึ่งที่ไม่สามารถหลบได้และถูกมอนสเตอร์ชนและโยนขึ้นไปในอากาศ

หลังจากที่มันชนนักรบขึ้นไปในอากาศได้สําเร็จ บอสก็พยายามทําแบบเดียวกับที่มันพยายามจะทํากับโนอาห์มันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับอ้าปากเตรียมจะกินมนุษย์คนนั้นเข้าไป

แต่เหมือนกับครั้งที่แล้ว การระเบิดของไฟก็ปรากฏขึ้นข้างๆและก็มีมนุษย์คนหนึ่งพาม นุษย์คนนั้นหายตัวไปพร้อมกับเขาก่อนที่ปากของมันจะสามารถสัมผัสกับเนื้อของมันได้

คราวนี้โนอาห์พานักรบออกมาที่ที่อยู่ห่างออกมาจากบอสเล็กน้อย และบอสได้หันความสนใจมาที่เขาด้วยความโกรธ

โนอาห์ได้ยั่วยุบอสได้สําเร็จ

“โจมตีมันซะ! มันสนใจฉันแล้ว!” โนอาห์ตะโกนใส่คนอื่นขณะที่เขาเรียกลูกไฟขึ้นมาสองลูกแล้วโยนมันใส่ซากมอนสเตอร์สองตัวที่อยู่ถัดจากเขา ขณะที่ศพอื่นๆที่เขาเผาได้รับการชําระล้า งอย่างสมบูรณ์แล้ว

บอสนั้นเร็วมาก ยิ่งเขาไปไกลเท่าไหร่ บอสก็จะยิ่งเร็วและพุ่งเข้ามาหาเขาเร็วมากขึ้นเท่านั้นราวกับว่าอัตราเร่งของมันขึ้นอยู่กับเวลาโดยมันไม่ได้ถูกจํากัดความเร็วสูงสุดเลย

เมื่อเห็นว่าบอสกําลังพุ่งเข้ามาที่นี่ โนอาห์ก็เทเลพอร์ตไปที่บอสทันที แม้ว่าการเทเลพอร์ตของเขาจะไปโผล่ที่บอสเกือบจะในทันที แต่เมื่อเขาปรากฏตัวใกล้ๆกับบอส เขาก็พบว่าบอสได้เข้า มาใกล้เขาแล้วมันอยู่ถัดออกไปเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น

ทันใดนั้น เมื่อบอสหยุดตรงที่โนอาห์อยู่ เวทย์มนตร์และลูกศรหลายอันก็ตกลงมาที่มัน แต่เห็นได้ชัดว่าเวทย์มนตร์และลูกศรเหล่านั้นแทบไม่สร้างความเสียหายอะไรเลย

พวกเขาไม่ได้ทําอะไรมากไปกว่าทําให้ผิวของบอสนุ่มขึ้น มันไม่สามารถเจาะหนังหนาๆของมันได้ แต่สิ่งนี้ทําให้โนอาห์มีความคิดว่าจะทําอย่างไรกับบอสตัวนี้ดี

ในขณะที่การโจมตีอื่นๆสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยให้กับบอส ความโกรธของมันก็ยังคงอยู่ที่โนอาห์ ราวกับว่าเป้าหมายในชีวิตของมันคือการฆ่ามนุษย์ผู้ขโมยรางวัล 4 ชิ้นจากมันไป

ดวงตาขนาดใหญ่สีส้มและแวววาวของบอสเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย โนอาห์เชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะความโกรธของมัน

เช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว บอสไล่ตามโนอาห์ แต่คราวนี้แทนที่โนอาห์จะเทเลพอร์ตอีกครั้งในทันที่โนอาห์กลับวางมือบนหลังและจ้องไปที่บอส

เมื่อเห็นบอสพุ่งเข้าหาโนอาห์ด้วยความเร็วมากกว่า 200 กม./ชม. (320 ไมล์ต่อชั่วโมง) ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็เริ่มกังวล จนกระทั่งเห็นสิ่งที่โนอาห์กําลังจะทําและเข้าใจชัดเจนว่าเขากําลังพยา ยามจะทําอะไร เมื่อถึงจุดนั้นพวกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดว่าโนอาห์รู้วิธีใช้ทักษะของตัวเองเป็นอย่างดี

บอสกําลังคิดว่าในที่สุดมนุษย์คนนี้ก็ยอมตายหรือไม่สามารถหายไปได้อีกต่อไป มันจึงอ้าปากเตรียมจะกัดโนอาห์โดยตรงโดยไม่แม้แต่จะรอช้า แต่นั่นคือสิ่งที่โนอาห์ต้องการจริงๆเพราะเมื่อบอสอยู่ห่างจากเขาเพียงสามฟุต โนอาห์ก็เทเลพอร์ตอีกครั้งไปยังที่ที่ซากศพของมอนสเตอร์ตัวอื่นๆอยู่ และจุดไฟเผาศพอีกสองศพ การเทเลพอร์ตในระยะทางไกลนั้นใช้พลังงานเป็นจํา นวนมาก ทั้งโนอาห์ยังทิ้งของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ตรงหน้าบอสอีกด้วยเขาจึงต้องการพลังงานเพิ่มเติม

ในมุมมองของบอส เมื่อเขากําลังจะกัดมนุษย์เจ้าปัญหา ทันใดนั้นมนุษย์ก็หายวับไปในเปลวเพลิงอีกครั้ง ซึ่งทําให้บอสโกรธจัดมากยิ่งขึ้น แต่ไม่เหมือนครั้งอื่นๆเปลวไฟของมนุษย์นั้นไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์

เมื่อมนุษย์หายไปสถานที่ที่มนุษย์คนนั้นเคยอยู่ก็มีเปลวไฟลอยอยู่ตรงหน้าของบอสแทนและถึงแม้บอสจะมีปฏิกิริยาการตอบสนองที่รวดเร็วในการพยายามปิดปากของมัน แต่มันก็ยังไม่ทันเปลวไฟของโนอาห์บางส่วนก็ยังเข้าไปในปากของมันได้อยู่ดี

สําหรับบอสความรู้สึกของเปลวไฟที่เข้าไปในปากของมันนั้นเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ความเจ็บปวดนั้นทําให้ดวงตาของบอสที่กลายเป็นสีแดงเพียงเล็กน้อยนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงสนิทในทันที

แม้ว่าเปลวไฟนั้นจะไม่ได้สร้างความเสียหายมากนัก แต่ความเจ็บปวดนี้ก็เพียงพอที่จะทําให้มันคลั่งได้แล้ว

ด้วยความโกรธที่พุ่งสูงขึ้นถึงระดับนั้น บอสจึงร้องออกมาด้วยความบ้าคลั่งและหันหลังเพื่อมองหาโนอาห์ มันต้องการที่จะฆ่าโนอาห์เป็นอย่างมาก

แต่ในขณะนั้นเองโนอาห์ก็รู้สึกฟุ้งซ่านเล็กน้อยขณะที่เขาอ่านข้อความที่กําลังลอยอยู่ตรงหน้าของเขา เพราะมันเป็นสิ่งที่เขารอมาตลอดเวลา

[ขอแสดงความยินดีกับผู้ใช้! สกิล [อุโมงค์นรก] ของคุณเพิ่มขึ้นเป็นเลเวล 02]

เป็นครั้งแรกที่โนอาห์หายใจไม่ทันจริงๆ หลังจากที่เขาเทเลพอร์ตบ่อยมากและเขายังใช้การควบคุมเปลวไฟอย่างหนักหน่วงทั้งร่างกายและจิตใจของโนอาห์ก็อ่อนล้า แม้ว่าการเผามอนสเตอร์จะเติมพลังให้กับโนอาห์ แต่เสียงร้องของมอนสเตอร์ที่เขาเผาก็ดึงดูดมอนสเตอร์จาก ความมืดเข้ามามากขึ้น เมื่อเขารู้ตัวอีกที่เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางฝูงมอนสเตอร์แล้ว

ระหว่างการต่อสู้ โนอาห์ได้เผาซากศพของมอนสเตอร์อย่างน้อยสามตัวจนหมดเพื่อไม่ให้พลังงานของเขาหมดโชคดีที่เทคนิคที่เขาสร้างขึ้นในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายนั้นค่อนข้างมีประโยชน์เมื่อต้องรับมือกับศัตรูจํานวนมากและด้วยพลังงานจากมอนสเตอร์ที่เขาเผาผลาญระหว่างการต่อสู้โนอาห์จึงสามารถใช้เทคนิคนี้ได้มากขึ้นกว่าเดิม

สิ่งที่สามารถพูดได้อย่างมั่นใจก็คือว่าถ้าในตอนท้ายของการต่อสู้มีกระดานปรากฏว่าใครมีส่วนสนับสนุนมากที่สุดในระหว่างการจู่โจมครั้งนี้ โนอาห์จะต้องเป็นที่หนึ่งอย่างแน่นอนและเขาจะต้องมีคะแนนห่างจากที่สองเป็นจํานวนมากแน่ๆ

โนอาห์เหนื่อยมากเสียจนเขาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้าอยู่บนพื้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆแต่ผู้รักษาในทีมของเขาก็ยังใช้พรของเขาเพื่อช่วยในเรื่องความเหนื่อยล้าที่เขาพบเจอ

การเห็นโนอาห์ต่อสู้ทําให้กลุ่มของเขาตกใจมาก แต่การเห็นเขาทําแบบนั้นมากกว่าหนึ่งครั้งแถมครั้งถัดไปกลับเป็นอะไรที่น่ากลัวยิ่งกว่าทําไมพวกเขาตกใจมากขึ้นไปอีก

ทุกครั้งที่พวกเขาคิดว่าโนอาห์กําลังจะหมดพลังงานเนื่องจากเขาเริ่มชะลอตัวในขณะที่เขาทําการเคลื่อนย้ายและใช้ความสามารถนั้น เขาก็เพิ่มความเร็วของเขาทันทีและสร้างความเสียหายมากกว่าที่เขาเคยทํามาก่อน

แม้แต่มูแฟกกรามของเขาตกลงไปเมื่อเขาเห็นการต่อสู้ของโนอาห์ เขาเคยเห็นการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมาก่อน แต่เขาไม่เคยเห็นคนแบบโนอาห์ที่เคลื่อนย้ายและฆ่ามอนสเตอร์จํานวน มากอย่างรวดเร็วด้วยเปลวไฟประหลาดของเขา

ขณะที่โนอาห์หายใจแรงอยู่บนพื้น เขาก็มองดูหน้าต่างค่าสถานะด้วยความโกรธเพราะเขาไม่บรรลุเป้าหมายที่เขาต้องการ

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 03]

[ประสบการณ์: 101/1,600]

[HP: 14/14]

[ความแข็งแรง: 14]

[ความคล่องตัว: 14]

[ความแข็งแกร่ง: 14]

[สกิละ

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 03 : 79/2,500

คําอธิบายสกิล: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชําระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

ควบ

[** หลังจากถึงเลเวล 03 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและควบ คุมเปลวไฟได้เป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น นอกจากนี้เปลวไฟยังสามารถชําระล้างมนุษย์ที่สึกกร่อนจาก บาปได้แล้ว ยิ่งบาปของมนุษย์มากเท่าใด ผลประโยชน์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น **)

[หลักแห่งไฟ เลเวล: 02 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและการควบ คุมมันก็เป็นธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อยนอกจากนี้ยังทําให้มนุษย์ได้รับการกัดกร่อนจากบาป มนุษย์ ที่มีบาปเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถชําระล้างได้)

[อุโมงค์นรก เลเวล: 01 : 297/300

ทักษะที่สามารถทําให้เปิดอุโมงค์สู่นรกและออกไปที่อื่นได้ในเสี้ยววินาทียิ่งระยะทางไกลมาก เท่าไหร่พลังงานที่จะใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น)

นรกได้กักขังวิญญาณของคนบาปไว้ในอุโมงค์นี้มาตั้งแต่ทุกสิ่งมีชีวิตถือกําเนิดขึ้น และกังขังมา ชั่วนิรันดร์ เพื่อรองรับปีศาจและวิญญาณจํานวนมากพื้นที่นี้จึงขยายตัวมากกว่าโลกของสิ่งมีชีวิต หลายเท่า เมื่อใดก็ตามที่ลูซิเฟอร์เดินผ่านอุโมงค์เหล่านี้ผู้คนก็จะรู้ว่าเขากําลังเคลื่อนย้ายไปที่ไหน สักแห่ง และเขาก็สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้ที่อุโมงค์นี้ไปถึงเหล่าผู้คนจะคิดว่าเขากําลังเทเล พอร์ต

ในตอนนี้โนอาห์เหนื่อยมาก แม้ว่าเขาจะเห็นว่าเหลือเพียง 3 ค่าประสบการณ์ทักษะ อุโมงค์นรก] ของเขาก้จะพัฒนาขึ้น แต่เขาก็ไม่เต็มใจที่จะพยายามหาพวกมันเพิ่มในตอนนี้อยู่ดี

โนอาห์รู้สึกเหมือนว่าเขาเป็นนักวิ่งมาราธอนที่วิ่ง 160 กิโลเมตร และทันทีที่เขาหยุดพัก ผ่อนและหายใจ ก็มีคนมาขอให้เขาวิ่งอีก 10 กิโลเมตร หากคนๆนั้นปรากฏตัวขึ้นก่อนหน้านี้ เขาก็คงจะวิ่งให้โดยที่ไม่มีปัญหาอะไร แต่ตอนนี้กล้ามเนื้อของเขาผ่อนคลายลงแล้วและเขาไม่สา มารถแม้แต่จะเดินต่อได้เลยด้วยซ้ํา

“ไอ้บ้าเอ้ย ถ้าฉันรู้ว่าเหลืออีกเพียงแค่ 3 ค่าประสบการณ์ทักษะของฉันจะพัฒนาแล้วละก็ฉัน จะต่อสู้ต่อไปอีกสองสามนาที่เพื่อให้อะดรีนาลีนของฉันอยู่ในระดับสูงที่สุดเหมือนเดิมแต่ก็ช่างมัน เถอะ มันไม่ใช่ปัญหาในการต่อสู้ครั้งต่อไป ฉันจะเริ่มระดับของทักษะนี้อย่างแน่นอน” โนอาห์ คิดและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับตัวเอง

“พวกนายดูนี่สิ…” นักเวทย์สายฟ้าใช้เวทย์มนตร์ของเขาเพื่อสร้างแสงสว่างขึ้นมาภายในห้องเนื่องจากเปลวไฟของโนอาห์ได้ดับลงไปแล้ว

โนอาห์ยังคงนอนหอบอยู่บนพื้น เขามองไปด้านข้างเพื่อมองดูว่านักเวทย์สายฟ้าชี้ไปที่อะไร

ข้างหน้าของเขาซึ่งส่องสว่างด้วยแสงสีขาวที่เกิดจากไฟฟ้า พวกเขาก็เห็นร่างของคนแคระที่อยู่ตรงนั้น

เมื่อเห็นศพของคนแคระมูแฟกก็วิ่งไปในทิศทางนั้นเพื่อพยายามดูศพนั้นว่าเป็นใคร เขาหวังว่าศพนั้นจะไม่ใช่พ่อของเขา

และก็เป็นเรื่องดีที่ศพนั้นไม่ใช่พ่อของแฟกมแฟกไม่รู้จักคนๆนั้น เขาคิดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในคนแคระที่หนีออกมาจากโบกี้โดยสารนั้น

ในขณะที่พวกเขาเดินต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาก็ค่อยๆพบกับศพเพิ่มขึ้นทุกทีๆ แต่ไม่มีศพไหนที่เป็นพ่อแม่ของมูแฟก

จนกระทั่งพวกเขาพบกับสิ่งที่ดูเหมือนภูเขา แต่นั่นไม่ใช่ภูเขาที่สร้างขึ้นมาจากดิน แต่ เป็นภูเขาที่สร้างขึ้นมาจากซากศพ

เมื่อมูแฟกเห็นภูเขาลูกนี้เขาก็เริ่มสั่นและพึมพําออกมา

“เป็นไปไม่ได้”

“ได้โปรดอย่า…”

“ฉันจะทํายังไงดี…”

ขณะที่มูแฟกกําลังร้องไห้อย่างสิ้นหวัง นักเวทย์สายฟ้าก็เดินเข้าไปเอามือแตะไหล่ของคนแคระตัวน้อยเพื่อพยายามปลอบโยนเขา โนอาห์ไม่ต้องแปลในสิ่งที่คนแคระพูด หรือต้องบอกให้พวกเขาทําอะไรเพราะทุกคนที่อยู่ที่นั่นเข้าใจความรู้สึกของคนแคระดี

แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถสื่อสารกับมูแฟกได้โดยตรง แต่จากที่โนอาห์ได้พูดคุยกับมูแฟกแล้วบอกกับพวกเขา พวกเขาก็พบว่าสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาเจอในป้อมปราการ ไม่ได้เกิดจากป้อมปราการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ดังนั้นพวกเขาจึงลงเอยด้วยความเห็นอกเห็นใจต่อเด็กชายที่อาจสูญเสียทั้งครอบครัวบนรถไฟขบวนนี้และเมื่อทุกคนเห็นเด็กชายเป็นแบบนี้นั่นก็ทําให้ทุกคนรู้สึกหนักใจ

น่าเสียดายที่มูแฟกไม่ใช่สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องเผชิญในสถานที่นั้น ขณะที่พวกเขาพยายามปลอบโยนเด็กชายที่มองดูซากศพของคนแคระและหวังว่าพ่อแม่ของเขาจะไม่อยู่ที่นั่นดวงตาที่สดใส คู่หนึ่ง ก็ปรากฏขึ้นจากด้านหลังกองศพ

เมื่อเห็นดวงตาคู่นั้น ผู้ถูกเลือกทั้ง 16 คนก็ชะงักไปชั่วขณะ แม้แต่โนอาห์ที่หอบเหนื่อยเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนตอนนี้ก็ยังกลั้นหายใจเพื่อรอดูว่ามอนสเตอร์ตาโตตัวใหญ่ตัวนี้จะทําอะไร

แม้ว่าเขาจะเหนื่อย แต่อะดรีนาลีนที่สูบฉีดผ่านร่างกายของโนอาห์อีกครั้งก็ทํา ให้เขาลืมความเหนื่อยล้าไปในทันที

โนอาห์เพิ่มอัตราการเผาในมอนสเตอร์ที่ตายแล้วโดยไม่รู้ตัว เพื่อสร้างพลังงานให้ตัวเองให้มากยิ่งขึ้น

ในจิตใจของผู้ถูกเลือกทั้งหมดมีคําๆหนึ่งปรากฏขึ้นมาในหัวของพวกเขาทันทีที่พวกเขาเห็นดวงตาคู่โตอันสดใส ซึ่งมันดูใหญ่กว่าของมอนสเตอร์ก่อนหน้านี้สองสามเท่าในตอนที่พวกเขารับมี อกับมอนสเตอร์พวกนั้น

“หัวหน้า…”

นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดขณะจ้องไปที่มอนสเตอร์ตัวใหญ่ที่จ้องมาที่พวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นอาหารมื้อต่อไปของมัน แม้ว่าด้านหน้าของมันจะเต็มไปด้วยภูเขาศพที่สร้างขึ้นจากคน แคระแล้วก็ตาม

เมื่อรู้ว่าในโบกี้รถไฟนี้อาจมีบางอย่างนอกจากเสื้อผ้าและของมีค่า ผู้ถูกเลือกพร้อมด้วยคนแคระอายุ 13 ปีก็ได้ค้นดูห้องโดยสารต่างๆ เพื่อดูว่าพวกเขาจะเจออะไรอีกหรือไม่ แต่น่าเสียดาย ที่นอกจากเสื้อผ้าและรอยเลือดแล้วพวกเขาก็ไม่พบอย่างอื่นอีก

เห็นได้ชัดว่าคนแคระตัวน้อยคนนี้ที่พวกเขาเจอและพูดคุยกับเขาผ่าน “การอ่านร่างกาย” ของโนอาห์ซึ่งโนอาห์รู้ว่าเขาชื่อว่ามูแฟกนี้เป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในโบกี้นี้ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่พบศพคนแคระคนอื่นๆ ผู้ถูกเลือกจึงไม่สามารถยืนยันการตายของใครได้นอกจากคนแคระที่พวก เขาพบก่อนหน้านี้ โนอาห์แค่หวังว่าคนแคระทั้ง 6 คนที่เขาได้เผาไปนั้นจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวของมูแฟก

ระหว่างทางพวกเขาพยายามคุยกับมูแฟกผ่านโนอาห์ แต่ดูเหมือนเขาจะรู้เพียงเรื่องที่ เกี่ยวกับตัวเขาเท่านั้น สิ่งที่สําคัญที่สุดที่พวกเขาค้นพบก็คือรถไฟขบวนนี้กําลังพาเขาจากเมืองหนึ่งในอาณาจักรบนดาวแคระไปยังอีกเมืองหนึ่ง

น่าเสียดายที่มูแฟกตัวน้อยไม่รู้พิกัดของดาวของเขา แต่การที่รู้ว่าคนแคระคนนี้มีภูมิหลังที่ลึกกว่าการเป็นมอนสเตอร์ในป้อมปราการตามปกติก็เป็นสิ่งที่ช่วยขยายขอบเขตอันไกลโพ้นของกลุ่มในแง่ของการบุกป้อมปราการ

ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นแค่มอนสเตอร์เป็นวิธีหาเงินและเป็นภัยคุกคามต่อการปกป้องแผ่นดิน แต่ตอนนี้พวกเขาเห็นว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิดเหมือนในตอนแรก ตัวอย่างเช่น มูแฟกที่อธิบายว่าครอบครัวของเขาเป็นยังไง พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองยังไง สกุลเงินที่ใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจของพวกเขา (ในมุมมองที่เรียบง่ายจากมุมมองของเด็ก) แค่นั่นก็เพียงพอแล้วที่มนุษย์จะเข้าใจว่าผ่านประตูมิตินี้ไม่ใช่แค่ ” ดันเจี้ยน” แบบสุ่มที่พวกเขาควรจะทําลาย แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นโลกที่ ใหญ่กว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก พวกเขาไม่รู้ว่าเมืองหรือโลกพวกนี้ถูกสร้างขึ้นโดยป้อมปราการเพียงเพื่อให้มันสมจริงมากขึ้นหรือว่ามันเป็นอย่างที่มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีเวลาคุยกับมูแฟกอีกต่อไป เมื่อพวกเขามาถึงประตูที่นําไปสู่ โบกี้คันถัดไป โนอาห์ก็บอกให้มูแฟกอยู่ข้างหลังทุกคนพร้อมกับเหล่านักเวทย์เพื่อที่เขาจะได้ได้รับการปกป้องจากมอนสเตอร์ที่พวกเขาอาจพบเจอ และคนแคระตัวน้อยเชื่อฟังเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อพวกเขาเปิดประตู กลิ่นที่คุ้นเคยของสนิมรุนแรงก็พุ่งออกมาที่จมูกของพวกเขา

พวกเขาทําตามสัญชาตญาณทันที พวกเขาจับอาวุธให้แน่นขึ้น ขณะที่โนอาห์ระวังตัวไว้เพื่อที่เขาจะได้เทเลพอร์ตได้ตามที่เขาต้องการ เขายังไม่ได้สร้างลูกไฟขึ้นมาเพื่อที่จะไม่ดึงความสนใจมาหาเขาโดยไม่จําเป็น และเมื่อเขาตระหนักว่ามันยากมากที่จะเห็นข้างหน้าในความมืด นี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าการที่โนอาห์ตัดสินใจไม่จุดไฟเป็นสิ่งที่ถูกต้อง

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ต้องการเดินตรงเข้าไปในโบกี้ที่มีกลิ่นแรงมากจนคิดว่าเป็นแอ่งเลือดขนาดใหญ่ โดยที่เขายังไม่มีวิธียืนยันด้วยสายตาของเขาเอง

ดังนั้นเพื่อประโยชน์ของกลุ่ม โนอาห์จึงเรียกลูกไฟขนาดเล็กแต่ทรงพลังออกมาและยิงไปในทิศทางที่เขาจินตนาการว่าจะเป็นประตูถัดไป

เมื่อลูกบอลไฟปรากฏขึ้น ดวงตามากกว่าสิบสองดวงก็สว่างขึ้นภายในความมืดและสะท้อนกับลูกไฟของโนอาห์

ดวงตาพวกนั้นมองมายังทางเข้าที่ผู้ถูกเลือกกําลังยืนอยู่ และเมื่อถึงจุดนั้น โนอาห์ก็กลืนน้ำลายอึกใหญ่ทันที

เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะทําอะไร ถ้าเขาเลือกที่จะเทเลพอร์ตเขาก็จะดึงดูดความสนใจของมอนสเตอร์มาที่ตัวเขาอย่างชัดเจน

จากจํานวนสายตาที่เขาเห็นเขาคิดว่ามีมอนสเตอร์อย่างน้อย 3 ตัว

ความกลัวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือมอนสเตอร์ตัวอื่นๆจะปรากฏตัวเพิ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นานหรือเปล่า แต่โนอาห์ไม่มีโอกาสคิดถึงเรื่องอื่นนอกจากนั้น เนื่องจากกลุ่มของเขาได้ยินเสียงที่พวกเขาเชื่อว่ามาจากมอนสเตอร์ที่กําลังเริ่มวิ่งเข้ามาหาพวกเขาทันที่ที่ไม่มีลูกไฟในพื้นที่อีกต่อไป

แจสเปอร์วิ่งเคียงข้างโนอาห์ไปข้างหน้าเพื่อควบคุมสถานการณ์ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่อันตราย แต่นี่ก็คือบทบาทของทั้งสองคนในกลุ่ม พวกเขาไม่สามารถซ่อนตัวอยู่ข้างหลังผู้ถูกเลือกคนอื่นๆและจะออกมาในเฉพาะสถานการณ์ที่ปลอดภัยได้ เพราะหน้าที่ของพวกเขาคือ การสร้างสถานการณ์ที่ปลอดภัยและได้เปรียบที่สุดสําหรับเพื่อนร่วมทีม แม้ว่ามันจะหมายความว่าพวกเขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายกว่าคนอื่นๆก็ตาม

“มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เป็นแบบนี้ซะหน่อย” โนอาห์พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะเริ่มเทเลพอร์ตไปตามเส้นทางเพื่อไปให้ถึงเหล่ามอนสเตอร์ที่อยู่ตรงหน้าของแจสเปอร์ที่พุ่งไปก่อนแล้ว

โนอาห์ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อทําให้พื้นที่สว่างขึ้นและทําให้มองเห็นสถานที่นั้นด้วยเปลวเพลิงที่ออกมาจากการเทเลพอร์ต

เปลวเพลิงเล็กๆเหล่านี้เพียงพอสําหรับนักธนูและนักเวทย์ในการค้นหาเป้าหมายและเริ่มยิงพลังเวทย์และลูกธนูไปยังสิ่งมีชีวิตทั้ง 8 ตัวที่กําลังสนใจโนอาห์อยู่

แจสเปอร์ใช้ประโยชน์จากความว่องไวของเขาและการที่มอนสเตอร์ยังไม่สนใจเขา เขาจะใช้มีดสั้นระดับ C ที่เขามีโจมตีไปที่ท้องของมอนสเตอร์เพื่อเปิดช่องท้องของมันให้ได้

นักเวทย์ร่ายเวทย์มนตร์ในขณะที่นักธนูยิงธนู ครั้งนี้นักรบครึ่งหนึ่งอยู่ข้างหลังเพื่อปกป้องแนวหลัง ขณะที่อีกครั้งหนึ่งเข้าหากลุ่มของมอนสเตอร์และพยายามแยกมอนสเตอร์ตออกจากโนอาห์และแจสเปอร์ เพื่อพยายามแบ่งเบาภาระของทั้งสอง

“วู้ม” “บูม” “บูม” “บูม” “บูม” “บูม” “บูม” “บูม” “บูม” “บูม” “บูม”

ในระหว่างนี้โนอาห์ไม่ได้หยุดการเทเลพอร์ตของเขาในการหลบการโจมตีเลย และเนื่องจากเขาไม่ได้เผามอนสเตอร์ พลังงานสํารองของเขาจึงลดลงเร็วกว่าปกติมาก ถ้าเขายังคงเทเลพอร์ตในอัตรานี้ แม้ว่าเขาจะเทเลพอร์ตในระยะทางสั้นๆ แต่เขาก็จะไม่มีพลังงานเพียงสําหรับการเทเลพอร์ตมากกว่า 100 ครั้งแน่นอน

เนื่องจากในการต่อสู้กับมอนสเตอร์เพียง 2 ตัว เขาต้องใช้การเทเลพอร์ตถึง 100 ครั้ง แต่ตอนนี้เขาต้องจัดการกับมอนสเตอร์ 8 ตัว การเทเลพอร์ต 100 ครั้งนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป

แต่โนอาห์มีบางอย่างที่เขาไม่มีในการต่อสู้ครั้งก่อน นั่นคือความสามารถของ [เปลวไฟแห่งนรก] ของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็นเลเวล 03 แล้ว

นอกจากความร้อนที่เพิ่มขึ้นและอันตรายมากขึ้นแล้ว การควบคุมเปลวไฟของโนอาห์ก็เพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก การควบคุมไฟที่ดีขึ้นนั้นทําให้โนอาห์สามารถประยุกต์ใช้ในการต่อสู้ของเขาได้

ในการเทเลพอร์ตแต่ละครั้ง โนอาห์ค้นพบว่าเขาสามารถควบคุมเปลวไฟที่รั่วไหลผ่านอุโมงค์นรก]ได้ กล่าวก็คือเขาสามารถควบคุมเปลวไฟเล็กๆที่รั่วไหลผ่านประตูมิติที่เขาผ่านได้ ราวกับเป็นไฟของเขาเอง โชคไม่ดีที่เขาสามารถควบคุมเปลวไฟได้เพียง 29% จากที่ออกมาจากประตูมิติเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสําหรับโนอาห์ที่จะสั่งให้พวกมันยังถูกรักษาไว้แทนที่จะสลายไป

พวกมันจะลอยอยู่ในอากาศในขณะที่เขาเคลื่อนย้ายไปมา กลยุทธ์นี้ทําให้การใช้พลังงานของโนอาห์เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติ

และในเวลาอันสั้น เนื่องจากอุโมงค์นรกจํานวนมากที่เขาเทเลพอร์ต จากพื้นที่ที่เคยมืดมิดแห่งนี้ ก็สว่างขึ้นราวกับว่ามีคนจุดเทียนที่มองไม่เห็นหลายสิบเล่มและทิ้งพวกมันไว้กลางอากาศ พื้นที่ใกล้เคียงกับไฟพวกนี้ก็สว่างพอที่จะทําให้ร่างของมอนสเตอร์ในสถานที่นั้นโดดเด่นมากยิ่งขึ้น

โชคไม่ดีสําหรับโนอาห์หลังจากจับเปลวไฟลูกที่ 53 ที่เกิดจากการเทเลพอร์ตได้ เขาก็รู้สึกว่าพลังงานสํารองของเขาลดลงต่ำกว่า 20% และได้เวลาลงมือแล้ว

พวกมอนสเตอร์โกรธมาก พวกมันไม่เข้าใจว่าทําไมทุกครั้งที่มนุษย์คนนี้ถูกกัดเขาถึงกลายเป็นเปลวเพลิงและปรากฏขึ้นที่อื่น และทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นพวกมันก็จะโกรธมากขึ้นและอยากที่จะกัดมนุษย์คนนี้มากขึ้นไปอีก

สิ่งนี้ทําให้อะดรีนาลีนในร่างกายของมอนสเตอร์เพิ่มขึ้นจนแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดจาก อาการบาดเจ็บขนาดกลางอีกต่อไป นั่นคือถึงแม้สายฟ้าจะฟาดลงมาพวกมันก็ยังจะเดินต่อไปได้ และเมื่อเป็นอย่างนี้พวกมันก็ไม่สนใจการโจมตีของผู้ถูกเลือกที่โจมตีมาที่มันอีกต่อไป พวกมันปล่อยให้ผู้ถูกเลือกคนอื่นโจมตีพวกมันได้มากขึ้นในแต่ละครั้งและนั่นทําให้ความต้านทานของพวกมันลดลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นว่ามอนสเตอร์บางตัวยังไม่เป็นไร แต่บางตัวก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังแล้ว โนอาห์ก็รู้ว่าถึงเวลาที่จะเริ่มขั้นที่สองของแผนของเขาแล้ว เปลวไฟที่ส่องสว่างไปทั่วพื้นที่ตอนนี้ก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

โนอาห์ได้ทําเครื่องหมายว่ามอนสเตอร์ตัวใดใกล้ตายที่สุดและส่งไฟของเขาพุ่งเข้าหามอนสเตอร์เหล่านี้ด้วยความหวังว่าพวกมันจะตายเร็วขึ้น

เปลวเพลิงเหล่านั้นจะต้องหลบมอนสเตอร์ที่ยังแข็งแรงและผู้ถูกเลือกคนอื่นๆรวมถึงแจสเปอร์ แต่ด้วยการควบคุมที่สูงของโนอาห์ การควบคุมเปลวไฟขนาดเล็กแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาสําหรับเขา

เมื่อเปลวเพลิงกระทบกับมอนสเตอร์ โนอาห์ก็รู้สึกว่าพลังงานสํารองของเขาเริ่มถูกเติมเต็มอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แต่มันยังไม่เร็วเท่ากับการกินพลังงานในปัจจุบันจากการเทเลพอร์ตของเขา โนอาห์จึงใช้แนวคิดที่เขามีในตอนที่เขาเผามอนสเตอร์ในโบกี้คันก่อน และลดขนาดของเปลวไฟบนผิวหนังของมอนสเตอร์ลง แต่เพิ่มพื้นผิวสัมผัสโดยทําบางอย่างที่คล้ายกับเส้นใยเพลิงพันไปทั่วร่างของมอนสเตอร์

ทันทีที่มอนสเตอร์ถูกไฟโจมตี เสียงกรีดร้องของพวกมันก็เปลี่ยนจากเสียงกรีดร้องโกรธเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความกลัว ความเจ็บปวด และความสิ้นหวัง บางตัวไม่สามารถแม้แต่จะยืนได้ ก่อนที่จะล้มตัวลงกับพื้นเพื่อพยายามดับไฟแปลกๆเหล่านี้

การทําแบบนี้ทําให้โนอาห์ไม่ต้องเทเลพอร์ตอีกต่อไป และทําให้เขาสามารถใช้พลังงานได้มากขึ้นกับไฟที่เขาสร้างเพื่อทําให้มันเข้าไปในร่างกายของพวกมันเพื่อเผาผลาญมันให้มากขึ้นและผลิตพลังงานให้กับเขาได้มากขึ้นไปอีก สร้างวงจรการจ่ายพลังงานและการฟื้นฟูพลังงานให้กับเขาได้เรื่อยๆไม่รู้จบ

‘ฉันคิดว่าฉันสามารถเรียกสิ่งนี้ว่า [กับดักนรก] ได้การตั้งชื่อของฉันแย่มาก ฉันต้องคิดถึงสิ่งที่ดีกว่านี้’ โนอาห์คิด เขาไม่พอใจกับชื่อแต่ก็พอใจกับผลลัพธ์ขณะที่เขาดูมอนสเตอร์กลิ้งไปมาบนพื้นด้วยความเจ็บปวด

ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆตกตะลึงชั่วขณะหนึ่งเมื่อเห็นการโจมตีขนาดใหญ่เช่นนี้จากผู้ถูกเลือกเพียงคนเดียว

โนอาห์ที่กําลังยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขาเพียงลําพังในตอนนี้สามารถจัดการกับมอนสเตอร์ 4 ตัวได้ในคราวเดียว แน่นอนว่าพวกเขาสร้างความเสียหายให้กับมอนสเตอร์พวกนั้นมากมายแล้วก่อนที่โนอาห์จะจัดการกับพวกมันได้ แต่ถึงอย่างนั้นมอนสเตอร์พวกนั้นก็ยังวิ่งและโจมตีได้อย่างต่อเนื่องจนถึงเมื่อวินาทีที่แล้ว แต่ตอนนี้มันกลับกลิ้งอยู่บนพื้นและไม่สามารถโจมตีหรือคิดอะไรได้อีก

“ช่วยฉันด้วย…” คนแคระพูดด้วยน้ําเสียงสั่นคลอน แม้ทุกๆคนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่ทุกก็เข้าใจเจตนาของเขา

“เขาพูดภาษาอะไร? ฉันไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด” แจสเปอร์พูตขณะที่มองไปยังคนอื่นๆในกลุ่ม แต่ทุกคนก็มีสีหน้าสับสนราวกับใบหน้าของเขาเอง

“ไม่รู้สิ ดูเหมือนเขาจะเศร้าๆนะ” ผู้รักษาประจํากลุ่มพูดขณะมองดูคนแคระด้วยความเป็นห่วง เธอเป็นคนหนึ่งที่มีลูกพี่ลูกน้องเป็นคนแคระ และเมื่อเธอมองไปที่คนแคระคนนี้ เธอก็สามารถสรุปได้ว่าเขามีอายุประมาณ 13 ปี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะสามารถเข้าใจภาษาอื่นได้

คนแคระมองดูใบหน้าของแต่ละคนในกลุ่มและตระหนักได้จากการแสดงออกถึงความสงสัยบนใบหน้าของพวกเขาด้วยภาษาแปลกๆที่พวกเขาพูด พวกเขาไม่สามารถเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดได้ เหมือนกับคนแคระที่เขาก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่มนุษย์กําลังพูดเหมือนกัน แต่กลับมีมนุษย์คนหนึ่งในหมู่พวกเขาที่มองดูคนแคระด้วยสีหน้าที่ต่างออกไป

“นายเข้าใจฉันไหม?” คนแคระพูดด้วยเสียงต่ำกับมนุษย์คนนั้น ขณะที่มนุษย์คนอื่นๆกําลังโต้เถียงกันเกี่ยวกับบางสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ มีเพียงมนุษย์ผมดําที่ถือมีดสั้นอยู่ในมือ เท่านั้นที่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด

ด้วยความประหลาดใจของคนแคระ มนุษย์คนนั้นกลับพยักหน้ายืนยัน แต่ก่อนที่คนแคระจะตื่นเต้นและได้พูดอะไรออกมาดังๆ มนุษย์คนนั้นก็ทําเครื่องหมายโดยวางนิ้วลงที่ปากเหมือนพยายามบอกเขาว่าอย่าทําให้คนอื่นรู้ว่าเขาเข้าใจ

เมื่อคนแคระคิดว่าเขาไม่มีทางเลือกมากนัก คนแคระก็พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อยืนยันให้มนุษย์รู้ว่าเขาเข้าใจแล้ว

จากนั้นในมุมมองของคนแคระมนุษย์คนนั้นก็หันกลับไปยังกลุ่มของเขาและพูดบางอย่างที่คนแคระสามารถเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ออกมา ราวกับว่าเขากําลังพูดภาษาของคนแคระ ภาษาคูซดูลอยู่ยังไงยังงั้น และนี่ก็เป็นเรื่องที่ทําให้คนแคระประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่สิ่งที่ทําให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่านั่นคือสิ่งที่มนุษย์คนนั้นพูด

“ ฉันคิดว่าเขาต้องการความช่วยเหลือจากเรา บางที่ญาติของเขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่และเหลือเขาไว้เพียงคนเดียว?” โนอาห์แนะนําด้วยเสียงที่สงบๆ

คนแคระตัวเล็กสามารถเข้าใจสิ่งที่โนอาห์พูดได้อย่างสมบูรณ์ แต่เนื่องจากเขาเป็นเด็กที่ฉลาด เขาจึงเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าโนอาห์พยายามจะทําอะไร

เขาไม่ต้องการให้เพื่อนของเขารู้ว่าพวกเขาสามารถสื่อสารกันได้ คนแคระเด็กไม่เข้าใจเหตุผลของโนอาห์ แต่ถ้าเขาร่วมมือกับมนุษย์คนนี้แล้วจะช่วยให้เขารอดจากที่นี่ได้ คนแคระตัวน้อยก็ไม่ต้องคิดซ้ำอีกครั้งเลยด้วยซ้ำ เขายอมร่วมมือกับมนุษย์คนนี้โดยแสร้งว่าเขาทําเป็นไม่เข้าใจกันและกันต่อไป

นั่นคือสิ่งที่โนอาห์ต้องการเพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทําไมเขาถึงเข้าใจสิ่งที่คนแคระกําลังพูดถึง ในขณะที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆไม่เข้าใจ

สําหรับโนอาห์ มันเหมือนกับว่าคนแคระพูดภาษาอังกฤษได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่มีผู้ถูกเลือกคนไหนที่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด

คําตอบสําหรับคําถามนั้นมันถูกตอบมาในรูปแบบของหน้าต่างสีดําที่คุ้นเคยซึ่งลอยอยู่ตรงหน้าโนอาห์ หน้าต่างบอกว่าเขาในฐานะผู้สืบสายเลือดของลูซิเฟอร์ เขาจะสามารถสื่อสารกับทุกสายพันธุ์ในภาษาใดก็ได้ตราบเท่าที่เขาต้องการทําเช่นนั้น

(ในฐานะเจ้าแห่งนรก ลูซิเฟอร์จัดการกับมนุษย์ทุกหนทุกแห่ง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลายเป็นผู้ปกครองนรกสําหรับเผ่าพันธุ์อื่นๆ เช่น คนแคระ เอลฟ์ โนมส์ แพนด้า เนกอส โทรลล์ นางเงือกและเงือก ปอบ ออร์ค (ตราบใดที่พวกเขามีสติปัญญาพอที่จะพูด) คนกบ เซนทอร์ และ เผ่าพันธุ์อื่นนับไม่ถ้วนจากทั่วจักรวาล เพื่อจัดการกับเผ่าพันธุ์เหล่านี้ ลูซิเฟอร์ก็ได้พัฒนาวิธีการพูดคุยของเขาให้สามารถพูดคุยกับทุกเผ่าพันธุ์ได้โดยไม่ต้องพึ่งภาษา และสิ่งนี้ถูกรวมเข้ากับระบบ ทําให้ผู้ใช้มีความสามารถแบบเดียวกัน

โนอาห์ประหลาดใจกับสิ่งนี้ ทุกวันนี้มนุษยชาติได้นําภาษาอังกฤษมาใช้เป็นภาษาสากล ไม่ว่าบุคคลนั้นจะอยู่ในประเทศใดในโลกภาษาพูดที่พวกเขาจะใช้มักจะเป็นภาษาอังกฤษเสมอ แน่นอนว่ายังมีรูปแบบต่างๆอยู่บ้าง เช่น สําเนียงการพูดต่างๆ และการใช้คําบางคําจากดาวเคราะห์ดวงอื่น

ด้วยเหตุนี้ฟังก์ชันนี้จึงไม่ค่อยมีประโยชน์สําหรับโนอาห์เมื่อพูดถึงมนุษย์คนอื่น แต่เมื่อพูดถึงสายพันธุ์อื่น มันสมบูรณ์แบบมาก

มนุษย์ที่บุกป้อมปราการเอลฟ์กล่าวว่าพวกเขาพยายามสื่อสารกันด้วยคําพูด แต่ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถเข้าใจกันได้ และเมื่อเป็นยังงั้นหลังจากนั้นสงครามก็เริ่มต้นขึ้น พวกเขาต้องฆ่าพวกเอลฟ์ แต่ตอนนี้โนอาห์สามารถเข้าใจคนแคระคนนี้ได้อย่างสมบูรณ์ และตามที่ระบบกล่าวตราบใดที่ อีกคนมีสติปัญญาเพียงพอที่จะพูด แม้ว่าจะเป็นออร์คโนอาห์ก็จะสามารถสื่อสารกับมันได้

แต่โนอาห์ไม่อยากให้ผู้ถูกเลือกคนอื่นรู้ว่าเขาสามารถเข้าใจเด็กคนนี้ได้ เพราะถ้าหากเป็นยังงั้น เขาอาจจะต้องพูดกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กําลังรับผิดชอบกับการบุกป้อมปราการครั้งนี้ และนั่นคงจะสร้างปัญหาให้กับโนอาห์อีกมากมาย ซึ่งแน่นอนเขาไม่มีความสามารถในการจัดการหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น

“ฉันไม่ต้องการถูกจับไปวิเคราะห์เหมือนกับหนูทดลอง” นั่นคือสิ่งที่เขาคิด

เมื่อได้ยินคําแนะนําของโนอาห์ ผู้ถูกเลือกอีกคนก็มองดูสีหน้าของคนแคระและตระหนักถึงสถานการณ์ของเขาและการกระทําของเขา เป็นไปได้มากที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้น

“ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กคนนี้ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ สําหรับฉันแล้วเขาดูไม่เห มือนมอนสเตอร์พวกนั้น ดังนั้นฉันคิดว่าเราน่าจะพยายามช่วยเขาด้วย” แจสเปอร์พูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ

“อืม…” มาร์เซลเอามือแตะคางแล้วมองดูคนแคระตัวน้อยที่มองผู้พูดทุกครั้ง แต่มันก็มีสีหน้าสับสนราวกับกําลังพยายามเข้าใจสิ่งที่พวกเขากําลังพูด

“เห็นได้ชัดว่าเราไม่เข้าใจเขาและเขาก็ไม่เข้าใจเรา เราจะทํายังไงเพื่อให้เราสามารถสื่อสารกับเขาได้”

ผู้ถูกเลือกครุ่นคิดและพยายามหาทางแก้ไขให้ได้ เพราะพวกเขาไม่ต้องการให้เด็กคนนี้ตายโดยไม่มีเหตุผล จนกระทั่งโนอาห์เสนอวิธีแก้ปัญหาออกมาดังๆ

“แม่ของฉันมีความเข้าใจภาษากายที่น่าฟังมาก ตั้งแต่ฉันยังเด็กแม่ก็สอนฉันมาเสมอ ฉันไม่ได้เรียนรู้มันมากจนฉันกลายเป็นเครื่องจับเท็จของมนุษย์ แต่ฉันได้เรียนรู้มากพอที่จะเข้าใจว่าใครบางคนหมายถึงอะไร ฉันเชื่อว่าถ้าเขาพยายามแสดงท่าทางในขณะที่พูดออกมาดังๆฉันอาจจะเข้าใจได้ว่าเขาหมายถึงอะไร”

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์กล่าว ผู้ถูกเลือกทุกคนก็เลิกคิ้วขึ้นและประหลาดใจเล็กน้อย นี่เป็นทักษะที่มีประโยชน์มาก และมันก็อธิบายได้ว่าทําไมโนอาห์ถึงเข้าใจในสิ่งที่คนแคระพยายามจะพูดในก่อนหน้านี้ในขณะที่คนอื่นๆไม่เข้าใจ

เพื่อพิสูจน์สิ่งที่เขาพูดโนอาห์เดินเข้าไปใกลคนแคระและพูดช้าๆพร้อมแสดงท่าทางทุกอย่างที่เขาพยายามจะพูด

คนแคระสามารถเข้าใจทุกอย่างที่โนอาห์พูด แต่เขาก็แสร้งทําเป็นสนใจในสิ่งที่โนอาห์ทําท่าทางแทนสิ่งที่โนอาห์กําลังพูด

“เราต้องการช่วยนาย นายต้องการอะไร?” โนอาห์ถาม

คนแคระแสร้งทําเป็นนึกถึงสิ่งที่โนอาห์พูดและแสดงท่าทางกลับขณะพูดภาษาคูซดูล ซึ่งเป็นภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจนอกจากโนอาห์

“พ่อแม่ของฉันถูกมอนสเตอร์เหล่านี้พาตัวไป ฉันจําได้ว่าพ่อของฉันเข้าร่วมกับผู้ชายคนอื่นๆ เพื่อพยายามปกป้องทุกคน แต่ฉันไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นยกเว้นว่ามอนสเตอร์ตัวนี้ดูเหมือนจะไม่พยายามทําร้ายผู้หญิง ฉันหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับแม่ของฉัน” คนแคระเริ่มมีเสียงสั่นเครือ ก่อนที่จะเริ่มร้องไห้และไม่สามารถที่จะพูดได้อีก

ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆมองดูโนอาห์และรอฟังคําตอบ

โนอาห์แสร้งทําเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพยายามหาสิ่งที่พูดให้เข้าใจในสิ่งที่เขาวางแผนไว้ จนในที่สุดเขาก็ตอบไปว่า

“เขาพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมอนสเตอร์ที่มาบุกรุกที่นี่ และในขณะที่พวกผู้ชายพยายามปกป้องผู้หญิงและเด็ก พวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่มอนสเตอร์พวกนั้นกลับไม่ได้พยายามทําร้ายผู้หญิงอย่างน่าประหลาด”

เมื่อได้ยินคําอธิบายของโนอาห์ ผู้ถูกเลือกทั้ง 14 คนก็เบิกตากว้างและพูดไม่ออก ในมุมมองของพวกเขา เด็กคนนั้นเพียงแคโบกมือไปเหมือนกับดาบและเลียนแบบมอนสเตอร์พวกนั้นเท่านั้น แต่จากการกระทําแบบนั้นโนอาห์กลับสามารถเข้าใจเป็นคําพูดแบบนี้ได้ทั้งหมด

“แน่ใจนะว่าเขาพูดแบบนั้น?” นักเวทย์สายฟ้าถามด้วยน้ําเสียงไม่แน่ใจ

“ฉันแน่ใจประมาณ 90% อาจมีบางอย่างประมาณ 10% ของข้อมูลที่หายไป แต่ฉัน เชื่อว่าฉันจับสาระสําคัญของมันได้แล้ว” โนอาห์กล่าวขณะที่เขาหันไปมองคนแคระที่ฟื้นจากอารมณ์ของเขาได้อย่างรวดเร็ว

ผู้ถูกเลือกมองหน้ากันด้วยสีหน้าตกตะลึง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อว่าการอ่านท่าทางทางร่างกายและการแสดงออกทางสีหน้าจะมีประโยชน์เป็นอย่างมากในการสื่อสารกับผู้อื่นโดยไม่ต้องใช้คําพูด

ในความคิดของพวกเขาถ้ามนุษย์ที่บุกเข้ามาที่ป้อมปราการเอลฟ์มีคนแบบโนอาห์อยู่ในทีม สิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นย่อมแตกต่างออกไปอย่างแน่นอน บางทีมนุษย์อาจได้รู้จักกับพวกเอลฟ์ที่จะนําพามนุษยชาติไปสู่อีกระดับหนึ่ง

โนอาห์เริ่มสร้างทฤษฎีด้วยข้อมูลที่เขาได้รับในป้อมปราการแห่งนี้ หากสิ่งที่ระบบพูดนั้นถูกต้อง คนแคระและเอลฟ์อาศัยอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่แค่ในป้อมปราการที่ถูกสมมติขึ้น เหมือนที่คนทั่วไปเชื่อกัน และชิ้นส่วนพลังศักดิ์สิทธิ์ที่โนอาห์ดูดซับจากคนแคระที่เขาเผา อาจเป็นพรถูกที่มอบให้แก่พวกเขาโดยพระเจ้าองค์เดียวกันกับที่มนุษย์ได้รับพร และหากเรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริง สิ่งที่ผู้ถูกเลือกคิดเกี่ยวกับการนำมนุษยชาติพัฒนาไปสู่อีกระดับหนึ่งก็จะเป็นไปได้จริงๆ และโนอาห์ก็จะมีบทบาทสําคัญในเรื่องนั้น

“ทุกคน…” โนอาห์ดึงความสนใจของผู้ถูกเลือกทั้งหมดมาที่ตัวเอง เพราะเขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันต่างไปจากปกติ

หลังจากที่ทุกคนหยุดสิ่งที่พวกเขากําลังทําและให้ความสนใจเขาแล้ว โนอาห์ก็พูดต่อ

“เกี่ยวกับคนแคระพวกนี้ พวกคุณคิดยังไงกับพวกเขา”

ทั้งกลุ่มเริ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับคําถามของโนอาห์ คนแรกที่ตอบคือมาร์เซล

“คนแคระที่ปรากฏขึ้นในป้อมปราการพวกนี้แปลกมาก ฉันเคยไปศึกษาป้อมปราการที่โด่งดัง ที่มีเรื่องเอลฟ์ปรากฏขึ้นในป้อมปราการในตอนที่ฉันยังเด็ก แต่เรื่องในตอนนี้ก็ยังแตกต่างไปจากตอนนั้นอยู่ดี ฉันคิดว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เรามาเจอคนแคระในป้อมปราการแห่งนี้ ป้อมปราการแห่งนี้จะต้องมีอะไรบางอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินสิ่งที่มาร์เซลพูดผู้ถูกเลือกอีกคนหนึ่งก็พยักหน้า แสดงว่าพวกเขาเห็นด้วยอย่างชัดเจนกับสิ่งที่มาร์เซลพูด สําหรับโนอาห์ มาร์เซลได้พูดสิ่งที่เขากําลังคิดอยู่ราวกับว่ามาร์เซลอ่านใจเขาได้

“เอาล่ะ ฉันขอเผาศพพวกนั้นด้วยได้ไหม ฉันรู้สึกไม่ดีเลยที่เราทิ้งศพนั้นไว้ในห้องก่อนหน้า ฉันกังวลว่าจะมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นถ้าเราไม่กําจัดศพเหล่านั้นเหมือนกับที่เราทํากับมอนสเตอร์ เนื่องจากมอนเตอร์พวกนี้ดูเหมือนจะชอบเนื้อคนแคระหรือเลือดของพวกเขา การปล่อยให้ศพของพวกเขาอยู่ที่นี่ อาจจะดึงดูดมอนสเตอร์มามากขึ้นด้วยกลิ่นของศพ และมันก็ทําให้ฉันรู้สึกไม่ดี ฉันรู้สึกว่าเขาก็คล้ายกับมนุษย์เพราะฉะนั้นควรจะจัดการกับศพให้ดี”

โนอาห์ใช้ความรู้ทางภาษากายทั้งหมดของเขาเพื่อพยายามสื่อให้พวกเขารู้โดยไม่รู้ตัว เขาพยายามสื่อให้ทุกๆคนคิดว่าเขารู้สึกแย่กับการทําสิ่งนี้ เพราะเขาไม่ต้องการให้ทุกคนคิดว่าเขาเป็นคนโรคจิตที่คลั่งไคล้การเผาศพทุกอย่าง และนั่นไม่ใช่เพียงแค่มอนสเตอร์เท่านั้น

การเผาร่างของมอนสเตอร์และการเผาร่างของมนุษย์เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในด้านศีลธรรม เพราะฉะนั้นเขาจะต้องอธิบายให้ชัดเจนเพื่อกันความเข้าใจผิด

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูด ผู้หญิงที่มีลูกพี่ลูกน้องที่เป็นคนแคระก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยกับสถานการณ์นี้ แต่เมื่อนึกถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้เพราะเหตุนี้ และโนอาห์ที่เผาศพไปกี่ครั้ง แล้วเธอก็กลืนคําพูดนั้นเข้าไป

เมื่อมองดูสีหน้าของผู้ถูกเลือกที่เหลือ โนอาห์ก็เห็นว่าไม่มีใครที่ต่อต้านการเผาศพเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโนอาห์ทําราวกับว่าเขาไม่อยากจะทําสิ่งนี้จริงๆ และเขาก็รู้สึกแย่จริงๆ แต่จริงๆแล้วนี่เป็นสิ่งที่โนอาห์ต้องการมากที่สุด

เมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกัน โนอาห์จึงสร้างลูกไฟดวงเล็กๆขึ้นมาเพื่อสัมผัสกับคนแคระ

เขาหวังว่าข้อความของระบบที่บอกว่าเขาไม่สามารถเผาสิ่งมีชีวิตในตอนที่เขาจะเผาศพของมนุษย์จะเกิดขึ้นอีกครั้งในตอนนี้

[พบศพคนแคระ อัตราบาป: 27% ผู้ชายธรรมดา ได้รับการชําระให้บริสุทธิ์]

เมื่อข้อความปรากฏขึ้น ตอนแรกโนอาห์รู้สึกผิดหวัง โดยคิดว่าเขาจะชําระให้บริสุทธิ์ไม่ได้ แต่เมื่ออ่านเนื้อหา โนอาห์มีความสุขมากขึ้นและเริ่มจดจ่อกับสิ่งที่เขาจะได้รับเมื่อเผาคนแคระคนนี้เสร็จ

เนื่องจากในข้อความในตอนที่ทักษะของเขาได้พัฒนาขึ้นมาหนึ่งระดับ มันได้บอกว่าเมื่อเขาเผามนุษย์ เขาจะได้รับรางวัลพิเศษบางอย่าง เขากลัวว่าเนื่องจากสิ่งที่เขาเผาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสิ่งมีชีวิตในเผ่าพันธุ์คนแคระ สิ่งนี้อาจไม่ได้ผล แต่โชคดีที่ระบบถือว่าคนแคระเป็นมนุษย์ด้วย

“งั้นพวกเอลฟ์ก็อยู่ในหมวดนี้ด้วยเหรอ? และพวกออร์ค และเอเลี่ยน…? ให้ตายสิ ทําไมถึงมีคําถามเข้ามามากกว่าคําตอบละเนี่ย” โนอาห์คิดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

โนอาห์เผาศพจนหมด แต่สิ่งเดียวที่เกิดขึ้นคือค่าทักษะของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งนี้ทําให้เขาผิดหวังเล็กน้อย แต่ในขณะที่เขายังมีอีกสองศพที่เหลือให้เผา โนอาห์ก็ไม่ยอมแพ้และเผาอีกร่างหนึ่งทันที…การเผาศพครั้งที่สองเกิดความล้มเหลวอีกครั้งและเขาก็ไม่ได้รับอะไรนอกจากค่าประสบการณ์

“บ้าเอ้ย บางทีฉันอาจได้อะไรจากการเผามนุษย์จริงๆเท่านั้น” โนอาห์คิดอย่างหงุดหงิด

เมื่อเขาเผาคนแคระคนที่สามแล้ว ข้อความอื่นก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา หลังจากความล้มเหลวหลายครั้ง โนอาห์คิดว่าข้อความนั้นกําลังจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะได้อะไรจากศพของคนแคระ แต่เมื่อเขาอ่านข้อความนั้นมันก็ต้องทําให้เขาประหลาดใจ

(ผู้ใช้ชําระล้างคนแคระสําเร็จ ในระหว่างการทําให้บริสุทธิ์พบร่องรอยของพลังงานศักดิ์สิทธิ์เล็กน้อย พลังงานนี้ถูกใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของคนแคระ และนี้เป็นส่วนสําคัญที่ผู้ใช้ดูดซับ หากผู้ใช้ดูดซับส่วนสําคัญนี้ได้เพียงพอสิ่งนี้จะสามารถแปลงเป็นพลังที่แท้จริงได้)

เมื่อโนอาห์อ่านข้อความนี้เขาก็ตกใจมาก เขาคิดว่าอย่างมากที่สุด เขาจะได้รับค่าป ระสบการณ์พิเศษสําหรับสิ่งนี้เท่านั้น แต่เขาไม่ได้คิดว่าจะได้พลังงานศักดิ์สิทธิ์มาด้วย

วินาทีนั้นเองที่โนอาห์นึกถึงพวกโจรและฆาตกรในเมืองของเขาและคิดถึงความเป็นไปได้บางอย่างออกมา แต่เมื่อคํานวณความเสี่ยงและผลกําไรที่เขาจะได้รับหลังจากการทําแบบนั้นแล้ว โนอาห์ก็ปล่อยความคิดนั้นไปในตอนนี้ เพราะถ้าเขาจะทําอะไรแบบนั้นได้ เขาจะต้องวางแผนให้ดีกว่านี้ก่อน

ผู้ถูกเลือกรู้สึกไม่ดีเมื่อเห็นโนอาห์เผาศพเหล่านั้น แต่พวกเขาปลอบใจตนเองว่าคนแคระเป็นเพียงมอนสเตอร์และโยนความคิดเชิงพระเจ้าใดๆไว้ในจิตใจของพวกเขา ในขณะที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นและไม่สนใจที่โนอาห์จะเผาศพต่อไป

หลังจากเผาศพที่เหลืออีกสามศพ โนอาห์ก็ได้รับพลังงานส่วนสําคัญอีกสองอัน แต่ค่าสถานะความแข็งแกร่งของเขาก็ยังไปไม่ถึง 15 หน่วยอยู่ดี

‘บางทีฉันอาจต้องการเผาศพมากกว่านี้? ฉันหวังว่าจะมีโบกี้ต่อไปอีกสักสองถึงสามโบกี้รถไฟ หรืออย่างน้อยก็ขอให้มันเพียงพอที่จะทําให้ฉันได้รับค่าสถานะเพิ่มขึ้นอีกหน่วยหนึ่ง’ โนอาห์คิด

หลังจากทําความสะอาดทุกอย่างแล้ว ทั้งกลุ่มก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้งและไปที่ โบกี้ถัดไป เมื่อพวกเขาเดินผ่านประตูพวกเขาก็พบกับห้องที่แตกต่างจากห้องที่พวกเขาเดินผ่านมาโดยสิ้นเชิง

ตอนนี้พวกเขาได้มาพบกับโบกี้รถไฟที่ดูเหมือนโบกี้โดยสารบนรถไฟธรรมดาซึ่งมีช่องแยกสําหรับห้องโดยสารที่ผู้โดยสารจะพักระหว่างการเดินทางกับผู้โดยสารปกติ ความแตกต่างที่เห็นได้ ชัดที่สุดที่แตกต่างจากรถไฟธรรมดาคือประตูห้องโดยสารเหล่านี้พังทั้งหมด ไม่มีประตูใดเลยที่ไม่พังเสียหาย

ในตอนที่พวกเขาเดินผ่านตู้โดยสารพวกเขาสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้ากระจัดกระจายไปทั่วตู้โดยสาร พวกเขาพยายามคุ้ยเสื้อผ้าเพื่อดูว่าพวกเขาจะพบของมีค่าอะไรในเสื้อผ้าที่คนแคระอาจจะนําติดตัวมาด้วยในกระเป๋าหรือไม่ แต่พวกเขาก็ต้องผิดหวัง เพราะพวกเขาไม่พบอะไรนอกจากเสี้อผ้าและของที่ใช้ในสุขอนามัย แม้แต่เงินพวกเขาก็ไม่พบเช่นกัน และนั่นน่าจะเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่พบกระเป๋าเงินหรือสิ่งของประเภทนั้นตามตู้โดยสารเลย

นอกจากสัมภาระที่เลอะเทอะและประตูที่พังแล้ว ยังมีอย่างอื่นที่ห้องโดยสารทุกห้องมีเหมือนกัน ไม่เพียงแต่ทุกอย่างจะเลอะเทอะเท่านั้น แต่ที่ทางออกของห้องโดยสารแต่ละห้องก็จะมีรอยเลือดที่คล้ายกับเส้นทางที่พวกเขาพบในโบกี้ขบวนอื่นๆ ที่เมื่อพวกเขาตามไปแล้วพวกเขาจะพบกับศพของคนแคระ

แต่คราวนี้รอยเลือดที่หลงเหลืออยู่บนเส้นทางนั้นใหญ่กว่ามาก เนื่องจากน่าจะมีคนแคระที่ถูกมอนสเตอร์ตัวนั้นจัดการมากกว่าหนึ่งคนต่อหนึ่งห้องโดยสาร นี่หมายความว่ามีคนแคระอย่างน้อยหลายสิบคนถูกลากไปตามทางเดินนี้และทิ้งรอยเลือดจํานวนมากไว้

ผู้ถูกเลือกดูหวาดกลัวเล็กน้อย ถ้ามอนสเตอร์มีเพียงสามตัวพวกเขาก็สามารถสร้างความสับสนและโจมตีพวกมันได้ แต่เมื่อคาดการจากจํานวนรอยเลือดและคนแคระที่ถูกสังหารพวกเขาก็คิดว่าจะต้องมีมอนสเตอร์จํานวนมากที่สังหารคนแคระจํานวนขนาดนี้ และพวกเขาก็ยังมั่นใจได้ จากเมื่อพวกคนแคระจํานวนมากถูกฆ่า สิ่งที่จะต้องลากศพจํานวนมากไปด้วยก็จะต้องเป็นมอนสเตอร์จํานวนมากอย่างแน่นอน

พวกเขาเริ่มสงสัยว่าจะรับมือกับภารกิจนี้ได้หรือไม่ เนื่องจากหากมีมอนสเตอร์เพียงสามตัวพวกเขาก็ยังสามารถรับมือได้ หรือแม้กระทั่งห้าตัวพวกเขาก็ยังสามารถรับมือได้อยู่ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าโนอาห์จะช่วยเหลือตัวเองด้วยการเคลื่อนย้ายของเขาได้ตลอดเวลาในตอนที่เขาบุกป้อมปราการนี้หรือไม่

และถ้าหากดูจากจํานวนคนแคระที่ถูกลากจากที่นี้ไป พวกเขาคาดการณ์ว่าอาจจะมีมอนสเตอร์ถึงสิบตัว และนี่เป็นเพียงค่าประมาณขั้นต่ำเท่านั้น พวกเขารู้ว่าจํานวนมอนสเตอร์อาจจะมากกว่านี้สองถึงสามเท่าเลยทีเดียว

หลังจากค้นหาทั่วทั้งห้องโดยสารที่ห้าและไม่พบอะไรอีก พวกเขาก็เข้าใจว่าพวกเขาจะไม่พบกับสิ่งมีค่าใดๆอีก พวกเขาจึงเลิกมองหาและตัดสินใจไปที่โบกี้ถัดไปทันที

แต่ก็มีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นคือในตอนที่พวกเขากําลังจะผ่านห้องโดยสารพวกเขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาอูอี้ออกมาจากชั้นวางสัมภาระ

เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงนั้น ผู้ถูกเลือกทั้งหมดก็มองไปที่ห้องโดยสารและชักอาวุธของพวกเขาทันที

พวกเขาเตรียมตัวให้พร้อมในกรณีที่พวกเขาต้องเผชิญกับมอนสเตอร์ในสถานการณ์แบบนี้ แจสเปอร์มีความสามารถมากกว่าโนอาห์ เพราะเขาว่องไวพอที่จะโจมตีมอนสเตอร์ที่อาจอยู่ที่ นั่นก่อนที่มอนสเตอร์จะโจมตีเขา ถ้าหากโนอาห์ตอบสนองได้ไม่เร็วพอที่จะเทเลพอร์ต เขาอาจตายได้

เมื่ออาวุธทั้งหมดถูกเล็งไปที่ต้นเสียง กลุ่มคนที่เข้าไปในห้องโดยสารขณะที่แจสเปอร์เดินไปข้างหน้าทุกคนและหยิบกระเป๋าใบหนึ่งที่ซ่อนอยู่ปลายห้องออกอย่างระมัดระวัง

ทั้งกลุ่มคิดว่าพวกเขาจะต้องพบกับมอนสเตอร์ตัวหนึ่งที่ยังติดอยู่ในสถานที่นี้ แต่เมื่อแจสเปอร์หยิบกระเป๋าเดินทางที่คลุม “มอนสเตอร์” นี้ออก สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาทุกคนกลับกลายเป็นคนแคระ และคนแคระคนนี้แตกต่างจากคนแคระคนอื่นๆที่พวกเขาพบ เพราะคนแคระคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ และมีอวัยวะครบถ้วน

คนแคระที่พวกเขาพบนี้กําลังมองพวกเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง

พวกเขาไม่ได้คิดว่าจะเจอสิ่งนี้ นักธนูเตรียมธนพร้อมที่จะโจมตีได้ทุกเมื่อ เพราะเขากลัวว่าคนแคระจะโจมตีพวกเขาและพวกเขาจะต้องต่อสู้กับคนแคระเหมือนกับที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆไปเจอกับพวกเอลฟ์ในป้อมปราการอื่น

แต่คนแคระไม่เคลื่อนไหว แม้ว่าคนแคระทั้งหมดจะตัวเล็ก แต่พวกเขาก็สรุปได้ว่าคนแคระคนนี้อายุน้อยกว่าคนแคระคนอื่นๆ แม้ว่าเขาจะแสดงสีหน้าหวาดกลัวอยู่ก็ตาม

“*! 8 #9696 $ #9% 89% 8 # $ 8 #& &! 8 #96.” คนแคระพูดด้วยน้ำเสียง สั่นเครือ ซึ่งไม่มีผู้ถูกเลือกคนไหนเข้าใจ

มันเป็นภาษาที่พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน และพวกเขาก็ไม่เคยได้ยินใครพูดภาษานี้บนดาวเคราะห์ดวงใดที่พวกเขารู้จัก

แต่ยกเว้นเพียงคนเดียวในหมู่ของพวกเขามีคนๆหนึ่งที่เข้าใจทุกอย่างที่คนแคระพูด

โนอาห์มองคนแคระอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะเขาเข้าใจในสิ่งที่คนแคระพูดเป็นอย่างดี

Chapter 81:81 เลเวลเปลวไฟแห่งนรก

“ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม”

มาร์เซลไม่สามารถหุบปากของเขาได้เมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของเขา

เขาพยายามนับจํานวนครั้งที่โนอาห์เทเลพอร์ตในการต่อสู้เพื่อให้เข้าใจถึงความสามารถของเขา เพื่อที่กลุ่มของเขาจะได้ว่ากลยุทธ์ในป้อมปราการถัดไปที่พวกเขาบุกเข้ามาได้ แต่เมื่อเขานับเทเลพอร์ตได้ 15 ครั้ง เขาก็เห็นมอนสเตอร์ตัวหนึ่งถูกไฟลุกในจุดต่างๆและไฟที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นก็เกิดขึ้นจากเปลวไฟของโนอาห์

เมื่อมาร์เซลเห็นสิ่งนี้ เขาคิดว่าโนอาห์จะต้องชะลอความเร็วในการเทเลพอร์ตเพื่อรักษาความสามารถทั้งสองอย่างไว้ แต่น่าแปลกที่เปลวไฟยังคงเผาไหม้และปรากฏขึ้น บนตัวมอนสเตอร์มากขึ้น และโนอาห์ก็เทเลพอร์ตเร็วขึ้นเช่นกัน

เมื่อถึงจุดหนึ่งมาร์เซลต้องเลือกเพียงสิ่งเดียวว่าเขาต้องจดจ่อกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นรอบตัวของเขาหรือเขาจะมุ่งความสนใจไปที่การเคลื่อนย้ายของโนอาห์ เพราะเขาไม่สามารถทําทั้งสองอย่างพร้อมกันได้เนื่องจากความเร็วในการเคลื่อนย้ายของโนอาห์

จากจํานวนการระเบิดและแสงที่โนอาห์สร้างขึ้น มาร์เซลคิดว่าโนอาห์ทําการเคลื่อนย้ายอย่างน้อยหนึ่งครั้งทุกๆสองวินาที และนี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ถึงและเขาคิดว่าทักษะของโนอาห์นั้นไม่สมดุลเป็นอย่างมาก

เขาถือว่าพรของแจสเปอร์นั้นทรงพลังและอยู่ในระดับสูงอยู่เสมอ ไม่ใช่ในแง่ของความหวือหวาของพร แต่เป็นในแง่ของความสามารถ

แม้จะนําพรของแจสเปอร์ไปเทียบกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆที่มีพรที่คล้ายคลึงกัน และถ้าพวกเขาอยู่ในระดับเดียวกัน แจสเปอร์จะเหนือกว่าเสมอ แต่การเป รียบเทียบแจสเปอร์กับโนอาห์นั้นเป็นไปไม่ได้

ความว่องไวของแจสเปอร์นั้นเหนือกว่าโนอาห์จริงๆ บางทีอาจเร็วกว่าโนอาห์ถึงสองเท่าเมื่อแจสเปอร์ใช้ความ สามารถของเขาในระดับสูงสุด แต่การเปรียบเทียบแบบนั้นกับคนที่สามารถเทเลพอร์ตได้บ่อยๆในช่วงเวลา สั้นๆนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะมันเป็นเรื่องจริงที่ว่าโนอาห์สามารถโจมตีจากทั้งไกลและใกล้ได้เรื่อยๆ

เขาพูดถูกจริงๆพรของโนอาห์ไม่เคยสนับสนุนเขาในการเป็นนักเวทย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบว่าอะไรดีกว่าระหว่างนักเวทย์หรือนักฆ่า แค่ดูจากจํานวนครั้งการเทเลพอร์ตก็น่าจะรู้คําตอบแล้ว นักเวทย์ที่ดีสามารถจัดการกับศัตรูได้หลายตัว แต่นักฆ่าที่ดีสามารถจัดการกับศัตรูตัวใดก็ได้

หลังจากที่แจสเปอร์แทงตาของมอนสเตอร์ไปข้างหนึ่งแล้ว มอนสเตอร์ตัวนั้นก็ฉลาดขึ้นมากและไม่ปล่อยให้แจสเปอร์ละสายตาจากมันเพื่อไปโจมตีตาอีกข้างของมันอีก

เนื่องจากแจสเปอร์ไม่มีความสามารถในการเคลื่อนย้ายเหมือนโนอาห์ ในท้ายที่สุดเขาจึงต้องพึ่งพานักเวทย์และนักธนูของกลุ่มเพื่อโจมตีมอนสเตอร์เกือบทั้งหมด

เมื่อมอนสเตอร์ได้รับความเสียหายในจุดที่ทุกคนสามารถรับมือได้ มาร์เซลและนักรบคนอื่นๆก็เข้าไปใกล้มัน เพื่อจบการต่อสู้กับมอนสเตอร์ตัวนี้ทันที และ แจสเปอร์ก็เข้าไปสนับสนุนโนอาห์ต่อ

การต่อสู้จึงจบลงค่อนข้างง่าย สิ่งเดียวที่โดดเด่นที่สุดคือหน้าผากของโนอาห์ที่มีเหงื่อออก และแจสเปอร์ที่กําลังหอบ หายใจแรงอยู่บนพื้นหลังจากที่เขาหลบการโจมตีจํานวนมาก

“นายคือปีศาจ!” แจสเปอร์ตะโกนเมื่อเขาชี้ไปที่โนอาห์

เสี้ยววินาทีนั้นโนอาห์คิดว่าแจสเปอร์ค้นพบความ เกี่ยวข้องของเขากับลูซิเฟอร์ แต่เมื่อเห็นว่าเขารู้สึกประ ทับใจ โนอาห์ก็ผ่อนคลายและหัวเราะกับ สิ่งที่เพื่อนของเขาพูด เช่นเดียวกับในครั้งอื่นๆโนอาห์ใช้ค วามสามารถของเขาในการเผาศพของมอนสเตอร์ ในขณะที่ ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆกําลังพูดคุยกันอย่างอบอุ่นเกี่ยวกับการต่อ สู้ที่เพิ่งเกิดขึ้น และพยายามค้นหาว่าโนอาห์ได้เทเลพ อร์ตไปทั้งหมดกี่ครั้ง

โนอาห์รู้ว่าเขาใช้การเทเลพอร์ตมาแล้ว 100 ครั้ง แต่หลังจากนั้นเขาก็หยุดนับ ในท้ายที่สุดค่าประสบการณ์ที่เขาจะได้รับนั้นขึ้นอยู่กับระยะทางที่เขาเคลื่อนย้าย น่าเสียดายที่เขามีระยะทางจํากัด ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ต้องการรถเลยด้วยซ้ํา เขาจะสามารถเคลื่อนย้ายจากบ้านของเขาไปที่ใดก็ได้ที่เขาต้องการ แต่นั่นยังเป็นไปไม่ได้ นอกจากนี้เขาสามารถไปได้ไกลแค่ 100 เมตรเท่านั้น และเขารู้สึกเหนื่อยมากทุกครั้งที่เขาทําอย่างนั้น การทําเช่นนั้นบ่อยๆไม่สามารถทําได้เลย

อย่างน้อยก็เป็นไปไม่ได้ในตอนนี้ แต่ในอนาคต? …ใครจะ ไปรู้?” โนอาห์คิดด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายขณะจินตนาการว่าเขาจะสามารถไปที่ไหนก็ได้ในทันที บางทีเขาอาจจะไปถึงดาวดวงอื่นได้ในชั่วพริบตาก็ได้

น่าเสียดายที่สิ่งนี้ยังคงเป็นความฝันอันแสนไกล หากเขายังไม่ได้พัฒนาทักษะของเขาถึงระดับ 02 ก่อนเขาก็ยังไม่มีพื้นฐานสําหรับการจะทําแบบนั้นในอนาคต

ขณะที่เขาเผามอนสเตอร์ โนอาห์สังเกตเห็นว่าศพแต่ละศพมีชิปควบคุมอยู่ที่ท้องด้วย

อย่างไรก็ตามมอนสเตอร์เหล่านี้ไม่มีแผลเป็นและรอยเย็บที่ท้องเหมือนมอนสเตอร์ตัวแรก และทําให้การต่อสู้มีปัญหามากขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ทําให้กลุ่มของเขาไม่ สามารถฆ่ามอนสเตอร์ทั้งสามได้

สิ่งเดียวที่ควรสังเกตคือชิปเหล่านี้ในท้องของมอนสเตอร์ตัวนี้ก็เหมือนกับชิปในท้องของมอนสเตอร์ตัวแรก ซึ่งมันเพิ่มความสงสัยของผู้ถูกเลือกทั้งกลุ่มกับสิ่งที่อยู่ เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี่

ทั้งกลุ่มของเขาลงความเห็นว่ามอนสเตอร์พวกนี้ด้อยการพัฒนาด้านสติปัญญา และพวกมันไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่ จะทําชิปแบบนี้ และนี่ทําให้พวกเขามั่นใจในทฤษฎี การค วบคุมความอยากอาหาร” ของโนอาห์ ปัญหาคือโนอาห์เริ่ม กังวลเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้

ตั้งแต่แรกจนกระทั่งถึงตอนนี้พวกเขาไม่พบอะ ไรนอกจากความสงสัย ในตอนที่พวกเขาเดินในป้อมปราการนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาจะพบคนแคระในป้อมปราการแห่งนี้ ตอนนี้พวกเขายังพบว่ามอนสเตอร์พวกนี้ถูกควบคุม และสิ่งที่พวกเขากลัวจริงๆคือแล้วใครที่เป็นคนควบคุมมอนสเตอร์เหล่านี้ และเมื่อมองดูที่พื้น โนอาห์ก็เริ่มที่จะนึกออกแล้วว่าเป็นใครที่ควบคุมเรื่องทั้งหมดนี้

แต่ในขณะที่เขากําลังไตร่ตรองถึงสิ่งเหล่านี้อยู่นั้น โนอาห์ก็ได้รับการแจ้งเตือนที่เขารอคอยทันทีที่มอนสเตอร์ตัวที่สองถูกไฟเผา

โดยที่เขาไม่ได้อ่านข้อความ โนอาห์รู้สึกสบายมากขึ้น ในควบคุมเปลวไฟของเขา หากก่อนหน้าที่เขาควบคุมเปลวไฟได้ยากตอนนี้เขากลับสามารถสร้างลูกไฟสอง ลูกพร้อมกันได้โดยไม่ยากเลย

ในขณะนั้นเองที่โนอาห์ก็มีอีกความคิดหนึ่งเข้ามาในหัว ของเขา เขาตัดสินใจทดสอบอะไรบางอย่าง เนื่องจากการส ร้างลูกไฟสองลูกพร้อมกันดูเหมือนจะไม่ท้าทายพอสําหรับเขา

“ฉันต้องการทดสอบขีดจํากัดของฉัน”

ขณะเผามอนสเตอร์ตัวสุดท้าย โนอาห์ตัดสิน ใจทดสอบการใช้เปลวไฟของเขา

เขาใช้การควบคุมของเขาทีละเล็กทีละน้อยเพื่อเปลี่ ยนเปลวไฟซึ่งก่อนหน้านี้มันดูเหมือนลูกบอลให้กลายเป็น เส้นหลายเส้นที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ

คนอื่นๆในกลุ่มมองดูมอนสเตอร์ตัวสุดท้ายที่กําลังลุกไหม้ และเห็นเปลวไฟที่กําลังส่ายไปมาและสร้างขาเหมือนแมงมุม ทําให้อัตราการเผาไหม้เพิ่มขึ้นมากยิ่งขึ้นเนื่อง จากพื้นผิวสัมผัสที่มากขึ้น เมื่อพวกเขามองไปที่โนอาห์ พวก เขาตระหนักว่าเขากําลังจดจ่อและดูเหมือนจะหมดแร งมากกว่าตอนที่เขาเทเลพอร์ต

“เขาทุ่มเทอย่างมากในการทําให้ตัวเองสมบูรณ์แบบ บางที่ถ้าฉัน

ทําแบบเดียวกัน ฉันอาจจะมีทักษะที่ทรงพลังมากกว่านี้ในทักษะของฉัน…”

นั่นคือสิ่งที่ผู้ถูกเลือกมากมายรอบตัวเขาคิดในขณะที่พวก เขากําลังพักผ่อนอยู่

โนอาห์ซึ่งมีสองทักษะที่ทรงพลังอยู่แล้ว ไม่ยอมเลิกฝึกและอุทิศตัวเองอย่างต่อเนื่องในการฝึกฝนของเขาและอาจถึงกับปลดล็อกทักษะใหม่

เมื่อทุกคนรู้ว่าโนอาห์กําลังทําอะไรอยู่ บรรยากาศที่สงบ และผ่อนคลายตามปกติของกลุ่มก็ถูกแทนที่ด้วยบรร ยากาศที่หนักหน่วงและแข่งขันกันมากยิ่งขึ้น ไม่มีใครอยาก ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เมื่อโนอาห์ได้รับเลือก ให้เป็นนักเวทย์หลักของกลุ่ม นักเวทย์คนอื่นๆก็เริ่มฝึกฝน มากขึ้นเพื่อที่จะได้ตําแหน่งนี้จากโนอาห์ในสักวันหนึ่ง

เมื่อพวกเขาเห็นโนอาห์มีพลัง พวกเขาก็รู้สึกกระหายในพ ลังเช่นเดียวกัน พวกเขากระหายการพัฒนาเพื่อที่จะทําให้ เขามีพลังแบบโนอาห์ และนี่ก็เป็นเรื่องที่ดีต่อขวัญกําลังใจ ของกลุ่ม

ก่อนหน้านี้โนอาห์เป็นเพียงนักเวทย์ของกลุ่มเท่านั้น แต่ตอนนี้โนอาห์แสดงออกมาให้เห็นแล้วว่าเขาเป็นได้ทั้งนักสู้และนักเวทย์ เขาสามารถโจมตีได้ทั้งระยะใกล้และระยะไกลแม้แต่นักรบที่อยู่แนวหน้าก็รู้สึกกดดันให้พวกเขาฝึกฝนมากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้พวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

โนอาห์ไม่รู้ว่าการฝึกฝนของเขาทําให้เกิดอะไรขึ้นกับกลุ่ม เขาเพียงแค่ต้องการทดสอบการควบคุมเปลวไฟของเขาเท่านั้น และเขาก็รู้สึกประหลาดใจกับมัน บางทีในระดับถัดไปของทักษะของเขา เขาอาจจะสามารถสร้างตัวอักษรแห่งเปลวไฟได้ เห็นได้ชัดว่ามันจะไม่ละเอียดอ่อนเท่าตัวอักษรข องระบบ แต่ก็ยังเป็นตัวอักษรที่ทําขึ้นด้วยการควบคุมเปลวไฟของเขา

เป็นอีกครั้งที่โนอาห์เริ่มจินตนาการถึงเรื่องต่างๆเพื่อกระ ต้นตัวเองให้ฝึกฝนและได้หาทางทําให้ตัวเองได้รับค่าประสบ การณ์ที่มากขึ้น การพัฒนาที่ระบบทําให้เกิดขึ้นกับเขานั้น มหาศาลเป็นอย่างมาก และโนอาห์รู้ว่าในอนาคตมันจะดียิ่ง ขึ้นไปอีก

“ฉันหวังว่าค่าประสบการณ์ที่ต้องใช้เพื่อเพิ่มเลเวลข องทักษะของฉันจะไม่เพิ่มขึ้นมากเท่ากับครั้งที่แล้ว… โน อาห์คิดอย่างกังวลเล็กน้อยขณะที่เขาเปิดหน้าต่างสถานะ เพื่อดูว่ามันเป็นยังไง

ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 03]

[ประสบการณ์: 16/1,600]

[HP: 14/14]

[ความแข็งแรง: 14]

ความคล่องตัว: 14]

[ความแข็งแกร่ง: 14]

[สกิล:เปลวไฟจากนรก เลเวล: 03 : 18/2,500]

คําอธิบายสกิละ เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปล วไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟ ธรรมดา แต่หลังจากชําระคนบาปและบาปมากมายมันก็ก ลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพ เจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะ ต้องเผาบาปหรือคนบาป]

[** หลังจากถึงเลเวล 03 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัว ให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและควบคุมเปลวไฟได้เป็นธรรม ชาติยิ่งขึ้น นอกจากนี้เปลวไฟยังสามารถชําระล้างม นุษย์ที่สึกกร่อนจากบาปได้แล้ว ยิ่งบาปของมนุษย์มากเท่า ใด ผลประโยชน์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น **]

[หลักแห่งไฟ เลเวล: 02 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัว ให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและการควบคุมมันก็เป็นธรรมชาติ มากขึ้นเล็กน้อยนอกจากนี้ยังทําให้มนุษย์ได้ รับการกัดกร่อนจากบาป มนุษย์ที่มีบาปเพียงเล็กน้อยก็ไม่ สามารถชําระล้างได้)

[อุโมงค์นรก เลเวล: 01 : 286/300

ทักษะที่สามารถทําให้เปิดอุโมงค์สู่นรกและออกไปที่อื่น ได้ในเสี้ยววินาทียิ่งระยะทางไกลมากเท่าไหร่พลังงานที่จะ ใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น)

นรกได้กักขังวิญญาณของคนบาปไว้ในอุโมงค์นี้มาตั้งแต่ ทุกสิ่งมีชีวิตถือกําเนิดขึ้น และกังขังมาชั่วนิรันดร์ เพื่อรองรับ ปีศาจและวิญญาณจํานวนมากพื้นที่นี้จึงขยายตัวมากกว่า โลกของสิ่งมีชีวิตหลายเท่า เมื่อใดก็ตามที่ลูซิเฟอร์เดินผ่านอุ โมงค์เหล่านี้ผู้คนก็จะรู้ว่าเขากําลังเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสัก แห่ง และเขาก็สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้ที่อุโมงค์นี้ไป ถึงเหล่าผู้คนจะคิดว่าเขากําลังเทเลพอร์ต

“อืม…ถึงแม้ฉันจะแบ่งปันค่าประสบการณ์กับคนอื่นๆ แต่การฆ่ามอนสเตอร์สองตัวนี้ยังทําให้ได้รับค่าป ระสบการณ์แปดหน่วยต่อหนึ่งตัว ป้อมปราการระดับ D ให้ ค่าประสบการณ์ได้มากกว่าจริงๆ ตอนนี้ให้ฉันดูค่าป ระสบการณ์ที่ต้องใช้ในการพัฒนาในขั้นถัดไป.สองพัน ห้าร้อย..ค่าประสบการณ์ โนอาห์อ้าปากค้าง เมื่อเขาเห็นจํานวนค่าประสบการณ์ที่เขาต้องใช้เพื่อเพิ่มระ ดับทักษะของเขาอีกครั้ง

“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วฉันจะไปถึงระดับ S ได้จริงๆ ไหมเนี่ย” โนอาห์คิดอย่างตกตะลึงเล็กน้อย

แต่เมื่อเขาอ่านคําอธิบายของทักษะนี้ โนอาห์ก็ก้มหน้า ลงอย่างรวดเร็ว โดยลืมนึกถึงเรื่องค่าประสบการณ์ที่ทํา ให้เขาท้อแท้

“นี่หมายความว่ายังไง? ตอนนี้ฉันสามารถชําระมนุษย์ให้ บริสุทธิ์ได้?!?!” โนอาห์ถามตัวเองด้วยความแปลกใจ

เมื่อมองดูร่างของคนแคระที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น โนอาห์ก็มีความคิดขึ้นมาทันที…

ขณะที่พวกเขาเดินไปที่โบกี้ถัดไป โนอาห์รู้สึกว่าการพัฒนาที่เขาได้รับจากการอัพเลเวลนั้นดีมากอีกครั้ง เพราะมันไม่เพียงแต่จะทำให้สิ่งที่โนอาห์คิดเป็นจริง แต่ยังรวมถึงค่าสถานะที่เพิ่มขึ้นของเขาอีกด้วย

ครั้งนี้ในการอัพเลเวลของเขานั้นค่าสถานะทั้งหมดของเขาได้เพิ่มขึ้นมา 2 แต้ม นั่นหมายถึงการพัฒนาที่เพิ่มขึ้นประมาณ 17 เปอร์เซ็นจากที่เขาเคยมี นี่เป็นสิ่งที่โนอาห์ชื่นชอบอย่างมากในการเพิ่มเลเวล

เนื่องจากมอนสเตอร์จะแข็งแกร่งขึ้นและต้านทานมากขึ้นในป้อมปราการถัดไป มันคงไม่ดีนักที่จะมีเทคนิคการใช้มีดสั้นและการต่อสู้แบบประชิดตัวที่ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะเจาะผิวหนังของมอนเตอร์ที่เขากำลังโจมตีได้

การเป็นนักเวทย์นั้นดี การใช้เวทย์มนตร์ในการบุกป้อมปราการก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าโนอาห์ไม่สามารถทำลายตาทั้งสองข้างของมอนเตอร์ได้ในการต่อสู้ที่พวกเขาเพิ่งผ่านมา เขามั่นใจว่าการต่อสู้จะต้องกินเวลาอย่างน้อยสองหรือสามเท่าจากเวลาที่เขาใช้แน่นอน

โบกี้รถไฟโบกี้นี้แตกต่างจากโบกี้ก่อนซึ่งถูกล้อมรอบด้วยกล่องโลหะที่หนักมากๆ โบกี้นี้มีขนาดกว้างขวางกว่าอย่างน่าประหลาดใจ และไม่มีอะไรที่จะขัดขวางผู้ถูกเลือกให้ไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้

สิ่งนี้ทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆในตัวโนอาห์ เนื่องจากเมื่อเขามองไปรอบๆและวัดขนาดของมันทางจิตใจเขาก็เห็นได้ชัดว่ามันกว้างกว่าถึง 300 เมตร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแสงที่น้อยมากๆ จนทำให้เขามองไม่เห็นปลายของโบกี้นี้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาคิดได้คือ

‘รถไฟขบวนนี้ขยับได้ยังไง? เป็นข้อเท็จจริงทั่วไปที่ยิ่งมวลมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้สิ่งที่จะทำให้มวลนั้นขยับมากขึ้นเท่านั้น สำหรับรถไฟขนาดใหญ่ที่มีเทคโนโลยีที่ดูป่าเถื่อนขบวนนี้ ปริมาณเชื้อเพลิงที่จำเป็นในการขับเคลื่อนรถไฟขบวนนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลย…’

ความคิดนี้ไม่ได้มีเฉพาะกับโนอาห์เท่านั้น ด้วยการแสดงออกถึงความสับสน เห็นได้ชัดว่าผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็มีความคิดที่คล้ายคลึงกัน

หลังจากที่พวกเขาเดินในรถที่ว่างเปล่าเป็นเวลาสามนาที ความรู้สึกแปลกๆก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา แม้ว่ามันจะหมายถึงอันตราย แต่ผู้ถูกเลือกก็เริ่มต้องการให้มอนเตอร์บางชนิดปรากฏขึ้นเร็วๆ เพราะอย่างน้อยมันจะได้นำไปสู่สถานการณ์ที่คุ้นเคยของพวกเขา

และราวกับว่าป้อมปราการตอบสนองต่อคำพูดขอของพวกเขา รอยเลือดก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งที่หน้าเส้นทางที่พวกเขาเดิน

โนอาห์ก้มลงมองดูเลือดและเหมือนกับรอยเลือดครั้งที่แล้ว มันดูเหมือนเลือดมนุษย์หรืออาจจะเป็นคนแคระ

‘ในป้อมปราการนี้ยังมีคนแคระอีกงั้นเหรอ?’

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ โนอาห์ก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะพวกเขาน่าจะได้คำตอบหากพบกับคนแคระที่ยังมีชีวิตอยู่

สิ่งที่ทำให้ทั้งกลุ่มกังวลคือปริมาณเลือดที่ไหลตามพื้นในครั้งนี้มันมากกว่าครั้งก่อนมาก หากการประมาณของโนอาห์ถูกต้อง ด้วยจำนวนเลือดนั้นคนแคระที่ได้รับบาดเจ็บนั้นจะต้องถูกตัดอย่างน้อยสามครั้ง หรือเลือดนั้นอาจจะไม่ได้มาจากคนแคระเพียงคนเดียว ซึ่งนั่นจะทำให้กลุ่มของพวกเขาน่าเป็นห่วงมากขึ้นไปอีก

การตามรอยไม่เป็นปัญหาสำหรับคนทั้งกลุ่ม ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงแหล่งที่มาของเลือด และตามที่คาดไว้ พวกเขาเห็นคนแคระที่ตายแล้วและมอนเตอร์ที่กำลังกินเนื้อของคนแคระคนนั้นและบดกระดูกของเขาด้วยปากโตๆที่มันมี

อย่างไรก็ตามคราวนี้แทนที่จะเป็นเพียงซากศพเพียงซากเดียวที่ถูกทำลายอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่ามีศพทั้งหมดอยู่ 6 ศพตามจำนวนหัวที่พวกเขาพบกระจัดกระจายอยู่ในบริเวณนั้น และแทนที่จะเป็นสัตว์มอนเตอร์เพียงตัวเดียวที่กำลังกินคนแคระอยู่ แต่จริงๆแล้วกลับมีมอนเตอร์ทั้งหมดสามตัว

เห็นได้ชัดว่ามอนเตอร์เหล่านี้เป็นสายพันธุ์เดียวกับมอนเตอร์ที่พวกเขาเพิ่งต่อสู้ด้วย รูปลักษณ์ของพวกมันเหมือนกับมอนเตอร์ตัวอื่นๆ

และนี่ค่อนข้างไม่เป็นที่พอใจสำหรับคนในกลุ่ม เนื่องจากวิธีที่พวกมันเคี้ยวกระดูกของคนแคระ ความง่ายดายที่พวกมันทำก็แสดงให้เห็นว่าการกัดของพวกมันนั้นมีพลังมากเพียงใด

“นายจัดการหนึ่งในนั้นได้ไหม?” โนอาห์ถามเสียงต่ำโดยไม่ละสายตาจากมอนเตอร์

แจสเปอร์รู้ว่าโนอาห์กำลังคุยกับเขา ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย เขาตอบทั้งๆที่มีท่าทางไม่แน่ใจเล็กน้อยว่า

“จากที่ฉันเห็น ความเร็วของพวกมันน้อยกว่าของฉันเพียงเล็กน้อยเมื่อฉันใช้พรของฉัน การจัดการกับพวกมันสองตัวคงเป็นไปไม่ได้ แต่ฉันเชื่อว่าการจัดการกับพวกมันเพียงตัวเดียว ฉันเชื่อว่ามันน่าจะโอเค พวกมันมีพลังมากกว่ามอนสเตอร์ระดับ D ปกติ แม้ว่าฉันจะมั่นใจในการจัดการกับมอนสเตอร์ระดับ D ทั่วไป แต่มอนสเตอร์เหล่านี้ก็มีบางอย่างที่พิเศษไปจากมอนเตอร์ปกติ”

โนอาห์เห็นด้วยกับคำตัดสินของแจสเปอร์ เขายังรู้สึกว่ามอนสเตอร์เหล่านี้มีพลังมากกว่ามอนสเตอร์ระดับ D ทั่วไป น่าเสียดายที่กลุ่มของพวกเขาโชคไม่ดีที่มาอยู่ในป้อมปราการระดับ D ระดับสูงสุดตั้งแต่ครั้งแรก

“โอเค งั้นนายไปจัดการมอนสเตอร์ทางขวา ส่วนสองตัวทางซ้ายฉันจะจัดการเอง ฉันคิดว่าให้กลุ่มจัดการมอนเตอร์ของนายก่อนจะดีกว่า เพราะฉันน่าจะสู้กับพวกมันได้อีกสักพักโดยที่ไม่มีความเสี่ยงอะไร” โนอาห์แนะนำ

แม้ว่าเขาจะไม่ใช่หัวหน้ากลุ่ม แต่เขาก็มีสิทธิ์ที่จะพูดที่นี่ โดยปกติสิทธิ์ประเภทนี้จะถูกมอบให้กับผู้ถูกเลือกที่จะทำหน้าที่ดึงดูดความสนใจของมอนเตอร์ ดังนั้นในการอภิปรายกลยุทธ์เกือบทั้งหมด แจสเปอร์ก็มีสิทธิ์เสนอบางสิ่งที่เขาพิจารณาแล้วว่าปลอดภัยกว่าด้วยขีดจำกัดความสามารถของเขาเอง

เมื่อได้ยินข้อเสนอของโนอาห์ ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็กังวล การจัดการกับมอนเตอร์เพียงตัวเดียวในครั้งก่อนนั้นค่อนข้างยาก แต่ตอนนี้พวกเขาจะต้องจัดการกับมอนเตอร์ทั้งสามตัวพร้อมกัน

พวกเขารู้ว่าตราบใดที่โนอาห์สามารถเคลื่อนย้ายได้ มันก็แทบจะไม่มีใครแตะต้องเขาได้ แต่จุดอ่อนของความสามารถนี้มักจะมีค่าใช้จ่ายสูง พวกเขาไม่สามารถรักษากลยุทธ์นี้ไว้ในระยะยาวได้ สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือโนอาห์มีแหล่งพลังงานที่แทบจะไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่เขาสามารถฆ่ามอนสเตอร์ได้ เขาจะไม่มีวันหมดพลัง เพราะมอนเตอร์แต่ละตัวให้พลังงานมากกว่าที่เขาใช้ไป นี่ไม่ต้องพูดถึงว่าทักษะ [เปลวไฟแห่งนรก] ของเขาเกือบจะถึงระดับ 03 แล้ว

โนอาห์เริ่มเดินไปทางมอนสเตอร์สองตัวทางด้านซ้าย ประสานการเดินของเขาเองกับเสียงของมอนเตอร์ที่กำลังกัดเนื้อและกระดูกของคนแคระ

เขาใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าแสงไฟที่มืด และมอนเตอร์ที่กำลังฟุ้งซ่านกับอาหารของพวกมันและแทบจะไม่สังเกตเห็นเขา

แจสเปอร์ที่ดูโนอาห์ทำสิ่งนี้ก่อนจะต่อสู้กับมอนเตอร์ตัวแรก เขาก็พยายามทำเหมือนกัน

เขาว่องไวกว่าโนอาห์เพราะพรของตัวเอง ดังนั้นร่างกายของเขาจึงตอบสนองเร็วกว่าของโนอาห์ เขาคิดกับตัวเองว่าถึงแม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาพยายามทำ แต่ก็ไม่ซับซ้อนสำหรับเขาเพราะความว่องไวของเขา

เนื่องจากพรของโนอาห์โดดเด่นกว่าเจสเปอร์มาก พวกเขาจึงตัดสินใจให้แจสเปอร์ส่งเสียงและโจมตีมอนสเตอร์ที่อยู่ทางขวาก่อนที่โนอาห์จะปรากฏตัว เนื่องจากการระเบิดของโนอาห์อาจดึงดูดความสนใจของมอนสเตอร์ของแจสเปอร์ได้ง่ายกว่าที่แจสเปอร์จะทำได้

โชคดีที่พวกเขาไม่มีข้อผิดพลาดในการทำเช่นนั้น แจสเปอร์จึงใช้พรของเขาอย่างเต็มที่และกระตุ้นความเร็วอย่างรวดเร็ว เขาใช้ประโยชน์จากความว้าวุ่นใจของมอนเตอร์ในขณะที่มันกำลังกินอาหารของมัน และเช่นเดียวกับโนอาห์เขาโจมตีมีดสั้นของเขาเข้าไปในดวงตาของมอนเตอร์ตัวหนึ่ง แต่เนื่องจากความว่องไวของแจสเปอร์นั้นเหนือกว่าโนอาห์มาก เขาจึงดึงมีดสั้นออกจากตาของมอนเตอร์ได้ก่อนที่มันจะเคลื่อนไหว

เมื่อมอนเตอร์ตัวนั้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มอนเตอร์อีกสองตัวก็ตื่นตระหนกและมองไปที่แจสเปอร์ โนอาห์ใช้ประโยชน์จากความฟุ้งซ่านนี้และเทเลพอร์ตไปที่หน้ามอนเตอร์ตัวหนึ่งทันที ก่อนที่เขาจะแทงมีดสั้นของตัวเองเข้าไปในดวงตาของมอนเตอร์ตัวนั้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม โชคไม่ดีที่ความว่องไวของโนอาห์ไม่สูงเท่ากับของแจสเปอร์ เขาจึงไม่สามารถดึงมีดสั้นออกจากตาของมอนเตอร์ได้ทันเวลา

มอนเตอร์ตัวนั้นพุ่งเข้ามาหาเขาเพื่อกัดเขาด้วยฟันที่แหลมคมขนาดใหญ่ของมันที่ยังคงเต็มไปด้วยรอยเลือดของคนแคระอยู่

โนอาห์คิดอยู่แล้วว่าเขาจะไม่สามารถเอามีดสั้นออกมาได้ และโดยไม่ต้องคิดซ้ำ เขาก็เทเลพอร์ตไปที่มอนเตอร์ตัวที่สองพร้อมกับลูกบอลไฟขนาดใหญ่ในมือของเขา

เขาโจมตีไปที่ก้นของมอนเตอร์ซึ่งนั่นทำให้มอนเตอร์เริ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากเปลวไฟของโนอาห์

แม้ว่าประสิทธิภาพของเปลวไฟจะไม่สูงเท่ากับมอนสเตอร์ระดับ E แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกมันไร้ประโยชน์

แม้ว่าเปลวไฟของเทียนจะน้อยกว่ากองไฟ แต่เปลวไฟของเทียนก็ยังคงทำให้เจ็บได้อยู่ดี

เมื่อถึงจุดนั้นมอนเตอร์ทั้งสามก็กรีดร้องอย่างสิ้นหวัง ซึ่งเป็นสัญญาณให้ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆเริ่มโจมตีเพื่อกำจัดมอนสเตอร์ของแจสเปอร์อย่างรวดเร็ว

เนื่องจากแจสเปอร์ยังมีมีดสั้นอยู่ในมือเพื่อปกป้องตัวเอง แม้ว่าเขาจะเทเลพอร์ตไม่ได้ แต่เขาก็ยังสามารถใช้มีดสั้นเพื่อปกป้องตัวเองจากการโจมตีที่อันตรายที่สุดได้

เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานเมื่อเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างมอนสเตอร์ โนอาห์ได้นำพวกมันเข้ามาใกล้กันที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะที่เขาเทเลพอร์ตจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งอย่างต่อเนื่อง

ในโบกี้ที่มืดมินเช่นนี้ การได้เห็นระเบิดเกิดขึ้นหลายๆครั้งคนที่มองมาอาจจะเข้าใจผิดว่านี่เป็นการแสดงดอกไม้ไฟ แต่แท้จริงแล้วมันคือผู้ถูกเลือกคนหนึ่งกำลังเทเลพอร์ตจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งอยู่

“พวกแกจะต้องเป็นตัวยกระดับทักษะของฉันเป็นระดับที่ 03” โนอาห์พูดกับมอนเตอร์ทั้งสองในขณะที่เขาเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนย้าย

“นี่คนแคระเหรอ…?” แจสเปอร์พูดพร้อมกับขมวดคิ้ว มนุษยชาติไม่เคยพบมนุษย์คนอื่นในป้อมปราการ สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดที่พวกเขาพบคือพวกเอลฟ์

“ฉันมีลูกพี่ลูกน้องที่ตัวแคระแกร็น แต่เขาดูไม่เหมือนผู้ชายคนนี้แน่นอน” ผู้รักษาหนุ่มในกลุ่มพูดด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ ขณะเปรียบเทียบลูกพี่ลูกน้องของเขากับศพคนแคระ หรืออย่างน้อยก็สิ่งที่เหลืออยู่

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด โนอาห์ซึ่งในระหว่างที่เขายังเรียนอยู่เขาชอบเล่นเกมต่างๆกับเพื่อนๆของเขาได้จำบางสิ่งที่ธรรมดามากในเกมสวมบทบาทที่เขาเล่นได้

“คนแคระคนนี้อาจไม่ใช่มนุษย์จริงๆ แต่เหมือนกับในเกมผจญภัยทั่วไป ที่จริงๆแล้วสายพันธุ์ของเขาอาจเป็นคนแคระ” โนอาห์บอกกับทุกคนในกลุ่มขณะที่เขาเอามือแตะคาง

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์กล่าว ผู้ถูกเลือกบางคนที่เคยเล่นเกมผจญภัยมาก่อนก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าเขาหมายถึงอะไร

นักเวทย์สายฟ้าพูดอย่างรวดเร็วขณะที่ชี้ไปที่ศพ

“นี่…ใบหน้าของเขาเหมือนกับคนแคระในเกมผจญภัยจริงๆ และเห็นได้ชัดว่าตัวของเขากว้างกว่ามนุษย์ปกติมาก และสิ่งที่เหลืออยู่ในร่างกายของเขาก็เข้ากันได้ดีกับคนแคระพวกนั้นจริงๆ”

“ว่าแต่คนแคระมาทำอะไรที่นี่” มาร์เซลถามเสียงดังด้วยสีหน้าครุ่นคิด

น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับศพของคนแคระ ไม่มีอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์จริงๆ และยังไม่มีสิ่งใดที่พิสูจน์ได้ว่าเขาเป็นคนแคระอีกด้วย

ทั้งกลุ่มได้ตัดสินใจที่จะระมัดระวังมากขึ้นภายในป้อมปราการแห่งนี้ ความจริงได้ปรากฏแล้วว่าป้อมปราการนี้เป็นรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่อยู่ และตอนนี้พวกเขาได้พบศพของคนแคระแล้ว และนี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นในป้อมปราการอื่นมาก่อน

โชคดีที่กลุ่มนี้ประทับใจกับพรของโนอาห์มาก ในตอนแรกที่โนอาห์เดินไปหามอนสเตอร์อย่างช้าๆ มาร์เซลรู้สึกเสียใจที่ปล่อยให้เขาพยายาม เนื่องจากโนอาห์ไม่ได้แสดงความสามารถใดๆของเขาในการสนับสนุนความมั่นใจที่เขามีมาก่อน

แต่ทันทีที่โนอาห์เทเลพอร์ตไปตรงหน้าของมอนเตอร์ ไม่เพียงแต่กรามของมาร์เซลจะลดลง แต่ทุกคนที่เหลือของทีมก็เช่นกัน

ไม่มีผู้ถูกเลือกคนอื่นที่คิดว่าโนอาห์จะมีทักษะอันทรงพลังเช่นนี้ เขาเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดในทีมอยู่แล้ว และไม่มีใครละอายที่จะพูดแบบนั้น เนื่องจากในบางครั้งโนอาห์คนเดียวก็สามารถทำความเสียหายได้มากกว่าคนอื่นๆ

แต่การได้เห็นโนอาห์เคลื่อนไหวด้วยความสามารถในการระเบิดอันแปลกประหลาดนั้นทำให้ทุกคนประทับใจ แต่นั่นเป็นสำหรับทุกคนนอกจากแจสเปอร์

พวกเขาคิดว่าโนอาห์จะมีความสามารถที่จะทำให้ความว่องไวของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่เหมือนกับพรของแจสเปอร์ แต่พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าโนอาห์จะมีทักษะที่มีอำนาจเหนือกว่านั้น นั่นคือการเทเลพอร์ต!

มันเป็นทักษะที่ได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับต้นๆซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในทักษะที่หายากและหลากหลายที่สุด นั่นทำให้ทุกคนรู้ความจริงว่าที่จริงแล้วนักเวทย์ในทีมของเขาได้มีความสามารถนั้นและไม่มีใครรู้มาก่อน

ตอนนี้ผู้ถูกเลือกทุกคนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดแจสเปอร์จึงโกรธโนอาห์ทุกครั้งที่เขาเหนื่อยมาก เพราะถ้าโนอาห์ช่วยแจสเปอร์ในช่วงเวลานั้น งานของแจสเปอร์คงจะสะดวกมากขึ้น

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาถึงต้นทุนของความสามารถนี้ พวกเขาคิดว่าบางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่โนอาห์ยังไม่ได้ใช้มัน เพราะบางทีเขาอาจใช้มันได้เพียงไม่กี่ครั้งต่อวัน เช่นเดียวกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆที่ได้รับพรนั้นเช่นกัน

แต่เมื่อพวกเขาเห็นโนอาห์เทเลพอร์ตจากด้านหนึ่งไปอีกด้านของมอนเตอร์จากระยะไกลด้วยความเร็วสูง ราวกับว่าเขาอยู่หลายที่พร้อมๆกัน พวกเขาก็อดรู้สึกเห็นใจแจสเปอร์ไม่ได้ และยอมรับว่าเขามีเหตุผลจริงๆที่เขาโกรธโนอาห์ เพราะท้ายที่สุดพวกเขาจะต้องโกรธแน่นอนหากพวกเขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับแจสเปอร์

พวกเขาคิดถูกแล้วในเรื่องที่โนอาห์ขี้เกียจไปช่วยแจสเปอร์ แต่ความจริงก็คือการต่อสู้แบบนี้ที่โนอาห์ต้องการเทเลพอร์ตในระยะทางสั้นๆนั้นเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเขา เนื่องจากทักษะ [อุโมงค์นรก] ถูกใช้ในพื้นที่ที่ไม่ห่างกันมากนัก เพราะพลังงานที่จะถูกใช้ไปในการเทเลพอร์ตจะขึ้นอยู่กับระยะทางในการเคลื่อนย้าย นั่นคือหากเทเลพอร์ต 10 ครั้งเพื่อให้ครอบคลุมทั้ง 100 เมตรจะใช้พลังงานน้อยกว่าการเคลื่อนย้าย 1 ครั้งเพื่อไปให้ถึง 100 เมตรนั้นเลย แต่สุดท้ายแล้วการเทเลพอร์ตเพียงครั้งเดียวก็มีประโยชน์กว่าในบางสถานการณ์อยู่ดี

แต่ในกรณีที่ต้องเทเลพอร์ตไปรอบๆมอนเตอร์หลายๆครั้งจากระยะใกล้น้อยกว่า 30 เมตรนั้นมันไม่ได้ใช้พลังงานของเขามากนัก

ปัญหาสำหรับโนอาห์คือ ในสถานการณ์อย่างเช่น ป้อมปราการรนกคลั่งซึ่งเขาจะต้องเทเลพอร์ตขึ้นไปบนฟ้าหรือวิ่งไปหานกเพื่อลดระยะห่างระหว่างเขากับนก มันอาจจะทำให้เขาเหนื่อยมาก และนั่นจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของเขาลดลงอย่างมาก

เพราะมันนอกจากจะใช้พลังงานมากกว่าที่เขาควรจะใช้ทักษะของเขาแล้ว เขายังจะต้องสูญเสียพลังงานทางกายภาพไปด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากเป็นแบบนั้นมันจะลดประสิทธิภาพในการฆ่ามอนสเตอร์และทำให้เขาได้รับค่าประสบการณ์น้อยลง

อีกสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของกลุ่มคือเหตุผลที่ประหลาดที่มอนเตอร์ตัวนั้นปกป้องท้องของตัวเองอยู่เสมอ มอนเตอร์ตัวนั้นตายโดยคว่ำหน้าลง และเมื่อพวกเขาหงายท้องของมันขึ้น พวกเขาก็เห็นรอยเย็บที่เพิ่งทำขึ้นทันที

ร่างกายของมอนเตอร์ตัวนี้นั้นแข็งแกร่งมาก แต่ในส่วนท้องของมันกลับบอบบางกว่าปกติ

เมื่อพวกเขาเปิดท้องของมอนเตอร์ตัวนี้ สิ่งที่พวกเขาเห็นข้างในก็ทำให้ทั้งกลุ่มตกใจ

น่าแปลกที่มอนเตอร์ตัวนี้มีชิปประมวลผลอยู่ภายในท้องของมัน เห็นได้ชัดว่าชิปตัวนี้กำลังส่งสัญญาณไปยังที่อื่นในขณะที่มันกำลังผลิตเอนไซม์บางอย่างในท้องของมอนเตอร์เพื่อกระตุ้นให้ทำอะไรบางอย่าง

‘นี่เป็นวิธีใหม่ในการควบคุมจิตใจงั้นหรอ? การทำให้ท้องอิ่มหรือหิวหรือทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับมัน? แม่บอกฉันว่าการเอาชนะใจผู้หญิงด้วยอาหารดีๆเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุด แต่ฉันไม่คิดว่าจะมีใครเอาคำพูดพวกนั้นมาจริงจังขนาดนั้นหรอก…’ โนอาห์คิดกับตัวเองด้วยความสยดสยอง

“เราจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น ป้อมปราการแห่งนี้เริ่มจะแปลกขึ้นทุกที เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ดังนั้นเตรียมตัวให้พร้อม” มาร์เซลเตือนทั้งกลุ่มหลังจากได้ข้อสรุปเช่นเดียวกับโนอาห์เกี่ยวกับชิปในท้องของมอนสเตอร์

ขณะที่พวกเขาออกจากโบกี้ผ่านประตูหลังมอนเตอร์ตัวนั้นมา โนอาห์ก็อธิบายให้กลุ่มของเขาฟังถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพรของเขาว่าเขาสามารถใช้มันได้บ่อยขึ้นถ้าเขาเทเลพอร์ตในระยะทางที่สั้นลง และนั่นก็ทำให้ทั้งกลุ่มเข้าใจว่าทำไมโนอาห์จึงไม่ทำเหมือนตอนที่เขาเจอแจสเปอร์ครั้งแรก

แต่นั่นไม่ได้ลดความโกรธของแจสเปอร์ลงแม้แต่น้อย เนื่องจากโดยทั่วไปโนอาห์บอกว่าเขาไม่อยากเหนื่อยเหมือนที่แจสเปอร์เป็น

น่าเสียดายที่โนอาห์ไม่สามารถอธิบายเหตุผลที่แท้จริงให้แจสเปอร์ฟังได้ เนื่องจากเขาไม่สามารถพูดได้ว่า “ฉันช่วยนายไม่ได้เพราะฉันจะได้รับค่าประสบการณ์น้อยลงจากเรื่องนี้”

โชคดีสำหรับโนอาห์ที่ร่างกายของมอนเตอร์ตัวเมื่อครู่ได้ให้พลังงานคืนมาแก่เขา เพราะ [เปลวไฟแห่งนรก] ได้ดูดกลืนพลังงานคืนมามากกว่าที่เขาใช้ [อุโมงค์นรก] ไป

นี่เป็นหนึ่งในข้อดีของการต่อสู้ในป้อมปราการที่มีระดับสูงกว่า เนื่องจากมอนสเตอร์ในระดับนี้สร้างพลังงานได้มากกว่าในระดับก่อนหน้านี้เช่นกัน

นี่หมายความว่าตราบใดที่เขาไม่ต้องเทเลพอร์ตในระยะทางไกล โนอาห์ก็สามารถใช้ความสามารถของเขาในการเทเลพอร์ตระหว่างการต่อสู้ได้อย่างไม่ต้องระมัดระวังมากนัก และสิ่งนี้ก็จะเพิ่มความปลอดภัยให้กับเขาได้อย่างมาก ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่สิ่งที่เขาจะบ่น

น่าเสียดายที่คนแคระตายมาระยะหนึ่งแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่คนภายในกลุ่มสามารถทำได้เพื่อช่วยเขา และหาคำตอบสำหรับคำถามที่พวกเขาต้องการ

‘หวังว่าเราจะพบคำตอบในโบกี้หน้า…’ โนอาห์คิดขณะเดินผ่านประตู

[ขอแสดงความยินดีกับผู้ใช้ คุณได้เลื่อนระดับเป็นเลเวล 03 แล้ว!]

เมื่ออ่านข้อความที่ปรากฏขึ้นในหน้าต่างสีดำที่ลอยอยู่ตรงหน้าเขา ในที่สุดโนอาห์ก็สามารถถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้

ในการขึ้นสู่เลเวล 02 เขาต้องใช้เวลาเพียงสองหรือสามวัน แต่การมาถึงเลเวล 03 เขาต้องใช้เวลาถึงสองสัปดาห์เลยทีเดียว ความแตกต่างในการเลื่อนเลเวลแต่ละครั้งค่อนข้างมาก แต่เขาก็ดีใจที่เห็นว่าเขาได้รับทักษะใหม่หลังจากที่เขาไม่ได้รับมันมานานมากแล้ว

หากผู้ถูกเลือกคนอื่นรู้ว่าเขากำลังบ่นว่าเขาต้องใช้เวลาสองสัปดาห์ในการ “พัฒนา” ทักษะใหม่ พวกเขาจะต้องเอาหัวโขกกำแพงอย่างแน่นอน เพราะโดยปกติแล้วผู้ถูกเลือกระดับ C จะใช้เวลาอย่างน้อยสองสามปีในการพัฒนาทักษะใหม่ๆของพวกเขา แต่โนอาห์คิดว่าสองสัปดาห์เป็นเวลานาน

‘เฮ้อ…หวังว่าหลังจากนี้ฉันจะไม่ต้องใช้เวลาราวๆสองเดือนในการเลื่อนเลเวลอีกครั้งนะ’

โนอาห์คิดขณะที่ดูจำนวนค่าประสบการณ์ที่ต้องใช้ในการไปถึงเลเวล 04

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 03]

[ประสบการณ์: 0/1,600]

[HP: 14/14]

[ความแข็งแรง: 14]

[ความคล่องตัว: 14]

[ความแข็งแกร่ง: 14]

[สกิล:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 02 : 482/500

คำอธิบายสกิล: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

[หลักแห่งไฟ เลเวล: 02 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและการควบคุมมันก็เป็นธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อยนอกจากนี้ยังทำให้มนุษย์ได้รับการกัดกร่อนจากบาป มนุษย์ที่มีบาปเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถชำระล้างได้]

[อุโมงค์นรก เลเวล: 01 : 246/300

ทักษะที่สามารถทำให้เปิดอุโมงค์สู่นรกและออกไปที่อื่นได้ในเสี้ยววินาทียิ่งระยะทางไกลมากเท่าไหร่พลังงานที่จะใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น]

นรกได้กักขังวิญญาณของคนบาปไว้ในอุโมงค์นี้มาตั้งแต่ทุกสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้น และกังขังมาชั่วนิรันดร์ เพื่อรองรับปีศาจและวิญญาณจำนวนมากพื้นที่นี้จึงขยายตัวมากกว่าโลกของสิ่งมีชีวิตหลายเท่า เมื่อใดก็ตามที่ลูซิเฟอร์เดินผ่านอุโมงค์เหล่านี้ผู้คนก็จะรู้ว่าเขากำลังเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสักแห่ง และเขาก็สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้ที่อุโมงค์นี้ไปถึงเหล่าผู้คนจะคิดว่าเขากำลังเทเลพอร์ต

ค่าประสบการณ์ที่จำเป็นในการเลื่อนระดับได้เพิ่มขึ้นจาก 400 เป็น 1,600 และนั่นมากกว่าเดิมถึงสี่เท่า!

ในตอนแรกโนอาห์คิดว่าค่าประสบการณ์ที่จำเป็นในการใช้เลื่อนเลเวลที่เปลี่ยนจาก 100 เป็น 400 นั่นอาจจะเป็นเพราะแต่ละเลเวลจำเป็นต้องใช้ 300 ค่าประสบการณ์ในการเพิ่มเลเวล แต่เมื่อคำนวณจากจำนวนที่เพิ่มขึ้นในเลเวลนี้แล้ว เขาก็ยืนยันได้ว่านี่หมายความว่าค่าประสบการณ์ที่จำเป็นในการเลื่อนเลเวลจะเพิ่มสี่เท่าเสมอ และนี่ทำให้โนอาห์กังวลว่าเขาจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการเลื่อนเลเวลในอนาคต

‘ฉันหวังว่าการไปถึงเลเวล 05 ฉันจะไม่ต้องใช้ค่าประสบการณ์ถึง 6,400 หน่วยนะ ไม่ยังงั้นฉันจะต้องอยู่ในป้อมปราการนานกว่าที่ฉันคิดไว้แน่นอน เว้นแต่ว่าฉันสามารถเข้าป้อมปราการได้คนเดียวโดยที่ไม่ต้องไปกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆอีก…’ โนอาห์คิดขณะมองไปที่ข้อมือของเขา

ลิลิธที่กำลังพันข้อมือของโนอาห์อยู่ในตอนนี้ต้องการค่าประสบการณ์อีกเพียงเล็กน้อยเพื่อพัฒนาไปสู่เลเวล 02 โนอาห์หวังว่าระหว่างในป้อมปราการนี้เธอจะเลเวลอัพเหมือนกับเขา

‘เดี๋ยวก่อน…แล้วทักษะใหม่ของฉันอยู่ที่ไหน!?!’ ในตอนแรกโนอาห์ไม่ได้ตระหนักว่าเขาไม่ได้รับทักษะใหม่ๆในหน้าสถานะของเขาจนถึงขณะนี้ เพราะเขามุ่งความสนใจไปที่ค่าประสบการณ์ที่จำเป็นในการเพิ่มระดับเท่านั้น

[ขอแสดงความยินดีกับผู้ใช้ที่ไปถึงเลเวล 03! คุณได้ปลดล็อคทักษะใหม่แล้ว!]

“เฮ้อ…”

โนอาห์ถอนหายใจออกมา ตอนนี้ความกังวลของเขาน้อยลงแล้ว เพราะเขากลัวว่าเขาจะไม่ได้รับทักษะใหม่แม้ว่าเขาจะเลเวลอัพแล้ว ด้วยความสงสัยเขาจึงเปิดโปรไฟล์ของเขาอีกครั้ง

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 03]

[ประสบการณ์: 0/1,600]

[HP: 14/14]

[ความแข็งแรง: 14]

[ความคล่องตัว: 14]

[ความแข็งแกร่ง: 14]

[สกิล:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 02 : 482/500

([อุโมงค์นรก เลเวล: 01 : 246/300

‘ทักษะใหม่ของฉันอยู่ที่ไหน!’

โนอาห์ไม่พบความสามารถใหม่ของเขาในหน้าสถานะของเขาเลย โดยปกติแล้วเขาจะพบกับมันได้จากหน้าสถานะของเขาเสมอ และทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ก็เป็นเช่นนั้น

แต่ตอนนี้หลังจากการแจ้งเตือนของระบบ ความสามารถกลับยังไม่ปรากฏขึ้นเหมือนเดิม

‘บางทีระบบอาจมีข้อบกพร่องอะไรบางอย่างหรือเปล่า?’

[หากต้องการใช้ทักษะใหม่ ผู้ใช้จะต้องพูดว่า ‘แบบฟอร์มสัญญา’]

ในตอนแรกโนอาห์รู้สึกผิดหวังและกังวลว่าจะไม่ได้รับอะไรเลย แต่หลังจากอ่านข้อความของระบบ โนอาห์ก็รู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง

เขาพบว่าตัวเลือกในการทำสัญญาของระบบนั้นใช้งานได้จริงและมีประโยชน์มาก และเนื่องจากสิ่งนี้ถูกควบคุมโดยจินตนาการของเขาเท่านั้น เขาจึงสามารถจินตนาการถึงความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดในการใช้งานสำหรับสัญญาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของสัตว์เลี้ยงหรือเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการจัดการกับมนุษย์คนอื่นๆ

‘แบบฟอร์มสัญญา’ โนอาห์พูดในใจ

ชื่อสัญญา:

ข้อตกลง A:

ข้อตกลง B:

‘นี่…มันง่ายกว่าที่ฉันคิดไว้มาก’

โนอาห์มองดูหน้าต่างสีดำที่ลอยอยู่ข้างหน้าเขาด้วยคำไม่กี่คำที่เขียนด้วยตัวอักษรที่ทำจากเปลวไฟซึ่งเขาคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่เนื้อหาของหน้าต่างนั้นน่าผิดหวังสำหรับเขามาก เขาคิดว่ามันคงจะซับซ้อนมากกว่านี้

มันอาจจะเป็นสัญญาที่เขาต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการกำหนดมันขึ้น แต่เขารู้สึกผิดหวังมากที่เห็นหน้าต่างที่แสดงขึ้นมานั้นเรียบง่ายกว่าปกติ

‘ระบบ หากมีคนผิดสัญญาจะเป็นยังไง’ โนอาห์ถามด้วยความสงสัย

[ทั้งฝ่าย A และฝ่าย B จะต้องปฏิบัติตามสัญญาในส่วนของตนตามที่เขียนไว้ ทั้งสองจะรู้ว่าต้องทำอะไรและควรทำอย่างไรตามที่อธิบายไว้ในสัญญา หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกันไว้ สัญญาจะถูกยกเลิกและค่าปรับสำหรับการผิดสัญญาจะถูกจ่ายพร้อมกับชีวิตของฝ่ายที่กระทำผิด หรือสิ่งที่มีมูลค่าเท่ากันตราบเท่าที่อีกฝ่ายยอมรับได้]

‘นี่…ก็น่าผิดหวังมากกว่าที่ฉันคิดไว้…’

โนอาห์ผิดหวังกับระบบย่อยของสัญญานี้จริงๆ เขามองไม่เห็นว่าสิ่งนี้แตกต่างจากสัญญาปกติยังไง เว้นแต่ว่าบทลงโทษสำหรับการบอกเลิกสัญญานั้นร้ายแรงกว่าปกติมาก

[เมื่อลูซิเฟอร์เบื่อ เขาชอบไปที่โลกมนุษย์เพื่อสนุกกับการทำสัญญากับมนุษย์ ลูซิเฟอร์ไม่เคยแพ้ในข้อตกลงใดๆที่เขาทำ ทำให้คำพูดที่ว่า “อย่าทำข้อตกลงกับปีศาจ” กลายเป็นที่นิยมอย่างมาก

เนื่องจากลูซิเฟอร์เป็นคนเขียนสัญญา เขาจึงมักใช้สติปัญญาของตัวเองสร้างสัญญาที่มีข้อได้เปรียบเท่าเทียมกัน แต่เมื่อมีคนอ่านสัญญานี้อย่างจริงจังมากขึ้น พวกเขาจะรู้ว่าลูซิเฟอร์ทิ้งช่องว่างไว้หลายช่องสำหรับตัวเอง ในขณะที่อีกฝ่ายนั้นเหมือนจะเสียเปรียบกว่ามาก

ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าคุณสามารถทำสัญญาให้คุณได้เปรียบหรือเสียเปรียบตรงไหน นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ใช้เลือก

เนื่องจากความสามารถนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดของผู้ใช้ทั้งหมด มันจึงไม่มีระดับและจะไม่สามารถเพิ่มระดับได้ โดยจะมีให้ใช้งานที่ระดับสูงสุดแล้ว]

หลังจากอ่านคำอธิบายของระบบแล้ว โนอาห์ก็เปลี่ยนการรับรู้ความสามารถนี้ไปโดยสิ้นเชิง เขาคิดว่ามันเป็นเพียงทักษะที่เขาสามารถใช้เป็นครั้งคราวเพื่อสร้างรายได้ แต่ในความเป็นจริง เขาอาจไม่ซื่อสัตย์ในการทำสัญญาและเก็บเกี่ยวผลกำไรมหาศาลจากมัน

โนอาห์รู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งเกี่ยวกับสัญญาและเริ่มจินตนาการถึงความเป็นไปได้ที่ไม่รู้จบที่เขาจินตนาการไว้ก่อนที่จะผิดหวังชั่วคราว

โนอาห์รู้สึกตื่นเต้นอีกครั้งเกี่ยวกับสัญญาและเริ่มจินตนาการว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้รวยได้อย่างรวดเร็ว

เขาคิดถึงอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นคนดัง หรือทุกๆอย่างที่เป็นไปได้ ทั้งยังทุกสิ่งที่เขาจินตนาการไว้สามารถเป็นจริงได้ด้วยสัญญานี้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับจินตนาการของเขาทั้งหมด

การสนทนาของโนอาห์กับระบบนั้นรวดเร็วมาก แม้ว่ามันจะดูเหมือนเขาใช้เวลาไปสองสามนาทีในการสนทนา แต่จริงๆแล้วโนอาห์ใช้เวลาไม่เกินไม่กี่วินาทีเท่านั้น

เมื่อเขาออกจากการสนทนากับระบบ ตอนนี้ทุกคนในกลุ่มก็เดินมาจากทางเข้าห้องในตอนแรก และพวกเขาก็มายืนอยู่ถัดจากศพของมอนเตอร์และมนุษย์อีกคนหนึ่งที่พวกเขาได้เห็น

ผิวหนังของมอนเตอร์ตัวนี้มีความทนทานมากกว่าผิวหนังของบอสปกติของป้อมปราการระดับ E เพราะมันสามารถทนทานเปลวไฟของโนอาห์จากการเผาได้

ลูกธนูและพลังเวทย์ที่ถูกยิงโดยสมาชิกภายในกลุ่มคนอื่นๆก็ยังสร้างความเสียหายได้น้อยกว่าปกติที่พวกเขาทำในป้อมปราการระดับ E มาก แต่มันก็ยังพอที่จะสร้างความเสียหายได้

มีเพียงเปลวไฟของโนอาห์เท่านั้นที่สร้างความเสียหายได้น้อยกว่าปกติ แต่โนอาห์ไม่ได้คิดว่าเหตุนั้นเป็นเพราะเปลวไฟของเขาอ่อนแอกว่าคนอื่นๆ

เขาคิดว่าเหตุผลที่เปลวไฟของเขาอ่อนแอลงกว่าปกตินั้นเกี่ยวข้องกับรอยเย็บที่อยู่ที่ท้องของมอนเตอร์ตัวนี้

ขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้ โนอาห์สังเกตเห็นว่ามอนเตอร์ตัวนี้กำลังพยายามปกป้องท้องของมันอยู่เสมอ บางครั้งมันถึงกับปล่อยให้หัวของมันไม่มีการป้องกันเพื่อปกป้องท้องของมันเอง และสิ่งนี้ก็ดึงดูดความสนใจของโนอาห์

และเพราะเหตุนี้โนอาห์จึงสามารถคว้ามีดสั้นของเขาที่อยู่ที่ดวงตาของมอนเตอร์ในตอนแรกได้ ซึ่งนั่นทำให้เขาสามารถแทงมีดสั้นเข้าไปในตาอีกข้างหนึ่งของมันได้

ด้วยการกระทำเช่นนั้นของโนอาห์ มันจึงเป็นจุดสิ้นสุดของการต่อสู้ เมื่อมอนเตอร์ที่รูปร่างเหมือนหมูป่าตัวนี้ไม่สามารถป้องกันตัวเองจากการโจมตีได้อีกต่อไป เพราะมันมองไม่เห็นการโจมตีที่เข้ามาที่มันอีก

โนอาห์อยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมากเพราะแทนที่เขาจะเผาร่างของมอนเตอร์ทันทีหลังจากฆ่ามันเหมือนที่เขาเคยทำในป้อมปราการอื่นๆ คราวนี้ตัดสินใจที่จะรอและเปิดรอยเย็บบนท้องของมอนเตอร์เพื่อค้นหาว่ามีอะไรผิดปกติอยู่ข้างใน

แม้ว่าจะมีบาดแผลที่ยังไม่หายดี แต่โนอาห์ก็ไม่ได้ลดความสนใจในมอนเตอร์ตัวนี้ลงเลย

ผู้ถูกเลือกอีกคนยังสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับวิธีที่มอนเตอร์ตัวนั้นแสดงออกมา หลายครั้งที่มันใช้การกระทำที่หลุดรอดจากตรรกะไปปกป้องท้องของมันเอง ซึ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนให้ค้นหาว่ามีอะไรอยู่ข้างในซึ่งมีค่ามาก

แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ๆแทนที่สิ่งที่พวกเขาจะสนใจในอันดับแรกจะเป็นมอนเตอร์ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น แต่สิ่งแรกที่ดึงดูดความสนใจของคนในกลุ่มคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของมอนเตอร์

ศพที่ถูกแยกออกเป็นชิ้นๆโดยสิ้นเชิงคือศพที่ดูเหมือนมนุษย์ เนื่องด้วยอวัยวะและกล้ามเนื้อที่มีลักษณะเฉพาะบางอย่าง ผู้ถูกเลือกจึงคิดว่านี่เป็นศพของมนุษย์ธรรมดา แต่เมื่อพวกเขามามองดูใกล้ๆ พวกเขาก็พบว่าศพนี้ดูเหมือนคนแคระมากกว่า

เลือดที่พวกเขาเดินตามมานั่นค่อยๆเข้มขึ้นเรื่อยๆและกลิ่นนั้นก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน นี่ทำให้โนอาห์นึกถึงป้อมปราการป่าก็อบลิน ที่ซึ่งกลิ่นเลือดของก็อบลินมีกลิ่นเหม็นมากจนทำให้เขาสามารถดึงดูดก็อบลินมาที่นั่นได้มากขึ้น

“เป็นไปได้ว่ากลิ่นพวกนี้ทำให้เราสังเกตเห็นมันและตกลงไปในกับดักที่พวกมันจัดเตรียมไว้…” โนอาห์พูดออกมาดังๆทำให้คนอื่นๆสังเกตเห็นเรื่องนี้และระมัดระวังตัวยิ่งกว่าเดิม

ในบางครั้งมาร์เซลพยายามเกลี้ยมกล่อมให้โนอาห์กลับไปอยู่ด้านหลัง ในขณะที่เขากล่าวว่า

“นักเวทย์ที่มีพลังเวทย์รุนแรงมากที่สุดในทีมไม่ควรที่จะต้องตายหากสามารถเลี่ยงมันได้”

แต่โนอาห์รู้ว่าการที่เขาไปอยู่ข้างหลังจะทำให้เขามีประโยชน์น้อยกว่าในการที่เขาอยู่ด้านหน้า และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่จะทำให้คนในทีมเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น

เมื่อเวลาผ่านไป โนอาห์ก็ดูแลคนเหล่านี้ด้วยความรู้สึกที่แท้จริงของเขา เพราะคนเหล่านี้เป็นคนที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับโนอาห์

และด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาจำเป็นต้องไว้ใจซึ่งกันและกัน นั่นจึงทำให้พวกเขาสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นได้ในเวลาอันสั้น กับบางคนในกลุ่ม โนอาห์ไม่ได้คุยกับเขามากนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดเขาจากการให้คุณค่ากับคนแต่ละคน เขาไม่เต็มใจที่จะปลอดภัยในแนวหลังในขณะที่เพื่อนร่วมทีมของเขากำลังพยายามอย่างเต็มที่ และเขายังสามารถทำสิ่งที่มีความหมายมากกว่านั้นได้

ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงของบางสิ่งที่ถูกบดขยี้จากระยะไกล ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันอาจจะเป็นเครื่องจักรชนิดหนึ่ง แต่เสียงนี้ไม่ได้ประสานกันเหมือนเสียงของเครื่องจักรอัตโนมัติ อันที่จริงเสียงนี้ค่อยข้างจะวุ่นวายเล็กน้อย

ยิ่งพวกเขาเข้าใกล้มากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งได้ยินสิ่งต่างๆมากขึ้นเท่านั้น

อย่างแรกที่พวกเขาได้ยินคือเสียงครางเบาๆ จากนั้นพวกเขาก็เริ่มได้ยินเสียงหายใจถี่ๆด้วย จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ระบุได้ว่าเสียงนี้เป็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่กำลังเคี้ยวบางอย่างที่กรุบกรอบอยู่

เมื่อพวกเขาเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ถูกล้อมรอบด้วยกล่องเหล็กแล้ว ทั้งกลุ่มก็พบว่าพวกเขากำลังอยู่ในห้องที่ทำมาจากโลหะชนิดเดียวกันกับกล่อง ซึ่งน่าจะเป็นโลหะชนิดเดียวกันกับที่ประกอบเป็นผนังของรถไฟขบวนนี้

ตรงกลางห้องนี้มีมอนเตอร์ตัวหนึ่งกำลังเคี้ยวเนื้ออยู่ และเมื่อมองจากระยะไกล โนอาห์ก็ตระหนักได้ว่าชิ้นเนื้อที่มอนเตอร์ตัวนั้นกำลังเคี้ยวอยู่นั้นเป็นชิ้นเนื้อของมนุษย์ มนุษย์ตัวเล็กๆ แต่ก็ยังเป็นมนุษย์จริงๆ!

“บัดซบ มันกำลังเคี้ยวเนื้อของมนุษย์อยู่ แล้วทำไมถึงมีมนุษย์อยู่ที่นี่?” โนอาห์ถามเสียงเบา

ไม่มีใครในกลุ่มสามารถเข้าใจเหตุผลที่มีมนุษย์อยู่ในที่แห่งนี้ได้ แม้ว่าร่างกายของมนุษย์คนนั้นจะเล็กกว่าของพวกเขา แต่ก็ยังสามารถระบุได้ว่าคนๆนั้นเป็นมนุษย์จริงๆ เพราะเขามี เท้า เอว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งศรีษะที่มีจมูกหนาและผมที่ยาวยุ่ง

น่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยมนุษย์ตัวน้อยได้อีกต่อไป เนื่องจากเอวไม่ได้เชื่อมต่อกับร่างกายส่วนบนของคนๆนั้นอีกแล้ว เขาถูกแบ่งครึ่งแล้วนั่นเอง

“เสียงของบางอย่างกำลังถูกบดขยี้…นั่นใช่กระดูกของคนๆนั้นหรือเปล่า” นักเวทย์สายฟ้าถามด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ มอนสเตอร์ของป้อมปราการระดับ E นั้นทรงพลังแต่ไม่ถึงกับสามารถเคี้ยวและหักกระดูกมนุษย์ได้ราวกับว่าพวกเขากำลังกินขนมห่อหนึ่งอยู่

“บางทีมนุษย์คนนั้นอาจจะอ่อนแอกว่าเรา แต่เราปล่อยให้สิ่งนั้นทำให้เราประมาทไม่ได้ มาใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่ามอนเตอร์ตัวนี้ยังไม่ได้สังเกตเห็นเราและเปิดการโจมตีแบบเซอร์ไพรส์กันดีกว่า และเพื่อที่เราจะทำสิ่งนั้นได้เราต้องการคนล่อมอนเตอร์ตัวนั้นเพื่อดึงความสนใจออกจากกลุ่มไป ปกตินี่คืองานของแจสเปอร์ นายแน่ใจนะว่านายทำได้ โนอาห์ ฉันไม่คิดว่าพรของนายจะช่วยอะไรได้ในสถานการณ์แบบนี้จริงๆ ถ้านายรู้สึกไม่มั่นใจ ฉันคิดว่าแจสเปอร์ควรไปแทน เพราะอย่างน้อยเขาก็จะมีโอกาสวิ่งหนีออกจากมอนเตอร์ตัวนั้นได้ดีกว่า” มาร์เซลพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะมองโนอาห์อย่างเป็นห่วง

โนอาห์รู้ว่ามีดสั้นของเขาที่เขาได้รับจากป้อมปราการระดับ E จะไม่มีประโยชน์เลยสำหรับมอนสเตอร์ระดับ D เว้นแต่เขาจะโจมตีใส่จุดอ่อนของมัน แต่นั่นไม่ได้ขัดขวางไม่ให้โนอาห์ใช้เปลวไฟของเขาทำความเสียหายให้กับมัน และเขายังสามารถเคลื่อนย้ายไปมาด้วยการระเบิดของเปลวไฟได้อีกด้วย

และเนื่องจากการเทเลพอร์ตของเขาจะทำให้เกิดการระเบิดเล็กๆ นั่นทำให้ความสามารถในการเทเลพอร์ตของเขาไม่ใช่ความสามารถที่จะเทเลพอร์ตอย่างลับๆ แต่มันจะได้รับความสนใจจากมอนเตอร์ นั่นทำให้โนอาห์คิดว่าจะไม่มีใครทำงานนี้ได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว

แจสเปอร์สามารถทำเสียงดังได้และเขาก็มีความว่องไวในเวลาเดียวกัน แต่การระเบิดของโนอาห์ก็น่าจะโดดเด่นกว่าเขาอยู่ดี

“อย่ากังวลไปเลย นายจะเข้าใจเมื่อฉันลงมือทำ นายไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงขนาดนั้น ฉันมั่นใจว่าฉันจะไม่พลาดท่าให้กับมอนเตอร์ตัวนั้น ฉันเป็นห่วงคนที่ต้องเข้ามาโจมตีมันในระยะประชิดมากกว่าอีก เพราะเมื่อเห็นรอยกัดพวกนั้นแล้วฉันยังไม่อยากแนะนำให้ไปสู้กับมันในระยะประชิดเลย เพราะฉะนั้นคนที่โจมตีในระยะประชิดได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับฉันแล้วต่อสู้ให้เต็มที่เมื่อเวลามาถึงนะ” โนอาห์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและมั่นใจ

ความมั่นใจที่โนอาห์แสดงให้เห็นทำให้มาร์เซลกลืนประโยคที่เขากำลังจะพูดเพื่อโน้มน้าวให้เขาถอยห่างออกไปอีกครั้ง เขารู้ว่าหากเขาพูดอะไรบางอย่างในตอนนี้ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องน่ากังวล มันก็จะเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะโนอาห์บอกว่าเขาทำได้ ถ้าเขาพยายามโน้มน้าวให้เขาไม่อย่างนั้น มันก็เหมือนกับว่าเขาไม่ไว้ใจเขา

“ถ้ายังงั้นก็ได้” มาร์เซลตอบอย่างกังวลเล็กน้อย

เมื่อให้เวลาทีมได้เตรียมตัวแล้ว โนอาห์ก็เดินไปหามอนเตอร์ตัวนั้นโดยพยายามเงียบที่สุดและทำอย่างดีที่สุดเพื่อประสานก้าวเดินของเขาเองกับการกัดที่มอนเตอร์ทำเพื่อป้องกันไม่ให้มอนเตอร์ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาในขณะที่เขายังอยู่ใกล้ชิดกับทีม

เขาอาจจะวาร์ปไปที่มอนสเตอร์โดยตรงเลยก็ได้ แต่ ณ จุดนี้โนอาห์ต้องการหลีกเลี่ยงการสิ้นเปลืองพลังงาน เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าป้อมปราการระดับ D หน้าตาเป็นอย่างไร และเขาไม่รู้ว่า [เปลวไฟแห่งนรก] ของเขาจะสามารถจัดการกับมอนเตอร์ได้หรือเปล่าหรือมอนเตอร์ที่นี่จะทนไฟได้ขนาดไหน

ดังนั้นโนอาห์จึงเลือกที่จะเดินโดยใช้ความระมัดระวังมากที่สุดแทนที่จะใช้ความประมาทแทน โนอาห์ต้องการเข้าใกล้ให้มากที่สุดเพื่อที่จะใช้เทเลพอร์ตในระยะทางที่สั้นที่สุดที่เขาจะทำได้ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองพลังงาน เพราะยิ่งระยะทางไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้นเท่านั้น โนอาห์เรียนรู้เรื่องนี้มาอย่างดีแล้ว และเขาไม่ต้องการให้ปัจจัยเรื่องพลังงานเป็นสาเหตุที่จะทำให้เขาต้องเสียชีวิตในป้อมปราการแห่งนี้

เมื่อเขารู้สึกว่าเขาอยู่ในระยะที่ปลอดภัยแล้ว โนอาห์ก็ลุกเป็นไฟทันทีและปรากฏขึ้นภายในการระเบิดที่ปรากฏต่อหน้ามอนเตอร์หลังจากนั้นไม่นาน

สิ่งนี้ทำให้ผู้ถูกเลือกทุกคนนอกจากแจสเปอร์ประหลาดใจ และนั่นก็ยังทำให้มอนเตอร์ประหลาดใจด้วยเช่นกัน

โนอาห์ไม่รอช้าเขาหยิบมีดสั้นของเขาออกมาและแทงเข้าไปในดวงของมอนเตอร์ทันที

โชคร้ายสำหรับโนอาห์ แทนที่มอนเตอร์ตัวนั้นจะถอยด้วยความกลัวหรือความเจ็บปวดจากการถูกมีดสั้นแทงใส่ตา แต่มันกลับตัดสินใจกระโดดใส่โนอาห์อย่างไร้เหตุผลเพื่อกัดเขา

โนอาห์ได้เห็นแล้วว่าการกัดนั้นทรงพลังเพียงใดในขณะที่เขาได้ยินเสียงมันบดกระดูกของมนุษย์ที่ตายอยู่ตรงหน้าเขา ซึ่งทำให้โนอาห์ตัดสินใจเทเลพอร์ตไปที่ด้านข้างของสัตว์ประหลาดและทิ้งมีดสั้นของเขาไป สิ่งนี้ทำให้นักเวทย์และนักธนูของทีมมองเห็นมอนเตอร์ได้อย่างชัดเจนและทำให้พวกเขายิงได้ตามที่พวกเขาต้องการ

เมื่อสายฝนแห่งพลังเวทย์และลูกธนูหลั่งไหลมาในระยะไกล โนอาห์ก็มองดูมอนเตอร์แปลกๆตัวนี้อย่างใกล้ชิดและสังเกตว่ามันหน้าตาน่าเกลียดขนาดไหน

มันเหมือนกับหมูป่าที่มีร่างกายอ้วนท้วนเหมือนมนุษย์ โนอาห์ไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดและแปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อน ท้องของมันบางส่วนถูกเย็บซึ่งมันทำให้โนอาห์รู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกไปเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตตัวนี้ เนื่องจากหมูป่าตัวนี้ไม่น่าจะมีสติปัญญาเพียงพอที่จะเย็บบางอย่างได้ เพราะการเย็บมันต้องการความคล่องแคล่วและความชำนาญในการทำมัน และที่สำคัญที่สุดคือระดับสติปัญญาของมัน

โนอาห์หยุดความคิดนั้นไว้ก่อนและเปิดฝ่ามือออกมาเรียกเปลวไฟอันเจิดจ้าขึ้นเพื่อรักษาความสนใจของมอนเตอร์ตัวนี้ไว้กับตัวเอง เขายิงเปลวไฟของเขาใส่มอนเตอร์ด้วยความหวังว่ามอนเตอร์ตัวนั้นจะไม่มีความต้านทานมากพอที่จะทนกับเปลวไฟของเขาได้

“แกจะต้องตายเพื่อที่แกจะได้กลายเป็นค่าประสบการ์ณให้ฉันได้เลื่อนขึ้นไปที่เลเวล 03”

โนอาห์ไม่ได้มองมอนเตอร์ตัวนี้เป็นศัตรูแต่เขากลับมองมอนเตอร์ตัวนี้เป็นเหมือนกับบ่อทองสำหรับเขา

เมื่อข้ามประตูมิติไปแล้ว ทั้งกลุ่มก็ได้พบกับสถานการณ์แปลกๆเป็นครั้งแรก แทนที่พวกเขาจะได้อยู่ในสถานที่เดิมๆเช่น ถ้ำ ป่า หรือทะเลทราย คราวนี้พวกเขากลับอยู่ในที่ที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่

โนอาห์เดินผ่านประตูมิติและรู้สึกว่าพื้นใต้เท้าของเขาเริ่มขยับ มันไม่ได้เคลื่อนจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง แต่มันกำลังขยับขึ้นลงราวกับว่าฐานที่เขาเหยียบกำลังประสบกับความไม่สม่ำเสมอ

เมื่อมองไปรอบๆเขาถึงเข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกอย่างนั้น มันเป็นเพราะโครงสร้างที่แปลกประหลาดรอบๆตัวพวกเขา พวกเขาอยู่ในรถไฟที่กำลังเคลื่อนที่อยู่

เมื่อคนสุดท้ายเดินผ่านประตูมิติ ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่เห็นรอบตัวพวกเขา ในป้อมปราการระดับ E ไม่มีพวกนี้ มอนสเตอร์ที่พวกเขาต้องรับมือในป้อมปราการระดับ E นั้นดังเดิมเป็นอย่างมาก

พวกเขารู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสน้อยมากที่พวกเขาจะเจอป้อมปราการที่มีอารยธรรมที่ก้าวหน้าในหมู่ป้อมปราการระดับ D

เพราะความเป็นไปได้นั้นต่ำมากจนแม้แต่ผู้ถูกเลือกที่บุกป้อมปราการระดับ D มาสองสามปีก็ยังไม่ค่อยจะเจอเลยด้วยซ้ำ และเมื่อพวกเขาไม่เจอป้อมปราการที่มีอารยธรรมที่ก้าวหน้าพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องพบเจอกับมอนเตอร์ที่วิวัฒนาการมามากจนสามารถแสดงสติปัญญาที่แท้จริงออกมาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดว่าพวกเขาจะ “โชคดี” ไปตกอยู่ในป้อมปราการเช่นนั้น

ข้อได้เปรียบของมนุษย์ที่อยู่เหนือมอนเตอร์ไม่ใช่ความสามารถทางกายภาพหรือพลังเวทย์ที่ทรงพลัง แต่เป็นสติปัญญาและการสื่อสารที่ประสารกันของมนุษย์ นั่นทำให้มนุษย์ได้เปรียบมอนเตอร์ในเวลาที่พวกเขาเผชิญหน้ากัน

แต่ในป้อมปราการแบบนี้ ความได้เปรียบนั้นไม่ได้ให้ผลเช่นเดิม มันอาจจะได้ผลน้อยลง

แต่กลุ่มของพวกเขามีการทำงานร่วมกันในแบบที่กลุ่มอื่นไม่มี ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถผ่อนคลายได้มากขึ้นเมื่อต้องรับมือกับมอนเตอร์ เพราะพวกเขาสามารถที่จะรักษาข้อได้เปรียบนั้นได้ไว้

แจสเปอร์กังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าป้อมปราการมีลักษณะอย่างไร เขาคิดว่ามันจะต้องลำบากมากที่จะต้องดึงความสนใจของมอนเตอร์เหล่านี้ที่ไม่ได้ตอบสนองด้วยสัญชาตญานเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกมันยังคิดและตัดสินใจอย่างมีเหตุผลด้วย

แต่เมื่อเขาจำได้ว่าเขาจะไม่ใช่คนเดียวที่ทำแบบนั้นในป้อมปราการแห่งนี้ และโนอาห์จะช่วยเขาด้วย หรือโนอาห์จะเป็นคนแรกที่จะทำเช่นนั้น มันก็ทำให้แจสเปอร์เบาใจลงได้ เพราะเขาสามารถสังเกตการกระทำของโนอาห์ และเมื่อเขาเห็นสิ่งที่โนอาห์ทำเขาก็จะสามารถนำวิธีนั้นมารวมเข้ากับวิธีของเขาเพื่อที่จะทำให้เขาได้กลยุทธ์ที่จะใช้ตอบโต้กับมอนเตอร์หรือป้อมปราการแห่งนี้ได้

เหตุผลที่เขาต้องนำมารวมกันนั้นเนื่องจากเพราะวิธีการของโนอาห์และแจสเปอร์ต่างกันมาก เพราะขณะที่แจสเปอร์ต้องวิ่งเข้าหามอนเตอร์และใช้ความเร็วสูงสุดของเขา โนอาห์จะสามารถเคลื่อนไหวได้ทันที และนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ดวงตาของแจสเปอร์เป็นสีเขียวด้วยความอิจฉา

โนอาห์เหลือบมองไปรอบๆรถไฟแปลกๆที่พวกเขาอยู่และสังเกตว่าถึงแม้จะเป็นรถไฟ แต่เทคโนโลยีที่ใช้บนรถไฟนั้นก็ยังล้าหลังกว่ารถไฟที่มนุษย์ผลิตขึ้นหลายศตวรรษ มันแตกต่างกันที่มีควันจำนวนมากที่ก่อตัวขึ้นที่ภายนอก มันอาจจะขัดต่อกฏหมายอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งหมดเลยก็ได้

สิ่งที่บอกได้จากสิ่งที่เขาเห็นคือ มอนเตอร์ที่ควบคุมรถไฟขบวนนี้จะไม่ได้โง่เหมือนกับมอนเตอร์ที่พวกเขาเผชิญตามปกติ เพราะการที่มอนเตอร์สามารถสร้างสิ่งเหล่านี้ได้นั้นมันหมายความว่าพวกมันก็เหมือนกับมนุษย์ที่พัฒนาสิ่งต่างๆในโลกของพวกเขา

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าโนอาห์เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีวิวัฒนาการ เนื่องจากในขณะที่เขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ F เขาก็ได้เห็นความโง่เขลามากมายที่มนุษย์ได้ก่อขึ้นจนบางครั้งเขาถึงกับสงสัยว่าเขาเป็นสายพันธุ์กับคนเหล่านี้จริงๆยังงั้นหรอ

เมื่อทรงตัวและอยู่ในตำแหน่งที่ดีขึ้นในรถไฟแล้ว ทั้งกลุ่มก็เริ่มเดินเข้าสู่ขบวนรถไฟ

สิ่งที่แตกต่างจากรูปแบบปกติที่พวกเขาทำในป้อมปราการระดับ E คือโดยปกติแล้วโนอาห์จะอยู่ด้านหลังพร้อมกับนักเวทย์และแจสเปอร์จะอยู่ด้านหน้าคนเดียว คราวนี้โนอาห์อยู่กับแจสเปอร์ด้านหน้าในขณะที่ด้านหลังมีนักเวทย์อยู่

เดิมทีโนอาห์ถูกเรียกให้เข้าร่วมทีมเพื่อเติมตำแหน่งว่างสำหรับสมาชิกของกลุ่มที่เสียชีวิตไป และคนๆนั้นก็มีบทบาทเหมือนกับแจสเปอร์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แปลกใจกับรูปแบบนี้

ภายในรถไฟมีแสงสว่างน้อยมาก รถไฟขบวนนี้เหมือนจะไม่มีแม้แต่ไฟฟ้าเลยด้วยซ้ำ โนอาห์คิดว่าตัวอะไรก็ตามที่สร้างรถไฟขบวนนี้ขึ้นมายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับไฟฟ้าเลย ดังนั้นเขาจึงคิดว่ารถไฟขบวนใหญ่ขบวนนี้เป็นรถไฟที่ขับเคลื่อนด้วยถ่านหิน

โนอาห์รู้สึกซาบซึ่งมากสำหรับบทเรียนวิดีโอประวัติศาสตร์ที่เขาดูในตอนที่เขามองหาเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ในการบุกป้อมปราการระดับ F

เนื่องจากในรถไฟมีแสงน้อยและแสงเดียวที่ส่องสว่างภายในรถไฟคือแสงที่มาจากแสงอาทิตย์ที่ผ่านหน้าต่างกระจกเข้ามาและทำให้พวกเขาเห็นทางเดินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เพราะมันเป็นรถไฟโบราณจึงทำให้ทางเดินค่อนข้างกว้าง ทางเดินสามารถเดินได้สิบคนโดยที่สามารถยืนข้างกันได้โดยที่ไม่รู้สึกคับแคบ

ลักษณะพิเศษอีกอย่างในป้อมปราการแห่งนี้คือป้อมปราการแห่งนี้เป็นเส้นทางตรงซึ่งมันแตกต่างจากป้อมปราการปกติที่พวกเขาสามารถเลือกทิศทางและเพิกเฉยต่อมอนเตอร์ต่างๆได้ แต่ในป้อมปราการนี้พวกเขาไม่สามารถทำได้ พวกเขามีทางเดียวเท่านั้นที่จะไปได้ และเพื่อที่พวกเขาจะไปต่อได้พวกเขาอาจจะต้องฆ่ามอนเตอร์ทั้งหมดที่พวกเขาพบ

แต่สิ่งนี้โนอาห์ไม่ได้กังวลเลย เพราะเขาเป็นผู้ที่ต้องการมอนเตอร์อย่างเร่งด่วนเพื่อที่เขาจะฆ่าและรับค่าประสบการณ์จากมันเพื่อเพิ่มระดับของเขา

ขณะที่พวกเขาเดินผ่านเก้าอี้ที่วางอยู่ไปเรื่อยๆ เขาก็มาถึงจุดสิ้นสุดของโบกี้แรกของขบวนรถไฟ โนอาห์ที่เป็นหน่วยสอดแนมของทีมก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับเปิดประตูเพื่อไปสู่โบกี้ที่สองของขบวนรถไฟ

โบกี้ที่สองนี้แตกต่างจากโบกี้ก่อนอย่างมาก ในโบกี้นี้แทนที่จะเป็นเก้าอี้ที่สะดวกสบายสำหรับผู้โดยสารที่จะนั่ง แต่มันกลับเต็มไปด้วยกล่องโลหะหลายกล่องวางซ้อนกันอย่างไม่เป็นระเบียบซึ่งทำให้ส่วนข้างของโบกี้ถูกกีดขวางไว้อย่างสมบูรณ์

นี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเพราะมันหมายความว่ามันจะต้องมีมอนเตอร์ให้พวกเขาจัดการภายในโบกี้ แต่มันก็เป็นสัญญานที่ดีเช่นกันเพราะสิ่งที่พวกเขากำลังจะเจอน่าจะเป็นมอนเตอร์กลุ่มเล็กๆและพวกเขาจะไม่ต้องเปลี่ยนเป็นการต่อสู้เต็มรูปแบบ

แต่ก็ยังมีบางอย่างในใจของโนอาห์ที่บอกเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติ ยิ่งเขาเดินไปตามรถไฟมากเท่าไรเขาก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขารู้สึกว่ามันไม่ดูเหมือนว่าเขากำลังจะมาจัดการกับมอนเตอร์ แต่ศัตรูของพวกเขาเป็นอย่างอื่นซึ่งเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันคืออะไร

ทั้งกลุ่มค่อยๆเคลื่อนที่อย่างช้าๆ

ปัจจุบันค่าประสบการณ์ของโนอาห์อยู่ที่ 392 แต้มจาก 400 แต้ม ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาต้องการก็คือให้มอนเตอร์บางตัวปรากฏขึ้นในไม่ช้า เขากังวลมากว่าจะเป็นทักษะใดของเขาที่จะได้รับการเพิ่มเลเวลในตอนที่เลเวลของเขาเพิ่มขึ้น

แม้ว่ากลุ่มของพวกเขาจะเดินไปตามโบกี้เป็นเวลาสองถึงสามนาที กลุ่มของพวกเขาก็ยังไม่เจอมอนเตอร์เลยแม้แต่ตัวเดียว

ไม่ใช่แค่มอนเตอร์เท่านั้นที่พวกเขาหาไม่เจอ จุดสิ้นสุดโบกี้นี้พวกเขาก็ยังหาไม่เจอเช่นกัน ตอนแรกพวกเขาคิดว่านี่เป็นเพียงโบกี้ใหญ่ๆที่ใหญ่กว่าโบกี้ก่อนที่เขาเจอ แต่โบกี้ที่เขาอยู่ตอนนี้เหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อพวกเขาเดินอยู่ในโบกี้ที่สองนี้นานกว่า 15 นาที ในที่สุดพวกเขาก็เจอปลายทางและมันก็ยังทำให้กลุ่มของเขาเริ่มกังวลเพราะตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาต้องจัดการกับศัตรูประเภทไหน

เมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาคิดจะปีนขึ้นไปบนกล่องเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นจุดสิ้นสุดของโบกี้นี้ แต่กล่องโลหะที่ซ้อนกันทั้งหมดก็สูงถึงเพดานของขบวนรถไฟนี้ทำให้ไม่มีที่ว่างที่ใครสามารถมองผ่านไปได้

พวกเขาพยายามหาทิศทางที่จะไปโดยการที่พวกเขาจะทำลายกล่องเหล่านั้นและเปิดทางให้ใหญ่ขึ้น แต่กระทั่งผู้ถูกเลือกที่ชื่อว่า บิ้กบูลล์ ที่ได้รับพรในด้านพละกำลังของกระทิง เขาก็ไม่สามารถขยับกล่องได้เกินสองถึงสามเซนติเมตร พวกเขาจึงจำใจต้องเดินตามเส้นทางที่เล็กลงนี้ต่อไป

ยิ่งพวกเขาเดินผ่านสถานที่ที่น่าอึดอัดนี้มากเท่าไหร่ ความกังวลของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

นี่เป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อต้องรับมือกับมอนเตอร์ที่ฉลาดกว่ามอนเตอร์ปกติที่จะทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง

เพราะพวกมันเป็นเช่นเดียวกับมนุษย์ที่ถึงแม้พวกมันจะมีร่างกายที่อ่อนแอกว่า แต่กลวิธีที่พวกมันจะใช้ในการจัดการกับศัตรูนั้นอันตรายกว่ามาก และจากสิ่งที่พวกเขาเห็นตอนนี้พวกเขาคิดว่าพวกเขาอาจจะตกลงไปในกับดับของมอนเตอร์ที่พวกเขากำลังจะเผชิญอยู่

ทันใดนั้น ความแปลกประหลาดที่พวกเขารู้สึกขณะเดินไปมาระหว่างโบกี้ของตู้บรรทุกสัมภาระที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดนี้ก็ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอันตรายทันทีที่พวกเขาสังเกตเห็นรอยเลือดยาวที่ลากไปตามทางที่ตัดกันระหว่างกล่อง รอยเลือดนี้ทำให้กลุ่มของพวกเขาเข้าสู่ทางตันที่จะต้องตัดสินใจทำอะไรสักอย่าง

โนอาห์ซึ่งอยู่หน้ากลุ่มจึงหันไปถามผู้ถูกเลือกที่เหลือว่า

“เราควรทำยังไงดี รอยเลือดนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเราจะพบบางอย่างที่เราจะต้องต่อสู้ด้วยหากเราเดินทางรอยเลือดนี้ไป แต่ถ้าหากเราเลือกที่จะไม่สนใจรอยเลือดนี้และหาเส้นทางอื่นก็เหมือนกับพวกเราเลือกความปลอดภัยและไม่ต้องการพบกับมอนเตอร์ระดับ D ตัวนี้ที่เป็นไปได้ว่ามันเป็นคนทำให้เกิดรอยเลือดนี้ขึ้น”

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูด ผู้ถูกเลือกบางคนซึ่งไม่มั่นใจนักในตอนที่เข้าสู่ป้อมปราการระดับ D จึงคิดว่าพวกเขาควรจะไม่สนใจต่อรอยเลือดนี้และพยายามหาทางออกจากรถไฟขบวนนี้โดยหลีกเลี่ยงทุกอย่างเพื่อความปลอดภัยของพวกเขา

แต่ในขณะนั้น มาร์เซลกลับคิดต่างจากคนอื่นๆ

“เราต้องตามรอยเลือดนี้ไป ไม่อย่างนั้นเราจะต้องเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายระหว่างกล่องพวกนี้ บางทีเราอาจต้องอยู่ในเขาวงกตนี้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งเราอาจจะต้องอดตายหรืออะไรสักอย่าง อย่างน้อยการตามรอยเลือดนี้ไปก็รับประกันได้ว่าเราจะพบกับมอนเตอร์และทางออกอื่นๆที่เป็นไปได้ เพราะสุดท้ายแล้วเราไม่ได้มาที่นี่เพื่อค้นหาสถานที่ปิกนิกในสวนสาธารณะ แต่พวกเรามาที่นี่เพื่อค้นหาเลือด เพื่อค้นหามอนเตอร์ที่เราจะฆ่าและรางวัลที่เราจะได้รับ!”

คำพูดของมาร์เซลมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของทีมอย่างมาก และโนอาห์ก็สังเกตเห็นแล้วว่ามาร์เซลมีความเป็นผู้นำที่ดีอย่างแท้จริง

“ไปกันเถอะ” โนอาห์พูดอย่างเงียบๆขณะที่เขามองดูรอยเลือดบนพื้นซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันถูกสร้างโดยสิ่งมีชีวิตที่ถูกลากด้วยบาดแผลเปิดขนาดใหญ่

“นายรู้ว่าพวกเรากังวลใช่มั้ย” แจสเปอร์พูดกับโนอาห์ด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจเล็กน้อย

โนอาห์รู้ดีว่าเขากำลังพูดถึงอะไร

“ใช่ เราไม่ได้โชคดีขนาดนั้น แต่ฉันก็เชื่อในศักยภาพของนายแจสเปอร์! ฉันคิดว่ากลุ่มของเราดีกว่ากลุ่มทั่วไปที่มีแต่ผู้ถูกเลือกระดับ D มาก นายบอกฉันก่อนที่ฉันจะเข้าร่วมกับกลุ่มของนายว่าที่กลุ่มของนายไม่ได้เข้าสู่ป้อมปราการระดับ D ก็เพราะพวกนายรู้สึกว่ามีบางอย่างขาดหายไป และตอนนี้ฉันรู้สึกว่า ‘บางอย่าง’ นั้นมันได้สมบูรณ์แล้ว ฉันคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เข้าไปที่ป้อมปราการระดับ D”

เมื่อคิดถึงสิ่งที่โนอาห์พูด แจสเปอร์ก็ถอนหายใจและเห็นด้วย

“จริงสิ อย่างน้อยเราก็ได้ไปสำรวจในสถานที่ที่เราไม่รู้จัก และนี่ก็ทำให้ฉันตื่นเต้นมาก! ฉันรู้สึกเหมือนตอนที่ฉันได้รับพรใหม่ๆและได้มาที่ป้อมปราการเป็นครั้งแรกเลย!”

ทั้งสองได้สร้างมิตรภาพที่ดีในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่มันยังไม่ถึงจุดที่พวกเขาจะออกไปสนุกด้วยกันหลังจากจบป้อมปราการ แต่พวกเขาก็อยู่ไม่ไกลจากจุดนั้นแล้ว

สิ่งที่พวกเขาพูดถึงเมื่อสักครู่นี้เกี่ยวกับป้อมปราการที่พวกเขากำลังจะบุกเข้าไป แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาจะบุกป้อมปราการระดับ D แต่พวกเขาก็ไม่ได้โชคดีพอที่พวกเขาจะถูกเลือกไปยังป้อมปราการที่พวกเขารู้จัก

ตอนนี้ป้อมปราการที่กลุ่มของพวกเขากำลังจะบุกเข้าไปเป็นป้อมปราการที่พวกเขาไม่รู้จัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสิ่งต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่เตรียมให้เข้ากับสภาพแวดล้อมหรือสภาพอากาศของที่นั่น หรือเหตุการณ์พิเศษต่างๆ เช่น ถุงเก็บความร้อนด้วยสารเคมี หากพวกเขาต้องเข้าไปเจอป้อมปราการที่มีอุณหภูมิต่ำมาก

ถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือตอนนี้พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเขากำลังจะถูกส่งไปที่ไหน พวกเขาแค่ต้องพึ่งโชคของพวกเขาเท่านั้น จำนวนป้อมปราการที่โนอาห์เคยบุกเข้าไปโดยที่ไม่รู้ว่าข้างในเป็นอย่างไรนั้นมีไม่มากนัก เพราะป้อมปราการระดับ F จะไม่ค่อยปรากฏป้อมปราการประเภทนี้ขึ้นมา เพราะมีผู้ถูกเลือกจำนวนมากอยู่ในระดับนี้ และผู้ถูกเลือกจะสำรวจป้อมปราการในระดับนี้จนแทบจะครบทั้งหมดแล้ว

แต่ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นแบบนี้แต่โนอาห์ก็ไม่ได้กลัวตาย เขามั่นใจว่าอย่างน้อยเขาจะสามารถเอาชีวิตรอดออกมาจากป้อมปราการนั้นได้ด้วยพรของเขา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถฆ่ามอนเตอร์ทั้งหมดในป้อมปราการและทำภารกิจให้สำเร็จได้ก็ตาม

คนอื่นๆในกลุ่มก็วิตกกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น พวกเขาทั้งหมดเชื่อใจซึ่งกันและกัน และนั่นทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้น มันจะไม่เป็นภัยพิบัติที่สามารถฆ่าทุกคนได้อย่างแน่นอน และไม่ใช่เมื่อพวกเขามีการทำงานร่วมกันที่สูงเช่นนี้

โนอาห์และแจสเปอร์คุยกันตลอดทางจนพวกเขามาถึงประตูมิติ

ประตูมิตินี้ต่างจากประตูมิติระดับ E ทั่วไป ประตูมิติที่เริ่มต้นจากระดับ D จะมีอนุภาคบางส่วนที่สีต่างกันออกไปกระจายไปทั่วๆพลาสมา ซึ่งปกติแล้วประตูมิติระดับ E ลงไปจะมีแต่พลาสมาสีม่วงกระจายไปรอบๆ

กลุ่มได้สรุปสั้นๆเกี่ยวกับกลยุทธ์ของพวกเขาภายในป้อมปราการ โนอาห์รอจนกระทั่งให้มาร์เซลพูดจบก่อนที่เขาจะเสนอว่า

“ขอโทษนะทุกคน ฉันคิดว่าการทำแบบเดิมเหมือนที่ฉันทำในป้อมปราการอื่นในขณะที่พวกเรากำลังจะบุกเข้าไปในป้อมปราการระดับ D ที่ไม่รู้จักนี้มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด”

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูด คนอื่นๆในกลุ่มก็มองมาที่เขาพร้อมกับเลิกคิ้วและแสดงความประหลาดใจสั้นๆที่พวกเขามีออกมา กลยุทธ์ที่พวกเขาใช้มาตลอดไม่เคยล้มเหลว สิ่งเดียวที่ใช้ไม่ได้จริงในเรื่องทั้งหมดนี้คือความเหนื่อยที่แจสเปอร์ต้องได้รับ แต่เพื่อชดเชยสิ่งนั้น คนในกลุ่มได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ของรายได้ที่เขาจะได้รับเมื่อจบป้อมปราการให้กับเขา เนื่องจากเขาต้องทำงานหนักมากกว่าคนอื่นๆ แต่ถ้าปล่อยเขาไว้แบบนั้นโดยที่เขาได้รับรายได้เพิ่มแล้วคนในกลุ่มก็ไม่รู้สึกว่าพวกเขาทำอะไรผิด

มาร์เซลมองไปที่โนอาห์ และก่อนที่โนอาห์จะเริ่มอธิบายสิ่งที่เขาจะพูดเขาก็มองไปที่แจสเปอร์และเห็นท่าทางที่แจสเปอร์มอบให้เขา เขาก็มีความรู้สึกที่ไม่ดีด้วยเหตุผลที่มาร์เซลกังวล

โนอาห์อธิบายกับกลุ่มที่ยังสับสนว่า

“ฉันเชื่อว่ามันจะไม่ดีถ้าฉันยังคงเป็นนักเวทย์หลักของกลุ่ม”

สิ่งนี้ทำให้กลุ่มของพวกเขาประหลาดใจมาก นักเวทย์สายฟ้าของกลุ่มเป็นคนแรกที่ตั้งคำถามกับโนอาห์ เนื่องจากตั้งแต่ป้อมปราการแรกที่พวกเขาบุกเข้ามาพร้อมกัน เขาได้นำโนอาห์เป็นแบบอย่างที่แท้จริงของนักเวทย์ที่ควรจะเป็น ผู้ซึ่งแม้จะยังเด็กมากแต่ก็ไม่แสดงแง่ลบของลักษณะที่ชายหนุ่มควรมี ซึ่งโดยปกติแล้วมันมักจะขัดขวางไม่ให้นักเวทย์แสดงศักยภาพสูงสุดในงานของเขา

“นายหมายความว่ายังไง? ฉันคิดว่ามันค่อนข้างชัดเจนสำหรับกลุ่มว่าไม่มีนักเวทย์คนใดดีไปกว่านายในตำแหน่งนั้นแล้ว ฉันไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของนาย”

โนอาห์จินตนาการว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น และเขาก็อธิบายทันที

“อันที่จริง การเป็นนักเวทย์เป็นอาชีพรองของฉัน ฉันเป็นนักฆ่าดีกว่านักเวทย์”

เมื่อได้ยินโนอาห์พูดอย่างนั้น ทุกคนก็หันไปหาแจสเปอร์และเห็นรอยยิ้มของผู้ชนะบนใบหน้าของเขา ราวกับพูดกับทุกคนที่มองมาที่เขาว่า

‘ฉันบอกนายแล้ว’

มาร์เซลไม่ต้องการยอมรับความพ่ายแพ้ต่อแจสเปอร์หลังจากที่เขาเห็นท่าทางที่พอใจบนใบหน้าของแจสเปอร์ เขาถามโนอาห์ว่า

“นายเป็นนักเวทย์ที่มีพลังมหาศาลอยู่แล้ว อะไรทำให้นายคิดว่านายเป็นนักฆ่าดีกว่าเป็นนักเวทย์”

โนอาห์จะสาธิตให้พวกเขาดูโดยการเทเลพอร์ตออกไปทันที แต่ก่อนที่เขาจะได้ทำแบบนั้น แจสเปอร์ก็คว้าไหล่ของโนอาห์และห้ามไม่ให้เขาทำเช่นนั้นก่อนจะพูดว่า

“ตอนนี้พวกนายทุกคนไม่เชื่อฉันใช่ไหม ถ้ายังงั้นโนอาห์อย่าเพิ่งแสดงอะไรให้พวกเขาเห็นจนกว่าพวกเราจะเข้าไปในป้อมปราการเถอะ ฉันอยากเห็นความประหลาดใจที่พวกเขาจะแสดงออกมาเมื่อพวกเขาเห็นว่านายทำอะไรได้บ้าง”

เมื่อได้ยินสิ่งที่แจสเปอร์พูด มาร์เซลก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า

“แจสเปอร์ เรากำลังบุกเข้าไปในป้อมปราการระดับ D ที่ไม่มีใครรู้จัก เรากำลังเสี่ยงมากกว่าที่ควร นายแน่ใจแล้วใช่ไหมว่าคำพูดของนายจะไม่ทำให้เราตกอยู่ในอันตราย”

หากเป็นป้อมปราการทั่วไป มาร์เซลคงไม่สนใจการแสดงตลกของแจสเปอร์ แต่เนื่องจากป้อมปราการที่เขากำลังจะเข้าไปนี้เป็นป้อมปราการระดับ D ที่พวกเขาไม่มีข้อมูลมาก่อน เขาจึงกังวลเรื่องความปลอดภัยของกลุ่ม

แจสเปอร์ตระหนักถึงสิ่งนี้ แต่เขาจำได้ว่าพรของโนอาห์นั้นทรงพลังเพียงใดและเขาคิดว่ามันจะไม่เสี่ยงขนาดนั้น เขาแค่ต้องการขอให้โนอาห์เป็นคนแรกที่โจมตีมอนเตอร์เมื่อกลุ่มของเขาเข้าไปในป้อมปราการ

“อย่ากังวลไปเลยมาร์เซล ฉันเชื่อใจโนอาห์ และนายสามารถมั่นใจได้เลยว่าฉันจะไม่ขอให้เขาทำแบบนี้ถ้ามันจะทำให้ชีวิตเพื่อนของฉันและเพื่อนร่วมงานของฉันตกอยู่ในความเสี่ยงด้วยเหมือนกัน”

เมื่อสังเกตเห็นความมั่นใจของแจสเปอร์ มาร์เซลจึงเข้าใจและเชื่อในสิ่งที่เขาพูด พวกเขารู้จักกันมานานพอที่จะเข้าใจบุคลิกของกันและกัน ถ้าแจสเปอร์พูดมากขนาดนั้น ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริง

“โอเค งั้นฉันรอที่จะเซอร์ไพรส์ไม่ไหวแล้ว” มาร์เซลพูดด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เขาสลับการจ้องมองระหว่างโนอาห์กับแจสเปอร์

คนอื่นๆในกลุ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยที่ไม่ได้ค้นพบความลับที่แจสเปอร์พยายามปกปิดไว้ แต่พวกเขาก็ควบคุมตัวเองได้ พวกเขาเหลือไว้แต่ความอยากรู้อยากเห็นอันยิ่งใหญ่ที่อยากรู้ว่าโนอาห์จะทำอะไรได้บ้าง เพราะความสามารถที่พูดถึงนั้นทำให้แจสเปอร์ทั้งตื่นเต้นและทำตัวลึกลับได้ขนาดนี้

แจสเปอร์เป็นที่รู้จักกันดีของคนในกลุ่มว่าไม่สามารถเก็บความลับได้ ดังนั้นเมื่อเห็นเขาทำเช่นนั้น ความอยากรู้ของคนอื่นๆก็เริ่มล้นหลามและพยายามเดาว่าโนอาห์จะทำอะไรได้บ้าง

โนอาห์หมดคำจะพูดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเล็กน้อย เพราะเขาไม่อยากจะเชื่อว่าแจสเปอร์จะทำถึงขนาดนี้ เพียงเพื่อต้องการให้เขาแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถทำอะไรได้บ้าง ถ้าหากคนในกลุ่มรู้ว่าโนอาห์ทำอะไรบ้างบ้าง คนในกลุ่มก็จะสามารถสร้างกลยุทธ์ที่จะต้องใช้ออกมาได้

แต่เมื่อโนอาห์จำได้ว่าพวกเขายังไม่รู้ว่ามอนเตอร์ในป้อมปราการเป็นอย่างไร พวกเขาก็สามารถปล่อยให้ส่วนที่พวกเขายังไม่รู้รวมกับทักษะของโนอาห์เพื่อตัดสินใจว่าพวกเขาจะใช้กลยุทธ์อะไร

เมื่อเห็นว่าแจสเปอร์ตื่นเต้นแค่ไหน โนอาห์จึงตัดสินใจรอและร่วมเล่นเกมกับเพื่อนของเขา ถ้าแจสเปอร์จะสนุกกับสิ่งนี้ ก็ไม่มีเหตุผลที่โนอาห์จะไม่เข้าร่วม

ดังนั้นกลุ่มของพวกเขาก็ได้ข้ามประตูมิติของป้อมปราการระดับ D เป็นครั้งแรกด้วยความตื่นตระหนก ความระมัดระวัง และความคาดหวังที่จะรู้ว่าความท้าทายประเภทใดจะรอพวกเขาอยู่ที่อีกฟากหนึ่งของประตูมิตินั่น พร้อมกับความสงสัยที่ว่าแจสเปอร์และโนอาห์จะแสดงอะไรให้พวกเขาดูกันแน่

การพูดคุยกันภายในกลุ่มดีกว่าที่โนอาห์คิดไว้มากหลังจากเหตุการณ์ระหว่างเขากับเจมส์ และหลังจากที่คาร์ลอสพยายามทำให้อารมณ์ดีขึ้น ทุกคนก็สามารถพูดคุยและสนุกกันได้อีกครั้ง สภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายและอาหารอร่อยเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการนี้เช่นกัน เพราะท้ายที่สุดแล้วต่อให้มีอาหารอร่อยมาให้กินขนาดไหนแต่ถ้าอารมณ์ของคนกินเต็มไปด้วยความเศร้าคนที่กินก็จะไม่อร่อยอยู่ดี และคาร์ลอสก็ยังบอกว่าเขาจะเป็นคนเลี้ยงในครั้งนี้เองอีกด้วย

โนอาห์คุ้นเคยกับคาร์ลอสอยู่แล้วเขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทและกินจนกว่าเขาจะพอใจ เขารู้ว่าด้วยตัวเขาเองเขาจะไม่สามารถจ่ายค่าอาหารที่ร้านอาหารนี้ได้ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเพลิดเพลินกับอาหารฟรีอย่างสุดหัวใจและเขาจะกินจนไม่สามารถหาอะไรยัดลงไปในท้องของเขาได้อีก

สมาชิกคนอื่นๆในทีมยังคงรู้สึกละอายใจเล็กน้อยที่ต้องกินของมากๆด้วยค่าใช้จ่ายของคาร์ลอส เนื่องจากแม้ว่าพวกเขาจะเป็นเพื่อนกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนิทกันมากจนพวกเขาสามารถกินได้โดยที่ไม่ต้องสนใจเรื่องราคาที่เพื่อนของเขาจะต้องจ่ายให้ขนาดนั้น แต่เมื่อพวกเขาเห็นโนอาห์กินอาหารเกือบทั้งหมดบนโต๊ะ พวกเขาก็เริ่มไม่สนใจความรู้สึกนั้นและเริ่มกินราวกับว่าอาหารทั้งหมดจะหายไปจากโต๊ะถ้าไม่มีใครกิน

จากโต๊ะที่เป็นการทานอาหารของพี่น้องและเพื่อนๆที่กินกันอย่างสงบในตอนแรก ในขณะนี้ก็เปลี่ยนเป็นโต๊ะที่เป็นสนามรบที่ผู้แข็งแกร่งจะท้องอิ่มส่วนผู้อ่อนแอจะทำได้เพียงอิจฉาริษยาและปรารถนาที่จะกินมากขึ้น ในท้ายที่สุดทุกคนก็ต่างพากันหัวเราะกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม

วันนี้เป็นวันที่โนอาห์ตัดสินใจพักผ่อน เขาจะไม่เล่น Valorwatch เขาจะไม่ค้นคว้าอะไรเลย เป้าหมายของโนอาห์ในวันนี้คือพักกล้ามเนื้อและจิตใจเพื่อป้อมปราการที่กลุ่มของเขาจะบุกโจมตีในวันพรุ่งนี้

เนื่องจากพวกเขาได้ตัดสินใจบุกโจมตีป้อมปราการระดับ D สมาชิกทุกคนในกลุ่มบุกของแจสเปอร์จึงตัดสินใจพักในวันนี้เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันถัดไป พวกเขาต้องการอยู่ในจุดสูงสุดของทุกด้านสำหรับการบุกโจมตีป้อมปราการระดับ D ในครั้งนี้ ดังนั้นวันนี้ทั้งวันโนอาห์จึงใช้เวลาที่เหลือเพื่อเล่นกับลิลิธและเทอเรนซ์ และทำอาหารให้กับพวกเขา

เนื่องจากไข่อื่นๆยังไม่ฟัก โนอาห์จึงขายพวกมันไป เขาพอใจกับการแบ่งปันบ้านกับลิลิธและเทอเรนซ์ เพราะมันทำให้บ้านของเขามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งหนึ่งซึ่งก่อนหน้านี้มันเคยโดดเดี่ยวมากสำหรับเขา การมีอีกสองชีวิตที่ต้องดูแล เอาใจใส่ และเล่นด้วย ได้เปลี่ยนบรรยากาศในบ้านของโนอาห์ ซึ่งก่อนหน้านี้บ้านหลังนี้มีเพียงความโศกเศร้าและความรู้สึกแย่ๆของความคิดถึงเท่านั้น ตอนนี้มันเป็นหนึ่งในความสุขและความทรงจำที่ดีที่พวกเขาสร้างขึ้นด้วยกัน

วันที่เงียบสงบได้ผ่านไป โนอาห์นอนพักและตื่นขึ้นมาด้วยจิตใจที่แจ่มใสในวันถัดมา

เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกดีๆและตื่นก่อนที่นาฬิกาปลุกของเขาจะดังขึ้นด้วยซ้ำ

กลุ่มของเขามีกำหนดจะพบกันที่สำนักงานใหญ่ของ GBC เพื่อไปที่ป้อมปราการระดับ D

ป้อมปราการที่ผู้ถูกเลือกสามารถใช้รถบัสของ GBC ในการไปได้คือป้อมปราการในระดับ F และ E เท่านั้น ตั้งแต่ป้อมปราการระดับ D เป็นต้นไป ผู้ถูกเลือกจะต้องไปที่นั่นด้วยตนเอง

เหตุผลที่เป็นยังงี้เนื่องจากจำนวนผู้ถูกเลือกที่อยู่ในระดับนี้น้อยกว่าก่อนหน้านี้มาก และผู้ถูกเลือกระดับสูงส่วนใหญ่จะเปลี่ยนที่นัดเจอเป็นที่อื่นเพื่อความง่ายและสะดวกในการไปที่ป้อมปราการให้มากขึ้น อีกทั้งผู้ถูกเลือกระดับ D มีจำนวนน้อย เงินเดือนที่พวกเขาได้รับจึงสูงพอที่พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตที่หรูหรา พวกเขาสามารถซื้อรถได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ผู้ถูกเลือกระดับ D แต่ละคนจะไปที่ป้อมปราการด้วยรถของตัวเองแทนที่จะไปด้วยกัน

หากผู้ถูกเลือกเสียชีวิตในป้อมปราการ GBC จะเรียกคนในครอบครัวให้มารับรถไป หรือถ้าไม่มีใครมาพวกเขาก็จะขายรถและเก็บค่ารถไว้ 20% ก่อนที่จะส่งเงินที่เหลือคืนให้กับครอบครัวของผู้เสียชีวิต

จำนวนเงิน 20% นี้อาจจะดูเหมือนไม่มากนัก แต่ถ้าหากลองคำนวณดูจากทุกวันนี้ที่มีผู้ถูกเลือกระดับ D หรือสูงกว่านั้นเสียชีวิต จำนวนเงินที่ GBC ได้รับจากการขายรถยนต์หรูหราที่ผู้ถูกเลือกระดับสูงใช้นั้นมีจำนวนสูงเป็นอย่างมากเลยทีเดียว บ่อยครั้งที่รถเหล่านี้ถูกขายให้กับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆพร้อมกับส่วนลดจากราคาขายรถปกติ เนื่องจากผู้ถูกเลือกมีเงินมากขึ้นและต้องการรถที่ดี GBC จึงตัดสินใจที่จะขายรถให้เร็วที่สุดในตอนที่ผู้ถูกเลือกเสียชีวิต เพราะพวกเขาจะได้ไม่ต้องเก็บรถไว้และจะได้นำรถของผู้ถูกเลือกที่เสียชีวิตคนอื่นๆมาขายอีก ทำให้ GBC เป็นเหมือนโรงงานผลิตรถยนต์ที่มีรถยนต์มาให้ซื้อได้ไม่มีที่สิ้นสุด

น่าเสียดายที่ผู้ถูกเลือกระดับ E ทุกคนในกลุ่มของพวกเขาไม่มีรถ ดังนั้นเพื่อให้ง่ายขึ้นสำหรับคนเหล่านี้ในป้อมปราการระดับ D ครั้งแรกของพวกเขา คนในกลุ่มจึงตัดสินใจที่จะมาพบกันที่สำนักงานใหญ่ GBC และรับพวกเขาไปที่ป้อมปราการ

โนอาห์เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มนี้ที่ต้องนั่งรถไปยังป้อมปราการ และเขาลงเอยด้วยการเดินทางไปพร้อมกับแจสเปอร์ซึ่งตลอดการเดินทางของเขาเขาบ่นว่าโนอาห์จะต้องช่วยเขาควบคุมมอนเตอร์ด้วย

ท้ายที่สุดแล้วโนอาห์ก็ตกลงว่าจะช่วยเขาทำหน้าที่นั้น นั่นทำให้แจสเปอร์เซอร์ไพรส์เป็นอย่างมากที่ในที่สุดโนอาห์ก็ตัดสินใจช่วยเขาสักที

ก่อนหน้านี้ที่โนอาห์ไม่ได้ช่วยแจสเปอร์เพราะเขาเชื่อมั่นในความสามารถของแจสเปอร์ในการทำหน้าที่สอดแนมให้กับทีม แต่ในป้อมปราการระดับ D ที่พวกเขาไม่คุ้นเคย โนอาห์จะไม่ยอมให้แจสเปอร์เสี่ยงตัวเองโดยไม่จำเป็นดังนั้นเขาจึงตกลงที่จะช่วยเหลือแจสเปอร์สำหรับป้อมปราการระดับ D ครั้งแรกของพวกเขา

จนถึงตอนนี้ มีเพียงแจสเปอร์เท่านั้นที่รู้ว่าโนอาห์ทำอะไรได้บ้าง และรู้ว่าโนอาห์สามารถเทเลพอร์ตได้ เนื่องจากตลอดสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมานี้โนอาห์ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถนี้ในการบุกป้อมปราการเลย นั่นทำให้มาร์เซลแน่ใจอย่างยิ่งว่าเขาได้เลือกถูกต้องแล้วที่ให้โนอาห์เป็นนักเวทย์หลักของกลุ่ม และนั่นทำให้แจสเปอร์สิ้นหวังเป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม คราวนี้แจสเปอร์รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาต้องการเห็นปฏิกิริยาของมาร์เซลเมื่อเขาเห็นว่าโนอาห์เป็นนักฆ่าได้ดีกว่านักเวทย์ แจสเปอร์รู้ดีว่าโนอาห์เป็นนักเวทย์ที่ดีจริงๆ แม้ว่าเขาจะเก่งที่สุดในกลุ่ม เก่งมากจนเขาถูกมองว่าเขาเป็นนักเวทย์หลักของกลุ่ม แต่ระหว่างนักเวทย์ที่เผามอนเตอร์เป็นครั้งคราวกับหน่วยสอดแนมที่สามารถเทเลพอร์ตได้อย่างบ้าคลั่งและสังหารมอนเตอร์เหมือนกับเด็ดดอกไม้ แจสเปอร์ชอบแบบหลังมากกว่า

ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปยังป้อมปราการภายในรถออดี้ซีดานของแจสเปอร์ โนอาห์มองไปรอบๆภายในรถและชอบรถคันนี้มาก เขาไม่เคยหยุดเพื่อสังเกตรถมาก่อน แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องมีรถเพื่อไปที่ป้อมปราการ โนอาห์เริ่มดูรถบนท้องถนนมากขึ้น และคิดว่าคันไหนจะดีที่สุดสำหรับเขา คันไหนที่เขาจะรู้สึกสบายใจที่สุดหากเขาเป็นคนขับ และไม่ต้องพูดถึงว่าคันไหนน่าสนุกที่สุดอีกด้วย

โนอาห์ไม่ได้สังเกตตัวเองเลยในช่วงระยะหลังที่ผ่านมา แต่หลังจากอยู่กับลิลิธซึ่งตอนนี้กำลังพันข้อมือของเขาอยู่และการที่ได้คุยกับแม็กกี้เรื่องนี้มากขึ้นทำให้โนอาห์นึกถึงความสุขของตัวเองมากกว่าเมื่อก่อน

เมื่อก่อนความสุขของโนอาห์จะขึ้นอยู่กับแม็กกี้เท่านั้น แต่ตอนนี้เขาเริ่มให้ความสำคัญกับตัวเองมากขึ้นกว่าเดิม โดยเขาจะพิจารณาเรื่องสนุกๆสำหรับตัวเขาเองเป็นความสำคัญเล็กๆน้อยๆซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีอยู่แล้ว

แต่แม็กกี้ยังคงเป็นเป้าหมายหลักของเขาเหมือนเดิม โนอาห์รู้สึกดีเพราะเขาสามารถเห็นตัวเองได้ในอนาคตอันใกล้ได้รับเงินพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยายามของแม็กกี้และทำให้เธอได้ออกจากโรงพยาบาล แม้ว่าเธอจะพยายามทำให้ตัวโนอาห์รู้ว่าเธอพอใจกับทุกอย่างแล้ว และเธอไม่ได้ทุกข์ทรมานกับสิ่งที่เธอเป็นอยู่ แต่โนอาห์ก็ยังรู้ว่าน้องสาวของเขาคนนี้ยังไม่ได้มีความสุขขนาดนั้น

และตอนนี้โนอาห์มีโอกาสที่จะก้าวไปอีกขั้นในแผนการของเขาที่เขาจะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อที่เขาจะได้มีเงินเพียงพอที่จะดูแลน้องสาวของเขาได้

เมื่อมองจากระยะไกล โนอาห์สามารถเห็นประตูมิติที่ใช้ในการเข้าสู่ป้อมปราการได้แล้ว ประตูมิติที่จะพาเขาไปยังที่ซึ่งทำให้เขาพัฒนาไปที่ระดับ 3

เขาหวังว่าเขาจะแข็งแกร่งมากขึ้นจากทักษะที่เขากำลังจะได้จากการพัฒนาในครั้งนี้ เขาคาดหวังถึงการวิวัฒนาการอันทรงพลังของเปลวไฟแห่งนรก หรือบางทีอาจจะเป็นอุโมงค์นรกที่พัฒนาขึ้นจนทำให้เขาสามารถใช้มันได้บ่อยมากขึ้น

นี่คงเป็นวิวัฒนาการครั้งใหญ่ครั้งแรกของโนอาห์ โนอาห์ต้องการให้ป้อมปราการระดับ D ในครั้งนี้ที่จะให้ค่าประสบการณ์มากมายกับเขาทำให้ทักษะทั้งหมดของเขาถูกพัฒนาขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระดับของเปลวไฟแห่งนรกและอุโมค์นรก และยังไม่ต้องพูดถึงว่าเลเวลของโนอาห์กำลังจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับถัดไปแล้วเช่นกัน ทั้งยังค่าประสบการณ์ในส่วนที่เหลือก็จะไปหาลิลิธและทำให้เธอฟื้นตัวขึ้นได้ในที่สุด และนั่นอาจจะทำให้ความสามารถของเธอถูกปลดล็อคได้เช่นกัน

โนอาห์มั่นใจว่าเขาที่เข้าสู่ป้อมปราการแห่งนี้นั่นแข็งแกร่ง แต่เขาที่จะออกมาจากป้อมปราการแห่งนี้จะต้องแข็งแกร่งกว่าตัวเขาในปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน

และนั่นไม่ใช่เพราะสถานการณ์ความเป็นความตายที่เขาจะต้องประสบในป้อมปราการแห่งนี้ แต่มันมาจากระบบที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา และตอนนี้มันกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่โนอาห์ตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้เห็นมัน

เจมส์เล่นเกมจัดอันดับหลายเกมใน Valorwatch เพื่อที่เขาจะได้ขึ้นมาอยู่ในระดับ D และเมื่อเขาอยู่ในระดับ D เขาก็พยายามเพื่อเลื่อนขึ้นเป็นระดับ C เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้เขาจึงหยุดเข้าร่วมในการบุกป้อมปราการในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยการจำกัดตัวเองไว้ที่แค่บุกป้อมปราการเพียงหนึ่งหรือสองแห่งต่อสัปดาห์และอุทิศเวลาที่เหลือให้กับ Valorwatch แทน

เนื่องจากความฝันของเขาคือการมีอันดับสูงในเกม และด้วยอันดับพวกนั้นจะทำให้เขาได้มาซึ่งชื่อเสียง และมันเป็นสิ่งที่ยากจะทำได้เพียงแค่ได้รับพรระดับ D

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เจมส์เล่น Valorwatch เป็นจำนวนมาก กลับกลายเป็นว่าเขาเล่นร่วมกับผู้เล่นระดับ D สองสามครั้งในวันเดียวกัน และเมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาจะสร้างมิตรภาพหรือการแข่งขันด้วยการเล่นร่วมกันและต่อสู้กันเองให้มากขึ้น

เมื่อเร็วๆนี้ เจมส์ได้เริ่มหาผู้เล่นที่แปลกในการแข่งขันระดับ D เห็นได้ชัดว่าผู้เล่นคนนี้เป็นผู้ถูกเลือกระดับ E ที่มีทักษะมากมายและมีพรที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก เขาจึงสามารถเลื่อนขึ้นไปยังระดับ D ได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ระดับนั้นในโลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม

ในช่วงสี่วันที่ผ่านมานี้ เจมส์ได้เล่นเกมกับผู้ถูกเลือกคนนี้ที่มีลักษณะคล้ายกับปีศาจหลายครั้ง ทั้งคู่ใช้พรเกี่ยวกับไฟ แต่เนื่องจากปีศาจตัวนี้มีความคล่องตัวสูง และใช้มีดสั้นได้เชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก เจมส์จึงกลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายดายสำหรับเขาทุกครั้งที่พวกเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน

ในแต่ละนัดเจมส์จะรู้สึกโกรธและหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขารู้ว่าปีศาจตัวนั้นอยู่อีกทีมหนึ่ง และเมื่อใดก็ตามที่เขาเห็นปีศาจในทีมของเขา เขาก็รู้สึกมีความสุขและมั่นใจว่าชัยชนะของแมทช์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว

อย่างไรก็ตาม วันนี้หลังจากโต้เถียงกับเพื่อนของคาร์ลอสที่มาสายและไม่ได้มองเขาอย่างเคารพ เจมส์ก็เข้าสู่ Valorwatch และเมื่อเขาเห็นชื่อของเด็กชายคนนั้น เขาก็รู้สึกแย่ แต่เมื่อเขาเข้าสู่แมตซ์นั้นได้สำเร็จ เจมส์ก็รู้สึกกังวลจริงๆ เพราะหลังจากที่เขาเดินเข้าไปในป่าได้ไม่กี่ก้าวที่เขามาถึง เจมส์ก็รู้สึกว่ามีเปลวไฟที่คุ้นเคยอยู่บนหลังของเขาและระเบิดออกเล็กน้อยซึ่งทำให้เขารู้สึกโกรธผสมปนเปกับความสิ้นหวังและความไม่อยากเชื่อ

เขาไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถต่อต้านปีศาจตนนี้ได้เพราะเขาเคารพคนๆนี้อย่างสูงโดยที่ไม่รู้ตัว เจมส์ไม่มีเวลาแม้แต่จะตอบโต้ก่อนที่ปีศาจตนนั้นจะใช้มีดสั้นตัดคอของเขาและทำให้เขากลายเป็นอนุภาคไปในทันที ฉากนี้เกิดซ้ำขึ้นจากกฏที่ถูกกำหนดไว้ว่า “ชนะสามในห้าเกม” และเกมจบลงใน 3 ต่อ 0 โดยโนอาห์เป็นฝ่ายชนะ

เมื่อทั้งสองแยกจากกัน โนอาห์ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในขณะที่เจมส์ไม่รู้ว่าเขาจะต้องทำอะไรระหว่างดูถูกเขาต่อไปหรือจะต้องขอโทษโนอาห์

เขาโกรธโนอาห์เพราะเขาคิดว่าโนอาห์อ่อนแอและมันไม่คุ้มค่าเวลาที่เขาต้องเสียไปเพื่อรอโนอาห์ แต่ตรรกะความคิดของเจมส์ถูกหักล้างทันทีที่เขาพบว่าโอนาห์เป็นหนึ่งในคนระดับ D ที่เขาชื่นชนและรู้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่ปีศาจตนนั้นจะไปถึงระดับ C

คาร์ลอส มาเทโอ และเด็กชายคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้เอ่ยชื่อของเขายืนมองโนอาห์ด้วยความประหลาดใจ

เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามีเวลาว่าง พวกเขาจะใช้เวลาไปกับการฝึก Valorwatch และสนุกสนานไปกับการเลื่อนระดับในฐานะผู้เล่นระดับ E เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเล่นกับปีศาจแดงสองสามครั้งแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาชอบเกมนี้มาก พวกเขายังชอบติดตามเนื้อหาของ Valorwatch บนอินเทอร์เน็ตอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงเคยดูวิดีโอของหลายต่อหลายครั้งที่ผู้เล่นคนอื่นๆต่อสู้กับปีศาจแดงที่กำลังโด่งดังโดยการบันทึกวิดีโอหรือสตรีมสด

เมื่อเห็นว่าปีศาจแดงที่ฆ่าพวกเขาบ่อยๆหรือเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขาเพื่อเอาชนะในเกมจริงๆแล้วนั่งถัดจากพวกเขาไปเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็แสดงท่าทางกังวลทำให้บรรยากาศในโต๊ะของเพื่อนๆตึงเครียดเล็กน้อย เพราะพวกเขาไม่รู้จะทำยังไงกับผู้ชายคนนี้ที่พวกเขาชื่นชมเป็นอย่างมากที่ในเกม Valorwatch เขาอยู่ในระดับ D แต่ในฐานะผู้ถูกเลือกเขายังไปไม่ถึงระดับนั้น

เพื่อหยุดบรรยากาศที่ตึงเครียด คาร์ลอสผู้ซึ่งถูกกดดันน้อยที่สุดก็พูดอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวาว่า

“พี่ชาย ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่านายคือปีศาจแดง ลูซิเฟอร์! บ้าจริง! ฉันเล่นเกมกับนายมาสองสามเกมแล้วทั้งในทีมและกับฉันเอง และฉันก็อยากฆ่านายมาก่อนด้วย เพราะนายน่ารำคาญมากเวลาเทเลพอร์ตไปมา นายฆ่าฉันในเกมหลายต่อหลายครั้ง ตอนนี้ฉันอยากฆ่านายเพราะฉันแน่ใจว่าในโลกความจริงนายทำไม่ได้เหมือนในเกมแน่ๆ ฮ่าๆๆ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายจะซ่อนจากฉันว่านายมีพรที่แข็งแกร่งขนาดนี้!” คาร์ลอสรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากในขณะที่เขาพูด

เมื่อเห็นเพื่อนของเขาตื่นเต้นมาก โนอาห์ก็ยิ้มและตอบว่า

“ฉันเริ่มคิดว่ามีผู้คนจำมากที่จำฉันในเกมได้ แต่ฉันไม่คิดว่าชื่อเสียงของฉันจะใหญ่โตขนาดนี้ แต่เมื่อกี้นายว่าฉันทำแบบในเกมในโลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้งั้นหรอ สงสัยฉันจะต้องสั่งสอนนายอีกเรื่องหนึ่งแล้วละมั้ง?” โนอาห์ยิ้มอย่างจริงใจบนใบหน้าของเขาขณะที่เล่นกับคาร์ลอส ก่อนที่เขาจะเทเลพอร์ตด้วยเปลวเพลิงแล้วไปอยู่ข้างหลังคาร์ลอสและวางนิ้วอยู่บนคอของเขาเพื่อแกล้งทำเป็นมีด

คาร์ลอสกลืนน้ำลายโดยสัญชาตญาณเมื่อเขารู้สึกถึงความรู้สึกที่คุ้นเคยที่ทำให้เขาปวดหัวอย่างมากในเกมและมันกำลังเกิดขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง แต่เมื่อเขาจำได้ว่าคนที่ทำสิ่งนี้กับเขาคือโนอาห์ พี่ชายที่เขาอยู่ด้วยมานานหลายปี คาร์ลอสเพิกเฉยต่อความกลัวตามสัญชาตญาณของเขาและหยิบแก้วน้ำแล้วขู่ว่าจะโยนมันกลับมาที่เขา

โนอาห์ไม่เสี่ยงโดนแก้วใบนั้นและเทเลพอร์ตกลับไปที่เก้าอี้ที่เขานั่งในขณะที่ดูคาร์ลอสหัวเราะเยาะเขาเพราะเชื่อว่าเขาจะเปียกกลางร้านอาหารและหัวเราะไปพร้อมกับเพื่อนของเขา

ชายหนุ่มคนอื่นๆที่โต๊ะอาหารที่ตอนแรกรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับโนอาห์ ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่น่ากลัวขนาดนั้นและเขาสนุกกับคาร์ลอสเหมือนพวกเขา

และด้วยเหตุการณ์นั้นจึงสนับสนุนให้มาเทโอและเด็กชายอีกคนที่แนะนำตัวเองว่าชื่อเควินเข้าร่วมการสนทนาและตกหลุมรักโนอาห์ด้วยเช่นกัน

เพราะพวกเขาปฏิบัติต่อโนอาห์ด้วยความปรารถนาดีตั้งแต่แรกที่เขามาถึง โนอาห์จึงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดีและสนุกกับพวกเขาเช่นเดียวกับที่เขาสนุกกับคาร์ลอส

บทสนทนาที่น่าจะเป็นเหมือนการสัมภาษณ์ของพวกเขาเพื่อค้นหาว่าโนอาห์แข็งแกร่งแค่ไหนจึงกลายเป็นหัวข้อในอาหารกลางวันที่แสนสนุก

พวกเขาแบ่งปันเรื่องราวตลกๆที่พวกเขาใช้ใน Valorwatch หรือสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในการบุกป้อมปราการที่โนอาห์เข้าร่วมให้กันและกัน

นับตั้งแต่จบการต่อสู้ลง เจมส์ก็ไม่เคยพูดอะไรกับใครเลย แม้แต่อาหารกลางวันที่เสิร์ฟเมื่อไม่กี่นาทีก่อนก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความสนใจของเขา เขาจดจ่ออยู่กับการคิดอย่างเต็มที่ว่าเขาควรทำอย่างไร ส่วนหนึ่งของเขาต้องการเข้าร่วมการสนทนาและสนุกสนานกับทุกคน แต่ความภาคภูมิใจของเขาที่ถูกสร้างขึ้นจากระดับที่สูงทั้งในป้อมปราการและ Valorwatch ไม่ยอมให้เขาเข้าสู่การสนทนาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เขากำลังมีการพูดคุยทางจิตใจระหว่างการขอโทษและหวังว่าโนอาห์จะยอมรับว่าทุกอย่างจะกลับคืนสู่สภาพปกติและปัดเป่าบรรยากาศแปลกๆที่ปรากฏขึ้นออกไป แต่ส่วนอื่นๆของเขาไม่ต้องการปล่อยให้ตัวเองทำดังนั้นเพราะเขาจะเป็นคนที่ต้องอับอายถ้าโนอาห์ปฏิเสธคำขอหรือคำข้อแก้ตัวของเขาต่อหน้าทุกคน การพูดคุยดำเนินต่อไปเป็นเวลาสองสามนาทีจนกระทั่งคาร์ลอสทนเห็นเพื่อนของเขาเป็นแบบนั้นไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เขาจึงพูดอะไรบางอย่างออกมา

“นายอยู่ในระดับ D มานานแล้วนะเจมส์ นายเคยเห็นโนอาห์มาก่อนไหม?”

เมื่อได้ยินคำถามที่ถามเขา เจมส์ก็รู้สึกเขินเล็กน้อยแต่ก็ตอบตามตรง

“จริงๆตอนที่เขายังอยู่ในระดับ F ฉันก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเริ่มปรากฎตัวในแมตช์จัดอันดับของฉัน และเมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มจำเขาได้ทันที อย่างไรก็ตามฉันไม่ได้เจอเขาทุกวัน แต่วันที่ฉันเจอเขาแล้วอยู่ทีมตรงข้ามเขาปีศาจตนนั้นก็จะเทเลพอร์ตมาข้างหลังของฉันและฆ่าฉันแทบทันที ฮ่าๆ” เจมส์หัวเราะแบบเขินๆเล็กน้อย แต่เพื่อความโล่งใจของเขาเด็กคนอื่นๆก็หัวเราะและคุยกันว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับความรู้สึกนั้น

โนอาห์สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของเจมส์ และวิธีที่พวกเขาจะต้องทำงานร่วมกันเพื่อคว้าแชมป์ ดังนั้นเขาจึงไม่เสียใจเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเสียใจกับสิ่งที่เขาทำ สิ่งสำคัญที่เขาเรียนรู้จากการเข้าร่วมกลุ่มการบุกป้อมปราการชั้นยอดคือการทำงานร่วมกันระหว่างทีมนั้นสำคัญเป็นอย่างมาก โนอาห์จะไม่ปล่อยให้เรื่องเล็กๆน้อยๆในตอนแรกที่พวกเขาพบกันทำลายการทำงานร่วมกันที่ดีที่พวกเขาอาจมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาจำได้ว่าเห็นว่าเจมส์ทรงพลังเพียงใดใน Valorwatch

“เขาจะเป็นพันธมิตรที่ดีใน Valorwatch และเห็นได้ชัดว่าเพราะเขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ D เขาจึงสามารถเป็นพันธมิตรในการบุกป้อมปราการในโลกแห่งความเป็นจริงได้ด้วยเหมือนกัน” โนอาห์คิดด้วยรอยยิ้มภายในขณะที่เขาจินตนาการถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ในอนาคตกับทีมนี้

เขาชอบมาเทโอและเควินมาก คาร์ลอสเขารู้ดีอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่เขากังวลทันทีที่เขาพบกลุ่มคือเจมส์ แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งเดียวที่เจมส์ต้องการคือการมีคนที่มีอำนาจมากกว่าเขาเพื่อยับยั้งความเย่อหยิ่งของเขา และเมื่อยับยั้งเรื่องพวกนั้นได้แล้วเขาก็จะสร้างความมั่นคงให้กับทีมและส่งผลในทางที่ดีต่อทีมแทน

เงินรางวัลสำหรับแชมป์รายการนี้ดีมาก การได้เห็นรถบัสที่เขานั่งมาเสียและสร้างความไม่สะดวกให้กับเขาทำให้โนอาห์พิจารณาใช้เงินที่ได้มาเพื่อซื้อรถ เขาไม่ต้องการรถที่ไร้ประโยชน์ แต่เขาก็ไม่ต้องการรถที่หรูหรามาก เขาต้องการแค่รถที่ไว้ใจได้ซึ่งเขาสามารถใช้เพื่อไปจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้อย่างสะดวกสบาย

‘แม็กกี้มักบอกฉันบ่อยๆว่าให้ฉันซื้อของให้ตัวเองด้วยเงินส่วนหนึ่งที่ฉันได้รับ ฉันคิดว่าฉันน่าจะเริ่มได้แล้ว” โนอาห์คิดและสงสัยว่าเขาจะได้รถอะไร

‘ฉันไม่อยากเจอกับเหตุการณ์แบบนั้นอีกแล้ว ฉันควรจะจัดการกับเรื่องนี้ก่อนที่มันจะดำเนินต่อไปและกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ’ โนอาห์ตัดสินใจเมื่อเห็นว่าเจมส์กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

“ในที่สุดนายก็มาถึงซักทีนะ” เจมส์พูดด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนักหลังจากที่โนอาห์นั่งลงข้างคาร์ลอส

โนอาห์สามารถจินตนาการได้อย่างดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่เขาไม่มีอารมณ์ที่จะมีส่วนร่วมในละครเรื่องนี้ซึ่งเขารู้บทในหัวอยู่แล้ว

โนอาห์เห็นว่าคาร์ลอสขมวดคิ้วกับสิ่งที่ชายคนนี้พูด และเมื่อเห็นว่าคาร์ลอสกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อปกป้องเขา โนอาห์ก็ตอบกลับอย่างรวดเร็วและพูดขึ้นทันทีว่า

“ใช่ เห็นได้ชัดว่านายไม่ชอบฉัน นายสามารถทำแบบนั้นได้ งั้นตอนนี้เรามาหาเหตุผลว่าทำไมนายถึงไม่ชอบฉันกันดีกว่า เพื่อที่เราจะได้แก้ปัญหานี้ในฐานะผู้ใหญ่แทนที่จะให้นายมาโวยวายเหมือนเด็กๆ และแสดงท่าทางเยาะเย้ยทำให้เพื่อนร่วมทีมของนายขยะแขยงนายเอง”

เมื่อโนอาห์พูดจบเขาก็ชี้ไปที่คนอีกสามคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ คาร์ลอสและอีกสองคนมองหน้ากันอย่างไม่สบายใจและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่ต้องการที่จะต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก

เมื่อได้ยินคำตอบของโนอาห์ เจมส์ก็ตกตะลึง เขาไม่ได้คิดว่าเด็กคนนี้ที่อยู่ข้างหน้าของเขาจะมองออกว่าเขาต้องการจะทำอะไร และแทนที่โนอาห์จะทำเหมือนทุกคนที่เขาเคยเห็นมาคือจะด่าเขากลับหรือก้มหัวยอมจำนนแก่เขาและตัดสินใจที่จะซื่อสัตย์และทำงานตามปกติ แต่เด็กคนนี้กลับตอบกลับมาแบบคนที่มีวุฒิภาวะ นี่เป็นครั้งแรกที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเจมส์ตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่เขาแสดงท่าทีเย่อหยิ่งต่อผู้อื่น และเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนทั้งสามของเขา เขาก็ตระหนักว่าโนอาห์คิดถูกเกี่ยวกับความรู้สึกของพวกเขา

ความรู้สึกของอีกสามคนเป็นไปตามที่โนอาห์พูด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาเตโอ ซึ่งเป็นผู้เล่นที่มีความสามารถแย่ที่สุดในกลุ่มและถูกเจมส์วิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ เขาคิดว่าโนอาห์จะพูดอะไรเกี่ยวกับความยุติธรรม หรือโนอาห์จะยอมรับทัศนคติของเจมส์และยอมจำนนหรือแย่กว่านั้นคือโนอาห์จะยอมให้เจมส์เป็น “คนพาล” ของกลุ่มแต่ไม่ว่าจะในทิศทางไหนๆของสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของมาเตโอ เขาก็นึกไม่ถึงว่าคนใหม่ที่เพิ่งจะมาเข้าร่วมกลุ่มของเขาในตอนนี้จะเป็นคนที่แสดงท่าทางเป็นผู้ใหญ่ ทำตัวเหมือนกับว่าเขาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ชอบเล่นเกมของเด็ก

โนอาห์จะต้องเอาชีวิตรอดในป้อมปราการในตอนที่เขายังไม่ได้ปลดล็อคพรของเขา เพราะฉะนั้นแล้วตัวเขาจะต้องเติบโตเร็วกว่าคนอื่นๆที่อายุเท่าเขามาก ส่วนใหญ่เขาจะเมินเฉยคนโง่ แต่คราวนี้มันต่างออกไป เนื่องจากเขาจะต้องจัดการกับคนเหล่านี้หลายครั้งต่อสัปดาห์และเขาไม่สามารถไม่สนใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้เพราะเขาขี้เกียจเกินกว่าจะดูแลเรื่องเหล่านี้เมื่อเวลาผ่านไป สภาพของทีมอาจย่ำแย่หากปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้โดยไม่จำเป็น

“ฉัน…ก็ดี ฉันไม่ชอบนายเพราะนายทำให้เรารอ นายไม่ให้เกียรติเราหรอไง นายคิดว่านายเก่งกว่าเรา หล่อกว่าเรา หรือเป็นที่สนใจมากกว่าเราใช่ไหม? นายเลยคิดว่านายมีสิทธิ์ปล่อยให้เรารองั้นหรอ?” เมื่อเจมส์เห็นว่าโนอาห์จริงใจ เขาก็ตัดสินใจที่จะจริงใจเช่นกัน เจมส์เลยพูดในสิ่งที่เขาคิดในใจออกมา

โนอาห์มีความสุขที่เจมส์พูดในสิ่งที่เขาคิดจริงๆออกมาในทันที เพราะมันจะช่วยเขาได้มาก และตามที่โนอาห์จินตนาการไว้ เด็กชายคนนี้อาจมีความเข้าใจผิดเล็กน้อย เขาอาจคิดว่าเขาเหนือกว่าคนอื่นและไม่มีใครจะดีไปกว่าเขาได้ และอีกครั้งที่รูปลักษณ์ที่ดีของโนอาห์เป็นสาเหตุของความขัดแย้งซึ่งมันเป็นอิทธิพลจากความอิจฉาริษยา

“โอเค ก่อนอื่น ขอโทษที่ทำให้พวกนายรอฉัน ฉันน่าจะมาถึงก่อนเวลาจริงๆแต่ฉันไม่คิดว่าระหว่างทางจากบ้านมาที่นี่รถบัสที่ฉันนั่งมาจะเสียและฉันต้องรอรถบัสอีกคันผ่านมา อย่างที่สอง ฉันไม่คิดว่าฉันดีกว่าใคร แต่ฉันก็แน่ใจว่าฉันไม่ได้เลวร้ายไปกว่าใครเลย” โนอาห์พูดและหยุดดูเจมส์ ผู้ซึ่งทำตามที่โนอาห์จินตนาการไว้ว่าเขาจะทำ การแสดงออกถึงความรังเกียจเมื่อได้ยินโนอาห์พูดว่าโนอาห์ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าเขา

“และอย่างที่การแสดงออกของนายแสดงออกมา นายเชื่อว่านายดีกว่าทุกคนในกลุ่มนี้ทั้งหมด และด้วยเหตุนี้นายเลยคิดว่าไม่มีใครที่สามารถทำให้นายรอและเสียเวลาอันมีค่าของนายได้ ดังนั้นก่อนที่เราจะพูดคุยหรือทำอย่างอื่นกันต่อ ทำไมเราไม่จบมันเพียงแค่นี้และแก้ไขความประทับใจที่ไม่ดีของนายด้วยการวัดทักษะของเราทั้งคู่ดีไหม?”

เมื่อโนอาห์พูดจบ เกมส์ซึ่งในตอนแรกเริ่มโกรธเคืองโนอาห์ก็หัวเราะออกมาดังๆและมองดูโนอาห์ด้วยท่าทางงุนงงแล้วกล่าวว่า

“นายต้องการอะไร ให้เราต่อสู้กันงั้นหรอ ฉันยินดีรับคำท้าของนายที่เป็นผู้ถูกเลือกระดับ E ถ้านายคิดว่านายจะเหนือกว่าฉันได้ในการต่อสู้ อย่าเพิ่งเสียใจกับสิ่งที่นายพูดตอนนี้ละกัน นายก็รู้ว่าฉันคือผู้ถูกเลือกระดับ D” เขาพูดด้วยท่าทางภูมิใจ

การแสดงออกแบบนี้ไม่มีอะไรใหม่สำหรับโนอาห์ เขาคุ้นเคยกับการแสดงออกแบบนี้มาเป็นเวลานานแล้ว เพราะปกติแล้วเขาจะต้องจัดการกับผู้คนที่หยิ่งผยองที่รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกคนเกือบทุกป้อมปราการที่เขาไป โชคดีที่กลุ่มของแจสเปอร์ไม่มีใครเป็นแบบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาเห็นพลังของโนอาห์ในฐานะนักเวทย์

“โอเค เสียบโทรศัพท์ของนายเข้ากับรัดเกล้าสัมผัสระดับสูงแล้วมาจบเรื่องนี้กันเถอะ ฉันหิวแล้ว และฉันต้องจบการเผชิญหน้าที่ไร้ประโยชน์นี่ก่อนที่อาหารจะมาถึง” โนอาห์พูดขณะหยิบรัดเกล้าของตัวเองออกจากกระเป๋าสะพายไหล่ที่เขานำมาเพราะเขาคิดว่าเรื่องแบบนี้อาจเกิดขึ้นและเชื่อมต่อเข้ากับ Valorwatch

คาร์ลอสและสมาชิกในทีมอีกสองคนประหลาดใจมากกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในการพบกันครั้งแรกของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักเจมส์ดีและรู้จักความเย่อหยิ่งที่เขามี แต่เพื่อนสองคนของคาร์ลอสไม่คิดว่าผู้ชายคนใหม่ที่มาจะเริ่มต้นความขัดแย้งกับเจมส์ในทันที อย่างไรก็ตามคาร์ลอสไม่คิดว่าเพื่อนของเขาที่บอกกับเขาว่าเพิ่งจะถูกเลื่อนระดับขึ้นมาที่ระดับ E ได้ไม่ถึงเดือนจะมีความมั่นใจมากพอที่จะรับมือกับผู้ถูกเลือกระดับ D

คาร์ลอสรู้ว่านี่ไม่ใช่ความเย่อหยิ่งในส่วนของโนอาห์ ถ้าเขากล้าเสนอความท้าทายนี้ นั่นเป็นเพราะเขามั่นใจว่าเขาจะชนะ นั่นคือบุคลิกของโนอาห์ เขาไม่เคยทำอะไรที่เขาไม่ค่อยมั่นใจ หากโอกาสในการแพ้มากกว่าโอกาสที่จะชนะเขาก็จะไม่ทำมัน สิ่งนี้ได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของคาร์ลอสมากยิ่งขึ้น เพราะเขาต้องการรู้ว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปเกี่ยวกับเพื่อนของเขาที่ก่อนหน้านี้เขาอ่อนแอมาก แต่ตอนนี้กลับมีความมั่นใจที่จะจัดการกับผู้ถูกเลือกระดับ D ได้คืออะไร

สำหรับคนปกติผู้ถูกเลือกระดับ D เป็นเหมือนสัตว์ประหลาดที่มีพลังมากกว่ามนุษย์ทั่วไป ยิ่งพรของคนๆนั้นมีพลังมากเท่าไหร่ คนๆนั้นก็จะมีความต้านทานมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นหมัดจากมนุษย์ธรรมดาจะไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับผู้ถูกเลือกระดับ D ได้มากเท่ากับผู้ถูกเลือกที่อยู่ในระดับเดียวกันเลย เพราะพวกเขามีความต้านทานมากกว่ามนุษย์ทั่วไป ซึ่งพลังพวกนี้ถูกสร้างขึ้นจากการต่อสู้กับมอนเตอร์ในป้อมปราการและสิ่งนี้ก็ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้น

แน่นอนว่านั่นจะไม่หยุดยั้งคนอย่างเจมส์จากการตายหากพวกเขาถูกปืนยิง ความต้านทานที่มากขึ้นไม่ได้ทำให้ผิวของพวกเขากลายเป็นเสื้อเการะกันกระสุน ดังนั้นพวกเขาจึงยังสามารถูกจัดการด้วยวิธีการทางเทคโนโลยี แต่ถึงกระนั้นความเสียของผู้ถูกเลือก เช่นการระเบิดของเจมส์เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก

‘สิ่งที่ทำให้โนอาห์มั่นใจมากพอที่จะรับมือกับผู้ถูกเลือกระดับ D โดยที่เขาไม่ต้องใช้เทคโนโลยีใดๆคือตัวเขาเองก็มีพลังทำลายล้างมากพอๆกับเจมส์ ด้วย ‘เปลวไฟ’ นั้นของเขา’ คาร์ลอสคิดขณะที่เขานึกถึงเปลวไฟของโนอาห์

‘แต่เปลวไฟของเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นเมื่อสองหรือสามสัปดาห์ก่อนหน้านี้เอง แต่ด้วยเปลวไฟของเขาอันนั้นก็ทำให้เขาได้เลื่อนระดับจากผู้ถูกเลือกระดับ F ไปยังระดับ E ด้วยระยะเวลาอันสั้น จากปกติที่ต้องใช้เวลานานถึงหลายปี แต่โนอาห์กลับทำได้อย่างรวดเร็วจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ในกรณีของเจมส์ที่เขาขึ้นสู่ระดับ D ได้ในขณะที่เขายังเด็กอยู่ เพราะพรของเขามีประโยชน์อย่างมากในการต่อสู้นั่นทำให้เขามีพลังมากกว่าคนระดับเดียวกันกับเขาเล็กน้อย แล้วอะไรที่ทำให้โนอาห์มั่นใจว่าเขาจะสามารถเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้ได้?’

การพูดคนเดียวภายในหัวของคาร์ลอสทำให้เกิดคำถามมากมายขึ้นในหัวของเขา ซึ่งเขาตัดสินใจที่จะหยุดการคิดพวกนั้นและเชื่อมต่อโทรทัศน์ที่อยู่ใกล้กับโต๊ะของเขาที่สุด เพื่อออกอากาศสำหรับการแข่งขันในล็อบบี้เกมที่โนอาห์กำลังรอเจมส์อยู่

ร้านอาหารมีโทรทัศน์โปร่งแสงที่สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือของลูกค้าเพื่อส่งสัญญาณบางอย่างไปยังผู้คนที่โต๊ะนั้นได้ แต่เพื่อให้ประสบการณ์การอยู่ที่โต๊ะนั้นสนุกยิ่งขึ้นสำหรับทุกคนที่โต๊ะและไม่รบกวนลูกค้ารายอื่น โทรทัศน์ที่นั่นจึงไม่มีเสียง แต่การที่โทรทัศน์ไม่มีเสียงก็ไม่สามารถหยุดคาร์ลอสและเพื่อนอีกสองคนของเขาจากการดูการแข่งขันของโนอาห์กับเจมส์บนหน้าจอได้

ขณะที่เจมส์ซึ่งเพิ่งสวมรัดเกล้าสัมผัสระดับสูงไว้บนหัวและกำลังติดต่อกันอยู่ในห้องล็อบบี้ คาร์ลอสก็สังเกตเห็นว่าชื่อเล่นของโนอาห์ภายในเกมของเขาดูคุ้นเคยเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางอย่าง

‘ฉันเคยเห็นชื่อเล่นนี้ที่ไหนมาก่อนนะ’ คาร์ลอสสงสัย

ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที เจมส์ก็เข้าไปในห้องล็อบบี้ของโนอาห์ และพวกเขาก็เริ่มการแข่งขันกัน เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น การปรากฏตัวของตัวละครของโนอาห์และชื่อเล่นของเขาทำให้คาร์ลอสจดจำสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยกับชื่อเล่นนั้นมากได้ในทันที

คาร์ลอสไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกแบบนั้น เจมส์ มาเทโอ และสมาชิกคนอื่นๆในทีมก็อ้าปากค้างเมื่อเห็นตัวละครของโนอาห์ เนื่องจากในฐานะผู้ถูกเลือกระดับ E ภายในเกม มาเทโอ และคนอื่นๆได้เล่นกับเขามาแล้วสองสามครั้ง ผู้เล่นรายนี้เป็นผู้เล่นที่ชนะการแข่งขันหลายนัดในระดับ E และกลายเป็นคนมีชื่อเสียงเล็กน้อยจากการเล่นของเขา มีคนจำนวนมากมาสังเกตเห็นเขาหลังจากที่พวกเขาพบว่าเขาได้ปรากฏตัวในการถ่ายทอดสดของพิกแมนจนในที่สุดพวกเขาก็ได้เพิ่มกันและกันในรายชื่อเพื่อนของพวกเขา

“เขาคือลูซิเฟอร์งั้นเหรอ!” คาร์ลอสและเด็กชายอีกสองคนกรีดร้องด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นผิวสีแดงที่คุ้นเคยซึ่งทำให้พวกเขาพ่ายแพ้หลายครั้งในการแข่งขันจัดอันดับ

ในทางกลับกัน เจมส์จำตัวละครของโนอาห์ได้ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันมาก…

ภัตตาคารเสียดฟ้า นั่นคือชื่อของหนึ่งในร้านอาหารที่รู้จักกันดีที่สุดในเมืองอายริน ร้านอาหารแห่งนี้กลายเป็นที่รู้จักในหมู่ชาวอายรินอย่างรวดเร็ว เพราะไม่เพียงแต่พวกเขาจะนำเสนออาหารชั้นยอดด้วยเครื่องเทศต่างๆที่คำนวณมาเป็นพิเศษเพื่อเอาใจผู้คนจำนวนมาก แต่พวกเขายังมอบประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครให้กับผู้ที่ต้องการรับประทานอาหารที่นั่นอีกด้วย

ภัตตาคารนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ร้านอาหารที่ให้ลูกค้ามานั่งที่โต๊ะและทานอาหารที่เสิร์ฟที่นั่นเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วตั้งแต่ทางเข้าร้านไปจนถึงส่วนที่มีโต๊ะอยู่นั้น ทุกอย่างถูกตกแต่งได้อย่างลงตัวเพื่อให้รู้สึกว่าแขกได้อยู่สถานที่ตรงนั้นจริงๆ ให้พวกเขาได้รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาได้รับประทานอาหารบนสวรรค์! ไม่ว่าจะเป็นผนัง เพดาน และพื้นของร้านอาหารถูกปูด้วยฉากกั้นแบบพับความละเอียดสูงที่ฉายภาพท้องฟ้าที่ทำขึ้นให้กับลูกค้า มันมีทิวทัศน์สีฟ้าอ่อนที่ไม่มีที่สิ้นสุด หากลูกค้ามาในฉายภาพกลางวันพวกเขาก็จะได้พบกับการเปลี่ยนแปลงของเวลาจากกลางวันค่อยๆมืดลง จนเป็นการฉายภาพท้องฟ้าที่มืดมิดและเต็มไปด้วยดวงดาวที่สวยงาม เพื่อให้ลูกค้าที่มาเยี่ยมชมได้รู้สึกถึงบรรยากาศกลางแจ้งในยามค่ำคืน

มีเครื่องฉายภาพหมอกขนาดเล็กสองสามเครื่องวางอยู่รอบห้องเพื่อสร้างความประทับใจในบางครั้งที่เมฆเคลื่อนผ่านระหว่างลูกค้า แต่หมอกขนาดเล็กนั้นมีความหนาแน่นต่ำพอที่จะไม่มีใครทำให้อาหารของลูกค้าเปียกหรือทำให้เสียรสชาติ

สำหรับประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครพร้อมกับอาหารอันละเอียดอ่อนและอร่อยเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสถานที่แห่งนี้นั้นแพงและพิเศษขนาดไหน ใครๆก็มีสิทธิ์จองที่นั่งที่นี่ แต่สำหรับคนปกติแล้วอาจจะต้องรอเป็นเดือนกว่าจะได้กินและสัมผัสถึงสิ่งเหล่านี้ แต่สำหรับเหล่าบรรดาวีไอพีแล้ว การจองโต๊ะและได้รับโต๊ะในภัตตาคารนี้จะค่อนข้างง่ายกว่ามาก

เนื่องจากเป็นลูกชายของนักธุรกิจคนสำคัญในเมือง คาร์ลอสจึงเป็นหนึ่งในวีไอพีที่สามารถจองโต๊ะในสถานที่แห่งนี้ได้ง่ายขึ้นเล็กน้อย เขายังคงต้องทำการจองวันล่วงหน้า แต่นั่นก็ไม่มีอะไรน่าตกใจเท่ากับการรอหลายเดือนเหมือนคนทั่วไป

เมื่อเขาได้ยินว่าโนอาห์ตกลงเข้าร่วมทีมเพื่อแข่งขันใน Valorwatch แชมป์เปี้ยนชิปที่กำลังจะมาถึง เขาก็มีความสุขอย่างมาก เขารู้ดีว่าโนอาห์สละหลายสิ่งหลายอย่างในตอนแรกเพื่อที่เขาจะได้เข้าไปที่ป้อมปราการและแข็งแกร่งขึ้น และนั่นทำให้เขาที่เป็นเพื่อนสนิทของโนอาห์กังเวลเป็นอย่างมาก

แม้ว่าคาร์คลอสจะถูกโนอาห์ปฏิเสธในหลายๆครั้ง แต่คาร์ลอสก็ไม่เคยยอมแพ้ในการพยายามทำให้โนอาห์มีความสุขและได้รับความสนุกสนาน คาร์ลอสพยายามให้โนอาห์เลิกคิดเกี่ยวกับป้อมปราการบ้างเพราะคาร์ลอสรู้ดีว่าโนอาห์หมกหมุ่นอยู่กับมันมากขนาดไหน คาร์ลอสจะโทรชวนโนอาห์มาเข้าร่วมงานปาร์ตี้ เล่นเกม ไปคอนเสิร์ต และทุกๆอย่างที่คาร์ลอสคิดว่าโนอาห์จะสนุกด้วยอยู่เสมอ และทุกครั้งที่โนอาห์ยอมรับคำชวนของเขา คาร์ลอสก็จะมีความสุขมาก

นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่โนอาห์ยอมตกลงที่จะเข้าร่วมการแข่งขันกับคาร์ลอส เมื่อคาร์ลอสเห็นว่าโนอาห์ตกลงแล้วเขาจึงได้พูดคุยกับทีมของเขาทันทีเพื่อที่พวกเขาจะได้นัดเจอกันสักครั้ง พวกเขาเป็นเพื่อนของคาร์ลอสเหมือนกัน และคาร์ลอสไม่ใช่เจ้าของทีม ดังนั้นการตัดสินใจประเภทนี้จึงขึ้นอยู่กับผู้เล่นทุกคนในทีม เพราะพวกเขาไม่ใช่มืออาชีพที่จะต้องยอมรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชา

เมื่อทุกคนตอบรับการนัดเจอครั้งนี้ คาร์ลอสได้ทำการจองภัตตาคารเสียดฟ้าโดยใช้สถานะของเขาและเชิญทุกคนมาพบกัยโนอาห์ เนื่องจากโนอาห์เพิ่งจะบอกกับเขาว่าเขาเพิ่งเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E แต่โนอาห์ก็ไม่เคยแสดงทักษะของตัวเองต่อหน้าคาร์ลอสมาก่อนนั่นจึงทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย และยังไม่ได้พูดถึงบุคลิกของโนอาห์ที่ปกติเขามักจะเป็นคนเย็นชาและห่างเหินจากผู้คน นั่นทำให้คาร์ลอสกังวลโดยเขาคิดว่าสิ่งนี้อาจจะทำให้เพื่อนคนอื่นๆของเขาไม่ต้องการรับโนอาห์เข้าร่วมทีม

ขณะนี้มีผู้เล่นสี่คนในทีม คาร์ลอสและเด็กชายอีกสองคนล้วนไม่มีพรและไม่ได้เป็นผู้ถูกเลือก พวกเขาเป็นผู้ที่ซื้อแพ็คเกจพรทั่วไปเพื่อให้สามารถเล่นได้

มีเพียงความแข็งแกร่งและทักษะของตัวเองเท่านั้นที่พวกเขาสามารถเลื่อนขึ้นจากระดับ F ในเกมเป็นระดับ E ได้ตัวมันเองและนั่นจะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับกลุ่ม เนื่องจาก 80% ของผู้เล่นที่ไม่เคยมีพรไม่เคยสามารถออกจากระดับ F ได้ เพราะระดับของผู้ถูกเลือกกับผู้ที่ไม่ได้ถูกเลือกแตกต่างกันเกินไป

ผู้เล่นอีกคนที่อยู่ในทีมเป็นผู้ถูกเลือกและพรของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอ อันที่จริงผู้เล่นคนนี้คือเอซของทีมของพวกเขา เขาได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งการระเบิด

เจมส์สามารถสร้างลูกไฟขนาดเล็กที่จะระเบิดออกมาหลังจากที่เขาสร้างขึ้นมาภายใน 3 วินาที มันไม่ใช่พรที่ใช้ได้ง่ายๆ เนื่องจากเขาจำเป็นที่จะต้องคำนวณเวลาที่ลูกไฟจะระเบิดอยู่เสมอ ซึ่งโดยปกติแล้วช่วงเวลา 3 วินาทีนั้นเป็นช่วงเวลาที่สามารถตัดสินความเป็นความตายในการต่อสู้ได้เลย การควบคุมแรงในการขว้างลูกไฟออกไปรวมทั้งจุดหมายที่เขาต้องขว้างออกไปนั่นก็เป็นสิ่งที่เขาต้องคำนวณ นั่นยังไม่ได้พูดถึงลูกไฟที่เขาสร้างขึ้นนั้นยังมีมวลและน้ำหนักจริงๆ นั่นหมายความว่าลูกไฟของเขาจะได้รับผลกระทบจากลมและโน้มถ่วงของโลก นี่เป็นเหตุผลที่พรของเขามีปัญหาอย่างมากในการใช้งาน แต่เมื่อเขาชินกับมันและใช้งานมันได้ดี เขาก็สามารถจัดการกับศัตรูได้หลายๆตัวพร้อมๆกัน

เมื่อเจมส์ได้รับพรระดับ D นี่มาในที่สุดเขาก็กลายเป็นคนที่เย่อหยิ่งเล็กน้อย นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนทนเขาไม่ได้ แต่บางครั้งมันก็อึดอัดเล็กน้อยที่จะอยู่ใกล้เขา เพราะทัศนคติที่เปลี่ยนไปของเขา ตัวอย่างของสิ่งที่พูดถึงคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตอนนี้

ที่โต๊ะหนึ่งในพื้นที่วีไอพีของภัตตาคารเสียดฟ้ามีชายหนุ่มสี่คนกำลังนั่งกินมันฝรั่งทอดและพูดคุยกันอย่างอบอุ่นกับสิ่งที่พวกเขาสนใจอย่างมาก แต่ในขณะที่ชายหนุ่มสามคนกำลังหัวเราะในเรื่องที่พูดคุยกันอยู่นั้น ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งก็ขมวดคิ้วและดูโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากจนเขาเริ่มบ่นออกมาดังๆทำให้คนอื่นๆรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แน่นอนว่าคนๆนั้นคือเจมส์

“เขาจะให้เรารอนานขนาดนี้จริงๆหรอ เราอาจจะใช้ช่วงเวลานี้ไปเล่น Valorwatch แทนที่จะรอให้ผู้ถูกเลือกระดับ E คนนั้นมา สำหรับคนที่มีระดับต่ำๆแบบนี้ฉันคิดว่าเขาควรจะภูมิใจที่เราชวนเขามาเล่นด้วยแล้วรีบมารอเรามากกว่าที่จะให้เรามารอเขา” เจมส์บ่นขณะที่เขาหยิบมันฝรั่งแผ่นหนึ่งขึ้นมากิน

คาร์ลอสไม่พอใจกับสิ่งที่เจมส์พูดและบ่นกลับว่า

“นายไม่ควรพูดแบบนั้นนะเจมส์ นายมาประชุมของเราสายกี่ครั้งแล้ว แม้แต่ในการประชุมที่อยู่ใกล้บ้านของนายเองนายก็ยังสาย ฉันบอกไปแล้วว่าบ้านเพื่อนของฉันอยู่ไกลจากที่นี่ เขาไม่มีรถเขาเลยต้องมารถบัส ถึงจะดูช้าไปนิดหน่อยแต่นี่เรายังมีเวลาเหลืออีก 10 นาทีก่อนจะถึงเวลาที่เรานัดกันด้วยซ้ำ”

“ฉันมีเหตุผลที่จะมาสายสำหรับการประชุมพวกนั้น แต่เขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E และเขาก็ยังไม่มีเงินซื้อรถด้วยซ้ำ ด้วยระดับของเขาเขาก็น่าจะหาเงินได้บ้าง ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อรถราคาถูกซักคันด้วยซ้ำ” เจมส์บ่นอย่างไม่พอใจ

คาร์ลอสไม่สนใจเจมส์และกลับไปคุยกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆในขณะที่ดูสมาร์ทวอทช์ของเขาเป็นครั้งคราวเพื่อดูว่ามีการแจ้งเตือนข้อความใดบ้าง

สามนาทีต่อมา โนอาห์ก็เข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ที่เห็นได้ชัดว่ากำลังมองเขามากกว่าที่เธอจะมองลูกค้าคนหนึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้คาร์ลอสหัวเราะคิกคัก เพราะทันทีที่เขามองไปที่โนอาห์ คาร์ลอสก็เห็นว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นความแตกต่างในปฏิกิริยาของคนรับใช้ที่อายุใกล้เคียงกัน

‘เธอน่ารักมาก ถ้าเขาไม่ได้อยู่ไกลมากนักและโนอาห์สนใจแล้วละก็ เขาคงจะได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอเพื่อนัดออกไปกินข้าวหรือออกไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็ได้’ คาร์ลอสคิดพร้อมกับหัวเราะ

สมาชิกในทีมคนอื่นๆเห็นว่าคาร์ลอสกำลังหัวเราะในบางสิ่งพวกเขาจึงหันไปมองตามสายตาของคาร์ลอส เมื่อหันไปตามสายตาของคาร์ลอสพวกเขาก็สังเกตเห็นชายหนุ่มผมดำที่มีใบหน้าบอบบางเล็กน้อยแต่ปล่อยกลิ่นอายแห่งความมั่นใจออกมาทำให้พวกเขามองขึ้นมองลงหลายครั้ง

ชายหนุ่มคนนี้สามารถดึงความสนใจจากผู้คนมากมายในร้านอาหารได้แม้ว่าเขาจะเดินผ่านโต๊ะของคนๆนั้นไปแล้วก็ตาม แน่นอนว่าความสนใจนี้มาจากผู้หญิงเป็นหลัก

เมื่อเจมส์เห็นความสนใจที่ชายหนุ่มคนนี้ได้รับเขาก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เพราะผู้คนจะมองเขาแบบนั้นก็ต่อเมื่อเจมส์บอกพวกเขาว่าเขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ D เพราะนั่นจะเป็นการปลุกความเคารพจากหลายคนและความอิจฉาริษยาของคนอื่นๆ แต่ชายหนุ่มคนนี้แค่เดินไปมาอย่างเป็นธรรมชาติเขาก็ได้รับความสนใจมากกว่าใครๆในสถานที่แห่งนี้แล้ว แม้ว่าเขาจะใส่เสื้อเชิ้ตสีดำเรียบๆ กางเกงวอร์มสีดำธรรมดา และรองเท้าผ้าใบสีขาวที่มีคุณภาพต่ำอย่างเห็นได้ชัด แต่ของพวกนี้ก็ไม่ได้สามารถทำให้คนอื่นไม่สนใจเขาได้อยู่ดี

โนอาห์ไม่ได้สนใจว่าเพื่อนๆของคาร์ลอสกำลังคิดอะไรอยู่ เขาโบกมือให้คาร์ลอสก่อนจะนั่งลงข้างๆเขา หลังจากนั้นเขาก็ทักทายคนอื่นๆที่โต๊ะ

เพื่อนสองคนของคาร์ลอสตอบเขาด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร แต่ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งมองมาที่เขาด้วยท่าทางโกรธเล็กน้อย ซึ่งโนอาห์ก็ไม่ได้สนใจเขา เขาเข้าใจภาษากายได้ดีนั้นหมายความว่าโนอาห์ก็ไม่ได้ยิ้มทักทายชายหนุ่มที่ไม่พอใจคนนี้ เขาเพียงแค่ทักทายเบาๆเท่านั้น

“เอาล่ะ นี่คือโนอาห์เพื่อนสมัยเด็กของฉันที่ฉันโทรหาเพื่อชวนมาเล่น Valorwatch กับพวกเรา โปรดปฏิบัติต่อเขาในแบบที่พวกนายปฏิบัติกับฉันด้วย เพราะเขาเป็นเหมือนพี่น้องของฉัน” คาร์ลอสกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างจริงใจ

โนอาห์เห็นว่าทั้งสองคนที่สุภาพกับเขาในตอนแรกพยักหน้าให้กับสิ่งที่คาร์ลอสพูดและไม่คัดค้าน แต่เมื่อเห็นการแสดงออกของ “เด็กเย่อหยิ่ง” ที่ดูเหมือนจะมีอะไรต่อต้านเขา โนอาห์ก็หยุดคิดกับตัวเองไม่ได้

‘นี่มันเป็นเรื่องซ้ำซากเกินไปแล้ว ทำไมถึงมีคนแบบนี้ทุกที่ที่ฉันไป? เขาได้รับพรที่ทำให้คนกลายเป็นไอ้โง่ยังงั้นหรอ? น่าเบื่อจริงๆ…’

โนอาห์นึกถึงเด็กชายจากป้อมปราการแห่งแรกของเขาหลังจากที่พลังของเขาตื่นขึ้น ผู้หญิงที่เขาลืมชื่อของเธอ และคนอื่นๆที่เขาไม่สนใจจะเก็บชื่อของพวกเขาไว้ในความทรงจำ

‘ฉันไม่อยากเจอกับเหตุการณ์แบบนั้นอีกแล้ว ฉันควรจะจัดการกับเรื่องนี้ก่อนที่มันจะดำเนินต่อไปและกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ’ โนอาห์ตัดสินใจเมื่อเห็นว่าเจมส์กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง

และในชั่วพริบตาเวลาสองสัปดาห์ก็ผ่านไป โนอาห์ปลดล็อคระบบของเขามาเป็นเวลาสัปดาห์แล้ว และเมื่อดูค่าสถานะของตัวเองหลังจากตื่นนอน เขาก็อดไม่ได้ที่จะพอใจกับตัวเขาเอง

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 02]

[ประสบการณ์: 392/400]

[HP: 12/12]

[ความแข็งแรง: 12]

[ความคล่องตัว: 12]

[ความแข็งแกร่ง: 12]

[สกิล:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 02 : 478/500

คำอธิบายสกิล: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

[หลักแห่งไฟ เลเวล: 02 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและการควบคุมมันก็เป็นธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อยนอกจากนี้ยังทำให้มนุษย์ได้รับการกัดกร่อนจากบาป มนุษย์ที่มีบาปเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถชำระล้างได้]

[อุโมงค์นรก เลเวล: 01 : 235/300

ทักษะที่สามารถทำให้เปิดอุโมงค์สู่นรกและออกไปที่อื่นได้ในเสี้ยววินาทียิ่งระยะทางไกลมากเท่าไหร่พลังงานที่จะใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น]

นรกได้กักขังวิญญาณของคนบาปไว้ในอุโมงค์นี้มาตั้งแต่ทุกสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้น และกังขังมาชั่วนิรันดร์ เพื่อรองรับปีศาจและวิญญาณจำนวนมากพื้นที่นี้จึงขยายตัวมากกว่าโลกของสิ่งมีชีวิตหลายเท่า เมื่อใดก็ตามที่ลูซิเฟอร์เดินผ่านอุโมงค์เหล่านี้ผู้คนก็จะรู้ว่าเขากำลังเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสักแห่ง และเขาก็สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้ที่อุโมงค์นี้ไปถึงเหล่าผู้คนจะคิดว่าเขากำลังเทเลพอร์ต

โนอาห์ผิดหวังอย่างมากกับป้อมปราการล่าสุดที่เขาไปพร้อมกับกลุ่มบุกป้อมปราการเมื่อสองสามวันก่อน เขาคิดว่าด้วยป้อมปราการนั้นเขาสามารถไปถึงเลเวล 03 ได้ แต่ใครจะรู้ว่าป้อมปราการนั้นจะมีมอนสเตอร์น้อยขนาดนั้น? ไม่มีภารกิจใหม่สำหรับโนอาห์ เขาอยากจะให้มีภารกิจเกิดขึ้นเร็วๆเพื่อที่เขาจะได้ทำภารกิจและได้รับรางวัลเป็นการเติบโตของปีกของเขา เพื่อที่เขาจะได้ใช้งานปีกอย่างแท้จริง เพราะจากการทดสอบของเขาเมื่อเร็วๆนี้ ปีกที่เขามีอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถช่วยเขาในการชะลอตัวจากกลางอากาศหรือเหินลงมาจากอากาศได้เลยถ้าเขากระโดดจากที่สูง

แต่ตอนนี้อย่างน้อยเขาก็แน่ใจแล้วว่าเขาจะเลื่อนเลเวลของเขาในป้อมปราการถัดไปที่เขาจะบุกเข้าไป

หลังจากโนอาห์เข้าร่วมกลุ่มของแจสเปอร์ ประสิทธิภาพโดยรวมของกลุ่มก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมอนสเตอร์พวกนั้นจะถูกกำจัดอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหลังจากการโหวดกลุ่มของพวกเขาก็ได้ตัดสินใจว่าพวกเขาจะพยายามบุกป้อมปราการระดับ D พวกเขารู้ว่าการบุกป้อมปราการในครั้งนี้จะเป็นอันตรายมากกว่าที่เคยเป็นมา เพราะในกลุ่มของเขาไม่เคยมีใครบุกโจมตีป้อมปราการระดับ D มาก่อน

โดยปกติแล้วความแข็งแกร่งของพวกเขาส่วนใหญ่มาจากการรวมกลุ่มและการผนึกกำลังที่พวกเขามี นั่นหมายความว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของกลุ่มของพวกเขาแทนที่จะมีเท่ากับผู้ถูกเลือก 15 คน แต่เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันและทำงานกันเป็นกลุ่ม พวกเขาก็จะมีประสิทธิภาพเท่ากับผู้ถูกเลือกธรรมดาๆ 20 คนเลยทีเดียว

ถ้าพวกเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะโดดเด่นกว่าคนปกติเล็กน้อย แต่เมื่อพวกเขามารวมกัน ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะแสดงออกมากกว่าเมื่อก่อนมาก ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงตัดสินใจว่าป้อมปราการที่พวกเขาจะบุกต่อไปจะเป็นระดับ D เนื่องจากทุกคนในกลุ่มมีระดับ E พวกเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นหากต้องการ

โนอาห์ไม่ได้ต่อต้านการตัดสินใจในครั้งนี้เลย เนื่องจากเขารู้ว่าเมื่อเลเวลของเขาเพิ่มขึ้นทักษะของเขาจะต้องใช้ค่าประสบการณ์จำนวนมากเพื่อที่จะเพิ่มเลเวลอีกครั้ง

ความแข็งแกร่งของทักษะของเขาพัฒนาขึ้นมาก ความสามารถของ [เปลวไฟจากนรก] ในตอนนี้ทำให้มอนเตอร์ระดับ E ได้รับอันตรายถึงชีวิตมากขึ้น แม้แต่หัวหน้าป้อมปราการก็ยังต้องทนทุกข์ทรมานอย่างมากเมื่อถูกโจมตีด้วยเปลวไฟที่เผาไหม้และชำระล้างเผ่าพันธุ์ของพวกมันนับไม่ถ้วน น่าเสียดายที่โนอาห์ตระหนักว่ายิ่งเขาชำระล้างมอนสเตอร์บางประเภทมากเท่าไหร่ มอนสเตอร์ประเภทนั้นก็ให้ค่าประสบการณ์น้อยลงราวกับว่าคุณภาพของเชื้อเพลิงนั้นเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ และเริ่มไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดการวิวัฒนาการในทักษะอีกแล้ว

โนอาห์ลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำทันที

หลังจากที่คลี่ลิลิธออกจากข้อมือแล้วเขาก็อาบน้ำ

งูตัวน้อยก็มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาเช่นกัน นอกเหนือจากความใกล้ชิดกับโนอาห์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเวลาที่ทั้งสองมีปฏิสัมพันธ์กัน แม้ว่าเธอจะใช้เวลาส่วนใหญ่นอนหนุนข้อมือของเขา แต่ตอนนี้พวกเขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นเพื่อนของกันและกันแล้ว

เพราะพวกเขาอยู่เคียงข้างกันเสมอ ความเป็นเพื่อนของพวกเขาจึงพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติ

บาดแผลที่เคยปกคลุมร่างกายของลิลิธส่วนใหญ่นั้นเกือบจะหายดีแล้ว เหลือเพียงบาดแผลเล็กน้อยที่ยังปิดไม่สนิทเท่านั้น

เธอได้รับค่าประสบการณ์มากมายจากการได้อยู่กับโนอาห์ในตอนที่เขาบุกเข้าไปในป้อมปราการ แม้ว่าจำนวนค่าประสบการณ์ที่เธอได้รับจะน้อยกว่าที่โนอาห์ได้รับมาก เพราะเธอจะได้รับเพียงค่าประสบการณ์ที่เหลือเท่านั้น แต่เธอที่ได้รับเพียงค่าประสบการณ์ที่เหลือก็ยังได้รับค่าประสบการณ์มาเกินครึ่งสำหรับการพัฒนาขึ้นไปที่เลเวล 02 ในตอนนี้เธอไม่ต้องกังวลว่าบาดแผลของเธอจะไม่สามารถรักษาให้หายได้อย่างสมบูรณ์ แต่เธอยังสามารถปลดล็อคทักษะที่เธอมีได้อีกด้วย

แต่ลิลิธก็ไม่รู้ว่าทักษะของเธอคืออะไรเช่นเดียวกัน

[ผู้ใช้: ลิลิธ ????]

[ฐานะ: เพื่อนของทายาทลูซิเฟอร์, ????????]

[เลเวล: 01]

[ค่าประสบการณ์: 146/200]

[HP: 10/9]

[ความแข็งแกร่ง: 9]

[ความว่องไว: 15]

[ความพลังงาน: 12]

[สกิล:

(ปิดกั้น: ???????)]

เมื่อโนอาห์ออกจากห้องอาบน้ำ เขาเห็นว่าลิลิธยังคงนอนหลับอย่างสงบอยู่บนเตียง โนอาห์เห็นร่างงูน้อยของเธอที่พันอยู่รอบๆผ้าห่มและพบว่าฉากนั้นน่ารักเป็นอย่างมาก และข้างเตียงของเขายังมีเทอเรนซ์อยู่ด้วย ใช่ นั่นเป็นชื่อที่โนอาห์ตั้งให้นกที่ฟักออกมาจากไข่ที่เขาเก็บมาจากป้อมปราการ โนอาห์เลือกชื่อได้แย่มาก นั่นคือสิ่งที่ลิลิธพูดกับเขาเสมอทุกครั้งที่นึกถึงชื่อที่จะตั้งให้นกตัวนั้น จนกระทั้งเธอยอมแพ้และปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการหลังจากที่เขาคิดชื่อแย่ๆออกมามากมาย

ตอนนี้โนอาห์ทำรายได้ได้ดีกับป้อมปราการระดับ E เขาไม่มีปัญหาในการซื้ออาหารกลับบ้าน ลุงของเขาไม่ส่งคนกลับมาทวงหนี้ในส่วนที่โนอาห์ยังติดไว้อยู่อย่างน่าประหลาด และเนื่องจากโนอาห์กังวลว่าลุงของเขาจะจับตาดูเขาอยู่ โนอาห์จึงโอนเงินที่เขาจะต้องจ่ายตลอดทั้งสัปดาห์ไปให้ลุงของเขาเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น

เมื่อใดก็ตามที่เขาได้รับเงินจากป้อมปราการระดับ E และจ่ายให้กับลุงของเขาไป เขาก็รู้สึกบีบคั้นหัวใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกถึงแม็กกี้ เขาก็รู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันคุ้มค่า

ด้วยเงินพิเศษที่เขามีอยู่ตอนนี้ โนอาห์ซื้ออาหารจำนวนมากสำหรับตัวเองและเนื้อจำนวนมากสำหรับลิลิธและเทอร์เรนซ์ ลิลิธไม่ชอบกินอาหารของมนุษย์เธอบอกว่าการปรุงอาหารของมนุษย์นั้นไม่ดี เธอเพียงแค่ต้องการขดตัวอยู่เฉยๆนั่นก็ทำให้เธอพอใจแล้ว

แต่สิ่งที่ลิลิธไม่กิน เทอร์เรนซ์ก็จะกินแทนเธอ เพราะเด็กน้อยคนนี้เติบโตเร็วมาก จากตอนแรกที่เทอร์เรนซ์เป็นเพียงนกน้อยขี้สงสัยตอนนี้มันกลายเป็นนกขนาดเท่าสุนัขฮัสกี้ในเวลาเพียงสองสัปดาห์เท่านั้น โนอาห์จำได้ว่าหัวหน้าป้อมปราการนั้นตัวใหญ่มาก เขากลัวว่ามันจะตัวเท่ากัน แต่ตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไงกับเทอร์เรนซ์ เพราะโนอาห์ไม่มีสัญญาที่จะเซ็นกับนกน่าสงสารตัวนี้

โชคดีที่เทอร์เรนซ์ไม่เคยทำให้โนอาห์ลำบากมากนัก มันแค่กินเยอะและนอนทั้งวันเท่านั้น ขนสีแดงเลือดของมันงอกขึ้นมาแทนที่ขนอ่อนๆในตอนแรกจนตอนนี้มันกลายเป็นนกขนปุยสีแดงที่สวยงาม เมื่อเห็นขนาดของเทอร์เรนซ์ในตอนนี้โนอาห์ก็ไม่สามารถจินตนาการได้ว่ามันจะตัวใหญ่ขนาดไหนในอนาคต เขาจึงคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะใช้นกตัวใหญ่ตัวนี้เป็นสัตว์ขี่ในอนาคตของเขา โดยที่เขาจะได้ไม่ต้องใช้ปีกของตัวเอง เพราะการใช้ปีกของเขาเองอาจจะเป็นการดึงดูดความสนใจอย่างมาก

เทอร์เรนซ์ไม่ได้ก้าวร้าวกับโนอาห์ แต่เมื่อมีมนุษย์คนอื่นเข้าใกล้สถานที่ที่เขาอยู่ โนอาห์ก็สังเกตเห็นว่ามันจะกระวนกระวายใจมากกว่าปกติเล็กน้อย นั่นอาจจะเป็นสัญชาตญาณมอนเตอร์ของมันที่ทำให้มันโกรธและต้องการฆ่ามนุษย์ และนั่นเป็นสิ่งตอกย้ำโนอาห์ที่เขารู้ว่าเขาจะต้องทำสัญญากับเทอร์เรนซ์อย่างเร่งด้วย แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องการใช้สัญญาในร้านขายมอนเตอร์ เนื่องจากโนอาห์รู้ว่าเขามีความสามารถที่จะทำสัญญาได้ในตัวของเขาเอง โนอาห์ชอบที่จะทำสัญญาที่เขาเขียนด้วยตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงสัญญาที่จะทำให้เขาต้องเจอกับเจตนาที่ไร้สาระและมุ่งร้ายต่อเขา

ในตอนนี้โนอาห์หวังว่าความสามารถในการทำสัญญาของเขาจะปรากฏขึ้นในไม่ช้า เนื่องจากโนอาห์รู้ว่าทักษะนั้นมีประโยชน์และทรงพลังเพียงใดสำหรับเขา

วันนี้โนอาห์ไม่มีป้อมปราการที่จะบุก เนื่องจากเมื่อวานกลุ่มของเขาได้บุกโจมตีป้อมปราการได้อย่างง่ายดายและได้รับเงินพิเศษมาแล้ว พวกเขาตกลงกันว่าแม้ว่าพวกเขาจะไม่เหนื่อย พวกเขาทั้งหมดก็จะพักผ่อนและสนุกสนานไปกับชีวิต เพราะพวกเขาบุกเข้าไปในป้อมปราการเพื่อดำรงชีวิตและไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อบุกโจมตีป้อมปราการเพียงอย่างเดียว

เช่นเดียวกับคนอื่นๆในกลุ่ม โนอาห์ก็มีนัดในวันนี้เช่นกัน คาร์ลอสขอให้เขาเล่น Valorwatch ซึ่งเป็นสิ่งที่โนอาห์เล่นอย่างสนุกสนานเป็นพิเศษและเขายินดีที่จะช่วยเพื่อนของเขา คำขอของคาร์ลอสคือให้พวกเขาเล่นลีค Valorwatch ด้วยกัน และเนื่องจากพวกเขายังไม่ได้เล่นอะไรด้วยกันเลย เพราะโนอาห์ติดการขึ้นอันดับในเกมเล็กน้อย วันนี้คาร์ลอสจึงนัดให้พวกเขาไปที่ร้านอาหารเพื่อพบกับแต่ละคน และพบกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆที่พวกเขาจะเล่นด้วย

โนอาห์รู้สึกภาคภูมิใจกับความสำเร็จของเขาในสัปดาห์นี้ เนื่องจากแม้ว่าเขาจะยังคงเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E แต่ด้วยทักษะของเขาในเกม โนอาห์ได้เลื่อนจากระดับ F ไปที่ระดับ D ได้โดยไม่ยากมากนัก เมื่อเขาไปถึงระดับ D เขาก็เริ่มเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่สามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างจริงจัง แม้พวกเขาจะไม่เหมือนกับพิกแมนแต่พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้เล่นที่ทรงพลัง

เมื่อมองดูเวลา โนอาห์ก็เห็นว่าเหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลานัดของเขา โนอาห์จึงหาอะไรกินอย่างรวดเร็วก่อนที่จะไปอาบน้ำและแต่งตัว เมื่อเขาทำทุกอย่างเสร็จแล้วเขาก็นำลิลิธมาโอบไว้ที่ข้อมือของเขาก่อนที่จะเริ่มออกไปประชุมทีมในอนาคตที่พวกเขาจะเข้าแข่งขันชิงแชมป์ Valorwatch ด้วยกัน

โนอาห์แค่หวังว่ามันจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นและคนอื่นๆในทีมจะมีแต่คนดีๆ เพราะเขาเชื่อมั่นในวิจารณญารของคาร์ลอส

โนอาห์รู้ว่าการตัดสินบุคลิกภาพของแต่ละคนเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา และนั่นก็ทำให้เขาไม่ชอบคนจำนวนมากในทันที คาร์ลอสก็มีความสามารถเช่นเดียวกันกับเขาเหมือนกัน นั่นเป็นเหตุผลที่ทั้งสองเข้ากันได้ดีตั้งแต่ได้พบกัน อาจจะเป็นเพราะนิสัยของพวกเขาที่เหมือนกัน หรือเพราะทั้งคู่อาจจะรู้สึกได้ว่าอีกคนเป็นคนดีและสามารถเป็นเพื่อนที่ดีที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ตลอดไป

“ฉันหวังว่าคาร์ลอสจะเลือกคนดีๆมาร่วมทีมกับเรานะ…” โนอาห์พูดกับตัวเองเบาๆขณะที่เขารอรถบัส

“นี่ปีกของฉันเหรอ…” โนอาห์มองไปที่หลังของเขาและเห็นได้ชัดว่าเขาผิดหวังมาก เขาคาดหวังถึงปีกนางฟ้าที่ใหญ่โตและสวยงาม อย่างน้อยมันก็ควรมีความยาวอย่างน้อยสักสองเมตร แต่เมื่อโนอาห์เห็นว่าปีสีดำของเขาเป็นปีกขนาดเล็กที่มีขนาดเท่ากับปีกไก่ซึ่งยาวไม่ถึงห้าสิบเซ็นติเมตร มันก็ทำให้เขาละอายใจเป็นอย่างมาก

ความรู้สึกของเขารุนแรงขึ้นในขณะที่เขามองไปที่โซฟาและเห็นลิลิธกำลังดิ้นไปมาโดยพยายามจะไม่หัวเราะโนอาห์ โนอาห์ไม่รู้ว่าเขารูได้ยังไงว่าการแสดงออกทางสีหน้าของลิลิธเป็นยังไง เพราะเธอเป็นงู แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันและรู้สึกอับอายมากขึ้นกับปีกของเขาเอง

“มันควรจะมีขนาดใหญ่กว่านี้ไม่ใช่หรอ…เกิดอะไรขึ้นกัน?” โนอาห์สงสัย เขาพูดออกมาด้วยเสียงที่ต่ำและท้อแท้ เขาคิดว่าเขาจะสามารถบินได้อย่างอิสระบนท้องฟ้าหลังจากที่ได้รับมันมา แต่น่าเสียดายที่ปีกคู่นี้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เราคิดว่าเขาไม่สามารถเหินลงจากที่สูงได้เลยด้วยซ้ำ

โนอาห์ขยับปีกของเขาได้ และเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกมันเป็นเหมือนแขนสองคู่ที่อยู่บนหลังของเขามานานแล้ว ทุกอย่างที่เขาคิดจะทำกับพวกมันเขาก็สามารถทำมันได้ ดังนั้นอย่างน้อยตอนี้โนอาห์ก็สนุกกับความรู้สึกที่มีสมาชิเพิ่มมาอีกสองคน

ทันใดนั้น หน้าต่างของระบบก็ลอยขึ้นมาปรากฏต่อหน้าของโนอาห์พร้อมกับอธิบายคำถามที่เขาถามออกมาตรงๆ

[ตามที่อธิบายไว้ในภารกิจ ปีกของนางฟ้าไม่ได้เกิดจากการทำงานเพียงอย่างเดียวแล้วพระเจ้าจะมอบให้เลย ทูตสวรรค์ต้องทำงานหลายอย่างให้เสร็จเพื่อที่จะทำให้ปีกของพวกเขาพัฒนาขึ้นถึงจุดที่สามารถบินได้

สำหรับทูตสวรรค์แล้วปีกของพวกเขาเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงอำนาจของพวกเขาด้วยเช่นกัน เนื่องจากปีกของทูตสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่ ยิ่งมันใหญ่โตและสง่างามมากขนาดไหนนั่นก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจของเขาที่ได้รับมาจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น หากทายาทของลูซิเฟอร์ต้องการมีปีกที่ใหญ่โตและสง่างามซึ่งสามารถแสดงพลังอำนาจของเขาได้ ก่อนอื่นทายาทของลูซิเฟอร์จะต้องแสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถที่เหมาะสม โดยการทำภารกิจที่จะเกิดขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปให้สำเร็จ โชคดี]

โนอาห์มองดูข้อความอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาลืมจุดนั้นไปแล้วจริงๆ ภารกิจยังกล่าวอีกว่าปีกคู่ที่สามของลูซิเฟอร์ยังเติบโตได้ไม่เต็มที่ในตอนที่เขาถูกขับออกจากสวรรค์ ดังนั้นมันจึงมีเหตุผลที่ปีกของเขาไม่ได้เติบโตในครั้งเดียว

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โนอาห์ประหลาดใจก็คือข้อความที่คอยส่งมาเพื่อบอกรายละเอียดต่างๆให้กับเขานั้นดูเหมือนเป็นคำพูดของมนุษย์มากขึ้น ก่อนหน้านี้ที่โนอาห์ได้รับข้อความจากระบบข้อความเหล่านั้นดูเหมือนถูกสร้างขึ้นโดยเครื่องจักรที่ไม่มีชีวิต แต่เมื่อเวลาผ่านไปโนอาห์สังเกตเห็นว่าข้อความเหล่านี้เริ่มปรากฏมาให้เห็นบ่อยมากขึ้นเรื่อยๆและบุคลิกของระบบก็เริ่มเปลี่ยนไป แม้กระทั่งยังอวยพรให้เขาโชคดี

โนอาห์ปล่อยความคิดนั้นไปหลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับมันได้ไม่นาน

เมื่อเขาทดลองการขยับปีกของเขาแล้วเขาก็ใช้ทักษะที่ลูซิเฟอร์พัฒนาขึ้นมาเพื่อซ่อนปีกของเขาขณะที่มองดูตัวเองในกระจกภายในห้อง โนอาห์สังเกตเห็นว่าเมื่อเขาต้องการจะซ่อนปีกของเขา ปีกของเขาจะมารวมกันอยู่บนหลังของเขาและกลายเป็นรอยสักรูปปีกคู่หนึ่งตามสัดส่วนของขนาดปีกของเขา

“บางทีเมื่อปีกของฉันใหญ่ขึ้น รอยสักก็น่าจะใหญ่ขึ้นด้วย และถ้าหากฉันได้ปีกมาอีกคู่หนึ่งฉันก็คิดว่ารอยสักปีกอีกคู่ก็จะถูกเพิ่มขึ้นมาเหมือนกัน” โนอาห์คิดขณะที่เขามองเข้าไปในกระจกและชื่นชมความละเอียดอ่อนของรอยสักของเขา

โนอาห์ไม่เคยสนใจเกี่ยวกับรอยสักมาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้ไม่ชอบมันเช่นกัน เขาแค่ไม่ได้มีความสนใจพอที่จะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

ตอนนี้เขามีปีกคู่หนึ่งอยู่บนหลังของเขาแล้ว โนอาห์ชอบที่รอยสักสีดำพวกนี้ตัดกับผิวสีขาวของเขาได้ดีเป็นอย่างมาก

‘บางทีในอนาคตมันอาจจะดูไม่เลวร้ายนักก็ได้…ระบบอาจจะจัดการเรื่องอื่นๆด้วยรอยสักเหมือนกัน เพราะในขณะที่ลูซิเฟอร์หาวิธีที่จะซ่อนปีกของเขาด้วยรอยสัก บางทีเขาอาจจะรู้วิธีซ่อนสิ่งอื่นๆด้วยเช่นกัน? อย่างเช่นการเก็บอาวุธไว้ในรอยสักภายในร่างกายของตัวเอง…? นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก!’ เป็นอีกครั้งที่โนอาห์เริ่มจินตนาการถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ลิลิธมองมาที่โนอาห์ด้วยความสนใจจากระยะไกล

สำหรับเธอ มนุษย์คนนี้แตกต่างจากคนอื่นๆมาก มนุษย์ปกติที่เธอสังเกตเห็นในร้านจะตรงข้ามกับโนอาห์ ต่อหน้าคนอื่นพวกเขาจะพยายามไปมีส่วนร่วมกับคนอื่นๆ ตื่นเต้น พยายามเปิดเผยด้านดีของตนออกมา นั่นอาจเป็นเพราะพวกเขาพยายามสร้างความประทับใจแรกที่ดีต่อผู้อื่นโดยการที่พวกเขาจะสวมหน้ากากแสดงความเห็นอกเห็นใจและเป็นมิตรออกไป ในขณะที่โนอาห์ไม่ได้เหมือนคนพวกนั้น แทนที่เขาจะพยายามทำตัวเป็นมิตรกับคนอื่นและกลายเป็นคนไร้ความรู้สึกเมื่อมาอยู่ที่บ้าน เขากลับเย็นชากับบุคคลภายนอกจนแทบจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาเลย แต่เมื่อเขาอยู่ที่บ้านสถานที่ซึ่งทำให้เขารู้สึกปลอดภัย เขาจะทำตัวสบายๆมากขึ้นและทำในสิ่งที่คนจริงๆควรจะทำกัน มากกว่าการเป็นเครื่องจักรที่เขาทำในโลกภายนอก เธอชอบการกระทำนี้ของเขาเป็นอย่างมาก

โนอาห์ทิ้งความคิดเกี่ยวกับรอยสักไว้ กลับไปที่ตำแหน่งที่เขานั่งอยู่บนพื้นและไม่มองที่ลิลิธ เขายังคงรู้สึกละอายใจเล็กน้อยกับปีกที่เขาแสดงให้เธอเห็น

เธอรู้เรื่องนี้แล้ว แต่เธอก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้สถานการณ์น่าอายมากขึ้น เพราะถึงแม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดี แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสามารถเยาะเย้ยกันเหมือนเพื่อนสนิทกันได้

ขณะที่โนอาห์หยิบไข่ออกจากกระเป๋าเป้ ลิลิธก็ค่อยๆเลื้อยจากบนโซฟาแล้วปีนขึ้นไปบนไหล่ของเขาเพื่อดูว่าเขาจะทำอะไรในกระเป๋าเป้ นอกจากจะใช้ประโยชน์จากการสัมผัสร่างกายของโนอาห์เพื่อรักษาตัวเองแล้วเธอก็ชอบที่จะอยู่ใกล้ๆกับโนอาห์เพราะเธอรู้สึกสบายขึ้นมากกว่าเมื่ออยู่กับเขา

เมื่อโนอาห์หยิบไข่ออกจากกระเป๋าเป้เสร็จแล้ว เขาก็สังเกตเห็นว่าไข่ใบหนึ่งมีรอยแตกเล็กน้อย ตอนแรกความคิดที่ผ่านเข้ามาในหัวของเขาคือเขาประมาทและได้ทำลายไข่ล้ำค่าที่สามารถขายได้เงินเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อโนอาห์เห็นว่าไม่มีของเหลวไหลออกมาจากไข่ เขาก็พบว่ามันแปลก คำอธิบายเดียวที่เขาจำได้สำหรับไข่ที่ไม่มีของเหลวอยู่ภายในนั้นคือ มีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในไข่และมันได้ใช้ของเหลวนั้นในการเลี้ยงตัวเองแล้ว

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ โนอาห์ก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เขาค่อยๆหยิบไข่ออกจากกระเป๋าเป้ และทุกอย่างมันก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดจริงๆไข่ไม่มีของเหลวใสๆไม่มีไข่แดง มีเพียงน้ำหนักเล็กน้อยในไข่ใบนั้น ราวกับว่ามีหินก้อนเล็กๆกลิ้งไปกลิ้งมาทุกครั้งที่โนอาห์ขยับไข่จากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง

สิ่งนี้ทำให้โนอาห์ยิ่งอยากรู้อยากเห็นมากขึ้นไปอีก โนอาห์บีบเปลือกไข่เบาๆ มันแตกออกอย่างช้าๆโดยที่มันเปราะบางเป็นอย่างมาก เมื่อโนอาห์มองเข้าไปภายในเปลือกไข่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นผสมกับความหวาดกลัวเล็กน้อย เขาก็เห็นลูกนกตัวเล็กๆตัวหนึ่ง ตัวของมันปกคลุมไปด้วยขนเส้นเล็กๆที่ยังไม่ได้ยาวมากนัก มันเป็นลักษณะของลูกนกที่เพิ่งเกิดได้ไม่นาน

สีตัวของนกเป็นสีแดงเข้มเกือบจะเหมือนกับสีเลือด คุณลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของโนอาห์ได้มากที่สุดในตอนที่เขามองดูนกน้อยตัวนี้ เพราะมันไม่เหมือนกับนกคลั่งโดยปกติทั่วไปที่มีสีต่างกัน เช่น สีเหลืองสดใส สีแดงสด สีฟ้าสดใส สีของหัวหน้านกคลั่งแม้ว่าจะไม่เหมือนกันในทุกๆครั้งแต่มันจะถูกสุ่มระหว่างสีเหลือและสีแดง แต่มันจะอยู่ในโทนที่มืดกว่านี้ซึ่งทำให้สีของหัวหน้านกคลั่งคล้ายจะเป็นสีดำ ผู้ถูกเลือกไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถแยกแยะสีของหัวหน้านกคลั่งได้ในระหว่างการจู่โจม เนื่องจากลักษณะที่เป็นสีแดงของป้อมปราการอยู่ตลอดเวลา

ขณะที่นกน้อยมองโนอาห์ด้วยความกลัวและความอยากรู้อยากเห็น โนอาห์ก็แสดงความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกันกับเจ้าตัวเล็กตัวนั้น เขาไม่อยากจะเชื่อว่าในขณะที่เขาแบกไข่ไว้ในกระเป๋าเป้ของเขาไข่หนึ่งฟองก็จะฟักออกมาเป็นนกน้อยตัวนี้ โนอาห์คิดว่าเมื่อมอนเตอร์เกิดมามันมักจะก้าวร้าว เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกเขาพูดในเว็ปไซต์ที่พวกเขาอ่านเกี่ยวกับพวกมัน แต่เจ้าตัวเล็กสีแดงตัวนี้ไม่ได้แสดงความก้าวร้าวต่อโนอาห์เลยแม้แต่น้อย

“เธอรู้สึกว่ามันแตกต่างจากมอนเตอร์ตัวอื่นๆไหม ลิลิธ?” โนอาห์ถามลิลิธ เนื่องจากเธออาจจะมีประสบการณ์มากกว่าเขาในการจัดการกับเรื่องนี้ เนื่องจากเธออาศัยอยู่ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มาเป็นเวลานานแล้วฃ

ลิลิธจ้องไปที่นกน้อยที่กำลังมองไปรอบๆด้วยความสงสัย มันกำลังพยายามทำความเข้าใจว่าตอนนี้มันอยู่ที่ไหนและสังเกตว่าโนอาห์เป็นอันตรายต่อมันหรือไม่ ลิลิธตอบโนอาห์ว่า

“นี่แปลกมาก ฉันรู้สึกว่ามันไม่ต่างจากมอนสเตอร์ตัวอื่นๆเลย การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนเพียงอย่างเดียวคือวิธีที่เขาทำ เขามองมาที่นายและเขาไม่ได้มองว่านายเป็นศัตรูโดยธรรมชาติเหมือนที่มอนเตอร์ตัวอื่นๆมักจะทำเมื่อพวกมันเห็นมนุษย์เป็นครั้งแรก จริงๆแล้วเขามองนายเหมือนไม่ได้มองมนุษย์ เขามองนายเหมือนกับว่านายก็เป็นมอนเตอร์อีกประเภทหนึ่งเหมือนกัน…”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของเธอโนอาห์ก็สับสน

“อาจเป็นเพราะฉันไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว?” เขาพูดอย่างนั้นขณะมองไปที่แผ่นหลังของตัวเองโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นรอยสักที่เตือนใจว่าด้านหลังของเขามีปีกอยู่คู่หนึ่ง และปีกคู่นั้นยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นจากพลังงานแต่เป็นปีกที่งอกมาที่หลังของเขาราวกับว่ามันเป็นหนึ่งของเขาจริงๆเขาก็พูดว่า

“หรือบางทีฉันอาจจะกลายเป็นเหมือนลูซิเฟอร์จริงๆ โดยที่ฉันค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อยๆยังงั้นหรอ?”

คำพูดเหล่านั้นส่งผลให้โนอาห์เริ่มสับสนในตัวตนของเขาจริงๆ เป็นครั้งแรกที่เขามีความคิดแบบนี้ เขาเริ่มไตร่ตรองถึงสิ่งที่เขาเป็น สิ่งที่เขาต้องการจะเป็น และถ้าเขากลายเป็นปีศาจจริงๆในอนาคตเขาจะเป็นยังไง

แต่คำถามสุดท้ายนั้นได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว เพราะเขาจำได้ว่าระบบของเขาได้ช่วยเขาในการรักษาแม็กกี้ได้ขนาดไหน และเขาได้รับอะไรบ้างจากระบบ ดังนั้นด้วยความหวังว่าจะทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้นไปตามเส้นทางที่เขากำหนดไว้ โนอาห์จึงจดจ่อกับเป้าหมายของเขา พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปมากกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว

ตรงหน้าของโนอาห์ในตอนนี้มีหน้าต่างอยู่สองบาน

[ขอแสดงความยินดีกับผู้ใช้สำหรับการทำสัญญาครั้งแรกของคุณ! จากนี้ไป ปีศาจลิลิธได้กลายเป็นปีศาจของคุณแล้ว เมื่อเธอเป็นปีศาจของคุณแล้วส่วนหนึ่งของค่าประสบการณ์ที่เสียไปจะถูกนำไปให้กับเธอเพื่อทำให้เธอเลเวลอัพด้วยเช่นกัน!]

ข้อความที่ปรากฏขึ้นเป็นข้อความเรียบๆง่ายๆ แต่สำหรับโนอาห์มันเหมือนกับระเบิดที่เข้ามาทำลายตัวเขา เพราะหลังจากนี้การเพิ่มเลเวลของโนอาห์จะไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป การเชื่อมต่อระหว่างเขากับลิลิธแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก แต่นั่นก็แลกมากับเธอจะได้รับส่วนหนึ่งของค่าประสบการณ์ที่เขาฆ่าด้วย!

‘ถ้าเธอได้รับส่วนหนึ่งของค่าประสบการณ์ที่เสียไป นั่นหมายความว่าค่าประสบการณ์ที่ฉันได้รับจะไม่ลดลงใช่ไหม? มันน่าอัศจรรย์มาก! เดี๋ยวนะ…ถ้าเธอได้รับค่าประสบการณ์ด้วย แล้วถ้าเธอเลื่อนระดับเธอจะได้รับทักษะอื่นๆด้วยหรือเปล่า?’

(ข้อความจากผู้แปล: ค่าประสบการณ์ที่เสียไปถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เขาน่าจะหมายถึงว่าจริงๆมอนเตอร์ที่พวกเขาฆ่ามีค่าประสบการณ์ที่ต้องได้มากกว่านี้ แต่โนอาห์ได้รับมาเท่านี้ต่อมอนเตอร์หนึ่งตัว เพราะฉะนั้นลิลิธจะได้ในส่วนที่หายไปตรงนั้นในอัตราที่เหมาะกับเธอครับ)

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ โนอาห์ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ปัญหาที่เขากำลังประสบอยู่ในขณะนี้คือเขาไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะบุกป้อมปราการเพียงลำพัง เขาต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นๆที่ได้รับพรเช่นกัน แต่ตอนนี้เขามีใครบางคนที่จะวิวัฒนาการไปพร้อมกับเขาและยังจะไม่ลดจำนวนค่าประสบการณ์ที่เขาจะได้รับอีกด้วย ในอนาคตโนอาห์อาจไม่ต้องการเพื่อนร่วมทีมอีกต่อไป เขาอาจจะสามารถบุกเข้าไปในป้อมปราการพร้อมกับลิลิธได้ และทั้งสองคนก็อาจจะเพียงพอแล้วที่จะทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ!

ขณะที่โนอาห์รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ในอีกด้านหนึ่งลิลิธกำลังรู้สึกสับสนกับหน้าต่างที่ลอยอยู่ตรงหน้าของเธอ น่าแปลกที่แม้ว่าเธอจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร แต่จิตใต้สำนึกของเธอก็ทำเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ หรือบางทีเธออาจจะจำสิ่งต่างๆจากอดีตได้และนั่นทำให้เธอเข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร และมันจะทำอะไรได้บ้าง?

ถ้าให้พูดจริงๆ เธอรู้สึกประทับใจสิ่งนี้ไม่น้อยไปกว่าโนอาห์เลย ลิลิธรู้ว่าเธอต้องแข็งแกร่งขึ้นและมีพละกำลังมากขึ้นจึงจะสามารถรักษาอาการบาดเจ็บที่มากับเธอได้ และเธอจะได้ไม่ต้องอดทนต่อความเจ็บปวดและความเสียหายในตอนที่เธอพยายามค้นหาความทรงจำเก่าๆของเธอ ดังนั้นเธอจึงเห็นว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ เหมือนกับมีอาหารที่เธอชอบมากๆตกลงมาจากฟ้าและหล่นมาที่ตักของเธอในช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด

เมื่อเธอแอบมองดูโนอาห์อย่างเงียบๆ ลิลิธเห็นเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าสวยงามมองเข้าไปในความว่างเปล่าด้วยท่าทางตื่นเต้นอย่างมาก อาจเป็นเพราะเหตุผลเดียวกับที่เธอเป็น ลิลิธจึงยืนยันกับตัวเองอีกครั้งด้วยเสียงที่แน่วแน่และแน่วแน่มากขึ้นเกี่ยวกับทุกสิ่ง

‘ฉันตัดสินใจถูกแล้วจริงๆที่มาอยู่กับนาย สัญชาตญาณของฉันไม่ได้โกหกฉันเลย’

โนอาห์ไม่รู้ว่าลิลิธคิดอะไรอยู่ เขาพยายามคิดในใจว่าจะทำอะไรกับระบบของเธอได้บ้าง เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเจ้านาย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเขาสามารถควบคุมบางอย่างได้ สิ่งที่โนอาห์พบในทันทีคือเมื่อเขาเปิดหน้าค่าสถานะของเขา เขาก็สามารถเห็นหน้าค่าสถานะของลิลิธได้เช่นกัน

[ผู้ใช้: ลิลิธ ????]

[ฐานะ: เพื่อนของทายาทลูซิเฟอร์, ????????]

[เลเวล: 01]

[ค่าประสบการณ์: 0/200]

[HP: 10/3] (ผู้แปล: อันนี้ไม่ได้ผิดนะครับ เขาใส่ค่ามาแบบนี้เลย น่าจะมีความลับอะไรสักอย่าง)

[ความแข็งแกร่ง: 9]

[ความว่องไว: 15]

[ความพลังงาน: 12]

[สกิล:

(ปิดกั้น: ???????)]

เมื่อดูที่หน้าสถานะนี้ โนอาห์มีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของเขา เพราะเขาพบว่าแม้แต่ระบบก็ไม่สามารถให้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับลิลิธแก่เขาได้

แต่อย่างน้อยโนอาห์ก็พอใจเมื่อเขารู้คำตอบของคำถามที่เขาถามไปในตอนแรก เพราะเขาสามารถพิสูจน์ได้ว่าลิลิธก็มีสกิลเช่นกัน และทุกครั้งที่เธอเลเวลเพิ่มขึ้น เธอก็จะได้รับสกิลใหม่ๆ แต่ในตอนนี้สกิลของเธอถูกปิดกั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง

เมื่อโนอาห์อ่านคำอธิบายของระบบ เขาก็เข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถมองดูสกิลของเธอได้

[ตราบใดที่ผู้ใช้สกิลได้รับบาดเจ็บสาหัส จะไม่สามารถใช้สกิลนี้ได้]

นั่นเป็นเหตุผลและโนอาห์คิดว่ามันสมเหตุสมผล

ตอนนี้โนอาห์คิดว่าการรักษาะลิลิธให้หายดีถือเป็นสิ่งสำคัญที่เขาควรทำให้เร็วที่สุด ครั้งหนึ่งเขาคิดว่าการรักษาลิลิธให้หายดีจะเป็นการสานต่อมิตรภาพและความผูกกันที่พวกเขามี และนั่นเป็นแรงบันดาลใจให้เขาพยายามหาทางรักษาลิลิธ แต่ตอนนี้ถ้าเขารักษาลิลิธให้ดีขึ้นได้ เขาก็จะมีคู่ชีวิตที่แข็งแกร่งมากๆอยู่กับตัวเขาเอง

เมื่อเห็นว่าลิลิธแสดงสีหน้าราวกับกำลังพยายามทำความเข้าใจบางสิ่ง บางสิ่งที่โนอาห์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นไปได้สำหรับงู เขาจึงตัดสินใจปล่อยให้เธอแยกแยะข้อมูลที่เธอได้รับแล้วค่อยเปรียบเทียบสิ่งที่พวกเขารู้ในภายหลัง ตอนนี้เขามีหน้าต่างอื่นให้ดูและเขาก็ต้องการอ่านมันเป็นอย่างมาก

[ขอแสดงความยินดีกับผู้ใช้ที่ทำภารกิจแรกสำเร็จ เพื่อที่จะได้เดินท่ามกลางมนุษย์และเติมเต็มความปรารถนาของพวกเขาเอง ลูซิเฟอร์จึงพัฒนาเทคนิคในการซ่อนปีกของตัวเองในที่สาธารณะ ซึ่งแตกต่างจากเทวดาทั่วไป เพื่อเป็นรางวัลเพิ่มเติมสำหรับการทำภารกิจแรกของลูซิเฟอร์ ผู้ใช้จะได้รับสกิลนี้เป็นสกิลโบนัส]

[คุณต้องการที่จะได้รับรางวัลทั้งสองเลยหรือไม่?]

เมื่อเห็นหน้าต่างของระบบ โนอาห์ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นั่นเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมเขาจึงไม่กล้าทำภารกิจต่อหน้าผู้ถูกเลือกคนอื่นๆภายในป้อมปราการ เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าเขาจะได้รับความสามารถนี้ในภารกิจของเขา โนอาห์คิดว่าทันทีที่เขาเปิดหน้าต่างภารกิจและรับมันมา เขาอาจจะได้รับปีกในทันที แล้วเขาจะอธิบายให้คนอื่นฟังได้อย่างไรว่าทำไมจู่ๆเขาถึงมีปีกงอกออกมาโดยไม่รู้สาเหตุ?

ให้เขาพูดว่าเขากินนกคลั่งเข้าไปแล้วปีกก็งอกขึ้นมาที่ตัวของเขาเอง หรือว่าเขาเป็นศัลยแพทย์และเย็บปีกติดให้กับตัวเอง? ไม่ว่าโนอาห์จะคิดไปในทิศทางไหนเขาก็หาคำอธิบายที่ดีไม่ได้! โนอาห์จึงรอจนเขาอยู่คนเดียวเพื่อที่เขาจะอ่านข้อความและตอบรับระบบได้

โชคดีที่เขาได้รับสกิลการซ่อนปีกนี้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะมีปีก แต่ก็จะไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้อยู่ดี และถ้าหากเขาต้องการใช้ปีก เขาก็สามารถหาข้อแก้ตัวแบบสุ่มๆขึ้นมาเหมือนที่เคยทำ นั่นเป็นความคิดเดียวที่เขามีในตอนนี้ ส่วนว่ามันจะดีหรือไม่นั้น โนอาห์ก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกัน

‘ฉันยอมรับ’ โนอาห์พูดในใจที่หน้าต่างระบบ

[มอบของรางวัล]

เมื่อเห็นหน้าต่างตรงหน้า โนอาห์รู้สึกหัวใจเต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้ มันเป็นความฝันของมนุษย์ทุกคนที่ต้องการจะมีปีกสักคู่แม้แต่โนอาห์ก็ไม่ต่างกัน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป 3 วินาที 5 วินาที จนกระทั่ง 10 วินาทีผ่านไป…ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อโนอาห์เริ่มผิดหวังกับความคิดที่ว่าเขาจะไม่ได้รับปีก ทันใดนั้น ทักษะที่เขาไม่เคยมีมาก่อนก็เข้ามาในหัวของเขาทันที

เช่นเดียวกับทักษะอื่นๆที่เขาได้รับจากระบบ ทักษะนี้ก็เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากสำหรับโนอาห์ ราวกับว่าเป็นสิ่งที่เขามีมาตลอด

โนอาห์เข้าใจสิ่งที่เขาควรทำอย่างเป็นธรรมชาติมาก ราวกับว่าเขาทำมาตั้งแต่เกิด แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาเพิ่งจะมีมันก็ตาม

ทันใดนั้นลิลิธก็ตกใจในสิ่งที่โนอาห์กำลังทำ เพราะจู่ๆเขาก็ลุกขึ้นจากพื้นที่เขานั่งและเอาตัวของเธอออกจากไหล่ของเขา วางเธออย่างระมัดระวังบนโซฟาใกล้ๆเพื่อไม่ให้เธอได้รับบาดเจ็บจากปากแผลที่เปิดอยู่ของเธอ

ลิลิธไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก่อนที่เธอจะถามเขา เธอตัดสินใจรอดูด้วยความอยากรู้ น่าแปลกสำหรับเธอ โนอาห์เริ่มถอดเสื้อสเวตเตอร์ที่เขาสวมอยู่ เสื้อสเวตเตอร์นั่นสกปรกเป็นอย่างมากเพราะเขายังไม่ได้อาบน้ำ เขายังใส่ชุดเดียวกับที่เขาใส่ในป้อมปราการ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้นั่งบนโซฟา แต่อยู่บนพื้นภายในห้องทำงานของเขา เขาไม่ได้นั่งบนพรมด้วยซ้ำ เพราะเขารู้ว่าพรมจะสกปรกและเขาเป็นคนที่จะต้องซักพรมในภายหลัง

โนอาห์ตอนนี้ที่ไม่ได้สวมเสื้อสเวตเตอร์หลวมๆของเขาทำให้ลิลิธมองเห็นร่างกายของเขาได้เป็นอย่างดี เธอมีความรู้ของมนุษย์ที่เธอคิดว่ามาจากความทรงจำของเธอ แต่เธอยังไม่ได้พัฒนามากจนเธอรู้สึกดึงดูดกับร่างกายของมนุษย์

แต่นั่นก็เป็นเพียงความรู้สึกดึงดูดกับร่างกายของมนุษย์เท่านั้น มันไม่ได้หยุดลิลิธจากความรู้สึกชื่นชมร่างกายของโนอาห์เช่นเดียวกับชาวกรีกในสมัยโบราณที่ยกย่องว่าร่างกายของมนุษย์เป็นงานศิลปะ เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การชื่นชม

นั่นคือสิ่งที่ลิลิธเห็นในร่างกายของโนอาห์ในตอนนี้ เธอคิดว่ารูปร่างของโนอาห์สมบูรณ์แบบมากจนอาจถึงได้ว่าเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว

เธอไม่เข้าใจว่าทำไมโนอาห์จึงเหยียดแขนราวกับว่าเขากำลังเหยียดอะไรบางอย่าง ดูเหมือนว่าเขาจะออกกำลังกายบางอย่าง

‘บางทีเขาอาจได้รับบาดเจ็บในป้อมปราการ? แต่เขาไม่มีรอยฟกช้ำใดๆ นอกจากบาดแผลเล็กๆน้อยๆที่เขาได้รับ ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลที่เขาทำแบบนั้นเลย’ เธอคิดด้วยความสับสนมากยิ่งขึ้น

ตอนนั้นเองที่โนอาห์ทำอะไรบางอย่างที่ทำให้ลิลิธประหลาดใจ เธอมองมาที่เขาและทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเสียงขนนกที่กระทบกับลม มันไม่ใช่เสียงที่ดังหรือน่าเกรงขามอะไรมากนัก เพราะเห็นได้ชัดว่ามีขนนกอยู่ไม่กี่เส้น แต่ลิลิธรู้สึกประหลาดใจที่มนุษย์ผู้นี้สามารถส่งเสียงของขนนกออกมาได้ เท่าที่เธอรู้ มนุษย์คนนี้ไม่มีขนนกที่ไหนเลย

แต่เมื่อเธอมองโนอาห์ด้วยความตั้งใจมากขึ้น เธอก็สามารถเห็นได้ว่าเสียงของขนนกนั้นมาจากไหน บนหลังของโนอาห์มีปีกคู่งามอยู่คู่หนึ่ง มันเป็นปีกคู่หนึ่งที่มีขนสีดำสวยงามที่สุดที่ลิลิธเคยเห็นในชีวิตของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอเคยเห็นอะไรมามากมายในชีวิตของเธอ เพราะสิ่งเดียวที่เธอจำได้คือตอนที่เธออยู่ในร้านขายมอนสเตอร์ แต่เธอสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าไม่มีมอนเตอร์ตัวใดในร้านที่มีขนนกที่สวมงามได้ครึ่งหนึ่งหนึ่งของขนสีดำบนปีกของโนอาห์

ปัญหาเดียวในตอนนี้คือ ปีกของโนอาห์…มันมีขนาดเล็กเท่ากับปีกไก่เท่านั้น!?

“เฮ้อ ฉันคิดว่าฉันกำลังจะตายจริงๆซะแล้ว” แจสเปอร์พูดด้วยสีหน้างุนงงในขณะที่เขามอง้ดูท้องฟ้าสีฟ้าของดาวเคราะห์ซีต้าอย่างมีความสุข

ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆไม่เคยได้มองดูท้องฟ้าสีครามแล้วมีความสุขเท่านี้มาก่อนในชีวิตของพวกเขาเลย

“แว๊บหนึ่ง ฉันคิดว่าหลุมฝังศพของฉันจะอยู่ใต้ท้องฟ้าสีแดงซะแล้ว” นักเวทย์สายฟ้าในกลุ่มกล่าวขณะใช้โทรศัพท์มือถือของเขาที่เพิ่งหยิบออกมาจากตู้เก็บสัมภาระและถ่ายภาพท้องฟ้าสีฟ้าเพื่อใช้เป็นพื้นหลังของโทรศัพท์มือถือ

โนอาห์เข้าใจความรู้สึกของพวกเขา เพราะโนอาห์ก็คิดเช่นเดียวกับพวกเขาเหมือนกัน โนอาห์คิดว่าเขากำลังจะตายในป้อมปราการนั้น แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับผู้ถูกเลือกระดับ E แต่มอนสเตอร์ตัวนั้นก็มีระดับเหนือกว่าพวกเขาทั้งหมดหลายระดับ โนอาห์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะมีพลังเพียงพอที่จะทำให้มีดสั้นของเขาแทงทะลุผิวหนังของมอนสเตอร์ตัวนั้นหรือเปล่า อีกทั้งเขาก็ไม่รู้อีกว่าเปลวไฟของเขาได้ชำระบาปเพียงพอที่จะสร้างความเสียหายให้กับมอนเตอร์ตัวนั้นได้จริงหรือไม่ เพราะขนาดหัวหน้าก็อบลิน หรือ หัวหน้าหมูป่าเปลวไฟของเขาก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับพวกมันได้มากนัก นับประสาอะไรกับนกตัวนั้น

หลังจากให้ข้อมูลต่างๆกับตัวแทนรัฐบาลแล้ว โนอาห์ก็ได้รับแจ้งว่าเขาได้เลื่อนระดับจากระดับ F ไปเป็นระดับ E เนื่องจากการทำงานที่ยอดเยี่ยมที่เขาทำในป้อมปราการทั้งสองที่เขาเข้าร่วมซึ่งทั้งสองป้อมปราการมีระดับ E

ผู้ถูกเลือกอาจพยายามหลอกรัฐบาลในการให้ข้อมูลต่างๆเพื่อเลื่อนระดับของตัวเอง แต่ถ้าหากการให้ข้อมูลของแต่ละคนไม่ตรงกัน ผู้ถูกเลือกที่ให้ข้อมูลเท็จจะได้รับโทษหนักมาก และด้วยเหตุผลนี้ทำให้ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆจึงเลิกพยายามให้ข้อมูลเท็จเพื่อยกระดับของตัวเอง

แน่นอนว่ายังมีคนพยายามทำแบบนั้นแต่พวกเขาก็ต้องล้มเหลวอย่างน่าสมเพช และนั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่โนอาห์สนใจ สิ่งที่โนอาห์สนใจจริงๆในตอนนี้คือ เขาจะหาเงินได้จากไข่ที่อยู่ในกระเป๋าของเขาได้ขนาดไหนกันแน่

โนอาห์ได้บอกตัวแทนรัฐบาลว่าเขาได้รับไข่นกออกมาจากป้อมปราการนี้ด้วย แต่เขาบอกว่าเขาก็ไม่รู้ว่าพวกมันมาจากนกอะไร เขาแค่คิดว่ามันมาจากนกคลั่ง

รัฐบาลได้คิดหาวิธีที่จะรองรับผู้ถูกเลือกที่นำไข่มอนเตอร์ออกมาจากป้อมปราการแล้ว เพราะทุกวันนี้การนำไข่ออกมาจากป้อมปราการเป็นเรื่องธรรมดามาก ตัวแทนของรัฐบาลจึงออกใบรับรองให้กับโนอาห์ว่าเขาสามารนำไข่ออกไปได้ และสมาชิกคนอื่นๆในกลุ่มก็ไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ

ที่เขาบอกกับตัวแทนของรัฐบาลเพราะเขาต้องการใบรับรองเพื่อที่จะนำไข่เหล่านี้ไปขาย เนื่องจากร้านขายมอนเตอร์ที่ได้รับความนับถือส่วนใหญ่พวกเขาจะไม่รับซื้อไข่ถ้าหากคนนำมาขายไม่มีใบรับรองจากรัฐบาลมาด้วย เพราะเขากลัวว่าพวกเขาจะได้รับมอนเตอร์ที่พวกเขาไม่สามารถรับมือได้มาไว้ในมือของพวกเขาเอง

หลังจากจบป้อมปราการนี้ โนอาห์ก็ได้รับเชิญให้เข้าร่วมทีมอย่างเป็นทางการ ซึ่งเขายอมรับด้วยความยินดี เมื่อกลับถึงบ้าน โนอาห์เปิดกระเป๋าเป้สะพายหลังและเริ่มหยิบไข่ออกมาอย่างระมัดระวัง

เมื่อเข้าไปในห้องนั่งเล่นของบ้านซึ่งอุณหภูมิอุ่นขึ้นและสบายขึ้น ลิลิธก็ตื่นขึ้นและขยับจากข้อมือของเขาไปที่แขนของโนอาห์เพื่อไปที่ไหล่ และดูสิ่งที่โนอาห์กำลังทำด้วยความอยากรู้อยากเห็น

โนอาห์ที่ไม่รู้ว่าลิลิธตื่นขึ้นแล้วเขาก็ตกใจที่จู่ๆลิลิธก็พูดอยู่ข้างๆเขาว่า

“นี่คืออะไรงั้นหรอ?”

เมื่อเห็นว่าเธอดีขึ้นแล้ว โนอาห์ก็รู้สึกกังวลน้อยลงและตอบเธอขณะที่เขาหยิบไข่ออกจากกระเป๋าอย่างระมัดระวัง

“พวกมันคือไข่ของมอนเตอร์ ฉันเชื่อว่าพวกมันคือไข่ของมอนเตอร์ตัวนั้นที่เธอทำให้มันกลัว นี่มันเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้นกันแน่?” ในที่สุดโนอาห์ก็ถามสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดในตอนนั้นออกมา

เมื่อได้ยินคำถาม ลิลิธก็ถอนหายใจและตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ฉัน…จำสิ่งต่างๆได้มากขึ้น”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น โนอาห์ก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกกังวลที่จะรู้ว่าเธอต้องบอกอะไรเขา

“นอกจากชื่อของฉันแล้วในใจของฉันก็ยังมีความรู้สึกภาคภูมิใจมาก มากจนมันกลายเป็นความเย่อหยิ่ง ฉันก็จำเหตุผลไม่ค่อยได้ แต่ฉันรู้ว่าฉันทำอะไรที่น่าภาคภูมิใจไว้มากๆ และเมื่อนายกำลังตกอยู่ในอันตรายจากมอนเตอร์ตัวนั้น ฉันก็รู้สึกว่ามันไม่มีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น ฉันกลัวเสียงที่มันทำเหมือนกัน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันรู้สึกขุ่นเคืองมากกว่ากลัว ฉันก็เลยทำตามสัญชาตญาณ ฉันขู่มันเพราะมันสร้างปัญหาให้กับนาย” ลิลิธขอโทษหลังจากอธิบายเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เธอขอโทษในเรื่องที่เธอหมดสติไป เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยหลังจากที่เธอขู่มอนเตอร์ตัวนั้น

โนอาห์ประหลาดใจเล็กน้อยกับคำตอบของเธอ เขามีสมมติฐานที่เป็นไปได้สามอย่าง อย่างแรกเธอฟื้นคืนความทรงจำของเธอได้บางส่วนแล้ว อย่างที่สองเธอมีความทรงจำอยู่แล้วแต่เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร อย่างที่สามเธอไม่รู้อะไรเลยและทำมันโดยสัญชาตญานของเธอเท่านั้น

โนอาห์ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นจากการเอาสมมติฐานทั้งสามของเขามาร่วมกัน เธอแทบจะจำอะไรไม่ได้เลยและสิ่งที่เธอพอจะจำได้มันก็เพียงพอที่จะกระตุ้นสัญชาตฐานของเธอและแสดงให้เห็นว่าจริงๆแล้วเธอมีความทรงจำอื่นๆอยู่ในตัวของเธออีกด้วย และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีใครอธิบายให้โนอาห์ฟังได้ว่าทำไมเธอถึงมีความทรงจำเหล่านี้ ทั้งๆที่เธอเพิ่งจะเกิดมาได้ไม่นาน

เธอบอกเขาว่าเธอมีความทรงจำที่เก่ามาก แต่ผู้ดูแลร้านมอนเตอร์ยืนยันว่าเธอเพิ่งเกิดจากไข่ที่พบในป้อมปราการและเธอฟักออกมาจากไข่ในตอนที่เธออยู่ในร้าน

น่าเสียดายที่โนอาห์รู้ว่าเขาจะไม่ได้คำตอบสำหรับข้อสงสัยของเขา ถ้าหากเขาถามเธอในตอนนี้

“ฉันเข้าใจในสิ่งที่เธอพูดถึงแล้ว ไม่ต้องกังวล เธอช่วยฉันได้มากจริงๆ มอนเตอร์ตัวนั้นตั้งใจจะฆ่าฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะยังไม่รู้เหตุผลก็ตาม สำหรับตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของเราคือการรักษาเธอให้เธออยู่ในสภาวะที่พร้อมที่สุดก่อนจะให้เธอจดจ่อกับความทรงจำอีกครั้ง มันจะไม่เป็นผลดีสำหรับเธอทั้งทางร่างกายและจิตใจหากจะปล่อยให้เธออยู่ในสภาพแบบนี้ต่อไป”

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูด ลิลิธรู้สึกอบอุ่นภายในใจ เธอเป็นเพียงแค่งู เธอจำได้ว่าเธอมีชีวิตอยู่อย่างงูเท่านั้น เธอรู้ว่าการจะรับรู้ว่ามนุษย์รู้สึกอย่างไรและประพฤติตนอย่างไรเป็นเรื่องที่ไม่ปกติสำหรับเธอ แต่ถึงแม้ว่าเธอจะรู้ว่ามันไม่ปกติแต่เธอก็อยากจะทำตัวเหมือนพวกเขาในทุกวิถีทาง เธอพยายามเอาตัวเองมาแทนที่โนอาห์และคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ มันทำให้เธอรู้ว่ามันยากแค่ไหนที่จะเชื่อในสิ่งที่เธอพูด

ในหัวเล็กๆของเธอ สิ่งเดียวที่ทำให้เธอเชื่อใจเขามากนั่นคือเธอเห็นเขาแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ มันเป็นความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดที่พวกเขาสบตากันตั้งแต่ในร้าน และมันทำให้เธอเปิดใจให้กับเขาโดยที่เธอไม่เคยเปิดใจให้กับใครมาก่อน

“ฉันดีใจที่ได้ช่วยนายจากนกตัวนั้น และฉันก็รู้สึกขอบคุณมากที่นายให้ฉันได้อยู่กับนาย ฉันไม่เคยรู้สึกดีกับร่างกายของฉันมาก่อนจนกระทั่งได้มานอนอยู่บนข้อมือของนาย”

โนอาห์ก็คิดแบบเดียวกับเธอ เธอและเขามีความเชื่อมโยงนี้ร่วมกัน อาจจะบอกได้ว่ามันเป็นเพราะลูซิเฟอร์หรือมากกว่านั้นเพราะระบบทายาทของลูซิเฟอร์ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้โนอาห์ก็นึกถึงหน้าต่างที่ยังคงเปิดอยู่ที่มุมมองของเขา

โนอาห์รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะเต็มใจยอมรับได้ง่ายๆ การลงนามในสัญญาที่จิตวิญญาณของคุณจะเชื่อมโยงกับจิตวิญญาณของคนอื่นนั้นเสี่ยงเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่ พวกมอนสเตอร์ยอมรับมันเพราะพวกมันไม่มีสติปัญญาที่จะเข้าใจความหมายของมันได้ในระยะยาว แต่สำหรับลิลิธแล้วแม้ว่าเธอจะมีสติปัญญาสูงราวกับมนุษย์ แต่บางครั้งเธอก็แสดงถึงวุฒิภาวะของผู้ใหญ่ออกมา โนอาห์รู้สึกว่าเธอจะยอมรับมัน เขารู้สึกได้ว่าถ้าเขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับเธอสัญชาตญาณจะบอกให้เขาอยู่กับเธอและยอมรับมันอย่างแน่นอน

และมันก็ไม่ต่างจากที่เขาคิดไว้ ลิลิธหลังจากได้ยินโนอาห์อธิบายเกี่ยวกับสัญญานี้แล้ว เธอก็ไม่ได้คิดมากมายและยอมรับเงื่อนทันที

เมื่อโนอาห์ถามเหตุผลกับเธอเพื่อให้แน่ใจ เธอก็ให้คำตอบเหมือนที่เขาคิดไว้ไม่มีผิด

“สติปัญญาของฉันร้องบอกให้ฉันปฏิเสธสัญญานี้ทันที เพราะมันอันตรายสำหรับฉันที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับนายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในทางกลับกันสัญชาตญาณของฉันก็กรีดร้องให้ฉันยอมรับสัญญานี้ไม่ว่าฉันจะต้องทำอะไรก็ตาม และในความทรงจำเล็กๆน้อยๆที่ฉันเห็นที่ซึ่งฉันกำลังภาคภูมิใจมาก ฉันก็เห็นว่าฉันควรเชื่อสัญชาตญาณของตัวเอง เพราะเขาคนนั้นได้ช่วยฉันจากอะไรหลายๆอย่างอย่างเห็นได้ชัด”

คำตอบที่เธอให้นั้นทำให้โนอาห์มั่นใจในตัวเลือกของเขามากขึ้น ดังนั้นโดยที่เขาไม่ต้องคิดอะไรมากไปกว่านี้ พลังงานที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขา รูปดาวห้าแฉกคู่หนึ่งลอยออกมาอยู่ระหว่างพวกเขาก่อนที่จะบินเข้าไปหาพวกเขาทั้งคู่ อันหนึ่งสลักเข้าไปที่หน้าผากของลิลิธขณะที่อีกอันถูกสลักลงบนหลังมือของโนอาห์

ทันทีที่ดาวห้าแฉกเข้ามาในหลังมือของโนอาห์ เขาก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลิลิธซึ่งเคยแข็งแกร่งมากก่อนหน้านั้น ตอนนี้กลับแข็งแกร่งขึ้นสองถึงสามเท่า ราวกับว่าพวกเขารู้จักกันมาหลายปีและมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างกัน เมื่อใดก็ตามที่โนอาห์ต้องการ เขาสามารถทำให้รอยนั้นหายไปหรือปรากฏเป็นรอยสักได้

ทันทีที่เครื่องหมายรูปดาวห้าแฉกหายไป หน้าต่างสีดำก็ปรากฏขึ้นลอยอยู่ตรงหน้าของเขา มันทำให้โนอาห์นึกถึงอย่างอื่น นอกจากข้อความที่เขาต้องอ่านตอนนี้เกี่ยวกับสัญญาที่ทำกับลิลิธแล้ว เขายังมีอีกข้อความที่เขาไม่มีเวลาอ่านก่อนหน้านี้นั่นคือการแจ้งเตือนเกี่ยวกับปีกของเขา

ผิดหวัง นั่นเป็นคำที่อธิบายสิ่งที่โนอาห์รู้สึกได้ดีที่สุดเมื่อเขาเห็นหัวหน้าป้อมปราการที่กำลังจะตายต่อหน้าเขาและคนอื่นๆในกลุ่ม

พวกเขาใช้เวลามากมายตั้งแต่เข้ามาในป้อมปราการจนกระทั่งถึงเวลาที่พวกเขาฆ่าหัวหน้าป้อมปราการได้สำเร็จ ตอนนี้แจสเปอร์ต้องการพักผ่อนเป็นอย่างมากหลังจากที่พวกเขาฆ่ามอนเตอร์ไปหลายกลุ่มในป้อมปราการแห่งนี้ โนอาห์ไม่ได้เข้าไปช่วยแจสเปอร์เพื่อที่จะรีบเร่งกำจัดมอนเตอร์อย่างรวดเร็วและจบป้อมปราการให้เร็วที่สุด เพราะเขาไม่ต้องการที่จะหมดพลังงานเมื่อเวลาผ่านไป

ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาถึง 7 ชั่วโมงนับจากที่พวกเขาเข้ามาในป้อมปราการ จนถึงตอนที่พวกเขาฆ่าหัวหน้าป้อมปราการ ทุกคนนำอาหารมาเพิ่ม ดังนั้นเวลาจึงไม่ใช่ปัญหาในเรื่องนี้ แต่ว่าเมื่อพวกเขาฆ่าหัวหน้าป้อมปราการได้สำเร็จทุกคนก็หมดแรงจากการต่อสู้เป็นเวลานาน

กลุ่มนี้ประกอบด้วยผู้ถูกเลือกระดับ E ที่อยู่ในระดับหัวกะทิทั้งนั้น ดังนั้นโนอาห์จึงไม่ต้องแสดงความสามารถในการเทเลพอร์ตที่เขามีอยู่ ไม่มีใครเสียชีวิตและไม่มีการบาดเจ็บที่ร้ายแรงเกิดขึ้น พวกเขามีเพียงบาดแผลเล็กๆน้อยๆที่สามารถรักษาได้ด้วยพรแห่งการรักษา

ทั้งกลุ่มไม่เข้าใจว่าทำไมโนอาห์จึงต้องเผาศพของมอนเตอร์ทุกตัวที่พวกเขาฆ่า แต่แจสเปอร์บอกว่าเขาก็คิดว่ามันแปลกแต่มันเป็นเหมือนกับอาการจุกจิกของโนอาห์ที่เขาต้องเผาศพของมอนเตอร์อยู่เสมอ และด้วยคำอธิบายนี้ทั้งกลุ่มจึงคิดว่ามันเป็นการกระทำที่ค่อนข้างโง่เพราะนั่นทำให้เขาเสียพลังงานไปอย่างสูญเปล่า

แต่เนื่องจากโนอาห์ไม่เคยหมดแรงระหว่างการบุกป้อมปราการ ผู้คนจึงลืมเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำและเชื่อว่าเขาทำเพราะเขาสามารถทำได้ เพราะไม่ว่าเขาจะเสียพลังงานไปมากแค่ไหน เขาก็มีพลังงานสำรองมากจนไม่ต้องไปสนใจเรื่องตรงนั้น เช่นเดียวกับผู้ที่มีพรที่บินได้เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาต้องการพวกเขาก็จะทำ พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นกรณีเดียวกันกับโนอาห์

เมื่อโนอาห์กลับเข้ามารวมกับกลุ่มอีกครั้งหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจของตัวเองแล้วทุกคนก็สุภาพกับเขามากขึ้นกว่าแต่ก่อน เนื่องจากพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานมากเมื่อไม่มีเขา และการกลับมาของเขาได้ช่วยกลุ่มได้มากจนผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็รู้สึกขอบคุณเขา ความรู้สึกแย่ๆทั้งหมดที่พวกเขารู้สึกต่อโนอาห์โดยคิดว่าเขาอ่อนแอและไร้ประโยชน์ ถูกล้างด้วยภาพลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นจากการเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลัง น่าเสียดายที่ไม่มีใครในกลุ่มรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา

‘การเข้าร่วมในป้อมปราการนี้กับกลุ่มที่มีแต่คนแข็งแกร่งเป็นทางเลือกที่ดีจริงๆ เพราะถึงแม้มันจะต้องใช้เวลาอีกสักหน่อยกว่าจะได้รับค่าประสบการณ์เพียงพอในการพัฒนา แต่มันก็ทำให้ฉันมั่นใจว่าฉันจะรอดและจะได้รับค่าประสบการณ์มากขึ้นในอนาคตจากป้อมปราการระดับสูงที่เราจะไป มันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่อให้ได้รับค่าประสบการณ์มากมายในระยะเวลาอันสั้น และจบลงด้วยความตายโดยที่ไม่มีโอกาสได้ใช้มัน’ โนอาห์คิดอย่างพึงพอใจขณะมองไปที่กระเป๋าเป้บนหน้าตักของเขา เขานั่งลงบนพื้นและรอให้ประตูเปิดเพื่อที่เขาจะได้ออกจากป้อมปราการ

ผู้ถูกเลือกอีกคนหนึ่งก็ทำเหมือนโนอาห์เขานั่งอยู่บนพื้นเพื่อพักผ่อน ดูแลบาดแผลของกันและกันก่อนจะพูดคุยกันเพื่อรอให้ประตูมิติปรากฏขึ้น

ทันใดนั้นเองทุกคนในกลุ่มก็ได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธจากระยะไกล ทุกคนในกลุ่มคุ้นเคยกับเสียงคำรามนี้ดี เพราะเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนพวกเขาก็ตกใจกับเสียงแบบเดียวกัน และด้วยเสียงนี้ทำให้หลายๆคนเชื่อว่าพวกเขาจะต้องตายในวันนี้อย่างแน่นอน

ในตอนนั้นพวกเขาคิดว่าเป็นหัวหน้าป้อมปราการที่ออกมาจากที่เก็บตัวของมันด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายชั่วโมง พวกเขาก็เริ่มลืมสิ่งที่เกิดขึ้น

หลังจากสังหารหัวหน้าของป้อมปราการนี้ไปแล้ว ผู้ถูกเลือกก็ยังจำเสียงคำรามนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาได้ฆ่าหัวหน้าของป้อมปราการนี้ไปแล้ว เมื่อเสียงคำรามนี้ถูกส่งออกมาอีกครั้งมันจึงทำให้ทุกคนไม่ระวังตัว

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่ามอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในป้อมปราการคือหัวหน้าป้อมปราการเสมอ ดังนั้น หลังจากที่พวกเขาฆ่าหัวหน้าของป้อมปราการนี้ไปแล้ว พวกเขาก็รู้สึกปลอดภัยมากขึ้น พวกเขายืนรอประตูมิติอย่างไร้กังวล แม้แต่หัวเราะให้กันและกัน

แต่ตอนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งฆ่าหัวหน้าป้อมปราการไปแล้ว และเห็นได้ชัดว่าหัวหน้าป้อมปราการตัวนี้มีพลังมากกว่ามอนเตอร์ทั่วไปหลายเท่า แต่เสียงคำถามก็ยังปรากฏขึ้นอีกครั้งอีกทั้งเสียงคำรามในครั้งนี้ยังดุดันและน่ากลัวกว่าเสียงคำรามของหัวหน้าป้อมปราการที่เขาเพิ่งฆ่าไปหลายเท่า ความหวาดกลัวที่พวกเขารู้สึกเมื่อตอนที่พวกเขาได้ยินครั้งแรกกลับมาอีกครั้งพร้อมกับความกลัวตาย

ผู้ถูกเลือกกลัวการสันนิษฐานที่พวกเขากำลังคิดอยู่ในใจว่าทำไมประตูมิติถึงยังไม่ปรากฏสักที เพราะหากเป็นไปตามสันนิษฐานของพวกเขาพวกเขาจะต้องจัดการกับมอนเตอร์ที่กำลังคำรามอยู่นี้ และมอนเตอร์ที่กำลังคำรามอยู่นี้มีพลังมากกว่าหัวหน้าป้อมปราการที่พวกเขาฆ่าอย่างชัดเจน แต่น่าแปลกที่พวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับมอนเตอร์ตัวนี้มาก่อนเลย ไม่ยังงั้นป้อมปราการนี้จะต้องถูกจัดอยู่ในระดับ D เป็นอย่างน้อย

คนเดียวที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นคือโนอาห์ แต่เขาไม่ได้เข้ามาในป้อมปราการนี้โดยที่รู้ว่ามีเจ้าตัวนี้อยู่แล้ว เขาเพิ่งค้นพบมันในขณะที่เขาไปทำภารกิจที่เขาได้รับจากระบบให้สำเร็จเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน

– เริ่มย้อนอดีต –

เมื่อโนอาห์เคลื่อนย้ายเข้าไปในรังขนาดใหญ่ที่อยู่บนยอดต้นไม้ โนอาห์ก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เขาเห็นข้างใน โทเท็มเป็นสิ่งที่เขาหวังว่าจะได้พบอยู่แล้ว แต่รอบๆโทเท็มยังมีอย่างอื่นอยู่อีกนับร้อยใบ

นั่นคือไข่ ไข่จำนวนนับไม่ถ้วน มันมีขนาดเท่ากับมือของผู้ใหญ่และมันถูกวางไปทั่วทั้งรัง โนอาห์ตกใจกับสิ่งที่เขาเห็นมาก เขารู้อยู่แล้วว่าสามารถหาไข่มอนเตอร์จากภายในป้อมปราการได้ หากผู้ถูกเลือกได้รับไข่เหล่านี้และนำมันไปที่ร้านขายมอนเตอร์ ร้านขายมอนเตอร์ย่อมจ่ายให้พวกเขาอย่างดีในไข่ที่พวกเขาได้มา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นมอนเตอร์ที่แปลกใหม่ เนื่องจากหนูเริ่มอิ่มตัวในตลาดการซื้อขายมอนเตอร์ในปัจจุบันแล้ว

แต่สิ่งที่ทำให้โนอาห์ประหลาดใจจริงๆไม่ใช่ไข่ที่อยู่ที่นั่น แต่เป็นสิ่งที่ฟักออกมาจากไข่ตั้งหาก เพราะไข่บางฟองที่อยู่ที่นั่นฟักออกมาแล้ว และมอนเตอร์ตัวน้อยเหล่านี้ที่มีอายุเพียงไม่กี่วันได้เติบโตขึ้นเป็นขนาดที่ใหญ่กว่านกคลั่งปกติ หรือนั่นก็คือไข่เหล่านี้ไม่ได้มาจากนกคลั่งทั่วไปเลย

เมื่อสังเกตขนาดของมอนเตอร์ที่มีอายุเพียงไม่กี่วัน โนอาห์ได้ตั้งสมมติฐานที่ทำให้เขากลัวขึ้นมา หรือว่าจริงๆแล้วไข่เหล่านี้เป็นไข่จากนกคลั่งอีกประเภทหนึ่ง ไข่จากหัวหน้านกคลั่ง

หากเขาพบไข่แค่หนึ่ง สอง หรือสามฟองนั่นเป็นสิ่งที่เขายอมรับได้ แต่โนอาห์กลับพบไข่อยู่ตรงหน้าของเขาหลายสิบฟอง มันเกือบจะเป็นร้อยๆฟองเลยด้วยซ้ำ หากหัวหน้านกคลั่งฟักมอนเตอร์ตัวน้อยเหล่านี้ออกมาได้ทั้งหมด พวกมันสามารถกำจัดกลุ่มผู้ถูกเลือกระดับ D ได้ง่ายๆเลยทีเดียว

‘ป้อมปราการแห่งนี้กำลังมีการวิวัฒนาการยังงั้นหรอ?‘ โนอาห์เริ่มพยายามค้นหาคำตอบในสิ่งที่เขาเห็น

‘บางทีสิ่งนี้อาจเป็นสาเหตุของเรื่องนี้?’ เขาคิดขณะจ้องไปที่โทเท็มที่เริ่มถูกระบบดูดซับมาตั้งแต่เขาปีนเข้าไปในรัง และตอนนี้โทเท็มรูปพระเจ้าก็เหลือเพียงขาแล้ว

โนอาห์ไม่มีเวลาไปสนใจว่าเป็นเทพเจ้าองค์ไหนที่ถูกสลักเป็นโทเท็มอันนี้ เนื่องจากเขากังวลเรื่องไข่มากเกินไป ภารกิจของเขาคือปล่อยให้ระบบดูดซับความศักดิ์สิทธิ์ของโทเท็มทั้งหมด แต่เมื่อโนอาห์เห็นไข่จำนวนมากที่ยังไม่โต โนอาห์ก็มีความคิดที่ว่าไข่พวกนี้อาจจะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับเขา ถึงแม้โนอาห์จะไม่มีความรู้ในการเลี้ยงไข่เหล่านี้จนพวกมันจะกลายเป็นมอนเตอร์ที่โตเต็มวัย แต่ใครก็ตามที่พวกเขายินดีจ่ายราคาที่ดีสำหรับไข่แต่ละฟองเขาก็พร้อมที่จะขายมัน

เขาหยิบของที่ไร้ประโยชน์และมีค่าน้อยที่สุดออกจากกระเป๋าของเขาโดยที่ไม่ต้องคิด และหยิบไข่ที่อยู่ใกล้กับเขาที่สุดใส่ไว้ในกระเป๋าเป้ของเขาอย่างระมัดระวัง จากนั้นเขาก็ปิดมันลง

เมื่อมองไปรอบๆรัง โนอาห์ก็ตระหนักว่าได้ไม่มีต้นไม้ใดในป่าสูงกว่าต้นนี้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงมองเห็นได้จากระยะไกลว่ามีจุดสีดำๆเล็กๆลอยอยู่ห่างจากต้นไม้นี้หลายร้อยกิโลเมตร

โนอาห์ประหลาดใจกับความใหญ่โตของมอนเตอร์ตัวนี้ เนื่องจากโนอาห์สามารถมองเห็นจุดสีดำได้แม้จะอยู่ห่างมากขนาดนี้ก็ตาม โนอาห์จึงเดาว่าที่จริงแล้วจุดสีดำนี่จะต้องเป็นมอนเตอร์ที่ถูกลิลิธขับไล่ออกไปแน่นอน เขาพยายามหาคำตอบว่าทำไมงูตัวเล็กๆตัวนี้ถึงสามารถไล่มอนเตอร์ตัวใหญ่ขนาดนั้นออกไปได้

เมื่อดูดซับโทเท็มเสร็จแล้ว โนอาห์ก็ตระหนักได้ว่ามอนเตอร์ตัวนั้นกำลังบินกลับมาที่รังของมันจากระยะไกล โนอาห์คิดว่ามันต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะมาถึงที่รัง แต่เขาก็ไม่ต้องการเสี่ยงโดยไม่จำเป็น เขาจึงเทเลพอร์ตลงไปที่พื้นและวิ่งหนีไป

‘ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แม้ว่าพวกเขาจะจ่ายเงินให้ฉันก็ตาม มอนเตอร์ตัวนั้นจะต้องมีคู่ของมันอยู่ที่ไหนสักแห่งในป้อมปราการแห่งนี้อย่างแน่นอน เว้นแต่ว่ามันจะเป็นหนึ่งในมอนเตอร์หายากที่สามารถวางไขได้แม้จะไม่มีตัวผู้อยู่ด้วยก็ตาม’ โนอาห์คิดขณะที่เร่งความเร็วของตัวเอง แต่เขายังคงระมัดระวังไม่ให้ไข่บนหลังของเขาแตก

– จบการย้อนอดีต –

เมื่อได้ยินเสียงคำรามของมอนเตอร์ โนอาห์ไม่รู้ว่ามันมาที่นี่เพราะไข่ที่ถูกขโมยมาหรือเป็นเพราะโนอาห์ไปทำลายโทเท็ม แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นไร โนอาห์ก็ต้องถูกต่อว่าอย่างแน่นอน และเขาไม่ต้องการที่จะอยู่ต่อไปเพื่อรอให้หัวหน้ามอนเตอร์ตัวที่สองจะจับได้ว่าเขาเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด

ด้วยความกังวล โนอาห์จึงมองไปที่สถานที่ที่หัวหน้าป้อมปราการตัวแรกเสียชีวิตและรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ

เสียงคำรามแห่งความโกรธเกรี้ยวดังขึ้นเรื่อยๆบ่งบอกว่าหัวหน้ามอนเตอร์ตัวนี้กำลังเข้าใกล้กลุ่มของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ถูกเลือกทุกคนได้เตรียมต่อสู้โดยพร้อมที่จะตายไว้แล้วในตอนนี้

โนอาห์ไม่รู้ว่าเขาหวังว่าจะมีปาฏิหาริย์มาช่วยเขาหรือว่าเขาจะต้องต่อสู้กับมอนเตอร์ตัวนี้ซึ่งเขาไม่มั่นใจที่จะเอาชนะมันได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นตอนนี้ตอนที่ลิลิธยังไม่ตื่นจากการนอนหลับของเธอ

หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสียงคำรามก็ดังขึ้น แสดงว่าหัวหน้ามอนเตอร์อยู่ใกล้พวกเขามาก

ผู้ถูกเลือกทั้งหมดเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ด้วยชีวิตของพวกเขา แต่เมื่อโนอาห์ลุกขึ้นจากพื้นและยอมจำนนต่อชะตากรรมของเขา ประตูมิติสีม่วงเข้มที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นใกล้ๆกับกลุ่มของพวกเขาทันที

ในป่าสีแดงที่แตกต่างออกไปจากป่าทั่วไป แทนที่มันจะมีเสียงสัตว์จากสัตว์หลากหลายชนิดที่อาศัยอยู่ที่นี่ดังไปทั่วทั้งป่า แต่ป่าแห่งนี้กลับเงียบสงบกว่าปกติที่มันควรจะเป็น

อันที่จริงแล้วมีเพียงสามสายพันธุ์เท่านั้นที่อยู่ที่นี่ สองสายพันธุ์อาศัยอยู่ที่นี่ตามปกติ ขณะที่อีกสายพันธุ์หนึ่งอยู่ที่นี่เพื่อล่าทั้งสองสายพันธุ์

ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่และสูง หนึ่งในสายพันธุ์นั้นกำลังวิ่งหนีอย่างรวดเร็วราวกับว่าหากเขาช้าเพียงแค่นิดเดียวชีวิตของเขาจะต้องหายไปอย่างแน่นอน

หากมองให้ละเอียดยิ่งขึ้นก็จะมองเห็นได้ว่าคนที่กำลังวิ่งหนีอยู่นั้นเป็นมนุษย์ เขามีผมสั้นสีดำที่แทบจะบังทัศนวิสัยของเขาเพราะผมของเขาเป็นทรงหน้าม้า เขาสวมชุดที่ดูเหมือนจะเป็นสีส้มเพื่อทำให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมในป่าแห่งนั้น บนหลังของเขาแบกกระเป๋าเป้ใบใหญ่โยกไปมาราวกับว่ามันเต็มไปด้วยของบางอย่างที่หนักและเทอะทะเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามนุษย์คนนั้นกำลังระมัดระวังสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าของเขาแตกหักเป็นอย่างมากในขณะที่กระเป๋าของเขาโยกเยกไปมา

อย่างที่ทุกคนอาจคาดไว้ มนุษย์ที่กำลังวิ่งอยู่นั้นคือโนอาห์ เขาลงมาจากรังยักษ์ด้วยการเทเลพอร์ตเพียงครั้งเดียวแทนที่จะลงไปทีละขั้นตามปกติ เพราะเขากลัวสิ่งที่เขาพบที่นั่น อันที่จริงเขาไม่กลัวสิ่งที่เขาพบแต่เขากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาเพราะเขาพบมัน

ขณะที่เขาวิ่งหนี เมื่อใดก็ตามที่โนอาห์เจอกลุ่มมอนเตอร์เขาจะจัดการพวกมันให้ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้โดยการเทเลพอร์ตขึ้นไปบนตัวนกและทำให้หมูป่าตกลงมาจากอากาศ ขณะที่ใช้เปลวเพลิงทำให้นกติดไฟทำให้มันตกลงมาด้วยเช่นกัน เมื่อพวกมันตกลงมาแล้วโนอาห์ก็จะซ้ำพวกมันจากการตกด้วยเปลวเพลิงอีกครั้ง

ด้วยวิธีนี้โนอาห์จึงฆ่ามอนเตอร์ได้เพียงห้ากลุ่มเท่านั้น และห้ากลุ่มที่เขาจัดการไปนั้นทำให้โนอาห์ได้รับค่าประสบการณ์มากกว่าที่เขาจะได้รับตอนเขาอยู่ในกลุ่มของเขา แต่มันก็ทำให้เขาเสี่ยงชีวิตของเขาเองและยังทำให้เขาสิ้นเปลืองพลังงานที่เขาต้องใช้มากขึ้นอีกด้วย

ในปัจจุบันเนื่องจากอัตราการเทเลพอร์ตที่สูงของเขาทำให้พลังงานที่เขาได้รับจากการฟื้นตัวจากการเผามอนเตอร์ไม่เพียงพอที่จะเติมเต็มสิ่งที่เขาต้องใช้ในการต่อสู้ ดังนั้นในตอนนี้โนอาห์จึงเหลือพลังงานเพียงครึ่งเดียวจากพลังงานทั้งหมดของเขา

นอกจากพลังงานที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียวของโนอาห์แล้วเขายังมีความเหน็ดเหนื่อยที่เกิดจากการต่อสู้กับมอนเตอร์ที่ฉลาดขึ้นบางตัวอีกด้วย นั่นหมายความว่าโนอาห์ไม่สามารถล่ามอนเตอร์ในป้อมปราการได้เพียงลำพังอย่างสมบูรณ์เพราะนั้นจะทำให้เขามีความเสี่ยงในการล่าสูงมากขึ้น

เมื่อดูรอยขีดข่วนและบาดแผลเล็กๆน้อยๆที่เขาได้รับในตอนที่ต้องรับมือกับกลุ่มสุดท้าย เขาก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนักเพราะเขารู้ว่ามันเป็นเพราะความเหนื่อยล้าของล้ากายของเขาเองทำให้เขาคิดว่า

‘โชคไม่ดีที่ฉันยังแข็งแกร่งไม่พอที่จะพึ่งตัวเองเพียงคนเดียวในป้อมปราการ บางทีในอนาคตถ้าได้ทักษะที่หลากหลายมากขึ้น ฉันน่าจะเข้าไปบุกป้อมปราการเพียงลำพังได้ แต่สำหรับตอนนี้ฉันยังไม่สามารถทำได้เพราะมันมีความเสี่ยงสูงมากเกินไป’

หากผู้ถูกเลือกคนอื่นๆรู้ว่าโนอาห์กำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาอาจจะหลั่งเลือดออกมาด้วยความโกรธ เพราะในขณะที่คนอื่นๆแม้จะไปกันเป็นกลุ่มพวกเขาก็ยังกลัวตายกันเป็นอย่างมาก เนื่องจากอัตราการเสียชีวิตของผู้ถูกเลือกในการบุกป้อมปราการนั้นสูง แต่ในขณะที่เป็นยังงั้นโนอาห์กลับคิดว่าจะบุกป้อมปราการเพียงลำพังและสามารถจัดการกับป้อมปราการนั้นได้โดยที่ไม่มีปัญหาและไม่ตายอีกด้วย

หลังจากคิดแบบนั้นในช่วงเวลาพักครู่หนึ่งโนอาห์ก็หยุดคิดเรื่องนั้นและทิ้งมันไปก่อนที่จะเดินไปยังทิศทางที่มาร์เซลบอกว่ากลุ่มของพวกเขาจะไปอยู่ที่นั่น

ไม่นานโนอาห์และคนในกลุ่มก็ได้พบกันจากระยะไกล โนอาห์ได้ยินเสียงคำรามของนกคลั่งที่กำลังโกรธใส่ผู้ถูกเลือกที่กำลังต่อสู้กับพวกมันอยู่ เมื่อเขาเข้าไปใกล้กับคนในกลุ่ม เขาก็เห็นว่าคนในกลุ่มไม่ได้สงบเหมือนกับตอนแรกที่เขาอยู่อีกต่อไป

เสื้อผ้าของแจสเปอร์เปียกมากจนถ้าเขาบอกใครๆว่าเขาตกลงไปในแม่น้ำก็จะไม่มีใครสงสัยในสิ่งที่เขาพูดเลย แต่จริงๆแล้วที่ทำให้เสื้อผ้าของแจสเปอร์เปียกนั้นมันคือเหงื่อของเขาเอง เขาทำงานหนักมากในป้อมปราการแห่งนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E แต่เขาก็ยังเหนื่อยมากอยู่ดี

นักรบในกลุ่มมีรอยขีดข่วนอย่างหนักบนเกราะหนังมอนสเตอร์ของพวกเขา ในขณะที่นักเวทย์และนักธนูไม่ได้มีอาการบาดเจ็บหนักบนร่างกายของพวกเขา แต่ความอ่อนล้าก็ปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัดบนใบหน้าของทุกคนภายในกลุ่ม

เมื่อเห็นพวกเขากำลังจัดการกับมอนเตอร์ได้ยากและยังไม่มีใครสังเกตเห็นเขาที่นั่น โนอาห์ก็กว้างลูกไฟใส่นกและหมูป่าคู่หนึ่ง ทำให้ทั้งสองตัวล้มลงกับพื้นพร้อมทั้งกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและเปิดให้กลุ่มของโนอาห์หันมาฆ่าพวกมันทันที

เมื่อมอนเตอร์ทั้งสองตายแจสเปอร์ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนกองเลือดของหมูป่าเขานอนลงเพื่อพักหายใจทันที ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นๆในกลุ่มเพราะคนอื่นๆในกลุ่มก็เป็นเหมือนแจสเปอร์พวกเขาแค่มองหาที่ร่มๆและนั่งพักผ่อนบนพื้นเท่านั้น

มาร์เซลมองไปที่โนอาห์พร้อมกับสายตาที่ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพของเขา ทั่วร่างกายของโนอาห์สามารถมองเห็นสิ่งสกปรกและรอยบาดแผลเล็กๆน้อยๆได้ แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าบาดแผลเล็กๆแค่นั้น

‘เขาจากไปเพียงลำพังและกลับมาพร้อมกับบาดแผลเล็กๆน้อยๆไม่กี่ที่งั้นหรอ? แม้แต่นักรบในกลุ่มของเรายังมีบาดแผลในขณะที่พวกเขามีเพื่อนร่วมทีมสนับสนุนเขาถึง 13 คน แต่โนอาห์กลับสามารถล่ามอนเตอร์ได้คนเดียวและกลับมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บพวกนี้งั้นหรอ? เขาต้องใช้วิธีการซุ่มโจมตีอย่างแน่นอน!’ มาร์เซลพบคำอธิบายที่เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่ทำให้เขาเชื่อว่านี่คือเหตุผลที่โนอาห์ไม่ได้รับบาดเจ็บ ในมุมมองของเขา โนอาห์มีพรสวรรค์มากแต่เขาก็ยังเป็น ‘แค่นักเวทย์’ แม้ว่าเขาจะมีพลังเวทย์มาก แต่วิธีเดียวที่โนอาห์จะไม่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับมอนเตอร์คือการดักซุ่มโจมตี มาร์เซลคิดเพราะเขารู้ว่าโนอาห์สามารถเอาชนะมอนเตอร์ได้ก่อนที่พวกมันจะมีโอกาสได้โจมตีกลับ

ถ้าหากเขารู้ว่าโนอาห์ไล่ล่ามอนเตอร์แบบตัวต่อตัวโดยการใช้การต่อสู้ในระยะประชิดตลอดเวลา มาร์เซลจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน

โนอาห์สงสัยว่ามาร์เซลคิดอะไรอยู่เมื่อเห็นหน้าตาของเขา แต่เขาก็ไม่มีความคิดที่จะแก้ไขความคิดของมาร์เซล เพราะเขาไม่ต้องการที่จะอธิบายความสามารถของเขาให้กับคนอื่นๆรู้ขนาดนั้น

เมื่อแจสเปอร์เห็นโนอาห์เข้ามาใกล้กลุ่ม เขารวบรวมกำลังเพื่อลุกขึ้นจากพื้นและเดินเซไปทางโนอาห์

โนอาห์ไม่สับสนว่าทำไมแจสเปอร์ถึงเหนื่อยจากการลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินเข้ามาหาเขา แต่เมื่อแจสเปอร์เผชิญหน้ากับโนอาห์ โนอาห์คิดว่าแจสเปอร์จะต่อสู้กับเขาเพราะเขาปล่อยให้แจสเปอร์อยู่ในสภาพแบบนั้น

แต่เมื่อแจสเปอร์มาถึงตัวของโนอาห์เขาทำหน้าร้องไห้และคว้าขาของโนอาห์ขณะที่เขาล้มลงกับพื้นในขณะที่เขาพึมพำว่า

“ได้โปรดช่วยฉันที ช่วยพาฉันออกจากความทุกข์ทรมานนี้ที!! ฉันทนไม่ไหวแล้ว!!! ได้โปรด…” เมื่อเห็นแจสเปอร์แสดงปฏิกิริยาเช่นนี้ โนอาห์ต้องควบคุมตัวเองอย่างมากเพื่อไม่ให้เขาหัวเราะแจสเปอร์ในตอนนั้น

ในตอนแรกที่แจสเปอร์ได้พบกับโนอาห์ในป้อมปราการป่าก็อบลิน แจสเปอร์เป็นผู้นำที่น่าทึ่งมากๆ เขาสร้างแรงบันดาลใจให้กับทีม เขามีการตัดสินใจที่ยอดเยี่ยมและทำให้ผู้ถูกเลือกทุกคนมีประโยชน์มากที่สุดในกลุ่ม เขาเปล่งออร่าความมั่นใจที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาอยู่เสมอ

แน่นอนว่าโนอาห์ไม่สนใจแจสเปอร์ในสภาพนั้นและแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้ยินหรือทำเป็นไม่รู้สึกถึงสิ่งที่แจสเปอร์กำลังทำอยู่ แม้ว่านี่จะเป็นป้อมปราการระดับ E เหมือนป่าก็อบลิน แต่ป้อมปราการนี้ยากและอันตรายกว่าป่าก็อบลินมาก และเขาไม่อยากจะเสียพลังงานไปทั้งหมดก่อนที่ป้อมปราการจะจบลง

ทุกคนในกลุ่มรู้สึกซาบซึ้งมากที่เห็นว่าโนอาห์กลับมาและถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะพวกเขาจำได้ว่าเปลวไฟของโนอาห์นั้นใช้งานได้จริงและทรงพลังเพียงใด การที่เขากลับมาจะช่วยให้พวกเขาจัดการกับมอนเตอร์ได้มากขึ้นและปลดปล่อยภาระอันยิ่งใหญ่จากทุกคนในกลุ่มไม่ว่าจะเป็นนักเวทย์ นักธนู รวมไปถึงนักรบด้วย มีเพียงคนเดียวในกลุ่มเท่านั้นที่ไม่โลงใจกับงานที่น้อยลง เพราะโนอาห์ไม่ได้ช่วยคนๆนั้น คนนั้นคือขอทานที่นอนอยู่บนพื้นในตอนนี้…ถ้าจะพูดให้เจาะจงกว่านั้นคนๆนั้นคือแจสเปอร์ที่กำลังนอนอยู่ที่พื้นในตอนนี้

ทุกคนรู้ว่าถ้าโนอาห์ไม่กลับมาในเร็วๆนี้พวกเขาทุกคนก็คงจะนอนอยู่บนพื้นสกปรกๆเหมือนกับแจสเปอร์ และก็น่าจะเป็นเหตุผลเดียวกันกับแจสเปอร์พวกเขาจะต้องเหนื่อยล้าและสูญเสียพลังอย่างมากจากการจัดการกับมอนเตอร์ ทุกคนในนั้นเห็นพ้องกับอย่างเงียบๆว่าจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับสถานการณ์ของแจสเปอร์และไม่สนใจว่าเขากำลังทำอะไรอยู่เพื่อที่ทุกคนจะไม่ต้องเป็นแบบนั้นเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าแจสเปอน์เริ่มโกรธเคืองและบ่นว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรมกับเขาขนาดไหน เขาเริ่มทำตัวเหมือนเด็กๆ เพราะจากสิ่งที่โนอาห์ได้ยินมาแจสเปอร์เป็นน้องคนสุดท้องของกลุ่ม ถัดจากมาร์เซล เขามักถูกปฏิบัติเหมือนเป็นน้องของคนอื่นๆอยู่เสมอ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นเพื่อนแท้กัน เพราะพวกเขารู้วิธีการจัดการกับแจสเปอร์ และเขาเชื่อมั่นว่าแจสเปอร์จะไม่ตายแม้ว่าเขาจะเหนื่อยกว่าปกติก็ตาม ทุกคนยอมรับเวลาพักระหว่างการต่อสู้เพื่อให้แจสเปอร์ฟื้นตัว เนื่องจากทุกคนเป็นห่วงเขาและไม่อยากเห็นเขาตาย

หากความเหนื่อยล้าของแจสเปอร์มากจนเขาไม่มีกำลังพอที่จะทำหน้าที่ของเขาได้อย่างปลอดภัยแล้วก็จะไม่มีใครในกลุ่มบังคับให้เขาทำแบบนั้น แม้ว่าพวกเขาจะต้องยกเลิกการบุกป้อมปราการในครั้งนี้ก็ตาม ดังนั้นมันจึงไม่แย่ที่จะปฏิบัติต่อแจสเปอร์แบบนั้น มันเป็นเหมือนวิธีการบรรเทาให้สถานการณ์ในตอนนั้นไม่ตึงเครียดจนเกินไป

เมื่อแจสเปอร์พร้อมแล้ว ทั้งกลุ่มก็เริ่มเดินหน้าต่อไป

โนอาห์ยอมรับภารกิจของระบบ ตอนนี้มีหน้าต่างบานเล็กสองบานลอยอยู่ที่หางตาของเขา บานหนึ่งจากภารกิจที่แสดงให้เห็นความก้าวหน้าในปัจจุบันของเขาในการปฏิบัติตามสิ่งที่ขอ และอีกบานคือหน้าต่างในสัญญาที่ทำกับลิลิธ ซึ่งเขายังไม่ได้ตอบกลับ

หลังจากรับภารกิจ โนอาห์เริ่มสงสัยว่าเขาจะทำอะไรได้บ้างเพื่อออกจากกลุ่มและสามารถสำรวจป้อมปราการเพียงลำพังได้ ตามที่ระบบได้บอกไว้ เขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาพมายาที่เทพทิ้งไว้เพราะเขาเป็นทายาทของลูซิเฟอร์ กล่าวคือ มนุษย์คนอื่นจะยังเห็นภาพลวงตาและมีแนวโน้มมากที่พวกเขาจะเริ่มเดินเป็นวงกลมโดยที่พวกเขาจะไม่สามารถเดินเข้าไปหาโทเท็มได้ หรืออาจจะมีอย่างอื่นที่ขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าหาโทเท็ม

นอกจากนี้ โนอาห์ไม่ต้องการอธิบายให้พวกเขาฟังว่ามันคืออะไร เพราะโนอาห์ไม่ต้องการหาข้ออ้างเพื่อตอบความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขา และที่สำคัญโนอาห์ไม่ต้องการที่จะออกไปข้างนอกและบอกรายละเอียดอื่นๆในสิ่งที่เขาเห็นด้วยเช่นกัน แม้แต่กับตัวแทนของรัฐบาลที่กำลังรอพวกเขาอยู่ด้านนอกป้อมปราการ

‘คิดสิโนอาห์…นายจะทำยังไงเพื่อที่จะสามารถออกจากกลุ่มได้โดยไม่ทำให้เกิดความสงสัย…’ โนอาห์เริ่มคิดหาวิธีในใจของเขาเอง เขารู้ว่าเขาไม่สามารถเดินออกจากกลุ่มได้โดยไม่ต้องอธิบายให้ใครฟัง เขาต้องการเหตุผลที่เป็นไปได้ที่จะทำให้คนในกลุ่มสงสัยเขาน้อยที่สุด เพราะสุดท้ายแล้วเขาจะต้องได้รับการเชื่อใจจากคนในกลุ่มเพื่อที่เขาจะได้เข้าร่วมกับกลุ่มได้ ถ้าหากเขาหายตัวไปในป้อมปราการโดยไม่มีเหตุผลอะไรเลยเขาจะเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือมากๆสำหรับคนในกลุ่ม และนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ

ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็เข้ามาในหัวของโนอาห์ทันที โนอาห์รู้ว่ามาร์เซลเชื่อว่าเขามีพรระดับสูง เห็นได้ชัดจากวิธีที่มาร์เซลเริ่มปฏิบัติต่อโนอาห์หลังจากที่เขาพิสูจน์ว่าเวทมนตร์ของเขามีพลังมาก ก่อนที่โนอาห์จะพิสูจน์ตัวเอง มาร์เซลจะตะโกนใส่เขาอยู่เสมอและไม่ให้เขาทำอะไรเลย เขาให้โนอาห์คอยเรียนรู้วิธีการทำงานกับแจสเปอร์เพียงอย่างเดียว แต่หลังจากที่โนอาห์พิสูจน์ว่าเขาเป็นนักเวทย์ผู้ทรงพลัง มาร์เซลก็เริ่มปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพและให้คุณค่าที่เขาคู่ควรกลับมา และแสดงเหมือนกับว่าเขาคู่ควรกับทีมอย่างแท้จริง

เมื่อรู้ถึงสิ่งนี้ โนอาห์ก็ใช้ประโยชน์จากข้อมูลบางอย่างที่เขาเห็นในโทรทัศน์ในห้องพยาบาลของแม็กกี้ เมื่อเขาไปเยี่ยมเธอเมื่อสองสามปีก่อน

“พวกนาย ขอโทษที่บอกให้รู้ตอนนี้ แต่ฉันต้องทำภารกิจที่เจ้านายของฉันมอบหมายมาให้สำเร็จด้วยหน่ะ” โนอาห์พูดด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย ราวกับว่าเขารู้สึกแย่จริงๆที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้จนถึงตอนนี้

ชั่วขณะหนึ่งผู้คนในกลุ่มหยุดการกระทำทุกอย่างของพวกเขาเอง พวกเขาจ้องมาที่โนอาห์ด้วยท่าทีที่เป็นปรปักษ์และพร้อมที่จะโจมตีโนอาห์ทุกเมื่อ ในโลกที่ผู้คนได้รับพรจากพระเจ้า ไม่ได้มีเพียงพระเจ้าที่ “ดี” เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ให้พรกับผู้ถูกเลือก แม้ว่าจะเป็นข้อห้ามแต่ก็ยังมีคนบูชาเทพเจ้าแห่งความมืดเพื่อที่จะรับพลังแห่งความมืดมา

เมื่อพวกเขาได้ยินโนอาห์พูดถึงภารกิจที่เจ้านายมอบหมายให้เขา สิ่งแรกที่พวกเขาคิดว่าเจ้านายของโนอาห์คนนี้อาจเป็นเทพเจ้าแห่งความมืด แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเขายังคงอยู่ที่เดิมโดยลดมือลงและไม่ได้แสดงท่าทีเป็นปรปักษ์ ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยและมองดูโนอาห์ด้วยความระมัดระวังเล็กน้อย พร้อมที่จะตอบสนองต่อการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

มาร์เซลซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม ถามโนอาห์ว่า

“ภารกิจของเจ้านายหมายความว่ายังไง?“ เขาพูดด้วยท่าทางที่บอกว่าเขาพร้อมที่จะโจมตีโนอาห์ได้ทุกเมื่อ และเขาไม่กลัวที่จะต้องเสียสมาชิกที่ทรงพลังเช่นนี้ไป

โนอาห์ไม่คิดว่าพวกเขาจะตอบสนองแบบนั้นมากเสียจนเขาประหลาดใจไปสองสามวินาที เขาพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงกลายเป็นศัตรูกัน เมื่อเขาตระหนักถึงความยุ่งเหยิงที่เกิดขึ้น โนอาห์ก็หัวเราะเบาๆเพื่อทำให้อารมณ์ในกลุ่มแจ่มใสขึ้น เขาแกล้งหัวเราะออกมาเพราะเขาไม่ได้อยากหัวเราะจริงๆและอธิบายต่อว่าเขาหมายถึงอะไร

“ใจเย็นๆก่อนทุกคน เจ้านายของฉันไม่ใช่เทพเจ้าแห่งความมืดหรือผู้บูชาเทพเจ้าแห่งความตายหรอก ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย จริงๆแล้วเขาคืออาจารย์ของฉันเขาเป็นแค่ผู้สอนการใช้พลังให้กับฉันเท่านั้นเอง เขาบอกว่าสำหรับฉันที่จะพัฒนาพรของฉัน ฉันต้องออกล่าคนเดียวในทุกป้อมปราการที่ฉันบุกไป แจสเปอร์รู้ว่านี่ไม่ใช่ป้อมปราการแรกที่ฉันทำ” โนอาห์พูดขณะที่ชี้ไปที่แจสเปอร์

แจสเปอร์จำได้ว่าโนอาห์หายไปในป้อมปราการป่าก็อบลินในตอนแรก เขาคิดว่ามันคงเป็นเพราะโนอาห์ถูกกีดกันออกจากกลุ่มและเขาไม่อยากทะเลาะวิวาทเขาจึงแยกตัวออกไป แต่เมื่อได้ยินคำอธิบายของโนอาห์ในตอนนี้เขาจึงเชื่อว่าสิ่งที่โนอาห์พูดเป็นจริง อีกเหตุผลหนึ่งที่แจสเปอร์คิดได้คือโนอาห์ต้องการพิสูจน์ความสามารถของเขาให้คนในกลุ่มรู้และยอมรับเขาในการบุกป้อมปราการเขาถึงหายไปในตอนแรก แต่จริงๆแล้วเขาไม่รู้เลยว่าที่โนอาห์แยกออกไปคนเดียวในป้อมปราการอื่นเพราะเขาต้องการรับค่าประสบการณ์จากมอนเตอร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

“ใช่ มันเป็นเรื่องจริง ในป้อมปราการที่เราพบกัน เขาก็ใช้เวลาสองสามชั่วโมงตามลำพัง ด้วยความแข็งแกร่งของเขา ฉันคิดว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นกับเขาหรอก” แจสเปอร์ยืนยันคำพูดของโนอาห์ นั่นทำให้ดวงตาทั้ง 13 คู่เบี่ยงเบนไปจากเขาและเกร็งน้อยลง

ในที่สุดมาร์เซลก็เข้าใจสิ่งที่โนอาห์พูด ในบรรดาคนในกลุ่ม เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับพรระดับ B ดังนั้นเขาจึงคิดได้อย่างรวดเร็วว่าโนอาห์ก็มีพลังมากเช่นกัน คำอธิบายพรของเขาในแอปที่บอกว่าเขาเป็นระดับ F อาจมีคนปลอมแปลง ด้วยความแข็งแกร่งของโนอาห์ในปัจจุบัน เมื่อรวมกับอายุของเขา เห็นได้ชัดว่าเขามีพรสวรรค์ที่ดีมากและคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้มักจะได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ที่ดี เนื่องจากตัวเขาเองก็ยังได้รับคำแนะนำจากอาจารย์ระดับสูงสองสามคนตลอดอาชีพการทำงานของเขา สำหรับมาร์เซลเขาคิดว่าไม่แปลกที่โนอาห์จะได้รับภารกิจแปลกๆจากอาจารย์ของเขา เนื่องจากมาร์เซลก็เคยได้รับภารกิจแปลกๆเพื่อพัฒนาตัวเองมาก่อนเช่นกัน

“เอาล่ะ เนื่องจากเป็นภารกิจที่อาจารย์ของนายมอบให้นายก็ไปทำเถอะ ฉันรู้ดีว่าสิ่งนี้สำคัญต่อการพัฒนาในอนาคตของนายขนาดไหน ระวังอย่าให้ตัวเองบาดเจ็บ เราจะฆ่ามอนเตอร์ที่อยู่บริเวณนี้และเราจะขยายรัศมีออกไป นายสามารถกลับมาในอีกชั่วโมงครึ่งได้ไหม?” มาร์เซลถามเนื่องจากพวกเขาจะต้องฆ่ามอนเตอร์จำนวนมากก่อนที่จะไปสู้หัวหน้าป้อมปราการ

โนอาห์คิดว่าแผนของเขาสมบูรณ์แบบมาก เพราะเขาสามารถไปที่โทเท็มและค่อยๆฆ่ามอนเตอร์ไปเรื่อยๆเพื่อหาค่าประสบการณ์ฟรีๆสำหรับเขาได้

หลังจากแยกจากกลุ่มแล้ว โนอาห์ก็เริ่มมองดูเรดาร์เล็กๆที่อยู่ในหน้าต่างซึ่งปรากฏขึ้นหลังจากที่เขายอมรับภารกิจ เรดาร์ขนาดเล็กๆนี้เป็นเหมือนโซนาร์ที่แสดงทิศทางของรูปปั้นในทุกๆวินาทีที่โนอาห์เคลื่อนไหว โนอาห์ไม่รู้ว่าเขาอยู่ห่างจากเสาโทเท็มมากแค่ไหน เขารู้เพียงทิศทางที่เขาต้องไปหาโทเท็มเท่านั้น

การเดินอยู่ในป่านั้นเหนื่อยเป็นอย่างมาก ดวงตาของโนอาห์เริ่มล้าจากแสงสีแดงที่เกิดในป่าแห่งนี้ เนื่องจากเขากำลังเดินตามทิศทางที่อาจถูกภาพลวงตานับไม่ถ้วนปกคลุม โนอาห์จึงไม่ได้พบกับกลุ่มมอนเตอร์ที่จะทำให้เขาได้รับค่าประสบการณ์ฟรีๆเลย เขาเดินมาไกลมากแล้วจากจุดที่เขาแยกออกมาจากกลุ่มจนในที่สุดเรดาร์เล็กๆก็เริ่มกระพริบเร็วขึ้น นั่นหมายความว่าเขาเข้าใกล้โทเท็มมากแล้ว

โนอาห์เดินช้าลงและเริ่มระมัดระวังมากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป จนในที่สุดเขาก็เริ่มมองเห็นบางสิ่งจากระยะไกล เมื่อเขามองไปเขาสามารถเห็นต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีขนาดใหญ่กว่าต้นอื่นๆที่อยู่รอบๆบริเวณนั้น

แม้ว่ามันจะเป็นต้นไม้ที่ใหญ่กว่าต้นอื่นมาก แต่โนอาห์ก็สังเกตเห็นว่ามันเป็นสายพันธุ์เดียวกัน เนื่องจากต้นไม้ต้นนั้นมีใบสีแดงเหมือนกับต้นอื่นๆ แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของโนอาห์ไม่ได้มีแค่ขนาดของต้นไม้เท่านั้น มันยังมีอีกอย่างที่ดึงดูดสายตาของเขานั่นคือที่ด้านบนของต้นไม้ต้นนั้นยังมีรังนกอยู่รังหนึ่ง

หากเป็นรังนกธรรมดาขนาดมันจะเล็กกว่านี้สองถึงสามเซนติเมตร แต่นั่นหมายถึงในตอนนี้ที่โนอาห์อยู่ห่างจากรังนกหลายเมตร หากคิดตามความจริงหากเข้าไปใกล้มากกว่านี้โนอาห์จะเห็นว่ารังนกนั้นใหญ่โตเป็นอย่างมาก อย่างน้อยมันก็ใหญ่กว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็นของรังนกปกติ แม้แต่รังนกคลั่งก็ยังไม่ใหญ่เท่ากับรังนกรังนี้ แม้ว่านกคลั่งพวกนั้นจะมีขนาดเกือบเท่ากับมนุษย์ก็ตาม

‘ตัวอะไรอยู่ในรังนั่นกันแน่? ฉันไม่เคยได้ยินว่ามีมอนเตอร์ตัวอื่นนอกจากนกคลั่งและหมูป่าสีฟ้าในป้อมปราการนี้มาก่อนเลย เดี๋ยวก่อนนะ หรือมันจะเกี่ยวข้องกับนกยักษ์ที่ทำให้เรากลัวเมื่อกี้นี้ จนกระทั่งลิลิธทำให้มันกลัวมันถึงหนีไป? มันอยู่ในรังนี้ยังงั้นหรอ? มันอยู่ในป้อมปราการนี้มาแต่แรกแล้วหรอ?’ โนอาห์คิดในใจพร้อมกับสงสัยในสิ่งที่เขาเห็น เขาเริ่มมองไปรอบๆต้นไม้เพื่อหาจุดที่เขาจะใช้ปีนขึ้นไปบนรังนั่น เพราะเรดาห์ของเขาชี้ไปที่รังนกที่อยู่ด้านบนของต้นไม้พอดี ดังนั้นวัตถุประสงค์ของภารกิจที่เขาได้รับจะต้องอยู่บนนั้นอย่างแน่อน

ในทางกลับกัน โนอาห์รู้สึกตื่นเต้น เนื่องจากในป้อมปราการที่ผ่านมาเขาได้รับมีดสั้นที่ดีมาเล่มหนึ่ง รังนกยักษ์นั่นก็สามารถบรรจุสมบัติตามสัดส่วนกับขนาดของมันได้ แค่คิดว่าเขาสามารถได้รับของล้ำค่า โนอาห์ก็ร่าเริงขึ้นและเริ่มเทเลพอร์ตไปยังกิ่งไม้ของต้นไม้ยักษ์เพื่อไปยังด้านบน

“ฟุ้บ!!”

เมื่อเขาปีนขึ้นไปถึงบนรัง สิ่งแรกที่โนอาห์เห็นคือโทเท็มที่เขามองหา สิ่งนี้ทำให้เขามีกำลังใจขึ้นมาก เนื่องจากเมื่อเขาเสร็จภารกิจนี้เขาจะได้รับปีกและมันกำลังจะเสร็จอย่างง่ายดายในตอนนี้

แต่ในตอนนั้นเองมีบางอย่างที่เขาเห็นที่ทำให้ขนทั้งตัวของเขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ฟ่อออ”

โนอาห์ประหลาดใจที่จู่ๆลิลิธก็เปล่งเสียงโกรธใส่นกที่บินอยู่รอบๆ เสียงที่เธอทำนั้นเบามากเมื่อเทียบกับเสียงกรีดร้องของนก ดังนั้นจึงมีเพียงโนอาห์เท่านั้นที่ได้ยินเสียงร้องของเธอ

แม้ว่าเสียงของเธอจะคุกคามเขาน้อยกว่าเสียงของนกพวกนั้น แต่หลังจากที่เธอส่งเสียงร้องเพียงครั้งเดียวนกพวกนั้นก็หยุดร้องในทันที

ทั้งกลุ่มตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น นกทรงพลังตัวนี้ออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้และเมื่อพวกเขาเริ่มยอมรับชะตากรรมของพวกเขาว่าพวกเขากำลังจะกลายเป็นเหยื่อแทนที่จะเป็นนักล่า จู่ๆพวกนั้นก็หายไปและยอมแพ้ต่อเหยื่อที่พวกมันกำลังจะล่า

“นั่นเป็นคำเตือนอย่างนั้นหรือ” แจสเปอร์ถามด้วยความเป็นห่วง

“ฉันไม่รู้ แต่มันแปลกมาก ก่อนหน้านี้นกตัวที่ร้องดูโกรธเป็นอย่างมากและพร้อมที่จะฆ่าพวกเราทันที แต่จู่ๆพวกมันก็หายไปราวกับว่าพวกมันไม่สนใจเราอีก” นักเวทย์ที่ใช้พลังสายฟ้าพูดด้วยความสงสัย

ผู้ถูกเลือกเริ่มสนทนากันเองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ในขณะนั้นโนอาห์ไม่ได้สนใจต่อทุกสิ่งที่พวกเขากำลังพูดและมุ่งความสนใจไปที่ลิลิธ และคนอื่นๆก็ไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้

แต่ลิลิธอยู่ที่ข้อมือของเขาไม่มีทางที่โนอาห์จะไม่ทันสังเกตเห็นว่าเป็นลิลิธที่ทำให้นกพวกนั้นตกใจกลัวด้วยเสียงฟ่อธรรมดาๆของเธอ

โนอาห์รู้ตั้งแต่แรกว่าเธอไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีหน้าต่างที่ลอยอยู่ที่มุมสายตาของเขาและถามว่าเขาต้องการทำสัญญากับปีศาจตัวนี้หรือไม่ นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ใช่มอนเตอร์ธรรมดาๆอย่างแน่นอน เขาค่อนข้างมั่นใจในเรื่องนี้ แต่เขาไม่ได้คิดถึงขนาดที่ว่าเธอที่เป็นเพียงมอนเตอร์ตัวเล็กๆจะมีอำนาจมากจนทำให้มอนเตอร์ที่ป้อมปราการระดับสูงสุดของระดับ E หวาดกลัวได้

น่าเสียดายที่โนอาห์ไม่ได้คำตอบที่เขาต้องการในตอนนี้ เนื่องจากลิลิธดูเหมือนจะพยายามหนักกว่าที่ควรจะเป็น และเธอก็รู้สึกเหนื่อยอีกครั้ง นั่นทำให้เธอจะต้องหลับอยู่ที่ข้อมือของโนอาห์ต่อไปเพื่อให้เธอหายดี

โนอาห์มองดูงูตัวน้อยที่พันรอบข้อมือของเขา เขาอดคิดไม่ได้ว่าเธอไม่ได้บอบบางอย่างที่คิด

‘ชื่อของเธอคือลิลิธนี่จะต้องไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน มันจะต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่เบื้องหลัง บางทีเธออาจจะเป็นทายาทของลิลิธตามตำนานนั้นหรือบางทีเธออาจเป็นลิลิธเอง ตอนนี้ฉันทำได้แค่คาดเดาเท่านั้น แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นเราจะต้องค้นหาอดีตของเธอให้ได้อย่างแน่นอน และนั่นจะต้องเป็นหลังจากที่เธอหายดีแล้ว’ โนอาห์คิดกับตัวเอง

ขณะที่โนอาห์กำลังพูดคนเดียวเกี่ยวกับลิลิธคนอื่นๆในกลุ่มก็ได้โต้เถียงกันและพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะบุกป้อมปราการต่อไป ไม่ใช่เพราะเขากลัวมอนเตอร์ตัวนั้น พวกเขาคิดตรงกันข้าม พวกเขาเชื่อว่าพวกเขามีโอกาสสูงที่จะฆ่ามอนเตอร์ตัวนั้นได้แม้ว่าจะไม่ได้เตรียมตัวไว้ก็ตาม ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่ามันสามารถปรากฏตัวขึ้นได้ทุกเมื่อ แต่พวกเขาก็ยิ่งแน่ใจในความสำเร็จมากขึ้นเนื่องจากตอนนี้พวกเขาเตรียมตัวพร้อมแล้ว

โนอาห์เห็นด้วยกับการตัดสินใจของพวกเขา เขาต้องการเพิ่มระดับอย่างรวดเร็ว และการออกจากป้อมปราการเพื่อกลับเข้ามาใหม่อีกครั้งก็ไม่ได้อยู่ในแผนการของการเพิ่มระดับอย่างรวดเร็วของเขาอย่างแน่นอน และโนอาห์ก็รู้ว่ายิ่งเขาเจอศัตรูที่แข็งแกร่งขนาดไหนเขาก็จะได้ค่าประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้น

แม้ว่าการต่อสู้จะดุเดือดและผู้ถูกเลือกคนอื่นๆมีโอกาสที่จะเสียชีวิตได้ แต่โนอาห์ก็ไว้วางใจในความสามารถของพวกเขาในการเอาชีวิตรอดในเหตุการณ์ที่ฉุกเฉินจริงๆ

ทันใดนั้นโนอาห์ก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนที่คุ้นเคยจากระบบ แต่เขาคิดว่ามันแปลกเพราะเขาไม่ได้เพิ่มเลเวลหรือฆ่ามอนสเตอร์ใดๆเมื่อเร็วๆนี้

โดยปกติแล้วจะมีเพียงหน้าต่างแจ้งเตือนของลิลิธลอยอยู่ตรงหน้าของเขาเท่านั้น ด้วยความตื่นเต้นโนอาห์จึงมองไปที่หน้าต่างที่ขึ้นมาตรงหน้าของเขาอย่างรวดเร็วและอ่านถ้อยคำที่ถูกเขียนด้วยเปลวเพลิงที่คุ้นเคย

[ติ๊ง คุณมีภารกิจใหม่]

‘ภารกิจ?!’ โนอาห์ประหลาดใจเมื่อเห็นข้อความแจ้งเตือนนั้น

‘หมายความว่ายังไงภารกิจ? ฉันเคยได้รับภารกิจมาก่อนหรือเปล่า? ระบบจะให้ฉันไปทำอะไร? ทำสิ่งที่ชั่วร้ายเช่น…ฆ่ามนุษย์คนอื่นงั้นหรอ?’

หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โนอาห์ก็หันไปดูคนอื่นๆในกลุ่มของเขาอย่างไม่มั่นใจและเริ่มไตร่ตรองว่าภารกิจนี้จะต้องเสียสละเพื่อนมนุษย์เหล่านี้หรือเปล่า แม้ว่าเขาจะเห็นด้วยกับภารกิจดังกล่าวก็ตาม

ขณะที่เขากำลังไตร่ตรองเรื่องนี้โนอาห์ก็เปิดหน้าต่างภารกิจออกมาตรงหน้าของเขาทันที หน้าต่างนั้นยังคงมีพื้นหลังสีดำและมีตัวอักษรที่เขียนด้วยเปลวเพลิงตามปกติ แต่เนื้อหาข้องข้อความนั้นยังทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นจริงๆ

[ภารกิจต่อเนื่อง: การกำเนิดของปีก (1)]

[ความเป็นมา: พระเจ้าไม่เคยให้ปีกแก่ทูตสวรรค์ตั้งแต่กำเนิด ทูตสวรรค์แต่ละคนต้องทำงานหลายอย่างเพื่อพระเจ้าอยู่เสมอก่อนที่พวกเขาจะได้รับปีกคู่หนึ่งของพวกเขาเอง ก่อนที่ในที่สุดพวกเขาจึงจะถูกพิจารณาว่าเป็นเทวดาอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับทูตสวรรค์คนอื่นๆลูซิเฟอร์ก็ยังต้องผ่านความท้าทายหลายอย่างก่อนที่เขาจะได้ปีกของตัวเอง]

[ลูซิเฟอร์ภักดีต่อพระเจ้าเป็นอย่างมากจนเขากลายเครูบทูตสวรรค์ที่ใกล้ชิดพระเจ้ามากที่สุด ด้วยความภักดีและความสามารถของเขา แทนที่ลูซิเฟอร์จะได้ปีกเพียงคู่เดียว เขาจึงได้ปีกถึงสองคู่เพราะเขาเป็นเครูบ แต่ลูซิเฟอร์กลับไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เขาเป็นทูตสวรรค์องค์แรกที่พัฒนาปีกได้กลายเป็นสามคู่จนกลายเป็นเสราฟิม น่าเสียดายที่เขาถูกขับออกจากสวรรค์ก่อนที่ปีกคู่ที่สามของเขาจะพัฒนาอย่างเต็มที่]

[ในฐานะทายาทของลูซิเฟอร์ ผู้ใช้ก็มีสิทธิ์ที่จะมีปีกเป็นของตัวเองเช่นกัน แต่เนื่องจากลูซิเฟอร์ถูกขับออกจากสวรรค์ เขาจึงรู้ว่าพระเจ้าจะไม่ประทานปีกให้กับทายาทของเขาอย่างแน่นอน ดังนั้นลูซิเฟอร์จึงตัดปีกของเขาเอง และเก็บปีกที่เปลี่ยนเป็นสีดำของเขาไว้ให้กับทายาทของเขาในอนาคต เขาได้พัฒนาปีกค้างคาวคู่หนึ่งสำหรับตัวของเขาเองด้วย]

[ผู้ใช้ได้ทำงานอย่างยอดเยี่มในการรวบรวมพลังงานปีศาจอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 24 ชั่วโมง ดังนั้นคุณจึงบรรลุข้อกำหนดพื้นฐานเพื่อรับภารกิจแรกจาก ภารกิจต่อเนื่อง: การกำเนิดของปีก]

[ภารกิจ: โทเท็มจากเทพองค์อื่นๆกระจัดกระจายไปทั่วจักรวาล โทเท็มเหล่านี้จะถูกตรวจพบเมื่ออยู่ในบริเวณใกล้เคียง ผู้ใช้จะต้องทำลายโทเท็มพวกนี้และดูดซับความศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในโทเท็ม พลังศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกดูดซับจะถูกนำมาใช้เพื่อสร้างปีกของลูซิเฟอร์ขึ้นใหม่]

[โทเท็มที่ถูกทำลาย: 0/1]

[คุณต้องการที่จะยอมรับภารกิจหรือไม่?]

เมื่ออ่านข้อมูลและคำอธิบายจำนวนมหาศาลจากระบบนี้ โนอาห์ก็จมอยู่ในความคิดชั่วขณะ เขามีหลายสิ่งที่ต้องเข้าใจ อย่างแรกระบบมีวิธีการมอบภารกิจให้กับผู้ใช้จริงๆเช่นเดียวกับเกมเก็บเลเวลผจญภัยทั่วไป ในตอนแรกโนอาห์เชื่อว่าวิธีเดียวที่จะทำให้ระบบแข็งแกร่งขึ้นคือการเพิ่มเลเวล แต่เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทำภารกิจให้สำเร็จเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่สำหรับสิ่งนั้นเขาต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ซ่อนอยู่ก่อน

เมื่อคิดถึงข้อกำหนดที่เขาต้องทำให้สำเร็จสำหรับภารกิจนี้ คำอธิบายเดียวที่โนอาห์ได้รับคือเรื่องบางอย่างนี้จะต้องเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่พันอยู่ที่ข้อมือของเขาอยู่แน่นอน และสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆนี้ก็กำลังบีบเขาเป็นระยะๆราวกับว่าเธอกำลังประสบกับฝันร้ายและกลัวว่าโนอาห์จะจากเธอไป

สิ่งที่สองที่ทำให้โนอาห์ประหลาดใจก็คือ…เขาสามารถมีปีกได้! นี่เป็นความปรารถนาที่ชัดเจนของมนุษย์มาโดยตลอด แม้ว่ามนุษย์จะพัฒนาวิธีการทางเทคโนโลยีในการบิน เช่น ยานอวกาศ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ แต่ก็ไม่มีใครหยุดความปรารถนาของมนุษย์ที่จะบินด้วยตัวเองได้

ผู้ถูกเลือกที่มีพรที่สามารถบินได้นั้นหายากมาก อาจจะมีเพียง 1 ในพันล้านคนเท่านั้น นี่ไม่ต้องพูดถึงว่าพรนั้นเป็นเพียงแค่พรระดับ F ที่สามารถร่อนจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งเท่านั้น

การคิดว่าเขาจะมีปีกคู่หนึ่งของตัวเองที่สามารถบินได้ทำให้โนอาห์รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เขาอยากจะบุกป้อมปราการให้มากขึ้น ต้องการฆ่ามอนเตอร์ให้มากกว่านี้ และรวบรวมค่าประสบการณ์ให้มากขึ้นเพื่อเลื่อนระดับ และทำภารกิจให้สำเร็จมากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้สิ่งที่เขาต้องการให้เป็นจริง

‘ภารกิจแรกนี้จะทำให้ฉันมีปีก แล้วภารกิจที่ฉันจะปลดล็อคในอนาคตจะให้อะไรกับฉันได้บ้างกันนะ’ โนอาห์จินตนาการอย่างตื่นเต้น

เมื่อโนอาห์คืนสติจากความตื่นเต้น โนอาห์ก็หันไปสนใจวัตถุประสงค์หลักของภารกิจซึ่งบอกให้เขาทำลายโทเท็มจากเทพที่อยู่ใกล้ๆเขา

สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงรูปปั้นขนาดใหญ่ที่เขาเห็นในป้อมปราการป่าแห่งก็อบลิน หลังจากที่โนอาห์ออกจากป้อมปราการของก็อบลิน เขาก็ค้นหาทางอินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับรูปปั้นดังกล่าว แต่เขาก็ไม่พบว่ามีผู้คนพูดถึงรูปปั้นดังกล่าวเลย เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเคยเห็นหรือพูดถึงรูปปั้นเหล่านี้หรืออาจจะมีคนที่เห็นเกี่ยวกับมันแต่พวกเขาตัดสินใจไม่โพสต์ถึง การคิดถึงเรื่องนี้ทำให้โนอาห์ไม่โพสต์อะรเลย เพราะถ้าไม่มีใครโพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ไม่อยากเป็นคนแรกที่โดดเด่นในการพูดถึงสิ่งที่ทุกคนแทบจะไม่รู้จัก

แต่เขาก็สงสัยในตัวเองว่า

‘ทำไมฉันถึงได้เจอกับรูปปั้นแบบนั้นในเมื่อไม่เคยมีใครพบกับมันมาก่อน’

หลังจากที่โนอาห์คิดแบบนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ๆระบบก็ได้ตอบคำถามของเขา

[สำหรับทายาทของลูซิเฟอร์ ภาพลวงตาที่สร้างขึ้นโดยเทพระดับล่างจะไม่ส่งผลต่อผู้ใช้อีกต่อไป โทเท็มได้รับการปกป้องด้วยภาพลวงตาอันทรงพลังที่สร้างโดยเทพระดับต่ำ แต่ต่อหน้าพลังของลูซิเฟอร์ภาพลวงตาเหล่านี้ก็ไม่มีผลอะไรเลย ผู้ใช้มีหน้าที่ทำลายโทเท็มเหล่านี้เนื่องจากถูกกำหนดให้เป็นทายาทของลูซิเฟอร์ ดังนั้นในขณะที่ระบบรวมเข้ากับผู้ใช้ ภาพลวงตาเหล่านี้จะไม่มีผลกับผู้ใช้อีกต่อไป]

นี่ยิ่งทำให้โนอาห์ตกตะลึงมากขึ้นไปอีก ประการแรก เห็นได้ชัดว่าเทพองค์เดียวกันกับที่มอบพรให้กับมนุษย์ชาติคือผู้ที่วางรูปปั้นไว้ในป้อมปราการ แต่เทพเหล่านี้ก็ไม่อนุญาตให้มนุษย์บูชาพวกเขาขนาดนั้นเช่นกัน เนื่องจากพวกเขาได้วางภาพดวงตาไว้มากมายเพื่อปกปิดพวกเขา

‘แล้ว…ทำไมรูปปั้นนั้นหรือโทเท็มพวกนั้นถึงอยู่ในป้อมปราการได้ล่ะ? และอีกอย่าง…ทำไมก็อบลินตัวนั้นสามารถผ่านภาพลวงตาและวิ่งไปที่รูปปั้นได้?’ โนอาห์สงสัยในใจ

ขณะที่กลุ่มกำลังค้นหามอนเตอร์ตัวอื่นๆเพื่อค้นหาเส้นทางไปยังที่อยู่ของหัวหน้าป้อมปราการ แจสเปอร์ก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อโน้วน้าวให้มาร์เซลปล่อยให้โนอาห์รับหน้าที่ในตอนแรกที่เขาได้รับต่อไป

“มาร์เซล ฟังฉันนะ ฉันชวนเขามาเข้ากลุ่มของเราเพื่อช่วยฉัน ฉันรู้ว่าเขาเป็นนักเวทย์ที่ทรงพลัง แต่เขาก็เป็นนักสอดแนมที่ดีมากเช่นกัน”

มาร์เซลเริ่มโกรธแจสเปอร์แล้วในขณะนี้ เพราะเขามีความมั่นใจในการตัดสินของตัวเอง สิ่งที่เขาเห็นในตัวโนอาห์คือโนอาห์ไม่ใช่นักเวทย์ระดับต่ำ พรของโนอาห์น่าจะสูงพอๆกับเขา หรืออาจจะอยู่ในระดับ B หรือแม้กระทั่งระดับ A เลยด้วยซ้ำ มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่มาร์เซลจะเสียพรสวรรค์ด้านเวทยมนตร์อันยอดเยี่ยมนี้ไปและให้เขาไปอยู่ในต่ำแหน่งสอดแนม

“แจสเปอร์ ฉันตัดสินใจไปแล้ว และที่ฉันตัดสินใจแบบนี้เพราะฉันคิดว่ามันดีที่สุดสำหรับกลุ่มของเรา จากที่ฉันเห็นพรของเขา เขาเป็นนักเวทย์ระดับสูง รู้ไหมว่าการหานักเวทย์แบบนี้มันยากแค่ไหนกัน” เขาอธิบายให้แจสเปอร์ฟัง และเขายังพูดต่อว่า

“ยิ่งกว่านั้นนายบอกว่าเขาเก่งในด้านการสอดแนม แต่ฉันคิดว่ามันยากมากที่จะเป็นทั้งคนสอดแนมและนักเวทย์ได้พร้อมๆกัน ดังนั้นจากสิ่งที่เขาแสดงให้ฉันเห็นฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นนักเวทย์ได้ดีกว่าคนสอดแนมอย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินสิ่งที่มาร์เซลพูด แจสเปอร์ก็เริ่มรู้สึกอยากจะดึงหูของตัวเองออกด้วยความหงุดหงิด ถ้ามาร์เซลได้เห็นโนอาห์ในป้อมปราการป่าก็อบลินแล้วละก็ เขาคงรู้ว่าแจสเปอร์กำลังพูดถึงอะไร โนอาห์มีเวทมนตร์แห่งไฟที่ทรงพลังมากและสร้างความเสียหายได้มากก็จริง แต่นั่นไม่ใช่เวทมนตร์ที่แจสเปอร์ชื่นชมมากที่สุด สิ่งที่เขาชื่นชมมากที่สุดก็คือการระเบิดที่ส่งโนอาห์จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งได้ทันที ถ้าแจสเปอร์ได้รับพรนั้น เขาก็คงจะเข้าใกล้ระดับ D มากขึ้นไปอีก

แต่เมื่อแจสเปอร์เห็นการขมวดคิ้วที่ก่อตัวขึ้นบนใบหน้าของมาร์เซล เขาจึงตัดสินใจเงียบ เขารู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาโนอาห์จะใช้ทักษะนั้นเองอย่างแน่อนน ดังนั้นมันจึงเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่มาร์เซลจะตระหนักถึงข้อผิดพลาดของตัวเอง แต่สำหรับตอนนี้แจสเปอร์จะต้องอดทนกับภารกิจกระโดดไปรอบๆเพื่อพยายามโค่นล้มหมูป่าจากข้างด้านบนนกเพียงคนเดียวไปก่อน

อย่างที่มาร์เซลได้พูดกับทุกคนในช่วงเริ่มต้นของการบุกป้อมปราการ เพราะแจสเปอร์เป็นผู้สอดแนมเพียงคนเดียวในทีม พวกเขาจึงจำเป็นต้องหยุดเป็นครั้งคราวเพื่อที่จะให้แจสเปอร์ได้พักผ่อนก่อนที่พวกเขาจะได้ไปต่อ เนื่องจากแจสเปอร์เป็นคนเดียวที่จะต้องเอาหมูป่าลงจากตัวของนกคลั่ง

หลายครั้งที่แจสเปอร์มองโนอาห์ราวกับกำลังหลอกให้เขาแสดงฝีมือให้คนอื่นเห็นเพื่อที่เขาจะได้พักผ่อน แต่โนอาห์กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นสัญญาณเหล่านี้และเดินต่อไปอย่างใจเย็นราวกับกำลังเดินผ่านสวนสาธารณะ โดยที่เขาไม่ทำให้ตัวเองเหงื่อออกแม้แต่หยดเดียว ในทางกลับกันตอนนี้แจสเปอร์มีเหงื่อออกและเสื้อผ้าของเขาก็เปียกเป็นอย่างมาก

คนที่เหลือในกลุ่มได้เปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อโนอาห์แล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาปฏิบัติต่อโนอาห์ด้วยความเฉยเมยและดูถูกเล็กน้อย แต่ตอนนี้ไม่มีใครที่คิดกับเขาแบบนั้นได้อีกต่อไป บางคนถึงกับพยายามเริ่มสนทนากับเขา เพราะพวกเขารู้ดีว่าด้วยความแข็งแกร่งของโนอาห์ เขาอาจจะเข้าร่วมทีมได้ ไม่มีทางที่มาร์เซลจะไม่ยอมให้นักเวทย์ผู้ทรงพลังเข้ากลุ่มของพวกเขา

โนอาห์เริ่มไม่อยากคุยกับคนเหล่านี้ เขาต้องการรักษาระยะห่างเล็กน้อยและไม่อยากพูดถึงเรื่องอื่นๆนอกเหนือจากเรื่องสำคัญ แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าเขาจะได้พบกับคนเหล่านี้ในเกือบทุกป้อมปราการจากนี้ไปซึ่งพวกเขาจะต้องเชื่อใจกัน โนอาห์ก็ทิ้งปัญหาที่มีกับคนเหล่านี้ไว้และพยายามเป็นมิตรมากขึ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้มีความสัมพันธ์ที่ดีในอนาคตและเพิ่มพลังในการต่อสู้ให้กับกลุ่มของพวกเขา

ระหว่าง “เดินเล่นในสวนสาธารณะ” ของโนอาห์ กลุ่มของเขาก็ได้จัดการฆ่ามอนเตอร์หลายตัวระหว่างทาง คนเดียวที่เหนื่อยมากที่สุดคือแจสเปอร์และผู้ถูกเลือกที่ต่อสู้ในระยะประชิด พวกเขาต้องวิ่งไปฆ่าหมูป่าที่ตกลงมาจากนกที่โนอาห์ไม่ได้ฆ่ามันในอากาศ

โนอาห์เริ่มตระหนักได้ว่าการควบคุมลูกไฟของเขานั้นไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขาในระยะยาว เนื่องจากปริมาณพลังงานที่เขาต้องใช้เมื่อเทียบกับที่เขาได้รับจากการเผาซากศพมันไม่คุ้มกัน เพราะเขาต้องใช้พลังงานมากกว่าปกติถึง 4 เท่า และยิ่งเมื่อโนอาห์พยายามปรับการเล็งลูกไฟแล้วพลาด ทำให้เขาต้องใช้พลังงานมากขึ้นไปอีก

ถ้าหากคำนวณจากพลังงานที่เขามีในตอนนี้แล้วถ้าเขาทำตามขั้นตอนนี้ต่อไป โนอาห์จะใช้พลังงานหมดในป้อมปราการเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นเขาจึงต้องเลิกใช้ลูกไฟกับหมูป่าที่ตกลงมาจากนกคลั่ง

ปริมาณค่าประสบการณ์ที่โนอาห์ได้รับในป้อมปราการนี้ดีมาก แม้ว่าเขาจะไม่ได้แยกตัวออกจากกลุ่ม แต่เนื่องจากกลยุทธ์ในการกำจัดมอนเตอร์ของเขา ทำให้เขาได้รับค่าประสบการณ์สูงขึ้นจากปกติอย่างมาก

น่าเสียดายที่ “วันหยุด” ที่ใช้ไปใน “สวนสาธารณะ” ที่โนอาห์คิดว่าเขามาเดินเล่นและได้ค่าประสบการณ์ไปง่ายๆก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงกรีดร้องที่แตกต่างจากปกติที่พวกเขาเคยได้ยินมา

“กี้!!!”

“บ้าเอ๊ย คราวนี้อะไรอีกล่ะ” แจสเปอร์ถามเสียงดังด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนว่าเขาอารมณ์ไม่ดี

อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆไม่ได้สนใจต่อความรู้สึกของเขาและเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเสียงร้องที่พวกเขาเพิ่งได้ยิน

“เสียงกรีดร้องแบบนี้แสดงว่าเราอยู่ใกล้กับรังของหัวหน้าป้อมปราการไม่มากแล้ว จากการคำนวณของฉัน เราเคลียร์พื้นที่รอบป้อมปราการมาแล้วกว่า 60 เปอร์เซ็น เสียงกรีดร้องนี้จะต้องเป็นหัวหน้าของป้อมปราการอย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนที่มีแผนที่อยู่ในมือเริ่มพูดกับตัวเอง ชายคนนี้เป็นนักธนูของกลุ่ม เขาได้ศึกษาการทำแผนที่มามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชี่ยวชาญด้านการทำแผนที่สำหรับป้อมปราการ และสิ่งนี้ช่วยให้การบุกป้อมปราการง่ายขึ้นมาก มากจนทำให้เขาเป็นผู้เขียนแผนที่อย่างเป็นทางการของกลุ่มนี้

แต่เขาก็ยังไม่ได้แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น คนอื่นๆก็เช่นกัน เนื่องจากพวกเขาเคยมาที่ป้อมปราการนกคลั่งมาแล้วครั้งหนึ่ง และเสียงกรีดร้องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้น นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องแบบนี้

เสียงนกกรีดร้องดังขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งก็ปรากฏทางทิศเหนือ บางครั้งก็ปรากฏทางทิศตะวันออก คราวต่อมาปรากฏทางทิศใต้ ราวกับว่ามันอยู่รายล้อมกลุ่มของพวกเขา ซึ่งเหตุการณ์นี้มันเหมือนกับนักล่าที่ทำกับเหยื่อของพวกมัน

โนอาห์ไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้น เขารู้ว่านกตัวนี้เป็นนกคลั่งอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีพลังมากกว่าตัวอื่นๆ โนอาห์รู้สึกราวกับว่าเขาได้ยินเสียงคำรามของสิงโตตัวโตที่โตเต็มวัยพร้อมกับเสียงคำรามของลูกสิงโตตัวเล็กๆ แม้ว่าจะรู้ว่าทั้งสองเป็นสายพันธุ์เดียวกัน แต่มันก็ยังมีความแตกต่างในเสียงคำราม และความแตกต่างนี้ก็สร้างความรู้สึกที่แตกต่างกันให้กับผู้ฟังโดยสิ้นเชิง

ผู้ถูกเลือกคนที่อ่อนแอที่สุดบางคนถึงกับมือสั่นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงนี้

มาร์เซลหัวหน้ากลุ่มก็เช่นกัน เขารู้ว่าเขาต้องระดมทีมเพื่อไม่ให้พวกเขาสับสนว่าต้องทำอะไรและไม่ให้ทีมของเขาจบลงด้วยการถูกซุ่มโจมตีและสังหาร แต่เขาไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน แต่ในฐานะผู้นำของมาร์เซลเขาคิดอย่างรวดเร็วถึงคำสั่งที่สมเหตุสมผลที่สุดและตะโกนใส่ทุกคนว่า

“เร็ว! มารวมตัวกันและเข้าสู่รูปแบบการต่อสู้กับหัวหน้าป้อมปราการนี้ เราไม่รู้ว่าเรากำลังเจอกับอะไรอยู่ แต่เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องที่เลวร้ายที่สุด!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของมาร์เซลคนที่ไม่ได้สูญเสียสติจากเสียงร้องของนกก็เริ่มทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว โดยพวกเขารู้ว่านี่เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลและปลอดภัยที่สุดที่ต้องทำ แม้แต่แจสเปอร์ที่ตอนนี้เขากำลังเหนื่อยอยู่นิดหน่อย เขาก็วิ่งหนีเข้ามารวมกับกลุ่มเพื่อไม่ให้ถูกทิ้งอยู่ตามลำพังและมีโอกาสถูกมองว่าเขาเป็นเหยื่อ

เมื่อมองจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง โนอาห์ก็พยายามระบุว่าเกิดอะไรขึ้น มอนเตอร์ตัวนี้คือตัวอะไรกันแน่ อะไรทำให้มอนสเตอร์ตัวนี้ปรากฏตัวขึ้น? แต่ยิ่งเขาถามตัวเองมากเท่าไหร่ คำถามก็เกิดขึ้นในหัวมากขึ้นเท่านั้น

จนกระทั่งสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น

“ฟ่อออ”

ที่ข้อมือของโนอาห์ จู่ๆลิลิธก็ตื่นขึ้นแล้วส่งเสียงขู่อย่างโกรธจัดไปที่มอนเตอร์ตัวใหญ่ที่บินอยู่รอบๆกลุ่มโดยที่มันยังไม่ได้แสดงตัวออกมา

ลูกไฟนั้นทำให้เหล่าผู้ถูกเลือกภายในกลุ่มตกใจ พวกเขารู้จักกันเป็นอย่างดีและพวกเขารู้ว่าคนในกลุ่มของพวกเขาไม่มีใครที่ได้รับพรแห่งไฟ เพราะพรแห่งไฟเป็นพรที่ดูธรรมดาสามัญทั่วไป และในทุกๆป้อมปราการที่มีการจัดกลุ่มจะต้องมีหนึ่งหรือสองคนที่มีพรแห่งไฟเสมอ แต่กลุ่มของเขาไม่มีคนเช่นนั้น

แต่ในตอนนี้ลูกไฟที่ไม่รู้ที่มาที่ไปได้พุ่งออกมาและกระทบไปที่นกคลั่งก่อนที่คนในกลุ่มจะได้ยิงธนูหรือปล่อยเวทมนตร์ออกไปด้วยซ้ำ

ผู้ถูกเลือกสับสนเป็นอย่างมาก แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้สับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั่นคือแจสเปอร์ เขารู้อยู่แล้วว่าใครเป็นคนยิงลูกไฟประหลาดที่ทำให้นกคลั่งร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนที่มันจะตายลง

ในระหว่างการบุกป้อมปราการป่าก็อบลินแจสเปอร์สังเกตเห็นว่าด้วยเหตุผลบางอย่างโนอาห์มักจะชอบโจมตีพวกก็อบลินเป็นครั้งสุดท้ายเสมอ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าก็อบลินหรือก็อบลินธรรมดา โนอาห์ก็จะพยายามโจมตีเป็นครั้งสุดท้ายเสมอ

ตอนแรกแจสเปอร์คิดว่ามันเป็นความหุนหันพลันแล่นของโนอาห์ที่อยากจะโจมตีครั้งสุดท้ายเพื่อบอกว่าเขาเป็นคนที่ฆ่ามอนเตอร์นั่นเอง แต่เขาไม่เคยทำอะไรแบบนั้นเลย เขาไม่เคยแม้แต่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการกระทำนี้ที่เขาทำอยู่เสมอ นั่นทำให้แจสเปอร์ยิ่งสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาตระหนักว่าไม่ว่าโนอาห์จะทำเช่นนี้กี่ครั้ง เขาก็มีพลังมากพอที่จะทำมันอีกครั้งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จำเป็นต้องรู้ว่าเมื่อพูดถึงพรที่ทุกคนใช้กันอยู่ทุกวันนี้ยิ่งทักษะแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใช้พลังงานมากเท่านั้น นี่เป็นความจริงที่รู้กันทั่วไปว่าเมื่อผู้ถูกเลือกมาถึงระดับ A พวกเขาถึงจะสามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่องได้ใกล้เคียงกับผู้ถูกเลือกระดับ F เพราะเนื่องจากพวกเขามีพลังงานจำนวนมากที่พวกเขาได้รับการพัฒนามาเมื่อพวกเขาเลื่อนระดับหรือฝึกฝนขึ้นมาเรื่อยๆเพื่อรองรับกับการใช้พรขนาดใหญ่ และใช้การโจมตีระดับสูงที่มีของพวกเขา

แต่น่าแปลกที่มันใช้ไม่ได้กับโนอาห์ ด้วยเสียงร้องของมอนเตอร์พวกนี้ไม่จำเป็นต้องถามเลยด้วยซ้ำว่าความสามารถของเขาว่าทรงพลังหรือไม่ แต่ถึงกระนั้น โนอาห์ก็ยังรักษาความสามารถนั้นไว้ได้แทบตลอดการบุกป้อมปราการของเขา

นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้แจสเปอร์คิดว่าโนอาห์จะมีชื่อเสียงและมีความสำคัญในอนาคต ไม่เพียงแต่จากความแข็งแกร่งในปัจจุบันที่เขามี แต่มันมาจากศักยภาพที่เขาแสดงออกมาด้วย

ในที่สุด แจสเปอร์ก็ชินกับลักษณะนิสัยของโนอาห์ที่เขามักจะโจมตีมอนสเตอร์ครั้งสุดท้ายเสมอ เพราะเขาชอบทำมันและส่วนใหญ่เขาจะทำในตอนที่เขาทำได้ และเนื่องจากโนอาห์ไม่เหมือนกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆที่ไม่สามารถทนต่อการโจมตีได้บ่อยนัก โนอาห์สามารถทำทุกอย่างได้อย่างที่เขาต้องการ เขาจึงเป็นอิสระมากในการบุกป้อมปราการในแต่ละครั้ง

โนอาห์รู้ดีว่าแจสเปอร์สงสัยในพรของเขาและเขากำลังคาดเดาสิ่งต่างๆในพรของเขา แต่เขาก็ไม่ได้โง่พอที่จะไปอธิบายว่าเขาฟื้นพลังงานเมื่อเขาเผามอนเตอร์ และที่เขามักจะโจมตีเป็นครั้งสุดท้ายเสมอก็เพื่อที่เขาจะได้ค่าประสบการณ์จากมอนเตอร์มากขึ้น

ในขณะที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆกำลังพยายามหาเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้น นกคลั่งอีกตัวก็บินมาทางพวกเขา แต่คราวนี้มีหมูป่าอยู่บนหลังของมันด้วย ซึ่งนี่จะทำให้การต่อสู้มีปัญหามากขึ้น

“โนอาห์ ให้แจสเปอร์ทำอีกครั้ง นายจะจัดการกับกลุ่มต่อไป เราไม่สามารถฉวยโอกาสโจมตีได้เหมือนกับตอนแรกในตอนนี้ ใช้เปลวไฟของนายโจมตีเหมือนกับนายเป็นแนวหลังซะ!” มาร์เซลตะโกนใส่โนอาห์ว่าอย่าพยายามกำจัดหมูป่าในยครั้งนี้ เขาจะได้ไม่ต้องเสี่ยงทำลายทุกอย่าง ยิ่งกว่านั้นหลังจากที่เขาเห็นว่าโนอาห์เป็นนักเวทย์ที่ทรงพลัง ในหัวของมาร์เซลก็คิดทันทีว่ามันจะเป็นประโยชน์มากกว่าสำหรับกลุ่มหากให้โนอาห์ไปโจมตีระยะไกล

โนอาห์ไม่คัดค้านคำสั่งนี้ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ใกล้ๆแนวหลังโดยถือมีดสั้นไว้ในมืออีกข้างหนึ่งในขณะที่ในมืออีกข้างหนึ่งมีเปลวไฟเล็กๆลอยขึ้นมาพร้อมที่จะยิงออกไปทุกเมื่อ

เขาไม่สนใจว่าคนในกลุ่มนี้จะคิดว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์หรือเปล่า แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขาสามารถจัดการงานนี้ให้กับแจสเปอร์ได้ง่ายกว่ามากจาก [อุโมงค์นรก] ของเขา แต่ [อุโมงค์นรก] ก็แตกต่างจาก [เปลวไฟแห่งนรก] ของเขามาก เพราะการเทเลพอร์ตใช้พลังงานไปและไม่มีทางกู้คืนได้ ไม่เหมือนกับ [เปลวไฟแห่งนรก] ที่สามารถเพิ่มพลังงานของเขาได้อย่างเสมอ สำหรับระยะทางที่เขาอยู่ห่างจากนกในตอนนี้ เขาจะต้องวิ่งเข้าไปใกล้นกก่อนที่จะเทเลพอร์ตตัวเองไปในอากาศและโจมตีหมูป่าด้วยการโจมตีแบบไม่ทันตั้งตัว นั่นเป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำหากเขาต้องการจะช่วยแจสเปอร์

โนอาห์ทำได้แต่เขาขี้เกียจเกินไป เพราะหลังจากที่เขาคิดว่าเขาจะต้องพบกับปัญหาแค่ไหนที่จะวิ่งเข้าหานกคลั่งด้วยความเร็วสูง เขาก็หยุดความคิดที่จะทำลง โนอาห์พบว่ามันง่ายกว่ามากที่จะอยู่ในกลุ่มและทำเพียงขว้างลูกไฟใส่นกและหมูป่า ยิ่งไปกว่านั้นการควบคุม [เปลวไฟแห่งนรก] ของเขาก็เพิ่มขึ้นถึงเลเวลสองแล้วเมื่อไม่นานมานี้ โนอาห์ต้องการทดสอบการเล็งของเขากับเป้าหมายที่กำลังเคลื่อนที่และนี่คือโอกาสที่เขาจะได้ทดสอบตัวเองเช่นกัน

เช่นเดียวกับครั้งก่อนแจสเปอร์วิ่งด้วยความเร็วสูงเพราะพรของเขาที่เพิ่มความว่องไวให้กับเขา และหลังจากใช้ต้นไม้เป็นตัวรองรับ เขาก็กระโดดเข้าไปในเส้นทางที่นกคลั่งกำลังบินอยู่และสกัดกั้นหมูป่าเหมือนกับที่นักฟุตบอลอเมริกันสกัดกั้นผู้เล่นของทีมอื่นแต่ไม่พยายามเกาะหมูป่าไปด้วย

เมื่อเห็นสัตว์สีน้ำเงินตัวใหญ่ตกลงมาจากท้องฟ้า โนอาห์ก็เห็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบ และด้วยการคำนวณวิถีการยิงภายในใจของเขาอย่างรวดเร็ว โนอาห์ก็ยิงลูกไฟด้วยความเร็วสูงไปยังจุดที่เขาคำนวณว่าหมูป่าจะตกลงมา

น่าเสียดายที่เมื่อลูกไฟเข้าใกล้หมูป่าที่ตกลงมา โนอาห์ก็สังเกตว่าเขาคำนวณผิด แม้ว่าค่าสถานะ “ความฉลาด” ของเขาจะสูงขึ้นถึง 20% แต่มันก็ยังพลาดอยู่ดี

หลังจากที่โนอาห์เลื่อนขึ้นไปที่เลเวลสอง ด้วยค่าสถานะความฉลาดของเขาจึงทำให้โนอาห์สามารถคำนวณเช่นนี้ได้ หากเป็นก่อนหน้านี้มันจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเขาที่จะคำนวณในช่วงสั้นๆเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขายังต้องการค่าสถานะเพื่อเพิ่มสามารถในประมวลผลข้อมูล ความคิด และการคำนวณให้ได้เร็วเท่าที่จำเป็น

ถ้าลูกไฟยังไปในทิศทางเดิมตอนนี้มันจะพลาดที่จะโดนหมูป่าไปประมาณสองถึงสามเซนติเมตร ดังนั้นเขาจึงใช้การควบคุมที่เพิ่มขึ้นหลังจากที่ทักษะของเขาเพิ่มขึ้นเป็นเลเวลสองมาช่วยในการควบคุมลูกไฟของเขา

โนอาห์จดจ่ออย่างมากและพยายามเปลี่ยนวิถีของลูกไฟในระหว่างที่มันบินไปเหมือนกับที่อบิเกลทำกับลูกธนูของเธอโดยใช้พรแห่งลมที่เธอมี เธอเป็นคนเดียวที่ทำให้โนอาห์มีความคิดที่จะพยายามทำเช่นนั้นด้วยพรของเขาเช่นเดียวกัน เนื่องจากในป้อมปราการครั้งล่าสุดที่เขาผ่านมา เขาเห็นว่าความสามารถในการโจมตีเป้าหมายโดนเกือบจะทุกครั้งนั้นมีประโยชน์เพียงใด

โนอาห์ตระหนักว่าเขาสามารถเปลี่ยนวิถีของลูกไฟได้ในขณะที่มันปล่อยไปแล้ว แต่ปริมาณพลังงานที่ใช้ไปนั้นมหาศาลเป็นอย่างมากในการเปลี่ยนมุมของการบินของลูกไฟเพียงไม่กี่องศา

พลังงานที่เขาใช้ไปนั้นมันเทียบได้กับการที่โนอาห์ใช้พลังงานในการเรียกลูกไฟออกมาได้อีกถึงสามลูก กล่าวคือเหมือนกับเขาใช้มันเป็นลูกไฟ “นำทาง” ในลูกแรก และเขาจะต้องใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองเพื่อจะทำให้มันเป็นลูกไฟที่จะจัดการกับมอนเตอร์ได้ หากคำนวณพลังงานที่เขาจะต้องใช้ทั้งหมดแล้วเขาจะต้องใช้พลังงานเทียบเท่ากับการที่เขาใช้ลูกไฟปกติถึงสี่ลูกเลยทีเดียว

โนอาห์รู้สึกว่ามันไม่คุ้ม เพราะบางทีมันอาจจะดีกว่าถ้าเขาโยนลูกไฟอีกลูกหนึ่งออกไปแทน แต่เมื่อเห็นลูกไฟพุ่งเข้าใส่หมูป่าเต็มๆก่อนที่มันจะตกลงพื้น ทำให้ผิวของมันเปราะบางมากขึ้นในเศษเสี้ยววินาทีก่อนที่มันจะตกลงพื้น หลังจากนั้นข้อความในหน้าต่างสีดำที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นและบอกเขาว่าเขาได้รับคะแนนค่าประสบการณ์ 5 หน่วย และนั่นมากกว่าที่เขาได้รับจากการฆ่านกคลั่งที่ถูกโจมตีจากเพื่อนร่วมทีมของเขาถึง 3 หน่วย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่ามันคุ้มค่าเล็กน้อย

เนื่องจากเขาบุกเข้ามาในป้อมปราการพร้อมกับกลุ่ม ด้วยเหตุผลบางอย่างค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับจึงลดลง นี่คือสิ่งที่ทำให้โนอาห์ไม่เข้าใจมากๆ เนื่องจากไม่มีใครนอกจากตัวเขาเองที่มีระบบเขาจึงรู้สึกว่ามันไม่สมเหตุสมผล แต่เขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ เว้นแต่เขาจะมองหาวิธีอื่นเพื่อให้ได้ค่าประสบการณ์มากขึ้น นั่นคือการสร้างความเสียหายให้มากขึ้นและเป็นผู้ส่งการโจมตีครั้งสุดท้ายออกไปปลิดชีพมอนเตอร์พวกนั้น

ผู้ถูกเลือกระยะประชิดได้วิ่งไปหาหมูป่าที่ตกลงมาจากนกคลั่งเพื่อจบชีวิตมันก่อนที่มันจะฟื้นตัวและอาจทำให้กลุ่มมีปัญหามากยิ่งขึ้น แต่เมื่อพวกเขาเข้าใกล้มัน พวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าหมูป่าตัวนั้นกรีดร้องอย่างสิ้นหวังขณะที่มันวิ่งมาทางพวกเขา แต่จริงๆแล้วมันได้ตายจากลูกไฟก่อนที่จะมาถึงพวกเขาแล้วด้วยซ้ำ

ตอนแรกพวกเขาแปลกใจมากที่เด็กหนุ่มที่เพิ่งเข้าร่วมกลุ่มของเขาสามารถโจมตีหมูป่าได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าพรของเขาที่เขาครอบครองอยู่นั้นยิ่งใหญ่กว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้มาก

กลุ่มผู้ถูกเลือกทิ้งความคิดนั้นไว้ทีหลังและหันกลับไปช่วยเหลือแนวหลังเพื่อจัดการกับนกคลั่ง แต่เมื่อพวกเขาหันกลับมาพวกเขาก็ต้องเห็นภาพเดิมซ้ำเหมือนกับที่พวกเขาเห็นภาพของหมูป่าเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ร่างกายของนกคลั่งกำลังถูกเปลวไฟเผาไหม้อยู่เช่นเดียวกัน มันกำลังบิดไปมาด้วยความเจ็บปวดและกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง เห็นได้ชัดว่ามันกำลังดิ้นอยู่บนพื้นและขอความช่วยเหลืออยู่

เมื่อมาร์เซลมองไปที่ผู้ถูกเลือกที่อยู่แนวหลัง เขาก็เห็นว่าไม่มีใครที่ไม่มีสีหน้าที่ตกใจ ไม่ว่าจะเป็นทั้งนักเวทย์หรือนักธนูก็ตาม พวกเขาถูกแช่แข็งอยู่ในท่าโจมตีราวกับว่าพวกเขากำลังเตรียมที่จะโจมตีศัตรูที่น่าเกรงขาม แต่ทว่าศัตรูตัวนั้นเพิ่งหายตัวไปในทันที ทำให้พวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะต้องทำอะไรต่อไปในตอนนี้

แต่แทนที่ศัตรูตัวนั้นจะหายไป ในความเป็นจริงนั้นศัตรูที่พวกเขากังวลว่าจะรับมือยังไงกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและปล่อยความโกรธของมันออกไป เหลือแต่เพียงเสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากใครก็ตามที่เห็นมัน ผู้ถูกเลือกบางคนที่มีจิตใจเปราะบางถึงกับรู้สึกสงสารเล็กน้อยต่อมอนเตอร์ผู้น่าสงสารที่กำลังถูกเผาไหม้อยู่ในขณะนี้ เพราะเพียงแค่พวกเขาได้ยินเสียงกรีดร้องของพวกมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความทุกข์ทรมานที่พวกมันกำลังต้องเผชิญเพื่อพยายามอดทนกับเปลวเพลิงแปลกๆเหล่านี้อยู่

มาร์เซลเป็นหัวหน้ากลุ่ม ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเขาต้องตัดสินใจอย่างฉลาดที่สุดสำหรับความต้องการของกลุ่ม ไม่ว่าคนในกลุ่มจะรู้สึกเจ็บปวด โกรธ หรือรู้สึกอย่างอื่นจากการตัดสินใจของเขา เขาก็จะต้องแบกรับผลที่ตามมาจากการออกคำสั่ง

แต่เมื่อเขารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสพิเศษที่เขาไม่สามารถทิ้งได้ เขาในฐานะผู้ถูกเลือกที่ได้รับพรระดับ B เห็นว่าโนอาสห์ก็เป็นผู้ถูกเลือกที่ได้รับพรระดับสูงเช่นกัน ดังนั้นมาร์เซลจึงคิดว่าโนอาห์มีศักยภาพมากมายที่จะเป็นนักเวทย์ที่ดีที่สุดในกลุ่มของพวกเขา ดังนั้นโดยที่เขาไม่ต้องคิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง เขาจึงออกคำสั่งว่า

“โนอาห์ จากนี้ไปนายเป็นนักเวทย์หลักของกลุ่ม แจสเปอร์จะเป็นคนเดียวที่รับผิดชอบในการดึงดูดมอนเตอร์ เราไม่สามารถทำให้พรสวรรค์ของนายเสียเปล่าได้”

เมื่อได้ยินสิ่งที่มาร์เซลพูดใบหน้าของแจสเปอร์ก็เปลี่ยนสีไปทันทีในขณะที่เขากรีดร้องในใจว่า

‘นี่ไม่ใช่พรสวรรค์ที่แท้จริงของเขา เขามีความสามารถมากกว่าฉันในงานของฉันซะอีก!!!!’

น่าเสียดายสำหรับแจสเปอร์ ที่มาร์เซลไม่รู้ว่าโนอาห์สามารถทำหน้าที่ได้ดีกว่าเขาขนาดไหน

“นายแน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหมมาร์เซล?” ผู้หญิงในกลุ่มที่สวมชุดผ้าบางเบาเพื่ออำนวยความสะดวกในการเคลื่อนไหวแขนของเธอและไม่ทำให้ตัวเองเหนื่อยล้าระหว่างการโจมตีในป้อมปราการถามอย่างชัดเจน เพราะเธอคือผู้ถูกเลือกที่เป็นนักเวทย์ของกลุ่ม เธอถามเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขา เพราะเธอไม่คิดว่ามันจะเป็นการถูกต้องที่จะเอาชีวิตของกลุ่มไปเสี่ยงอยู่กับผู้ถูกเลือกแปลกหน้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเธอเห็นว่าเขายังเด็กอยู่ เธอไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าเขาจะมีประโยชน์ ในใจของเธอตอนนี้คิดว่า

‘ถ้านายจะทำให้เขาตายก็ปล่อยให้เขาตายคนเดียว อย่าเอาชีวิตของเธอไปเสี่ยงเพียงเพราะจะพิสูจน์ว่าเขาแข็งแกร่งหรือไม่’

มาร์เซลรู้อยู่แล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่โดยที่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่อไม่ให้สร้างความบาดหมางโดยไม่จำเป็น

“ไม่ต้องห่วง ฉันแค่พูดเพื่อกดดันเขาและดูว่าเขาทำงานได้ดีภายใต้แรงกดดันหรือเปล่า แจสเปอร์คงจะสามารถจัดการงานได้ทั้งหมดตามลำพัง เขาเพียงคนเดียวก็น่าจะควบคุมทั่วทั้งป้อมปราการได้แล้ว แม้ว่ามันอาจจะส่งผลต่อความเร็วของกลุ่มก็ตาม เพราะแจสเปอร์อาจจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเป็นสองเท่า แต่มันก็แค่นั้นบางทีเราจะเสียเวลาแค่เล็กน้อยเท่านั้นและจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ป้อมปราการนี้ซับซ้อนเฉพาะผู้ถูกเลือกระดับล่างของการจัดอันดับ แต่สำหรับเราจะไม่มีปัญหาแม้ว่าเด็กใหม่จะไม่มีประโยชน์ก็ตาม”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของมาร์เซลผู้หญิงคนนั้นก็สงบลงมากขึ้น เธอได้ไปที่ป้อมปราการหลายแห่งพร้อมกับกลุ่มแล้วและเธอรู้อย่างชัดเจนว่าทั้งกลุ่มของเธอมีฝีมือแค่ไหน เธอไว้วางใจพวกเขาแต่ละคนด้วยชีวิตของเธอเองเมื่อพูดถึงทักษะของพวกเขาแล้ว ถ้ามีคนในกลุ่มอ้างว่าเขาสามารถปกป้องเธอได้ เธอจะเชื่อคนนั้นและจะไม่สนใจที่จะปกป้องตัวเอง อย่างไรก็ตามเด็กใหม่ที่มาถึงวันนี้ไม่ได้สร้างความประทับใจให้เธอเพราะคนอื่นๆมีออร่าของคนที่เข้มแข็งและทรงพลัง แต่เด็กใหม่คนนี้ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าเขาอายุน้อยกว่าทุกคนในกลุ่มมากและยังเป็นเพียงผู้ถูกเลือกระดับ F เท่านั้น นั่นทำให้เหมือนว่าเขาจะไม่มีอะไรมากไปกว่าภาระในสายตาของเธอ

เธอไม่ใช่คนเดียวที่มีความคิดนั้น ไม่มีใครปฏิบัติต่อโนอาห์อย่างเลวร้าย แต่ทุกคนก็พร้อมที่จะเห็นเขาล้มเหลวและอาจตายไปในป้อมปราการ เพราะเขาไม่สามารถทำงานที่เขาควรจะทำได้

เห็นได้ชัดว่าโนอาห์ไม่สนใจสิ่งที่ทุกคนในกลุ่มคิด ทุกคนปฏิบัติต่อเขาด้วยความสงสัย แต่โนอาห์เข้าใจด้านนั้นของทุกคน เพราะที่พวกเขาเป็นเช่นนั้นเพราะพวกเขาจะต้องพึ่งพาโนอาห์เพื่อความอยู่รอด

มีเพียงคนเดียวในกลุ่มเท่านั้นที่มองว่าอายุของโนอาห์ไม่เป็นปัญหาและบุคคลนั้นคือแจสเปอร์ เนื่องจากเขาได้เห็นโนอาห์ใช้ความสามารถของเขาในการต่อสู้กับก็อบลินธรรมดาและหัวหน้าก็อบลิน แจสเปอร์จึงมีมุมมองที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงกับโนอาห์ จากอายุของโนอาห์แทนที่จะเป็นแง่ลบในความคิดของแจสเปอร์แต่มันกลับเป็นไปในทางบวกอย่างมาก เพราะหากเขามีพลังมากขนาดนี้ในวัยนี้แล้วเขาจะเป็นยังไงในอีกสิบปีข้างหน้าล่ะ?

น่าเสียดายที่มีเพียงแจสเปอร์เท่านั้นที่คิดอย่างนั้น และเขารู้ดีว่าคนอื่นๆคิดอย่างไรเกี่ยวกับโนอาห์ แต่เขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ ตอนนี้มันขึ้นอยู่กับตัวโนอาห์เองว่าเขาจะเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขาจากขยะไร้ประโยชน์ไปเป็นหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์ที่มีศักยภาพสูงได้อย่างไร

หลังจากทำตามขั้นตอนก่อนบุกป้อมปราการแล้วทั้งหมด กลุ่ม 15 คนก็เดินผ่านประตูมิติไป เมื่อพ้นจากประตูมิติไปอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็เจอป่าที่แตกต่างกัน ป้อมปราการของนกคลั่งเป็นที่รู้จักในด้านพืชพันธุ์ที่แตกต่างจากป้อมปราการระดับ E ที่อื่นมาก

อีกด้านหนึ่งของประตูมิติ พวกเขาได้พบกับผืนดินที่กลายเป็นสีแดงทั้งยังแห้งแล้งและมีต้นไม้สูงถึง 20 เมตร แต่เนื่องจากระยะห่างของแต่ละต้นที่มากขึ้นกว่าปกติ พวกเขาจึงไม่ได้รับความรู้สึกอึดอัดจากพวกมัน แต่พวกเขาก็ยังคงรู้สึกเหมือนถูกล้อมรอบไปด้วยป่าสีแดงที่มีเสาหนาๆหลายๆต้นที่มีหลังคาเป็นใบไม้สีแดง

โนอาห์เห็นว่าสถานที่นี้มืดเล็กน้อยและจากมุมมองของเขาที่มองเห็นออกไปเหมือนกับมีคนกำลังใช้ฟิลเตอร์สีแดงกับการมองเห็นของเขา เขายังคงมองเห็นระยะไกลได้ค่อนข้างง่ายในโทนสีแดงนี้ แต่น่าเสียดายที่โทนสีอบอุ่นนี้ไม่เป็นผลดีกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ เพราะเนื่องจากมันทำให้พวกเขาต้องทำงานหนักเพื่อมองจากไปในระยะไกลๆ และการทำเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาเหนื่อยง่ายขึ้นอีกด้วย

ในทางกลับกันโนอาห์รู้สึกว่าเขาได้เปรียบในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ และเขารู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่มี “ตัวกรอง” ของแสงสีแดงนี้ มอนเตอร์ในป้อมปราการแห่งนี้จะต้องปรับตัวให้เข้ากับวิสัยทัศน์นี้แล้วแน่นอน ดังนั้นโนอาห์ที่มีการโจมตีด้วยไฟจึงได้รับประโยชน์อย่างมากจากการมองเห็นที่เขามีอยู่เนื่องจากตัวกรองของเขา

คนในกลุ่มเริ่มจัดรูปแบบเหมือนกับในป้อมปราการป่าก็อบลิน โนอาห์อยู่ในแนวกลางระหว่างแนวหน้าและแนวหลังเพื่อที่เขาจะได้สามารถโจมตีมอนเตอร์และปกป้องแนวหลังได้ในเวลาเดียวกัน แม้ว่าคนในแนวหลังจะรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อโนอาห์ ‘ปกป้อง’ พวกเขาก็ตาม เพราะพวกเขาคิดว่าเขาเป็นเพียงผู้ถูกเลือกที่เพิ่งจะมาถึงระดับ E

โนอาห์ไม่สนใจเรื่องนี้และยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายขึ้นกับคนพวกนี้

น่าแปลกที่หลังจากเดินมา 10 นาที ทั้งกลุ่มก็ยังไม่พบกลุ่มมอนสเตอร์เลย ปกติแล้วนกคลั่งจะบินไปกับฝูงเสมอ แต่จนถึงตอนนี้คนทั้งกลุ่มก็ยังไม่มีใครมองเห็นพวกมันเลยแม้แต่ตัวเดียว

ห้านาทีผ่านไปในที่สุดพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนอยู่ด้านหลังของพวกเขา จากสิ่งที่พวกเขาค้นคว้าเกี่ยวกับป้อมปราการพวกเขารู้ว่าเสียงร้องนี้มาจากนกตัวหนึ่ง พวกเขาจึงเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่จะมาถึงทันที แต่ละคนภายในกลุ่มยกอาวุธของตัวเองขึ้นมาและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่

“โนอาห์ ให้แจสเปอร์ทำก่อน นายจะได้รู้ว่าต้องทำยังไง” มาร์เซลพูดเสียงดัง เขาไม่มั่นใจว่าโนอาห์จะสามารถทำสิ่งที่จำเป็นได้แม้ว่าเขาจะรู้ว่าควรทำอะไร แต่เขาก็จะไม่ขี้โกงถึงขนาดส่งโนอาห์ไปเพียงลำพังโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะต้องทำอะไร

โนอาห์ยอมรับกับเรื่องนี้และยังคงยืนปกป้องแนวหลังต่อไป

ทันใดนั้นที่มาของเสียงก็มาถึงในที่สุด มีนกสองตัวที่กรีดร้องและตะโกนออกมา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังระคายเคืองบางอย่างอยู่แต่มันไม่ได้โมโหเพราะมันเห็นคนอื่น แต่เป็นเพราะมีสัตว์ประหลาดตัวอื่นที่พยายามจะขี่พวกมันอยู่ตั้งหาก

หมูป่าผิวสีน้ำเงินสองตัวกำลังพยายามทำให้นกเหล่านี้เชื่อง นี่คือเหตุผลที่ป้อมปราการนี้ถูกเรียกว่าป้อมปราการนกคลั่ง เพราะนกทุกตัวที่พวกเขาพบต่างกรีดร้องด้วยความโกรธที่ต้องแบกหมูป่าและเป็นสัตว์ขี่ของพวกมัน

แทนที่จะโจมตีมันโดยตรง กลุ่มนี้กลับอยู่เงียบๆให้มากที่สุด ในขณะที่แจสเปอร์ใช้พรของตัวเองเพื่อวิ่งผ่านป่าสีแดงไปยังนกที่กรีดร้องด้วยความเร็วสูง

เมื่อเขาเข้าไปในขอบเขตของนก เขาก็รีบปีนขึ้นต้นไม้และผลักนกเล็กน้อย ทันใดนั้นหมูป่าที่มีกล้ามซึ่งนั่งอยู่บนหลังของนกก็ตกลงสู่พื้นด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าพวกมันจะรอดชีวิตจากการตกลงมาจากหลังของนก แต่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว พวกเขาชี้ปลายดาบไปที่หมูป่าและรอพวกมันตกลงมาที่พื้นก่อนที่จะกำจัดมัน นักธนูและนักเวทย์กำลังจดจ่ออยู่กับนกที่ยังคงกรีดร้อง แต่นกคลั่งตัวนี้แทนที่มันจะใช้โอกาสนี้ในการหลบหนีและกำจัดหมูป่า มันกลับทำสิ่งที่ขัดกับตรรกะทั่วไปโดยสิ้นเชิง

แทนที่มันจะจากไป มันกลับเริ่มกรีดร้องด้วยความโกรธมากขึ้น และคราวนี้ความโกรธของนกก็มุ่งไปที่มนุษย์ที่กำลังจับหมูป่าบนหลังของมัน

ความโกรธของนกพวกนี้ทำงานแบบนี้ พวกมันจำเป็นต้องมีเป้าหมายเพื่อที่จะระบายความโกรธของตัวเองออกมา และในขณะที่หมูป่าทำให้พวกมันเชื่องเพื่อเป็นพาหนะ พวกมันก็มีเป้าหมายความโกรธอยู่ที่หมู่ป่าอยู่เสมอ แต่เมื่อมนุษย์ล้มหมูป่าลง พวกมันก็จะใช้พวกเขาแทนเป้าหมายสำหรับความโกรธของพวกมัน และจะเข้าโจมตีมนุษย์อย่างไม่มีเหตุผล

อย่างไรก็ตาม หมูป่ารู้วิธีที่จะเปลี่ยนทิศทางความโกรธของนกมายังมนุษย์และทำให้มนุษย์ถูกโจมตีโดยนกคลั่ง มอนเตอร์ที่มีสติสัมปชัญญะนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าการถูกโจมตี เพราะมันสามารถควบคุมมอนเตอร์ให้มาโจมตีมนุษย์ได้โดยที่ไม่สนเหตุผลใดๆ หลังจากนั้นนกคลั่งก็เริ่มอาละวาดใส่คนในกลุ่มทันที

เมื่อนกเริ่มบินไปทางด้านหลังเป็นเส้นตรง นักเวทย์และนักธนูก็ฉวยโอกาสที่แจสเปอร์สร้างขึ้นและมุ่งโจมตีไปที่นกตัวนั้นทั้งหมด โชคไม่ดีที่เวทมนตร์และลูกธนูใช้ไม่ได้ผลกับนกเหล่านี้เหมือนการต่อสู้กับมอนเตอร์ของป้อมปราการอื่น เพราะขนของนกเหล่านี้ผลิตเมือกที่ทำให้พื้นผิวของขนเรียบขึ้น

และด้วยขนนกที่ผลิตเมือกขึ้นมาทำให้มันสามารถเปลี่ยนทิศทางลูกธนูที่มากระทบกับขนของมันได้บางส่วน อีกทั้งมันยังสามารถควบคุมเวทมนตร์ที่ถูกปล่อยออกมาได้อย่างดีอีกด้วย

การโจมตีของกลุ่มทำให้นกบาดเจ็บสาหัส แต่ถึงแม้จะมีผู้ถูกเลือกมากกว่า 8 คนโจมตีนกคลั่งแต่มันก็ยังรอดชีวิตและบินออกไปด้วยความโกรธต่อมนุษย์ที่มันเห็นว่าเป็นเหยื่อมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้ถูกเลือกไม่ได้วิตกกังวลมากนัก เพราะแจสเปอร์กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งและด้วยการกระโดดอย่างรวดเร็ว เขาก็สามารถตัดปีกนกยักษ์ออกได้ทันที ทำให้มันเสียการทรงตัวและเริ่มล้มลงกับพื้น

ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆรู้ว่าแจสเปอร์จะกลับมาทันเวลา เพราะพวกเขาทำงานด้วยกันมานาน พวกเขารู้ความเร็วของเด็กชายและรู้ว่าเขาสามารถพึ่งพาได้ ดังนั้นเมื่อนกคลั่งกระแทกพื้น นักเวทย์ก็เตรียมการโจมตีของพวกเขาไว้แล้ว ในขณะที่นักธนูก็เตรียมลูกธนูที่จะกำจัดมันในที่สุด

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไรกับมัน ลูกไฟสีส้มก็พุ่งเข้ามาหามันทันที และเมื่อลูกไฟนั้นสัมผัสกับนกที่กำลังบาดเจ็บมันก็ทำให้นกตัวนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง และนั่นก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจ

วันรุ่งขึ้นโนอาห์ไปที่สำนักงานใหญ่ของ GBC เพื่อพบกับทีมของแจสเปอร์ ระหว่างทางโนอาห์นึกถึงสิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐบาลพูดกับเขาในป้อมปราการอีกแห่งหนึ่ง ถ้าเขามีส่วนสำคัญในป้อมปราการถัดไปที่เขาบุกเข้าไป เขาสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E ได้แล้ว

ในแง่ความพึงพอใจส่วนตัวโนอาห์ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับระดับส่วนตัวของเขามากนัก สิ่งที่เขาต้องการในการเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E ก็คือความเป็นไปได้ในยการบุกโจมตีป้อมปราการระดับ D ในอนาคต เขาไม่ได้ต้องการไปป้อมปราการระดับ D ในทันทีที่เขาขึ้นไปอยู่ในระดับ E เขาเพียงต้องการสิทธิในการไปที่ป้อมปราการระดับ D ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเห็นว่าสมาชิกของกลุ่มของแจสเปอร์เป็นผู้ถูกเลือกระดับสูงทั้งหมด และมีผู้ถูกเลือกที่อยู่ในระดับ E สูงสุดซึ่งอาจจะเลื่อนระดับเป็นระดับ D ได้ในเวลาอันสั้นนี้ นั่นหมายความว่าในไม่ช้ากลุ่มของพวกเขาก็จะหยุดการบุกป้อมปราการระดับ E และไปบุกป้อมปราการระดับ D แทน

โนอาห์เข้าร่วมกลุ่มเพราะความปลอดภัยในการบุกป้อมปราการของเขา เขาจะไม่ยอมให้โอกาสที่จะได้เข้าร่วมกลุ่มบุกป้อมปราการที่มีอิสระเสียไปเพียงเพราะเขาไม่มีระดับเพียงพอที่จะสามารถเข้าไปในป้อมปราการร่วมกับกลุ่ม

ไม่ต้องพูดถึงว่าป้อมปราการระดับ D จะให้ค่าประสบการณ์มากกว่าป้อมปราการระดับ E มาก ซึ่งนั่นจะทำให้เลเวลของเขาเพิ่มขึ้นเร็วขึ้นไปอีก

ระบบของเขาตื่นขึ้นเพียง 4 วันเท่านั้น และเวลาเพียงแค่ 4 วันก็ทำให้โนอาห์แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขายังคงเป็นเพียงแค่ผู้ถูกเลือกระดับ E ในการวัดความแข็งแกร่ง แต่เป้าหมายของเขาคือการไปถึงจุดสูงสุดในระดับสูงสุด

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 02]

[ประสบการณ์: 64/400]

[HP: 12/12]

[ความแข็งแรง: 12]

[ความคล่องตัว: 12]

[ความแข็งแกร่ง: 12]

[สกิล:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 02 : 72/500

คำอธิบายสกิล: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

[หลักแห่งไฟ เลเวล: 02 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและการควบคุมมันก็เป็นธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อยนอกจากนี้ยังทำให้มนุษย์ได้รับการกัดกร่อนจากบาป มนุษย์ที่มีบาปเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถชำระล้างได้]

[อุโมงค์นรก เลเวล: 01 : 15/300

ทักษะที่สามารถทำให้เปิดอุโมงค์สู่นรกและออกไปที่อื่นได้ในเสี้ยววินาทียิ่งระยะทางไกลมากเท่าไหร่พลังงานที่จะใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น]

นรกได้กักขังวิญญาณของคนบาปไว้ในอุโมงค์นี้มาตั้งแต่ทุกสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้น และกังขังมาชั่วนิรันดร์ เพื่อรองรับปีศาจและวิญญาณจำนวนมากพื้นที่นี้จึงขยายตัวมากกว่าโลกของสิ่งมีชีวิตหลายเท่า เมื่อใดก็ตามที่ลูซิเฟอร์เดินผ่านอุโมงค์เหล่านี้ผู้คนก็จะรู้ว่าเขากำลังเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสักแห่ง และเขาก็สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้ที่อุโมงค์นี้ไปถึงเหล่าผู้คนจะคิดว่าเขากำลังเทเลพอร์ต

ค่าประสบการณ์ของโนอาห์แทบจะไม่เพิ่มขึ้นเลยตั้งแต่ป้อมปราการที่เขาบุกโจมตีเมื่อสองวันก่อน และวันนี้โนอาห์จะชดเชยให้กับมัน เป้าหมายของเขาคืออย่างน้อยเขาจะต้องเพิ่มระดับทักษะหรือเข้าใกล้จุดที่จะเพิ่มให้ได้มากที่สุด

เมื่อมาถึงสำนักงานใหญ่ของ GBC โนอาห์เห็นแจสเปอร์จากระยะไกลเพราะผมสีส้มของเขาที่ดึงดูดความสนใจมาตั้งแต่ไกล ข้างๆเขามีคนอีกนับสิบคนที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน บางคนสวมชุดเกราะหนักหนังมอนเตอร์ บางคนสวมชุดเกราะเบาหนังมอนเตอร์ บางคนก็เลือกใช้ผ้า แต่สิ่งที่โนอาห์สังเกตเห็นก็คือทุกคนมีบางอย่างที่มาจากป้อมปราการ และพวกนั้นมันมีราคาแพงมาก

โนอาห์ก็ไม่ต่างกัน เขานำกริชที่เขาได้จากป้อมปราการของค่ายก็อบลินมาด้วย กริชนี้อาจไม่แพงเท่าอาวุธและชุดเกราะของคนเหล่านี้ เนื่องจากสิ่งของของพวกเขาอาจมาจากป้อมปราการระดับสูงเช่นเดียวกับกริชของแจสเปอร์ แต่ในป้อมปราการระดับ E กริชนี้ก็เกินพอแล้ว

เมื่อโนอาห์เข้าใกล้กลุ่ม แจสเปอร์ก็สังเกตเห็นเขาและโบกมือให้เขาเข้าร่วมวงพร้อมกับแนะนำโนอาห์ให้คนอื่นๆรู้จัก

คนอื่นๆประหลาดใจกับการปรากฏตัวของโนอาห์ เนื่องจากในแอป GBC ไม่มีรูปของโนอาห์เพราะโนอาห์เว้นว่างไว้ในช่องแสดงรูปภาพบุคคล เมื่อเห็นว่าโนอาห์ยังเด็กพวกเขาก็ไม่สามารถซ่อนความตกใจได้

มีผู้ถูกเลือกระดับ E ที่มีพลังมากกว่าโนอาห์เกือบทุกที่ แต่กลุ่มนี้ประกอบด้วยผู้ถูกเลือกที่ยอดเยี่ยม พวกเขาอยู่ในอันดับต้นๆของระดับ E ซึ่งพวกเขาเกือบจะอยู่ในระดับ D แล้ว ตอนนี้น้องคนสุดท้องในกลุ่มคือแจสเปอร์ซึ่งเขาดูเหมือนจะอายุ 23 หรือ 24 ปี ส่วนคนอื่นๆมีอายุระหว่าง 27 ถึง 32 ปี อายุไม่ได้มีความหมายมากในกลุ่มแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เนื่องจากอายุมาพร้อมกับประสบการณ์

แต่ถึงแม้ทุกคนจะมีความสงสัยอยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีใครแสดงความรังเกียจและไม่เชื่อในตัวโนอาห์อย่างเปิดเผย พวกเขาทั้งหมดแสดงท่าทางสุภาพเมื่อเห็นว่าโนอาห์สุภาพกับพวกเขา ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าเขาไม่ได้หยิ่งทะนงเท่าชายคนสุดท้ายที่ถูกคัดเลือกเพื่อเข้าร่วมกลุ่ม

ขณะนี้โนอาห์อยู่รวมกับกลุ่มแล้วตอนนี้มีคนอยู่ทั้งหมด 14 คน ซึ่งเหลืออีกเพียงคนเดียวที่ยังมาไม่ถึง พวกเขาเริ่มเดินไปขึ้นรถบัสที่จะพาพวกเขาไปที่ป้อมปราการ ไม่นานหลังจากนั้นคนที่ยังมาไม่ถึงก็มาถึงและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อเตรียมตัวที่จะไปที่ป้อมปราการเช่นกัน

เมื่อเห็นว่าคนคนนั้นมาถึง ทุกคนก็สะพายเป้ของตัวเองและเดินไปที่รถบัสข้างๆ บุคคลนั้นเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ แจสเปอร์ จากที่แจสเปอร์บอกโนอาห์ ชายวัย 25 คนนี้คือหัวหน้ากลุ่ม ด้วยพรระดับ B ของเขาเขาจึงถูกกำหนดให้เป็นหัวหน้าของกลุ่ม แต่ในขณะที่เขาต้องการสร้างฐานที่ยืดหยุ่นสำหรับความแข็งแกร่งในอนาคตที่เขาจะมี เขาจึงตัดสินใจที่จะรอเวลาของเขาในฐานะระดับ E ก่อนที่จะไประดับ D อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาต้องการเขาสามารถเลื่อนระดับไปยังระดับ D ได้ทุกเมื่อ เนื่องจากความแข็งแกร่งของเขาเกือบจะเท่ากับระดับ D ปกติแล้ว

นั่นคือความแตกต่างระหว่างคุณภาพของพรของเขา เพราะเขาได้รับพรระดับ B แม้ว่าเขาจะอายุเท่ากันกับแจสเปอร์แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็สูงกว่าเจสเปอร์แน่นอน

คนที่เพิ่งมาที่แจสเปอร์บอกว่าเขาชื่อมาร์เซลยังคงพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับบางสิ่งที่โนอาห์หมดความสนใจกับมันทันทีหลังจากที่เขาฟังเพียงไม่กี่วินาที

บนข้อมือของโนอาห์ลิลิธยังคงหลับอยู่มาจนถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเธอเหนื่อยมากกว่าที่เขาคิดเมื่อเธอพยายามนึกชื่อของเธอ

มันเป็นเวลากว่า 24 ชั่วโมงแล้วที่เธอเริ่มนอนบนรอบข้อมือของโนอาห์

เนื่องจากงูเป็นสัตว์เลือดเย็น เมื่อโนอาห์ไปอาบน้ำ เขาจึงต้องเหยียดแขนออกเพื่อให้เธอม้วนตัวขึ้นออกจากน้ำเพื่อไม่ให้เธอเปียกและมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่ดี

ตั้งแต่วินาทีที่โนอาห์สัมผัสศีรษะของเธอในครั้งแรก ช่องสัญญายังคงอยู่ที่มุมของวิสัยทัศน์ของเขา เขารู้ดีว่าเขาจะต้องทำอะไรหลังจากตกลงทำสัญญากับลิลิธ และเขารู้ดีว่าลิลิธจะต้องยอมรับสัญญาด้วยความเต็มใจแน่ แต่โนอาห์รอให้เธอตื่นเพื่อที่จะทำสัญญากับเธอในตอนนั้น

โชคดีที่การที่ลิลิธพันรอบข้อมือของเขาไม่ได้รบกวนเขาแต่อย่างใด เนื่องจากเธอผอมมากและมีน้ำหนักไม่พอที่จะรบกวนการทรงตัวของเขา ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาในป้อมปราการ สิ่งเดียวคือเขาจะต้องระมัดระวังมากขึ้นนั่นคือการเคลื่อนไหวของเขา เพราะเขากลัวว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บระหว่างการบุกป้อมปราการ

ระหว่างนั่งรถบัส โนอาห์ได้พูดคุยกับผู้คนในกลุ่มเท่าที่จำเป็นเท่านั้น และมุ่งความสนใจไปที่ป้อมปราการที่กำลังจะมาถึง แม้แต่ในป้อมปราการระดับเดียวกัน ก็มีความยากต่างกันอย่างเห็นได้ชัด รางวัลจะเพิ่มขึ้นตามความแข็งแกร่งของป้อมปราการ ดังนั้นโนอาห์จึงรู้ว่าสิ่งที่เขาจะได้รับอาจจะมากกว่าในป้อมปราการที่เขาได้รับในครั้งก่อน ซึ่งมันเป็นเพียงป้อมปราการธรรมดา

เมื่อรถบัสหยุดลง โนอาห์เดินตามกลุ่มไปเพื่อเก็บของของตัวเอง เขาสังเกตเห็นว่าผู้บุกป้อมปราการครั้งนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญเพียงใด เพราะเขาได้ตัดสินใจหน้าที่ของแต่ละคนแล้ว เนื่องด้วยพวกเขาทำงานด้วยกันมาก่อนพวกเขาจึงตกลงกันง่ายมากขึ้น พวกเขาได้ตัดสินใจงานของโนอาห์แล้วด้วยเช่นกัน และเนื่องด้วยพวกเขาทำงานร่วมกันมาก่อนเพราะซะนั้นพวกเขาจึงมีงานที่ถูกกำหนดไว้แล้วในกลุ่ม และพวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะไม่หลงทางในป้อมปราการ

“ดีมาก ทุกคนรู้งานของตัวเองดีอยู่แล้ว ตอนนี้เรากำลังจะบุกป้อมปราการด้วยกัน นี่คือป้อมปราการนกคลั่งอย่างที่พวกนายเห็นในแอป GBC ของนาย แต่เพื่อเป็นการทบทวนกลยุทธ์ของเราเป็นครั้งสุดท้ายฉันจะพูดอีกครั้ง มอนเตอร์ในป้อมปราการแห่งนี้เป็นสัตว์บินได้ ดังนั้นเราจึงเป็นเหยื่อและพวกมันคือนักล่า แต่นั่นก็จะขึ้นอยู่กับผู้ที่มีความคล่องตัวและการโจมตีระยะไกลว่าจะพลิกบทบาทนั้นได้หรือไม่ ดังนั้นแจสเปอร์และโนอาห์คนใหม่ของเราจะได้รับความรับผิดชอบที่จะไม่ทำให้พวกเราตกเป็นเหยื่อให้พวกมันล่า ฉันหวังว่านายจะเป็นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของที่แจสเปอร์พูดนะโนอาห์ เพราะถ้านายทำแบบนั้นไม่ได้ ป้อมปราการจะเป็นคนให้คำตอบกับนายเอง” มาร์เซลกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและทุกคนก็หันไปมองที่โนอาห์

บทสนทนานี้ได้หว่านเมล็ดพืชไว้ในหัวของโนอาห์แล้ว ความคิดที่จะเปลี่ยนชีวิตของโนอาห์ในอนาคตได้เกิดขึ้น ตอนนี้ความคิดในหัวของเขาคือ ‘ฉันควรเริ่มการถ่ายทอดสดการเล่น Valorwatch ไหม’ เขาคิดกับตัวเอง

อย่างไรก็ตามก่อนที่โนอาห์จะพัฒนาความคิดนั้นต่อไป โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น จำนวนคนที่มีหมายเลขโทรศัพท์ของเขามีน้อยมาก โนอาห์จึงอยากรู้ว่าใครโทรมาหาเขา

เมื่อเขามองไปที่หน้าจอโทรศัพท์เขาก็เห็นว่าเป็นแจสเปอร์ที่โทรมาหาเขา โนอาห์จำได้ว่าแจสเปอร์บอกว่าเขาจะคุยกับคนในกลุ่มบุกป้อมปราการเกี่ยวกับการขอให้โนอาห์เข้าร่วมทีมบุกของเขา

โนอาห์สนุกกับการเล่น Valorwatch แต่เขารู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือเขาต้องแข็งแกร่งขึ้นโดยการบุกป้อมปราการ รับประสบการณ์ วิวัฒนาการ แข็งแกร่งขึ้น และแน่นอนเอาตัวรอด เขารู้ว่าการเข้าร่วมกลุ่มการบุกป้อมปราการอาจจะช้ากว่าเล็กน้อยในแง่ของค่าประสบการณ์ที่เขาจะได้รับ แต่นั่นเป็นราคาที่เขายินดีจ่ายเพื่อความปลอดภัยที่เขาจะได้รับเมื่อทำงานกับกลุ่มที่มีอำนาจ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเขาจะต้องอยู่กับกลุ่มนี้ตลอดเวลา เพราะเขาอาจทำ “การลาดตระเวนภาคสนาม” และอยู่ห่างจากกลุ่มสักสองสามชั่วโมงในบางครั้ง กลุ่มที่มีประสบการณ์มากสามารถรับมือกับกลุ่มมอนสเตอร์กลุ่มเล็กๆ ได้เป็นอย่างดี ความยากลำบากที่พวกเขาเจอในการต่อสู้คือการต่อสู้กับหัวหน้าของป้อมปราการนั้นๆนั่นคือสิ่งที่แจสเปอร์พูดกับโนอาห์

เมื่อรับโทรศัพท์ โนอาห์ก็ได้ยินเสียงแจสเปอร์พูดจากอีกฝั่งหนึ่ง

[โนอาห์? นายเป็นยังไงบ้าง?]

“เฮ้ แจสเปอร์ ฉันกำลังใช้เวลาอยู่กับครอบครัว นายได้คุยกับคนในกลุ่มแล้วหรือยัง?” โนอาห์ตอบสนองอีกครั้งด้วยเสียงเดียวที่เขามี เพื่อไม่ให้แสดงสิ่งที่เขาคิดให้คนอื่นเห็น

เมื่อแม็กกี้เห็นท่าทางของพี่ชายของเธอ เธอรู้สึกผิดอีกครั้ง

เธอคิดว่าที่พี่ชายของเธอต้องสวมหน้ากากปิดบังสิ่งที่เขาคิดตลอดเวลา เป็นเพราะเขาต้องเติบโตให้เร็วขึ้นและต้องทำทุกทางเพื่อหาเงินมารักษาเธอ และโดยที่พี่ชายของเธอไม่รู้ตัวเขาจึงค่อยๆกลายเป็นแบบนั้นไปโดยธรรมชาติ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้แม็กกี้เสียใจเมื่อเห็นโนอาห์เป็นแบบนี้

[ดีจัง การอยู่กับครอบครัวเป็นสิ่งที่ดี ฉันพูดไปรอบหนึ่งแล้ว คนอื่นๆสนใจนายมากหลังจากที่ฉันพูดถึงพรของนายและการมีส่วนร่วมของนายในป้อมปราการ แต่พวกเขาไม่ได้ให้คำตอบที่แน่ชัดว่าจะให้นายเข้าร่วมหรือเปล่า เราจึงอยากจะบุกป้อมปราการระดับ E ในวันพรุ่งนี้เพื่อดูการทำงานร่วมกันระหว่างเราว่าจะเป็นยังไง นายสนใจไหม?]

เมื่อได้ยินข้อเสนอของแจสเปอร์ โนอาห์ก็พอใจ

“นี่คือสิ่งที่ฉันคิดไว้แล้วแหละ มันดีมากแล้วสำหรับฉัน ขอบคุณมาก นายจะเชิญฉันเข้าร่วมกลุ่มในแอป GBC หรือเปล่า”

[ใช่ ฉันกำลังคิดจะเชิญนายพอดีส่งชื่อผู้ใช้ของนายมา แล้วฉันจะเพิ่มนายเข้าไปในกลุ่ม]

หลังจากวางสาย โนอาห์ก็ส่งข้อความชื่อผู้ใช้ของเขาให้กับแจสเปอร์ แม็กกี้ถามคำถามหลายข้อเกี่ยวกับป้อมปราการ เกี่ยวกับ Valorwatch เกี่ยวกับพรของโนอาห์ ดังนั้นทั้งสองจึงใช้เวลาที่เหลือของวันคุยกันเงียบๆในห้องของโรงพยาบาลจนหมดเวลาเยี่ยมของแม็กกี้

บนรถบัสที่กำลังกลับบ้าน โนอาห์เห็นคำขอเป็นเพื่อนของแจสเปอร์ในแอป GBC หลังจากตอบรับคำเชิญของแจสเปอร์ คำเชิญเข้ากลุ่มก็ถูกส่งมาทันทีซึ่งโนอาห์ก็ตอบรับเช่นกัน

ในกลุ่มเขาเห็นคนอีก 14 คนนอกจากตัวเขาเอง โปรไฟล์ของพวกเขาแต่ละคนระบุว่าพวกเขาเป็นผู้ถูกเลือกที่อยู่ในระดับ E ไม่มีใครเป็นผู้ถูกเลือกในระดับ D แต่พวกเขาบางคนได้รับพรระดับ D และระดับ C ที่สำคัญที่สุดคือหัวหน้ากลุ่มของพวกเขาที่ได้รับพรระดับ B

สิ่งนี้ทำให้โนอาห์ประหลาดใจมาก ยิ่งระดับของพรสูงเท่าไร โอกาสที่พรที่บุคคลนั้นจะได้รับก็จะยิ่งมีประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับการฝึกฝนและพัฒนาทักษะใหม่ๆมันก็จะง่ายขึ้นตามระดับที่สูงขึ้นเช่นเดียวกัน

แต่อย่างไรก็ตามผู้ได้รับพรส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเช่นนี้ พวกเขาไม่ได้ฝึกฝนและพัฒนาทักษะใหม่ๆ พวกเขาเพียงแค่ยอมรับความสามารถที่มาพร้อมกับพรที่ตื่นขึ้นและใช้สิ่งนั้นเป็นความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวของพวกเขา

โปรไฟล์ของโนอาห์บอกว่าเขามีพรระดับ F และความแข็งแกร่งระดับ F ซึ่งมันจะเปลี่ยนไปหลังจากที่เขาบุกโจมตีป้อมปราการระดับ E มากขึ้นและพิสูจน์คุณค่าของเขา

เมื่อโนอาห์เข้าร่วมกลุ่ม สมาชิกสองคนก็เปิดหน้าต่างแชทและเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับสมาชิกใหม่ที่เข้าร่วมทีมของพวกเขาชั่วคราว ซึ่งพวกเขามักจะทำแบบนี้เสมอเมื่อมีคนใหม่เข้ามา

[สปาค: มือใหม่มาถึงหรือยัง]

[บิกบู: เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ F เจสเปอร์ไม่ได้โกหกที่เขาบอกว่ามันเป็นป้อมปราการระดับ E ครั้งแรกของเขา]

[สปาค: บางทีเขาอาจจะเพิ่งเพิ่มระดับความแข็งแกร่งของเขาเป็นระดับ E ได้ดังนั้นระดับของเขายังคงเป็น F อยู่นั่นเป็นที่เข้าใจได้ สิ่งที่ฉันสงสัยคือเขาจะมีความสามารถอย่างที่แจสเปอร์พูดหรือเปล่า]

[บิกบูl: นั่นก็จริง ถ้าเขาเลื่อนจากระดับ F เป็นระดับ E แล้วทำไมในโปรไฟล์ของเขาถึงบอกว่าเขามีพรระดับ F?]

[สปาค: เดี๋ยวก่อน…อะไรนะ? ในโปรไฟล์เขาบอกว่าเขามีพรระดับ F!?!? มีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า? นั่นไม่สมเหตุสมผลเลยเพราะแจสเปอร์บอกว่าเขามีพลังมากๆ]

[บิกบู: ฉันจำที่แจสเปอร์พูดได้ แต่ฉันคิดว่ามันแปลกๆ บางทีแจสเปอร์อาจแสดงปฏิกิริยามากเกินไป? เพราะถึงแม้ว่าผู้ถูกเลือกระดับ F จะได้รับพลังระดับ E มาแต่สุดท้ายมันก็เป็นเรื่องยากมากที่บุคคลนั้นจะแข็งแกร่งเท่ากับผู้ถูกเลือกที่มีระดับสูงกว่า นั่นจะต้องเป็นขีดจำกัดของเขาอย่างแน่นอน]

[สปาค: นายพูดถูก ฉันแค่หวังว่าผู้ชายคนนี้จะไม่ถ่วงเวลาพวกเรา เพราะเด็กที่พิกซี่แนะนำก็ไม่ดีพอสำหรับพวกเราเหมือนกัน]

[บิกบู: ฉันเชื่อใจแจสเปอร์มาก แต่มันจะยากที่จะเชื่อใจเด็กคนนี้หลังจากเห็นระดับพรของเขา]

[สปาค: นั่นก็จริง แต่เราไม่สามารถทำให้แจสเปอร์เสื่อมเสียชื่อเสียงได้ ฉันจะถอยห่างจากเด็กคนนี้เพื่อดูว่าเขาจะทำอะไรในป้อมปราการ ฉันจะไม่ล้อเลียนเขา และฉันจะไม่เสี่ยงอะไรเลย]

[บิกบู: ฉันจะทำแบบนั้นเหมือนกัน อย่างน้อยฉันก็จะพิจารณาสิ่งที่แจสเปอร์พูด แต่ฉันไม่สามารถรับรองได้ว่าคนอื่นๆในกลุ่มจะทำอะไร นายก็รู้ว่าพวกเขาเป็นยังไง…]

[สปาค: ฉันแค่หวังว่าพวกเขาจะไม่ไปยุ่งกับเด็กคนนี้มากเกินไป เพราะฉันสงสัยว่าเด็กคนนี้จะอยู่รอดได้ยังไงหากพวกเขาไม่ชอบเด็กคนนี้จริงๆ]

ในขณะที่สมาชิกพูดคุยเกี่ยวกับโนอาห์ เขาก็ได้ปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขาและเพลิดเพลินกับการนั่งรถบัสที่เหลือในขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างและเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์ตรงหน้า ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาทำสิ่งนี้เขาก็ได้ค้นพบสิ่งที่น่าสนใจเช่น Valorwatch ตอนนี้โนอาห์จึงตัดสินใจทำมันให้บ่อยขึ้น

เขาเริ่มเปลี่ยนวิสัยทัศน์ของตัวเองทีละน้อยๆ สำหรับคนที่เคยดูแลแต่น้องสาวของเขาและไม่มีอะไรอย่างอื่น ตอนนี้เขาเริ่มมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น ไม่เพียงแต่เขาสนใจเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางที่เขาเคยกำหนดไว้ก่อนหน้านี้เท่านั้น แต่เขาก็เริ่มสนุกกับการเดินในเส้นทางนี้ด้วย

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะระบบที่เขาได้รับ ถ้าเขาไม่ได้รับเลือกให้เป็นทายาทของลูซิเฟอร์ โนอาห์ก็ยังต้องมุ่งทำงานเพื่อหาเงินมาดูแลน้องสาวของเขา เพราะถ้าเขาไม่ทำอย่างนั้น น้องสาวของเขาก็จะไม่ได้รับการรักษาอีกต่อไป และเขาก็อาจจะตายในป้อมปราการไปนานแล้ว เพราะเขาไม่มีอำนาจในการปกป้องตัวเอง แต่ตอนนี้มันแตกต่างไปจากเดิมแล้ว เขาไม่ใช่คนที่หมดสิ้นความหวังอีกต่อไป การพัฒนาไปถึงระดับ S ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับโนอาห์ จากสิ่งที่เขาเห็นมันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นที่เขาจะไปถึงจุดนั้น แม้ว่าเขาอาจจะต้องการเวลามากกว่านี้ในอนาคต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดก้าวหน้าอยู่แค่ตรงนี้ และนั่นคือสิ่งที่โนอาห์ปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จ

ทางกลับบ้านเงียบสงบ ไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นนอกหน้าต่าง เขาเพียงแค่จ้องมองผ่านกระจกไปเรื่อยๆ

โนอาห์สามารถเห็นสิ่งที่เขาละเลยมานานแล้วเช่นแม่ที่เดินไปกับลูกๆของเธอบนทางเท้า เด็กๆเล่นฟุตบอลที่ริมถนนและใช้รองเท้าเป็นเป้าหมาย นี่เป็นฉากที่โนอาห์ไม่ได้สังเกตเห็นมันมานานแล้ว

เมืองที่เขาอาศัยอยู่ แม้ว่าจะค่อนข้างทันสมัยในสมัยนั้น แต่ก็ไม่รอดพ้นจากความเหลื่อมล้ำและความยากจน หลังจากการตายของพ่อของเขาครอบครัวของเขาก็เข้าสู่กลุ่มความยากจนไปทันที ในขณะที่ครอบครัวของลุงของเขาอยู่ในกลุ่มที่ร่ำรวยแต่ยังคงทำร้ายครอบครัวของเขาต่อไป

‘รอก่อนนะลุง’ เวลาชำระบิลของคุณกำลังจะมาถึงแล้ว…’

“ใช่ พี่เริ่มเล่น Valorwatch เมื่อวานนี้ ทำไมเหรอ?“ โนอาห์ถามด้วยความแปลกใจ ประการแรก เขาแปลกใจที่เธอรู้ว่าเขาเล่น Valorwatch และประการที่สองเขาไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้

เมื่อได้ยินคำตอบของโนอาห์ แม็กกี้ก็ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือประหลาดใจดี เธอเริ่มคิดถึงทุกสิ่งที่พี่ชายของเธอทำเพื่อเธอในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และการดูเขาละทิ้งสิ่งที่เขาต้องการทำ ด้วยเหตุนั้นทำให้เขาหัวเราะน้อยลงเรื่อยๆและมันส่งผลกระทบต่อเธออย่างมาก

พี่ชายของเธอต้องเป็นผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อยและเติบโตเร็วมาก แม้ว่าเขาจะดูมีความสุขเสมอเมื่อมาพบเธอ เมื่อเธอถามถึงชีวิตของเขา แม็กกี้มักจะสังเกตเห็นว่าโนอาห์ไม่ได้ทำอะไรเป็นการส่วนตัวเพื่อทำให้ตัวเองสนุก อาจเป็นเพราะความรับผิดชอบจำนวนมากที่เขาต้องแบกรับ เขาจึงกลายเป็นเหมือนหุ่นยนต์เมื่อไม่ได้อยู่กับเธอ

แม็กกี้เมื่อเห็นโนอาห์มีความสุขมากขึ้นเมื่อให้ของขวัญกับเธอ ทำให้วันนี้ของเธอดีขึ้นหลายเท่าไม่ใช่เพราะเธอได้ของขวัญ แต่ความสุขนี้มาจากการสังเกตพี่ชายของเธอที่กลับมามีอารมณ์และความรู้สึกอีกครั้ง

ตอนนี้เมื่อเธอนึกถึงการถ่ายทอดสดของพิกแมนที่เธอดูอยู่ได้ เธอเห็นว่าปีศาจที่ชื่อลูซิเฟอร์กำลังเล่นกับเขาอย่างสนุกสนาน ในช่วงหลายนาทีของการแข่งขันพิกแมนและลูซิเฟอร์แทบจะไม่สนใจผู้เล่นที่เหลือและมุ่งความสนใจไปที่กันและกัน พิกแมนยังพูดต่อไปอีกว่าเขารู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้ต่อสู้กับปีศาจตัวนี้

ในขณะที่ปีศาจปรากฏตัวบนหน้าจอการถ่ายทอดสด ระหว่างการเทเลพอร์ตของเขา ผู้คนก็สังเกตเห็นว่าริมฝีปากสีแดงเหล่านั้นยกขึ้นเล็กน้อย ผู้คนจึงทำสิ่งนี้ทำเป็นเครื่องหมายในแชทและเรียกปีศาจตัวนี้ว่า “ปีศาจยิ้ม” ซึ่งเรื่องนี้ทำให้แม็กกี้หัวเราะเล็กน้อยและสนุกไปกับมัน

ตอนนี้เมื่อเธอพบว่าพี่ชายของเธอที่แทบจะจำกัดความสุขในชีวิตของเขาให้สามารถดูแลเธอได้ จริงๆแล้วคือ “ปีศาจยิ้ม” คนนั้นแม็กกี้ก็ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเธอ

โนอาห์ไม่ได้ตระหนักว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาได้ละทิ้งความสุขของตัวเองและกลายเป็นหุ่นยนต์ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาที่เขาจะเลิกทำเรื่องโง่ๆเพื่อที่เขาจะได้หาเงินมาดูแลแม็กกี้ เขาคิดเสมอว่าความสุขของเธอคือความสุขของเขา และที่เหลือก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

แต่เมื่อวานตอนที่เล่น Valorwatch โนอาห์ก็กลับมามีความสุขอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้รู้สึกมานานแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมากสำหรับคนที่ไม่ได้ทำอะไรสนุกๆมาหลายปีแล้ว แต่ถึงแม้ว่ามันจะแปลก โนอาห์ก็ชอบมันและต้องการมันมากกว่านี้ เขารู้สึกอยากเล่น Valorwatch มากขึ้น ไม่เพียงแต่จะช่วยคาร์ลอสในการแข่งขันชิงแชมป์ที่เขาพูดถึงเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะตัวเกมเองนั้นสนุกด้วย

สิ่งเดียวที่เขาไม่ได้คาดหวังคือการที่แม็กกี้ร้องไห้ทันทีหลังจากที่เขายืนยันว่ากำลังเล่น Valorwatch อยู่ ดวงตาของเธอเลือนลอยไปครู่หนึ่งและไม่นานหลังจากนั้น เขาก็สังเกตเห็นน้ำตาเล็กๆที่ไหลออกมาจากดวงตาของเธอ

สิ่งนี้ทำให้โนอาห์สิ้นหวัง เนื่องจากแม็กกี้เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เขายังมีชีวิตอยู่ เขาคิดว่าการเล่น Valorwatch ทำให้เธอเจ็บปวด เขาจึงรีบพูดทันทีว่า

“พี่จะหยุด พี่จะไม่เล่นอีกต่อไปแล้ว ได้โปรด อย่าร้องไห้เลย…”

ในทางกลับกัน สิ่งนี้ทำให้แม็กกี้กลัวมากเกินกว่าที่โนอาห์จะจินตนาการได้ เนื่องจากเมื่อเขาบอกว่าเขาจะไม่เล่นอีกต่อไป เธอกรีดร้องด้วยเสียงที่ดังมากขึ้นซึ่งเขาไม่เคยได้ยินเสียงน้องสาวของเขากรีดร้องมาก่อน

“ได้โปรด อย่าหยุดเล่น!”

แม็กกี้ทนไม่ได้ที่จะเป็นเหตุผลที่ทำให้โนอาห์ไม่ทำในสิ่งที่จะทำให้เขาสนุกอีกครั้ง ในที่สุดพี่ชายของเธอก็รู้สึกดีอีกครั้ง แต่เขาคิดว่าเขาจะเลิกทำเพื่อเธอนั่นส่งผลให้ความรู้สึกผิดในอกของเด็กหญิงตัวเล็กๆระเบิดออกมา

น้ำตาในดวงตาของเธอที่มันไหลออกมาเพียงเล็กน้อยในตอนแรก ตอนนี้มันเริ่มไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปและเริ่มสะอื้นอย่างหนัก

โนอาห์เห็นเช่นนี้ก็ยิ่งสิ้นหวัง เขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เขาเพียงทำตามสัญชาตญาณของตัวเอง เขานั่งลงบนเตียงในโรงพยาบาลกับเธอและลูบหัวเธอและพูดด้วยเสียงต่ำ

“ไม่เป็นไร พี่จะเล่นต่อ…ไม่เป็นไร…”

แม็กกี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบนาทีในการสงบสติอารมณ์และเพลิดเพลินไปกับอ้อมกอดของโนอาห์ เธอไม่ต้องการเป็นสาเหตุให้พี่ชายของเธอไม่มีความสุขอีกต่อไป เพราะจากสิ่งที่เธอเห็นพี่ชายของเธอเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ไม่มีชีวิตไม่มีผิด

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าพี่ชายของเธอไม่ได้สังเกตว่าเขากำลังกลายเป็นหุ่นยนต์ เธอจึงตัดสินใจรับผิดชอบแทนเขา

‘ถ้าเขาไม่เห็นตัวเองว่าเขาต้องการความสุขในชีวิตของเขา ฉันจะทำเพื่อเขา ฉันจะช่วยให้เขาได้รับความสุขกลับมา’ แม็กกี้คิดอย่างมั่นใจขณะที่โนอาห์โอบกอดเธอ และเพื่อที่จะทำในสิ่งที่เธอคิดไว้ แม็กกี้ก็มีความคิดอยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร

“พี่ชายคะ ตัวละครของพี่ใน Valorwatch ชื่อลูซิเฟอร์ใช่หรือเปล่า?” แม็กกี้ถามด้วยแววตาไร้เดียงสา โนอาห์ไม่ได้สังเกตเห็นว่าเบื้องหลังดวงตาโตที่ดูไร้เดียงสาที่น่ารักคู่นั้นคือมารตัวน้อยที่กำลังวางแผนบางอย่างไว้ แต่โชคดีที่แผนนั้นมีประโยชน์ต่อโนอาห์ซึ่งเธอวางแผนที่จะพิชิตความสุขให้กับชีวิตของเขาอีกครั้ง

โนอาห์ประหลาดใจที่แม็กกี้รู้จักชื่อตัวละครของเขาตั้งแต่เขายังไม่ได้บอกคาร์ลอสด้วยซ้ำ แต่เขาไม่ได้สงสัยอะไรเกี่ยวกับน้องสาวคนเล็กของเขา เพราะสำหรับเขาแล้ว เธอน่ารักและไร้เดียงสามาก

“ใช่ นั่นเป็นชื่อที่พี่ใช้ เธอรู้ได้ยังไง?”

หลังจากที่เขาพูดแบบนั้น แม็กกี้ก็ตระหนักว่าเขาไม่รู้ว่าเขามีชื่อเสียงขึ้นมาบ้างแล้ว เธอไม่ได้พูดอะไรอีก เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและเปิดการบันทึกที่บันทึกไว้จากการถ่ายทอดสดของพิกแมนก่อนจะแสดงให้เขาดู

ในตอนแรกโนอาห์มองหน้าจอโทรศัพท์อย่างสับสนเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นความสับสนนี้ก็กลายเป็นความประหลาดใจเมื่อเขาเห็นการระเบิดของเปลวไฟที่คุ้นเคยปรากฏอยู่หน้ากล้องของใครก็ตามที่กำลังเล่นเกมนั้นอยู่ และหลังจากการระเบิด ปีศาจที่ถือกริชสีดำก็ปรากฏขึ้นและพยายามที่จะฆ่าบุคคลนั้น

ครั้งสุดท้ายที่โนอาห์ดูอะไรแบบนั้นคือตอนที่เขายังอยู่ที่โรงเรียน เขาใช้เวลาสองสามวินาทีเพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเมื่อเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่างดวงตาของเขาเบิกกว้างในขณะที่เขาจ้องไปที่หน้าจอโทรศัพท์ด้วยความประหลาดใจที่มากยิ่งขึ้น

“เขา…เขากำลังถ่ายทอดสดอยู่หรือเปล่า เธอเห็นพี่เล่นกับเขาไหม นี่คือ MyTube หรือเปล่า?“ โนอาห์เริ่มระดมยิงคำถามใส่แม็กกี้ไม่หยุด เขาต้องการทำความเข้าใจในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น

เมื่อเธอบอกเขาว่าเธอได้ดูการถ่ายทอดสดของสตรีมเมอร์ที่ชื่อพิกแมน และเขาได้ถ่ายทอดสดการแข่งขันนี้ให้คนหลายพันคนได้ดู ปากของโนอาห์ก็อ้าค้างด้วยความตกตะลึง

ตอนแรกที่เขาเป็นแบบนั้นเพราะเขาไม่คิดว่าเขากำลังเล่นกับคนดังจริงๆ หมูน้อยที่เขาต่อสู้ด้วยคนนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงจริงๆเหรอ! สิ่งนี้อธิบายได้ชัดเจนว่าเหตุใดเจ้าหมูตัวน้อยจึงแข็งแกร่งกว่าผู้เล่นคนอื่นๆหลายเท่าอย่างเห็นได้ชัด จากที่แม็กกี้พูดหมูน้อยตัวนั้นคือผู้ถูกเลือกระดับ B จริงๆ!

สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจอย่างที่สองคือเมื่อแม็กกี้เริ่มอธิบายให้เขาฟังว่าเจ้าหมูตัวนั้นหาเงินได้มากแค่ไหนจากการเล่นกับเขา

แม็กกี้บอกโนอาห์ว่าในวันนั้นพิกแมนทำเงินได้มากกว่า 4,000 ดอลลาร์จากการเล่นเกมกับเขา และนั่นก็ทำให้โนอาห์ยังอ้าปากค้างและไม่สามารถหุบมันลงมาได้ เขาไม่คิดว่าจะมีคนทำเงินได้มากขนาดนี้ในขณะที่เล่นวีดีโอเกม เขารู้สึกเสียใจอีกครั้งที่เขาได้กำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากชีวิตของเขาในตอนแรก

ตามที่แม็กกี้พูดกับเขาพิกแมนไม่ใช่แม้แต่สตรีมเมอร์ที่มีผู้ติดตามมากที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นเพียงหนึ่งในสตรีมเมอร์ผู้ยิ่งใหญ่บนดาวเซต้าของพวกเขา แต่เขายังไม่ถึงหนึ่งใน 50 อันดับแรกเลยด้วยซ้ำ ถึงกระนั้นในขณะที่เขาเล่น Valorwatch เขาก็ได้รับเงินมากกว่าผู้ถูกเลือกระดับ D ที่บุกโจมตีป้อมปราการ แต่เนื่องจากผู้ถูกเลือกไม่ได้บุกป้อมปราการทุกวัน ในขณะที่พิกแมนทำการถ่ายทอดสดทุกวัน เงินเดือนของเขาจึงเกือบจะสูงเท่ากับเงินเดือนของผู้ถูกเลือกระดับ C

เขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ B ที่ได้รับเงินเดือนเกือบเท่ากับผู้ถูกเลือกระดับ C โดยไม่ต้องเสี่ยงชีวิตในป้อมปราการ แต่ตามที่แม็กกี้พูดการถ่ายทอดสดเป็นเพียงงานอดิเรกสำหรับเขาเท่านั้น เนื่องจากเขาสามารถบุกโจมตีป้อมปราการระดับ A ได้เนื่องจากการควบคุมและพลังระดับสูงที่เขามีจากพรของเขา เงินจากการถ่ายทอดสดเป็นเพียงโบนัสจากการเล่นของเขาเท่านั้น

แม็กกี้กล่าวว่าสตรีมเมอร์ 5 อันดับแรกบนดาวเซต้าทำเงินได้มากเกือบเท่ากับผู้ถูกเลือกระดับ B เพียงแค่พวกเริ่มเขาถ่ายทอดสด เป็นที่รู้กันดีว่ายิ่งระดับของป้อมปราการสูงเท่าไร ความยากก็เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตามระดับของมันเท่านั้น ดังนั้นการได้รับเงินเดือนเท่ากับผู้ถูกเลือกระดับ B โดยไม่ต้องเข้าไปเสี่ยงที่จะต้องตายในป้อมปราการจึงเป็นสิ่งที่คนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทำได้และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ

ตามที่แม็กกี้กล่าวไว้ข้อได้เปรียบที่ดีที่สุดสำหรับโนอาห์ก็คือเขาได้รับความสนใจอย่างมากในการถ่ายทอดสดของพิกแมน เพราะแม็กกี้บอกว่าพรของเขาดูน่าสนุกมากซึ่งนั่นทำให้ผู้ชมคนอื่นๆจำนวนมากสนใจในตัวเขาและต้องการเห็นเขาเล่นจากมุมมองของเขา

บทสนทนานี้ได้หว่านเมล็ดพืชไว้ในหัวของโนอาห์แล้ว ความคิดที่จะเปลี่ยนชีวิตของโนอาห์ในอนาคตได้เกิดขึ้น ตอนนี้ความคิดในหัวของเขาคือ ‘ฉันควรเริ่มการถ่ายทอดสดการเล่น Valorwatch ไหม’ เขาคิดกับตัวเอง

“พี่ชายของฉันคือลูซิเฟอร์ที่ปรากฏตัวในการถ่ายทอดสดของพิกแมนงั้นหรอ” เธอถามตัวเองด้วยเสียงที่ดังและตกใจ

เสี้ยววินาทีต่อมา ก่อนการระเบิดครั้งแรกของเปลวเพลิงจะหายไป การระเบิดครั้งที่สองก็เกิดขึ้นใกล้ๆจุดเดียวกัน โดยที่โนอาห์ปรากฏขึ้นระหว่างเปลวไฟและถือกรงโลหะธรรมดาๆอยู่ในมือ

แม็กกี้ลืมไปชั่วขณะว่าจะพูดอะไรกับโนอาห์เพราะสิ่งที่เธอเห็นในกรงข้างในกำลังมองไปรอบๆด้วยท่าทางหวาดกลัว มันคือหนูตัวเล็กสีขาวที่มีดวงตาเป็นสีเขียวแปลกๆ

หนูตัวน้อยตัวนี้อาจจะแปลกสำหรับหลายๆคนแต่ไม่ใช่สำหรับเธอ เนื่องจากเธอใช้เวลาทั้งวันอยู่ในห้องของโรงพยาบาลโดยไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากใช้มือถือเพื่อความบันเทิง แม็กกี้จึงไม่มีอะไรทำที่จะดีไปกว่าการดูวิดีโอ MyTube ในเวลาว่างที่มากเกินไป ซึ่งแน่นอนว่ามีวิดีโอหลายเรื่องเกี่ยวกับคนที่ซื้อมอนเตอร์และแสดงให้เห็นว่ามันคืออะไร

สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของแม็กกี้เกี่ยวกับมอนเตอร์ตัวน้อยเหล่านี้มากที่สุดคือการดูแลพวกมันด้วยวิธีที่แปลกไปจากปกติ เพราะพวกมันไม่ต้องการเตียงหรืออะไรแบบนั้นด้วยซ้ำ เมื่อเซ็นสัญญากับมอนเตอร์เสร็จเจ้าของมอนเตอร์นั้นสามารถส่งมันไปยังอีกมิติหนึ่งและเรียกมันกลับมาจากที่นั่นเมื่อพวกเขาต้องการจะเรียก

เมื่อเห็นโนอาห์ซึ่งมีสีหน้ากังวลอยู่เสมอแม้จะยังมีรอยยิ้มให้กับน้องสาวของเขาอยู่ก็ตาม คราวนี้แม็กกี้สามารถมองผ่านลักษณะของเขาที่นอกเหนือไปจากความกังวล นั่นคือเขายังแสดงความคาดหวังด้วย

นานมากแล้วที่เธอเห็นพี่ชายของเธอแสดงท่าทีแบบนี้ และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อเห็นว่าพี่ชายของเธอยังมีความรู้สึกอื่นในตัวของเขาที่นอกเหนือจากความกังวล

‘ฉันมักจะตำหนิตัวเองมากที่ทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงฉันตลอดเวลา เป็นเรื่องดีที่รู้ว่าเขายังคงรู้สึกมีความสุข ตื่นเต้น และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากที่เขาสวมเพื่อคนอื่น” แม็กกี้คิดด้วยหัวใจที่อบอุ่น

เมื่อมองดูหนูที่กำลังหันศรีษะไปมาเพราะมันกำลังสงสัยว่ามันกำลังอยู่ที่ไหน แม็กกี้ก็ถามขึ้นว่า

“หนูน้อยตัวนี้มาในเนื่องโอกาสอะไรงั้นหรอ”

เมื่อโนอาห์ได้ยินคำถามของเธอ เขาก็ยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิมโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว ความคาดหมายที่เขาจะได้เห็นความสุขของเธอยิ่งชัดเจนขึ้นผ่านใบหน้าของเขา

“นี่คือเซอร์ไพรส์ที่ฉันเตรียมไว้ให้เธอ”

แม้แม็กกี้จะอายุน้อยมาก แต่เมื่อเขายืนยันกับเธอด้วยคำตอบของเขา เธอก็รู้สึกตื่นเต้นและในไม่ช้าเธอก็ตื่นเต้นกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากขึ้น

โนอาห์หยิบกรงมาวางไว้ข้างหน้าแม็กกี้เพื่อที่เธอจะได้ดูหนูและเล่นกับมัน เขาแค่ยืนอยู่ข้างๆคอยระวังในกรณีที่มีใครเข้ามาในห้องเพื่อที่เขาจะได้ซ่อนหนูไว้ได้ เขาต้องการให้เธอทำความคุ้นเคยกับมอนเตอร์ก่อนที่พวกเขาเซ็นสัญญา เนื่องจากทั้งสองคนจะต้องเต็มใจที่จะเซ็นสัญญา และเมื่อทั้งสองคนทำสัญญากันแล้วโนอาห์ก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีคนมาถึง แม็กกี้ก็สามารถส่งมอนเตอร์ไปยังมิติอื่นได้

ทางโรงพยาบาลเองไม่ได้ห้ามสัตว์เลี้ยงบางชนิด แต่มีเงื่อนไขเพียงข้อเดียวคือพวกเขายอมรับเฉพาะมอนเตอร์ที่เป็นสัตว์เลี้ยงอยู่แล้วเท่านั้น มอนเตอร์ที่ไม่มีสัญญาจะถูกห้ามไม่ให้เข้าโรงพยาบาล เนื่องจากอาจเกิดอันตรายกับผู้ป่วยรายอื่น ดังนั้นโนอาห์จึงต้องหาวิธีอื่นในการพาหนูเข้าไปในห้องของแม็กกี้

หลังจากเซ็นสัญญาแพทย์ก็ไม่สามารถบ่นได้อีกต่อไปและทำได้เพียงยอมรับแม็กกี้กับมอนสเตอร์ของเธอเท่านั้น เมื่อมอนสเตอร์ที่ทำสัญญาเริ่มเชื่องมากขึ้น พวกมันก็จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยรายอื่นอีกต่อไป

ขณะที่เขาดูแม็กกี้โต้ตอบกับหนู โนอาห์ก็คิดในใจว่า

‘ฉันสามารถทำสัญญากับคนอื่นได้ไหม?‘

ทันใดนั้น หน้าต่างสีดำที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา

[สัญญาถูกจำกัดด้วยความคิดของผู้ใช้เท่านั้น แต่เนื่องจากผู้ใช้ยังไม่ได้รับความสามารถในการทำสัญญา ผู้ใช้จึงมีสัญญาเพียงฉบับเดียวสำหรับตนเอง และสัญญาฉบับเดียวสำหรับบุคคลที่สามเป็นตัวอย่างฟรี เพื่อให้สามารถทำสัญญาอื่นๆได้หลังจากนี้ผู้ใช้จะต้องใช้ทักษะของตัวเองเมื่อทำสัญญา]

คำตอบนั้นทำให้โนอาห์เบิกตากว้าง

‘คุณหมายความว่าฉันสามารถทำสัญญาได้ไม่จำกัดในอนาคตใช่ไหม? สัญญาเหล่านี้ถูกจำกัดด้วยความคิดของฉันใช่ไหม? ถ้าฉันต้องการทำสัญญาจ้างคนอื่นให้เป็นทาสของฉัน ฉันจะทำได้หรือเปล่า? ถ้าลองนึกภาพการมีผู้ถูกเลือกระดับ A เป็นทาสเพราะสัญญา…ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าทักษะของฉันก็มีพลังมากเกินกว่าปกติอยู่แล้ว และนั่นฉันยังไม่รู้เรื่องสัญญา แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วและในอนาคตฉันอาจจะไม่ต้องยกนิ้วเพื่อทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะฉันอาจจะมีกองทัพคนรับใช้เพราะสัญญา…’

สองสามนาทีที่โนอาห์จินตนาการถึงอนาคตของตัวเอง โดยคิดถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะทำอะไรได้บ้างด้วยทักษะอันทรงพลังนี้ ขณะเดียวกันแม็กกี้ที่มีออร่าของความเมตตาและความน่ารักที่เธอมีมันก็ทำให้เธอสามารถเอาชนะหนูน้อยตัวนั้นได้อย่างง่ายดาย มอนเตอร์ตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัวและกลัวสถานที่ที่ไม่รู้จักตอนนี้กำลังนอนลงและกอดมือของแม็กกี้ขณะที่มันกลับไปนอน ทำให้เกิดเสียงกรนเล็กๆซึ่งแม็กกี้คิดว่ามันเป็นสิ่งที่น่ารักที่สุดในโลก

การได้เห็นมอนเตอร์ตัวเล็กๆที่เธอเคยเห็นเพียงในโทรศัพท์มือถือของเธอกำลังนอนอยู่ตรงนั้นและจับมือเล็กๆของเธออยู่ทำให้เธอมีความสุขมาก เธอรู้สึกแย่ที่ต้องให้พี่ชายของเธอใช้เงินซื้อของขวัญราคาแพงให้เธอ แต่เธอก็รู้จักโนอาห์เป็นอย่างดี เมื่อพี่ชายของเธอตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาก็ดื้อรันมากจนเธอเลิกพยายามโน้วน้าวเขาให้เป็นอย่างอื่น

โนอาห์หยุดฝันกลางวันและเดินเข้ามาหาเธอ เขาทำตามคำแนะนำของระบบ เห็นได้ชัดว่ามีดาวห้าแฉกสีแดงเลือด 2 ดวงที่ทำจากพลังงานลึกลับลอยออกมาจากมือของเขาและลอยอยู่ต่อหน้าต่อตาของแม็กกี้และของหนูตัวน้อย

โนอาห์ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเพื่ออธิบายว่าดาวห้าแฉกนั้นหมายถึงอะไร เนื่องจากเมื่อปรากฏว่าลอยอยู่ต่อหน้าแม็กกี้ เธอก็รู้โดยสัญชาตญาณว่ามันหมายถึงอะไร โดยพื้นฐานแล้วรูปดาวห้าแฉกกำลังถามเธอว่าเธอยอมรับหนูน้อยสีขาวตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงของเธอหรือไม่ โดยที่ทั้งสองจะสาบานว่าจะไม่ทำร้ายกันโดยเจตนาและแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันเสมอ

ถ้ามันปรากฏในสถานการณ์อื่นแม็กกี้คงจะค่อนข้างสงสัยเพราะเธอไม่รู้ว่าดาวห้าแฉกนั้นมาจากไหน แต่เธอเห็นชัดเจนว่าดาวห้าแฉกแปลกๆนี้มาจากมือของโนอาห์ ดังนั้นเธอจึงคิดว่ามันเป็นสัญญาของมอนเตอร์ที่เขาซื้อมาด้วย มันเป็นสัญญาที่แตกต่างจากที่เธอเคยเห็นในวิดีโอแต่คนที่ทำวีดีโอได้อธิบายไว้แล้วว่าต่อหน้าสัญญาบุคคลนั้นจะรู้ว่าต้องทำอะไรโดยสัญชาตญาณ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธออย่างแน่นอน

เมื่อได้รับการมองจากโนอาห์ เธอก็ยอมรับสัญญาและสัญลักษณ์รูปดาวห้าแฉกก็ลอยไปที่หลังมือของเธอและถูกพิมพ์ที่นั่นเหมือนรอยสักแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว หนูตัวน้อยที่ได้รับการดูแลอย่างดีจากแม็กกี้ได้ยอมรับสัญญาเมื่อไม่กี่วินาทีที่แล้วโดยที่มันไม่ต้องคิดอะไรมากเลย

หลังจากที่ทั้งสองยืนยันสัญญา แม็กกี้รู้สึกเชื่อมโยงเล็กน้อยระหว่างเธอกับมอนเตอร์ตัวน้อยที่กลับไปนอนอยู่ในมือของเธอ ราวกับว่าหลังจากเซ็นสัญญาเธอรู้สึกใกล้ชิดกับมันมากขึ้น ราวกับว่าทั้งสองเป็นเพื่อนกันมานาน

เธอต้องการทดสอบว่ามันทำงานอย่างไร แม็กกี้จึงคิดที่จะส่งหนูไปยังอีกมิติหนึ่ง ประตูวาปที่สร้างจากเปลวไฟก็ปรากฏขึ้นเหนือตัวของหนู และในเสี้ยววินาทีต่อมามันก็ห่อหุ้มหนูไว้ก่อนที่จะหายตัวไป เหลือเพียงกลิ่นกำมะถันจางๆที่แม็กกี้รู้ว่ามันเป็นธรรมชาติจากวิดีโอที่เธอดู

ไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับเธอ แต่โนอาห์ก็ประหลาดใจ เขาทดสอบตัวเลือกในการทำสัญญาโดยใช้ระบบและเป็นไปตามที่ข้อความกล่าวไว้ เขาแค่ต้องจินตนาการว่าโครงสร้างสัญญาจะเป็นอย่างไร เขาต้องการให้ทำในลักษณะที่ทั้งสองจะไม่ทำร้ายกันเอง ซึ่งเขาคิดเกี่ยวกับความปลอดภัยของแม็กกี้

เขาอาจจะทำสัญญาในลักษณะที่มีแต่หนูเท่านั้นที่ไม่สามารถทำร้ายแม็กกี้ได้ แต่เขารู้จักน้องสาวของเขา เธอจะไม่ทำอะไรที่โหดร้ายแบบนั้น และการวางประโยคนั้นไว้ในสัญญาจะทำให้หนูยอมรับได้ง่ายขึ้น

หลังจากกำหนดทุกอย่างที่เขาต้องการสำหรับสัญญาแล้ว โนอาห์รู้สึกว่าวัสดุสองชิ้นที่ทำจากพลังงานในมือของเขาบินไปข้างหน้าทั้งสองข้างบนเตียงของโรงพยาบาลและก็เป็นไปตามที่การทำสัญญาควรจะเป็น

สิ่งที่ทำให้โนอาห์ประหลาดใจมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือตอนที่แม็กกี้ส่งหนูไปยังอีกมิติหนึ่ง โนอาห์คิดว่าหนูจะเข้าไปในมิติที่ว่างเปล่าเท่านั้น แต่ไม่เลยเมื่อประตูมิติถูกเปิดออกในเสี้ยววินาที โนอาห์เห็นมันและรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นประตูมิติที่ทำด้วยเปลวไฟและกลิ่นกำมะถันจางๆที่หลงเหลืออยู่ในห้องหลังจากที่ประตูมิติถูกปิด โนอาห์ก็รู้สึกคุ้นเคย…ราวกับว่าเขาเคยไปที่นั่นมาแล้ว

โนอาห์กำลังคิดถึงความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ที่เขามีกับประตูมิตินั้น จู่ๆแม็กกี้ก็ถามคำถามที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจขึ้นมา

“โนอาห์ พี่กำลังเล่น Valorwatch อยู่หรือเปล่า?” เธอถามด้วยดวงตาที่หรี่ลงและมีสีหน้าสงสัย

เมื่อโนอาห์เห็นท่าทางน่ารักของเธอ เขาก็แทบอยากจะเข้าไปบีบแก้มน้องสาวของเขาทันที แต่เขาควบคุมตัวเองได้ดีและตอบคำถามของเธอ

บนรถบัสที่มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกำลังนั่งอยู่ข้างๆกรงที่มีหนูตัวเล็กสีขาวที่มีดวงตาเป็นประกาย

นานๆทีมีเด็กเดินผ่านมา ตาที่สว่างไสวของหนูขาวก็ดึงความสนใจมาให้ นั่นหมายความว่าแม่ของพวกเขาต้องรีบดึงลูกๆออกไปโดยเร็ว และต้องคิดข้อแก้ตัวเพื่อไม่ให้ลูกๆของเธออยากเลี้ยงมอนเตอร์เช่นหนูขาวน้อยตัวนี้ แต่ถ้าให้พูดถึงราคาของหนูขาวตัวนี้ราคาของมันก็มีราคาพอๆกับสุนัขราคาแพงที่มีชื่อเสียงเท่านั้น

ปัญหาทั้งหมดนี้คือถ้ามีคนจะซื้อมอนเตอร์พวกเขาจะต้องมีเงินประมาณ 500 ดอลลาร์เพื่อซื้อหนูขาวตัวนี้ และสำหรับครอบครัวโดยปกติทั่วไปเงินจำนวนนี้ก็เป็นเงินจำนวนมาก แต่ก็ไม่ใช่จำนวนที่เป็นไปไม่ได้ สิ่งสำคัญที่ทำให้สถานการณ์มันยากก็คือพวกเขาที่จะรับมอนเตอร์ไปเลี้ยงได้นั้น พวกเขาจะต้องมีผู้ที่สามารถควบคุมเด็กไม่ให้ออกคำสั่งที่ไม่ถูกต้องกับมอนเตอร์ นอกจากนี้หากความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับมอนเตอร์นั้นไม่สูงพอและไม่สามารถทำสัญญาได้ เงิน 500 ดอลลาร์นั้นก็ไม่สามารถได้รับคืนเช่นเดียวกันหากไม่ซื้อประกันเพิ่มเติม ซึ่งนั่นจะทำให้พวกกเขาเสียเงินมากขึ้นกว่าเดิมอีก

แม้ว่าเด็กๆจะสนใจมอนเตอร์ตัวเล็กๆเหล่านี้มาก แต่สำหรับครอบครัวทั่วไปการที่จะต้องเสี่ยงซื้อ “ของเล่น” มูลค่า 500 ดอลลาร์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างมาก

ทุกคนที่ผ่านโนอาห์บนรถบัสและเห็นเขากับหนูสีขาวในกรงคิดว่าเขามีมอนเตอร์ตัวเล็กเพียงตัวเดียว แต่นั่นไม่เป็นความจริง ที่ข้อมือซ้ายของเขา ถ้าเขายกเสื้อแขนยาวขึ้นพวกเขาก็จะเห็นสร้อยข้อมือสเกลสีดำแปลกๆอยู่ที่ข้อมือของเขา อันที่จริงสร้อยข้อมือนี้คือลิลิธ หลังจากที่เธอพยายามอย่างมากเพื่อที่จะนึกชื่อของเธอ เธอก็เหนื่อยล้าเป็นอย่างมากเธอจึงเข้าไปโอบรอบข้อมือของโนอาห์และหลับลงราวกับว่าสถานที่นั้นเป็นเตียงที่สบายที่สุดในโลก

โนอาห์ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ เขาไม่รู้สึกผิดปกติอะไรกับงูดำตัวเล็กๆที่กำลังนอนอยู่บนข้อมือของเขา อันที่จริงเขารู้สึกมีความสุขด้วยซ้ำไปเพราะเธอตัวเล็กมาก และการนอนอยู่ตรงนี้ของเธอมันก็ดีเพราะคนที่คุยกับโนอาห์ในร้านขายของหลังโนอาห์ออกจากร้านไปหรือผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา แม้ว่าพวกเขาจะเห็นงูนอนอยู่บนข้อมือของเขา พวกเขาก็ไม่ได้สนใจและปล่อยผ่านมันไป

สิ่งที่เขาสังเกตเห็นคือหลังจากผ่านไป 30 นาทีในขณะที่งูนอนอยู่บนข้อมือของเขา โนอาห์เริ่มตระหนักว่าบาดแผลบนร่างกายของเธอเริ่มปิดลงเล็กน้อย

‘เธอไม่ได้บอกว่าไม่ว่าผู้รักษาคนไหนจะทำอะไรกับเธอ บาดแผลของเธอก็ไม่หายเลยไม่ใช่หรอ? แล้วนี่อยู่ๆทำไมบาดแผลของเธอถึงดีขึ้นได้ล่ะ หรือบางทีนี่อาจจะเกี่ยวข้องกับมัน…?’ โนอาห์สงสัยในใจขณะมองงูที่น้อยอยู่ที่ข้อมือของเขาสลับกับหน้าต่างแจ้งเตือนของระบบที่ยังคงเปิดอยู่ตรงหน้าของเขา เขาไม่ยอมรับหรือปฏิเสธคำแนะนำของระบบ เพราะถ้าเขาต้องการที่จะถือว่างูเป็นเพื่อนทั้งในชีวิตส่วนตัวและทั้งในการต่อสู้ เขารู้สึกว่าต้องถามเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน

การนั่งรถบัสไปโรงพยาบาลค่อนข้างสงบ โนอาห์เชื่อว่าบางทีหนูตัวน้อยอาจจะประหม่าและก้าวร้าวเมื่อเดินไปท่ามกลางมนุษย์จำนวนมากโดยที่ยังไม่ได้ทำสัญญา แต่อย่างที่ผู้ดูแลพูด หนูตัวนี้สงบและผ่อนคลายมาก มันนอนอยู่ในกรงโดยยกท้องขึ้นและมีใบหน้าที่เกียจคร้าน

ถ้าโนอาห์ไม่รู้มาก่อนว่าหนูตัวนี้เป็นมอนเตอร์ที่มาจากป้อมปราการอย่างน้อยระดับ D เขาจะเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าสิ่งเล็กๆนี้เป็นเพียงหนูธรรมดาจริงๆ

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล โนอาห์รู้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาพร้อมกับสัตว์เลี้ยง เขาจึงหาพุ่มไม้หนาทึบและซ่อนกรงหนูไว้ที่นั่นอย่างระมัดระวัง เขาซ่อนมันในลักษณะที่แทบไม่มีใครสามารถหามันเจอได้เว้นแต่พวกเขาจะมองหาบางอย่างในนั้นจริงๆ ทีแรกโนอาห์เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่มอนเตอร์ตัวน้อยที่ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาผิดปกติตลอดเวลา ตอนนี้มันรู้สึกสับสนอย่างเห็นได้ชัดมันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น มันไม่เข้าใจว่าทำไมมนุษย์คนนี้ถึงพามันมาอยู่ในที่ที่เต็มไปด้วยวัชพืชและดูเหมือนจะทิ้งมันไว้ตามลำพัง โนอาห์ไม่สนใจว่าเจ้าหนูกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเดินออกมาก่อนจะเข้าโรงพยาบาลและทักทายผู้ดูแลทุกคนเหมือนเช่นเคย

เมื่อมาถึงห้องน้องสาวของเขา เธอกำลังใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นเก่าเพื่อดูอะไรบางอย่างอยู่ โนอาห์คิดว่ามันเป็นหนึ่งในวิดีโอ MyTube ที่เธอชอบดู เมื่อตอนที่เขายังอยู่ที่โรงเรียน เขาชอบ MyTubers บางคนมาก เขาถึงขนาดคิดถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะบันทึกวีดีโอลงบนอินเตอร์เน็ตเพื่อความสนุกเช่นกัน แต่หลังจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับแม่ของเขา เขาก็ไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันอีกเลย เขาทิ้งความคิดนี้ไว้ในจิตใจของเขา

เมื่อแม็กกี้เห็นโนอาห์เข้ามาที่ประตู เธอวางโทรศัพท์มือถือไว้บนโต๊ะข้างเตียงและยิ้มให้เขาทันที เธออ้าแขนเล็กๆของเธอและขยับนิ้วเล็กๆของเธอราวกับจะบอกว่า

“มากอดฉันที เร็ว!”

โนอาห์รู้ดีว่านั่นคือสิ่งที่เธอหมายถึง ดังนั้นโดยที่เขาไม่ต้องพูดอะไร เขาเข้าหาเธอและกอดเด็กหญิงตัวเล็กๆที่กลายเป็นเหตุผลในการมีชีวิตอยู่สำหรับเขา และนั่นยังเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงจดจ่อกับการบุกเข้าไปในป้อมปราการอย่างหนัก

ทั้งสองสนทนากันสั้นๆซึ่งเธอบอกโนอาห์ทุกอย่างที่เธอทำในเวลาที่พวกเขาไม่เห็นหน้ากัน และโนอาห์ก็เล่าทุกอย่างที่เขาทำกับเธอ ตั้งแต่งานเลี้ยงที่บ้านของคาร์ลอสไปจนถึงการบุกโจมตีป้อมปราการระดับ E แม็กกี้มีความสุขและตื่นเต้นมากที่รู้ว่าพี่ชายของเธอได้เลื่อนระดับแล้ว และตอนนี้เขาก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย

ในความคิดของเธอหลังจากที่แม่ของเธอเสียชีวิต บุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเธอก็คือโนอาห์ พี่ชายของเธอ เขามักจะทำให้เธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่อยู่ยงคงกระพันเป็นคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างที่เขาต้องการ และทุกอย่างก็คล้ายจะเป็นไปตามที่เธอคิดไว้ พี่ชายของเธอเป็นคนที่มีพลังเธอมั่นใจได้จากการที่ได้เห็นเขาเลื่อนระดับ

แม็กกี้เชื่ออย่างสุดใจว่ามันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นที่โนอาห์จะไปถึงระดับ A แม้ว่าเขาจะพยายามบอกเธอแล้วว่านี่เป็นสิ่งที่ยากมากในอดีตตั้งแต่ก่อนที่ระบบของเขาจะตื่นขึ้น แต่เธอไม่เคยฟังเขาเลย เธอมักจะพูดด้วยความมั่นใจว่าพี่ชายของเธอจะต้องไปถึงจุดสูงสุดอย่างแน่นอนด้วยพรที่เขาได้รับ แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าจริงๆแล้วพรนั้นคืออะไรก็ตาม

“ฉันซื้อของขวัญมาให้เธอด้วยนะน้องรัก แต่เธอจะต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เธอคิดว่าเธอทำได้ไหม?” โนอาห์ถามด้วยรอยยิ้มอบอุ่นให้แม็กกี้

เมื่อแม็กกี้ได้ยินคำว่า “ของขวัญ” ใบหน้าของเธอก็ยิ้มอย่างมีความสุขและตื่นเต้นอย่างรวดเร็ว เธอมีความสุขที่ได้รับของขวัญของสิ่งใหม่และไม่รู้จัก ส่วนใหญ่เป็นเพราะของขวัญนั้นมาจากพี่ชายของเธอ แต่เมื่อเธอนึกถึงปัญหาทางการเงินที่พวกเขาประสบเพราะอาการป่วยของเธอ แม็กกี้รู้สึกผิดทันทีกับสิ่งที่เธอทำ

“โนอาห์…หนู…หนูไม่ต้องการของขวัญ พี่เป็นของขวัญของหนูแล้ว พี่สามารถเอามันไปคืนและเอาเงินคืนมาได้” เธอพูดด้วยสีหน้าเศร้าๆ แต่เธอก็พยายามเปิดรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของเธอ เพื่อที่โนอาห์จะได้ไม่รู้ว่าเธอพยายามจะทำอะไร

แต่โนอาห์รู้จักน้องสาวตัวน้อยของเขาเป็นอย่างดี เมื่อเขาเห็นการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของเธอ เขาได้ค้นพบแล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรและวางแผนจะทำอะไร

“ไม่ ไม่ ฉันซื้อของขวัญจากร้านที่ไม่รับเงินคืน น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอถูกบังคับให้เก็บของขวัญที่ฉันซื้อมาให้เธอแล้ว” โนอาห์พูด เขาพยายามแสร้งทำเป็นว่าเขาผิดหวัง แต่รอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขาก็ไม่รอดจากสายตาของแม็กกี้ ผู้ซึ่งเข้าใจในทันทีว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

เธอรู้สึกผิดที่เธอทำให้พี่ชายของเธอต้องหาเงินตลอดเวลา แต่การดูเขาทำทุกอย่างเพื่อเธอก็ทำให้หัวใจของเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอบอุ่น นั่นเลยทำให้แม็กกี้คิดในใจว่า

‘สักวันหนึ่งหนูจะตอบแทนพี่ พี่ชาย’

“โอเค หนูสัญญาว่าหนูจะเก็บของขวัญนี้ไว้เป็นความลับ…แต่มันอยู่ที่ไหน?” แม็กกี้เลิกปฏิเสธที่จะรับของขวัญนี้ โดยรู้ว่าโนอาห์จะโกรธเธอหากเธอยังคงทำเช่นนั้น เธอจึงตัดสินใจที่จะรับของขวัญด้วยความคิดที่ว่าเธอจะให้รางวัลโนอาห์ในอนาคตเมื่อทุกอย่างดีขึ้น

“ฉันซ่อนเขาไว้ในที่ลับ อยู่เงียบๆและรอที่นี่นะ มันเป็นเรื่องที่เธอจะต้องเซอร์ไพรส์แน่นอน ฮิฮิ” โนอาห์หัวเราะอย่างชั่วร้ายเล็กน้อยก่อนที่จะเทเลพอร์ตโดยใช้อุโมงค์นรกออกจากโรงพยาบาลไปตรงที่หนูน้อยสีขาวซ่อนอยู่ นี่คือแผนของเขาที่จะนำมอนเตอร์ต้องห้ามเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากเขามั่นใจอย่างเต็มที่ว่ามันจะสามารถปกป้องน้องสาวของเขาได้ในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เขาจึงไม่สนใจกฏเกณฑ์ที่ห้ามผู้ป่วยเลี้ยงสัตว์หรือมีสัตว์เลี้ยงอยู่ใกล้ๆ และในทางเทคนิคแล้ว มอนเตอร์พวกนี้ก็ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงที่เหมาะสมด้วย ดังนั้นโรงพยาบาลน่าจะต้องมีข้อห้ามอย่างแน่นอน

สิ่งที่โนอาห์ไม่รู้ก็คือเมื่อแม็กกี้เห็นเขาเทเลพอร์ตออกจากโรงพยาบาลด้วยทักษะของเขา แทนที่เธอจะกลัวว่ามันจะลุกเป็นไฟ เธอกลับตกใจด้วยเหตุผลอื่น

“พี่ชายของฉันคือลูซิเฟอร์ที่ปรากฏตัวในการถ่ายทอดสดของพิกแมนงั้นหรอ?” เธอถามตัวเองด้วยเสียงที่ดังและตกใจ

‘ลิลิธ…’ งูพูดด้วยเสียงที่เบาจากความเหนื่อยล้าออกมา

สำหรับคนอื่นชื่อนั้นอาจถูกมองว่าเป็นชื่อสามัญ แต่โนอาห์ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับลูซิเฟอร์มามากมายในตอนที่เขาได้รับระบบมา ดังนั้นแม้ว่าสำหรับคนอื่นๆชื่อนั้นจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่สำหรับเขา

โนอาห์รู้ว่าครั้งหนึ่งลูซิเฟอร์มีผู้หญิงที่มากับเขา ในความเป็นจริงเมื่อพระเจ้าทรงตัดสินใจที่จะสร้างมนุษย์พระองค์ได้สร้างสิ่งมีชีวิตจากดินขึ้นมาสองตัวคือชายคนหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าอดัมและผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าลิลิธ

อย่างไรก็ตามอดัมเป็นผู้ชายและมีอิทธิพลอย่างมาก โดยเขาเชื่อว่าเขาเป็นเจ้าของลิลิธ เพียงเพราะเขาเป็นผู้ชาย ในขณะที่ลิลิธซึ่งได้ถือกำเนิดจากดินเหนียวเช่นเดียวกับเพื่อนของเธอเริ่มไม่ชอบสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอ

พระเจ้าตรัสว่าในฐานะผู้หญิงลิลิธควรรับใช้อดัมในฐานะคนรับใช้ แต่เธอรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ถูกต้องเนื่องจากทั้งสองคนเท่าเทียมกันและเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน เธอไม่ชอบที่จะถูกบังคับให้ผิดหวังระหว่างมีเซ็กส์ เธอไม่ชอบที่จะต้องทำทุกอย่างที่อดัมพูด เธอต้องการได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน น่าเสียดายสำหรับลิลิธ พระเจ้าและอดัมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ พวกเขาต้องการให้เธออ่อนน้อมและเชื่อฟังสามีของเธอ

ลิลิธไม่เคยต้องการเหนือกว่าใคร เธอเพียงแค่ต้องการมีสิทธิเท่าเทียมกับอดัม เธอโกรธเคืองที่ถูกมองว่าเป็นผู้ต่ำต้อยโดยไม่มีเหตุผล เธอจึงตัดสินใจที่จะวิ่งหนี

ลิลิธหนีไปเป็นระยะทางไกลจนกระทั่งเธอเข้ามาใกล้สถานที่บนโลกที่เรียกว่าทะเลแดง ที่นั่นทูตสวรรค์สามองค์ได้มาพบเธอเพื่อที่จะพาเธอกลับไปรับใช้อดัม แต่เธอปฏิเสธ

ตามเรื่องที่โนอาห์อ่าน หลังจากที่เธอปฏิเสธที่จะกลับมาพร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งสาม ลูซิเฟอร์ก็มาและยื่นมือของเขาให้เธอ ลูซิเฟอร์ต่างจากพระเจ้าและอดัมที่เห็นเธอเป็นเพียงวัตถุที่ด้อยกว่าเท่านั้น ลูซิเฟอร์ไม่เคยมองเธอด้วยลักษณะเช่นนั้น เขามองว่าเธอเท่าเทียมซึ่งนั่นทำให้เขาเอาชนะใจเธอได้ทันที

หลังจากอดัมอยู่คนเดียวมานานเขาได้เข้าสู่ความฝันลึกๆที่พระเจ้าดึงซี่โครงของเขาออกมาหนึ่งซี่และใช้มันเพื่อสร้างอีฟ ซึ่งจากที่เธอถูกสร้างขึ้นโดยใช้ชิ้นส่วนของอดัมทำให้อีฟมีความกตัญญูต่อเขาและยอมรับแนวคิดเรื่องยอมจำนนในความสัมพันธ์ของพวกเขา

น่าเสียดายสำหรับโนอาห์เขาไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับลิลิธได้มากไปกว่านั้น เมื่อเวลาผ่านไปหลายร้อยปีนับตั้งแต่มนุษยชาติเชื่อในพระเจ้าของคาทอลิกข้อมูลต่างๆก็สูญหายไปรวมถึงเรื่องราวที่เหลือของลิลิธด้วย

เมื่องูตัวน้อยบอกโนอาห์ว่าเธอชื่อลิลิธ โนอาห์ก็อดไม่ได้ที่จะเชื่อมโยงเธอกับลิลิธจากเรื่องราวที่เขาอ่าน ผู้หญิงคนแรกในโลกที่ชื่อลิลิธเห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนี้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูซิเฟอร์และตอนนี้โนอาห์ซึ่งเป็นผู้สืบสายเลือดของลูซิเฟอร์ได้พบงูประหลาดที่มีพลังปีศาจและรู้สึกถึงความเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งสำหรับเธอและยังพบว่าชื่อของเธอก็คือลิลิธเช่นกัน

ในใจของเขามันเป็นไปไม่ได้เลยที่สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แม้ว่างูจะเป็นปีศาจทั่วไปที่ชื่อลิลิธแต่นั่นก็ไม่ได้อธิบายถึงความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดที่ทั้งสองมี

อีกประการหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่ดึงดูดความสนใจของโนอาห์คืองูเป็นทารกแรกเกิด เธอบอกว่าเธอเกิดเมื่อไม่กี่เดือนที่แล้วซึ่งค่อนข้างทำให้ทฤษฎีของโนอาห์ยุ่งเหยิงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น ถ้างูตัวนั้นเป็นของลิลิธจากเรื่องของลูซิเฟอร์เธอคงต้องมีอายุหลายพันปี แต่เจ้างูตัวนี้มีอายุเพียงไม่กี่เดือน…

‘เกิดอะไรขึ้น?’ งูถามเขาเมื่อเธอสังเกตเห็นสีหน้าหม่นหมองของเขา

‘บางทีเธออาจจะเป็นลูกหลานของเธอคนนั้น?’ โนอาห์แนะนำเธอซึ่งกำลังมองเขาด้วยสายตาสงสัยไม่เข้าใจว่าโนอาห์หมายถึงอะไร

“โอเค คุณบอกว่าคุณต้องการมอนเตอร์สำหรับน้องสาวของคุณ คุณมีมอนเตอร์ที่ต้องการในใจแล้วหรือยัง?” ผู้ดูแลที่เพิ่งยอมรับความจริงว่างูที่เธอชื่นชอบถูกคนอื่นได้ไปแล้ว หัวใจของเธอเจ็บเล็กน้อยราวกับว่าเธอถูกผู้หญิงทรยศ เธอถอนหายใจและมองไปที่โนอาห์ขณะที่เธอถาม

“ฉันเหลือเพียง 500 ดอลลาร์เท่านั้นมีมอนสเตอร์ตัวอื่นในช่วงราคานั้นหรือเปล่า?” โนอาห์ถามด้วยความสงสัยและเป็นห่วง เขามาที่ร้านนี้เพื่อหาของขวัญให้น้องสาวตัวน้อยของเขา แต่เขาใช้เงินไปแล้วครึ่งหนึ่งเพื่อซื้องู มันจะน่าเศร้ามากถ้าเขาไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อของขวัญให้แม็กกี้เพราะเขาใช้เงินหมดไปแล้ว

“อืม…ในราคา 500 ดอลลาร์ฉันเชื่อว่าคุณสามารถซื้อหนูตัวน้อยได้เท่านั้น มันเหมาะสำหรับเป็นของขวัญโดยเฉพาะสำหรับเด็กเนื่องจากพวกมันเชื่องมาก โอกาสที่หนูกับน้องสาวของคุณจะเข้ากันได้และทำสัญญาร่วมกันเป็นไปได้สูงมาก” พนักงานต้อนรับกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างมืออาชีพกับโนอาห์และกลับไปที่ท่าทางที่เธอได้รับการฝึกฝนมาในที่ทำงาน

“เยี่ยมเลย! ฉันเคยเห็นหนูตัวเล็กนั่นแล้ว ฉันเชื่อว่าน้องสาวของฉันจะรักมัน สัญญามาพร้อมกับการซื้อใช่มั้ย?” โนอาห์ถามโดยเขาจำมาจากสิ่งที่พิมพ์ทางอินเทอร์เน็ตที่เขาอ่าน ในนั้นกล่าวว่าร้านขายมอนเตอร์เกือบทุกแห่งให้สัญญาฟรีเมื่อซื้อมอนเตอร์ หากสัญญาล้มเหลวลูกค้าจะต้องซื้อสัญญาอื่นจากร้านค้า

นี่เป็นวิธีที่ร้านค้าจะได้กำไร ไม่เพียงแต่จากการขายมอนสเตอร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการขายสัญญาด้วย เนื่องจากการทำสัญญานั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่เนื่องจากความรู้เฉพาะทางเป็นสิ่งจำเป็นคนทั่วไปจึงไม่สามารถทำได้ซึ่งนำไปสู่ราคาที่สูงและส่งผลให้ผู้ขายมีกำไรมาก

แต่มีบางอย่างที่โนอาห์ต้องการทดสอบ หน้าต่างสีดำที่มีตัวอักษรเขียนด้วยไฟยังคงลอยอยู่ในมุมมองของเขาพร้อมกับถามว่าเขาต้องการทำสัญญากับลิลิธหรือไม่ เขายังไม่ยอมรับเพราะต้องการดูสัญญาที่ทางร้านจัดให้ก่อน

หากสิ่งที่เขาคิดจะทำนั้นถูกต้องจริงๆไม่เพียงแต่เขาจะได้เงินจากป้อมปราการเท่านั้น เขายังสามารถสร้างรายได้จากสัญญาเหล่านี้ได้อีกด้วย

เมื่อเขารู้ว่าการซื้อมอนสเตอร์ระดับต่ำนั้นมีราคาแพงมากโนอาห์ก็ตระหนักว่าตอนนี้เขาจำเป็นต้องหาเงินมากขึ้น แม้ว่าเขาจะไปถึงระดับ D แต่เขาก็ยังทำเงินได้ไม่เพียงพอสำหรับทุกสิ่งที่เขาต้องการทำ ดังนั้นเขาจึงต้องการอย่างอื่นเพื่อสร้างเงินนอกเหนือจากการบุกป้อมปราการ เนื่องจากเขาอาจจะทำเงินได้เพียงพอในการชำระหนี้ของเขาจากป้อมปราการเมื่อเขาอยู่ในระดับ C เพราะผู้ถูกเลือกระดับ C จะได้รับอย่างน้อย 5,000 ดอลลาร์ต่อป้อมปราการ

การคิดว่าผู้ถูกเลือกที่ไปป้อมปราการเพียงสัปดาห์ละ 3 ครั้งและจะมีรายได้ถึง 60,000 ดอลลาร์ต่อเดือนทำให้โนอาห์รู้สึกอิจฉา แต่ตอนนี้โนอาห์รู้ดีว่ามันเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่เขาจะไปถึงระดับ C หรือสูงกว่านั้น ตอนนี้เป้าหมายของเขากลายเป็นเป้าหมายที่สามารถเป็นจริงได้แล้ว

เด็กสาวใช้เวลาไม่นานในการทำเอกสารเกี่ยวกับมอนเตอร์ทั้งหมดให้เขา เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลได้กำหนดกฎหมายและข้อจำกัดต่างๆเกี่ยวกับมอนเตอร์ในเมือง เนื่องจากมอนเตอร์บางตัวในเมืองยังคงก้าวร้าว ผู้คนจึงกลัวว่าพวกมันจะฆ่าทุกคนหากพวกมันถูกปล่อยโดยไม่มีสัญญาและการดูแล

เมื่อนึกถึงประเด็นนี้โนอาห์จำได้ว่ามีมอนเตอร์ที่เป็นมนุษย์อยู่ด้วย

‘ก็อบลิน ออร์ค เอลฟ์…เป็นไปได้ไหมที่จะทำสัญญากับมอนเตอร์พวกนี้? ฉันสามารถทำสัญญาพวกนั้นกับมอนเตอร์พวกนี้ได้หรือเปล่า? ค่าประสบการณ์ของฉันจะเป็นยังไงหากมอนเตอร์ทำสัญญากับฉันและมอนเตอร์พวกนั้นไปฆ่ามอนเตอร์ตัวอื่นในป้อมปราการ? ฉันจะได้รับค่าประสบการณ์ทั้งหมดหรือเปล่า? หรือเราจะแบ่งค่าประสบการณ์กัน? มอนเตอร์สามารถเพิ่มเลเวลได้หรือไม่?’

เมื่อนึกถึงเรื่องต่างๆมากมายโนอาห์ก็เริ่มปวดหัว

เนื่องจากลักษณะที่เขาพัฒนามาจากการต้องการควบคุมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอและเพื่อควบคุมทุกสิ่งเขาจำเป็นต้องมีข้อมูลให้มากที่สุดเสมอ เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องเผชิญกับคำถามที่ยากหรือสิ่งที่สับสนสมองของเขาก็จะเริ่มคำนวณอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างคำถามมากมายสำหรับเขาเพื่อหาคำตอบและรับความรู้ที่จำเป็นในการควบคุมทุกโอกาสที่จะเป็นไปได้

‘ฉันต้องควบคุมตัวเองสักหน่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้…’ โนอาห์คิดพร้อมกับถอนหายใจในขณะที่เขาเล่นกับงูสีดำสวยงามที่พันรอบข้อมือของเขาเหมือนสร้อยข้อมือเพราะตอนนี้มันไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างสมบูรณ์

อนาคตที่รอเขาอยู่หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร เมื่อลิลิธงูตัวน้อยได้เข้าไปอยู่ในชีวิตของโนอาห์นับจากนี้…

ทันทีที่โนอาห์แตะหัวงูหน้าต่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งลอยอยู่ต่อหน้าต่อตาเขา

[พบออร่าปีศาจที่อ่อนแอลง เช่นเดียวกับเจ้าแห่งนรก ผู้ใช้สามารถทำสัญญากับปีศาจตัวใดก็ได้ คุณต้องการทำสัญญาหรือไม่]

เมื่ออ่านข้อความโนอาห์ก็รู้สึกประหลาดใจ เขาประหลาดใจเพราะเห็นได้ชัดว่างูตัวเล็กตัวนี้ที่ทุกคนเชื่อว่าเป็นมอนเตอร์ที่อ่อนแอนั้นแท้จริงแล้วเป็นปีศาจ เมื่อคิดว่าอาจมีปิศาจตัวอื่นๆทั่วโลกเช่นเดียวกับงูน้อยตัวนี้มันก็ทำให้โนอาห์รู้สึกตื่นเต้น

ในฐานะผู้สืบสายเลือดของลูซิเฟอร์เขาจินตนาการว่าวันหนึ่งเขาจะสามารถบังคับบัญชากองทัพปีศาจได้ ดังนั้นหากเขาสามารถหาปีศาจเหล่านี้ได้ทั่วโลกเขาก็สามารถพัฒนากองทัพปีศาจที่เขาจินตนาการไว้ได้

แต่มีบางอย่างในหน้าต่างนั้นที่ดึงดูดความสนใจของเขา

‘สัญญาหมายความว่ายังไง’ เขาถามจากระบบ เขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับระบบมากนัก เนื่องจากข้อมูลที่ระบบให้มานั้นชัดเจนมากเขาจึงไม่เคยมีข้อกังวลใดๆที่ต้องสอบถามจากระบบมากนักจนตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าระบบจะตอบเขาหรือไม่

โชคดีสำหรับเขาระบบตอบสนองหลังจากนั้นไม่นาน

[ลูซิเฟอร์มีชื่อเสียงมากในโลกจากสัญญาที่เขาทำ ในตอนที่เขาอยู่ในจุดสูงสุดมนุษย์ยังมีคำพูดเกี่ยวกับเขาที่กล่าวว่า “ให้ระวังเมื่อทำสัญญากับปีศาจ” อย่างไรก็ตามสัญญาเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะมนุษย์เท่านั้น ลูซิเฟอร์ยังทำสัญญากับปีศาจเพื่อแลกกับบางสิ่งที่ปีศาจอาจต้องการ เมื่อเวลาผ่านไป มนุษยชาติเริ่มเข้าใจว่าการติดต่อและทำสัญญากับปีศาจทำยังไง บางคนถึงกับคัดลอกส่วนเล็กๆของสิ่งที่สัญญาสามารถทำได้และไปสร้างใหม่ในฐานะผู้สร้างข้อตกลง ลูซิเฟอร์มีอำนาจควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นในสัญญาและในฐานะสายเลือดของเขาผู้ใช้ก็สามารถควบคุมได้เช่นกัน คุณต้องการทำสัญญากับปีศาจตนนี้หรือไม่]

เมื่ออ่านข้อความนี้โนอาห์ก็ประหลาดใจชั่วขณะ หากสิ่งที่ข้อความนี้พูดเป็นความจริง เป็นไปได้ว่าสัญญาที่มนุษย์กำลังทำกับมอนเตอร์อยู่นั้นเป็นผลมาจากสัญญาที่ลูซิเฟอร์ทำกับมนุษยชาติในอดีต เนื่องจากเป็นเวลานานแล้วที่มนุษย์เชื่อในพระเจ้าคาทอลิกและลูซิเฟอร์ นั่นทำให้รู้สึกว่าข้อมูลจากที่มาของสัญญาเหล่านั้นหายไป

‘ถ้าฉันสามารถควบคุมวิธีการทำงานของสัญญาได้ ฉันสามารถทำให้สัญญาเป็นสัญญาที่เท่าเทียมกันได้หรือเปล่า? งูตัวนี้ไม่ได้แสดงเจตนาร้ายต่อฉัน’ โนอาห์คิดอย่างจริงจังขณะที่เขามองไปที่งูตัวน้อยตรงหน้าของเขา

‘จำอะไรเกี่ยวกับตัวเองได้บ้างไหมเพื่อนตัวน้อย’ โนอาห์ถามงูในขณะที่ดูมันพันรอบนิ้วของเขา

งูมองโนอาห์สองสามวินาที หลังจากนั่นมันก็หลับตาลงดูเหมือนจะพยายามนึกอะไรบางอย่าง สิ่งที่มันพูดกับโนอาห์เป็นความจริง มันจำได้ว่ามันเกิดมาจากไข่และได้รับการดูแลจากมนุษย์ แต่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น สิ่งเดียวที่มันไม่ได้พูดถึงคือส่วนหนึ่งของความทรงจำของมันที่ดูเหมือนหมอกจางๆ ในตอนแรกมันเชื่อว่าความทรงจำส่วนนี้ของมันคือช่วงเวลาที่มันยังไม่ได้สติอยู่ในไข่ แต่เมื่อได้ยินคำถามของโนอาห์มันจึงตัดสินใจที่จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพยายามมองดูบางสิ่งระหว่างหมอกนั้นภายในหัว

น่าแปลกสำหรับมันเพราะหลังจากที่มนุษย์คนนี้สอดมือเข้ามาในตู้ปลาของมัน แทนที่มันจะรู้สึกรังเกียจเหมือนที่มันรู้สึกกับมนุษย์คนอื่น แต่ครั้งนี้มนุษย์คนนี้กลับดึงดูดมันอย่างน่าประหลาด ประหลาดมากจนมันเริ่มรู้สึกสบายตัวมากเมื่อได้นอนขดตัวอยู่ในมือของเขา บาดแผลที่ติดตัวมันมาตั้งแต่เกิดตอนนี้เริ่มสบายขึ้น มันรู้สึกว่าบาดแผลพวกนั้นยังคงเจ็บอยู่แต่มันก็เจ็บน้อยลงหากมันระวังตัว แต่เมื่อมันพันตัวของมันรอบผิวหนังของมนุษย์คนนี้มันก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป

ในขณะที่งูกำลังนึกอะไรบางอย่าง ผู้ดูแลก็มองไปที่งูและโนอาห์ด้วยท่าทางตกใจ เธอไม่อยากจะเชื่อว่าชายหนุ่มคนนี้สามารถโต้ตอบกับงูดำตัวน้อยตัวนี้ได้จริง เธอทำได้เพียงแต่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเท่านั้น

“คุณ…คุณต้องการเก็บงูตัวนั้นไว้หรือเปล่าคะ?” หญิงสาวถามอย่างไม่แน่ใจ หากงูกัดเขาหรือพยายามหนีไม่ว่าด้วยวิธีใด เธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากแสดงมอนเตอร์ตัวอื่นให้เขาดูเพราะหากมอนเตอร์ไม่เต็มใจสัญญาก็จะไม่ได้ผลเลย แต่เมื่อดูจากท่าทางของงูตัวนั้นว่าเชื่องแค่ไหนหญิงสาวก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีมาก

เป็นเรื่องยากที่มอนเตอร์จะทำตัวคุ้นเคยกับมนุษย์ แม้แต่หนูตัวเล็กตาสว่าง ซึ่งรู้กันดีว่าเชื่องและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ก็แทบไม่ได้ทำตัวเชื่องเหมือนงูตัวเล็กตัวนี้เลย สิ่งที่หนูทำมากที่สุดคือการทำตัวเฉยเมยเมื่อมนุษย์หยิบมันขึ้นมา และนั่นเป็นสัญญาณที่ดีที่สุดที่พวกมันจะมอบให้ได้ แต่การเริ่มเลื้อยมาที่มือของมนุษย์ราวกับรู้จักกันมานานนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจากมอนเตอร์ในร้านมาก่อน เมื่อมองไปที่งูที่กำลังปิดตาลงครึ่งหนึ่งหญิงสาวก็คิดว่าสองคนนี้มีวาสนาร่วมกัน

“ครับถ้าทำได้ผมอยากเก็บไว้ งูตัวนี้ราคาเท่าไหร่งั้นหรอ?“ โนอาห์ตอบและถามหญิงสาวอย่างเหม่อลอยขณะที่มองไปที่งูซึ่งยังคงดิ้นรนกับกระบวนการค้นหาข้อมูลบางอย่างจากความทรงจำของมันเอง

เมื่อได้ยินคำถามของโนอาห์ผู้ดูแลไม่รู้ว่าเธอรู้สึกดีที่สามารถขายงูที่มีปัญหาซึ่งสร้างความเสียหายให้กับร้านได้ หรือเธอรู้สึกแย่ที่ไม่สามารถซื้องูตัวนี้ได้เองเพราะเธอก็ชอบมันเหมือนกัน

“ราคาของมันถูกลดลงเนื่องจากมันเกิดมาพร้อมกับอาการบาดเจ็บและไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเอาชนะความไว้วางใจของมันได้ ร้านค้าของเราจึงต้องลดราคาของมันเพื่อให้ขายมันได้ง่ายมากขึ้น ราคาเดิมของมันคือ 2,000 ดอลลาร์ แต่จากสภาพของมันและสถานะที่เป็นปัญหาของมันดังนั้นมันจึงถูกลดราคาลง 75% เหลือเพียง 500 ดอลลาร์เท่านั้น อันที่จริงราคานี้น้อยกว่าจำนวนเงินที่ใช้ในการรักษามันไปแล้ว” หญิงสาวกล่าวด้วยความเศร้าในตัวของเธอ

หากมันใช้เพียงแค่เงินในการซื้อเธอก็คงจะซื้องูไปแล้วและพยายามที่จะเอาชนะมันที่บ้านของเธอเอง แต่ร้านค้ามีนโยบายที่จะไม่ขายมอนเตอร์ที่อาจฆ่ามนุษย์ได้จากความสัมพันธ์ที่ต่ำ แต่หากภายหลังที่ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อมอนเตอร์ไปแล้ว ร้านค้าจะไม่รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตใดๆของคนซื้อ

“ได้เลย ฉันจะพามันไปด้วย” โนอาห์รู้กังวลในครั้งแรกเมื่อเขาได้ยินว่าราคาเริ่มต้นของมันสูงถึง 2,000 ดอลลาร์ เขาคงไม่สามารถซื้อมันได้ถ้าราคายังสูงขนาดนั้น แต่ตอนนี้เขาก็มีความสุขที่เขามีเงินเพียงพอที่จะซื้อมันในราคาที่ลดลงมาแล้ว

หากเขายังคงเป็นผู้ถูกเลือกระดับ F เขาจะต้องบุกป้อมปราการ 3 แห่งและเสี่ยงชีวิตของตัวเองอีกทั้งยังต้องประหยัดเงินในสิ่งจำเป็นพื้นฐานเพื่อให้สามารถซื้องูตัวนี้ได้ในราคาส่วนลด แต่หากเป็นราคาเดิมเขาคงต้องบุกป้อมปราการมากกว่า 20 แห่งเพื่อให้มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายให้กับงูตัวนี้และเมื่อพิจารณาถึงเงินที่เขาควรจะจ่ายให้ลุงของเขาทุกสัปดาห์มันอาจจะต้องใช้เวลานานกว่านี้ในการรวบรวมเงิน

ในขณะที่โนอาห์มีความสุขที่ได้เป็นผู้ถูกเลือกระดับ E เพราะมันทำให้เขามีรายได้อย่างน้อย 1,000 ดอลลาร์จากการบุมป้อมปราการ

งูตัวน้อยก็ยังคงพยายามอย่างจริงจังที่จะถอดรหัสความทรงจำบางส่วนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีหมอกในหัวของมัน

ทุกครั้งที่มันพยายามสำรวจส่วนนั้นของความทรงจำมันจะรู้สึกเหนื่อยมาก ส่วนนั้นในจิตใจของมันเป็นเหมือนหลุมดำของพลังงานดังนั้นทันทีที่มันเริ่มพยายามเจาะเข้าไปในส่วนนั้นของจิตใจมันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันใช้เวลาหลายชั่วโมงในการวิ่งไปรอบๆโดยไม่หยุดพัก

โชคดีที่สิ่งที่มันทำเพื่อคลี่คลายความทรงจำส่วนนั้นไม่ได้ไร้ผลไปซะทั้งหมด เพราะอย่างน้อยมันก็สามารถได้รับข้อมูลเล็กๆน้อยๆในขณะที่มันดิ้นรนอยู่ที่นั่น

โนอาห์ผู้ซึ่งหลงใหลในเกล็ดสีดำเล็กๆที่สวยงามบนร่างกายของมันได้สังเกตเห็นว่ามันลืมตาขึ้นอีกครั้ง แต่มันเริ่มหายใจไม่ออกไปช่วงหนึ่ง หลังจากนั้นก่อนที่โนอาห์จะได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับมัน มันก็พูดบางอย่างกับโนอาห์ที่ทำให้เขาประหลาดใจ

“สวัสดีค่ะ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?” หญิงสาวอายุ 18 ปีกล่าวทักทายโนอาห์ด้วยรอยยิ้มที่น่ารักซึ่งแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังที่มีต่อโนอาห์

โนอาห์มึนงงไปชั่วขณะและไม่รู้ว่าจะต้องตอบสนองอย่างไร เขาไม่รู้ว่าเขามองงูตัวนั้นมานานแค่ไหนแล้ว แต่มีบางอย่างเกี่ยวกับมันที่ทำให้เขาอยากมองมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

บางสิ่งบางอย่างเช่นพวกเขา…รู้จักกัน…

“คุณคะ?” หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง

เมื่อโนอาห์เห็นว่าหญิงสาวอยู่ตรงหน้าเขา เขาก็แสดงรอยยิ้มขอโทษเล็กๆออกมาบนใบหน้าของเขา

“ขอโทษที ฉันสนใจมอนเตอร์สำหรับน้องสาวของฉัน…และอีกตัวหนึ่งสำหรับฉัน…” เขาพูดตอนสุดท้ายขณะที่เขามองไปที่งูอีกครั้ง

ตั้งแต่ที่งูตื่นขึ้นมาโนอาห์ก็ไม่เคยละสายตาไปจากงูเลย เห็นได้ชัดว่างูเป็นสิ่งที่มีเสน่ห์และน่าดึงดูดใจมากสำหรับโนอาห์และงูก็ยังมองเขาอยู่เช่นกัน ความตั้งใจของเขาที่จะมาที่ร้านนี้ในวันนี้คือเพื่อหามอนเตอร์ให้น้องสาวตัวน้อยของเขา แต่มีบางอย่างในตัวเขาตะโกนบอกเขาว่าเขาควรจะซื้องูตัวนี้โดยไม่ต้องคำนึงถึงราคา

“นั่นเยี่ยมไปเลย เรามีมอนเตอร์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเด็กทุกวัย แต่สำหรับคุณแล้วฉันจะแนะนำให้คุณรู้จักกับมอนเตอร์ที่น่าสนใจมากกว่านี้ดีไหม?” หญิงสาวถาม

“ไม่ ฉันคิดว่าฉันเจอมอนเตอร์ที่ฉันต้องการแล้ว” โนอาห์พูดขณะมองหน้างูตัวน้อยอีกครั้ง

“งูตัวนั้นงั้นหรอคะ ฉันขอโทษที่ต้องบอกคุณว่างูตัวนี้มีปัญหาเป็นอย่างมากและฉันไม่อยากแนะนำให้ใครซื้อมันไป” หญิงสาวกระซิบกับเขาอาจจะเพื่อไม่ให้หัวหน้าของเธอได้ยินว่าเธอไม่ต้องการขายมอนเตอร์ตัวนี้

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดโนอาห์ก็ประหลาดใจ งูตัวน้อยน่ารักตัวนี้มีปัญหามากขนาดไหนกัน? ถ้าไม่คำนึงถึงบาดแผลที่มันมีบนร่างกาย มันก็ดูดีอย่างมากสำหรับโนอาห์ และเนื่องจากขนาดที่เล็กของมัน เขาก็เห็นเกล็ดสีดำเล็กๆนี้เป็นเหมือนกับขนของมัน

“มีปัญหางั้นหรอ?” โนอาห์ถามขณะเดินเข้าไปใกล้ตู้โชว์ของงู

โนอาห์ไม่ใช่ลูกค้ารายแรกที่สนใจงูตัวนี้ แม้แต่เด็กผู้หญิงคนนี้ก็เคยสนใจงูตัวเล็กและน่ารักขนาดนี้เมื่อเธอถูกจ้างมาที่ร้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็เข้าใจว่าทำไมงูตัวนี้ถึงถูกมองว่าเป็นปัญหาของพนักงาน ผู้จัดการของเธอได้แจ้งให้ทุกคนทราบอย่างชัดเจนว่าหากมีโอกาสในการขายงูตัวนี้พวกเขาควรจะขายมันไปซะแม้ว่าราคาที่เสนอจะต่ำกว่าปกติก็ตาม

ตอนแรกเธอคิดว่านี่เป็นเรื่องแปลกมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปเธอก็เข้าใจว่าสิ่งที่ผู้จัดการของเธอพูดกับพนักงานขายนั้นมีเหตุผลอย่างสมบูรณ์ ชื่อเล่นที่พวกเขาตั้งให้กับงูสีดำตัวนี้คือแบล็คโฮลไม่ใช่เพราะมันกินเยอะ แต่เป็นเพราะมันเป็นหลุมดำสำหรับเงิน มันดูดซับทุกอย่างที่ลงทุนในตัวมันไปและมันก็ไม่มีผลใดๆกับมันเลย

โดยปกติเธอจะฉวยโอกาสที่จะขายงูให้กับลูกค้าที่เข้ามาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอไม่ต้องการหลอกลวงโนอาห์เพราะความดูดีของเขา

“ค่ะ ใช่แล้ว งูตัวนั้นอยู่ในร้านของเรามาตั้งแต่เปิดทำการมา ตั้งแต่ที่เจ้าของร้านได้มันมาเขาก็พยายามรักษาบาดแผลบนร่างกายเล็กๆของมันมาตลอด แต่น่าเสียดายที่แม้ว่าเขาจะลงทุนไปหลายพันดอลลาร์ แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นการให้พรหรือการรักษามันด้วยทางไหนมันก็ไม่ได้ผลเลย” พนักงานสาวพูดพร้อมกับถอนหายใจและหลับตาลงด้วยสีหน้าสมเพช

“นอกจากนั้นเมื่อใดก็ตามที่มีคนปรากฏตัวที่ร้านและสนใจในตัวมัน มันก็จะก้าวร้าวเป็นอย่างมากและไม่ยอมให้ลูกค้าแตะต้องตัวมันได้เลย ถึงแม้ว่าคุณจะเต็มใจที่จะซื้อมัน แต่มันก็จะไม่ยอมให้คุณทำสัญญากับมันอยู่ดี…”

ในขณะที่ผู้ดูแลเด็กกำลังพูดโนอาห์มองกลับไปที่งูและเข้าไปใกล้ตู้ปลาที่ใส่งูไว้และแตะที่กระจก งูตัวน้อยทำสิ่งเดียวกันอย่างช้าๆโดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสส่วนที่ได้รับบาดเจ็บของมันกับพื้นจนกระทั้งเอื้อมตัวของมันไปแตะที่กระจกเบาๆ

โนอาห์รู้สึกเชื่อมโยงกับงูตัวนี้อย่างแปลกประหลาดอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน เขารู้ว่ามันเป็นมอนเตอร์มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ฆ่ามนุษย์เพียงเพราะพวกมันต้องการ มีป้อมปราการของมอนสเตอร์หลายแห่งที่ไม่ได้กินเนื้อมนุษย์ แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็มีความก้าวร้าวมากถึงขนาดที่บางครั้งมันมีกีฬาจากการฆ่ามนุษย์ แต่สำหรับงูตัวนี้โนอาห์ไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับมันราวกับว่ามัน…ไม่ใช่มอนเตอร์จริงๆ

‘คุณเป็นใคร?’ โนอาห์ถามโดยใช้ความคิดเขาไม่ได้คาดหวังคำตอบ แต่น่าแปลกที่มีอีกเสียงเข้ามาในความคิดของเขาหลังจากนั้นไม่นาน

‘ฉันไม่รู้…’

โนอาห์ตกใจมาก เขามองไปรอบๆเพื่อค้นหาว่าเสียงนั้นมาจากไหน แต่นอกจากเขาและผู้ดูแลแล้วก็ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆนี้อีก เสียงที่เขาได้ยินนั้นชัดเจนมากว่ามาจากคนใกล้ตัวและเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้หญิง อีกทั้งเสียงนั้นยังหวานมาก

‘ใครเป็นคนตอบฉัน?’ โนอาห์ถามตัวเองในใจ

‘ฉันเอง…” เสียงผู้หญิงดังขึ้นมาอีกครั้งในความคิดของเขาคราวนี้เขาให้ความสนใจมากขึ้นและสังเกตเห็นว่าเสียงนั้นเหมือนกับหญิงสาวอายุราวๆเขา แต่เธออ่อนแอมากราวกับว่าเธอ…บาดเจ็บ!

เมื่อสังเกตเห็นถึงเรื่องนี้การจ้องมองของโนอาห์ก็หันไปหางูอย่างรวดเร็ว เพื่อยืนยันเขาพูดอีกครั้งในใจว่า

‘เป็นคุณหรือเปล่าที่ตอบฉัน?’

งูตัวน้อยราวกับว่ามันเข้าใจสิ่งที่เขาพูด มันพยักหน้าและตอบกลับด้วยเสียงที่อ่อนหวานและอ่อนแอเช่นเดียวกัน

‘ใช่…’

‘คุณพูดกับฉันได้ยังไง?’ โนอาห์ถามด้วยความคิด

‘ฉันไม่รู้ ฉันไม่เคยคุยกับใครมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างฉันเพิ่งรู้ว่าฉันทำแบบนี้กับคุณได้ และนั่นเป็นตอนที่ฉันได้ยินเสียงของคุณในหัวของฉัน…’ งูตอบช้าๆ

‘คุณบอกว่าคุณไม่รู้ว่าคุณเป็นอะไร คุณไม่ใช่มอนเตอร์งั้นหรอ? คุณมาที่นี่ได้ยังไง แล้วเป็นยังงี้ได้ไง?’ โนอาห์ถาม

‘ฉันจำไม่ได้ ตั้งแต่ฉันฟักออกจากไข่ฉันก็เจ็บปวดและถูกล้อมรอบไปด้วยมนุษย์ พวกเขาพยายามทุกวิถีทางที่จะรักษาฉันฉันจึงยอมให้พวกเขารักษา แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้ผล สิ่งเดียวที่ฉันรู้คือฉันไม่ใช่มอนเตอร์ วิธีปกติที่พวกเขาสามารถสื่อสารกันฉันไม่สามารถทำแบบเดียวกันได้’ เธอกล่าวด้วยเสียงที่แตก

‘ฉันเข้าใจแล้ว…ฉันรู้สึกเสียใจสำหรับสถานการณ์ของคุณ ตอนนี้ฉันรู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคุณและจากสิ่งที่คุณพูดฉันเชื่อว่าคุณก็รู้สึกแบบนั้นกับฉันเช่นกัน…คุณรู้ไหมว่านั่นหมายถึงอะไร? สำหรับฉันแล้วฉันรู้สึกว่านี่เป็นสิ่งที่สำคัญและยิ่งใหญ่มาก’ โนอาห์กล่าวอย่างมั่นใจ

‘ในช่วงชีวิตสั้นๆของฉันฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครมาก่อนเลย ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือมอนเตอร์ บางทีคุณอาจจะมีคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันกำลังเผชิญอยู่ ฉันมาจากที่ไหน ฉันเป็นอะไร บางทีอาจจะรวมไปถึงวิธีที่จะรักษาฉันด้วยก็ได้…’ งูพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอ

เมื่อได้ยินคำยืนยันของมัน โนอาห์จึงเปิดตู้ปลาและค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปข้างในเพื่อหยิบงู การสนทนาของพวกเขาดูเหมือนจะใช้เวลาไม่กี่นาที แต่ในความเป็นจริงขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกันโดยใช้ความคิดตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาเริ่มพูดคุยกันจนถึงตอนนั้นเวลายังไม่ได้ผ่านไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“คุณทำอะไรน่ะ!? มันจะกัดคุณ!” ผู้ดูแลตะโกนใส่เขาอย่างเป็นห่วงขณะที่เธอเดินไปหาโนอาห์เพื่อพยายามป้องกันไม่ให้เขายื่นมือเข้าไปในตู้ปลาของงู ลูกค้าคนอื่นๆเคยทำในสิ่งที่เขาทำมาก่อนและงูตัวน้อยที่ดูเหมือนจะน่ารักและไม่เป็นอันตรายนี้มักจะกลายเป็นมอนเตอร์ที่ก้าวร้าวเมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนที่บุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของมัน

เมื่อผู้ดูแลเห็นโนอาห์ยื่นมือเข้าไปในตู้ปลาเธอคาดว่างูสีดำตัวน้อยจะกัดมือของเขาทันที แต่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอคาดไว้งูนั้นมองไปที่มือของชายหนุ่มด้วยสายตาสงสัยโดยไม่มีสัญญาณคุกคามใดๆ

สิ่งนี้ทำให้ผู้ดูแลตกใจเป็นอย่างมาก งูตัวน้อยไม่เคยทำตัวว่านอนสอนง่ายขนาดนี้แม้ว่าพนักงานที่มีเสน่ห์ที่สุดจะมารักษามัน แต่ตอนนี้มันกำลังจ้องมองไปที่มือของมนุษย์คนนั้นที่เดินเข้ามาหามันโดยไม่มีทีท่าว่าจะไม่พอใจ ราวกับว่ามันคาดหวังว่ามนุษย์จะสัมผัสมันเหมือนที่มันยอมให้เขาจับ

เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นผู้ดูแลก็ถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ เธอไม่ได้พูดอะไรเพื่อหยุดโนอาห์จากการสัมผัสงูตัวนั้น ในมุมมองของเธอเมื่อนิ้วของโนอาห์แตะที่หัวของงูสีดำตัวน้อยมันก็แลบลิ้นออกมาเลียนิ้วของเขา งูน้อยตัวนั้นทำตัวอ่อนหวานกับคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่? มันไม่เคยปฏิบัติกับใครในร้านแบบนั้นมาก่อน

ครู่หนึ่งหญิงสาวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

‘ฉันพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับความสนใจจากมัน ฉันเอาของว่างของสัตว์เล็กๆ ชิ้นเนื้อทุกอย่างที่อาจมันชอบมาให้ แต่มันไม่เคยให้ฉันแตะต้องมันเลย แต่เขาเป็นคนแปลกหน้าทำไมมันถึงปล่อยให้เขาสัมผัสได้อย่างง่ายดายถึงขนาดเลียนิ้วของเขาเหมือนสัตว์เลี้ยง? ความยุติธรรมในโลกนี้อยู่ที่ไหน!’

โนอาห์และงูต่างก็หลงลืมการพูดคุยกับคนรอบข้าง แต่พวกเขาก็ไม่ใส่ใจ สิ่งที่อยู่ในความคิดของโนอาห์ในตอนนี้เป็นอย่างอื่นนั่นคือหน้าต่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันลอยอยู่ตรงหน้าของเขาทันทีที่เขาสัมผัสหัวงู

‘นี่คือร้านขายมอนเตอร์ใช่ไหม’ โนอาห์ถามตัวเองในใจขณะดูที่อยู่ในโทรศัพท์และตรวจสอบว่าถูกต้องหรือไม่ เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เขาไม่เคยสังเกตเห็นร้านขนาดใหญ่และมีชื่อที่ฉูดฉาดขนาดนี้มาก่อน

[พ็อกเก็ตมอนเตอร์]

‘ชื่อนั้น…มันไม่ทำให้เกิดปัญหากับบริษัทดังบริษัทนั้นงั้นหรอ?’

เมื่อมองไปที่โทรศัพท์มือถือของเขาเพื่อให้แน่ใจอีกครั้ง โนอาห์ก็ไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยอีกต่อไป เขาผ่านหน้าร้านที่ขายมอนเตอร์ให้กับมนุษย์มาเกือบปีแล้ว เขาเคยได้ยินข่าวว่าเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมามีร้านค้าขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางศูนย์การค้า แต่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมันเลย

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นโนอาห์เดินเข้าไปในร้าน เมื่อเขาเข้ามาในร้านเขารู้สึกราวกับว่าเขาได้เข้าไปในป้อมปราการอีกครั้ง โนอาห์รู้สึกว่ารอบตัวเขามีมอนเตอร์มากมาย ความรู้สึกแบบนี้ปกติเขาจะพบได้เมื่อเขาอยู่ในป้อมปราการที่รายล้อมไปด้วยมอนเตอร์ที่ปลดปล่อยออร่าออกมามากมาย

มันแปลกมากสำหรับเขาที่คิดว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ในเมือง สถานที่ที่ควรจะเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์แท้จริงแล้วกลับเป็นที่อยู่อาศัยของมอนเตอร์มากมายและเขาก็ไม่เคยรู้มาก่อน

สิ่งที่ทำให้โนอาห์แปลกใจมากที่สุดก็คือเมื่อเขาเข้ามาในร้านแทนที่เขาจะรู้สึกขยะแขยงกับสิ่งที่เขาเห็นเขากลับรู้สึกสบายใจมากทีเดียว บรรยากาศเต็มไปความชื่นมื่นมีแสงสีในร้านทำให้รู้สึกตื่นเต้นแน่น่าสนใจ

‘ที่นี่คงถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนไม่กลัวมอนเตอร์’

เมื่อมองไปรอบๆโนอาห์ก็รู้ว่าเขาได้ดึงความสนใจมาที่ตัวเองเป็นอย่างมาก ความสนใจนี้มาจากลูกค้าคนอื่นๆที่ประทับใจในรูปร่างหน้าตาของเขา ส่วนอีกความสนใจหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากพนักงานในร้านที่กำลังเถียงกันเองว่าใครจะได้ต้อนรับหนุ่มหล่อคนนั้น

พวกเขาต่างอยากเข้าไปหาโนอาห์เป็นคนแรก เพราะโนอาห์มีเสน่ห์มากและเสน่ห์นั้นได้กระตุ้นความสนใจของพนักงานหญิงได้อย่างมาก แน่นอนส่วนหนึ่งเป็นเพราะวิธีการแสดงของเขาด้วย ความเงียบสงบที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากตัวของเขา ร่องรอยความไม่สนใจบนใบหน้าของเขาราวกับว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นไม่สมควรให้เขาต้องสนใจ ทุกรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของพวกนี้ถูกจับจ้องโดยเหล่าพนักงาน พวกเขารู้ดีว่าทัศนคติประเภทนี้ส่วนใหญ่มาจากคนรวยที่คุ้นเคยกับทุกสิ่งที่เขาต้องการอยู่แล้ว ในความคิดของพวกเขาใครก็ตามที่โชคดีพอที่จะรับใช้ชายหนุ่มคนนี้จะได้รับค่าคอมมิชชั่นจำนวนมากในการขายมอนเตอร์ เพราะถ้าเขาร่ำรวยจริงๆเขาจะใช้เงินจำนวนมากในการซื้อของในวันนี้

ในขณะที่พนักงานกำลังคุยกันว่าใครจะมาต้อนรับเขา โนอาห์ซึ่งไม่รู้ถึงความสับสนที่เกิดขึ้นก็ยังคงมองดูมอนเตอร์ตัวน้อยที่ยังอยู่ในกรงต่อไป เมื่อเขาค้นหาข้อมูลในโทรศัพท์มือถือของเขาเกี่ยวกับร้านค้าที่ขายมอนสเตอร์เขาพบว่ามอนสเตอร์เหล่านี้ถูกจับโดยทีมของผู้ถูกเลือกที่เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว พวกเขาเรียกตัวเองว่านักล่าเนื่องจากป้อมปราการเดียวที่พวกเขาบุกเข้าไปคือป้อมปราการที่มีมอนเตอร์ทื่ทำให้เชื่องได้

มอนเตอร์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นมอนเตอร์ขนาดเล็กบางครั้งก็ไม่เป็นอันตรายบางครั้งก็อันตรายเล็กน้อย แต่ความกังวลเกี่ยวกับความก้าวร้าวของมอนเตอร์นั้นไม่จำเป็นอีกต่อไป เนื่องจากนักวิจัยได้ค้นพับวิธีการควบคุมมอนเตอร์แล้วและนี่เป็นเรื่องที่โนอาห์สนใจเป็นอย่างมาก

สิ่งที่พวกเขาพบในการทำให้มอนเตอร์เชื่องได้นั้นคือพวกเขาจะต้องทำสัญญาที่ดีกว่าให้กับมอนเตอร์ พวกเขาไม่รู้ว่าสถานที่ที่มอนเตอร์ทำสัญญามาจากที่ไหน แต่อาจเป็นไปได้ว่าสัญญานั้นอาจจะสูญเสียไปหลังจากที่ถูกย้ายจากที่หนึ่งมายังอีกที่หนึ่ง

สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้คือสัญญาจะเสร็จสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมนุษย์เซ็นสัญญาด้วยเลือดและวางไว้บนหน้าของมอนเตอร์ และมอนเตอร์ตัวนั้นไม่มีความปรารถนาที่จะต่อต้านมนุษย์ที่จะทำสัญญาด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้นทั้งสองจะสร้างพันธะทางสายเลือดซึ่งกันและกัน ทั้งสองสามารถแบ่งปันความคิดได้หากความผูกพันนั้นลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น

ตามที่นักวิจัยรายงานทางอินเทอร์เน็ตต่อประชาชน แม้แต่มอนเตอร์ระดับสูงก็สามารถทำให้เชื่องได้โดยใช้สัญญานี้ แต่นั่นจะขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของมอนเตอร์เท่านั้น หากมันต้องการที่จะต่อต้านไม่ว่ามนุษย์จะบังคับมันมากแค่ไหนในท้ายที่สุดสัญญาก็จะไม่ได้ผล วิธีเดียวที่จะทำให้สัญญาทำงานได้อย่างถูกต้องคือถ้าทั้งสองสร้างขึ้นโดยทั้งคู่เต็มใจที่จะยอมรับสัญญานั้น

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมอนเตอร์ตัวน้อยที่อ่อนแอกว่าจึงถูกนำตัวมายังเมืองมนุษย์ เพราะพวกมันจะกลัวหรือรู้สึกขอบคุณกับการรักษาที่พวกมันจะได้รับ พวกมันจะสูญเสียความตั้งใจที่จะต่อต้านสัญญาจึงทำให้ขั้นตอนการฝึกฝนมอนเตอร์เหล่านี้ง่ายขึ้นมาก แม้แต่เด็กเล็กๆก็สามารถมีมอนเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยงได้ นี่คงเป็นเช่นนั้นสำหรับเด็กหญิงตัวเล็กๆคนนั้นที่โนอาห์สังเกตเห็นเธอที่เดินไปตามถนนพร้อมกับหนูตัวเล็กๆ

เมื่อมองไปรอบๆโนอาห์สังเกตเห็นว่ามอนเตอร์เกือบทั้งหมดในร้านเป็นมอนเตอร์ตัวเล็กและไม่เป็นอันตรายเท่าหนูตัวนั้น

‘มอนเตอร์ตัวเล็กๆเหล่านี้จะมีประโยชน์มากสำหรับแม็กกี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับทักษะที่สัญญาจะสร้างขึ้น’ โนอาห์คิดโดยที่เขาเอามือเท้าคางขณะที่เขามองดูหนู

ทักษะอย่างหนึ่งที่สัญญาได้ให้ไว้สำหรับมนุษย์คือพวกเขาสามารถส่งมอนเตอร์ไปยังมิติอื่นได้ นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ในสัญญา แต่เนื่องจากสัญญาได้รับการแปลจากภาษาโบราณนักวิจัยจึงไม่สามารถระบุได้ว่ามิติใดที่มอนเตอร์ถูกส่งไป สิ่งที่พวกเขารู้ก็คือมนุษย์สามารถส่งมอนเตอร์ผ่านประตูและนำพวกมันกลับมาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ

โนอาห์พบว่าเรื่องนี้มันแปลกประหลายเป็นอย่างยิ่ง แต่จากเว็ปไซต์ที่เขาอ่านนักวิจัยได้ทำการทดสอบหลายอย่างและการวิจัยของพวกเขาก็พิสูจน์แล้วว่าสัญญานี้ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ โนอาห์จึงตัดสินใจที่จะเชื่อบทความและซื้อมอนเตอร์ให้กับแม็กกี้

ด้วยความสามารถที่สัญญามีให้ โดยการที่สามารถส่งมอนเตอร์ไปยังมิติอื่นได้นั่นทำให้แม็กกี้สามารถเลี้ยงมอนเตอร์ได้แม้เธอจะอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากเมื่อเธอต้องการส่งมอนเตอร์ออกไปเธอก็สามารถส่งไปยังมิติที่ไม่รู้จักนั้นได้โดยที่ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

มีบางอย่างในตัวโนอาห์บอกเขาว่าสัญญานี้มีบางอย่างที่แปลกประหลาด แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไหร่เขาก็คิดไม่ออก น่าเสียดายที่สัญญานี้ไม่สามารถหาซื้อได้ในอินเตอร์เน็ตโนอาห์จึงต้องซื้อมอนเตอร์เพื่อรับสัญญาและนำมาทดลองว่ามันเป็นอย่างไร เขาจะศึกษาสัญญาก่อนและค้นหาว่ามันมาจากไหนก่อนที่จะให้แม็กกี้เซ็นเนื่องจากเขาไม่ต้องการให้เธอต้องประสบกับเรื่องเลวร้ายที่ไม่คาดคิด

เมื่อมองไปรอบๆโนอาห์คิดว่ามอนเตอร์พวกนี้จะแสดงปฏิกิริยาเช่นเดียวกับทุกคน นั่นคือทุกครั้งที่โนอาห์เข้าใกล้กรงของมอนเตอร์พวกมันที่สังเกตเห็นเขาก็จะสิ่งไปที่ปลายอีกด้านหนึ่งของกรงโดยอัตโนมัติ ไม่ว่ามันจะเป็นมอนเตอร์ที่แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ หรือจะเป็นแบบไม่อันตรายหรือก้าวร้าวเล็กน้อยก็ไม่มีมอนเตอร์ตัวไหนเข้าใกล้เขาเลย แต่เมื่อเขาสังเกตเห็นว่ามีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าใกล้กรงมอนเตอร์ที่มีรูปร่างคล้ายลูกสุนัขมันก็ออกมาหาเธอทันที ทำให้โนอาห์รู้สึกแปลกๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ปฏิกิริยาจากมอนเตอร์พวกนี้ทำให้โนอาห์ผิดหวัง

‘ฉันหล่อไม่พอสำหรับพวกแกหรอ? หรือบางทีพวกแกอาจจะไม่ชอบกลิ่นของฉัน?’ เขาถามตัวเองด้วยท่าทางหงุดหงิดเล็กน้อย

ไม่ว่ามอนเตอร์ตัวใดที่เขาเข้าใกล้มอนเตอร์ตัวนั้นมักจะวิ่งออกไปให้ไกลจากเขามากที่สุดแม้ว่ามันจะหมายถึงการถูกบีบระหว่างแท่งเหล็กของกรงที่พวกมันอยู่ก็ตาม

เมื่อโนอาห์กำลังจะโกรธมากเขาก็เห็นบางสิ่งที่แตกต่างออกไป เขายังคงมีสีหน้าแปลกๆแต่เมื่อมองจากระยะไกลเขาเห็นตู้ปลาที่เป็นแก้วอยู่ตรงหน้าทางเดินของเขา เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการเห็นตู้ปลาตรงหน้า เขาจำได้ว่าป้อมปราการระดับต่ำมีปลาอยู่จริงๆ แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้เขาก็เข้าใจว่าตู้ปลานี้ไม่ได้เอาไว้ใส่ปลาจริงๆ

แทนที่ตู้ปลานี้จะใส่น้ำสำหรับเลี้ยงปลา แต่ตู้นี้กลับว่างเปล่ามันมีเพียงก้อนหินสองสามก้อนและกิ่งไม้แห้ง นอกจากพืชพันธุ์เทียมแล้วยังมีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายในตู้ปลาตู้นี้ด้วย

งูสีดำนอนอยู่อย่างเงียบๆระหว่างก้อนหินและกิ่งไม้แห้งหนา ตัวของมันไม่ได้ใหญ่โตมากนัก ในความเป็นจริงเมื่อมองมันดีๆแล้วจะรู้ได้ว่างูตัวนี้ตัวเล็กมาก หากมันพยายามพันรอบแขนของโนอาห์มันจะไม่สามารถพันรอบแขนของโนอาห์ได้มากกว่าสองรอบ

งูมีความหนาไม่เกินสองนิ้วมันดูบอบบางมาก โนอาห์ไม่เคยสนใจงู แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาก็หลงเสน่ห์มันในเวลาเพียงไม่กี่วินาที แม้แต่งูก็ตื่นจากการหลับใหลมันกำลังมองเข้าไปในดวงตาของโนอาห์โดยตรงราวกับว่ามันสามารถมองทะลุวิญญาณของเขาได้

‘เกิดอะไรขึ้น?’ เขาคิดในใจ

แต่ก่อนที่เขาจะพยายามโต้ตอบกับสิ่งมีชีวิตตัวน้อยเสียงร่าเริงก็ดังขึ้นข้างหลังของเขาพร้อมกับพูดอย่างกระฉับกระเฉงว่า

“สวัสดีท่านชาย มีอะไรให้ทางเราช่วยไหม?“

‘เอาล่ะแฮมเบอร์เกอร์ของแม็กกี้เตรียมเสร็จแล้ว…ฉันคิดว่าแค่นี้คงไม่เพียงพอสำหรับเธอ เตรียมของขวัญเพิ่มดีกว่าไหมนะ แต่ก็ไม่รู้จะซื้ออะไรดี…’

ตู้เสื้อผ้าของโนอาห์ไม่หลากหลายมากนัก เขามักจะซื้อเสื้อผ้าโดยคำนึงถึงการใช้งานจริงทั้งในเรื่องของเสื้อผ้าที่จะใช้ในป้อมปราการ และเมื่อพูดถึงเสื้อผ้าที่จะสวมใส่ในชีวิตประจำวัน สำหรับคนที่รักสีสัน “ความผิดหวัง” เป็นคำที่สมบูรณ์แบบในการอธิบายความรู้สึกที่คนๆนั้นจะรู้สึกเมื่อมองไปที่เสื้อผ้าที่โนอาห์มี เพราะเขามีแต่เสื้อผ้าสำหรับการใช้งานแบบสบายๆ

โนอาห์มักจะใส่เสื้อผ้าสลับสีกันระหว่างสีดำและสีขาว วันนี้ก็ไม่ต่างกันโนอาห์สวมเสื้อยืดแขนยาวกา

งเกงขายาวสีดำและรองเท้าผ้าใบสีขาว เขาเตรียมพร้อมที่จะออกจากบ้านและไปโรงพยาบาล เสื้อผ้าของเขาสิ่งเดียวที่ไม่ได้ใช้บ่อยคือรองเท้าผ้าใบสีขาว เพราะเขาจะสวมเฉพาะเมื่อเขามาพบคนสำคัญของเขาในโรงพยาบาล เหตุผลสำคัญที่เขาไม่ต้องการใส่มันบ่อยๆคือเขาขี้เกียจซักมันทุกครั้งที่ออกจากบ้าน นั่นทำให้เขาพยายามลดจำนวนครั้งการใส่ลงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้และไปสวมรองเท้าธรรมดาแทน

แผนแรกของเขาในวันนี้คือไปที่โรงพยาบาลเพื่อใช้เวลาทั้งวันในการเล่นและพูดคุยกับแม็กกี้ แต่เมื่อเขาเห็นบัญชีธนาคารของเขาตอนนี้ที่มีศูนย์ต่อท้ายหลายๆตัวซึ่งเป็นผลจากการที่เข้าไปบุกป้อมปราการมา เขาก็คิดว่าเขาควรจะใช้จ่ายเก็บเงินพวกนี้สำหรับแม็กกี้ เพราะเธอเป็นเหตุผลที่เขาต้องการสร้างรายได้มากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่สามารถนำเงินไปทำให้เธอมีความสุขได้มันก็จะไร้ค่าถึงแม้เงินนี้จะมีจำนวนมากก็ตาม

ปัญหาที่เขาเผชิญในตอนนี้คือเขาไม่รู้ว่าจะให้อะไรกับเธอ ตอนแรกเขาคิดจะซื้อตุ๊กตา แต่มีบางครั้งเธอบอกเขาว่าเธอไม่ต้องการตุ๊กตาแบบนี้อีกแล้ว นั่นเป็นเพราะเธออาจได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เธอเห็นบนอินเทอร์เน็ตและจากทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวของพวกเขา ดูเหมือนว่าเธอต้องการที่จะเติบโตเร็วขึ้น โนอาห์คิดว่ามันน่ารักดีที่เธอมีความคิดแบบนี้ แต่มันก็ทำให้เขาลำบากมากยิ่งขึ้นที่เขาจะต้องคิดว่าเขาจะเอาใจเธอยังไงดี

ในขณะที่เขานั่งบนรถบัสพร้อมกับถือกระเป๋าโดยมีแฮมเบอร์เกอร์อยู่ระหว่างขา สมองของเขาก็เพิกเฉยต่อบทสนทนาของคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นวิธีการป้องกันตัวเองที่เขาพัฒนาขึ้นโดยไม่รู้ตัวเพื่อปกป้องตัวเองจากการตัดสินทั้งหมดที่ได้รับจากคนภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการล้อเลียนเขาว่าเขาได้รับการอธิษฐานต่อเทพเจ้าแห่งความงาม ถ้าเขาไม่ได้มีวิธีการป้องกันแบบนี้เขาก็คงจะได้ยินบทสนาจากผู้หญิงวัยกลางคนสองคนที่นั่งอยู่ข้างหลังเขาทั้งสอง

“แอนนาดูเด็กผู้ชายคนนั้นสิ ฉันอยากจะรู้จักคนแบบนั้นในวัยเด็กของฉัน” ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าว ผู้หญิงคนนี้มีเครื่องสำอางมากมายบนใบหน้าของเธอ แต่ด้วยคุณสมบัติที่เธอมีทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่สวยในตอนที่เธอยังเด็ก

“ฮิฮิ เธอไม่คิดว่าตัวเองจะอายุมากแล้วสำหรับการมานั่งดูเด็กผู้ชายที่ยังเด็กขนาดนี้หรอ ฉันเชื่อว่าเขาโตพอที่จะเป็นลูกชายของเราคนใดคนหนึ่ง” ผู้หญิงอีกคนที่อ้วนขึ้นเล็กน้อยกล่าว

“นั่นเป็นเรื่องจริงเลย…ลูกสาวของฉันต้องอายุใกล้เคียงกับเขาแน่ๆ แต่ฉันจะบอกเธอว่าฉันจะเป็นแม่ที่มีความสุขมากถ้าลูกเขยของฉันหล่อเหมือนเด็กผู้ชายคนนี้ เพราะนั่นแน่นอนว่าหลานของฉันจะต้องน่ารักมากจริงๆ” สาวสวยหัวเราะกับตัวเองเมื่อจินตนาการถึงเด็กๆที่น่ารัก

ผู้หญิงอีกคนได้ยินความคิดเห็นของเพื่อนเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะตามไปด้วย ลูกชายของเธอเองอายุน้อยกว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่กี่ปี ถ้าเขาหล่อขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นเธอก็ไม่ต้องกังวลกับการหาลูกสะใภ้ในอนาคต

ความคิดเห็นประเภทนี้เป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับโนอาห์ ถ้าเขาเริ่มให้ความสนใจกับบทสนทนาของคนรอบข้างเขา เขาอาจจะกลายเป็นคนหยิ่งผยองจากการได้รับคำชมเชยหลายๆครั้งหรือเขาจะรู้สึกละอายใจที่ได้ยินผู้หญิงอายุมากกว่าพูดเรื่องไร้ยางอายเช่นนี้

เขาไม่สนใจเรื่องความรักหรือเรื่องพวกนี้มากนักเนื่องจากเขาต้องโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆ เขาจึงเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนส่วนใหญ่ในวัยของเขาเองและนั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าหลายคนที่ต้องการติดต่อกับเขา ผู้ใหญ่บางคนถึงกับเสนอเบอร์โทรให้กับเขา ในบางครั้งโนอาห์ถึงกับคิดที่จะยอมรับและเรียกพวกเธอมา แต่เมื่อเขาจำได้ว่าเขาแบกรับความรับชอบไว้บนบ่ามากแค่ไหน ทั้งในเรื่องของการหาเงินมาจ่ายค่ารักษาของแม็กกี้และเพื่อชดใช้หนี้ที่แม่ของเธอได้รับจากลุงของเขา เขาก็ยกเลิกความคิดเหล่านั้นทันที

เขาจะออกไปมีความสุขและสนุกกับผู้หญิงคนอื่นในขณะที่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขามีชีวิตคือแม็กกี้ยังนอนอยู่คนเดียวและทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงในโลกพยาบาลได้ยังไง

เพราะโนอาห์สามารถเอาเวลาที่จะใช้ในการออกเดทกับผู้หญิงมาใช้เพื่อศึกษาป้อมปราการและวิธีการต่อสู้ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ดังนั้นนั่นคือสิ่งที่เขาเลือกที่จะทำ ในบางครั้งศรีษะส่วนล่างของเขาจะพูดดังกว่าส่วนบนแต่ด้วยความรับผิดชอบมากมายที่เขาต้องแบกรับศรีษะส่วนบนของเขาก็มักจะจัดการกับมันได้ก่อนที่มันจะสายเกินไป

ขณะที่โนอาห์มองออกไปนอกหน้าต่างรถบัสโดยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เขาก็สังเกตเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆอายุเท่าน้องสาวของเขาเดินอยู่บนทางเท้าขณะถือไอศกรีมด้วยมือเดียว แต่สิ่งที่ดึงดูดสายตาของโนอาห์กลับไม่ใช่ไอศกรีมที่เธอถืออยู่ในมือข้างหนึ่ง แต่นั่นเป็นสิ่งที่เธอถืออยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง เพราะเธอกำลังถือสัตว์เลี้ยงอยู่ แทนที่จะเป็นสัตว์ธรรมดาตัวเล็กๆในมือของเธอ แต่มันคือหนูสีขาวตัวเล็กและนั่นไม่ใช่หนูสีขาวธรรมดา แต่มันคือหนูสีขาวที่มีดวงตาสดใส! นั่นไม่ใช่สัตว์เลี้ยงมันคือมอนเตอร์ มอนเตอร์ที่มักพบในป้อมปราการระดับ D!

เมื่อมองผ่านหน้าต่างรถบัสโนอาห์สังเกตเห็นว่าหนูตัวน้อยที่มีดวงตาสดใสไม่ใช่มอนเตอร์ตัวเดียวที่เดินไปรอบๆเมือง จริงๆแล้วมีคนอื่นๆอีกสองสามคนหรือมากกว่านั้นอีกหลายคนเดินอยู่ที่นั่น

‘ก่อนหน้านี้ฉันไม่สังเกตเห็นได้ยังไง! ฉันจดจ่อกับการพัฒนาตัวเองมากจนเริ่มละเลยสิ่งสำคัญรอบตัวหรือเปล่า? อาจจะมีสิ่งอื่นที่สำคัญที่ฉันไม่ได้สังเกตเห็นจนถึงวันนี้?’ โนอาห์สงสัยในใจด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เมื่อมองจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง

ในตอนที่เขาเป็นนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาก่อนที่แม่ของเขาจะจากไป โนอาห์เคยได้ยินเรื่องผู้ถูกเลือกที่นำมอนเตอร์ออกมาจากป้อมปราการและพยายามเลี้ยงพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยง

เมื่อได้ยินข่าวนี้ประชากรก็รู้สึกตื่นเต้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่โรงเรียน โนอาห์ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นเดียวกับที่สาวๆต้องการมอนเตอร์ที่น่ารักที่สุดเพื่อดูแลพวกมันไว้ใกล้ๆ พวกเด็กๆจึงต้องการมีมอนเตอร์ไว้อวดเพื่อนๆรวมถึงโนอาห์ที่ยังเยาว์วัยด้วยเช่นกัน

เขานึกภาพว่าเขากำลังมุ่งหน้าไปตามถนนโดยขี่หลังสิงโตไฟที่ตระหง่านจากป้อมปราการระดับ A เมื่อแผงคอที่สง่างามของมอนเตอร์ลุกเป็นไฟผู้คนจะจ้องมองเขาด้วยความชื่นชม เช่นเดียวกับคนร่ำรวยที่ได้รับรูปลักษณ์เช่นนี้เมื่อพวกเขาแสดงรถหรู โนอาห์เคยจินตนาการถึงการขี่มอนสเตอร์ระดับสูงราวกับว่าพวกมันเป็นพาหนะที่หรูหราราวกับว่าเขาเป็นซูเปอร์สตาร์

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่อะไรนอกจากความฝันของนักเรียนมัธยมปลายเพราะเพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ผู้ถูกเลือกก็เริ่มล้มเลิกความพยายามที่จะทำให้มอนเตอร์เหล่านี้เชื่อง

และเรื่องนี้ก็เป็นการทำลายความฝันของเด็กผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการสร้างความประทับใจให้กับเด็กผู้หญิงด้วยมอนเตอร์ที่พวกเขามี เหลือเพียงนักวิจัยส่วนน้อยจำนวนหนึ่งที่ยังคงพยายามทำให้มอนเตอร์เชื่องและใช้มันเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

ใครจะรู้ว่าหลังจากผ่านไปหลายปี นักวิจัยเหล่านั้นก็สามารถค้นพบวิธีการฝึกฝนมอนเตอร์ที่มีออร่าที่โหดร้ายให้กลับมาเชื่องได้

เพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของโนอาห์เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและเริ่มค้นหาคำว่า ‘สัตว์เลี้ยงมอนเตอร์’ ในหน้าการค้นหาของเขา

ผลที่ออกมาทำให้เขาต้องประหลาดใจเพราะเห็นได้ชัดว่านักวิจัยได้หาวิธีที่จะเลี้ยงมอนเตอร์พวกนี้ได้จริงๆ แต่สิ่งนี้จะใช้ได้กับมอนเตอร์ที่อ่อนแอกว่าเท่านั้น สำหรับมอนเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าของของมัน ในอนาคตเจ้านายของมันจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้พอๆกับสัตว์เลี้ยงเหล่านี้เพื่อควบคุมมัน มิฉะนั้นนั่นจะทำให้พวกเขาต้องสูญเสียการควบคุมมอนเตอร์ และมันจะฆ่าทุกคนรอบๆคนที่อยู่รอบๆ

นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมีเพียงมอนสเตอร์ที่ไม่เป็นอันตรายที่สุดของป้อมปราการระดับ D เท่านั้นที่อยู่ในมือของคนปกติและเด็กๆ บางทีอาจจะมีผู้ถูกเลือกที่ฝึกฝนมอนเตอร์ที่แข็งแกร่งกว่าเช่นสิงโตเพลิงของป้อมปราการอันดับ A?’

เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆมีความสุขเพียงใดเมื่อเธอจับหนูตัวน้อยสีขาวที่มีดวงตาสดใสไว้ในมือ โนอาห์ก็คิดได้ว่าเขาจะให้ของขวัญอะไรกับน้องสาวของเขา

Click to Hide Advanced Floating Content

หลังจากถอดรัดเกล้าสัมผัสระดับสูงออกจากหัว โนอาห์ก็ลุกขึ้นจากเตียงอย่างช้าๆเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดหัวจากการเคลื่อนไหวอย่างกะทันหันหลังจากนอนมานาน เขาแสดงสีหน้าที่พึงพอใจออกมา ความรู้สึกที่ได้ต่อสู้กับใครบางคนจนถึงความตายแต่ไม่ต้องกลัวว่าจะตายจริงๆเป็นสิ่งที่โนอาห์ไม่เคยประสบมาก่อน และสิ่งนี้ที่เขาได้ทำไปเขาสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่ามันเหลือเชื่อมากๆ!

หลังจากได้พบกับหมูน้อยโนอาห์ก็รู้สึกพอใจที่จะต่อสู้กับเขา เขารู้ว่าหมูน้อยเป็นผู้ถูกเลือกอันดับสูง เพราะเขามีพลังมากในแง่ของพรของเขา พรของเขาทำให้เขาเร็วขึ้นหลายเท่าและความเร็วในการตอบสนองของเขาก็สูงเช่นกันและนั่นมากจากประสบการณ์จากการต่อสู้ที่เขาผ่านมา

โนอาห์พยายามโจมตีหมูน้อยจากมุมที่แตกต่างกัน แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกผิดหวังเพราะหมูน้อยสามารถตอบโต้ได้ทันเวลาและป้องกันตัวเองด้วยเท้ากีบของมัน และนั่นเป็นสิ่งที่โนอาห์ไม่สามารถยอมรับได้ หลังจากที่โนอาห์ฆ่าหมูน้อยในครั้งแรกในตอนที่มันไม่ทันระวังตัวจากนั้นหมูน้อยก็สามารถตอบสนองได้ทันเวลา และหลังจากการต่อสู้อันยาวนานหมูน้อยก็สามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางที่โนอาห์ปรากฏตัวมาทำร้ายโนอาห์ได้โดยที่เขาไม่รู้ตัว

ความรู้สึกอยากตายในช่วงแรกเป็นเรื่องแปลกสำหรับโนอาห์ แต่หลังจากครั้งที่สามที่หมูน้อยฆ่าเขา เขาก็ชินกับความรู้สึกและเริ่มซึมซับทุกสิ่งที่เขาทำผิดและพยายามปรับปรุงจุดเหล่านั้นเพื่อไม่ให้เขาตายจากความผิดพลาดเดียวกันอีก เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ใช้ได้ผลตั้งแต่ในตอนท้ายของการแข่งขัน

การต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองต่อสู้กันนั้นยาวนานกว่าครั้งแรกมากซึ่งหมายความว่าโนอาห์ได้แก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยบางอย่างที่เขามีในตอนแรกเมื่อการแข่งขันเริ่มต้นขึ้น

แม้ว่าเขาจะแพ้เกมและไม่เคยฆ่าหมูน้อยได้อีกเลยหลังจากครั้งแรก แต่โนอาห์ก็ไม่โกรธหรือผิดหวังในตัวเอง เขาเริ่มเล่นในวันนี้และเขารู้ว่ามีผู้เล่นที่ดีอยู่ที่นั่น

“ถ้าฉันรู้เกี่ยวกับเกมนี้มาก่อน ฉันน่าจะพัฒนาได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน น่าเสียดาย…แต่เวลาที่หายไปไม่สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ มีแต่พยายามให้มากขึ้นเท่านั้น” โนอาห์พูดกับตัวเองคนเดียวในห้อง

โนอาห์มองไปที่นาฬิกาของเขาเขาเห็นว่าเป็นเวลาหลัง 21.00 น. แล้ว เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเล่น ValorWatch ในโทรศัพท์มือถือของโนอาห์มีข้อความมากมายจากคาร์ลอสซึ่งอยากให้พวกเขาเล่นด้วยกัน แต่โนอาห์ไม่เห็นข้อความของคาร์ลอสเพราะเขากำลังเล่นอยู่ หลังจากบอกเพื่อนของเขาว่าเขาชอบเกมและสัญญาว่าพวกเขาจะเล่นด้วยกันในภายหลัง โนอาห์ก็สามารถวางสายและพักผ่อนได้ในที่สุด

สองสามวันที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่เหนื่อยมากสำหรับโนอาห์ เพราะหลังจากที่พรของเขาตื่นขึ้นเมื่อวานนี้วันนี้เขาได้ไปที่ป้อมปราการระดับ E และพัฒนาถึงเลเวล 02 ในระบบของเขา ทั้งยังปลดล็อคทักษะอื่นๆ ได้รับอาวุธที่ได้รับพร เริ่มเล่น Valorwatch และเรียนรู้สิ่งใหม่ๆมากมายเกี่ยวกับตัวเขาและทักษะใน Valorwatch

เมื่อพูดถึง Valorwatch ไม่ใช่แค่โนอาห์เท่านั้นที่พอใจกับการต่อสู้ในวันนี้ พิกแมนเองก็พอใจกับการต่อสู้กับโนอาห์มากเช่นกัน

[คุณได้เพิ่มเขาในรายชื่อเพื่อนหรือเปล่า?]

พิกแมนตอบเมื่ออ่านข้อความในการถ่ายทอดสดของเขา

“ใช่ เขาเพิ่มฉันในรายชื่อเพื่อนของเขา เขาชื่อลูซิเฟอร์ น่าเสียดายที่เราไม่สามารถเล่นเกมด้วยกันได้อีกหลังจากการต่อสู้ครั้งนั้น”

ตอนนี้พิกแมนนั่งอยู่บนก้อนหินในล็อบบี้ระดับ F ไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วเขาเล่นทั้งสองเกมกับโนอาห์และน่าเสียดายที่พวกเขาไม่สามารถเล่นเกมต่อกันได้

และเนื่องจากตอนนี้ไม่มีปีศาจประหลาดที่สามารถต่อสู้ได้แบบเดิมอีกต่อไปพิกแมนจึงต้องกลับไปจำกัดตัวเองให้อยู่ในระดับความแข็งแกร่งระดับ F ในเกือบทุกเกม ยกเว้นเพียงการแข่งขันที่เขาพบว่าผู้ถูกเลือกที่เขาพบอยู่ในระดับสูงกว่าที่กำหนด น่าเสียดายที่อันดับความแข็งแกร่งของผู้เล่นเหล่านี้อยู่ระหว่างระดับ D และ C เท่านั้นซึ่งนี่ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับพิกแมน

ในตอนที่เขาต่อสู้กับปีศาจหรือลูซิเฟอร์ เขาได้ปลดปล่อยพลังในระดับ B ออกมาแต่เขาก็ยังถูกผู้เล่นคนนั้นกดดัน มันแปลกมากเพราะเขารู้ว่าพรของผู้เล่นคนนั้นไม่ได้มีระดับที่สูงเช่นนั้น หากมองในแง่ของความแข็งแกร่งในพรนั่นมันมีเพียงแค่ความว่องไวที่รวดเร็วเหมือนปีศาจ และหากเทียบอย่างชัดเจนกับอันดับที่สูงกว่าพรนี้ก็ทำได้เพียงแค่นั้น แต่ที่ทำให้พรนี้น่าหวาดกลัวเพราะพรนี้สามารถนำมาใช้งานได้จริงในการต่อสู้ แม้แต่พิกแมนยังรู้สึกอิจฉาพรของเขาเล็กน้อย

‘ถ้าฉันมีพรที่ใช้งานได้จริงเช่นนั้น ด้วยพรแห่งความเร็วของฉันฉันจะไม่มีวันตาย’ เขาคิด

[นายจะเล่นด้วยกันอีกไหม?]

[ทำไมนายไม่ขอให้เขาเล่นด้วยล่ะ?]

[เขาถ่ายทอดสดด้วยหรือเปล่า?]

[มีใครรู้จักช่องการถ่ายทอดสดของเขาบ้างไหม?]

ตั้งแต่เขาต่อสู้กับลูซิเฟอร์ช่องข้อความในการถ่ายทอดสดของเขาก็พูดถึงแต่ปีศาจตนนั้นเท่านั้น แม้แต่ชื่อที่ใช้ในการตั้งการถ่ายทอดสดที่เป็น ‘จากอันดับ F ถึงอันดับ A’ ก็กลายเป็น ‘เขาจะได้พบกับปีศาจอีกหรือไม่?’ เนื่องจากมีผู้ชมจำนวนมากพูดถึงเรื่องนี้

“แค่นี้ก็กลายเป็นที่สนใจแล้วฮ่าๆ” พิกแมนหัวเราะเมื่อเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น

“แม้ว่ามันจะน่าสนใจถ้าเขาเริ่มถ่ายทอดสดการเล่นเกมของเขา…”

ในตอนนี้โนอาห์ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนมากมายกำลังพูดถึงเขาและให้ความสนใจกับเขามากขนาดนี้ ไม่รู้แม้กระทั่งมีคนเต็มใจที่จะดูเขาเล่นเกม ตอนนี้เขากำลังทำแซนวิชด้วยตัวเองกับขนมปังที่เขาซื้อก่อนกลับบ้าน

‘ฉันไม่ได้กินเนื้อสัตว์มานานแล้ว’

สิ่งหนึ่งที่เขาภูมิใจมากคือสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากแม่ของเขาในเรื่องการทำอาหาร เธอมักจะพูดเสมอว่าการทำเนื้อสัตว์ที่ดีนั้นจำเป็นต้องมีกระเทียมและพริกไทยเล็กน้อยนอกเหนือจากนั่นต้องใส่เกลือเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด

เธอบอกว่าเธอไม่ชอบไปร้านอาหารที่เนื้อปรุงรสด้วยเกลือเท่านั้น ตามคำพูดของเธอมันเหมือนกับว่ามีคนเอาเพชรเม็ดงามมาประดับและแทนที่จะขัดมันให้แวววาวและโปร่งแสงที่สุดเท่าที่จะทำได้พวกเขาเพียงแค่ถูมันลงบนเสื้อผ้าเพื่อให้ฝุ่นออก มันยังคงเป็นเพชรแต่พวกเขาไม่ได้ใช้ประโยชน์สูงสุดจากเพชรเม็ดนั้น เช่นเดียวกันกับเนื้อสัตว์ที่ปรุงรสอย่างดีหรือมีเกลือเล็กน้อย มันยังคงอร่อยมากแต่ยังห่างไกลจากเนื้อสัตว์ปรุงรสที่ดีที่สุด

โนอาห์ไม่ได้กินเนื้อฟุ่มเฟือยเหมือนอย่างทุกวันนี้ เขาต้องอยู่อย่างพอเพียงเพื่อไม่ให้อดอาหารหรือมีกล้ามเนื้อที่แคระแกรน วันนี้เขาหยิบเนื้อบดจำนวนหนึ่งมาปรุงรสและเริ่มทำเป็นแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่ซึ่งมันจะเป็นอาหารของเขาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

‘แม็กกี้ชอบแฮมเบอร์เกอร์…บางทีฉันอาจจะหยิบไปให้เธอนิดหน่อยในวันพรุ่งนี้’

เมื่อโนอาห์ไปที่ป้อมปราการสองวันติดต่อกัน เขาจึงตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เขาจะไม่ไปอีก เขาวางแผนที่จะพักผ่อนและใช้เวลากับน้องสาวคนเล็กของเขาที่โรงพยาบาล นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหยุดไปที่ป้อมปราการเนื่องจากมันเป็นสิ่งที่จะให้เงินกับเขานอกเหนือไปจากความก้าวหน้าในระบบของเขาเช่นกัน แต่เขาก็จะไม่ปล่อยให้ป้อมปราการยึดครองเวลาทั้งหมดในชีวิตของเขา

หลังจากทำแฮมเบอร์เกอร์ชิ้นใหญ่เข้ากับขนมปังที่เขาซื้อมา โนอาห์ก็กัดฟันและดีใจกับเนื้อที่เขาคิดถึงมาก มันเป็นความรู้สึกแปลกๆแต่มันก็เป็นความรู้สึกที่เขารักจริงๆ ความรู้สึกถึงเนื้อนุ่มๆนั้นแตกกระจายในปากของเขา มันให้รสชาติและความชุ่มฉ่ำในปริมาณมากล้นออกมา มันเป็นสิ่งที่โนอาห์ชื่นชอบเป็นอย่างมาก

‘แม่ของฉันพูดเสมอว่าวิธีที่ง่ายที่สุดในการเอาชนะใจผู้หญิงคือการทำให้เธออิ่มท้องและผู้ชายที่ทำอาหารก็จะได้ผู้หญิงอย่างที่ต้องการ’

ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจคำพูดนี้ แต่ตอนนี้เขามั่นใจว่าเป็นความจริง เขารู้สึกดีมากที่ได้กินอาหารอร่อยๆแบบนี้จนนึกได้ว่าจะดีแค่ไหนที่มีคนทำอาหารให้เขาแบบนี้ทุกวัน

‘น่าเสียดายที่เรื่องนี้ยังเป็นหนทางที่ยาวไกลสำหรับฉัน บางทีความรักอาจเป็นสิ่งที่ดีที่จะพัฒนาในอนาคต แต่สำหรับตอนนี้ฉันยังมีเรื่องสำคัญให้ทำอีกมากมายและการหาผู้หญิงมาเป็นแฟนก็ยังไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่นอน’

โนอาห์แน่ใจว่าเขาจะคบกับผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อเขาอายุอย่างน้อย 30 ปี แต่เขาไม่รู้ว่าความคิดของเขาผิดแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงที่ใกล้เข้ามา…

ซูซิราเมนเป็นผู้ถูกเลือกระดับ F แม้ว่าเขาจะปลุกพรขึ้นมาได้ แต่เนื่องจากมีระดับพลังที่ต่ำเช่นนี้เขาก็รู้ว่าเขาไม่มีอนาคตข้างหน้าในการบุกป้อมปราการ ดังนั้นแทนที่จะเสี่ยงชีวิตของตัวเอง ซูซิราเมนจึงตัดสินใจใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา เขาเพียงแค่ทำงานธรรมดาที่เขาได้รับมาเพราะระดับคะแนนที่สูงในโรงเรียนมัธยม แต่เพื่อดับความกระหายในการต่อสู้และการผจญภัยที่เขามีอยู่เสมอในตอนที่เขายังเด็กเขาจึงตัดสินใจเริ่มเล่น Valorwatch

ตั้งแต่ยังเด็กซูซิราเมนชอบเล่นเกมออนไลน์ ดังนั้นเมื่อเขาพบเกมการแข่งขันที่เขาสามารถใช้พรที่ได้รับทำให้เขาดูดีมีความสุขกับเพื่อนๆและได้รู้สึกถึงการผจญภัยในหลายๆครั้ง มันยังดีที่สุดคือเขาไม่ต้องพบกับความเสี่ยงใดๆ ดังนั้นเกม Valorwatch จึงเป็นรักแรกพบของเขา

ในตอนแรกเริ่มจากการเป็นมือใหม่เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากแม้กระทั่งการจัดการกับบอทฝึกฝน แต่ปัจจุบันเขามีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในความแข็งแกร่งของตัวเอง บางครั้งเขาก็สามารถเอาชนะผู้ถูกเลือกอันดับ E ได้และนั่นทำให้เขารู้ว่าถึงแม้เขาจะมีพรระดับ F แต่ถ้าเขาพัฒนาทักษะของเขาไปเรื่อยๆเขาก็สามารถขึ้นไปเป็นอันดับ E ได้เช่นกัน

วันนี้ในขณะที่เขาเชื่อว่าเขาก็จะเล่นเกมปกติเหมือนเดิม โดยการไปยึดครองที่จุดควบคุม “B” เสร็จเขาก็จะวิ่งไปยังจุด “C” ที่จะถูกปกป้องโดยผู้เล่นในทีมของเขาเพียงคนเดียว

‘โชคดีที่มือใหม่ในทีมอื่นๆอาจจะทิ้งจุด “C” ไว้เฉยๆนั่นจะทำให้ทีมของเราได้รับคะแนนอย่างง่ายดาย เยี่ยมมาก! นี่อาจจะเป็นอีกหนึ่งชัยชนะที่ง่ายด่ายและฉันก็จะเข้าใกล้เป้าหมายของฉันในการไปถึงอันดับ E อีกก้าวหนึ่ง’ เขาคิดกับตัวเอง

พรที่ซูซิราเมนได้รับคือการควบคุมสัตว์ทะเลเนื่องจากครอบครัวของเขามักจะสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าแห่งมหาสมุทร อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าความสามารถนี้ไร้ประโยชน์เพียงใดในป้อมปราการที่ไม่มีสัตว์ทะเลเลย ดังนั้นในการเล่น Valorwatch เขาจึงเลือกใช้ชุดพรทั่วไปที่เกมขายให้กับผู้ที่ไม่ได้รับพร โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นพลังงานสีน้ำเงินเหมือนมานาที่สามารถใช้ได้ตามตัวเลือกของผู้ใช้ในตอนที่ซื้อและสามารถใช้เพื่อการรักษา เสริมสร้างความคล่องตัว เวทมนตร์ หรืออะไรก็ได้ที่ผู้ใช้ต้องการ แต่จะสามารถเลือกได้เพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้น

เมื่อมองแบบนี้มันอาจดูเหมือนยุติธรรม แต่มีเพียงผู้ที่เล่นกับชุดพรทั่วไปนี้เท่านั้นที่รู้ว่ามันใช้งานได้จริงหรือไม่และมีปัญหาเพียงใด นอกจากมันจะอ่อนแอกว่าพรที่แท้จริงในระดับเดียวกันแล้วพรชุดนี้ยังเป็นเหมือนชื่อของมัน ดังนั่นเกือบทุกคนรู้ว่าจะต้องจัดการกับคนที่ใช้ชุดพรแบบนี้ยังไงและนั่นเป็นข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ผู้ที่มีพรที่แท้จริงใช้ต่อสู้กับพรทั่วไปนี้ เพราะเขาจะใช้รูปแบบที่คาดเดาไม่ได้มาต่อสู้กับคนทั่วไป

อย่างไรก็ตามข้อดีอย่างหนึ่งที่ชุดพรนี้มีก็คือมันถูกสร้างขึ้นสำหรับคนที่ไม่มีพร ตราบใดที่บุคคลนั้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับระดับความแข็งแกร่งของการจัดอันดับถัดไปและได้รับชัยชนะหลายครั้งติดต่อกันพรชุดนั้นจะได้รับการเสริมความแข็งแกร่งเพื่อให้เข้ากับพรของการจัดอันดับนั้น

กล่าวอีกนัยหนึ่งแม้แต่คนที่ไม่มีพรก็สามารถไปถึงอันดับ A ได้ แต่แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเหมือนพรที่คนได้รับมา ดังนั้นคนทั่วไปจึงต้องฝึกฝนและทุ่มเทมากกว่า นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่ไม่มีพรที่อยู่ในอันดับสูงมีน้อยมาก

ซูซิราเมนวิ่งไปที่จุดควบคุม “C” เมื่อเขามองจากระยะไกลเขาสังเกตเห็นว่าไม่มีใครอยู่ที่จุดนั้นทั้งในทีมของเขาและของทีมศัตรู ในตอนแรกสิ่งนี้ทำให้เขางงงวย แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เดาว่าผู้เล่นในทีมของเขาอาจกำลังซ่อนตัวเพื่อรอซุ่มโจมตีใครบางคนที่เข้ามาใกล้จุดนี้

เนื่องจากทีมของพวกเขาควบคุมได้ 2 คะแนนจาก 3 คะแนน ซูซิราเมนจึงตัดสินใจจับตาดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่จุดนี้

‘อย่างน้อยน่าจะมีความบันเทิงเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นแน่นอน’ เขาคิด

ไม่นานหลังจากที่เขามาถึงหมูตัวเล็กๆก็กระโดดออกมาจากหน้าต่างชั้นสามของอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้กับจุดควบคุม ความเร็วของหมูน้อยนั้นมากกว่าผู้ถูกเลือกระดับ F

‘ผู้ชายคนนี้เป็นผู้ถูกเลือกระดับสูงเขาอาจจะอยู่ระดับ E หรืออาจจะอยู่ในระดับ D เลยด้วยซ้ำ’

เจ้าหมูน้อยยืนอยู่ตรงกลางจุดควบคุมด้วยสายตาที่จับจ้อง เขามองไปรอบๆในขณะที่กำลังค้นหาบางสิ่งบางอย่าง สิ่งที่เขาหาอาจจะเป็นคนในทีมของซูซิราเมนเอง ดังนั้นซูซิราเมนจึงซ่อนตัวอยู่หลังเคาน์เตอร์ในโรงอาหารร้างเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับหมูน้อยตัวนั้น

แต่แล้วซูซิราเมนก็ต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ๆก็มีการระเบิดของไฟเล็กๆปรากฏขึ้นที่หมูน้อยตัวนั้น ซูซิราเมนคิดว่าหมูน้อยตัวนั้นจะต้องพยายามหลบการระเบิดนั้นแต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นตรงข้ามในความเป็นจริง หมูน้อยตัวนั้นกระโดดเข้าไปในการระเบิดไฟทันทีราวกับว่าเขาต้องการที่จะตาย

‘ผู้ชายคนนี้กำลังทำอะไรอยู่?’ ซูซิราเมนสงสัยในขณะที่เขามองไปที่หมูน้อยอย่างสับสน

‘เขาเป็นคนที่มีระดับที่สูงไม่ใช่หรอ? ทำไมเขาถึงฆ่าตัวตายโดยไม่จำเป็นแบบนั้น?’

อย่างไรก็ตามคำถามของซูซิราเมนก็ได้รับคำตอบทันทีเมื่อเขาตระหนักว่าหลังจากการเกิดระเบิดของไฟก็มีบางอย่างออกมา

‘ปีศาจ!’ เขากรีดร้องในใจเมื่อเขาตระหนักว่าการระเบิดไม่ใช่การโจมตี แต่เป็นทักษะการเคลื่อนไหว และนั่นเป็นทักษะที่ทรงพลังมาก เนื่องจากปีศาจตัวนั้นมาจากสถานที่ไหนไม่รู้และอยู่ๆเขาก็มาอยู่ใกล้ๆกับหมูน้อย

แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามีผู้เล่นที่มีความสามารถนี้อยู่ใกล้ๆเขา แต่ซูซิราเมนก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะมีความเร็วในการตอบสนองเพียงพอที่จะหลบมีดสั้นสีดำนั้นในมือปีศาจนั้นได้หรือเปล่า หมูน้อยตอบสนองทันทีด้วยการกระโดดเข้าหาระเบิดไฟนั้น แต่ซูซิราเมนรู้ว่าถ้าเป็นเขาเขาจะต้องใช้เวลาในการตอบสนองอย่างน้อยเสี้ยววินาทีหรืออาจจะมากว่าหนึ่งวินาทีเพื่อตอบโต้ได้อย่างเหมาะสม

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังต่อสู้เพื่อเอาชีวิตของแต่ละฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง ซูซิราเมนก็รู้ว่าสำหรับเขาการที่จะปกป้องตัวเองก่อนที่เขาจะตายในการต่อสู้ตรงหน้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ ซูซิราเมนต้องเข้าใกล้เพื่อที่จะเข้าใจการต่อสู้นี้ แม้มันจะอันตรายสำหรับเขาแต่เขาก็รู้ดีว่าเขาอาจช่วยเพื่อนร่วมทีมเพื่อฆ่าหมูน้อยตัวนั้นได้อย่างสบายใจหากเขาเข้าไปแทรกแซง

แต่มันก็ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขา เพราะเขาจะได้เรียนรู้มากมายถ้าเขาเพียงแค่เฝ้าดูและมุ่งเน้นไปที่การต่อสู้ของหมูน้อยและปีศาจอย่างเต็มที่ ซูซิราเมนตระหนักว่าความเร็วในการตอบสนองของพวกเขาเร็วเพียงใด ในขณะที่ร่างกายของหมูน้อยเริ่มเคลื่อนไหวเร็วขึ้นและเร็วขึ้นด้วยความเร็วที่ไม่ควรมีอยู่จริง และความเร็วนี้ไม่มีทางที่คนที่ไม่มีพรแห่งความเร็วจะตอบสนองต่อการโจมตีที่บ้าคลั่งของเขาได้ ปีศาจตัวนั้นกลับเคลื่อนย้ายไปรอบๆหมูน้อยตัวนั้นอย่างรวดเร็ว และสถานที่แห่งนั้นก็เต็มไปด้วยกลิ่นของกำมะถันที่เกิดจากการระเบิดจำนวนมาก

มันเป็นการต่อสู้ที่เด็กน้อยโจมตีด้วยความเร็วที่น่ากลัวและผู้ใหญ่ก็เทเลพอร์ตด้วยความเร็วสูงจนกระทั่งเมื่อถึงจุดหนึ่งการต่อสู้ก็จบลงเพราะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยืนอยู่ที่นั่น ในทางกลับกันอีกฝ่ายได้กลายเป็นอนุภาคของพลังงานและกระจายไปในอากาศหลังจากการตายของเขาเอง

การดูการต่อสู้ที่มีรายละเอียดสูงเช่นนี้ทำให้เลือดของซูซิราเมนเดือนพล่าน เขาต้องการที่จะมีพลังแบบนั้นเหมือนกัน เขาต้องการที่จะสามารถต่อสู้เหมือนกับสัตว์ประหลาดทั้งสองคนนี้ได้ และจากการต่อสู้เมื่อครู่ก็ทำให้คนบางคนมีความมุ่งมั่นอย่างมากที่วันหนึ่งเขาก็จะมาอยู่ในระดับเช่นทั้งสองได้เช่นกัน

‘ดูเหมือนว่าเกมนี้จะไม่มีแต่ความสนุกอย่างเดียว มันยังมีประโยชน์อีกด้วย’ โนอาห์คิดด้วยความพึงพอใจในขณะที่เขานึกถึงประสบการณ์ของเกมที่เพิ่งผ่านมา สิ่งที่เขาต้องการสัมผัสจริงๆคือการเล่นกับผู้เล่นคนอื่นๆ

อินเทอร์เฟซของ Valorwatch นั้นใช้งานง่ายมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกมพยายามนำประสบการณ์ที่ผู้ถูกเลือกมีมาใส่ในอินเตอร์เฟซเพื่อให้ผู้ที่ไม่เคยได้พรมาก่อนใช้ง่ายง่าย หน้าตาของอินเตอร์เฟซนั้นคล้ายกับแอปพลิเคชั่น GBC ที่ผู้ถูกเลือกใช้งานเพื่อค้นหาป้อมปราการต่างๆ

เมื่อเปิดเมนูความแตกต่างเดียวที่โนอาห์สังเกตเห็นคือแทนที่จะมองหาป้อมปราการ ในส่วนตรงนั้นกลายเป็นการค้นหาแมตซ์สำหรับเล่นเกมแทน มีทั้งเกมจัดอันดับหรือเกมปกติ โนอาห์รู้ว่าเขาไม่มีอะไรจะเสียนอกจากนี้ถ้าระดับของผู้เล่นเท่ากับระดับของผู้ถูกเลือกที่โนอาห์เจอในระบบการฝึกสอนมันจะเป็นชัยชนะที่ง่ายมากสำหรับเขา

ใช้เวลาไม่นานในการค้นหาการแข่งขันจัดอันดับ แน่นอนเมื่อเจอแมตซ์โนอาห์ยอมรับและรอให้ประตูวาปพาเขาไป

ในไม่กี่วินาทีหลังจากผ่านความรู้สึกของการข้ามมิติ โนอาห์ก็มายังสถานที่ที่ดูเหมือนเป็นเมืองร้าง

[ยินดีต้อนรับสู่ ดินแดนทางเหนือมอนเพียว โหมดที่เลือกคือควบคุมวัตถุ]

โหมดนี้ไม่ปรากฏในบทช่วยสอนที่โนอาห์เข้าร่วม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเนื่องจากชื่อของโหมดนั้นอธิบายตัวเองได้อยู่แล้ว

เมื่อมองไปด้านข้าง โนอาห์ก็เห็นเพื่อนร่วมทีมของเขาที่แต่งตัวจนทำให้เขาต้องเกิดความสงสัย มีเด็กชายคนหนึ่งแต่งตัวเป็นนักบวช ยังมีหุ่นยนต์เหล็ก นักมวย และมนุษย์ต่างดาว หากดูจากคุณภาพของเสื้อผ้าและรูปลักษณ์ของพวกเขา โนอาห์รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างตัวละครเหล่านี้โดยใช้ตัวเลือกฟรีเพียงเท่านั้น

‘เห็นได้ชัดว่าบริษัทเกมทำเงินได้มากกว่าที่ฉันคิด…’ โนอาห์คิดกับตัวเอง

ในตอนแรกโนอาห์ไม่รู้ว่าจุดควบคุมที่พวกเขาควรจะควบคุมอยู่ที่ใด แต่เมื่อมองไปบนท้องฟ้าเขาสังเกตเห็นแสงสีขาวขนาดใหญ่สามดวง เมื่อรู้ว่าไม่มีการนับถอยหลังก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นโนอาห์ก็วิ่งไปยังจุดเช็คพอยท์ทันที

โนอาห์เป็นหนึ่งในผู้ค้นหาข้อมูลที่สำคัญ ยิ่งเป็นโอกาสแรกที่เขาได้เคลื่อย้ายเขาเคลื่อนย้ายเข้าไปที่ด้านบนของอาคารแห่งหนึ่งจากนั้นเขาก็เคลื่อนที่ไปตามภูมิประเทศที่อยู่สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจรูปแบบของเมืองในขณะที่เขาเข้าใกล้เป้าหมายไปเรื่อยๆ

ในขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งของเมืองหมูตัวน้อยกำลังวิ่งไปมาระหว่างอาคารและกำลังมุ่งหน้าไปยังจุดเช็คพอยท์เช่นกัน

หลังจากเกมฝึกสอนจบลงสิ่งเดียวที่ข้อความในการถ่ายทอดสดของพิกแมนพูดถึงก็คือปีศาจประหลาดตัวนั้น พวกเขารู้ดีว่าผู้ถูกเลือกระดับสูงนั้นที่มาเล่นบัญชีใหม่นั้นหายากแค่ไหน การที่ได้เห็นทั้งพิกแมนและผู้ถูกเลือกอีกคนที่กำลังปีนขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้นด้วยบัญชีรองนั้นค่อนข้างหายาก และมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าพรของปีศาจตัวนั้นมีประโยชน์แค่ไหนและสามารถใช้ได้จริงขนาดไหนนั่นก็ยิ่งทำให้ผู้คนสนใจเกี่ยวกับปีศาจตัวนั้นมากขึ้น

ผู้ชมของพิกแมนไม่เพียงแค่ติดตามเขาเท่านั้น อันที่จริงจำนวนสตรีมเมอร์ที่พวกเขาติดตามนั้นมีอย่างน้อยสิบคนและเกือบทุกคนมีอันดับสูง พวกเขารู้ว่าทักษะที่ปีศาจใช้ก็มีระดับสูงเช่นกัน แต่ไม่มีใครในข้อความที่ถ่ายทอดสดในวันนั้นที่จำเขาหรือพรของเขาได้ พวกเขาแน่ใจว่าหากพวกเขาเคยเห็นผู้เล่นคนนั้นในการแข่งขันใดๆมาก่อนพวกเขาจะจำได้อย่างแน่นอน เพราะทักษะของเขานั้นมีเอกลักษณ์และมีประโยชน์เป็นอย่างมาก

น่าเสียดายที่ทั้งพิกแมนและปีศาจตัวนั้นไม่ได้สนใจที่จะเพิ่มเพื่อนกันเพื่อใช้ในการติดต่อ ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือให้ความสนใจเมื่อพวกเขาไปดูการเล่นของคนอื่นในระดับสูง เพื่อที่ใครบางคนจะได้เจอกับปีศาจตัวนั้นและบอกตัวตนของเขาได้ เพราะในความเป็นจริงมันยากมากที่จะหากันโดยใช้บัญชีระดับต่ำพวกนี้ เพราะบัญชีประเภทนี้มีจำนวนเยอะเป็นอย่างมาก และผู้ชมก็มั่นใจมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นว่าปีศาจตัวนั้นไม่ได้ปรากฏตัวในทีมของพิกแมนอีกครั้ง

เช่นเดียวกับในการแข่งขันครั้งก่อนพิกแมนไม่พูดกับใครเลย เขาเพียงแค่วิ่งไปยังจุดควบคุมจุดใดจุดหนึ่งเพื่อพยายามรับประกันชัยชนะของเขาในการแข่งขัน อย่างไรก็ตามเขาทำสิ่งนี้ในขณะที่จำกัดความแข็งแกร่งของตัวเองไว้ที่ระดับ F

เนื่องจากพรแห่งความว่องไวที่เขามีพิกแมนจึงรู้ว่าจะไม่มีใครมาถึงก่อนเขาที่จุดควบคุมแน่นอน เขาจึงวิ่งไปที่ศูนย์กลางของที่นั่นอย่างรวดเร็วเพื่อให้ระบบของเกมเริ่มควบคุมเป้าหมายนั้นได้

แถบความคืบหน้าเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆเมื่อพิกแมนมาถึงจุดศูนย์กลาง

[1%]

[5%]

[10%]

[20%]

‘…’

[70%]

เมื่อเวลาผ่านไปก็ยังไม่มีใครมาถึงจุดที่เขาอยู่พิกแมนเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้ว่าผู้เล่นในอันดับนี้จะเป็นมือใหม่ แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะทิ้งแต้มไปฟรีๆ

[80%]

ยังไม่มีใครปรากฏตัวพิกแมนระวังตัวอย่างเต็มที่อยู่เสมอ แม้ว่าเขาจะลดความแข็งแกร่งของเขาลงให้อยู่ในระดับ F แต่เขาก็อยู่ในระดับสูงมาตลอดไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันก่อนหน้านี้หรือในป้อมปราการ นั่นทำให้เขาไม่สามารถปรับตัวได้ง่ายๆเหมือนกับสวิตซ์ที่เปิดและปิดได้ทันที

แต่ด้วยการฝึกฝนปฏิกิริยาตอบสนองมาหลายปีทำให้พิกแมนสามารถตอบสนองได้ทันทีเมื่อเขารู้สึกแสบร้อนที่หลังของเขา มันไม่ร้อนเท่าลูกไฟ แต่มันเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับไฟแน่นอน พิกแมนคิดในใจว่าอาจจะมีบางคนขว้างลูกไฟใส่เขา พิกแมนรีบก้าวไปด้านหน้าทันที

แต่สิ่งที่ลูกหมูตัวน้อยเห็นต่อหน้าเขาไม่ใช่ลูกไฟ แต่มันเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมากกว่านั้น มันคือมีดสั้นสีดำที่มีปีศาจแดงถืออกมาเมื่อไม่นานมานี้

เขาก้าวไปด้านข้างอย่างเรียบง่ายโดยเชื่อว่านี่เพียงพอแล้วที่จะหลบลูกไฟที่เขาคิดว่ากำลังพุ่งเข้ามาหาเขาได้แล้วนั่นทำให้พิกแมนไม่ได้เคลื่อนที่ไปไกลพอที่จะหลบการโจมตีระยะประชิดของปีศาจได้

มีดสั้นที่แหลมคมนั้นได้ฟันผ่านหัวของลูกหมูน้อยไป หัวของลูกหมูน้อยตกลงไปข้างหลังก่อนที่จะกลายเป็นอนุภาคพลังงานและสลายไปในอากาศ

เขาเข้าใจว่าเขาได้ตายไปแล้วโดยปีศาจตัวนั้น พิกแมนรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาเคยอยู่ทีมเดียวกับปีศาจตนนั้นมาก่อนและเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขามาแล้ว เขารู้ว่าปีศาจตนนั้นน่าเชื่อถือเพียงใดในฐานะสหาย แต่ตอนนี้เขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าปีศาจตนนั้นอยู่ฝ่ายตรงข้ามแล้วจะเป็นอย่างไร

[พระเจ้า นั่นมันปีศาจตนนั้นนี่ เราเจอเขาอีกครั้งแล้ว!]

[รู้แล้ว! ทั้งสองถูกลิขิตให้กลับมาพบกันอีกครั้ง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้]

[ฆ่าเขาเลย! ฆ่าเขา! ฆ่าเขา! ฆ่าเขา! ฆ่าเขา! ฆ่าเขา! ฆ่าเขา! ฆ่าเขา! ฆ่าเขา!]

[ปีศาจ!!!!!]

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของข้อความที่ถูกส่งมาในการถ่ายทอดสด พิกแมนก็รู้ว่าพวกเขามีความตื่นเต้นเป็นอย่างมากสำหรับการพบกันอีกครั้งของพวกเขา ในครั้งต่อไปที่เขาเจอกับปีศาจตัวนั้นเขาจะต้องไม่แพ้ เพราะเขาไม่สามารถแพ้ต่อหน้าผู้ชมจำนวนมากสองครั้งติดต่อกันได้โดยที่เขายังไม่ได้แสดงความสามารถอะไรเลย

“เอาล่ะพวกเราดูเหมือนว่าฉันจะต้องทำลายกฎเล็กๆน้อยๆของเราสักหน่อยในระหว่างการต่อสู้กับปีศาจนั้น ฉันจะไม่ออมมืออีกต่อไป” พิกแมนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ไม่ใช่แค่ผู้ชมของเขาเท่านั้นที่ต้องการเห็นการเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองอีกครั้ง พิกแมนยังต้องการรู้ว่าเขาจะต่อสู้กับผู้เล่นคนนั้นได้ยังไงบ้าง

“แต่ฉันจะไม่ใช้พลังทั้งหมดของฉันในทันที ขั้นแรกฉันจะต้องหาว่าพลังที่แท้จริงของเขาคือระดับไหน”

[ว้าาาาาา!!!]

[โอ้มายก็อต เอาเลยๆ!!]

[เริ่มการเดิมพันเลยพิกแมน ฉันเชื่อว่านายจะชนะ]

[พรของปีศาจตนนั้นมีพลังมากและยังคาดเดาไม่ได้อีกด้วย ฉันคิดว่าเขาจะชนะ]

ในขณะเดียวกันที่จุดควบคุมโนอาห์ซึ่งไม่รู้เลยว่ามีคนหลายพันคนกำลังวางเดิมพันในการต่อสู้ของเขากับพิกแมน ตอนนี้โนอาห์ได้ซ่อนตัวอยู่บนอาคารแห่งหนึ่ง แต่แทนที่เขาจะเทเลพอร์ตขึ้นไปที่นั่นโนอาห์ใช้บันไดในครั้งนี้เพื่อประหยัดพลังงาน

ความได้เปรียบของพื้นที่ชั้นบนและจุดควบคุมนั้นได้ถูกควบคุมโดยเขาแล้ว โนอาห์กำลังเฝ้าดูจุดนั้นเหมือนกับนักล่าที่กำลังสังเกตกับดักที่เขาวางไว้สำหรับเหยื่อของเขาและคราวนี้เหยื่อก็บังเอิญเป็นหมู…

หลังจากโนอาห์เข้าสู่การต่อสู้มันไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้อีกต่อไป แต่เรียกได้ว่ามันเป็นการสังหารหมู่มากกว่า ทุกครั้งที่โนอาห์เคลื่อนย้ายไปยังสถานที่อื่นศัตรูจะถูกกำจัด นอกจากลูกหมูตัวน้อยที่แม้ว่าเขาจะประหลาดใจ แต่เขาก็ใช้ความว่องไวที่มีอยู่เพื่อให้สามารถต่อสู้ต่อไปได้

ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆไม่ทำอะไรอีกต่อไป พวกเขาทำแค่เพียงยืนดูปีศาจประหลาดที่ฆ่าบอทที่เหลืออยู่ และนั่นเป็นบอทที่พวกเขาต้องใช้ความพยายามในการต่อสู้กับมันเป็นอย่างมาก

การฆ่าบอทพวกนี้สำหรับโนอาห์เป็นอะไรที่ง่ายมาก เพราะทุกครั้งที่พวกมันปรากฏตัวโนอาห์ก็จะเทเลพอร์ตไปข้างหลังของมันและตัดคอของพวกมันทุกตัวทิ้ง

การต่อสู้นี้มันไม่สมดุลอีกต่อไป เพราะนอกจากหมูตัวน้อยแล้วผู้ถูกเลือกอีกสามคนก็เก็บอาวุธและนั่งลงบนพื้นเพื่อดูการสังหารหมู่แปลกๆที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขาในขณะที่พวกเขาคุยกัน

“ความแข็งแกร่งของเขาจริงๆอยู่ที่ระดับไหนกันแน่?” วัยรุ่นในชุดสูทสีม่วงถามอีกสองคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการต่อสู้จากระยะไกล

เมื่อได้ยินคำถามนี้ชายยที่มีหัวแมวก็วางมือไว้บนคางของเขาด้วยท่าทางครุ่นคิดและตอบว่า

“ด้วยความสบายในการสังหารพวกบอท ฉันสามารถบอกได้ว่าลูกหมูคนนั้นน่าจะเป็นผู้ถูกเลือกอย่างน้อยระดับ E และผู้ถูกเลือกที่เป็นปีศาจคนนั้นน่าจะเป็นระดับ D หรืออาจจะถึงระดับ C เลยก็ได้ เพราะถ้าดูจากพรที่ใช้ในการเทเลพอร์ตของเขามันมีประโยชน์มากในการต่อสู้ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นพรเพียงระดับ F แต่พลังในการต่อสู้ของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ถูกเลือกระดับ D เลย”

อีกสองคนประหลาดใจกับการประเมินที่แม่นยำของชายหัวแมว เชียร์ลีดเดอร์ถึงกับแสดงความคิดเห็นว่า

“นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ถ้าเป็นพรนี้เป็นพรระดับ F ฉันสงสัยว่าทำไมเขาถึงเทเลพอร์ตได้บ่อยขนาดนั้น ถ้าพรของเขาอ่อนแอเขาก็จะสามารถเทเลพอร์ตได้มากที่สุดประมาณสี่ครั้ง ฉันมีเพื่อนคนหนึ่งที่ได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งเงา แต่เนื่องจากพรของเธออยู่ในระดับ F เธอจึงเข้าสู่ร่างเงาได้เพียงหนึ่งวินาทีและมากที่สุดสิบครั้งต่อวัน แล้วดูปีศาจคนนี้สิเขาเทเลพอร์ตได้กี่ครั้ง จากที่ฉันเห็นเขาเทเลพอร์ตมาแล้วกว่ายี่สิบครั้ง”

“นั่นก็จริง…” เด็กวัยรุ่นในชุดสูทสีม่วงตอบเห็นด้วย

สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือโนอาห์พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเทเลพอร์ตต่อไปเรื่อยๆ ทักษะของเขามีเงื่อนไขว่ายิ่งเขาไปไกลเท่าไหร่พลังงานก็จะยิ่งถูกใช้ไปมากขึ้น แต่มันก็จะเป็นตรงข้ามเหมือนกันยิ่งเข้าเทเลพอร์ตใกล้มากเท่าไหร่ เขาก็จะใช้พลังงานน้อยลงเท่านั้น

โนอาห์ได้เทเลพอร์ตไปแล้ว 23 ครั้งและร่างกายของเขาก็รู้สึกเมื่อยล้าเป็นอย่างมาก ปริมาณพลังที่เขาใช้ไปนั้นเยอะมาก แต่ในตอนนี้เขาอยู่ในเกมโนอาห์ต้องการทดสอบขีดจำกัดของตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องทำเช่นนั้นในสถานการณ์ที่สิ้นหวังในชีวิตจริง เพราะการไม่รู้ขีดจำกัดของตัวเองนั่นอาจจะทำให้เขาตายได้

เมื่อเขาฆ่าบอทตัวสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นเสร็จเวลาของเกมก็สิ้นสุดลงเช่นกัน

[ชนะ!]

โนอาห์ต้องควบคุมตัวเองอย่างมากไม่ให้ล้มลงไปกองกับพื้น เขาหายใจหอบและเหนื่อยมากๆ มีเพียงเขาและหมูน้อยเท่านั้นที่พลิกคะแนนกลับมาจากก่อนหน้านี้คือ 21 – 5 จนกลายเป็น 21 – 32 เมื่อมองไปที่คู่หูตัวน้อยที่เขามี โนอาห์ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้จะมีรูปร่างหน้าตาแปลกและมีขนาดเล็ก แต่หมูน้อยตัวนี้ก็มีประโยชน์และมีทักษะพอสมควร โนอาห์เห็นดวงตาของลูกหมูขณะที่เขานั่งหอบอยู่บนพื้นซึ่งเขาก็ได้รับความเคารพจากผู้ชายตัวเล็กคนนั้นเช่นกัน

โนอาห์ไม่ได้มองไปที่ผู้ถูกเลือกอีกสามคนและกดที่ตัวเลือกเพื่อออกจากการแข่งขัน ทันทีที่เขากดออกจากการแข่งขัน ประตูวาปก็ปรากฏขึ้นข้างใต้เขาและพาเขากลับไปที่ล็อบบี้ในพลาซ่าใต้ดินอันยิ่งใหญ่

โชคดีที่หลังจากจบการแข่งขันในแต่ละครั้ง เกมจะคืนสภาพผู้เล่นให้กลับสู่สภาพสูงสุดเหมือนเดิม ดังนั้นผู้เล่นจึงไม่ต้องพักผ่อนเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อเล่นเกมต่อไป ตอนนี้เกมนี้ได้พิสูจน์ให้โนอาห์เห็นแล้วว่าเขาคิดผิดขนาดไหนที่เขาไม่ลองเข้ามาในเกมตั้งแต่เมื่อก่อน

เกมนี้ไม่ใช่แค่เกม แต่เป็นแพลตฟอร์มการฝึกอบรมที่สมบูรณ์แบบ มันเป็นแพลตฟอร์มที่ผู้ถูกเลือกสามารถต่อสู้และพาตัวเองไปสู่ขีดจำกัดเพื่อให้สามารถฝึกการต่อสู้ กลยุทธ์ และการมองภาพรวม โดยไม่ต้องกังวลว่าจะตายจากมอนสเตอร์จริงๆ เนื่องจากเมื่อเราตายภายในเกมเราก็จะสามารถฟื้นคืนชีพได้ไม่จำกัดเพียงแค่รอไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ถ้าเขาใช้เกมนี้เพื่อฝึกฝนตัวเอง โนอาห์มั่นใจว่าระดับการควบคุมมีดสั้นของเขาจะสูงกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอน เพราะปกติแล้วเขาจะต้องฝึกมันในป้อมปราการและเสี่ยงชีวิตของเขาเอง และนั่นยังอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าเขาจะต้องทำอะไรโดยไม่ประมาทอีกด้วย

‘อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้สร้างนิสัยที่ไม่ดีที่นี่ละนะ’ โนอาห์คิดในขณะที่เขาจำได้ว่าผู้เล่นไม่ไยดีต่อบอทในการต่อสู้ หากมีคนคุ้นเคยกับการทำสิ่งที่พวกเขาทำที่นี่ในเกมและพยายามที่จะทำแบบเดียวกันในป้อมปราการจริงชะตากรรมเดียวของบุคคลนั้นก็คือความตาย สำหรับโนอาห์ผู้ซึ่งทำกระบวนการย้อนกลับโดยที่เขาไปที่ป้อมปราการจริงเป็นครั้งแรกก่อนที่จะเล่นเกม เขาจึงไม่สามารถกำจัดความกระหายที่อยากจะรู้เกี่ยวกับศัตรูของเขาได้ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

อีกด้านหนึ่งของโลกมีชายคนหนึ่งกำลังเล่น Valorwatch แต่ชายคนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวจริงๆแล้วเขาเป็นผู้เล่นที่รู้จักกันดีในชุมชน Valorwatch จากการมีอันดับสูง

เนื่องจากเขาประสบความสำเร็จในระดับสูงผู้คนจึงเริ่มสนใจที่จะดูเขาเล่น ในตอนแรกมันเป็นแค่คนที่เล่นเกมกับเขาหรือไม่ชอบเขาเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปชื่อของเขาก็เริ่มแพร่กระจายไปทั่วชุมชน Valorwatch บนดาวเซต้า เขาค่อยๆเปลี่ยนจากผู้เล่นที่ไม่มีคนรู้จักไปสู่ผู้เล่นที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของ Valorwatch

พิกแมน ผู้ถูกเลือกระดับ B ที่ได้รับอันดับ A ใน Valorwatch เนื่องจากมีการควบคุมและทักษะที่สูงในฐานะหนึ่งในผู้เล่น เขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ B เพียงคนเดียวที่เล่นในลีกระดับ A ของ Valorwatch ผู้คนจึงชอบดูการถ่ายทอดสดที่เขาสร้างขึ้นในขณะที่เขาเล่น

แต่คราวนี้พิกแมนได้ทำบางอย่างที่แปลกไป เขากำลังสร้างความท้าทายใหม่ที่เขาต้องจำกัดความแข็งแกร่งของเขาเองให้อยู่ในระดับที่เขาอยู่ เช่นถ้าเขาอยู่ในอันดับ F ความแข็งแกร่งของเขาก็จะไม่เกินระดับ F ดังนั้นเขาจะต้องไต่ระดับทั้งหมดเพื่อกลับไปยังอันดับ A อีกครั้ง และเขาต้องใช้เพียงความแข็งแกร่งของแต่ละอันดับที่เขากำลังอยู่ในตอนนั้นอีกด้วย

หลังจากที่พิกแมนสร้างบัญชีใหม่ที่จะทำสิ่งนี้ เหล่าคนที่ดูการถ่ายทอดสดของเขาต่างก็ตื่นเต้นมาก เพราะพวกเขาอยากรู้ว่าอันดับ A จะกลับมาผงาดขึ้นอีกครั้งได้ง่ายขนาดไหน เมื่อพวกเขาใช้บัญชีใหม่

หลังจากสร้างบัญชีแล้วพิกแมนถูกขอให้เข้าร่วมในบทช่วยสอนซึ่งเขาคิดว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้น เท่าที่เขาจำได้ในบทช่วยสอนมีผู้ถูกเลือกที่เพิ่งปลุกพรของตัวเองตลอดเวลา และพวกเขาเพิ่งจะเรียนรู้การต่อสู้

ทันทีที่เขาข้ามประตูวาปไปที่บทช่วยสอน พิกแมนก็ลุกขึ้นจากพื้นและวิ่งไปในทิศทางที่มอนสเตอร์จะอยู่โดยไม่ได้มองไปที่ผู้เล่นคนอื่นๆ

สำหรับคนที่เฝ้าดูเขานี่เป็นเรื่องปกติที่ต้องทำ เพราะคนที่นั่นส่วนใหญ่จะเป็นคนโง่ที่ไม่รู้เรื่องอะไร

เมื่อการต่อสู้ดำเนินไปพิกแมนก็เริ่มรู้สึกกดดันมากขึ้น เพราะการต่อสู้กับบอทโดยใช้กำลังระดับ F เพียงอย่างเดียวนั้นยากมาก แม้ว่าเขาจะฆ่าสามตัวและตายเพียงครั้งเดียว แต่ทีมของเขาก็เป็นตัวถ่วงมากกว่าคนช่วยเหลือ

การต่อสู้นี้น่าเกลียดถึงจุดที่พิกแมนและผู้คนในการถ่ายทอดสดของเขาเริ่มเชื่อว่าพวกเขาจะแพ้ในเกมแรกในบทช่วยสอน!

“พวกเธอทุกคนดูเหมืนอว่าบทช่วยสอนระดับ F จะยากมากสำหรับฉัน…” พิกแมนพูดด้วยวิธีที่น่าทึ่งกว่าที่ควรจะเป็น ผู้ชมหลายพันคนที่ดูการถ่ายทอดสดของเขาก็หัวเราะและสนุกกับการดู ใครจะคิดว่าผู้เล่นระดับ A อย่างเขาจะแพ้ในช่วงบทช่วยสอนระดับ F?

[ไม่ต้องกังวลพิกแมน เราเชื่อว่าวันหนึ่งบอทระดับ F ที่ทรงพลังพวกนี้จะพ่ายแพ้ให้กับนาย! ฮ่าๆๆๆ]

[ถ้าบอทแม้แต่ตัวเดียวสามารถเตะตูดนายได้ ฉันก็ค่อนข้างกลัวเมื่อนายจะไปเจอกับผู้เล่นจริงๆ ฮ่าๆๆๆ!]

[ไม่ต้องคิดมากหรอก ผู้เล่นระดับ F อาจจะแย่กว่าบอทพวกนี้ เพราะการผ่านบทช่วยสอนนั้นยากกว่าการเอาชนะผู้เล่นจริง เพราะอย่างน้อยบอทก็รู้ว่าพวกมันกำลังทำอะไร ในขณะที่ศัตรูที่แท้จริงของพวกเราก็คือทีมของพวกเราเอง เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร! ฮ่าๆ]

ในขณะที่พวกเขาหัวเราะและสนุกสนานกับพิกแมน ทันใดนั้นก็เกิดเปลวไฟระเบิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ และการต่อสู้ที่พวกเขาคิดว่าจะแพ้ ในพริบตานั้นทุกอย่างก็ถูกพลิกกลับโดยผู้ถูกเลือกเพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือปีศาจคนนั้น

ไม่กี่วินาทีต่อจากนั้นก็ไม่มีใครในการดูการถ่ายทอดสดของพิกแมนส่งข้อความมาอีกเลย เพราะพวกเขากำลังประทับใจกับการต่อสู้ของปีศาจคนนั้นที่ฆ่าบอทเหมือนกับพวกมันเป็นเพียงแค่แกะและเขาเป็นหมาป่า การฆ่าของเขายังง่ายกว่าการฆ่าที่พิกแมนที่อยู่ในระดับ A ทำ แม้เขาจะถูกจำกัดพลังของเขาก็ตาม

ในที่สุดก็มีคนส่งข้อความเหงาๆออกมาหนึ่งข้อความว่า

[ปีศาจคนนั้นคือใคร?]

[โปรดเลือกชื่อผู้ใช้ของคุณ…]

โนอาห์ไม่รู้ว่าจะใส่อะไรลงไปในส่วนนั้นอยู่สองสามวินาที แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาเชื่อว่าการใส่ชื่อนั้นน่าสนใจ

[ลูซิเฟอร์]

[ชื่อผู้ใช้นี้ใช้ได้…ผู้ใช้ต้องการสร้างรูปลักษณ์ใหม่หรือต้องการใช้รูปลักษณ์ของตัวเอง?]

เมื่อโนอาห์เห็นข้อความนี้เขาก็รู้สึกสงสัย เขาชอบรูปลักษณ์ของตัวเองมาก แต่การใช้รูปลักษณ์ของตัวเองอาจทำให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นในอนาคตซึ่งเขาต้องการหลีกเลี่ยง

[สร้างใหม่]

หลังจากปรับบุคลิกของเขาได้ไม่กี่นาทีนอกเหนือจากการเพิ่มเขาสีแดงคู่หนึ่งและเปลี่ยนโทนสีผิวเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับเขา โนอาห์ยังคงรักษาความสูงของเขาไว้เช่นเดิม สำหรับสีหน้าของเขาเขาเพิ่งเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่เหมาะกับปีศาจระดับสูงและกดยืนยันการเลือกของเขา

[ผู้ใช้จะถูกส่งไปที่ล็อบบี้]

หลังจากข้อความนี้โนอาห์สังเกตว่าสภาพแวดล้อมของเขาเปลี่ยนไปราวกับว่าเขากำลังเดินทางผ่านมิติจนกระทั่งทันใดนั้นเขาก็พบว่าตัวเองยืนอยู่กลางจัตุรัสใต้ดินขนาดใหญ่ แสงรอบๆสถานที่นี้เกิดจากคริสตัลที่อยู่ด้านบนของถ้ำยักษ์

เมื่อมองไปรอบๆโนอาห์สามารถเห็นผู้คนหลายร้อยคนที่มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกันไป มีผู้หญิงที่ดูเหมือนนางฟ้าที่มีปีกขนาดใหญ่ ผู้ชายที่ดูเหมือนโกเลมหินขนาดใหญ่ สิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายที่ทำจากน้ำทั้งหมด โนอาห์ได้ยินมาว่าโดยปกติแล้วผู้คนมักใช้เงินไปกับการซื้อเครื่องสำอางที่เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวละคร แต่หลังจากที่โนอาห์ได้รู้ว่าของเหล่านี้มีราคาแพงแค่ไหนเขาก็ไม่เชื่อว่าผู้คนจำนวนมากใช้เงินไปกับพวกมัน

แต่จากที่เขาเห็นก็แทบจะหาคนที่มีลักษณะ “พื้นฐาน” ไม่ได้เลย ผู้เล่นทุกคนมีบางอย่างที่ทำให้พวกเขาไม่เหมือนใครไม่ว่าจะเป็นคนที่ดูเหมือนโครงกระดูกหรือคนที่ดูเหมือนหมูอ้วนตัวเล็กๆ

‘อย่างน้อยฉันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับความสนใจจากหน้าตาแบบนี้’ โนอาห์รู้สึกโล่งใจที่รู้ว่ารูปลักษณ์ปีศาจของเขาจะไม่เหมือนใครอย่างที่เขาคิด

[คุณได้รับเชิญให้เข้าร่วมเกมฝึกสอน คุณต้องการที่จะเข้าร่วมหรือไม่?]

[ใช่]

โนอาห์ตอบทันที ตัวจับเวลาขนาดเล็กปรากฏขึ้นลอยอยู่ตรงหน้าเขาจนกระทั่งเมื่อถึงศูนย์ประตูแปลกๆก็ปรากฏขึ้นด้านล่างของโนอาห์ก่อนที่เขาจะตกลงไป

การตกลงไปด้านล่างกินเวลาเพียงวินาทีเดียวเท่านั้น เมื่อเขารู้สึกตัวอีกทีเขาก็อยู่ในถ้ำแล้ว ถ้ำนี้เป็นถ้ำที่มืดอย่างมาก

และจากนั้นจู่ๆรอบๆตัวของเขาก็มีประตูอีกสี่แห่งปรากฏขึ้น ก่อนที่จะมีคนอื่นๆล้มลงและมีหมูอ้วนตัวเล็กตัวหนึ่งล้มลงมาเช่นเดียวกันและท้องของมันก็ตกลงที่พื้น

โนอาห์มองเพื่อนร่วมทีมของเขาอย่างแปลกประหลาดและเห็นว่านอกจากหมูที่นอนเหยียดยาวอยู่ตรงนั้นแล้วยังมีวัยรุ่นอีกคนหนึ่งที่สวมชุดเชียร์ลีดเดอร์ ชายที่มีหัวเป็นแมวขนาดใหญ่ และชายอีกคนที่สวมชุดสูทสีม่วงแปลกๆ คนเหล่านี้ยังไม่ได้ทำแบบฝึกเลยด้วยซ้ำแต่พวกเขาก็ใช้เงินซื้อเสื้อผ้าให้กับตัวละครของพวกเขาแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่โนอาห์ไม่เข้าใจว่าพวกเขาทำทำไม

แต่เมื่อมองไปที่พื้น เขาก็เห็นบางสิ่งที่ทำให้เขาสนใจกว่าเสื้อผ้าแปลกๆของคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขา นั่นคือหมูตัวอ้วนตัวนั้น

‘ทำไมถึงเลือกสิ่งนั้น?’ โนอาห์สงสัย

[ยินดีต้อนรับผู้เล่นทุกท่าน! Valorwatch เป็นเกมที่ในการแข่งขันแต่ละครั้งจะมีการเลือกโหมดเกมแบบสุ่มซึ่งแตกต่างกันไประหว่างควบคุมวัตถุ, คุ้มกัน, ลานประลอง และเกมฝึกสอนนี้จะช่วยสอนคุณเล่นในโหมดลานประลอง ทีมที่จะชนะการแข่งขันคือทีมที่กำจัดผู้เล่นของทีมอื่นได้มากที่สุดใน 15 นาที]

หลังจากคำเตือนนี้ก็ไม่มีการแจ้งให้ผู้เล่นทราบอะไรอีกต่อไป แต่คนเดียวที่สงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำคือโนอาห์เนื่องจากเขาไม่เคยทุ่มเทเวลาให้กับเกมเลย ผู้เล่นคนอื่นๆได้ดูวิดีโอมากมายบนอินเทอร์เน็ตแล้วแม้ว่าจะไม่มีบทช่วยสอนพวกเขาก็รู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไร นั่นชัดเจนเมื่อเจ้าหมูน้อยตัวอ้วนลุกขึ้นจากพื้นและวิ่งด้วยสองขาเขาวิ่งด้วยความเร็วที่น่ากลัวผ่านตัวของโนอาห์ไป

‘ความคล่องตัวนี้…เขาน่าจะมีพรระดับ E…’ โนอาห์คิดขณะที่เขาเห็นผู้เล่นจากไปโดยไม่พูดอะไร

“ไปฆ่าบอทกันเถอะ ฮิฮิ” ชายที่มีหัวแมวตัวใหญ่หัวเราะขณะที่เขาวิ่งไปในทิศทางเดียวกับหมูน้อย อีกสองคนก็วิ่งหนีอย่างตื่นเต้นในขณะที่มองหาทีมศัตรู

โนอาห์ยังคงมึนงงเล็กน้อย

‘พวกเขาหมายถึงอะไร ‘บอท’’?

โนอาห์เพียงแค่เดินตามกลุ่มของเขาจากด้านหลังและเฝ้าดูสิ่งที่พวกเขากำลังทำ โดยเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะต้องทำอะไร เนื่องจากโหมดนี้เป็นแบบฝึกสอนสิ่งที่เขาต้องทำที่นี่ก็คือการเรียนรู้ และหากมีสิ่งหนึ่งที่โนอาห์คุ้นเคยมากที่สุดในนี้ก็คือการเรียนรู้ ก่อนที่จะทำอะไรเขาจะมองหากลยุทธ์ที่ดีที่สุดท่ามกลางความเป็นไปได้ทั้งหมดเพื่อไม่ให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่

เมื่อกลุ่มของเขาวิ่งไปอีกไม่นานพวกเขาก็พบกับหุ่นยนต์ทั้ง 5 ตัว และเมื่อโนอาห์เห็นพวกมันก็มีข้อความลอยอยู่ตรงหน้าของเขา

[นี่คือบอทที่ใช้ในการสอน พวกมันจะทำหน้าที่เป็นผู้ถูกเลือกแต่พวกมันถูกควบคุมโดยปัญญาประดิษฐ์ในโหมดการสอน ในการแข่งขันต่อสู้กับผู้เล่นจริงๆบอทพวกนี้จะถูกแทนที่โดยผู้เล่นคนอื่นๆ]

‘อืมนั่นคือสิ่งที่เรียกว่าบอทสินะ ในบทช่วยสอนนี้เราจะไม่ต้องฆ่ามนุษย์คนอื่น’ ในที่สุดโนอาห์ก็เข้าใจความหมายของเกม

โนอาห์นั่งอยู่บนยอดไม้สังเกตเห็นว่าสมาชิกในกลุ่มของเขาเป็นมือสมัครเล่นอย่างสมบูรณ์แบบ ในความเป็นจริงการบอกว่าพวกเขาเป็นมือสมัครเล่นน่าจะเป็นคำชมมากกว่า วิธีที่พวกเขาต่อสู้นั้นแย่มาก การเคลื่อนไหวดาบของชายที่มีหัวเป็นแมวแทบจะไม่มีเทคนิคใดๆเลย เขาเพียงแค่ใช้แนวคิดพื้นฐานของสิ่งที่สอนในโรงเรียน เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวในชุดเชียร์ลีดเดอร์ได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งแสง แต่แทนที่จะใช้แสงนี้เพื่อรักษาทีมเธอกลับพยายามเพิ่มความเข้มของแสงเพื่อเผาบอทพวกนั้น

มีเพียงคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวมั่วๆนั่นคือหมูน้อย เขามีความว่องไวที่ยอดเยี่ยม เขาสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วพอที่จะเข้าโจมตีและไม่ถูกโจมตีขณะต่อสู้กับบอทพวกนั้น

พรของหมูน้อยตัวนี้คล้ายกับพรของแจสเปอร์ที่โนอาห์เคยเห็น ในลักษณะเดียวกับที่แจสเปอร์ใช้ความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้นจากพรของเขาเพื่อให้ไม่มีใครแตะต้องเขาได้ในการต่อสู้ หมูน้อยประหลาดตัวนี้กำลังทำสิ่งเดียวกันราวกับว่าเขามีประสบการณ์มากมายในการทำมัน

จริงๆแล้วหลังจากคิดถึงเรื่องนี้โนอาห์ก็ตระหนักว่าในกลุ่มนี้มีเพียงคนเดียวที่เห็นได้ชัดว่ามีทักษะและประสบการณ์จริงคือหมูน้อย ผู้เล่นคนอื่นๆทำราวกับว่าพวกเขาไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้มาก่อนในชีวิตของพวกเขา

ในการเล่นเกมผู้เล่นจะต้องมีอายุ 16 ปีซึ่งส่วนใหญ่แล้วผู้เล่นคนอื่นๆเหล่านี้จะต้องเพิ่งปลุกพรของพวกเขาและมาเล่นทันทีแน่นอน เมื่อโนอาห์อายุ 15 ปีเกมนี้ยังไม่มีอยู่จริงดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าการโฆษณานี้ยิ่งใหญ่มากสำหรับวัยรุ่นที่จะสามารถเล่นกับผู้ถูกเลือกที่เป็นคนดังได้

สาวๆส่วนใหญ่ใฝ่ฝันที่จะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับดาราที่หล่อเหลาที่พวกเธอเห็นทางโทรทัศน์ แต่หนุ่มๆมักจะใฝ่ฝันที่จะมีโอกาสได้เข้าร่วมการแข่งขันกับเหล่าผู้ถูกเลือกสาวๆที่มีชื่อเสียงและเอาชนะใจพวกเธอได้

โนอาห์ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษในการเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ เขาไม่รู้ว่าเขาต้องทำอะไร เขาเห็นแต่รูปแบบการต่อสู้อันเละเทะที่ทีมของเขากำลังทำอยู่และยังทำให้พวกเขาตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความตื่นเต้นในครั้งแรกที่พวกเขารู้สึกว่าจะไล่ฆ่าบอทอย่างง่ายดายได้หายไปหลังจากที่พวกเขาตายเป็นรอบที่สาม

เมื่อมองในมุมของโนอาห์ก็เห็นว่าเวลาได้ผ่านไป 5 นาทีแล้วและคะแนนอยู่ที่ 17 – 4 โดยบอทกำลังชนะอยู่ในขณะนี้ เมื่อมาถึงจุดนี้ผู้เล่นที่หวังว่าจะเดินไปสู่เส้นทางแห่งความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ในทันทีที่ก้าวขึ้นสู่อันดับสูงในเกมและกลายเป็นดารามืออาชีพตอนนี้พวกเขารู้สึกละอายใจมาก พวกเขาหมดหวังที่จะเอาชนะบอทพวกนี้

แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ยังคงต่อสู้โดยไม่ได้กังวลกับสิ่งเหล่านี้นั้นคือหมูน้อยที่ถึงแม้เขาจะตายไปครั้งเดียว แต่เขาก็ยังรับผิดชอบสังหารบอทสามถึงสี่ตัวแทนคนในทีมต่อไป

หลังการแข่งขันเริ่มได้ 7 นาที เมื่อคนที่สวมชุดเชียร์ลีดเดอร์เสียชีวิตอีกครั้งเธอก็เห็นโนอาห์นั่งอยู่บนกิ่งไม้ เธอจึงรู้สึกโกรธ เพราะในขณะที่ทุกคนตายเพื่อเอาชนะการแข่งขันกลับมีสมาชิกคนหนึ่งในทีมที่นั่งดูพวกเขาแพ้และตายไปเรื่อยๆงั้นหรอ?

“เฮ้ นาย!” เธอตะโกนใส่โนอาห์

โนอาห์ได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนมาทางเขาและเห็นว่าเป็นสาวเชียร์ลีดเดอร์

“ว่าไง?” เขาถามอย่างสงสัย

“นายไม่เห็นเหรอว่าเรากำลังจะแพ้ทำไมนายถึงไม่ทำอะไรเลย” เธอถามอย่างไม่พอใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเธอเห็นว่าเขาไม่รู้จริงๆว่าทำไมเธอถึงตะโกนใส่เขา

‘คนไร้ประโยชน์คนนี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องทำอะไรในเกม ถ้าคนที่เข้าร่วมทีมกับเราไม่ใช่เขาเราจะชนะ ใช่แล้ว!’ เธอรำพึงกับตัวเอง

“แต่เราจะไม่แพ้” โนอาห์ตอบอย่างใจเย็น

“นายโง่หรือเปล่าดูที่คะแนนของเกมตอนนี้ มันคือ 21 – 5 แล้ว แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพลิกกลับมาชนะจากคะแนนเหล่านั้นในเวลาไม่ถึง 10 นาทีเราจะแพ้ก็เพราะนาย!” หญิงสาวตะโกนใส่โนอาห์ระบายความคับข้องใจที่เสียชีวิตถึงห้าครั้ง

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” โนอาห์พูดด้วยรอยยิ้มซึ่งด้วยรูปลักษณ์ปีศาจที่เขามีมันดูน่ากลัวเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หายตัวไปในเปลวไฟและปรากฏตัวขึ้นข้างหลังบอทตัวหนึ่งพร้อมกับมีดสั้นตัดและหัวของมัน

เชียร์ลีดเดอร์ยืนอ้าปากค้างและพูดอะไรไม่ออกทันทีเมื่อเธอเห็นสิ่งนี้

[นายต้องการให้ฉันเล่น Valorwatch กับนายงั้นหรอ?] โนอาห์ถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

[ใช่ๆ! ฉันและเพื่อนต้องการเข้าร่วมแชมเปี้ยนชิพที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่น่าเสียดายที่ผู้เล่นขาดไปคนนึง และเนื่องจากนายเป็นผู้ถูกเลือกที่มีพรที่ดีมันก็ดีกว่าที่จะเอานายมาเล่นด้วยดีกว่าให้คนอื่นๆมาเล่น] คาร์ลอสส่งข้อความมาด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับคนอย่างคาร์ลอสที่ไม่มีพร เกมนี้ก็ได้จัดเตรียมชุดทักษะพื้นฐานให้กับพวกเขาเช่นกัน เช่น ความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้น คล่องตัวมากขึ้น หรือสามารถควบคุมพลังงานทั่วไปเช่นมานาได้เล็กน้อย เพื่อให้แม้แต่ผู้ที่ไม่มีพรก็สามารถเล่นได้ เนื่องจากเกมนี้ขึ้นอยู่กับการจัดอันดับ เมื่อมีคนลงทะเบียนเข้าร่วมเกมหากบุคคลนั้นมีพรพวกเขาจะเข้าสู่การจัดอันดับบรอนซ์โดยตรงและขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นมีความเชี่ยวชาญเพียงใดและพรของพวกเขามีพลังมากเพียงใดพวกเขาจะเลื่อนอันดับขึ้นไป ดังนั้นหากมีการลงทะเบียนเป็นผู้ถูกเลือกระดับ C ในเกม พวกเขาก็จะเลื่อนขึ้นไปสู่อันดับที่สูงได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ผู้ถูกเลือกระดับ F และ E จะอยู่ในระดับต่ำ

เพื่อสร้างความสมดุลและสร้างรายได้บริษัทเกมอนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีพรเลื่อนระดับและพัฒนาชุดทักษะพื้นฐานของพวกเขา แต่สิ่งนี้ไม่ฟรี ในขณะที่บุคคลที่ผู้ถูกเลือกระดับ C สามารถเลื่อนอันดับได้อย่างรวดเร็วและไม่ต้องใช้จ่ายอะไรเลย ทุกครั้งที่คนที่ไม่มีพรเลื่อนระดับพวกเขาสามารถพัฒนาพรของเขาให้เข้ากับอันดับนั้นได้และเขาสามารถเล่นเกมได้อย่างยุติธรรม แต่การพัฒนานี้ต้องเสียเงินจริง

ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆที่มีชื่อเสียงกำลังสนุกในเกมและทำหน้าที่เป็นโฆษณาเพื่อดึงดูดให้คนมาเล่นเกมนี้ เพราะในเกมนี้พวกเขาจะได้รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาได้รับพรและสามารถต่อสู้กับคนอื่นๆได้ทำให้พวกเขารู้สึกมีอำนาจที่จะต่อสู้บ้างนั่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนภายในเกมนี้

นั่นเป็นเหตุผลที่โนอาห์ที่ไม่เคยเล่นเกมอื่นๆเลยอยากลองเล่นเกมนี้ ที่คาร์ลอสขอให้เขามาเล่น เพราะเขาจะไม่ต้องเสียเงินค่าพัฒนาให้กับโนอาห์ เพราะถ้าเป็นในตอนแรกในตอนที่โนอาห์ไม่มีพลังโนอาห์ก็จะไม่มีเงินพอที่จะเลื่อนระดับขึ้นโดยที่ไม่ต้องพัฒนาการชุดทักษะของเขา และโนอาห์ก็จะไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากคาร์ลอสเด็ดขาด

แต่ตอนนี้มันต่างออกไป ตอนนี้โนอาห์สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และระบบยังทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเพื่อบรรลุบางสิ่งบางอย่าง

การแข่งขันชิงแชมป์ที่เกิดขึ้นมีเงินรางวัลรวม 100,000 ดอลลาร์สำหรับทีมที่ชนะ แน่นอนว่ารางวัลนี้มีไว้สำหรับผู้เข้าร่วมระดับทองเท่านั้น สำหรับทีมระดับแพลตตินัมและระดับเพชรเงินรางวัลจะมีเลขศูนย์พิเศษเพิ่มเข้ามาในตอนท้ายอีกด้วย

เนื่องจากทีมประกอบด้วย 5 คนการแบ่งปันเงินรางวัลจะเท่ากับ 20,000 ดอลลาร์สำหรับแต่ละคน สำหรับโนอาห์เงิน 20,000 ดอลลาร์นั้นจะสร้างความแตกต่างอย่างมากให้กับตัวเขา ด้วยเงินจำนวนนั้นเขาสามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาลหลายๆครั้งให้กับแม็กกี้ได้ และนั้นมันเทียบเท่ากับการบุกป้อมปราการระดับ E ถึง 20 ครั้ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อเงิน 20,000 ดอลลาร์นี้คือเขาแค่ต้องทำความคุ้นเคยกับเกมและคว้าแชมป์

[ฉันต้องเล่นเกมอะไร?] โนอาห์ถามคาร์ลอสอย่างสงสัย

เมื่อคาร์ลอสสังเกตเห็นร่องรอยความสนใจเล็กน้อยที่โนอาห์แสดงให้เห็นเขาก็ตื่นเต้นมาก เขาชอบเพื่อนคนนี้ในฐานะพี่ชายของเขา แต่เนื่องจากสภาพทางการเงินของโนอาห์ทำให้พวกเขาไม่สามารถเล่นด้วยกันได้ แม้ว่าคาร์ลอสจะยอมจ่ายทุกอย่าง แต่โนอาห์ก็ไม่เคยยอมรับ ตอนนี้ “พี่ชาย” ของเขาได้ตกลงที่จะเล่นกับเขาเป็นครั้งแรกคาร์ลอสรู้สึกดีใจมาก

[โอเค โทรศัพท์ของนายคือ Hyphone XX ใช่ไหม รุ่นนี้มันมาพร้อมกับรัดเกล้าสัมผัสระดับสูงรุ่นพื้นฐานที่สุดถ้าฉันจำไม่ผิด ดังนั้นสิ่งเดียวที่นายต้องทำคือดาวน์โหลดเกมบนโทรศัพท์ของนายและใช้ร้ดเกล้าสัมผัสระดับสูงของนายเพื่อเข้าเกม]

เมื่อได้ยินสิ่งที่คาร์ลอสพูดโนอาห์ก็จำได้ว่าโทรศัพท์มือถือของเขามาพร้อมกับรัดเกล้าสัมผัสระดับสูง

การใช้งานมันจำกัดมากสำหรับเขา เนื่องจากเขาไม่ได้เล่นเกมเสมือนจริงการสวมรัดเกล้าที่พาใครบางคนเข้าสู่โลกเสมือนจริงของเกมจึงไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขา แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งรัดเกล้านี้จะมีประโยชน์กับเขาจริงๆ?

[โอเค ฉันมีมันอยู่ที่บ้าน เมื่อกลับถึงบ้านฉันจะบอกให้นายรู้]

[เยี่ยม! ฉันจะรอข้อความของนายนะ อย่าลืมเมื่อนายเล่นให้นายเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือของนายเข้ากับสายอินเทอร์เน็ตพิเศษ เนื่องจากเกมต้องการรับข้อมูลนับล้านที่ระบบประสาทของนายต้องส่งและรับข้อมูลนี้โดยใช้อินเทอร์เน็ตไร้สายเท่านั้นไม่งั้นค่าความเสถียรของนายจะสูงมาก แม้ว่าอินเทอร์เน็ตของนายจะเป็น 1Tb / s แต่ถ้านายเล่น Valorwatch โดยไม่เสียบสายเคเบิลมันก็จะไม่ทำงานอยู่ดี] คาร์ลอสพิมพ์อย่างรวดเร็ว

โนอาห์อ่านเคล็ดลับเพิ่มเติมจากคาร์ลอสและกลับบ้าน ในขณะที่เขาจากไปผู้ถูกเลือกที่บุกป้อมปราการกับเขาบางคนโบกมือลาเขา คนอื่นๆถึงกับกล่าวคำอำลา นี่เป็นความรู้สึกแปลกๆสำหรับโนอาห์ที่เคยถูกปฏิบัติไม่ดีมาโดยตลอด

‘มันก็ดีไปอีกแบบละนะ’ เขาคิดในขณะที่เขาเปรียบเทียบว่าการได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ดีเพียงใดเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาเคยเจอมาก่อน

ระหว่างทางกลับบ้านโนอาห์ทำบางสิ่งบางอย่างที่เขารู้สึกอยากทำเสมอ เขาแวะที่ร้านเบเกอรี่เล็กๆและซื้อโรลร้อนให้ตัวเองกินและฟื้นพลังที่ใช้ไปที่ป้อมปราการ

เนื่องจากเขาต้องประหยัดเงินอยู่เสมอโนอาห์จึงไม่เคยซื้ออาหารมากเกินความต้องการทางร่างกายซึ่งหมายความว่าเกือบทุกวันเขาจะนอนหิวเพื่อที่จะไม่ใช้เงินโดยไม่จำเป็น นี่คือประเด็นที่ว่าทุกครั้งที่เขาไปที่บ้านของคาร์ลอสเขามักจะกินจนอิ่มเช่นเดียวกับที่ทำเมื่อวันก่อน โดยเติมอาหารหลายประเภทลงในจานจนถึงจุดที่มันกลายเป็นเนินเขาเล็กๆ

“จริงๆการกินหลังออกกำลังกายก็มีคุณค่าในตัวของมันเองเหมือนกันนะ” โนอาห์ยิ้มด้วยความพึงพอใจเมื่อเขากินขนมปังโดยไม่มีไส้ มันไม่สมเหตุสมผลสำหรับคนอื่นๆแต่สำหรับโนอาห์ที่ไม่สามารถจ่ายเงินให้กับความหรูหรานี้ได้เมื่อ 2-3 ปีก่อนการกินขนมปังที่เพิ่งออกมาจากเตาอบก็อร่อยอยู่แล้ว

เมื่อมาถึงหน้าบ้านโนอาห์ไม่แม้แต่จะหยุดกินขนมปังของเขาและไม่เขาก็ไม่หยิบกุญแจบ้านออกจากกระเป๋าของเขาด้วยซ้ำ เขาใช้อุโมงค์นรกเพื่อโผล่เข้าไปข้างในทันที เนื่องจากระบบรักษาความปลอดภัยสามารถระบุได้ว่านั่นเป็นตัวเขาโดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร นั่นทำให้โนอาห์ไม่ต้องกังวลว่าตำรวจจะได้รับแจ้งว่าเขา “บุกเข้าไป” ในบ้านของเขาเอง

‘เป็นทักษะที่มีประโยชน์จริงๆ’ โนอาห์คิดขณะที่เขาประเมินทักษะที่ได้มาใหม่

ความรู้สึกของการผ่านนรกทำให้เขาสดชื่น มันเหมือนกับการอาบน้ำในวันฤดูร้อน โนอาห์รู้ดีว่าถ้าเขาสามารถไปที่นั่นและอยู่ให้นานกว่านี้ก่อนที่จะกลับมาที่โลกปกติเขาจะทำอย่างนั้นอย่างแน่นอน แม้ว่าเขาจะยังกลัวเล็กน้อยเมื่อเขาคิดถึงพวกปีศาจที่อยู่ในนรกก็ตาม

‘เฮ้อ ทำไมฉันถึงได้กลัวเรื่องนี้นะ ในอนาคตระบบอาจจะทำให้ฉันสามารถเรียกปีศาจขึ้นมาได้ก็ได้ใครจะรู้ บางทีพวกมันอาจจะเป็นคนดีก็ได้’ โนอาห์หัวเราะและคิดว่ามันไร้เหตุผลสิ้นดีที่ผู้สืบทอดพลังของลูซิเฟอร์จะกลัวปีศาจตัวน้อยในนรก

เมื่อได้กินขนมปังก้อนใหญ่จนอิ่มแล้วโนอาห์ก็พอใจในที่สุด หลังจากอาบน้ำโนอาห์ก็ไปที่ห้องของเขาและหยิบกล่องที่ได้มาพร้อมกับโทรศัพท์ในตอนที่เขาซื้อ ด้านในกล่องมีรัดเกล้าที่มีตัวย่อว่า HS เขียนไว้ด้วยวิธีที่ซับซ้อน

โนอาห์เคยสวมรัดเกล้านี้มาแล้วครั้งหนึ่งตอนที่เขาเพิ่งรับโทรศัพท์มือถือของแม่ แต่หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับเธอเขาก็ไม่เคยแตะรัดเกล้าอีกเลย

‘โอเค ทำแบบนี้จะดีสำหรับฉันและแม็กกี้ เพราะถ้าฉันได้แชมป์ฉันจะมีเงินมากขึ้นเพื่อช่วยเธอ’ โนอาห์ปลอบตัวเองและนอนลงบนเตียงโดยหลับตาหลังจากสวมรัดเกล้าไว้บนศีรษะของเขา

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 02]

[ประสบการณ์: 64/400]

[HP: 12/12]

[ความแข็งแรง: 12]

[ความคล่องตัว: 12]

[ความแข็งแกร่ง: 12]

[สกิล:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 02 : 72/500

คำอธิบายสกิล: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

[หลักแห่งไฟ เลเวล: 02 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและการควบคุมมันก็เป็นธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อยนอกจากนี้ยังทำให้มนุษย์ได้รับการกัดกร่อนจากบาป มนุษย์ที่มีบาปเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถชำระล้างได้]

[อุโมงค์นรก เลเวล: 01 : 15/300

ทักษะที่สามารถทำให้เปิดอุโมงค์สู่นรกและออกไปที่อื่นได้ในเสี้ยววินาทียิ่งระยะทางไกลมากเท่าไหร่พลังงานที่จะใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น]

นรกได้กักขังวิญญาณของคนบาปไว้ในอุโมงค์นี้มาตั้งแต่ทุกสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้น และกังขังมาชั่วนิรันดร์ เพื่อรองรับปีศาจและวิญญาณจำนวนมากพื้นที่นี้จึงขยายตัวมากกว่าโลกของสิ่งมีชีวิตหลายเท่า เมื่อใดก็ตามที่ลูซิเฟอร์เดินผ่านอุโมงค์เหล่านี้ผู้คนก็จะรู้ว่าเขากำลังเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสักแห่ง และเขาก็สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้ที่อุโมงค์นี้ไปถึงเหล่าผู้คนจะคิดว่าเขากำลังเทเลพอร์ต

[จำนวนบาปไม่เพียงพอ…]

ถ้าดวงตาขอโนอาห์สามารถฆ่าใครได้เขาจะต้องฆ่าระบบนี้ไปหลายครั้งแล้วแน่นอน นี่เป็นความรู้สึกแรกที่โนอาห์ได้รับหลังจากที่เขาได้รับระบบมา เขาไม่ได้มีความรู้สึกอยากตอบแทนหรือมีความสุข แต่เป็นความโกรธเพราะความหงุดหงิด

‘บ้าเอ้ย ฉันหมดความหวังแล้ว…’ โนอาห์คิดอย่างโกรธๆขณะที่เขาเดินไปที่ประตูเพื่อออกจากป้อมปราการ

[ดูดซับพลังงานจากพระเจ้า…]

ข้อความอีกข้อความหนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาของโนอาห์ นั่นทำให้เขาหยุดเดินและมองไปที่ผู้หญิงที่ถูกไฟไหม้บนพื้นอีกครั้ง

‘พลังงานศักดิ์สิทธิ์…นั่นเป็นพลังงานเดียวกับที่ระบบดูดซึมจากรูปปั้นของเทพธิดา…บางทีแม้ว่าผู้ถูกเลือกจะไม่มีบาปมากมายขนาดนั้น แต่ถ้าเป็นยังงั้นฉันขอพลังงานจากสวรรค์ของพวกเขาได้ไหม แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีประโยชน์อะไรนอกจากการปลดล็อกส่วนอื่นๆของไดอารี่ของลูซิเฟอร์ แต่ในอนาคตมันอาจจะมีประโยชน์เพื่อวัตถุประสงค์อื่น?’ โนอาห์คิดและตอนนี้เขาก็หงุดหงิดน้อยลง

เขาตื่นเต้นมากที่ได้จินตนาการถึงความเป็นไปได้ของสิ่งที่เขาจะได้รับหลังจากการดูดซับพลังจากมนุษย์ ดังนั้นความผิดหวังจึงเกิดขึ้นมากในตอนแรกเมื่อเขาไม่ได้รับสิ่งที่น่าพอใจ แต่เมื่อนึกถึงทักษะที่เขาได้รับจากระบบในสองวันนั้นว่ามันทำให้เขามีพลังมากเพียงใด โนอาห์ก็ไม่สามารถโกรธระบบได้

โนอาห์ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเขาได้เผาร่างของผู้หญิงคนนั้นจนหมดแล้ว โนอาห์ก็เดินข้ามประตูที่คุ้นเคยอีกครั้งและเห็นผู้ถูกเลือกคนอื่นๆกำลังรายงานกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายๆคน เพื่อที่พวกเขาจะได้จากไป สิ่งเดียวกันนี้ก็กำลังจะเกิดขึ้นกับโนอาห์ ทันทีที่เขาก้าวออกมาจากประตูนั้นตัวแทนของรัฐบาลก็เข้ามาคุยกับเขาทันที

“สวัสดีคุณคือโนอาห์ใช่หรือเปล่า ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆบอกว่าคุณเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด หากไม่ใช่เพราะคุณพวกเขาก็อาจจะเอาชนะป้อมปราการนี้ไม่ได้และคุณเป็นเพียงผู้ถูกเลือกระดับ F เท่านั้น คุณช่วยอธิบายให้เราฟังได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” ตัวแทนถามโนอาห์ด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย ถึงแม้ว่าชายคนนั้นจะสงสัยโนอาห์ แต่โนอาห์ก็รู้ว่ามันเป็นเพียงขั้นตอนมาตรฐานสำหรับเจ้าหน้าที่ในการถามคำถามเกี่ยวกับการบุกป้อมปราการของพวกเขา

“ฉันฝึกฝนมามากมายในป้อมปราการระดับ F และตอนนี้ฉันรู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องใช้พรของตัวเอง เพราะฉันไม่ได้เป็นตัวถ่วงของคนในทีมอีกแล้ว” โนอาห์ตอบด้วยหน้ากากแห่งความเบื่อหน่ายที่เขาใช้เพื่อปิดบังสิ่งที่เขาคิดจริงๆ

“โอเค ดังนั้นในการบุกป้อมปราการอื่นๆของคุณ คุณถึงไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของคุณและตอนนี้คุณเริ่มใช้มันแล้วใช่ไหม ฉันเข้าใจแล้วและเกี่ยวกับพรของคุณที่อยู่ในระดับ F แล้วทำไมคุณถึงใช้พลังระดับ E ได้ล่ะคำอธิบายของเรื่องนี้คืออะไร?” ชายคนนั้นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างแท้จริง เนื่องจากสถานการณ์แบบนี้หายากมาก

“ฉันไม่แน่ใจ แต่ในการทดสอบพร ฉันไม่สามารถใช้ศักยภาพในการต่อสู้และการสนับสนุนทั้งหมดของฉันได้เพราะฉันไม่เข้าใจว่าพรของฉันทำงานอย่างไร นอกจากนี้การทดสอบการปล่อยพลังยังเป็นสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจดีพอ นั่นน่าจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้น” โนอาห์ตอบชายคนนั้นราวกับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชัดเจนซึ่งเขารู้ว่าเป็นเรื่องโกหก แต่เขาไม่สามารถพูดได้ว่า

‘ฉันได้รับพรจากจอมมารและในอนาคตฉันจะมีความแข็งแกร่งเหมือนเทพเจ้า’

“เอาล่ะตอนนี้คุณช่วยบอกเราได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นที่ป้อมปราการ” ตัวแทนถาม

หลังจากซ่อนสิ่งที่สำคัญที่สุด (เช่นการค้นหารูปปั้นของเทพธิดาและจำนวนสัตว์ประหลาดที่เขาฆ่าคนเดียวในขณะที่เขาถูกแยกออกจากกลุ่ม) โนอาห์เล่าเรื่องที่เหลือโดยไม่มีปัญหา ตัวแทนพอใจกับคำตอบของโนอาห์และปล่อยให้เขาออกไปหลังจากพูดอะไรบางอย่างที่ให้กำลังใจกับโนอาห์

“หากคุณยังคงมีผลงานที่ดี ในอีกหนึ่งหรือสองแห่ง อันดับของคุณอาจเพิ่มขึ้นจากอันดับ F ไปยังอันดับ E และคุณอาจจะได้เข้าสู่ป้อมปราการมากขึ้นตามอันดับของคุณได้”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นโนอาห์ก็พอใจเนื่องจากจะสามารถบุกป้อมปราการระดับ D ได้อย่างน้อยก็จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่งระดับ E ที่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาล หลังจากคุยกับชายคนนั้นเสร็จเขาก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้าของตัวเองและหยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าของเขาออกมาพร้อมกับสิ่งของที่เหลืออยู่และเดินเข้าไปในรถบัสที่ผู้ถูกเลือกส่วนใหญ่รออยู่แล้ว

เมื่อเห็นว่าเขาได้รับเงิน 1,000 ดอลลาร์จากการบุกป้อมปราการทำให้ความภาคภูมิใจผุดขึ้นมาในใจของโนอาห์เมื่อเขาตระหนักว่าเขาเข้าใกล้เป้าหมายที่จะมีเงินเพียงพอที่จะช่วยเหลือน้องสาวของเขา เงิน 1,000 ดอลลาร์นั้นไม่สามารถสร้างความแตกต่างได้มากนัก แต่มันก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขากำลังเดินทางไปถึงเป้าหมายของเขาจริงๆ

ระหว่างการเดินทางกลับแจสเปอร์และโนอาห์แลกเปลี่ยนเบอร์ติดต่อกันและแจสเปอร์บอกว่าเขาจะแจ้งให้โนอาห์ทราบว่าเมื่อใดจะเป็นป้อมปราการถัดไปที่พวกเขาจะบุกเป็นกลุ่ม เขากล่าวว่ากลุ่มนี้จะต้องพบกับโนอาห์ก่อนเพื่อที่เขาจะได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง แต่เมื่อได้เห็นความแข็งแกร่งของโนอาห์แจสเปอร์ก็ไม่สงสัยเลยว่าเขาจะได้รับการยอมรับอย่างง่ายดาย

ระหว่างทางกลับโนอาห์สังเกตเห็นบางสิ่งที่เขาสนใจอยู่เสมอบนป้ายโฆษณาอิเล็กทรอนิกส์

[Valorwatch Championship เปิดให้ลงทะเบียนอีก 4 วัน อย่าพลาดโอกาสนี้!]

เมื่อใดก็ตามที่โนอาห์ผ่านบริเวณนี้ของเมืองเขาก็เห็นโฆษณาเกี่ยวกับเกมนื้ที่ชื่อว่า Valorwatch ในยุคแห่งพรนี้ซึ่งผู้ถูกเลือกและผู้มีอำนาจสูงได้รับการปฏิบัติเหมือนคนดังที่มีชื่อเสียง รูปแบบความบันเทิงทั้งหมดสำหรับมนุษย์มุ่งเน้นไปที่สิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพรเป็นหลักและสิ่งนี้ก็ไม่แตกต่างกันเมื่อพูดถึงเกมเสมือนจริง

Valorwatch เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ ทีมผู้ถูกเลือกมารวมตัวกันเพื่อแข่งขันกับทีมผู้ถูกเลือกอีกทีมในเวทีที่สร้างขึ้นในโลกเสมือนจริงที่มี 4 โหมดเกมที่แตกต่างกัน

เนื่องจากมนุษย์รักทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับพรและนี่คือสิ่งที่ผู้ถูกเลือกใช้ในเกม แตกต่างจากยุคโบราณที่มนุษย์ต้องใช้อักขระที่กำหนดไว้ล่วงหน้าตอนนี้มันต่างออกไป ผู้คนได้พัฒนาวิธีการระบุผ่านคลื่นความคิดของผู้เล่นว่าพวกเขาได้รับพรอะไรรวมถึงทักษะที่พวกเขาสามารถใช้ได้

ดังนั้นในเกมจะเป็นเช่นเดียวกับในป้อมปราการ มนุษย์สามารถใช้พรของตนเองเพื่อให้สามารถต่อสู้และได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศได้

จนกระทั่งเมื่อวานนี้โนอาห์ไม่มีพรที่แท้จริง เขาไม่เคยเล่นเกมนี้เลยเพราะเขารู้ว่าการเล่นเกมแบบนี้โดยไม่ต้องมีทักษะที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริง มีแต่จะทำให้โนอาห์รู้สึกอยากใช้เงินไปกับไอเท็มแทนที่จะได้เงินเหมือนตอนบุกเข้าไปในป้อมปราการ

เนื่องจากเขาขาดเงินมาตลอดเพื่อชำระหนี้ให้กับลุงของเขา โนอาห์ไม่สามารถเล่นเกมและสนุกกับมันได้ สิ่งเดียวที่เขาทำคือศึกษาป้อมปราการและฝึกฝนรูปแบบการต่อสู้เพื่อที่เขาจะได้ไม่ตายและจ่ายเงินใช้หนี้ให้กับลุงเขาได้ ช่วงเวลาเดียวที่โนอาห์ใช้ในการพักผ่อนโดยปกติคือตอนที่คาร์ลอสขอให้เขาทำอะไรบางอย่าง

ในขณะที่โนอาห์กำลังคิดเกี่ยวกับคาร์ลอสโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น เมื่อมองดูว่าใครกำลังโทรหาเขาโนอาห์ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญขนาดไหนที่คาร์ลอสโทรหาเขาในเวลาที่โนอาห์คิดเกี่ยวกับเขา

โนอาห์รับโทรศัพท์และได้ยินคาร์ลอสตะโกนใส่ใครบางคนที่อยู่อีกด้านของสาย

[หุบปาก ฉันรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่!…ครับ…เดี๋ยวเขาตอบผมเอง! โนอาห์! เป็นอย่างไรบ้างพี่ชายที่รักของฉัน]

‘หึ ต้องมีอะไรแน่ๆเลย’ โนอาห์รู้ดีว่าการที่คาร์ลอสพูดกับเขาแบบนั้นเป็นเพราะเขาต้องการให้โนอาห์ทำอะไรให้เขาและนั่นไม่ใช่เรื่องดีเลย

[บอกฉันสิว่านายต้องการอะไร ถ้ามันเป็นคำขอโง่ๆฉันจะตีนายในครั้งต่อไปที่ฉันพบนาย]

[ใจเย็นๆ ใจเย็นๆเพื่อน ฉันลืมที่จะคุยบางเรื่องกับนาย ฮ่าๆ…]

โนอาห์สังเกตเห็นน้ำเสียงเขินอายของคาร์ลอสและทั้งคู่รู้ว่าโนอาห์รู้ว่ามันเกี่ยวกับอะไร

[โอเค นั่นหมายความว่าราวกับว่าเมื่อวานนี้เราไม่ได้เจอกันเลยสินะ]

เมื่อได้ยินคำตอบของโนอาห์คาร์ลอสก็รู้ว่าเขาถูกเปิดเผยแล้วดังนั้นเขาจึงทิ้งข้ออ้างทั้งหมดไว้แล้วเขาจึงพูดกับโนอาห์ นั่นเป็นบางอย่างที่ทำให้โนอาห์เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจอีกครั้งด้วยความบังเอิญ

[ได้โปรดเถอะนะ ฉันต้องการให้นายเล่น Valorwatch กับฉัน…]

ในขณะที่โนอาห์กำลังคุยกับแจสเปอร์อบิเกลเดินมาหาเขาพร้อมกับสีหน้าแปลกๆบนใบหน้าของเธอ

อบิเกลเป็นหญิงสาวสวยอายุ 19 ปี เธอมีผมสีดำยาวที่มัดหางม้าเพื่อไม่ให้รบกวนเธอในระหว่างการต่อสู้ที่เธอทำแบบนี้เพราะเธอเป็นนักธนูและวิสัยทัศน์ของเธอก็สำคัญเป็นอย่างมากเธอจึงมัดผมเพื่อให้สามารถยิงศัตรูได้แม่นขึ้น การมีผมคลุมหน้าคงไม่สะดวกมากนัก การที่เธอหยิ่งผยองแม้ว่าเธอจะอายุ 19 ปีนั่นเป็นเพราะเธออาจจะอายุยังน้อยและอายุที่น้อยของเธอก็สนับสนุนความเย่อหยิ่งนี้โนอาห์คิดในใจของเขา

เป็นที่รู้กันทั่วไปว่ายิ่งอายุน้อยก็ยิ่งหุนหันพลันแล่นมากขึ้นด้วยดังนั้นโนอาห์จึงตัดสินว่ามันเป็นความผิดของอายุของเธอ เนื่องจากโนอาห์ไม่มีการติดต่อกับใครในวัยของเขานอกจากคาร์ลอสผู้ซึ่งถูกบังคับให้เป็นผู้ใหญ่เนื่องจากธุรกิจของครอบครัว และโนอาห์เองก็ต้องเติบโตเร็วมากขึ้นเพื่อที่จะอยู่รอดด้วยตัวคนเดียว เขาจึงไม่รู้ว่าจิตใจของคนอื่นเป็นอย่างไรในอายุเท่าๆกัน

“เอาล่ะหลังจากที่เราออกไปฉันจะคุยกับนายนอกป้อมปราการ” แจสเปอร์บอกโนอาห์ก่อนจะออกไปหลังจากเห็นว่าอบิเกลอยากคุยกับโนอาห์

โนอาห์พยักหน้าเห็นด้วยกับแจสเปอร์และหันไปหาอบิเกล เมื่อมองไปที่เธอโนอาห์จำได้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในป้อมปราการรวมถึงความเย่อหยิ่งทั้งหมดที่เธอเคยแสดงไว้ที่ป้อมระดับ F ที่เขาพบเจอและสถานการณ์เล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นก่อนที่พวกเขาจะมาโจมตีค่ายก็อบลิน

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันแปลกคือเธอจำชื่อของเขาได้แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันเลย และเขาเคยเจอกันในป้อมปราการระดับ F เท่านั้น ตัวเขาเองจำชื่อของเธอได้ก็เพราะแจสเปอร์พูดถึงเธอเท่านั้นโนอาห์ลืมชื่อของเธอโดยอัติโนมัติตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนเพราะเธอไม่ได้สำคัญในชีวิตของเขาขนาดนั้น

อบิเกลมองไปที่โนอาห์และไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เพราะเขาเอาแต่มองหน้าของเธอนิ่งๆราวกับว่าเขาเบื่อ

อบิเกลสังเกตว่าเขาดูเหมือนจะพัฒนาไปมากกว่าก่อนหน้านี้มาก เพราะก่อนหน้านี้เขาเหมือนเป็นคนขี้ขลาดมากกว่านี้แน่นอน

เมื่ออบิเกลพบกับโนอาห์ครั้งแรกเธอก็เหมือนกับผู้หญิงคนอื่นๆที่หลงใหลในรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของเขา แต่เมื่อพบว่าเขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ F ความสนใจทั้งหมดที่เธอมีต่อเขาก็ถูกแทนที่ด้วยการดูถูก เพราะพวกเธอสนใจคนที่มีอำนาจและพลังเท่านั้น

วันนี้จะเป็นการสิ้นสุดการโต้ตอบของพวกเขา วันนี้เธอได้พบกับเขาอีกครั้งและไม่เพียงแต่เขาจะหล่อเหลาขึ้นกว่าตอนแรกที่เธอพบ แต่เขายังแข็งแกร่งขึ้นมาก แข็งแกร่งยิ่งกว่าเธอด้วยซ้ำ อบิเกลไม่ได้โง่เธอรู้ดีว่าเธอได้ทำลายความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาไปแล้ว เพราะสิ่งที่เธอเคยทำกับเขามา แต่เธอก็ยังต้องการที่จะทำสิ่งต่างๆที่ต่างออกไป

“สวัสดี…” เธอพูดเสียงเบาๆ

“สวัสดี” โนอาห์ตอบด้วยสีหน้าไม่สนใจที่เขามักจะทำแบบนั้นเสมอ

“ฉัน…ฉันขอโทษ ฉันคุยกับเพื่อนของฉันและพวกเขาทำให้ฉันเข้าใจว่าฉันผิดแค่ไหน ฉันทำอะไรลงไปบ้าง ฉันขอโทษสำหรับทุกสิ่งที่ฉันพูด ฉันเชื่อว่านายยังคงมีอคติกับฉันอยู่แต่ฉันก็เข้าใจฉันไม่โกรธนายเลยเพราะถ้านายไม่ปรากฏตัวขึ้นคงไม่ใช่แค่สามคนนั้นที่จะต้องตายเพราะหัวหน้าก็อบลิน ฉันไม่คาดหวังว่านายจะยกโทษให้ฉัน นายมีสิทธิ์ที่จะรู้สึกได้ทุกอย่างที่นายต้องการ แต่อย่างน้อยฉันก็อยากจะแสดงความขอบคุณต่อนายที่ไม่สนใจเรื่องคำพูดเหล่านั้นและช่วยพวกเรา ฉันหวังว่าอย่างน้อยเราก็จะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้และทิ้งสิ่งที่ฉันทำไว้ข้างหลัง” อบิเกลกล่าวขณะที่เธอก้มลงไปมองกับพื้นด้วยความเขินอาย

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอโนอาห์ก็เลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจอีกครั้ง เขาเคยชินกับคนที่พูดถึงเขาไม่ดี หากเขาจะเก็บความขุ่นเคืองต่อทุกคนที่ทำผิดต่อเขาและยังคงปรารถนาร้ายกับพวกเขาทุกคน เขาก็คงจะไม่มีความสุขแน่ๆ เพราะมันมีคนจำนวนมากเกินไปที่ไม่พอใจเขาและนั่นจะทำให้เขาเป็นโรคซึมเศร้า

แต่เมื่อเห็นว่าอบิเกลรู้สึกเสียใจจริงๆจากภาษากายของเธอ เนื่องจากเธอมองไปที่พื้นตลอดเวลาและเล่นกับผมของเธอตลอดซึ่งนั่นหมายถึงความกังวลใจ โนอาห์ก็ประหลาดใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่พอที่จะขอโทษเขา

แฮร์รี่และเวนดี้เป็นสองตัวอย่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการยังไม่บรรลุนิติภาวะ แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากโนอาห์ แต่เพราะความหยิ่งยโสแบบเด็กๆของพวกเขาพวกเขาจึงมองโนอาห์เป็นศัตรูเหมือนเคย โนอาห์เคยชินกับการรับมือกับคนที่มีปัญหาและไร้เดียงสาเช่นพวกเขาแล้ว แต่การที่โนอาห์ได้คุยกับคนที่เป็นผู้ใหญ่อย่างอบิเกลนั้นมันก็ถือเป็นการพูดคุยที่ดี

ด้วยสีหน้าจริงจัง แต่มีรอยยิ้มขบขันเล็กน้อย โนอาห์ตอบอบิเกลว่า

“คำขอโทษของเธอได้รับการยอมรับแล้วอย่ากังวลว่าฉันจะเสียใจกับเรื่องโง่ๆเหมือนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ฉันดีใจที่ได้เห็นทัศนคติของเธอ มีไม่กี่คนที่สามารถก้มหน้าและยอมรับข้อผิดพลาดเมื่อพวกเขาทำอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง”

เมื่อได้ยินสิ่งนี้อบิเกลก็รู้สึกโล่งใจพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เธอเดินไปที่ศพของผู้หญิงคนหนึ่ง เมื่อโนอาห์เห็นสิ่งนี้จึงสันนิษฐานได้ว่าผู้หญิงคนนั้นอาจเป็นเพื่อนของเธอ

ทันใดนั้นส่วนหนึ่งของป่าก็บิดเบี้ยวและมีประตูสีดำขนาดใหญ่พร้อมพลาสม่าสีม่วงที่คุ้นเคยที่คอยให้ผู้ถูกเลือกทุกคนข้ามไปยังโลกของพวกเขา

บางคนก็เดินผ่านประตูวาปไป ส่วนคนอื่นๆก็กล่าวคำอำลาเป็นครั้งสุดท้ายกับหนึ่งในซากศพ ในขณะที่ชายร่างใหญ่ที่อุ้มก็อบลินในตอนนั้นกำลังแบกศพของชายหนุ่มในขณะที่เขามีสีหน้าเศร้าๆ

โนอาห์เฝ้าดูทั้งหมดนี้จากด้านข้างในขณะที่เขามองไปที่ศพของหัวหน้าก็อบลินที่กลายเป็นขี้เถ้าจากการถูกไฟไหม้

ธนูของหัวหน้าก็อบลินได้ถูกขายให้กับนักธนูแล้วและเงินจะถูกแจกจ่ายให้กับผู้ถูกเลือกทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โนอาห์มีมีดสั้นอยู่แล้วและไม่มีใครกล้าขอให้เขาจ่ายค่ามีดสั้นหลังจากที่เขาช่วยชีวิตของผู้ถูกเลือกแต่ละคนอย่างน้อยหนึ่งครั้งในระหว่างการบุกป้อมปราการ

ตอนนี้โนอาห์อยู่คนเดียวและโนอาห์มีความสุขเมื่อเขาเห็นศพหนึ่งถูกทิ้งไว้ เมื่อมองไปที่มันเขาก็รู้ว่าเขาใช้เวลาไม่นานในการเผามัน ไม่มีใครพูดอะไรที่โนอาห์ยังอยู่ที่นั่นบางคนอาจจะสงสัยบ้างเล็กน้อยแต่พวกเขาก็ปล่อยผ่านไป ศพนั้นเป็นผู้หญิงที่ตายในการบุกป้อมปราการในครั้งนี้

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครเอาศพไปแล้วโนอาห์จึงจุดไฟเผาร่างของผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองไปที่ร่างกายที่เริ่มถูกเผาความกังวลเพียงอย่างเดียวของโนอาห์ก็คือผู้หญิงคนนี้จะทำบาปมากพอที่จะทำให้เขาสามารถ “ชำระล้าง” ได้หรือเปล่า

โนอาห์ใช้เวลาไม่นานในการคิดเรื่องนี้เนื่องจากทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นเริ่มถูกไฟไหม้ ขอความของระบบก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้าของเขา

ในเวลานั้นโนอาห์ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะต่อหน้าเขาตอนนี้มีซากศพมนุษย์สามศพ แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับพวกมัน โดยปกติในป้อมปราการไม่มีมาตรฐานในการจัดการกับศพมนุษย์ มีหลายกรณีที่ผู้ถูกเลือกเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักของใครบางคนจากการบุกและบุคคลนั้นได้นำร่างของผู้ถูกเลือกไปฝังอย่างถูกต้อง ในทางกลับกันมีหลายครั้งที่ไม่มีใครในป้อมปราการสนใจว่าใครตายและพวกเขาก็จากไป และนั่นเป็นกรณีของป้อมปราการสุดท้ายที่โนอาห์เข้าร่วม

ในขณะที่โนอาห์พยายามระบุว่ามีใครสนใจศพหรือไม่เพราะถ้าไม่มีใครแสดงความสนใจเขาจะลองเสี่ยงโชคด้วยการเผาศพ ก่อนหน้านี้ความสามารถของเขาไม่อนุญาตให้เขาดูดซับอะไรจากมนุษย์ที่ตายไปแล้ว แต่ตอนนี้ถ้ามนุษย์ที่เขาเผานั้นมีบาปจำนวนมากก็เป็นไปได้ที่เขาจะได้รับประโยชน์จากการกำจัดศพพวกนั้น

‘เมื่อฉันเผามอนสเตอร์พลังงานของฉันจะกลับคืนมา และจะทำให้ค่าประสบการณ์สกิลของฉันเพิ่มขึ้น แต่ถ้าฉันเผามนุษย์จะเกิดอะไรขึ้นกันนะ…บางทีฉันอาจจะได้รับอย่างอื่นที่ไม่ใช่แค่ค่าประสบการณ์?’ โนอาห์คิด เขามีสมมติฐานนับไม่ถ้วนในหัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ยังไม่มีทางพิสูจน์สมมติฐานเหล่านั้นได้จนถึงตอนนี้

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้โนอาห์ตื่นเต้นมากก็คือเมื่อเขามองค่าสถานะของเขา เขาสังเกตเห็นว่าเมื่อเลเวลของเขาเพิ่มขึ้นเขาได้รับค่าสถานะเพิ่มขึ้นอย่างละ 2 หน่วยในแค่ละค่าสิ่งนี้อาจจะดูเล็กน้อย แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับว่าโนอาห์มีร่างกายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมถึง 20% และสิ่งที่พูดถึงนั่นคือทั้งหมดของร่างกายเขา เช่น ความแข็งแกร่ง ความคล่องตัว รวมไปถึงความอดทนทางร่างกาย

โนอาห์จำได้ว่าระบบได้บอกกับเขาว่าเมื่อเลเวลของเขาสูงขึ้นมากเท่าไหร่พลังของเขาก็จะเข้าใกล้กับลูซิเฟอร์มากขึ้นเท่านั้น และเมื่อถึงระดับสูงสุดโนอาห์ก็จะมีระดับร่างกายที่แข็งแกร่งพอๆกับทูตสวรรค์ที่ลงมาเอง แต่น่าเสียดายที่ระบบไม่ได้บอกเขาว่าระดับสูงสุดคือเท่าใด นั่นทำให้โนอาห์รู้สึกเหมือนเขากำลังวิมาราธอนระยะยาว และเขาไม่รู้แน่ชัดว่ามันจบลงตรงไหนเขาทำได้เพียงแค่เดินตามเส้นทางเท่านั้น

“การโจมตีครั้งสุดท้ายนั้นดีมากทักษะการเทเลพอร์ตของนายมีประโยชน์มากๆเลย!” โนอาห์ได้ยินเสียงพูดอยู่ข้างๆเขา มันคือเสียงของแจสเปอร์ที่แสดงรอยยิ้มเป็นมิตรออกมา

เมื่อได้ยินว่าแจสเปอร์สันนิษฐานว่าความสามารถของเขาคือการเทเลพอร์ต โนอาห์ก็ไม่ได้พูดอะไรหรือบอกสิ่งที่ถูกต้อง เพราะมันยากกว่าที่จะพยายามอธิบายว่าความสามารถของเขาคืออะไร เนื่องจากในท้ายที่สุดการทำงานของความสามารถนั้นก็คือการเทเลพอร์ตอยู่ดี

“ขอบคุณ ปัญหาเดียวของมันคือมันใช้พลังงานอย่างมาก” โนอาห์ตอบกลับแจสเปอร์ขณะที่เขาพยายามทำความเข้าใจว่าชายคนนั้นต้องการอะไรโดยการคุยกับเขา โนอาห์ได้พบกับผู้คนมากมายในป้อมปราการ แต่ที่น่าแปลกคือตอนนี้ในป้อมระดับ E เป็นครั้งแรกที่มีคนมาคุยกับเขาอย่างเป็นมิตรและปฏิบัติต่อเขาอย่างดี คนส่วนใหญ่มักจะดูถูกเขา บางคนก็พูดกับเขาไม่ดี อย่างดีที่สุดคือก็ไม่สนใจเขาเลย

แจสเปอร์สังเกตเห็นท่าทางที่น่าสงสัยของโนอาห์และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาคิดว่าโนอาห์รู้สึกขุ่นเคืองมาจนถึงตอนนี้จากสิ่งที่เกิดขึ้นนอกป้อมปราการ ยิ่งตอนนี้โนอาห์ได้แสดงพลังการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้แล้วมันก็สมเหตุสมผลดีที่เขาควรจะขุ่นเคืองจากการถูกดูหมิ่น ท้ายที่สุดแล้วผู้ชายทุกคนมีความภาคภูมิใจในตัวเอง แต่เขาไม่ค่อยรู้ว่าโนอาห์เคยชินกับเรื่องแบบนี้มานานแล้วและความภาคภูมิใจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขามากขนาดนั้นอีกต่อไป

“ฉันดีใจที่นายไม่ได้บาดเจ็บมากจนเกินไป ดีที่นายมีแค่รอยขีดข่วนเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ในตอนที่ฉันอยู่ในแนวหน้าแต่ฉันก็ยังเห็นนายปกป้องชีวิตของแนวหลังคนอื่นๆนับครั้งไม่ถ้วน ฉันแน่ใจว่าถ้ามันไม่ใช่เพราะนายคนอื่นๆอาจจะบาดเจ็บล้มตายมากกว่านี้ ที่ฉันมาพูดกับนายเพราะฉันต้องการเชิญนาย” แจสเปอร์พูดกับโนอาห์ด้วยท่าทางจริงจัง

โนอาห์เลิกคิ้วแล้วคิดว่าบทสนทนานี้จะนำทางเขาไปที่ใด แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ในความเป็นจริงมันทำให้ทุกๆอย่างง่ายขึ้นและดีขึ้นด้วยซ้ำ

“เชิญที่นายพูดถึงคืออะไร?”

เมื่อเห็นความสนใจของโนอาห์แจสเปอร์จึงยิ้มและพูดว่า

“ฉันเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบุกป้อมปราการโชคไม่ดีที่สมาชิกคนหนึ่งของเราเพิ่งเสียชีวิตจากการบุกป้อมปราการและเรายังไม่มีคนมาแทน เรากำลังมองหาสมาชิกที่ทรงพลังเพื่อมาเติมเต็มตำแหน่งนั้น และตำแหน่งนั้นคือคนที่ปกป้องแนวหลัง ฉันเชื่อว่านายเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ”

นี่คือสิ่งที่โนอาห์จินตนาการว่าจะเกิดขึ้น เขาไม่เคยถูกเรียกให้เข้ากลุ่มใดๆมาก่อนด้วยเหตุผลที่ชัดเจน แต่เขามีข้อสงสัยเกี่ยวกับบางสิ่ง

“แล้วทำไมนายถึงเข้าร่วมการบุกป้อมปราการแบบสุ่มแทนที่จะไปบุกป้อมปราการกับกลุ่มของนาย?”

เนื่องจากแจสเปอร์มีกลุ่มบุกป้อมปราการอยู่แล้วจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะทำการบุกป้อมปราการกับกลุ่มของเขา เนื่องจากทุกคนรู้จักกันและมีพลังร่วมกันอยู่แล้ว ดังนั้นโอกาสที่จะมีคนตายในกลุ่มบุกจะน้อยกว่าปกติถึงหลายเท่าเมื่อเทียบกับการไปบุกป้อมปราการกับคนแปลกหน้า

“จริงๆแล้วฉันกับเอริคมาด้วยกัน ในความเป็นจริงแล้วกลุ่มเรามักจะบุกป้อมปราการสองหรือสามครั้งต่อสัปดาห์ส่วนวันที่เหลือสมาชิกในกลุ่มมีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ ตัวอย่างเช่นฉันต้องการเปลี่ยนรถของฉันให้ดีขึ้น และเอริคก็กำลังปรับปรุงบ้านของเขา เราเลยมาบุกป้อมปราการพิเศษเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกสองถึงสามครั้งต่อสัปดาห์เพื่อให้ได้เงินที่มากขึ้น” แจสเปอร์ตอบอย่างใจเย็น เขาเข้าใจเหตุผลที่โนอาห์สงสัยเนื่องจากมีหลายกลุ่มที่ไม่อนุญาตให้สมาชิกเข้าร่วมในการบุกนอกจากบุกกับกลุ่มของพวกเขาเอง

เมื่อได้ยินเช่นนั้นโนอาห์ก็สนใจ ในการจ่ายค่ารักษาน้องสาวของเขาเขาต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก แม้ว่าเขาจะบุกเข้าไปในป้อมปราการระดับ E แปดแห่งต่อเดือนในท้ายที่สุดมันก็เหลือเพียง 8,000 ดอลลาร์เท่านั้น สำหรับครอบครัวทั่วไปเงินจำนวนนี้จะถือว่ามากแล้ว แต่สำหรับโนอาห์ซึ่งจำเป็นต้องจ่ายค่ารักษาน้องสาวของเขานอกเหนือจากการจ่ายเงินกู้ให้ลุงของเขา ในที่สุดเงินนั้นก็ยังไม่เพียงพอ

หลายคนเชื่อว่าหากกลายเป็นผู้ถูกเลือกและได้รับพรมากมายพวกเขาก็จะมีความสุขมาก แต่สิ่งนี้ไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงเลย จำนวนคนที่ได้รับพรไม่ได้น้อย แต่ก็ไม่มากเช่นกัน หากไม่ได้ค่าตอบแทนสูงหลายๆคนที่มีพรก็ไม่อยากบุกป้อมปราการ เพราะมีคนตายในป้อมปราการเยอะมาก

กล่าวได้ว่าในบรรดาผู้ถูกเลือก 45% ของพวกเขาอยู่ในระดับ F

28% อยู่ในระดับ E

15% อยู่ในระดับ D

8% อยู่ในระดับ C

3% อยู่ในระดับ B

และ 1 % อยู่ในระดับ A

ยังมีผู้ถูกเลือกระดับ S แต่จำนวนน้อยมากจนไม่สามารถนำรวมในสถิติได้เลยทีเดียว

หลายๆคนได้รับพรระดับสูง แต่พวกเขากลับเสียชีวิตก่อนที่พวกเขาจะฝึกฝนพรของพวกเขาไปถึงระดับสูงสุด

โนอาห์ไม่ต้องการเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกที่เสียชีวิตก่อนที่จะทำให้ศักยภาพของเขาไปถึงจุดสูงสุดก่อน แต่เขาก็ต้องการเงินเร่งด่วนเช่นกัน ดังนั้นโอกาสนี้จึงเหมาะกับเขาเป็นอย่างยิ่ง การเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบุกป้อมปราการเขาจะได้รับรายได้ที่มั่นคง นอกจากนั่นเขายังสามารถบุกป้อมปราการแบบสุ่มได้อีกเช่นกัน เพราะกลุ่มนี้ไม่ได้จำกัดเขาให้อยู่กับกลุ่มเพียงอย่างเดียว

“ฉันสนใจ ใช่แล้วเมื่อเราออกจากป้อมปราการฉันจะให้เบอร์โทรกับนาย” โนอาห์ตอบแจสเปอร์ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขารู้ว่าที่แจสเปอร์มาคุยและให้โอกาสกับเขาพวกเขาแสดงให้เห็นว่าเขาแข็งแกร่ง ถ้าโนอาห์อ่อนแอแจสเปอร์จะไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ

แล้วยังไง? ถ้าโนอาห์อยู่ในตำแหน่งเดียวกับแจสเปอร์เขาก็คงจะทำแบบเดียวกัน สิ่งเดียวที่เขาไม่ยอมรับคือการเลือกปฏิบัติและอคติเหมือนที่อบิเกลให้เห็นก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในป้อมปราการ

เมื่อพูดถึงอบิเกล โนอาห์ก็หันไปเห็นเธอที่กำลังเดินมาหาเขาพร้อมกับทำสีหน้าแปลกๆ

โนอาห์รออีกไม่นานสำหรับโอกาสที่เขาต้องการ แม้ว่าหัวหน้าก็อบลินจะพยายามใช้ความสามารถของมันในการหลบความสามารถที่อันตรายสำหรับมันออกไป แต่กลุ่มผู้ถูกเลือกทุกคนก็เข้าใจดีว่าหัวหน้าก็อบลินต้องพยายามมากกว่าเดิม เพราะก่อนที่มันจะใช้ความสามารถนี้มันจะต้องใช้สมาธิมากขึ้นและนั่นก็ทำให้ผู้ถูกเลือกเห็นถึงความแตกต่างและรู้ว่าหัวหน้าก็อบลินจะใช้ความสามารถนี้เมื่อไหร่

หลังจากนั้นอีกไม่นานกลุ่มผู้ถูกเลือกก็สร้างบาดแผลให้กับหัวหน้าก็อบลินได้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นลูกธนูที่ยังติดอยู่กับร่างกายของมัน รอยดาบขนาดใหญ่ที่ทำให้ผิวหนังของมันฉีกขาด และยังไม่ได้รวมไปถึงอาการบาดเจ็บต่างๆที่เกิดขึ้นจากนักเวทย์

ในระหว่างนั้นหัวหน้าก็อบลินไม่ได้เป็นเพียงความกังวลเดียวของคนในกลุ่มเท่านั้น เหล่าก็อบลินนักฆ่ายังคงออกมาโจมตีทุกคนที่ไม่ได้เตรียมตัว แต่พวกมอนเตอร์กลับไม่พอใจเป็นอย่างมากเพราะพวกมันไม่เคยทำสำเร็จ เหตุผลเป็นเพราะโนอาห์จะคอยเข้ามาขัดขวางได้ทันเวลา แม้ว่าในบางครั้งโนอาห์จะล้มเหลวและมาไม่ทัน แต่สุดท้ายแล้วก็อบลินมือสังหารก็จะทำได้เพียงทิ้งบาดแผลไว้ได้ไม่กี่คนเท่านั้นหลังจากนั้นโนอาห์ก็จะมาทันทีและสังหารพวกมัน

และการทำสิ่งนี้ของโนอาห์นอกจากจะทำให้เขาได้ค่าประสบการณ์สำหรับสกิลและตัวเขาเองแล้ว มันยังกลายเป็นแหล่งพลังงานเล็กๆให้กับเขาด้วย การเผาศพเหล่านี้ทำให้ตอนนี้โนอาห์สามารถใช้ความสามารถในการเคลื่อนย้ายได้สองสามครั้ง และเขาจะใช้ก็ต่อเมื่อคนที่เขากำลังไปช่วยมีโอกาสเสียชีวิตและโนอาห์จะไปที่นั่นได้ไม่ทันเวลา

สถานการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้โนอาห์สังเกตเห็นบางอย่าง ความสามารถของ [เปลวไฟแห่งนรก] กลายเป็นพลังเพียงอย่างเดียวที่เขามีเพื่อใช้ในการฟื้นฟูพลังงานในปัจจุบัน แม้ว่าความสามารถของ [อุโมงค์นรก] จะเป็นความสามารถที่แข็งแกร่งมากซึ่งมันอาจจะเพิ่มความแข็งแกร่งของโนอาห์และศักยภาพในการต่อสู้ของเขาอีกสองสามเท่า แต่น่าเสียดายที่ความสามารถนี้ใช้พลังงานของเขาอย่างเดียวเท่านั้น หากเขาไม่มีมอนเตอร์ให้เผาและใช้เป็นเชื้อเพลิงเขาจะเสี่ยงต่อการหมดพลังงานและปล่อยให้ตัวเองไม่มีการป้องกัน

‘ยังไง [เปลวไฟแห่งนรก] ก็ยังคงเป็นรากฐานที่สำคัญสำหรับฉันอยู่ดี’ โนอาห์คิด

เมื่อตระหนักว่าหัวหน้าก็อบลินกำลังหอบและเริ่มอ่อนแอจากการใช้ความสามารถของมันในการหลบหลีก โนอาห์จึงตัดสินใจที่จะยุติการต่อสู้ในตอนนี้ด้วยการใช้ [อุโมงค์นรก] อีกครั้งเพื่อไปปรากฏตัวข้างๆกับหัวหน้าก็อบลิน

แต่ในขณะที่เขาใช้ [อุโมงค์นรก] เขากลับรู้สึกว่าเขากำลังถูกโอบกอดด้วยบางสิ่งที่แสนสบาย ตามคำอธิบายของทักษะนี้ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาอาจจะลงไปที่นรกและกลับมาอีกครั้ง

‘บางทีอาจเป็นเพราะการที่ฉันมีสายเลือดของลูซิเฟอร์อยู่ในร่างกายนั่นเลยทำให้ฉันรู้สึกสบายเมื่อฉันลงไปที่นรกงั้นหรอ?’ โนอาห์สร้างสมมุติฐาน

เขาคิดอยู่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ปล่อยความคิดนั้นทิ้งไป เขายกมีดสั้นที่ขโมยมาจากหัวหน้าก็อบลินขึ้นที่แขนขวาและใช้ประโยชน์จากหัวหน้าก็อบลินที่อ่อนแรงลงไม่เหมือนกับตอนแรกที่พวกเขาเริ่มต่อสู้ เขาฟันเข้าไปที่ส่วนท้องของหัวหน้าก็อบลินทำให้มันมีบาดแผลทันที จากนั้นโนอาห์ไม่รอช้าเขาเรียกลูกไฟขึ้นที่มืออีกข้างหนึ่งและไม่ปล่อยให้โอกาสหัวหน้าก็อบลินได้ทันตั้งตัว เขาปล่อยลูกไฟนั้นที่ใส่พลังจำนวนมากของเขาเข้าไปที่บาดแผลนั้นทันที

เปลวไฟจำนวนมากลุกท่วมหัวหน้าก็อบลินทะลุผ่านบาดแผลที่โนอาห์สร้างและลุกลามไปยังบาดแผลของคนอื่นๆด้วยเช่นกัน หัวหน้าก็อบลินก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ในที่สุดมันก็ล้มลงกับพื้น

แม้ว่าก่อนหน้านี้ผิวหนังของหัวหน้าก็อบลินจะต้านทานได้แทบทุกอย่าง แต่สำหรับมันแล้วเปลวไฟเหล่านี้ได้สร้างอาการบาดเจ็บให้กับมันได้มากมาย ตอนนี้ผิวหนังของมันเต็มไปด้วยบาดแผลแล้วและเปลวไฟสามารถเข้าไปในเนื้อและกล้ามเนื้อของหัวหน้าก็อบลินได้โดยตรง มันไม่สามารถทนความเจ็บปวดได้อีกต่อไปและล้มลงกับพื้นและดิ้นทุรนทุราย

น่าเสียดายสำหรับหัวหน้าก็อบลินความเจ็บปวดนั้นมากจนมันไม่สามารถมีสมาธิเพียงพอที่จะใช้ความสามารถของตัวเองได้ และนั่นทำให้มนุษย์ใช้ประโยชน์จากการที่มันนอนอยู่บนพื้นและจบชีวิตมันลง

เมื่อหัวหน้าก็อบลินหยุดหายใจเปลวไฟของโนอาห์ก็ยังคงแผดเผาตัวของมันอยู่จนในที่สุดก็เหลือแต่เพียงเถ้าถ่านเท่านั้น สิ่งเดียวที่โนอาห์ควบคุมเปลวไฟของเขาไม่ได้ลุกลามไปโดนด้วยนั่นคือธนูไม้ที่แปลกประหลาดและทรงพลัง เพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นอาวุธที่ได้รับพรมาแล้วเช่นกัน

“ว้าว…พวกเราทำได้ดีเลยทีเดียวน่าเสียดายที่ยังมีคนตายอยู่ แต่ไม่อยากจะคิดเลยว่าหัวหน้ามอนเตอร์ในป้อมปราการระดับ E จะมีอาวุธที่ได้รับพรมากมายขนาดนี้” แจสเปอร์พูดกับคนในกลุ่มขณะที่เขานั่งลงบนพื้นหญ้าเพื่อพักผ่อน

เมื่อได้ยินสิ่งที่แจสเปอร์พูดการจ้องมองของผู้ถูกเลือกแต่ละคนก็เปลี่ยนไปที่อาวุธที่ได้รับพรทั้งสามชิ้นที่หัวหน้าก็อบลินเคยมีพร้อมกับความปรารถนาบนใบหน้าของพวกเขา แม้แต่นักเวทย์ที่ไม่สามารถใช้อาวุธประเภทใดประเภทหนึ่งได้ แต่พวกเขาก็ยังมีความโลภที่อยากให้อาวุธขายไปเพื่อเพิ่มจำนวนเงินที่จะได้จากป้อมปราการ แต่เมื่อพวกเขามองไปที่โนอาห์และเห็นว่าเขาไม่มีเจตนาที่จะแยกตัวเองออกจากมีดสั้นที่เขาหยิบมาจากหัวหน้าก็อบลินพร้อมกับความคิดของพวกเขาที่ว่าโนอาห์ช่วยชีวิตของพวกเขาไว้หลายครั้งแล้วหากไม่มีโนอาห์พวกเขาก็คงตายไปแล้ว พวกเขาจึงหยุดมองมีดสั้นที่อยู่ในมือของโนอาห์ และเปลี่ยนความสนใจไปที่มีดสั้นอีกเล่มและธนูอีกคันเท่านั้น

แจสเปอร์ที่กำลังพักผ่อนมองไปที่โนอาห์และตระหนักว่าพวกเขาคิดผิดแค่ไหนในตอนก่อนที่พวกเขาจะบุกเข้ามาในป้อมปราการ

เนื่องจากความคิดของอบิเกลทำให้คนในกลุ่มนี้ปฏิบัติต่อโนอาห์ว่าเขาเป็นเพียงคนอ่อนแอที่เพิ่งมาที่ป้อมปราการระดับ E และหวังที่จะไม่ทำอะไรเลยและทำเงินได้มากขึ้นเพียงแค่อยู่กับกลุ่มเท่านั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็นตรงกันข้ามกับสิ่งที่ทุกคนคิดทั้งหมด

แจสเปอร์แน่ใจว่าโนอาห์ไม่ได้ใช้เวลาอยู่คนเดียวในป้อมปราการเพียงแค่ซ่อนตัวหลังจากเห็นว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหน เขาไม่เพียงแต่ที่จะคล่องแคล่วและควบคุมมีดได้ดี เขายังคงมีเปลวไฟที่แปลกประหลาดที่ทำให้เหล่ามอนเตอร์กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดสิ้นหวังราวกับพวกมันถูกทำลาย นอกจากนั้นเขายังมีความสามารถในการเคลื่อนย้ายที่แปลกประหลาดซึ่งทำให้เขาเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระในสนามรบ และด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้มันไม่แปลกเลยที่เขาจะไล่ฆ่าสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่าเขาด้วยความเร็วและความคล่องตัวที่ไร้เหตุผลนี้

แจสเปอร์เคยได้ยินเกี่ยวกับผู้ถูกเลือกที่มีพรมากกว่าหนึ่งความสามารถจากสิ่งที่เทพเจ้ามอบให้ แต่สิ่งที่ค่อนข้างหายากเนื่องจากทั่วไปแล้วเทพเจ้าจะมองทักษะอย่างเดียวให้กับคนหนึ่งคน แต่เขาก็แน่ใจในสิ่งที่เขาเคยได้ยิน เพราะในช่วงหลายปีหลังจากที่แจสเปอร์ได้รับพร แจสเปอร์ก็ได้พบกับผู้ถูกเลือกบางคนที่มีความสามารถสองอย่างที่เทพเจ้ามอบให้ในระหว่างการอวยพร แม้กระทั่งครั้งหนึ่งเขายังเคยพบกับผู้ถูกเลือกที่มีพรถึงสามอย่างแต่อย่างที่สามนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ถูกเลือกคนนั้นพัฒนาได้เองจากการฝึกฝนของเธอ

แจสเปอร์รู้ว่าตัวเองแข็งแกร่ง เขาได้รับพรระดับ C และความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ในระดับสูงสุดของระดับ E และเกือบจะถึงระดับ D แล้ว แต่เมื่อเทียบกับโนอาห์แม้เขาจะใช้พรของเขาจนถึงขีดสุด และเพิ่มความเร็วของเขาขึ้นเกือบสองเท่า แต่แจสเปอร์ก็ไม่มีความมั่นใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะโนอาห์ได้ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้ เขารู้ว่าถ้าเขาไม่เตรียมพร้อมและใช้พรของตัวเองก่อนเขา เขาก็จะไม่มีโอกาสรอดเลย เพราะเขาอาจจะไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลาหากโนอาห์เคลื่อนย้ายมาที่ด้านหน้าของเขา

เมื่อเห็นความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มอายุ 20 ปีตรงหน้าแล้วแจสเปอร์ก็เริ่มคาดเดาว่าโนอาห์มีพรอย่างน้อยระดับ C และด้วยทักษะที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว บางทีเมื่อเขาไปถึงจุดสูงสุดของระดับ C ศักยภาพในการต่อสู้ของเขาอาจจะมากกว่าผู้ถูกเลือกระดับ B บางคนด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นว่าโนอาห์มีความสามารถเพียงใดแจสเปอร์จึงตัดสินใจลุกขึ้นจากพื้น และเดินไปหาโนอาห์เพื่อพูดคุยบางอย่างกับเขา

โนอาห์ไม่ต้องคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาจะทำตรงหน้าเลยด้วยซ้ำ เขาทิ้งมีดสั้นขึ้นสนิทที่เขาหยิบมาจากก็อบลินนักฆ่าก่อนที่จะคว้าไปที่มีดสองเล่มที่ติดอยู่ที่เอวของหัวหน้าก็อบลินทันที

หัวหน้าก็อบลินไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำว่ามนุษย์คนนี้จะกล้าหาญถึงขนาดพยายามขโมยอาวุธออกจากตัวของมันด้วยทักษะแปลกๆนี่ แต่ก็ไม่มีอะไรที่มันสามารถทำได้เพื่อหยุดยั้งมนุษย์คนนี้ เมื่อมันรู้ว่ามนุษย์คนนี้ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของมัน มีดสั้นทั้งคู่ที่อยู่ที่เอวของมันก็หายไปแล้ว

แทนที่โนอาห์จะเทเลพอร์ตกลับไปที่กลุ่มของผู้ถูกเลือกเขากลับใช้โอกาสนี้แทงหน้าอกของหัวหน้าก็อบลินทั้งสองข้างด้วยมีดสั้นคู่ที่เขาขโมยมา หัวหน้าก็อบลินที่ไม่มีอาวุธระยะสั้นเพื่อป้องกันตัวก็ถูกโนอาห์ใช้มีดสั้นคู่แทงทะลุซี่โครงเข้าไปเต็มๆ

โนอาห์รู้ดีว่าการอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานจะเป็นอันตรายเนื่องจากหัวหน้าก็อบลินอาจจะหายตัวไปและไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในจุดอับสายตาของเขา เขาจึงใช้สกิล [อุโมงค์นรก] เพื่อกลับไปยังกลุ่มของผู้ถูกเลือกอีกครั้ง

เมื่อโนอาห์ปรากฏตัวท่ามกลางพวกเขาพร้อมกับเปลวไฟอีกลูกในมือ โนอาห์ก็ตะโกนใส่ผู้ถูกเลือกที่ใช้มีดสั้นเช่นกันและขว้างมีดสั้นเล่มนั้นใส่เขา

การถือมีดสั้นทั้งสองมือจะขัดขวางโนอาห์มากกว่าที่จะช่วยเขา เนื่องจากเขาถนัดแขนขวาไม่ได้ถนัดทั้งสองข้าง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถใช้มีดสั้นทั้งสองมือได้อย่างอิสระ มันจะดีกว่าถ้าเขาใช่มีดสั้นข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งใช้ [เปลวไฟแห่งนรก]

ชายคนนั้นประหลาดใจเมื่อเห็นมีดสั้นพุ่งเข้ามาหาเขา แต่เนื่องจากโนอาห์ไม่ได้ใช้กำลังมากนักในการขว้างมีดสั้นชายคนนั้นจึงสามารถคว้าอาวุธในอากาศได้อย่างง่ายดายหลังจากทิ้งมีดของตัวเองลงบนพื้น

ชายที่ดูเหมือนคนตายผู้ที่มีพรที่ช่วยในการมองเห็นอนาคตข้างหน้าไม่มีมิลลิวินาทีจู่ๆเขาก็ปล่อยสายธนูและยิงไปที่ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย

ก่อนที่โนอาห์จะประมวลผลการกระทำของชายคนนั้นหัวหน้าก็อบลินก็ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่นั้นพร้อมกับที่ลูกธนูของผู้ถูกเลือกที่ถูกยิ่งออกไป

หัวหน้าก็อบลินที่ไม่มีเวลาได้ตอบสนองก็ไม่สามารถหลบลูกธนูของผู้ถูกเลือกคนนั้นได้ ลูกธนูได้ปักทะลุอกของหัวหน้าก็อบลินทันที

เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าก็อบลินกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดระหว่างการต่อสู้ ลูกธนูได้เจาะเข้าไปในผิวหนังของหัวหน้าก็อบลินที่ถูกไฟของโนอาห์แผดเผาไปแล้ว ทำให้ผิวของมันบางลงเพียงพอที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ได้

โนอาห์มีพลังงานเหลือน้อยหลังจากเทเลพอร์ตหลายครั้ง จากสิ่งที่เขารู้สึกได้ถึงพลังงานของตัวเอง เขารู้ว่าเขาจะสามารถเทเลพอร์ตได้อีกครั้งและยิงลูกไฟอีกลูก หากลูกไฟของเขาโดนหัวหน้าก็อบลินและสามารถเผามันได้ เปลวไฟนั้นมันก็จะสร้างพลังงานของโนอาห์ขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าโนอาห์ทำเช่นนี้และหัวหน้าก็อบลินใช้ทักษะของมันในขณะที่ติดไฟเปลวไฟของโนอาห์ เปลวไฟของโนอาห์ก็จะหายไปเพราะไม่มีเชื้อเพลิงและโนอาห์จะกลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายดาย เพราะฉะนั้นคราวนี้แทนที่จะโนอาห์จะเทเลพอร์ตไปหาหัวหน้าก็อบลินอีกครั้งเขาทำแค่เฝ้ามองจากระยะไกล

ลูกธนูที่หัวหน้าก็อบลินยิงออกมาอีกครั้งมันปรากฏขึ้นโดยมันมุ่งเป้าไปที่ผู้ถูกเลือกที่เป็นนักรบผู้หญิง

ลูกศรที่บอสยิงออกไปเมื่อมันปรากฏขึ้นอีกครั้งมุ่งเป้าไปที่นักรบหญิง

“อ๊ะ!” เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้องหลังจากที่ลำคอของเธอถูกลูกธนูเจาะคอ ร่างของเธอล้มลงไปกองกับพื้นราวกับตุ๊กตาขณะที่เธอพยายามดึงลูกธนูออกจากคอของเธอเพื่อหายใจ

ไม่มีผู้ถูกเลือกคนไหนละสายตาไปจากหัวหน้าก็อบลินเพื่อมองไปที่ผู้หญิงคนนั้น เพราะพวกเขารู้ว่าเธอตายไปแล้วเมื่อเสียงร้องของเธอถูกขัดจังหวะ และเมื่อเป็นแบบนั้นจึงไม่มีใครกล้าละสายตาออกไปจากหัวหน้าก็อบลินเพราะกลัวจะตกเป็นเป้าหมายรายต่อไป

คนเดียวที่ละสายตาจากบอสชั่วขณะคือโนอาห์ ตอนนี้เขามองไปยังอบิเกลและเริ่มรู้สึกเสียใจที่ปล่อยเธอไป เพราะเขาคิดว่าหากเขาปล่อยให้อบิเกลตายกลุ่มอาจจะได้เปรียบมากกว่า เหตุผลนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อมีคนในกลุ่มตายถึงสองคน ตอนนี้กลุ่มของเขาอยู่ในการตื่นตัวที่มากกว่าเดิมถึง 20% และนั่นเป็นสิ่งที่ดีที่คนในกลุ่มนำทุกอย่างที่มีออกมาใช้เพื่อให้จบป้อมปราการนี้ให้ไวที่สุด

หัวหน้าก็อบลินหายไปอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันไม่ได้เหมือนกับเปลวไฟของโนอาห์ เมื่อหัวหน้าก็อบลินหายไปลูกธนูของนักธนูก็หายไปพร้อมกับมันด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าเมื่อหัวหน้าก็อบลินปรากฏตัวอีกครั้งมันก็จะยังคงมีลูกธนูที่ติดอยู่ที่หน้าอกของมันด้วย นี่ไม่ใช่ข่าวดีที่สุดของกลุ่ม ข่าวดีที่สุดของกลุ่มมันเป็นความรู้ทั่วไปหัวหน้าก็อบลินมีบาดแผลที่ถูกเจาะเข้าไปแล้วและเมื่อกลุ่มของพวกเขาซ้ำบาดแผลเดิมนั่นจะทำให้บาดแผลของมันรุนแรงขึ้นและเลือดไหลออกมาขึ้น

แต่การยิงทะลุอกของหัวหน้าก็อบลินในครั้งนี้มีความอื่นสำหรับโนอาห์ เหมือนกับการต่อสู้กับหัวหน้าระดับพิเศษ ทุกๆการโจมตีของผู้ถูกเลือกที่สร้างบาดแผลให้กับหัวหน้าก็อบลินจะทำให้โนอาห์มีช่องว่างในการเผาไหม้และสร้างความเสียหายได้มากขึ้น ลูกธนูของชายคนนี้เป็นเพียงแค่ช่องแรกที่เขาสามารถเผาหัวหน้าก็อบลินได้เท่านั้น

“มันอาจจะหมดพลังงานหลังจากใช้ความสามารถไปหลายๆครั้งแล้ว เตรียมตัวโจมตีเต็มกำลังในครั้งต่อไปที่มันปรากฏตัวขึ้น เพราะเวลาที่มันใกล้จะใช้ความสามารถไม่ได้อีกใกล้เข้ามาแล้ว” แจสเปอร์ตะโกนบอกคนในกลุ่ม

และก็เป็นอย่างที่แจสเปอร์เตือน หลังจากใช้ความสามารถของตัวเองหลายๆครั้งในการหลบนักเวทย์และลูกธนูทั้งสามครั้ง คราวนี้หัวหน้าก็อบลินไม่ได้ใช้มันเพื่อหลบการโจมตีอีก ทุกครั้งที่มันปรากฏตัวมันจะยิงลูกธนูใส่กลุ่มผู้ถูกเลือกทันที แต่จากการเรียนรู้จากการเสียชีวิตของผู้ถูกเลือกทั้งสองก่อนหน้า ตอนนี้อบิเกลใช้พรของเธอเองเพื่อเบี่ยงเบนทิศทางของลูกธนูจากหัวหน้าก็อบลินและทำให้มันพลาดเป้าไปอย่างหวุดหวิด สิ่งนี้ช่วยชีวิตผู้ถูกเลือกได้ถึงสองคน

การเห็นประโยชน์ของเธอช่วยบรรเทาความเสียใจของโนอาห์ที่ปล่อยให้เธอมีชีวิตรอด ตอนนี้เขารู้สึกอยากจะทดสอบเปลวไฟของเขากับเธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ตอนนี้ทุกคนคิดว่าหัวหน้าก็อบลินไม่สามารถใช้ความสามารถของตัวเองในการหลบการโจมตีได้อีกต่อไป ผู้ถูกเลือกทุกคนจึงเริ่มโจมตีหัวหน้าก็อบลินอย่างเต็มกำลัง นักธนูยิงธนูอย่างรวดเร็ว นักเวทย์ใช้เวทย์ของตัวเอง ในขณะที่นักรบวิ่งเข้าหาหัวหน้าก็อบลินเพื่อจบการต่อสู้ให้ไวที่สุด

คนเดียวที่ไม่โจมตีหัวหน้าก็อบลินคือโนอาห์ที่ต้องการรอจนถึงวินาทีสุดท้ายเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์สูงสุดสำหรับทักษะของตัวเอง เขาจึงไม่เสี่ยงที่จะโจมตีโดยไม่จำเป็น

เมื่อโนอาห์เห็นหัวหน้าก็อบลินปรากฏตัวอยู่ข้างหลังอบิเกลเขาคิดอย่างจริงจังว่าจะปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นตายเพราะเธอหยิ่งผยองกับเขามาก แต่หลังจากคิดได้เขาก็ตัดสินใจใช้ทักษะใหม่ที่เพิ่งได้รับในตอนที่เขาเพิ่มเลเวลและช่วยชีวิตของผู้หญิงคนนั้นไว้

เขารู้ว่าถ้าเขาปล่อยให้เธอตายเงินที่เขาจะได้รับเมื่อสิ้นสุดป้อมปราการจะสูงกว่าปกติเล็กน้อย แต่มันก็เล็กน้อยแค่นั้น ยังมีอีก 14 คนที่ยังมีชีวิต และเงินของเธออีกครึ่งหนึ่งจะถูกแบ่งให้กับครอบครัวส่วนอีกครึ่งหนึ่งจะถูกแบ่งออกเป็น 14 ส่วนและแบ่งให้กับทุกๆคน มันไม่คุ้มเลยถ้าจะปล่อยให้เธอตายและทำให้กลุ่มเสี่ยงอันตรายมากขึ้น

เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่โนอาห์ใช้ความสามารถนี้เขาไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกอย่างไร ในความเป็นจริงเขารู้สึกกลัวเล็กน้อยหลังจากที่ได้เห็นคำอธิบายของระบบว่าทักษะนี้ทำอะไรและทำงานอย่างไร

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 02]

[ประสบการณ์: 0/400]

[HP: 12/12]

[ความแข็งแรง: 12]

[ความคล่องตัว: 12]

[ความแข็งแกร่ง: 12]

[สกิล:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 02 : 52/500

คำอธิบายสกิล: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

[หลักแห่งไฟ เลเวล: 02 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและการควบคุมมันก็เป็นธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อยนอกจากนี้ยังทำให้มนุษย์ได้รับการกัดกร่อนจากบาป มนุษย์ที่มีบาปเพียงเล็กน้อยก็ไม่สามารถชำระล้างได้]

[อุโมงค์นรก เลเวล: 01 : 0/300

ทักษะที่สามารถทำให้เปิดอุโมงค์สู่นรกและออกไปที่อื่นได้ในเสี้ยววินาทียิ่งระยะทางไกลมากเท่าไหร่พลังงานที่จะใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น]

นรกได้กักขังวิญญาณของคนบาปไว้ในอุโมงค์นี้มาตั้งแต่ทุกสิ่งมีชีวิตถือกำเนิดขึ้น และกังขังมาชั่วนิรันดร์ เพื่อรองรับปีศาจและวิญญาณจำนวนมากพื้นที่นี้จึงขยายตัวมากกว่าโลกของสิ่งมีชีวิตหลายเท่า เมื่อใดก็ตามที่ลูซิเฟอร์เดินผ่านอุโมงค์เหล่านี้ผู้คนก็จะรู้ว่าเขากำลังเคลื่อนย้ายไปที่ไหนสักแห่ง และเขาก็สามารถเคลื่อนย้ายไปที่ไหนก็ได้ที่อุโมงค์นี้ไปถึง

เมื่องมองไปที่ช่องว่างระหว่างอบิเกลและหัวหน้าก็อบลิน โนอาห์ก็จินตนาการว่าเขาเคลื่อนย้ายไปสถานที่แห่งนั้นและเขาก็หันหน้าไปทางนั้น

ทันในนั้นโนอาห์ก็รู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด ในช่วงเสี้ยววินาทีก่อนที่โนอาห์จะรู้ตัวเขาก็อยู่ระหวางอบิเกลและหัวหน้าก็อบลินแล้ว

สำหรับผู้ที่สังเกตการณ์อยู่ภายนอกสิ่งเดียวที่พวกเขาเห็นคือภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจราวกับว่าโนอาห์กลายเป็นเปลวไฟก่อนที่เปลวไฟนั้นจะระเบิดที่ด้านหลังของอบิเกล หลังจากนั้นร่างของโนอาห์ก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเธอ

การระเบิดของเปลวไฟเกิดขึ้นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆเท่านั้น และเปลวไฟนรกนั่นเกิดจากการรั่วไหลผ่านอุโมงค์ที่โนอาห์เปิดทิ้งไว้ในตอนที่เขาเข้าไปในอุโมงค์และออกมาในปลายทางอีกด้านหนึ่ง ดังนั้นสำหรับคนอื่นๆจึงดูเหมือนว่าโนอาห์ได้เทเลพอร์ตโดยใช้เปลวไฟ

หัวหน้าก็อบลินไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับมนุษย์ที่จะปรากฏตัวใกล้ๆเขา วิถีมีดของมันกำลังพุ่งเป้าไปที่มนุษย์ที่อยู่ด้านหลังของโนอาห์ดังนั้นเมื่อโนอาห์ปรากฏตัวขึ้นจากด้านหน้า แม้ว่าโนอาห์จะใช้มีดเพียงเล่มเดียวก็สามารถต่อต้านการโจมตีของหัวหน้าก็อบลินได้ เพราะมันไม่ได้อยู่ในท่าทางที่สมบูรณ์ 100%

น่าเสียดายที่มีดของโนอาห์ไม่สามารถต้านทานการได้รับความเสียหายจากอาวุธที่ได้รับพรทั้งสอง แต่เขาก็คิดไว้แล้วว่าจะเกิดขึ้น ดังนั้นโนอาห์จึงทิ้งมีดที่หักออกแล้วเปิดฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับสร้างเปลวไฟขนาดใหญ่และปาไปที่หัวหน้าก็อบลินทันที

หัวหน้าก็อบลินไม่มีโอกาสที่จะปกป้องตัวเอง เปลวไฟจำนวนมากได้พุ่งเข้าใส่หน้าอกของมัน ผ้าหนังทนที่หัวหน้าก็อบลินสวมใส่เป็นชุดเกาะเริ่มไหม้และละลายเผยให้เห็นผิวหนังสีเขียวที่ไม่มีการป้องกันใดๆออกมา

การแลกเปลี่ยนนี้อาจจะดูเหมือนใช้เวลานาน แต่ในความเป็นจริงนั้นมันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่โนอาห์ออกมาจากอุโมงค์นรกเท่านั้น

หัวหน้าก็อบลินไม่แม้แต่จะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อมันรู้สึกได้ว่าร่างกายของมันถูกไฟไหม้ สิ่งเดียวที่มันทำคือเปลี่ยนวิถีของมีดสั้นและมุ่งเป้าไปที่โนอาสห์เพื่อฆ่ามนุษย์ที่น่ารำคาญคนนี้ทุกครั้ง

โนอาห์เมื่อเห็นหัวหน้าก็อบลินพยายามจะฆ่าเขาก็อดยิ้มไม่ได้

“แกคิดว่าแกเป็นคนเดียวที่ทำแบบนี้ได้งั้นหรอ?” โนอาห์พูดอย่างรวดเร็วก่อนที่จะใช้อุโมงค์นรกอีกครั้งเพื่อไปยังจุดที่เขาต่อสู้กับก็อบลินนักฆ่าก่อนหน้านี้

เนื่องจากโนอาห์จากมันไปเพียง 2 วินาทีเท่านั้น ก็อบลินนักฆ่าตัวนั้นจึงยังสับสนและกำลังมองหาเป้าหมายอื่นเพื่อสังหาร โนอาห์ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาตรงนี้จุดไฟอีกครั้งและฆ่าก็อบลินนักฆ่าตัวนั้นด้วยเปลวไฟทันทีซึ่งก็อบลินตัวนั้นยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเปลวไฟนี้มาจากไหน

อบิเกลได้ย้ายออกมาจากพื้นที่ที่เธออยู่เมื่อเธอเห็นว่าโนอาห์ได้ดึงดูดความสนใจของหัวหน้าก็อบลินไปจากเธอแล้ว

ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆไม่ได้เฝ้ามองสิ่งนี้โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ผู้ถูกเลือกที่เป็นนักรบวิ่งไปหานักเวทย์ทั้งสามคนที่ถูกโจมตีโดยก็อบลินนักฆ่าและด้วยความไดเปรียบทางจำนวนพวกเขาก็ฆ่าก็อบลินทั้งสามนั้นได้

ในตอนนั้นโนอาห์ได้นำมีดสั้นที่หลุดออกจากมือของก็อบลินออกมาและปล่อยให้ก็อบลินพวกนั้นถูกเผาไหม้บนพื้นต่อไปและเพิ่มพลังให้กับตัวเขาเองมากขึ้น

หัวหน้าก็อบลินเริ่มตระหนักได้ว่าลูกน้องของมันเริ่มตายมากขึ้นเรื่อยๆและสิ้นหวัง แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งกว่าและมีทักษะนักฆ่าที่ดี แต่มันก็ไม่สามารถฆ่ามนุษย์ได้เลย และส่วนใหญ่ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะโนอาห์ที่คอยขัดขวางมันโดยตลอด และเมื่อเป็นเช่นนั้นมันจึงหายตัวไปอีกครั้งและเปลี่ยนตำแหน่งของตัวเองให้ย้ายไปอยู่ไกลขึ้น หลังจากนั้นมันจึงดึงอาวุธที่มันครอบครองอีกอย่างออกมา

ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าทักษะของหัวหน้าก็อบลินไม่ใช่ทักษะการล่องหน แต่มันเป็นหนึ่งในความสามารถที่ทำให้คนทั้งกลุ่มมองไม่เห็นและหายตัวไปและยังหายไปเหมือนกับว่ามันไม่เคยอยู่ตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ เพราะเปลวไฟของโนอาห์ที่ปล่อยไว้ที่ตัวของหัวหน้าก็อบลินก็หายไป

ทั้งกลุ่มตื่นตัวกันอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากมีคนบางคนได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากหัวหน้าก็อบลินและก็อบลินนักฆ่า ผู้ถูกเลือกที่ยังบาดเจ็บจึงไม่ได้ยินเสียงหวีดแปลกๆที่ดังขึ้นทั่วทั้งบริเวณสนามรบ

โนอาห์หันมองไปยังทิศทางที่เสียงหวีดดังมาทันที แต่เมื่อเขารู้ว่ามันคืออะไรมันก็สายเกินไปแล้ว เสียงหวีดนั่นเกิดจากลูกธนูขนาดใหญ่ตัดผ่านสายลมก่อนจะพุ่งทะลุศีรษะของผู้รักษาของกลุ่ม ซึ่งตอนแรกเขาได้รับบาดเจ็บจากการแทงของหัวหน้าก็อบลินในตอนแรกอยู่แล้ว

ผู้ถูกเลือกที่ได้รับบาดเจ็บต่างกังวลเมื่อเห็นว่าผู้รักษาของกลุ่มเสียชีวิต เนื่องจากมีเพียงคนเดียวที่สามารถรักษาบาดแผลได้ และตอนนี้ก้จะไม่มีคนที่สามารถรักษาบาดแผลให้กับพวกเขาได้อีก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผู้ถูกเลือกสูญเสียโฟกัสไปโดยสิ้นเชิง ทั้งนักเวทย์และนักธนูยังคงเล็งการโจมตีไปที่ตำแหน่งที่หัวหน้าก็อบลินอยู่อย่างรวดเร็ว พวกเขาโจมตีทันทีเพราะพวกเขาต้องการที่จะยุติการต่อสู้ครั้งนี้โดยที่พวกเขาไม่ได้สนใจบาดแผลที่พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานอีก พวกเขายิงให้เร็วที่สุดเพื่อให้พวกเขาทั้งหมดได้ออกไปจากที่นี่และได้รับการรักษาที่น่าพอใจ

โนอาห์เห็นว่าบอสอยู่ที่ไหน แต่เขาเห็นบางอย่างที่ดีกว่า ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่บอสถือมีดสั้นด้วยมือของเขาตอนนี้มีดสั้นนั้นห้อยอยู่ที่รอบเอวของมันเพื่อที่มันจะได้จับคันธนูของมันได้

“ขโมยที่ขโมยของจากขโมยคนอื่นสมควรได้รับการให้อภัยเป็นร้อยปี” นี่เป็นคำพูดที่โนอาห์เคยได้ยินจากใครบางคน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่ามันไม่เห็นสมเหตุสมผล แต่ในตอนนี้เมื่อเขามองไปที่มีดสั้นคู่นั้นที่เอวของหัวหน้าก็อบลินในที่สุดโนอาห์ก็เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น

ในขณะที่ทุกคนกำลังโจมตีหัวหน้าก็อบลินอยู่นั้นก็มีเปลวไฟเล็กๆระเบิดขึ้นท่ามกลางกลุ่มของผู้ถูกเลือกก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ด้านหลังของหัวหน้าก็อบลิน…

ความกลัวของโนอาห์ต่อหัวหน้าก็อบลินเกิดขึ้นเมื่อนักรบที่อยู่แนวหน้าโจมตีไปที่มันและในช่วงที่ดาบของนักรบกำลังจะฟันลงไปที่ตัวของหัวหน้าก็อบลินในเสี้ยววินาทีนั้นหัวหน้าก็อบลินก็ล่องหนและหลบการโจมตีของนักรบก่อนที่จะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและโจมตีกลับ

เมื่อเห็นว่านอกจากนักฆ่าก็อบลินตัวเล็กๆพวกนั้นแล้วหัวหน้าก็อบลินยังสามารถล่องหนได้โนอาห์ก็เริ่มกังวลว่าบางทีมันอาจจะเป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากป้อมปราการนี้ได้โดยที่ไม่มีใครตาย

โนอาห์ใช้ประโยชน์จากช่วงที่ไม่มีมือนักฆ่าก็อบลินตัวใหม่ปรากฏขึ้นมาโนอาห์เปิดมือและเรียกลูกไฟของเขาขึ้นมาและขว้างมันไปที่หัวหน้าก็อบลิน และเนื่องจากหัวหน้าก็อบลินกำลังมุ่งความสนใจอยู่ที่คนตรงหน้า ทำให้ลูกบอลไฟของโนอาห์พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของมันอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแตกต่างกับก็อบลินตัวอื่นๆที่โดย หัวหน้าก็อบลินไม่ได้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเหมือนที่ตัวอื่นๆโดน เพราะนั้นเป็นเพราะความหนาของผิวของมัน เมื่อเปลวไฟลุกขึ้นได้ไม่นานมันก็ดับลงอย่างรวดเร็ว

นี่อาจจะมีเหตุผลสองอย่าง ประการแรก เปลวไฟไม่สามารถเผาผลาญสิ่งใดๆก็ตามที่มีความต้านทานสูงและนั่นก็อาจจะเป็นหัวหน้าของก็อบลินตัวนั้น อย่างที่สอง โนอาห์ไม่ได้มุ้งเน้นไปที่การเสริมพลังของลูกไฟได้เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าจะมีนักฆ่าก็อบลินปรากฏขึ้นทันทีในขณะที่เขากำลังเตรียมการนั้น ดังนั้นเปลวไฟจึงอยู่ได้ไม่นาน

บริเวณที่หัวหน้าก็อบลินถูกลูกไฟ ในส่วนตรงนั้นถูกเผาไหม้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นผิวหนังที่บางขึ้นของหัวหน้าก็อบลิน แต่แค่นั้นไม่เพียงพอที่จะมีผลต่อสิ่งใดๆในการต่อสู้ เพราะแม้ว่าเนื้อของมันจะบางลงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันหยุดการป้องกันของมันทันที และถ้าจะเล็งไปที่หัวของมันทั้งหมด มันก็คงจะระวังตัวมากขึ้น

ในขณะที่โนอาห์เสกลูกไฟอีกลูกเพื่อขว้างใส่หัวหน้าก็อบลินจากอีกมุมหนึ่ง ที่หางตาของเขาก็เห็นร่างสีดำขนาดเล็กกำลังมุ่งหน้าไปหานักเวทย์คนหนึ่งของกลุ่ม โนอาห์เปลี่ยนเป้าหมายของลูกไฟในมือของเขาจากหัวหน้าก็อบลินไปเป็นก็อบลินนักฆ่าตัวนั้นแทน และวิ่งไปหามันทันที

คราวนี้โนอาห์ตระหนักได้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องผลักนักเวทย์ให้หลบไปเพื่อไม่ให้เขาถูกแทง เพราะเนื่องจากก็อบลินนักฆ่าตัวนั้นตกใจที่ลูกไฟพุ่งมาหามัน และมันก็ถอยหลังกลับทันทีเพื่อหลบลูกไฟนั้น และนั่นก็ทำให้ข้อสันนิฐานของโนอาห์ถูกต้อง ข้อแรกก็อบลินนักฆ่าตัวอื่นๆกำลังรอที่จะโจมตีอยู่เสมอ ข้อสอง ก็อบลินนักฆ่าพวกนี้มีความว่องไวและฉลาดมากกว่าก็อบลินตัวอื่นๆ

หลังจากบังคับให้ก็อบลินหลบการโจมตีของเขาโนอาห์ก็ตระหนักว่านักรบกำลังตะโกนอะไรบางอย่าง เมื่อเขาหันไปดูว่ามันคืออะไรโนอาห์ก็สังเกตว่าหัวหน้าก็อบลินหายไป และมันไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว

‘แย่แล้ว…มันจะไปโผล่ที่ไหนกัน…?’ โนอาห์คิดในขณะที่เขามองจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่งเพื่อค้นหาหัวหน้าก็อบลิน แต่ในฐานะนักฆ่าที่มีประสบการณ์แน่นอนว่าหัวหน้าก็อบลินจะไม่ทำผิดพลาดเรื่องเล็กน้อยเช่นการทิ้งร่องรอบไว้

“อ๊ากกก!!!” โนอาห์ได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากข้างๆเขา

เมื่อเขาหันกลับไปโนอาห์ก็เห็นว่าหัวหน้าก็อบลินยืนอยู่ข้างๆผู้รักษาของกลุ่ม เขาเป็นชายอายุ 25 ปีที่เงียบมากเงียบจนถึงขั้นที่ว่าเสียงกรีดร้องนี้เป็นครั้งแรกที่โนอาห์ได้ยินเสียงของชายคนนี้ ในป้อมปราการอาห์ไม่สนใจว่าใครก็ตามจะตกอยู่ในอันตราย เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่คนที่เขารู้จักหรือติดต่อด้วย สิ่งที่สำคัญคือพวกเขาอยู่ในป้อมปราการและทุกชีวิตก็มีความเสี่ยงที่จะถูกฆ่าหมด และถ้าเขาไปช่วยก็มีโอกาสที่ตัวเขาเองจะตายด้วยเช่นกัน ถ้าหากมีคนตายพวกเขาก็จะได้รับเงินมากขึ้นในตอนจบป้อมปราการด้วย แต่ในตอนนั้นโนอาห์ก็ไม่ได้หยุดความคิดที่จะวิ่งเข้าไปหาหัวหน้าก็อบลินเพื่อที่จะช่วยชายคนนั้น

หัวหน้าก็อบลินมองไปด้านข้างและสังเกตเห็นว่ามีมนุษย์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาเขาพร้อมมีดสั้นในมือ เมื่อเห็นสิ่งนี้บอสด้วยมือข้างหนึ่งก็ชี้มีดสั้นของมันไปที่โนอาห์ในขณะที่อีกข้างหนึ่งมันขัดขวางการแทงที่นักธนูพยายามจะแทงมาที่มัน น่าเศร้าที่การแทงนั้นมีเทคนิคที่เล็กน้อยเกินไป มันจึงไม่ได้ให้ความสำคัญในการป้องกันมากนัก แต่ปกติแล้วมันจะเป็นปัญหาสำหรับโนอาห์ถ้าหัวหน้าก็อบลินจะใช้มือทั้งสองข้างในการต่อสู้ ตอนนี้มันเป็นเรื่องดีสำหรับเขาที่เขาได้รับการสนับสนุนจากนักธนูทำให้มืออีกข้างของหัวหน้าก็อบลินไม่ว่าง ถ้าไม่เช่นนั้นโนอาห์ก็คงไม่สามารถสู้กับหัวหน้าก็อบลินได้เลย หากมันไม่ถูกแทงไปก่อนสองสามครั้ง

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้โนอาห์จึงได้โอกาสทดสอบสิ่งใหม่ๆทันที

แม้ในขณะที่เขากำลังวิ่งเข้าหาหัวหน้าก็อบลินเขาก็รู้สึกได้ถึงความแตกต่างบางอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ก่อนอื่นเวลาที่เขาวิ่งหาหัวหน้าก็อบลินความเร็วที่เขาวิ่งได้เต็มที่เร็วกว่าเวลาที่เขาใช้ก่อนหน้านี้มาก

เมื่อมีดสั้นของเขาปะทะเข้ากับของหัวหน้าก็อบลิน ร่างกายของโนอาห์ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เขารู้สึกเลือดในร่างกายของเขากำลังเดือนพล่าน โนอาห์รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของหัวหน้าก็อบลินนั้นมากกว่าความแข็งแกร่งที่เขาสามารถต้านทานได้ตามปกติ ถ้าโนอาห์ปะทะกับหัวหน้าก็อบลินโดยใช้ร่างกายที่ยังไม่ได้เพิ่มเลเวลของเขาขึ้นมา ร่างกายของเขาจะต้องถอยหลังไปอย่างน้อยครึ่งก้าวหลังจากการปะทะครั้งนี้

แต่ตอนนี้เขาเพิ่มเลเวลขึ้นมาได้แล้ว และแม้ว่าพรของโนอาห์จะไม่ได้เพิ่มหรือเน้นไปที่ความแข็งแกร่งของร่ายกายแต่โนอาห์ก็ยังสามารถต้านทานแรงกระแทกครั้งนี้ได้

หัวหน้าก็อบลินมองมาที่โนอาห์พร้อมกับความประหลาดใจ เนื่องจากเสื้อผ้าของมนุษย์คนนี้มันจึงสันนิษฐานได้ว่ามนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าของมันมุ่งเน้นไปที่ความคล่องตัว โดยเฉพาะมนุษย์คนนี้ใช้มีดสั้นขนาดเล็ก แต่มันไม่ได้คิดว่าความแข็งแกร่งของมนุษย์คนที่อยู่ตรงหน้าของมันตอนนี้จะน้อยกว่ามนุษย์ที่ต่อสู้ด้วยดาบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

น่าเสียดายที่แม้ว่าโนอาห์สามารถต้านทานการโจมตีของหัวหน้าก็อบลินได้ แต่เขาก็เห็นเศษเหล็กเล็ก ๆออกมาจากมีดของเขาเอง ความแตกต่างระหว่างมีดต่อสู้ของมนุษย์ธรรมดากับอาวุธที่ได้รับพรนั้นใหญ่มาก แต่ข้อดีของการใช้มีดขนาดเล็กเช่นเดียวกับมีดที่โนอาห์ใช้คือเขาได้รับอิสระให้สามารถทำอย่างอื่นได้ด้วยมืออีกข้างของเขาเอง

หัวหน้าก็อบลินกำลังหดแขนของมันลงหลังจากการเผชิญหน้ากับโนอาห์และเตรียมพร้อมที่จะโจมตีอีกครั้ง และเมื่อมันเห็นมืออีกข้างของมนุษย์กำลังพุ่งมาหามันพร้อมกับบางสิ่งที่เร่าร้อน เมื่อเห็นว่าสิ่งที่ส่องประกายคือเปลวไฟประหลาดที่มันเคยโดนมาก่อนแล้วหัวหน้าก็อบลินก็กังวล

และด้วยความกังวลนั้นมันพยายามยกมือขึ้นเพื่อป้องกันใบหน้าของมันเอง แต่หัวหน้าก็อบลินตระหนักได้ว่ามันไม่เร็วพอที่จะหยุดลูกไฟที่กำลังพุ่งเข้าไปที่ใบหน้าของมัน มันจึงตัดสินใจทำแบบเดิมอีกครั้ง ร่างกายของมันหายไปและลูกไฟที่โนอาห์ปล่อยไปก็ผ่านจุดที่หัวหน้าก็อบลินเคยยืนอยู่

ในขณะนั้นโนอาห์เริ่มกังวลมากขึ้นเนื่องจากในตอนแรกเขาเชื่อว่าความสามารถนี้เป็นเพียงการล่องหนบางอย่าง แต่เมื่อเขาเห็นลูกไฟผ่านไปในจุดที่หัวหน้าก็อบลินยังอยู่เมื่อครึ่งวินาทีที่แล้วโนอาห์ก็คิดว่าความสามารถนี้ทำให้ตัวของมันหายไปที่ไหนสักแห่งและไม่สามารถทำอะไรมันได้ โชคดีที่ยิ่งมีทักษะที่ทรงพลังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้มากขึ้นเท่านั้นดังนั้นหากหัวหน้าก็อบลินใช้ความสามารถไปแล้วสองครั้ง บางทีมันอาจจะไม่สามารถใช้ได้บ่อยๆอีก

ทั้งกลุ่มตื่นตัวทันที นักรบที่ไม่ได้ปกป้องผู้รักษาในตอนแรกต่างรู้สึกท้อแท้ แต่พวกเขาก็ไมได้ปล่อยให้มันส่งผลกระทบต่อพวกเขามากนัก พวกเขารีบค้นหาว่าหัวหน้าก็อบลินซ่อนตัวอยู่ที่ไหน

แจสเปอร์ตื่นตัวเต็มที่ในเวลานั้น เขาตระหนักว่าทักษะของหัวหน้าก็อบลินนั้นมีปัญหามากกว่าที่เขาคิดเช่นเดียวกับที่โนอาห์คิด หากเป็นเพียงทักษะการล่องหนขั้นพื้นฐานกลุ่มของเขาก็สามารถล่อหัวหน้าก็อบลินเข้ามุมและโจมตีมันได้ เพราะแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นแต่การโจมตีก็ยังคงทำได้ต่อไป แต่ในกรณีนี้ที่หัวหน้าก็อบลินหายไปจากการต่อสู้และไม่สามารถจับต้องได้ แม้ว่ากลุ่มของเขาจะจับมันเข้ามุมไหนสุดท้ายมันก็จะหนีออกไปได้อยู่ดี

ในขณะที่ทุกคนกำลังมองหาว่าก็อบลินตัวใหญ่อยู่ที่ไหนกลุ่มก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับก็อบลินตัวน้อยที่อยู่รอบตัวพวกเขา ขณะที่พวกเขาค้นหาบางสิ่งไปมาเพื่อระบุว่าหัวหน้าก็อบลินซ่อนตัวอยู่ที่ไหนพวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นสามครั้งในขณะที่เสียงโลหะกระแทกเข้ากับโลหะดังขึ้นพร้อมกัน

อบิเกลมองย้อนกลับไปเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น เธอกลัวว่าบอสอาจจะโผล่มาใกล้ๆเธอ แต่เมื่อเธอเห็นว่ามีก็อบลินนักฆ่าสี่ตัวปรากฏตัวขึ้นมาเธอก็ไม่รู้ว่าเธอควรจะดีใจไหมที่มันไม่ใช่หัวหน้าก็อบลิน

สิ่งที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้คือมือสังหารสามคนกำลังโจมตีนักเวทย์สามคนที่แยกจากกันในขณะที่ก็อบลินอีกตัวกำลังไปโจมตีผู้ถูกเลือกอีกหนึ่งคนที่ทำการป้องกันคนอื่นๆอยู่

‘พวกมันฉลาด พวกมันรู้ว่าเขาคือคนที่ปกป้องแนวหลังอยู่’ อบิเกลคิดขณะที่เธอดึงสายธนูและเล็งลูกธนูไปที่ก็อบลินที่กำลังโจมตีผู้รักษาที่บาดเจ็บอยู่แล้ว

น่าเสียดายสำหรับเธอเมื่อเธอเล็งไปที่ก็อบลินนักฆ่า ผู้ถูกเลือกอีกคนก็หันมาหาเธอทันทีด้วยท่าทางตกใจ

เธอใช้เวลาครึ่งวินาทีในการทำความเข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงมองมาที่เธอ แต่เมื่อเธอเห็นว่าการจ้องมองของพวกเขาไม่ได้มองมาที่เธอจริงๆ แต่มองไปที่บางสิ่งที่อยู่เบื้องหลังเธอ อบิเกลก็กลืนน้ำลายและยอมรับว่าตอนนี้เธออาจจะตายแล้ว หัวหน้าก็อบลินได้ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเธอ และจากระยะห่างของเธอในตอนนี้และผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ไม่มีใครที่อยู่ในกลุ่มที่มีพรที่สามารถมาช่วยเธอได้ทันเวลา

แต่บางสิ่งก็ทำให้อบิเกลประหลาดใจ อยู่ๆเธอก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิด้านหลังของเธอสูงขึ้นในทันที และในตอนนั้นเองเธอก็ได้ยินเสียงโลหะปะทะกันดังมาจากด้านหลังของเธอ

เมื่อเธอหันกลับมาอบิเกลแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผู้ถูกเลือกคนที่เธอเกลียดชังมาก่อนในตอนแรกที่ก่อนหน้านี้เขาอยู่ห่างจากเธอถึง 4 เมตรและกำลังสู้กับก็อบลินนักฆ่าอยู่ กลับมาปรากฏตัวด้านหลังของเธอพร้อมกับป้องกันมีดของหัวหน้าก็อบลินไว้

‘เขามาที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่…?’

[คุณได้รับ 1 ค่าประสบการณ์จากการฆ่าก็อบลิน ค่าประสบการณ์ 100/100 หน่วย]

[ยินดีด้วย! คุณได้เลื่อนขึ้นไปที่เลเวล 02 แล้ว]

เมื่อมองไปที่ข้อความโนอาห์รู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะในตอนที่ระบบปลดล็อคเขาก็ได้รับความสามารถที่เหลือเชื่อ เขาคิดว่าหากเขาเลเวลสูงขึ้นเขาก็จะได้รับความสามารถอื่นๆที่ทรงพลังพอๆกับเปลวไฟแห่งนรก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทำทุกอย่างเพื่อไปให้ถึงเลเวล 02 ภายในป้อมปราการนี้ และในที่สุดเขาก็ทำสำเร็จ หลังจากที่เขาขึ้นพัฒนาขึ้นมาที่เลเวล 02 โนอาห์ก็เริ่มรู้สึกว่าร่างกายของเขาเบาลง ด้วยการกระโดดเล็กๆสองครั้งไปที่ด้านใดด้านหนึ่ง นั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่าหลังจากเพิ่มระดับแล้วร่างกายของเขาก็คล่องตัวมากขึ้น มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด แต่มันไม่มีอะไรที่เขาไม่คุ้นเคย

ก่อนที่จะได้เห็นคำอธิบายของทักษะโนอาห์ก็สามารถรู้สึกและรู้ได้แล้วว่ามันจะทำอะไร ในเสี้ยววินาทีนั้นราวกับว่านิ้วอีกนิ้วที่หายไปจากมือของเขาได้งอกขึ้นมาอีกครั้ง

มันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่โนอาห์ไม่รู้ว่าเขาจะเคยชินกับมันหรือไม่ เพราะมันน่าจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เขามีการพัฒนาขึ้น เขารู้สึกเหมืนกับว่าเขาไม่ต้องทำอะไรเขาก็สามารถใช้มันได้เหมือนกับการขยับนิ้ว

เมื่อปลุกความสามารถที่สองของเขา โนอาห์อดไม่ได้ที่จะอยากทดสอบมันที่นั่น แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่จะทำเช่นนั้น เนื่องจากหลังจากที่พวกเขาสังหารก็อบลินตัวน้อยทั้งสามตัวกลิ่นเลือดที่รุนแรงจากศพจะดึงดูดก็อบลินที่เหลือในค่ายรวมทั้งบอสให้มาหาพวกเขาด้วย

ภายในไม่กี่วินาทีก็อบลินอย่างน้อย 10 ตัวก็ปรากฏตัวขึ้นในมุมมองของพวกเขาภายในค่ายไม่ต้องพูดถึงก็อบลินตัวอื่นๆที่ยังไม่ได้เข้ามาในมุมมองของพวกเขา ซึ่งมันอาจจะเพิ่มเป็นสองเท่านอกเหนือจากบอสแน่นอน

เมื่อมองจากระยะไกลๆก็จะเห็นได้ว่าบอสก็เป็นก็อบลินเช่นเดียวกันตัวอื่นๆ แต่มันแตกต่างจากก็อบลินตัวอื่นๆตรงที่บอสจะสะพายธนูขนาดใหญ่ไว้ที่หลังของมัน และมันยังมีมีดโลหะมันวาวสองอันอยู่ที่เอวของมันอีกด้วย

เมื่อมองไปที่มีดสั้นดวงตาของโนอาห์ก็เริ่มส่องแสง โอกาสที่อาวุธคุณภาพดีจะปรากฏในป้อมปราการระดับต่ำนั้นแทบจะไม่มีเลย แต่อาวุธที่ได้รับพรตอนนี้มันอยู่ที่นั่นตรงหน้าของเขา…อันที่จริงมันไม่ใช่แค่มีดเท่านั้นที่ได้รับพร แต่มันมีถึงสามอย่าง เนื่องจากมันมีมีดสั้นสองเล่มและคันธนูหนึ่งอันซึ่งเห็นได้ชัดว่าคุณภาพของพวกมันไม่ได้แย่เลย

โนอาห์ไม่ใช่คนเดียวที่มีสายตาที่เต็มไปด้วยความโลภเมื่อมองไปที่อาวุธพวกนั้น ผู้ถูกเลือกทุกคนในกลุ่มเมื่อพวกเขาเห็นอาวุธเหล่านั้นพวกเขาก็รู้ทันทีว่าพวกเขาโชคดีแค่ไหน การที่ค้นพบอาวุธเหล่านี้จะทำให้พวกเขาสามารถนำมันไปขายเพื่อเพิ่มเงินให้กับกลุ่มของพวกเขาหลังจากจบป้อมปราการได้

นอกจากธนูขนาดใหญ่และมีดสั้นเงางามสองอันแล้วก็อบลินบอสยังสูงกว่าก็อบลินปกติอย่างน้อยหกนิ้ว นั่นหมายความว่ามันแข็งแกร่งว่องไวและยืดหยุ่นมากกว่าก็อบลินที่พวกเขาเคยฆ่าไปแล้ว จากสิ่งที่โนอาห์อ่านในอินเทอร์เน็ตผิวหนังของหัวหน้าก็อบลินนั้นหนาและทนทานมาก จนดาบบางเล่มที่ไม่มีความคมมากพอก็ไม่สามารถตัดผิดหนังของมันได้ ราวกับว่าผิวหนังของมันเป็นชุดเกาะที่มีความทนทานสูงเป็นอย่างมาก

แต่สิ่งนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับมีดสั้นของแจสเปอร์ เนื่องจากโนอาห์คิดว่ามีดเล่มนั้นของแจสเปอร์น่าจะได้มาจากป้อมปราการระดับ C

ความว้าวุ่นใจของปาร์ตี้เกี่ยวกับอาวุธและบอสเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น หลังจากนั้นทุกๆคนก็ตื่นตัวทันทีและกลับมาสนใจสิ่งรอบข้าง เพื่อไม่ให้ก็อบลินตัวเล็กโจมตีทางด้านหลังของพวกเขาในตอนที่พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็น แม้ว่าโนอาห์จะปลดล็อคความสามารถใหม่แล้วโนอาห์ก็รู้ดีว่าการใช้ความสามารถนั้นในตอนนี้มันจะทำให้เกิดปัญหากับคนในกลุ่มเนื่องจากเขายังไม่ได้ทดสอบ แม้ว่าเขาจะคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์กับเขาอย่างมากในการต่อสู้ แต่โนอาห์ก็ยังลังเลที่จะใช้มันท่ามกลางผู้ถูกเลือกมากมายนี้

โชคดีที่โนอาห์ตื่นตัวตั้งแต่แรกที่หัวหน้าก็อบลินส่งเสียงร้อง เพราะในช่วงขณะนั้นก็อบลินตัวเล็กที่มีมีดสั้นได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความว้าวุ่นใจของคนในกลุ่มพยายามฆ่ามนุษย์บางคนจากด้านหลัง

โนอาห์รู้สึกประหลาดใจชั่วขณะที่เห็นว่าก็อบลินตัวเล็กตัวนี้ใช้มีดสั้นเช่นกัน แต่เมื่อสังเกตว่ามันขึ้นสนิมโนอาห์ก็อดไม่ได้ที่จะผิดหวัง

‘อาวุธที่ได้รับพรทั้งสี่ชิ้นนั้นน่าจะเป็นเรื่องบังเอิญในป้อมปราการระดับ E มันคงจะเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นแหละ…เดี๋ยวก่อนสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับรูปปั้นไม้นั้นหรือเปล่า?’

ก่อนที่โนอาห์จะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นก็อบลินตัวน้อยก็ได้พุ่งเข้าหานักเวทย์ที่กำลังมองหน้าหัวหน้าก็อบลินอยู่ ปลายของมีดสั้นกำลังพุ่งเข้าไปที่หน้าของเธอและพร้อมที่จะฆ่าผู้หญิงคนนั้น

แต่โนอาห์เร็วกว่าเมื่อเขาสังเกตเห็นก็อบลินกระโดดเข้าหาผู้หญิงคนนั้น เขาก็พุ่งเข้าหาเธอด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับผลักเธอออกไปและอีกข้างสร้างเปลวไฟขึ้นมาและปาใส่ก็อบลินตัวนั้น

ก็อบลินตัวนั้นไม่ได้แม้แต่จะกรีดร้องออกมา เปลวไฟใช้ออกซิเจนจำนวนมากรอบๆตัวมันจนมอนเตอร์ตัวนั้นล้มลงกับพื้นในขณะที่มันกลิ้งไปกลิ้งมาโดยที่มันไม่สามารถหายใจได้ด้วยซ้ำ มันพยายามสูดอากาศเข้าปอดของมันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่มันก็ไม่มีโอกาสได้ทำเช่นนั้นเปลวไฟได้แผดเผาร่างของมันอย่างรวดเร็วจนมันตายในที่สุด

ฝ่ายที่ถูกผลักเมื่อเธอเห็นว่าโนอาห์เข้ามาช่วยเธอ จากตอนแรกที่เธอโกรธโนอาห์มากๆเพราะโนอาห์เหมือนคนไม่มีประโยชน์ในตอนที่เธอยังไม่รู้อะไร แต่ในตอนนี้หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้และรู้เรื่องทั้งหมด จากความโกรธแค้นที่มีต่อโนอาห์ก็กลายเป็นความรู้สึกขอบคุณที่โนอาห์ได้ช่วยชีวิตเธอเอาไว้

โนอาห์ไม่ได้สนใจสิ่งที่เธอคิดและเมื่อเขาลุกขึ้นสิ่งแรกที่เขาทำคือมองไปรอบๆ เพื่อหาก็อบลินนักฆ่า จนถึงตอนนี้เขารู้แค่เกี่ยวกับการดำรงอยู่ของก็อบลินนักรบ ก็อบลินปืนลูกดอก และก็อบลินนักธนู ก็อบลินนักฆ่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขา

แม้ว่าโนอาห์จะมองไม่เห็นก็อบลินรอบๆตัวเขาทั้งหมด แต่เขาก็รู้ดีว่าพวกมันก็ทำตามแบบที่เขาทำเช่นกัน พวกมันซ่อนอยู่ในฝูงก็อบลินและรอคอยจังหวะที่จะเข้ามาโจมตีอยู่เสมอ

ก็อบลินนักธนูเป็นตอบลินที่มีสติปัญญาที่เหนือกว่าก็อบลินปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อดูจากก็อบลินนักฆ่าที่รู้จักการซุ่มโจมตีนั้นหมายความว่ามันมีสติปัญหาที่เหนือกว่าก็อบลินนักธนู มันน่าจะมีความฉลาดน้อยกว่าหัวหน้าก็อบลินเท่านั้น

ในขณะที่โนอาห์ดูสภาพแวดล้อมเขาก็ตระหนักว่ากลุ่มนั้นเริ่มโจมตีบอสแล้ว นักเวทย์กำลังยิงเวทย์ใส่หัวหน้าก็อบลินไม่หยุดในขณะที่นักธนูยิงธนูด้วยอัตราที่น่าประทับใจ นักรบตามที่คาดไว้ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงดูดความสนใจจากบอสให้ได้มากที่สุด

แต่โนอาห์รู้สึกไม่ดีเมื่อเขาเห็นมีดสั้นที่เอวของบอส เขาคิดว่าความสนใจของหัวหน้าก็อบลินจะไม่ถูกเจาะจงที่นักรบที่อยู่ด้านหน้าอย่างเดียว ยิ่งมีดที่เอวของหัวหน้าก็อบลินที่แสดงให้เห็นว่ามันก็มีทักษะของนักฆ่าเช่นเดียวกัน ความกลัวของโนอาห์คือเขากลัวหัวหน้าก็อบลินจะไม่สนใจแนวหน้าแล้วพุ่งตรงเข้ามาฆ่าแนวหลังโดยตรง

เขามั่นใจว่าเขาสามารถป้องกันแนวหลังจากมือสังหารตัวน้อยได้ แต่การต้องป้องกันหัวหน้าก็อบลินในป้อมปราการระดับ E ด้วยตัวเขาเอง ทำให้โนอาห์สงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่…อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ตอนที่เขายังไม่ได้ใช้ทักษะใหม่ที่เขาเพิ่งได้มา

โนอาห์รู้ดีว่าก็อบลินที่โจมตีด้วยปืนยิงลูกดอกจากระยะไกลนั้นฉลาดกว่าก็อบลินนักรบมาก น่าเสียดายที่เขาไม่พบว่าก๊อบลินตัวนั้นจะฉลาดเท่านักธนูตัวแรกที่เขาพบก่อนหน้านี้ แต่ในทุกๆกลุ่มที่โนอาห์เห็น ก็อบลินถือปืนยิงลูกดอกจะฉลาดกว่าก็อบลินนักรบและก็อบลินนักธนูจะฉลาดกว่าก็อบลินที่ถือปืนยิงลูกดอก

ด้วยเหตุนี้ลูกไฟเพลิงลูกที่สองที่โนอาห์ควบคุมอยู่จึงพุ่งตรงไปที่ก๊อบลินนักรบที่อยู่ตรงหน้าเขา เขารู้ดีว่าก็อบลินถือปืนลูกดอกที่เหลืออยู่นั้นฉลาดพอที่จะหลบหนีไปที่ค่ายหลังจากเห็นสหายทั้งสองของเขาต้องทนทุกข์อยู่ที่พื้นและนั่นคือสิ่งที่กลุ่มของเขาต้องการ

ตามที่พวกเขาคาดการณ์ไว้เมื่อก็อบลินนักรบคนที่สองล้มลงกับพื้นอย่างโหยหวนด้วยความเจ็บปวดก็อบลินที่ถือปืนลูกดอกก็วิ่งกลับไปที่ค่ายเพื่อต้องการความปลอดภัยหรือหากทุกอย่างเป็นไปตามแผนมันก็ต้องไปขอความช่วยเหลือ

และนั่นจะเป็นไปตามที่กลุ่มของโนอาห์ต้องการ พวกเขาต้องการให้ก็อบลินพวกนั้นไปแจ้งเตือนตัวที่อยู่ในค่ายเพื่อให้นำกำลังเสริมออกมา เพราะพวกเขาต้องการที่จะค่อยๆฆ่ากลุ่มของก็อบลินที่ออกมาเรื่อยๆเพื่อที่จะลดจำนวนของก็อบลินที่อยู่ในค่ายลง แต่น่าเสียดายที่โนอาห์ไม่สามารถเผาศพของก็อบลินพวกนั้นได้ทั้งหมด เนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องทิ้งร่องรอบไว้เพื่อให้กำลังเสริมของก็อบลินตามมาได้ถูกต้อง

ทันทีที่โนอาห์ดับเปลวไฟของเขาลง ชายร่างใหญ่ที่สวมเกาะก็เอาศพของก็อบลินตัวสุดท้ายที่โนอาห์ฆ่ามาผ่าท้องก่อนจะอุ้มมันและวิ่งออกไป

ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆออกจากมาจากที่ซ่อนและวิ่งตามคนที่อุ้มศพของก็อบลินไปด้วย รอยเลือดถูกทิ้งไว้ตลอดทางที่เขาผ่านไป

ก็อบลินกลุ่มแรกใช้เวลาไม่นานในการมาถึง เมื่อพวกมันตระหนักว่ามนุษย์กำลังแบกเพื่อนของพวกมันไปด้วย และยังผ่าท้องเพื่อนของพวกมัน ความโกรธที่พวกมันรู้สึกในขณะนั้นก็ท่วมท้น ก็อบลินที่ถือคันธนูดึงสายออกอย่างรวดเร็วก่อนที่จะยิงธนูไปที่คอของชายที่ถือศพ

ชายคนนั้นหันหน้าออกจากก็อบลินเขาจึงมองไม่เห็นลูกธนูที่พุ่งมา นั่นทำให้เขาไม่ทันระวังตัว ก่อนที่ลูกธนูจะถึงคอของเขากระแสลมแรงพุ่งเข้าใส่ลูกธนูในทิศทางตามขวางทำให้ลูกธนูออกจากวิถีของมัน ลูกธนูห่างจากชายคนนั้นไปเพียงสี่เซนติเมตรเท่านั้น

ผู้ที่ใช้ลมหักเหลูกธนูคืออบิเกลผู้หญิงที่ต่อว่าโนอาห์ที่ทางเข้าป้อมปราการ แม้ว่าเธอจะต่อสู้กับเขาด้วยเหตุผลโง่ๆแต่เธอก็รู้ว่าการอยู่รอดภายในป้อมปราการของพวกเขานั้นขึ้นอยู่กับผลงานที่ดีของทุกคนและถึงแม้เธอจะรู้สึกผิดหวัง แต่เธอก็จะไม่ยอมทิ้งชีวิตเพื่อนร่วมทีมที่จะทำแผนประสบความสำเร็จ เพราะเธอก็ต้องการที่จะบุกป้อมปราการนี้ให้เสร็จสมบูรณ์

เมื่อลูกธนูที่ยิงไปไม่ถูกชายคนนั้น นักธนูก็อบลินก็ไม่ได้มีโอกาสได้ดึงลูกธนูลูกต่อไปอีก เพราะจู่ๆก็มีแสงบางอย่างพุ่งใส่หน้าของมันทันที

อีกครั้งที่โนอาห์ยิงลูกไฟอีกลูกใส่ก็อบลินตัวหนึ่งทำให้เสียงร้องของมอนเตอร์ตัวนั้นดังลั่น

ก็อบลินตัวนั้นรู้สึกราวกับว่าหนังบนใบหน้าของมันกำลังละลายก่อนที่ตัวของมันจะลุกไหม้ ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

และเพราะเสียงร้องนี้ที่ทำให้คนในกลุ่มตัดสินใจให้โนอาห์ยิงลูกไฟอย่างน้อยหนึ่งลูกต่อก็อบลินที่บุกมาหาพวกเขาหนึ่งกลุ่ม เพราะนี่คือสิ่งที่สามารถดึงดูดก็อบลินกลุ่มอื่นๆให้ออกมาจากค่ายได้มากที่สุดและพวกเขาก็จะสามารถลดจำนวนของก็อบลินภายในค่ายได้มากขึ้น

เนื่องจากการทำงานเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมของทุกคนในหนึ่งชั่วโมงกลุ่มของพวกเขาได้ดำเนินไปไกลแล้ว พวกเขาทิ้งร่องรอยเลือดที่พวกเขาพยายามทำให้สับสนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยวิธีนี้เมื่อใดก็ตามที่กลุ่มก็อบลินออกจากค่ายของพวกมันมันต้องใช้เวลานานกว่าที่พวกมันจะเข้ามาถึงกลุ่มของพวกเขาได้

เมื่อเลือดของก็อบลินตัวแรกเริ่มแห้งกลุ่มนั้นก็เอาศพอีกศพจากกลุ่มที่มาถึงพวกเขาและผ่าท้องอีกหนึ่งครั้งจากนั้นชายร่างใหญ่จะอุ้มมอนเตอร์ตัวนั้นต่อไปในขณะที่เขาปล่อยให้เลือดไหลลงบนพื้น

ไม่เหมือนกับการต่อสู้ครั้งแรกที่พวกเขาเข้ามาในป้อมปราการ พวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมและพยายามจัดการกับก็อบลินทั้งหมดที่พวกเขาเห็นตรงหน้า ตอนนี้พวกเขากำลังใช้กลยุทธ์ที่รู้จักกันดีที่ถูกเรียกว่าการ “ไคร้” มันเป็นวิธีที่พวกเขาจะสังหารกลุ่มเล็กๆและล่าถอยเพื่อฆ่ากลุ่มเล็กๆอีกกลุ่มหนึ่งและล่าถอยอีกครั้ง ทำซ้ำขั้นตอนแบบนี้ไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้พวกเขาต้องเจอกับหลายๆกลุ่มพร้อมๆกัน

ตอนนี้ชายที่อุ้มศพนั้นตัวชุ่มไปด้วยเลือดแล้ว เป็นไปได้ว่าหากเขาหยุดผ่าศพของก็อบลินและเดินไปเฉยๆ ก็อบลินตัวอื่นๆก็ยังคงค้นหากลุ่มของผู้ถูกเลือกเจอจากกลิ่นเลือดที่ติดอยู่กับตัวของผู้ชายคนนี้อยู่ดี เพราะอย่างที่โนอาห์ได้บอกไว้ตั้งแต่แรกว่ากลิ่นเลือดของก็อบลินรุนแรงมาก มันสามารถรับรู้ถึงกลิ่นนี้ได้จากระยะไกลเลยทีเดียว

“เอาล่ะตอนนี้เป็นเวลาสำหรับแผนส่วนที่สองแล้ว เตรียมตัวให้พร้อมเพราะเราใกล้จะถึงค่ายแล้ว” แจสเปอร์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะที่เขามองไปยังทิศทางที่เอริคชี้ไปและนำทางกลุ่มไปที่นั่น เอริคเป็นผู้ถูกเลือกที่มีพรที่สามารถทำให้เขามีวิสัยทัศน์อันเฉียบคม เขาสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลโดยที่ไม่หลงทางหรือไม่มีปัญหาใดๆ ท่ามกลางต้นไม้มากมายพวกเขาเดินวนไปรอบๆค่ายของก็อบลินและทำเส้นทางเลือดไว้ เอริคก็ไม่พลาดจากเส้นทางที่พวกเขาวางแผนไว้อยู่ดี

ถ้าก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ทางด้านตะวันตกของค่ายตอนนี้พวกเขาก็อ้อมไปด้านหลังค่ายไปทางด้านตะวันออก หากก็อบลินออกมาด้วยจำนวนเท่ากันและออกมาด้วยระยะเวลาที่เท่ากันในตอนที่พวกเขาเริ่มสังหารตั้งแต่กลุ่มแรก ก็หมายความว่าตอนนี้มีก็อบลินอย่างน้อย 30 กลุ่มที่ตามรอยเลือดนี้มาแล้ว และนั่นเป็นจำนวนก็อบลินกว่า 100 ตัว

เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่พวกเขาได้รับบนอินเทอร์เน็ตโดยปกติก็อบลินจะแบ่งออกเป็นครึ่งหนึ่งซึ่งจะออกลาดตระเวนในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งปกป้องค่าย นั่นหมายความว่าตอนนี้อาจมีก็อบลินอีก 100 ตัวที่อยู่นอกค่ายจากแผนการของพวกเขาโดยปล่อยให้ป้อมปราการเล็กๆของพวกมันที่มีทางออกเพียงทางเดียวซึ่งตอนนี้ไม่มีการป้องกันใดๆอีก เพราะพวกมันถูกล่อออกมาหมดแล้ว

โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรให้เสียเวลาอีก เมื่อกลุ่มของผู้ถูกเลือกมองเห็นทางเข้าของค่ายก็อบลินโดยที่มีก็อบลินตัวเล็กเพียงสองตัวยืนเฝ้าด้วยท่าทางเป็นห่วงเพราะจำนวนที่น้อยเกินไปของพวกมัน

และก่อนที่ก็อบลินทั้งสองจะรู้สึกถึงความผิดปกติ ลูกธนูของอบิเกลก็พุ่งเข้าไปที่หัวของก็อบลินอย่างสมบูรณ์แบบเนื่องจากพรของเธอที่เพิ่มการควบคุมเล็กน้อย เธอทำให้มันเหมือนกับจรวดนำวิถี

ลูกธนูอีกลูกหนึ่งถูกยิงโดยชายวัยกลางคนซึ่งเป็นนักธนูเช่นเดียวกัน ลูกธนูได้พุ่งเข้าที่หน้าอกของมอนสเตอร์สีเขียวตัวน้อยนั้นทำให้มันตายทันที

ในขณะที่ยามสองตัวที่ประตูตายไปแล้วและแทบจะไม่มีก็อบลินอยู่ในป้อมปราการอีกต่อไป แจสเปอร์ก็วิ่งเข้าไปข้างในคนเดียวโดยใช้พรของเขาเองเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีก๊อบลินวิ่งมาที่ทางเข้าอีกและรอคอยเพื่อที่จะปิดกั้นประตูไม้ที่เอาไว้ป้องกันค่ายของก็อบลินลง

โนอาห์วิ่งไปพร้อมกับคนอื่นๆในกลุ่มโดยมีความระวังตัวเสมอเพื่อไม่ให้ศัตรูที่ไม่คาดคิดมาโจมตีนักเวทย์และนักธนูในกลุ่ม ตำแหน่งของเขาคือได้รับมอบหมายให้ดูแลผู้ถูกเลือกทั้งสองกลุ่มนี้

เมื่อผู้ถูกเลือกคนสุดท้ายเข้ามาในค่ายแจสเปอร์ก็ใช้กลไกของประตูเพื่อปิดประตูไม้อย่างรวดเร็วและป้องกันไม่ให้ก็อบลินที่ออกจากค่ายเข้ามาอีกครั้งได้อย่างง่ายดาย

เมื่อประตูปิดโนอาห์ซึ่งตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวแปลกๆบางอย่างที่มาจากทางซ้าย ด้วยมือทั้งสองข้างที่ยกขึ้นทันทีเขาเสกลูกไฟในแต่ละลูกและเตรียมพร้อมที่จะยิงทุกอย่างที่อาจเข้าใกล้พวกเขา

เมื่อหันไปที่มุมหนึ่งภายในค่ายพวกเขาก็เห็นก็อบลินสีเขียวตัวเล็กๆสามตัวที่กำลังวิ่งหาทางออกค่าย เพราะพวกมันได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากก็อบลินตัวอื่นๆที่อยู่ด้านนอกในตอนที่พวกมันถูกทรมานด้วยเปลวไฟของโนอาห์

แต่ก่อนที่โนอาห์จะขว้างลูกไฟไปที่มอนเตอร์พวกนั้นเขาก็ยกเลิกความคิดนี้อย่างรวดเร็ว

เช่นเดียวกับที่เขาเรียกลูกไฟออกมาเข้าก็ทำมันให้หายไปอย่างรวดเร็วโดยการปิดมือลงและเอื้อมไปหยิบมีดในย่ามใบเล็กที่รัดไว้ทางขาขวาของเขา เขาตระหนักได้ว่าหากเขาเผาก็อบลินที่นี่เสียงกรีดร้องของพวกมันก็จะดึงดูดความสนใจของก็อบลินที่อยู่นอกค่ายให้กลับเข้ามา และนั่นจะทำให้ความพยายามทั้งหมดที่พวกเขาทำมาต้องศูนย์เปล่า

เมื่อมองไปอีกด้านหนึ่งโนอาห์ก็ไม่เห็นว่ามีใครสังเกตเห็นเขาที่ทำแบบนั้นเช่นกัน หมายความคือไม่มีใครพยายามที่จะหยุดเขาจากการปาลูกบอลไฟใส่มอนเตอร์พวกนั้นเลย หรือก็คือพวกเขาจะปล่อยให้อาห์จัดการพวกมันอย่างแน่นอน

‘ตอนนี้มันใกล้แล้วสินะ’ โนอาห์คิดในขณะที่เขาถอนหายใจพร้อมกับความยินดีของเขาที่ปรากฏอยู่ในใจ

เมื่อก็อบลินเงอะงะทั้งสามสังเกตเห็นมนุษย์สิบห้าคนที่ทางเข้าของค่ายของพวกมัน ทั้งสามก็เริ่มวิ่งเข้าหาพวกเขาอย่างดุเดือน แต่เนื่องจากนี่เป็นการต่อสู้สามต่อสิบห้า ดังนั้นผลลัพธ์จึงออกมาอย่างชัดเจน ก็อบลินน้อยทั้งสามตัวไม่มีโอกาสที่จะกรีดร้องก่อนที่พวกมันจะตายลงทันที

แต่ก่อนที่พวกมันจะตายโนอาห์มีความสุขที่สามารถแทงหนึ่งในพวกมันได้ เพราะเนื่องจากความตายของมอนเตอร์ตัวนั้น ทำให้มีการแจ้งเตือนปรากฏขึ้นสองครั้ง และหน้าต่างสีดำก็ลอยขึ้นมาตรงหน้าของโนอาห์

[คุณได้รับ 1 ค่าประสบการณ์จากการฆ่าก็อบลิน ค่าประสบการณ์ 100/100 หน่วย]

[ยินดีด้วย! คุณได้เลื่อนขึ้นไปที่เลเวล 02 แล้ว]

เวลาสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตลอดเวลาโนอาห์นั่งอยู่บนกิ่งไม้ แต่โชคดีที่ไม่มีมอนเตอร์มาโจมตีกลุ่มของโนอาห์เลย พวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง หากพวกเขาเสียงดังเกินไปนั่นจะทำให้กลุ่มของพวกเขาเป็นจุดสนใจมากขึ้นและนั่นจะทำให้พวกเขามีปัญหาที่ไม่จำเป็นเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นหากผู้ถูกเลือกต้องการที่จะคุยกันพวกเขาจะคุยกันให้เสียงเบาที่สุดเท่าที่พวกเขาจะทำได้

“โอเค จากที่ฉันดูแล้วการจัดรูปแบบที่ดีที่สุดคือให้ผู้ถูกเลือกที่มีทักษะการโจมตีระยะใกล้ 5 คนอยู่ที่แนวหน้าและให้อีก 2 คนอยู่ที่ด้านหลังเพื่อป้องกันการโจมตีจากมอนเตอร์ระยะไกล ถ้าใครมีข้อเสนอแนะที่ดีกว่าก็สามารถบอกฉันได้ สิบห้าหัวดีกว่าหัวเดียว” แจสเปอร์พูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ในตอนท้าย ตอนนี้ทุกคนอยู่ใกล้กันมากขึ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้ยินกันโดยไม่ต้องพูดเสียงดัง

“นายมีความชำนาญในการโจมตีระยะไกลด้วยพรของนายและนายยังมีทักษะในการจัดการมอนเตอร์ด้วยมีดได้ด้วย ฉันเชื่อว่านายอยู่ข้างหลังน่าจะทำให้เราได้เปรียบเชิงกลยุทธ์มากกว่า นายโอเคไหม?” แจสเปอร์แนะนำกับโนอาห์

เห็นได้ชัดว่าโนอาห์ไม่มีปัญหากับกลยุทธ์ของแจสเปอร์ เขายังเชื่อด้วยว่านี่จะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดที่เขาสามารถทำได้กับกลุ่มที่พวกเขามี ในระหว่างการต่อสู้ครั้งล่าสุดเห็นได้ชัดว่าความสามารถของผู้ถูกเลือกที่อยู่ด้านหลังนั้นต่ำเพียงใดเมื่อจัดการกับมอนเตอร์ที่บุกเข้ามาในระยะใกล้ๆ ในขณะที่พวกเขาพักผ่อนโนอาห์ยังได้ยินผู้ถูกเลือกคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่าเขาใช้มีดเฉือนตัวเองระหว่างการต่อสู้ด้วย

นั่นเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นในผู้ถูกเลือกระดับนี้…โนอาห์อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวด้วยความผิดหวัง แต่โชคดีที่ชายคนนั้นเป็นนักเวทย์สนับสนุนที่มีประโยชน์มาก ไม่ยังงั้นเขาคงจะไม่มีประโยชน์เลย

‘ถ้าฉันอยู่ระหว่างด้านหลังและด้านหน้าฉันสามารถใช้ลูกไฟเพื่อฆ่ามอนสเตอร์จากทิศทางใดทิศทางหนึ่งได้อย่างใจเย็น และเนื่องจากผู้ถูกเลือกบางคนก็ทำตัวเป็นจุดสนใจของมอนเตอร์เป็นอย่างมาก เพราะงั้นฉันก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของฉันมากนัก’ โนอาห์คิดด้วยความพึงพอใจ

การที่เขาสามารถฆ่าก็อบลินกลุ่มเล็กๆได้สามหรือสี่กลุ่มไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถบุกไปที่ค่ายของก็อบลินได้เพียงลำพัง เพราะพลังของเขายังมีขีดจำกัด

ป้อมปราการถูกออกแบบมาให้ต่อสู้กันแบบเป็นกลุ่มใหญ่ แม้ว่าจะมีคนที่สามารถสังหารมอนเตอร์กลุ่มเล็กๆหลายๆกลุ่มได้ด้วยตัวเอง แต่เขาก็ยังมีอันตรายหากพวกเขาถูกซุ่มโจมตีโดยหลายๆกลุ่มพร้อมกัน และมันไม่คุ้มที่จะเสี่ยง

ในระหว่างการเดินทางโนอาห์เริ่มตระหนักว่าพรของแจสเปอร์มีประโยชน์ต่อกลุ่มอย่างไร แม้ว่าเขาจะเป็นหัวหน้า แต่เขาก็ยังคงทำหน้าที่เป็นหน่วยสอดแนมโดยเขาจะก้าวนำหน้าไปเพียงลำพังด้วยความว่องไวของพรของเขา

สิ่งนี้ช่วยให้ปาร์ตี้ค้นหาและกำจัดกลุ่มเล็กๆบางกลุ่มระหว่างการเดินทางได้อย่างง่ายดายและตอนนี้พวกเขาไม่ได้ตะโกนใส่กันอีกต่อไป พวกเขาจะไม่ส่งเสียงที่ไม่จำเป็น นั่นทำให้พวกก็อบลินไม่สามารถค้นหาพวกเขาได้ทันเวลานั่นทำให้พวกมันไม่สามารถเรียกกำลังเสริมได้ทัน ทำให้กลุ่มก็อบลินเล็กๆพวกนั้นถูกสังหารลงภายในเวลาไม่กี่นาที

และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอันตรายใดๆ โนอาห์ก็ไม่พลาดที่จะเผาศพก็อบลินพวกนั้น

‘เนื่องจากฉันจะไม่ได้รับประสบการณ์มากนักจากการสังหารมันเป็นกลุ่ม แต่อย่างน้อยก็อบลินพวกนี้ก็จะทำให้ฉันได้รับค่าประสบการณ์ในการพัฒนาทักษะของฉัน’

หลังจากสังหารกลุ่มเล็กๆหลายๆกลุ่มในที่สุดพวกเขาก็มาถึงรั้วไม้เล็กๆที่ส่งสัญญาณว่าพวกเขาได้มาถึงแล้ว

เมื่อมองจากระยะไกลโนอาห์จะเห็นว่าค่ายก็อบลินใหญ่กว่าที่เขาคิดไว้ ถ้าจะจัดให้อยู่ในสัดส่วนของมนุษย์อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นหมู่บ้านที่มีกระท่อมให้ก็อบลินอาศัยอยู่อย่างน้อยสองร้อยตัว

เมื่อพิจารณาว่าป้อมปราการเปิดมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์จึงไม่แปลกที่จำนวนของก็อบลินที่อาศัยอยู่ที่นั่นมีมากกว่าจำนวนกระท่อมที่จะรองรับได้

นั่นหมายความว่าพวกผู้ถูกเลือกจะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการต่อสู้ที่จะใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน และทางที่ดีที่สุดคือพวกเขาจะต้องฆ่าก็อบลินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนบุกค่ายของมัน โชคดีที่พวกเขาฆ่าก็อบลินไปแล้วเกือบ 100 ตัวนับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาในป้อมปราการ และนี่คือจำนวนก็อบลินที่โนอาห์ฆ่าคนเดียวนอกเหนือจากที่กลุ่มผู้ถูกเลือกฆ่า

ขณะที่กลุ่มคนยืนอยู่ใกล้กับค่ายชายร่างผอมที่มีใบหน้าเหมือนศพได้ปีนต้นไม้สูงและจากนั้นเขาก็เริ่มใช้พรของเขาเพื่อพยายามให้ได้มุมมองเชิงกลยุทธ์ของค่ายมากขึ้น

ชายคนนี้มีพรที่เพิ่มระยะการมองเห็นของเขาเหมือนกับการมองเห็นของนกอินทรีและนั่นทำให้เขาสามารถคาดเดาการเคลื่อนไหวของศัตรูได้เล็กน้อย สำหรับเขาราวกับว่าเขาสามารถมองเห็นอนาคตได้ในไม่กี่มิลลิวินาที แม้ว่ามันจะไม่ใช่ทักษะที่ใช้ในการรุกหรือรับ แต่พรของชายคนนี้ก็ช่วยพวกเขาทั้งในการโจมตีและป้องกัน ในการโจมตีมันจะช่วยเขาโดยการคาดเดาว่าศัตรูจะไปอยู่ในทิศทางไหน ทำให้ความแม่นยำของเขาเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ในการป้องกันเขาสามารถคาดเดาได้ว่าศัตรูจะโจมตีมาในทิศทางใดและเขามีโอกาสหลบหรือป้องกันตัวได้มากขึ้น

เมื่อเขาลงมาจากต้นไม้ชายคนนั้นก็หันไปหาแจสเปอร์และพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า

“มันแออัดกว่าที่เราคิดเล็กน้อย แต่ไม่มีอะไรที่เรารับมือไม่ได้” ชายคนนั้นหยุดชั่ววินาทีและมองไปที่โนอาห์

“ยิ่งไปกว่านั้นด้วยกำลังคนพิเศษที่เราเพิ่งได้รับมา มันจะไม่เป็นปัญหา”

ผู้ถูกเลือกที่เหลือเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายคนนั้นพูดโดยจดจำพลังทำลายล้างที่เปลวเพลิงของโนอาห์มี เพราะโนอาห์ได้แสดงให้เห็นว่าในตอนที่กลุ่มของพวกเขาจนมุม ชายหนุ่มอายุ 20 ปีคนนี้ได้เปลี่ยนสถานการณ์ตรงนั้นได้อย่างง่ายดาย นั่นทำให้ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆมองว่าโนอาห์เป็นผู้ถูกเลือกที่มีค่าที่สุดในทีม

“ขอบคุณแอริค เนื่องจากทุกอย่างเป็นไปตามที่เราคิดไว้ ฉันจึงมั่นใจว่าเราจะทำตามกลยุทธ์ที่เราคุยกันไว้ได้” แจสเปอร์กล่าวด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจในขณะที่เขามองไปที่ชายร่างผอมที่ดูเหมือนศพเดินได้ก่อนจะหันไปหาคนอื่นๆในกลุ่ม

“เราจะทำแผนที่เราวางไว้รอฉันอยู่ที่นี่ก่อน”

หลังจากพูดแบบนั้นแจสเปอร์ก็วิ่งไปที่ค่ายในขณะที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆเริ่มซ่อนตัว

โนอาห์ต้องยอมรับว่าแผนที่แจสเปอร์คิดขึ้นนั้นใช้ได้จริง พวกเขาใช้ความผิดที่พวกเขาได้รับในตอนแรกทำให้มันเป็นข้อได้เปรียบสำหรับกลุ่ม

ไม่นานหลังจากนั้นโนอาห์ที่ซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังเร่งรีบมาในทิศทางที่แจสเปอร์ได้จากไป

แจสเปอร์วิ่งมาด้วยความเร็วสูงพร้อมกับก็อบลินคลั่งที่พยายามวิ่งไล่ตามเขาอย่างสิ้นหวัง

เมื่อแจสเปอร์มาถึงกลุ่มเขาไม่จำเป็นที่จะต้องให้สัญญาณใดๆ พวกเขาเริ่มโจมตีใส่ก็อบลินทั้งสามที่กำลังวิ่งอยู่

โนอาห์โผล่ออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับลูกไฟในมือทั้งสองข้างสองเขา เขาปาลูกไฟไปที่หนึ่งในนักรบก็อบลินที่วิ่งตรงเข้ามา นั่นทำให้มันก็เริ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างสิ้นหวัง

เมื่อหนึ่งในก็อบลินสังเกตเห็นลูกไฟประหลาดบินมาหามันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อเปลวไฟประหลาดสัมผัสกับผิวหนังของมัน ผิวหนังของมันก็เริ่มละลายราวกับว่าทำจากขี้ผึ้งสีเขียว เนื้อของมอนเตอร์เริ่มไหม้ในพริบตา และก่อนที่สมองเล็กๆของก็อบลินจะประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นได้ มันก็เสียการควบคุมในการบอกให้มันวิ่งหนีไปแล้ว นั่นเป็นเพราะความรู้สึกเจ็บปวดอย่างบ้าคลั่งที่มันรู้สึกได้ในเวลานั้น

ลิ้นสีม่วงกระตุกพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนของก็อบลินกำลังกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง มันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อดับเปลวไฟที่ดูเหมือนจะฉีกส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของมันออกไป

ก็อบลินอีกสองตัวใช้เวลาสักครู่เพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนของพวกมัน เพราะในตอนแรกพวกมันกำลังวิ่งไล่ตามเหยื่อมนุษย์ที่บอบบางและอ่อนแอแต่รวดเร็ว แต่ในตอนนี้เพื่อนของมันกำลังดิ้นอยู่ที่พื้นพร้อมกับตะโกนคำสาปทุกรูปแบบที่เคยได้ยินในภาษาของก็อบลิน

ก็อบลินตัวหนึ่งซึ่งถือปืนยิงลูกดอกอยู่ในมือมองไปด้วยความตกใจและเห็นมนุษย์ประหลาดออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับเปลวไฟประหลาดที่กำลังลุกอยู่ในมือ สำหรับก็อบลินพวกนั้นการปรากฏตัวของมนุษย์ประหลาดตัวนั้นไม่ได้คุกคามพวกมันเลย แต่เปลวไฟที่กำลังลอยอยู่ในมือของมนุษย์คนนั้นพร้อมกับรอยยิ้มแบบซาดิสต์เล็กๆของเขา ทำให้มีคำเดียวที่ผุดขึ้นมาในความคิดของก็อบลินคือ…ปีศาจ

โนอาห์มองไปที่แจสเปอร์และถามว่า

“นายอยู่กับกลุ่มนี้มาตั้งแต่ต้นนายคิดว่ากลุ่มนี้มีโอกาสที่จะชนะในการบุกค่ายก็อบลินเป็นยังไง?”

เมื่อได้ยินคำถามนี้แจสเปอร์วางมือบนคางของเขาขณะที่เขาครุ่นคิด

“จริงๆแล้วกลุ่มนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งในเรื่องของประสบการณ์การต่อสู้หรือพรอันทรงพลัง ฉันอยากจะบอกว่าการบุกค่ายก็อบลินโดยไม่มีกลยุทธ์ที่ดีจะทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อยสองคนและนั่นเป็นกรณีที่เรามองโลกในแง่ดีที่สุด”

“นายเห็นแล้วว่าพรของฉันคืออะไร ฉันไม่มีอะไรจะอธิบายเกี่ยวกับเปลวไฟของฉันได้มากกว่านี้แล้วและพรของนายทำอะไรได้?” โนอาห์กล่าวโดยรักษาน้ำเสียงที่สงบ เขาไม่ต้องการเปิดเผยพรของตัวเองมากไปกว่าที่ควร เขาปล่อยให้แจสเปอร์ตั้งสมมติฐานของตัวเองเกี่ยวกับสิ่งที่เขาเห็นและถือว่ามันเป็นจริง

“ฉันยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการจัดระดับพรของนาย เพราะมันต่างจากที่อาบิเกลบอกกับฉัน เชาบอกว่านายมีพรระดับ F แต่ถ้าดูจากพลังและอำนาจการทำลายล้างของมัน มันมีความแข็งแกร่งพอๆกับพรระดับ C ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับ E สูงสุด พูดตามตรงฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้มากที่จะบอกว่านายอยู่ระดับ F เอาล่ะพูดถึงพรของฉัน ฉันได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งสายลมและอย่างทีรู้ฉันได้รับพรระดับ C พรของฉันจะเพิ่มความคล่องตัวของฉันเป็นสัดส่วนพลังงานที่ฉันใช้ไป ฉันสามารถเพิ่มความเร็วได้สูงสุดถึงสองเท่า” แจสเปอร์ตอบด้วยท่าทางภาคภูมิใจ พรของเขาเป็นที่มาของความภาคภูมิใจมาโดยตลอด เขารู้ว่าถ้าเขาฝึกฝนอย่างหนักเขาจะกลายเป็นผู้ถูกเลือกระดับ C ในอนาคตและได้รับหลายพันดอลลาร์จากความแข็งแกร่งนั้น

โนอาห์แปลกใจที่แจสเปอร์มีพรระดับ C แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น น่าเสียดายที่พรของแจสเปอร์ส่งผลต่อความเร็วของเขาอย่างมาก หากตอนนี้โนอาห์ขอกริชเป็นค่าตอบแทนแม้ว่าแจสเปอร์จะมอบให้เขาพวกเขาก็จะอ่อนแอลงอย่างมากในการต่อสู้ที่จะมาถึง เนื่องจากหากไม่มีอาวุธที่ทรงพลังแจสเปอร์ก็จะไม่มีประโยชน์มากนัก ซึ่งแตกต่างจากโนอาห์ที่แม้จะมีมีดที่อ่อนแอกว่า แต่ก็ยังมีเปลวไฟของตัวเองที่จะสร้างความเสียหายและมีส่วนร่วมในการต่อสู้ได้ เขาจึงปล่อยเรื่องของค่าตอบแทนไปก่อน พวกเขาคุยกันจนกระทั่งกลุ่มของพวกเขามาถึงลำธาร

“เอาล่ะพวกเรามาพักผ่อนที่นี่สักสองชั่วโมงเถอะ ฉันเชื่อว่าในเวลานั้นทุกคนจะสามารถฟื้นฟูทั้งความอดทนทางร่างกายและพลังงานที่ใช้ไปกับพรของตัวเองดังนั้นอย่าเสียเวลานี้ไป” แจสเปอร์กล่าว เป็นเสียงที่เป็นมิตรกับกลุ่มอีกครั้ง

นี่เป็นลักษณะที่ดีที่โนอาห์สังเกตเห็นในชายที่อายุมากกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี แจสเปอร์แม้ในขณะที่เขากำลังจะออกคำสั่งก็ไม่ได้ใช้น้ำเสียงเผด็จการเขาเหมือนให้คำแนะนำกับกลุ่มเท่านั้น นั่นคือความแตกต่างระหว่างเจ้านายและผู้นำ โนอาห์รู้ดีว่าเขาคงไม่สามารถถ่ายทอดกลิ่นอายของความเป็นผู้นำที่ผ่อนคลายซึ่งจะทำให้คนแปลกหน้าอยากติดตามเขาได้ บางทีอย่างมากที่สุดเขาจะสามารถทำให้ผู้คนติดตามเขาด้วยความหวาดกลัวแทน

เพราะเขาได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดีจากคนอื่นๆมาโดยตลอด มุมมองของเขาเกี่ยวกับคนส่วนใหญ่ของพวกเขานั้นเป็นกลุ่มคนที่หยาบคายและขี้ขลาดที่เอาแต่คิดถึงผลประโยชน์ของตัวเอง โนอาห์ก็ไม่ต่างจากพวกเขา เขามักจะใส่ใจเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่าความสุขสบายของคนแปลกหน้า แต่เขาก็ไม่ได้ผลีผลามอย่างที่คนแปลกหน้าพวกนี้ทำ เพราะเขาไม่ได้ไปชี้นิ้วต่อว่าหรือวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเพียงเพราะนั่นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุมของพวกเขา

ทั้งกลุ่มนั่งอยู่รอบๆลำธาร แต่ละคนก็หยิบเนื้อแห้งและแท่งพลังงานจากกระเป๋าของตัวเองมากิน ในขณะที่ผู้วิเศษใช้บางอย่างเช่นการทำสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังงานที่ใช้ในการต่อสู้ คนอื่นๆก็นอนหลับโดยหลับตาเพื่อฟื้นพลัง ผู้ถูกเลือกแต่ละคนได้พัฒนากลยุทธ์ในการฟื้นฟูพลังงานของตนเองเมื่อเวลาผ่านไปหลังจากการรุกรานป้อมปราการมากมาย คนเดียวที่ไม่ต้องการเรื่องแบบนี้คือโนอาห์เนื่องจาก เปลวไฟแห่งนรกของเขาใช้ร่างกายและบาปเป็นเชื้อเพลิง สำหรับพลังงานของเขานั่นตราบใดที่เขาเผาร่างของมอนเตอร์ที่เขาฆ่าไปพลังงานของเขาก็จะฟื้นตัวทันที

ถ้าผู้ถูกเลือกคนอื่นรู้เรื่องนี้มีโอกาสมากที่พวกเขาจะกระอักเลือดด้วยความอิจฉา ไม่มีใครเคยคิดฝันว่าจะไม่มีวันหมดพลังงานในป้อมปราการ แต่ยังไงโนอาห์ก็ยังคงหมดพลังงานในระหว่างการต่อสู้หากเขาไม่สามารถเผาได้สักร่างเดียวในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นเพราะว่าเขาโจมตีไม่โดนหรือร่างกายของมอนเตอร์สามารถต้านทานเปลวไฟได้มากกว่าปกติ เหมือนกับการต่อสู้กับราชาแห่งหนูในป้อมปราการระดับ F

ถึงอย่างนั้นการที่ไม่จำเป็นต้องฟื้นฟูพลังงานก็เป็นสิ่งที่ผู้ถูกเลือกทุกๆคนใฝ่ฝันถึง

ในขณะที่โนอาห์นั่งอยู่บนต้นไม้โดยใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่สูงขึ้นเพื่อเฝ้าระวังการโจมตีของศัตรูที่อาจเกิดขึ้นและพยายามพักผ่อนจิตใจสำหรับการต่อสู้ครั้งต่อไป เขาก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเขา เมื่อเห็นการแสดงออกของเธอโนอาห์ก็ถอนหายใจเล็กๆออกมาและเขาก็คิดว่า ‘นี่คือปัญหา’

เมื่อผู้หญิงคนนี้เห็นว่าโนอาห์มองผ่านเธอไปในขณะที่เขานั่งอยู่บนต้นไม้และทำเหมือนกับว่ากำลังจะพูดอะไรกับเธอแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อเธอเห็นว่าเขาปฏิบัติต่อเธอราวกับว่าเขาไม่ได้เห็นเธออยู่ในสายตา ความโกรธของเธอที่ถูกระงับไว้ก็ระเบิดออกมา

“นายซ่อนตัวอยู่ในป่าตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาใช่ไหม ทำไมนายถึงไม่มาช่วยเราก่อนหน้านี้ พวกเราเกือบจะเสียคนในกลุ่มไปบางส่วนแล้ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นโนอาห์เกือบจะสูญเสียใบหน้าโป๊กเกอร์ที่เขาสวมอยู่ตลอดเวลา เขาเปลี่ยนจากความไม่สนใจไปเป็นความประหลาดใจว่าทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้ไร้ยางอายขนาดนี้ ในตอนแรกเธอได้ทำให้เขาอับอาบด้วยการบอกว่าเขาอ่อนแอและมันจะทำให้กลุ่มล่าช้า แต่ตอนนี้เธอหน้าด้านพอที่จะบอกว่ามันเป็นความผิดของเขาที่ทำให้พวกเขาเกือบแพ้ในการต่อสู้?

โนอาห์มองไปที่ผู้หญิงคนนั้นด้วยท่าทางเย็นช้าราวกับว่าเขากำลังมองไปที่คนงี่เง่าแล้วพูดว่า

“เธอมาที่นี่เพื่อพูดเรื่องนี้จริงๆหรอ ฉันเชื่อว่าถ้าความจำของเธอไม่ได้สั้นเท่าแมลง เธอน่าจะจำได้ว่าใครเป็นคนไม่ให้ฉันเข้าป้อมปราการมาพร้อมกับกลุ่ม แต่ลองมองไปรอบๆดูสิว่าคนที่เหลือเขาจำไม่ได้เหมือนเธอหรือเปล่า?”

ในขณะที่กลุ่มเงียบมากเพื่อที่จะได้พักผ่อนแม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้พูดคุยกันด้วยเสียงที่ดัง แต่ทุกคนก็ยังสามารถได้ยินการสนทนาของพวกเขาได้ ในตอนแรกเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดบางคนในกลุ่มเริ่มไม่พอใจที่โนอาห์ไม่มาช่วยพวกเขาในตอนเริ่มต้นของการบุก แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูดพวกเขาก็จำได้ว่าใครคือผู้กระทำผิดตัวจริงที่ทำให้เขาไม่มาด้วย

พวกเขารู้ดีว่าถ้าพวกเขามีผู้ถูกเลือกที่มีทักษะเทียบเท่ากับโนอาห์ในกลุ่มพวกเขาจะไม่ต้องใช้พลังงานมากนักในการต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องฟื้นตัวเป็นเวลานานก่อนที่จะบุกเข้าไปในค่ายของศัตรูและไม่ต้องเสียเวลามากพอๆกับที่พวกเขาเสียไปในตอนนี้

นักรบที่ได้รับบาดแผลและรอยถลอก นักเวทย์และนักธนูที่โดนลูกดอกอาบยาพิษทำให้พวกเขาอ่อนแอ พวกเขาทุกคนเริ่มตระหนักว่าหากพวกเขาร่วมมือกับโนอาห์ตั้งแต่เริ่มการบุกเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้น

เมื่อผู้หญิงคนนั้นมองไปรอบๆและเห็นสายตาที่คนในกลุ่มส่งมาให้เธอ เธอก็รู้สึกอับอาย เธอเป็นผู้ถูกเลือกที่อยู่ได้นานที่สุดในการต่อสู้ แต่นั่นเป็นเพียงเพราะเธอใช้พลังงานเพียงเล็กน้อยในการควบคุมลูกธนูของเธอเท่านั้น เธอนำลูกธนูเข้ามาในป้อมปราการเป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้เธอใช้ลูกธนูที่เธอนำมาเกือบจะหมดก่อนที่เธอจะได้บุกไปที่ค่ายของก็อบลินเสียอีก

เนื่องจากโนอาห์เป็นคนเงียบๆมาตลอด เขามักจะโดนต่อว่าหรือสาปแช่งตลอดที่เขาอยู่ในป้อมปราการระดับ F และตอนนี้เธอคิดว่าเขาจะเงียบและทำหน้าที่เป็นที่ระบายอารมให้กับความผิดหวังของเธอเอง แต่สิ่งนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เธอคาดหวังทันที โนอาห์ไม่เพียงแต่นั่งนิ่งฟังคำพูดของเธอเท่านั้น เขายังตอบโต้กลับและทำให้เธอกลายเป็นศัตรูของคนทั้งกลุ่ม

ตอนแรกเธอตัดสินว่าเขาเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่การถูกตำหนิจากเขาอีกครั้งต่อหน้าคนทั้งกลุ่มทำให้ผู้หญิงคนนี้ประเมินโนอาห์ใหม่และตระหนักว่าลูกแกะที่เธอเห็นเมื่อไม่นานมานี้ได้เผยให้เห็นแล้วว่าเขาไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาได้กลายเป็นหมาป่าที่ซ่อนตัวอยู่ในชุดแกะเพื่อรอโจมตีใครก็ตามที่เข้ามาใกล้เขา

‘ฉันควรจะปล่อยเรื่องนี้ไปและใช้ชีวิตต่อไปเงียบๆ…’ ผู้หญิงคนนั้นคิดในขณะที่เธอเห็นความเย็นชาที่อยู่ในดวงตาของโนอาห์ เขาแตกต่างไปจากเดิมมาก เขาไม่มีใบหน้าที่หวาดกลัวในตอนแรกที่เธอได้เจอกับเขา เธอกลัวที่จะโดนผู้ชายคนนี้ฆ่า

ในขณะที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆคิดว่าโนอาห์กำลังสนุกกับการได้เห็นความทุกข์ทรมานของก็อบลิน แต่ในตอนนี้เขากำลังควบคุมตัวเองไม่ให้เริ่มหัวเราะออกมาดังๆ

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 01]

[ประสบการณ์: 88/100]

[HP: 10/10]

[ความแข็งแรง: 10]

[ความคล่องตัว: 10]

[ความแข็งแกร่ง: 10]

[สกิว:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 02 : 15/500

คำอธิบายสกิว: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

[**หลังจากเปลวไฟจากนรกถึงเลเวล: 02 ร่างกายของผู้ใช้จะปรับตัวให้เข้ากับเปลวไฟได้ดีขึ้นและการควบคุมมันเป็นธรรมชาติมากขึ้นเล็กน้อย นอกจากนี้ยังสามารถทำให้มนุษย์ได้รับการเผาไหม้บาปเพื่อให้บริสุทธิ์ได้ มนุษย์ที่มีบาปน้อยไม่สามารถชำระให้บริสุทธิ์ได้**]

เมื่อดูคำอธิบายภายใน [**] ที่ระบบให้เมื่อสกิลได้รับการวิวัฒนาการ โนอาห์ถูกล่อลวงอย่างมาก เขาต้องการที่จะเผามนุษย์บางคนเพื่อดูว่าเขาจะได้รับประสบการณ์หรือไม่หรือเขาจะได้รับอย่างอื่นแทน น่าเสียดายที่เขายังไม่มีเป้าหมายที่จะทดสอบสิ่งนี้ในตอนนี้ แต่ในอนาคตยังไม่แน่สำหรับเขา

ในขณะที่โนอาห์สงสัยว่าเขาจะได้รับอะไรเมื่อเขาขึ้นไปที่เลเวล 02 เมื่อร่างก็อบลินได้เผาไหม้เสร็จแล้ว เขาก็นึกได้ว่ายังมีค่าประสบการณ์อีกมากมายให้เขาได้ดูดซับจากก็อบลินที่อยู่ในดันเจี้ยนนี้ น่าเสียดายโนอาห์ก็รู้สึกท้อแท้เมื่อเขาเห็นจำนวนค่าประสบการณ์ที่เขาต้องใช้ในการพัฒนาสกิลไปถึงเลเวล 03 หากสกิลยังคงต้องการค่าประสบการณ์เพียง 100 แต้มมันก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่โนอาห์จะทำได้ แต่ตอนนี้สกิลของเขาต้องการมากกว่าเดิมถึง 5 เท่า โนอาห์รู้ว่าถ้าเขาต้องการแข็งแกร่งขึ้น เขาจะต้องบุกป้อมปราการอีกเป็นจำนวนมาก

‘บางทีฉันควรมุ่งเน้นไปที่การบุกป้อมปราการมากกว่านี้เพื่อให้ฉันแข็งแกร่งขึ้นก่อนที่ฉันจะเริ่มกังวลเกี่ยวกับการหาเงินเป็นจำนวนมาก เพราะมันจะไม่เป็นผลดีเลยถ้าฉันจะทำเงินได้เป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเอง เงินจำนวนนั้นอาจจะทำให้ชีวิตของฉันและครอบครัวของฉันตกอยู่ในความเสี่ยง’ โนอาห์คิด

ในขณะที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆพักผ่อนโนอาห์ก็ไม่สนใจต่อพวกเขาและไปหาก็อบลินที่ตายแล้วแต่ละตัวเพื่อเผามัน เมื่อเรียกเปลวไฟอีกครั้งโนอาห์รู้สึกว่ามันง่ายกว่าที่จะควบคุมเปลวไฟเพื่อให้พวกมันทำตามที่เขาคิดไว้ แม้แต่ลูกไฟที่เขาเคยมีปัญหาในการควบคุมให้มันมั่นคงตอนนี้มันเปลี่ยนไปจากเดิมเพราะมันไม่กระพริบเหมือนกับว่ามันจะแตกออกเมื่อไหร่ก็ได้ เขายังห่างไกลจากคำว่าเชี่ยวชาญอีกมากที่จะสร้างเป็นคำพูดเหมือนเปลวไฟของระบบ แต่นี่เป็นหนึ่งในการเริ่มต้นอย่างแน่นอน

โนอาห์รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิที่เปลวไฟสร้างขึ้นนั้นไม่ได้สูงขึ้นพร้อมกับสกิลที่สูงขึ้น แต่เขารู้ว่าต้องทำยังไงทักษะนี้ถึงจะแข็งแกร่งขึ้นได้ มันจะแข็งแกร่งขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมันได้ดูดซับจากบาปบริสุทธิ์เท่านั้น กล่าวคือถึงแม้ว่าทักษะนี้จะเพิ่มระดับขึ้น มันก็จะไม่ไดแข็งแกร่งขึ้นในทันที แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวังเพราะเขารู้ดีว่าอุณหภูมิในปัจจุบันที่เปลวไฟของเขาปล่อยออกมาในตอนนี้นั้นสูงเป็นสองเท่าเมื่อเขาได้ใช้พลังครั้งแรกในป้อมปราการระดับ F

เขาไม่มีทางทดสอบได้ แต่โนอาห์เชื่อว่าหากเขาต้องเผชิญหน้ากับบอสระดับพิเศษของป้อมปราการระดับ F อีกครั้งเปลวไฟในปัจจุบันของเขาจะทำให้การต่อสู้ง่ายขึ้นเนื่องจากพวกเขาจะสามารถเจาะแนวป้องกันของมอนสเตอร์ตัวใหญ่ได้ดีขึ้นมาก ไม่ใช่ว่าเขาสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดได้อย่างง่ายดาย แต่แทนที่จะมีผู้เสียชีวิต 11 คนในกลุ่มอาจมีเพียง 7 หรือ 8 คนเท่านั้นที่จะตาย

กลุ่มที่เหนื่อยล้ารอบตัวโนอาห์มองเขาราวกับว่าเขาเป็นคนบ้า แต่โนอาห์มีข้อแก้ตัวที่เตรียมไว้สำหรับพวกเขาแล้ว เขาไม่สนใจว่าผู้คนจะคิดอย่างไรกับเขา แต่มันจะเป็นปัญหามากสำหรับกลุ่มที่คิดว่าพวกเขามีโรคจิตอยู่ในกลุ่มดังนั้นหลังจากจุดไฟเผาศพก็อบลินตัวสุดท้ายโนอาห์ก็หันไปหาคนอื่นๆที่รวมตัวกันและพูดออกมาดังๆว่า

“เมื่อพวกนายไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อสู้ สิ่งที่ดีที่สุดที่ต้องทำคือลบร่องรอยของการต่อสู้ครั้งนี้และออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด เราไม่รู้ว่าพวกมันจะกลับมาพร้อมกับกำลังเสริมหรือเปล่า ฉันคิดว่าพวกเราควรจะตั้งค่ายและพักผ่อน ตอนที่ฉันออกล่าฉันพบว่ามีลำธารอยู่ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ถ้าเราเดินจากที่นี่ประมาณ 25 นาที”

แจสเปอร์ตระหนักดีถึงสถานการณ์ที่กลุ่มผู้ถูกเลือกอยู่ในตอนนี้ หากพวกเขาพยายามบุกค่ายก็อบลินมันก็ไม่ต่างอะไรกับการแสวงหาความตายของตัวเอง

“นายพูดถูกฉันคิดว่าทุกคนควรพักผ่อนให้เพียงพอ เราจะเดินทางอีก 25 นาทีในตอนนี้เพื่อที่เราจะไปตั้งแคมป์ใกล้ลำธารที่นายพูดถึงเพื่อพักผ่อนที่นั่น เราจะสร้างกลยุทธ์ที่ดีกว่าเพื่อเอาชนะป้อมปราการนี้ เราจะไว้วางใจให้นายนำทางโนอาห์”

ในบรรดากลุ่มผู้ถูกเลือกส่วนใหญ่ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นและลุกขึ้นเพื่อไปที่ลำธารเพื่อพักผ่อน ในขณะที่กลุ่มเล็กๆเห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่มคนที่ใกล้เคียงที่สุดกับผู้หญิงที่ตะโกนว่าต่อหน้าโนอาห์ แม้ว่าพวกเขาจะลุกขึ้นยืนแต่พวกเขาก็แสดงชัดเจนมากถึงความไม่พอใจที่พวกเขารู้สึกว่าต้องเชื่อฟังบุคคลที่มีพรที่พวกเขาคิดว่าอ่อนแอกว่าตัวเอง

“ถ้าฉันมีพลังเต็มที่ฉันก็สามารถเผาก็อบลินพวกนั้นให้ตายได้เหมือนกันฉันก็แค่เหนื่อยแล้วเท่านั้นแหละ ถ้าฉันไม่เหนื่อยฉันอาจจะเผาได้เร็วกว่าเขาด้วยซ้ำ…” ชายคนหนึ่งจากกลุ่มที่ไม่พอใจพึมพำภายใต้ลมหายใจของเขา

โนอาห์ได้ยินชัดเจนว่าชายคนนั้นพูดอะไร แต่เขาไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าชายคนนี้คิดจะทำหรือไม่ทำอะไร เหตุผลส่วนใหญ่ที่ทำให้ผู้ถูกเลือกตายในป้อมปราการไม่ใช่ความผิดของมอนเตอร์ แต่เป็นความโง่เขลาของผู้ถูกเลือกเอง

ในขณะที่พวกเขากำลังเดิน ก็มีเสียงน่าสงสัยเข้ามาใกล้เขาจากด้านหลัง คนๆนั้นคือผู้ถูกเลือกคนหนึ่งที่เดินตามเขามา

“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการช่วยพวกเรา ฉันขอโทษอีกครั้งสำหรับการกระทำที่เราทำกับนายก่อนที่การบุกรุกจะเริ่มขึ้น ฉันหวังว่าฉันจะสามารถชดเชยได้ในอนาคต” แจสเปอร์กล่าวเมื่อเขาเข้าใกล้โนอาห์มากพอ ขณะที่โนอาห์กำลังเดินนำกลุ่มคนเดียวอยู่ด้านหน้า

เมื่อโนอาห์ได้ยินแจสเปอร์พูดถึง “ค่าตอบแทน” เขาก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น แต่ยังคงมีสีหน้าไม่สนใจ เขาหันไปหาแจสเปอร์และมองเขาขึ้นลง

เมื่อแจสเปอร์รู้สึกถึงการมองของโนอาห์เขาก็รู้สึกหนาวสั่นไปที่กระดูกสันหลังของเขาเล็กน้อย ในใจของเขาบอกว่าเขาไม่ควรจะพูดแบบนั้นกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขา แต่มันสายไปแล้วเขาพูดไปแล้ว และเขาไม่สามารถถอนสิ่งที่เขาพูดได้

จากสิ่งที่โนอาห์มองเห็นแจสเปอร์มีอุปกรณ์คุณภาพสูงทั้งชุดเกราะและอาวุธ ที่กริชเล็กๆพวกมันมีแสงสีเหลืองอ่อนเปล่งออกมา โนอาห์รู้ว่านี่ไม่ใช่กริชธรรมดาแต่เป็นกริชที่ได้รับพรมาแล้ว

ป้อมปราการไม่ได้ห้ามมนุษย์ให้นำสิ่งที่พบภายในออกไป หากโนอาห์ต้องการเขาสามารถใช้ดาบสนิมของก็อบลินและนำมันออกไปได้ แต่วัสดุนั้นอ่อนแอมากและมีคุณภาพต่ำจนไม่คุ้มค่า เมื่อพูดถึงป้อมปราการระดับสูงอาวุธที่ถูกทิ้งโดยมอนสเตอร์ภายในนั้นมีคุณภาพสูงกว่ามาก

ช่างตีเหล็กของสหพันธ์มนุษย์บนโลกทุกคนเริ่มศึกษาโลหะที่จะนำมาทำเป็นอาวุธของมนุษย์ เพราะพวกเขาสามารถนำอาวุธที่แข็งแกร่งและทนทานนี้ออกจากป้อมปราการได้ และในเวลาไม่กี่ปีพวกเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ พวกเขาหลอมแกนของออร์คหรือเขี้ยวของโทรลล์หิมะที่มนุษย์ค้นพบและสร้างอาวุธและชุดเกราะใหม่ๆเพื่อให้มนุษย์ได้ใช้ในการบุกป้อมปราการ

ยิ่งโลหะถูกนำมาจากป้อมปราการระดับสูงเท่าใดช่างตีเหล็กจะทำงานกับมันได้ยากขึ้น แต่คุณภาพของไอเทมก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

โนอาห์รู้ว่าเขากำลังมองไปที่วัตถุที่ทำจากโลหะเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่มีคุณภาพมากนัก แต่กริชนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า “โลหะที่ได้รับพร” ทำให้มันเป็นอาวุธที่ได้รับพรมาแล้ว

เมื่อนึกถึง “ค่าตอบแทน” โนอาห์ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวทันที…

ชายที่ตะโกนเรียกโนอาห์เพื่อขอความช่วยเหลือนั้นแท้จริงแล้วคือผู้นำของกลุ่ม เขาชื่อแจสเปอร์อายุ 22 ปีซึ่งแม้จะอายุค่อนข้างน้อย แต่ก็มีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับสูงสุดของระดับ E จนเกือบจะถึงระดับ D แล้ว เพราะตั้งแต่แรกเขาได้ปลุกพรของเขาให้ตื่นขึ้นด้วยพรระดับ C ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่มีชื่อเสียงขนาดใหญ่ก็ตาม เขามาจากครอบครัวที่ยากจน แต่เขาประสบความสำเร็จในชีวิตของเขาจากความพยายามของตัวเองเขาจึงไม่ได้มีความเย่อหยิ่งแบบที่ผู้ถูกเลือกระดับสูงส่วนใหญ่มี

นั่นทำให้เขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆได้เกือบทั้งหมด เขาเคยมีส่วนร่วมในป้อมปราการหลายแห่ง หลายๆคนจำเขาได้จากพรระดับ C ของเขา และเขายังเคารพผู้ถูกเลือกที่อ่อนแอกว่า เขาปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ด้วยลักษณะนี้ทำให้แจสเปอร์เป็นที่จดจำและเป็นผู้นำในการบุกป้อมปราการเกือบทุกครั้งที่เขาเข้าร่วม

เมื่อแจสเปอร์เห็นโนอาห์ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับรอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อยบนชุดลายพรางสีเขียวของเขา แจสเปอร์ก็สรุปได้อย่างรวดเร็วว่าผู้ถูกเลือกคนนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่เขามอง เนื่องจากเขารู้ดีว่าการเข้าไปในป้อมปราการคนเดียวนั้นยากเพียงใด และการออกมาจากที่นั่นโดยไม่ได้รับบาดเจ็บถึงแม้ว่าจะซ่อนตัวนั่นแสดงว่าเขาไม่ธรรมดาแน่ๆ เพราะถ้าหากบุคคลนั้นไม่มีทักษะการซ่อนตัวที่ยอดเยี่ยมโอกาสที่มอนเตอร์บางกลุ่มจะพบเขาก็จะสูงมากเช่นกัน

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าผู้ถูกเลือกคนนี้ไม่ได้ง่าย แจสเปอร์จึงตะโกนเรียกเขาเพื่อขอความช่วยเหลือโดยหวังว่าเขาจะสร้างปาฏิหาริย์บางอย่างโดยที่ชายคนนี้จะสามารถช่วยกลุ่มออกจากสถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเขาได้ เพราะถ้ามันยังคงดำเนินต่อไปเหมือนเดิมบางทีชีวิตของคนบางคนอาจจะอาจจะหมดลงตรงนี้ในอีกไม่นาน

เมื่อเขาเห็นว่าผู้ถูกเลือกคนนี้กำลังวิ่งมาหาพวกเขา แจสเปอร์ก็ประหลาดใจและตื่นเต้นกับความช่วยเหลือที่พวกเขาอาจได้รับ แต่เหตุการณ์มันแตกต่างจากที่แจสเปอร์จินตนาการไว้คือผู้ถูกเลือกไม่ได้ยกอาวุธใดๆขึ้นมา แต่เขากำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยมือเปล่าของเขา

โดยปกติผู้ถูกเลือกที่ไม่ได้ใช้อาวุธจะเป็นนักเวทย์ แต่เนื่องจากความสามารถของนักเวทย์มักจะสามารถร่ายได้จากระยะไกลเท่านั้นพวกเขาจึงไม่สามารถรต่อสู้ด้วยมือเปล่าได้

ไม่กี่วินาทีต่อมาแจสเปอร์คิดว่าชายคนนี้เป็นคนงี่เง่าและเสียใจที่ตะโกนเรียกเขา ถ้าแจสเปอร์รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรบางอย่างเช่นวิ่งตรงไปหามอนเตอร์และโจมตีพวกมันด้วยหมัด แจสเปอร์จะไม่ตะโกนเพื่อให้ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายโดยไม่จำเป็น

แต่เหตุการณ์ตรงหน้าก็ทำให้แจสเปอร์ประหลาดใจ เมื่อโนอาห์เข้าใกล้มอนเตอร์มากพอเขาจึงรวบมือทั้งสองข้างเข้าหากันและเปิดฝ่ามือออก ทันใดนั้นเปลวไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งออกมาจากมือของเขา เขาปาสิ่งที่อยู่ในมือของเขาไปที่ก็อบลินแปดตัวที่กำลังพยายามโจมตีนักรบมนุษย์อย่างเมามัน เปลวไฟนั่นพุ่งออกไปราวกับว่ามันสามารถกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางทางได้

ในกลุ่มผู้ถูกเลือกนี้มีผู้ถูกเลือกระดับ E ที่มีพรแห่งไฟเช่นกัน แต่สิ่งที่โนอาห์ใช้แตกต่างจากเปลวไฟของ ผู้ถูกเลือกระดับ E ที่เผามอนสเตอร์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทันทีที่เปลวไฟนี้สัมผัสกับก๊อบลินมันจะเริ่มลุกเป็นไฟด้วยความเร็วที่รวดเร็วเป็นอย่างมาก

ทันใดนั้นจากการต่อสู้ในตอนแรกที่มีแต่เสียงกรีดร้องมากมายจากกลุ่มมนุษย์และเสียงจากใบมีดที่ชนกัน ตอนนี้กลับมีอีกเสียงปรากฏขึ้นมานั่นคือเสียงกรีดร้องจากก็อบลินทั้งแปดตัวที่กำลังกลิ้งอยู่ที่พื้นเพื่อที่จะดับไฟที่กำลังลุกไหม้อยู่ที่ตัวมัน มันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง มันไม่สนใจอย่างอื่นอีก มันทำเพียงพยายามดับไฟที่กำลังลุกไหม้ตัวมันอยู่ถึงแม้มันจะต้องเสียแขนหรือขาของมันไปก็ตาม

ทันใดนั้นการต่อสู้ทั้งหมดก็หยุดลง ทั้งมนุษย์ที่ตื่นตะลึงและก็อบลินที่หวาดกลัวกับการเห็นความทุกข์ทรมานที่พรรคพวกของพวกมันพบเจอ

ในขณะที่มนุษย์ถูกแช่แข็งด้วยความตกตะลึงหลังจากเห็นความแข็งแกร่งของเปลวไฟและก็อบลินที่หวาดกลัวโดยไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป โนอาห์ถือโอกาสเอามีดออกจากถุงที่มัดไว้ที่ขาขวาของเขาและฟันออกไปแปดครั้งในเวลาไม่กี่วินาที นั่นทำให้เขาฆ่าก็อบลินที่กำลังกลิ้งอยู่บนพื้นทั้งหมดทันที

‘ตอนที่ฉันออกล่าคนเดียวฉันไม่ต้องกังวลเรื่องการแบ่งปันค่าประสบการณ์ แต่ตอนนี้มีคนอื่นๆที่เข้าร่วมในการต่อสู้ ฉันไม่สามารถปล่อยให้ค่าประสบการณ์พวกนี้สูญเปล่าได้’ โนอาห์คิดหลังจากฆ่าก็อบลินเหล่านี้

เมื่อพวกก็อบลินที่ถือปืนยิงลูกดอกตระหนักว่านักรบที่อยู่ข้างพวกมันเสียชีวิตแล้ว ในที่สุดพวกมันก็เข้าใจว่าถึงเวลาที่ต้องหลบหนีจากที่นั่นเพราะพวกมันไม่สามารถฆ่ามนุษย์เหล่านี้ได้ เพราะตอนนี้มีปีศาจอยู่กับพวกเขาด้วย

เมื่อเห็นก็อบลิน 3 ตัวพร้อมปืนยิงลูกดอกกำลังหลบหนี ไม่มีใครนอกจากโนอาห์คิดจะวิ่งตามพวกมันเพราะพวกเขาต่อสู้กันนานกว่า 50 นาทีโดยที่พวกเขาไม่ได้หยุดเลย

เมื่อไม่มีก็อบลินตัวอื่นปรากฏตัว ผู้ถูกเลือกทั้ง 14 คนก็ไม่พูดอะไรอีก พวกเขานั่งหรือนอนลงที่พื้นทันทีโดยที่พวกเขาไม่สนว่ามันจะสกปรกหรืออะไรทั้งสิ้น

โนอาห์มองไปที่ก๊อบลินทั้งสามที่วิ่งหนีไปด้วยความรู้สึกเสียดายกับค่าประสบการณ์ที่เขาต้องได้ แต่เนื่องจากไม่มีใครตามไปด้วยโนอาห์จึงตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองไปที่ซากศพจำนวนมากบนพื้น เขายังคงสามารถดูดซับศพพวกนี้ได้ด้วยเปลวไฟของเขา

ในขณะที่กลุ่มพักผ่อนแจสเปอร์ซึ่งฟื้นลมหายใจได้แล้วเดินเข้ามาหาโนอาห์และยื่นมือมาหาเขา

“ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือของนายมาก ฉันคิดว่าถ้าไม่มีนายมาช่วยแล้วละก็พวกเราคงจะไม่สามารถยืนอยู่ที่นี่ได้ทุกคนแน่นอน ฉันชื่อแจสเปอร์ นายชื่ออะไรงั้นหรอ?”

โนอาห์สังเกตผู้ถูกเลือกที่ชื่อแจสเปอร์คนนี้และเขาไม่สังเกตเห็นความรังเกียจหรือการโกหกใดๆจากเขา โนอาห์ทำแม้กระทั่งการวิเคราะห์ภาษากายของเขาแต่โนอาห์ก็ไม่พบอะไร สิ่งเดียวที่เขาพบคือผู้ชายคนนี้มีแต่ความจริงใจ

“ฉันชื่อโนอาห์” โนอาห์พูดด้วยใบหน้าที่ดีที่สุดที่เขามีโดยที่เขาแสดงท่าทางไม่ค่อยเป็นมิตรมากนัก

เมื่อเห็นโนอาห์แสดงท่าทีอย่างไรแจสเปอร์ก็รู้สึกผิดเล็กน้อย

“ฉันขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เราจะเข้ามาในป้อมปราการ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนายที่ปล่อยให้นายเข้ามาที่นี่คนเดียว มันคงไม่ใช่ความผิดของใครนอกจากเรา แต่ตอนนี้ฉันเป็นผู้นำกลุ่มเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกครั้งแน่นอน”

โนอาห์รู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นจริงใจจริงๆ แต่โนอาห์ไม่รู้ว่าพวกเขาจริงใจเพราะเขาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่เขามีหรือเป็นเพราะเขาเป็นคนใจดีจริงๆ

“ไม่มีปัญหาฉันชอบทำงานคนเดียวอยู่แล้ว” โนอาห์พูดในขณะที่เขาแสดงสีหน้าไม่สนใจราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย

โนอาห์สามารถปล่อยให้ผู้ถูกเลือกเหล่านี้ตายได้ และเขาก็ไม่ต้องแสดงความแข็งแกร่งให้กับคนแปลกหน้าเห็นด้วย แต่ถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่พวกเขาจะมีประโยชน์กว่ามาก เพราะถ้าดูจากก็อบลินที่พวกเขาฆ่าไปแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาก็มีความสามารถที่จะฆ่าได้ขนาดนี้อีกเช่นกัน

แจสเปอร์มองอย่างแปลกประหลาดที่ก็อบลินที่ยังคงลุกเป็นไฟอยู่ เขาอยากถามโนอาห์ว่าทำไมเขาถึงยังทรมานมอนเตอร์เหล่านั้นแม้ว่าพวกมันจะตายไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อเขามองไปที่โนอาห์และเห็นว่าเขามีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขา แจสเปอร์ก็รู้สึกหนาวสันหลังของเขาเล็กน้อยและคิดว่าจะดีที่สุดถ้าจะไม่ถามอะไรแบบนั้นออกไป

เขาได้พบกับผู้คนทุกประเภทในการบุกที่เขาเข้าร่วม บางคนขี้กลัว บางคนกล้าหาญ บางคนโรคจิต เมื่อมองไปที่โนอาห์เขาคิดว่าโนอาห์เป็นพวกซาดิสม์ แต่ตราบใดที่มันพุ่งเป้าไปที่มอนเตอร์ที่พวกเขาเผชิญหน้าแจสเปอร์ก็ไม่สนใจมัน

มีเพียงโนอาห์เท่านั้นที่รู้ว่าสาเหตุที่เขามีรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปากของเขาไม่ใช่เพราะเขาชอบทรมานมอนเตอร์พวกนี้แม้มันจะตายไปแล้ว แต่เป็นเพราะหน้าต่างสีดำที่กำลังลอยอยู่ตรงหน้าของเขาในตอนนี้ตั้งหาก

ในขณะที่ผู้ถูกเลือกกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในการจัดการกับก็อบลินจำนวนมากที่โจมตีพวกเขา ตอนนี้โนอาห์กำลังวิ่งหนี แต่เขาไม่ได้วิ่งหนีจากกลุ่มก็อบลินหรืออะไรทำนองนั้นโนอาห์รู้สึกหงุดหงิดที่เขาไม่พบกลุ่มก็อบลินที่ไหนเลย

ในตอนแรกเมื่อเขาเข้าไปในป้อมปราการจำนวนกลุ่มก็อบลินที่เขาพบนั้นค่อนข้างสูง แต่พวกมันก็หายากขึ้นเรื่อยๆ

ตั้งแต่เขาฆ่าก็อบลินที่ได้รับพรเขาก็พบก็อบลินอีก 4 กลุ่มเท่านั้น ในแต่ละกลุ่มที่เขาสังหารเขาระมัดระวังที่จะไม่ทำให้กลุ่มอื่นๆรู้ตัว และหยุดพักสักครู่เพื่อพักผ่อนและไม่เสี่ยงเพื่อที่เขาจะไม่สูญเสียจังหวะการต่อสู้เนื่องจากความเหนื่อยล้า แต่ในสองกลุ่มสุดท้ายหลังจากที่โนอาห์พักผ่อนเสร็จแล้วแม้ว่าเขาจะเดินไปไกลมาก แต่การหาก็อบลินตัวอื่นก็ยากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเขาสังหารกลุ่มที่สี่ได้แล้วแม้ว่าโนอาห์จะวิ่งผ่านป่าและส่งเสียงดังมากเท่าที่จะทำได้เขาก็ไม่พบอะไรเลย

‘นี่มันแปลกมาก…ป้อมปราการเปิดมานานแล้ว มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่จำนวนมอนสเตอร์ในที่นี่จะลดลงอย่างรวดเร็ว…และตอนนี้ความสามารถของฉันยังพัฒนาไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น…’ โนอาห์ถอนหายใจขณะมองค่าสถานะของสกิลเปลวไฟแห่งนรกในโปรไฟล์ของเขา

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 01]

[ประสบการณ์: 78/100]

[HP: 10/10]

[ความแข็งแรง: 10]

[ความคล่องตัว: 10]

[ความแข็งแกร่ง: 10]

[สกิว:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 01 : 99/100

คำอธิบายสกิว: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

‘อีกเพียง 1 แต้ม…ฉันต้องการเพียงหนึ่งแต้มเท่านั้นเพื่อทำให้ทักษะพัฒนาขึ้น…แต่ไม่มีก็อบลินปรากฏขึ้นสักตัวเลย…ฉันต้องหาว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ นี่มันเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี’ โนอาห์คิด

เมื่อมองไปที่เข็มทิศของตัวเองโนอาห์เริ่มเดินไปทางเหนือ เนื่องจากเขาไม่พบมอนเตอร์ในภูมิภาคนี้เลย แต่อย่างน้อยเมื่อเขาเข้าใกล้ค่ายก็อบลินเขาอาจพบคำตอบสำหรับคำถามที่เขากำลังมองหาอยู่ก็ได้

โนอาห์วิ่งไปตามเส้นทางด้วยความเร็วที่มั่นคงเพื่อไม่ให้ใช้พลังงานมากเกินไป แต่ถึงแม้จะวิ่งเป็นระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตรโนอาห์ก็ไม่เห็นแม้แต่สัญญาณของมอนเตอร์หรือแม้แต่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ

‘บางทีกลุ่มผู้ถูกเลือกอาจจะโจมตีค่ายไปแล้ว…? แต่นั่นเป็นไปไม่ได้สำหรับป้อมปราการที่เต็มไปด้วยมอนเตอร์แบบนี้ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไปถึงแคมป์ในเวลาอันสั้นแม้ว่าพวกเขาจะพยายามเคลื่อนตัวอย่างเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็ตาม’ โนอาห์ไม่พบคำตอบที่ยอมรับได้ในหัวของเขาจนกระทั่งมีความเป็นไปได้เกิดขึ้น

‘เว้นแต่…’

โนอาห์คิดว่าสิ่งนี้เป็นไปได้สูง โนอาห์จึงเร่งความเร็วขึ้นและพยายามไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อดูว่าสิ่งที่เขาคิดเป็นเรื่องจริงหรือไม่

ในขณะที่โนอาห์กำลังวิ่งอยู่นั้นโนอาห์ก็เห็นก็อบลินตัวเล็กตัวหนึ่งกำลังวิ่งไปในทิศทางเดียวกับเขาพร้อมกับถือดาบขึ้นสนิทในมือและมองหาอะไรบางอย่าง

‘ฉันแค่ต้องติดตามก็อบลินตัวนี้แล้วฉันจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าฉันจะต้องยอมเสียค่าประสบการณ์ที่หายไปเพื่อพัฒนาทักษะของฉันก็ตาม มันจะไม่ดีเลยถ้าฉันไม่สามารถไปถึงที่นั่นได้ทันเวลา’ โนอาห์คิดเช่นนี้ในขณะที่เขาปรับเปลี่ยนเส้นทางของเขาเพื่อติดตามก็อบลินตัวนั้นในระยะที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเขา

หลังจากวิ่งด้วยความเร็วสูงไม่กี่นาทีเมื่อโนอาห์เริ่มรู้สึกเหนื่อยในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงโลหะกระแทกกับโลหะ

‘จริงๆสินะ…คนโง่พวกนี้ลืมไปว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของก็อบลินคือความรู้สึกของพวกมัน สาเหตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการตายภายในป้อมปราการที่มีก็อบลินคือพวกมันสามารถสื่อสารกันได้ในระยะทางไกลผ่านความรู้สึก ถ้าไม่สามารถกำจัดกลุ่มนั้นได้อย่างรวดเร็วมันก็จะเรียกอีกกลุ่มมาเพื่อสนับสนุนทันที และนั่นก็จะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน โดยปกติแล้วหลังจากที่ฆ่าก็อบลินไปเจ็ดหรือแปดกลุ่มก็อบลินก็จะหยุดมา แต่เนื่องจากป้อมปราการนี้เปิดมานานแล้ว จำนวนที่ต้องกำจัดทั้งหมดอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้อย่างงายดาย ดังนั้นอาจจะต้องกำจัดทั้งหมดอย่างน้อยสิบห้ากลุ่มและแต่ละกลุ่มจะมีก็อบลินถึงสี่ตัว ความยากคือ…พวกเขาจะสู้ได้นานขนาดนั้นเลยหรอ?’

ก่อนที่เขาจะมองเห็นอะไรโนอาห์ก็ยังได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นเรื่อยๆนอกจากนั้นยังมีกลิ่นเลือดที่รุนแรงตามมาด้วย ตามสิ่งที่เขาอ่านบนอินเทอร์เน็ตเลือดของก็อบลินเป็นกลิ่นที่เลวร้ายที่สุดอย่างหนึ่งของป้อมปราการระดับ E จากป้อมปราการทั้งหมดรองจากอุจจาระโกเลมโคลน เนื่องจากโนอาห์เผาซากศพทั้งหมดจนหมดโนอาห์เลยไม่ได้กลิ่นเลือดของก็อบลินนานนัก แต่ตอนนี้เมื่อเขาเข้าไปใกล้ที่เกิดเหตุและเห็นศพจำนวนมากรอบๆ นั่นจึงอธิบายเหตุผลของกลิ่นเหม็นอันรุนแรงนี้ได้ทันที

เมื่อผู้ถูกเลือกผู้หญิงที่ต่อว่าโนอาห์ในตอนแรกเห็นโนอาห์เข้ามาเธอก็ตะโกนใส่เขาด้วยท่าทีรังเกียจ แต่เธอก็เหนื่อยมากจนไม่มีแรงพอที่จะตะโกนใส่เขาได้ เพราะเธอยังต้องยิงธนูใส่มอนเตอร์ที่เข้ามาอีกด้วย ในบรรดาผู้ถูกเลื่อกคนอื่นๆเห็นได้ชัดว่าชายอายุ 24 ปีที่ดูจริงจังและเหนื่อยล้าตะโกนใส่โนอาห์ด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรว่า

“ได้โปรดช่วยพวกเราด้วย! นักเวทย์ของเราหมดพลังงานแล้ว และนักธนูทั้งสองของเราก็หมดลูกธนูแล้วเหมือนกัน…”

เมื่อดูสถานการณ์ของกลุ่มแล้วพวกเขาดีกว่าที่โนอาห์จินตนาการไว้ แม้ว่าจะมีความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดบนใบหน้าของทุกคน แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บสาหัส โนอาห์ไม่ชอบวิธีที่พวกเขาปฏิบัติกับเขาก่อนที่การบุกจะเริ่มขึ้น แต่เขาก็ได้รับประโยชน์มากมายเช่นกันดังนั้นเขาจะไม่ขี้เหนียวจนไม่ช่วยอะไร ยิ่งไปกว่านั้นโนอาห์ได้เห็นว่านักธนูและนักเวทย์บางคนรู้สึกอึดอัดขนาดไหนเมื่อพวกเขาไม่มีลูกธนูหรือไม่สามารถร่ายเวทย์ได้อีกต่อไป หลังจากใช้พลังงานไปมากในการต่อสู้อันยาวนานนี้

เนื่องจากโนอาห์ไม่มีพรที่แท้จริงในช่วง 4 ปีแรกที่เขาได้รับพรเขาจึงถูกบังคับให้เรียนรู้ที่จะต่อสู้ด้วยมีดและดาบเพื่อปกป้องตัวเอง ดังนั้นหลังจากที่เขาได้รับความสามารถเปลวไฟแห่งนรกเขาก็เลิกเป็นนักรบหรือนักฆ่าและกลายเป็น*นักฆ่าเวทมนตร์*ทันที เนื่องจากเขามักชอบดาบที่สั้นกว่าเพราะมันทำให้เขาใช้เหตุผลและคิดได้เร็วขึ้น โนอาห์จึงใช้สิ่งนี้ในการซุ่มโจมตีหรือหลบหนีด้วยความคล่องแคล่วในการบุกป้อมปราการของเขา

(*นักฆ่าเวทย์มนตร์ นักฆ่าที่สามารถใช้เวทย์มนตร์ได้*)

ในขณะที่เห็นสัตว์ประหลาดจำนวนมากโจมตีพวกเขาพร้อมกันทำให้กลุ่มผู้ถูกเลือกสิ้นหวังอย่างมาก

สำหรับโนอาห์เขามองเห็นเรื่องนี้เป็นเหมือนงานเลี้ยงขนาดใหญ่และหรูหรา เพราะเหตุการณ์ตรงหน้าเต็มไปด้วยค่าประสบการณ์ที่จะทำให้เขาวิวัฒนาการทักษะของเขาได้

โนอาห์วิ่งไปแนวหน้าพร้อมกับนักรบโดยไม่พูดอะไรเลย แต่เขาไม่ได้หยิบมีดของเขาขึ้นมา นักรบพบว่าพฤติกรรมของเขาแปลกประหลาดและต้องการเตือนเขาว่าอย่าทำอะไรโง่ๆและฆ่าตัวตายโดยไม่มีเหตุผล แต่ในวินาทีต่อมาพวกเขาก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ในป่าที่เขียวขจีและมีชีวิตชีวาด้วยแสงแดดยามเช้าชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนมองสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นกองขี้เถ้าเล็กๆ

โนอาห์ที่ในความเป็นจริงไม่ได้มองไปที่กองขี้เถ้าตรงหน้าเขาด้วยซ้ำ เขากำลังมองไปที่หน้าจอสีดำที่ลอยอยู่ซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็น

บนหน้าจอมีการเขียนคำบางคำ ในบรรดาคำเหล่านั้นมีบางคำที่เขาคุ้นเคยกับสองประโยคแรกที่อ่าน

[ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้น 8 หน่วย]

[ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้น 8 หน่วยสำหรับสกิล: เปลวไฟแห่งนรก]

เมื่อดูจำนวนคะแนนค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการฆ่าก็อบลินที่ได้รับพรโนอาห์อดไม่ได้ที่จะดีใจและรู้สึกว่าเขาตัดสินใจถูกที่ทิ้งศพของก็อบลินทั้งสามที่อยู่ในกลุ่มนี้ไป

จำนวนค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับจากก็อบลินที่ได้รับพรตัวนี้เทียบเท่ากับการฆ่าก็อบลินทั่วไปทั้งกลุ่ม เมื่อเห็นว่ามอนสเตอร์ตัวเดียวแบบนี้สามารถให้ประสบการณ์ได้มากแค่ไหนโนอาห์ก็เริ่มสงสัยว่าเขาจะได้รับกี่แต้มถ้าเขาฆ่าบอสด้วยตัวเอง

‘ฉันต้องทำมันได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่ามันจะมีความเสี่ยงมากก็ตามแต่ผลประโยชน์ที่ได้รับก็คุ้มค่าที่จะเสี่ยง แต่อย่างแรกที่ฉันต้องทำคือฉันต้องมีความแข็งแกร่งเพียงพอก่อน’

หลังจากอ่านการแจ้งเตือนสองครั้งที่เขาคุ้นเคยกับการได้รับโนอาห์มองไปที่การแจ้งเตือนที่สามซึ่งใหญ่กว่าและแปลกกว่าอีกสองฉบับมาก

[บันทึกส่วนหนึ่งของลูซิเฟอร์ได้รับการปลดล็อกแล้ว คุณต้องการที่จะอ่านหรือไม่?]

เมื่อเห็นคำถามนี้โนอาห์รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างแน่นอน เนื่องจากครั้งสุดท้ายที่ระบบถามว่าเขาต้องการทำอะไรหรือไม่คือเมื่อตอนที่โนอาห์ได้รับพรครั้งแรก และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตของโนอาห์เปลี่ยนไป

เมื่อรู้ว่าเขาอาจจะได้รับประโยชน์มากมาย โนอาห์จึงไม่คิดทบทวนก่อนที่จะตอบกลับในใจว่า

‘ใช่’

หน้าต่างสีดำหายไปชั่วขณะและในวินาทีถัดมาหน้าต่างสีแดงสวยงามก็ปรากฏขึ้น มันไม่เหมือนกับจดหมายก่อนหน้านี้ที่ดูเหมือนถูกพิมพ์โดยคอมพิวเตอร์บางประเภท จดหมายเหล่านี้เขียนด้วยลายมือที่สวยงามราวกับว่าลูซิเฟอร์เขียนขึ้นเอง

[“คุณรู้ไหมว่าทำไมพระเจ้าถึงพาฉันลงมาเพราะฉันรักพระองค์ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ และพระเจ้าก็สร้างมนุษย์ขึ้นมา มันคือลิงตัวน้อย…ที่ไม่มีขน จากนั้นพระองค์ขอให้เราทุกคนโค้งคำนับต่อหน้าพวกเขา และบอกให้รักพวกเขามากกว่าพระองค์ ดังนั้นฉันเลยตอบพระองค์กลับไปว่า “พระบิดา…ฉันทำไม่ได้” ฉันพูดว่า “มนุษย์เหล่านี้มีข้อบกพร่อง พวกเขาเป็นฆาตรกร!” พระเจ้าไม่พอใจกับสิ่งนั้นเขาโยนฉันลงไปในนรกและถือว่านั่นเป็นการลงโทษ แต่เมื่อเวลาผ่านมาฉันพูดถูกพวกเขาหลานพันล้านคนทำอะไรกัน อาชญากรรมหมู่? ฆาตรกรรมหมู่? สิ่งที่ฉันพูดทั้งหมดมันถูกต้อง ไหนละคนที่ตำหนิฉันเกี่ยวกับเรื่องนั้น? แต่ถึงแม้ว่าฉันจะไม่พอใจพระบิดาของฉันสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันก็ยอมรับอย่างไม่เต็มใจที่จะเข้าควบคุมนรก…แต่นั่นคือตอนที่เทพระดับล่างเริ่มปรากฏตัว…”]

เมื่อโนอาห์อ่านจบหน้าต่างสีแดงก็หายไปทันทีในขณะที่หน้าต่างสีดำอีกบานปรากฏขึ้นแทน

[เนื่องจากการดูดซับพลังงานถูกหยุดชะงักระบบจึงไม่สามารถรับส่วนที่เหลือจากบันทึกได้]

เมื่อโนอาห์เห็นข้อความสุดท้ายความโกรธในตัวเขาก็เพิ่มขึ้น

‘ถ้าไม่ใช่เพราะก็อบลินตัวนั้นฉันก็คงจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป!!’ โนอาห์พูดในใจขณะที่เขาเตะไปที่กองขี้เถ้าที่เหลืออยู่ของก็อบลินที่เขาฆ่า

‘ฉันเกลียดคนที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้!’

หลังจากรวบรวมสติของตัวเองอีกครั้ง โนอาห์ก็เริ่มคิดถึงสิ่งที่เขาได้อ่านจากบันทึกและสรุปมันออกมา

‘เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของลูซิเฟอร์กับพระเจ้า พ่อของเขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขียนใยอินเตอร์เน็ต เพราะในสิ่งที่มนุษยชาติเขียนความสัมพันธ์ของลูซิเฟอร์และพระเจ้านั้นแย่มาก แต่ดูเหมือนจริงๆแล้วมันจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เกิดความสงสัยคือ ลูซิเฟอร์พูดถึง ‘เทพระดับล่าง’ ในบันทึก มันหมายความว่าอะไร? เขาพูดถึงใคร? บางทีพวกเขาอาจจะเป็นเทพเจ้าในปัจจุบัน?’ ตอนนี้โนอาห์ไม่สนใจก็อบลินที่เขาจะฆ่าได้ในช่วงเวลาที่เขากำลังนั่งคิดอยู่นี้ เค้าเพียงคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูซิเฟอร์และพระเจ้าเท่านั้น

เมื่อตระหนักว่าเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีแล้วและเขาก็ยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่เป็นรูปธรรมได้ โนอาห์จึงโกรธพวกก็อบลินที่ขัดขวางไม่ให้เขาอ่านส่วนท้ายของบันทึกส่วนนั้นและเตะกองขี้เถ้าที่อยู่ตรงนั้นอีกครั้ง ขณะที่เขาจากไปเพื่อมองหากลุ่มอื่นๆ เพื่อฆ่าและได้รับค่าประสบการณ์จากมัน

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 01]

[ประสบการณ์: 66/100]

[HP: 10/10]

[ความแข็งแรง: 10]

[ความคล่องตัว: 10]

[ความแข็งแกร่ง: 10]

[สกิว:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 01 : 87/100

คำอธิบายสกิว: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

———————————–

ขณะนี้ที่อื่นภายในป่า กลุ่มคน 14 คนกำลังต่อสู้กับก็อบลินจำนวนมากในหมู่พวกเขาคือผู้หญิงที่วิพากษ์วิจารณ์และดูหมิ่นโนอาห์

“ให้ตายเถอะ! นักเวทย์ยิงพลังออกไปด้วยพรของนายเร็ว! พวกเราที่อยู่แนวหน้าจะทนต่อได้อีกไม่นานแล้วนะ” นักรบตะโกนใส่กลุ่มนักเวทย์และนักธนูที่อยู่ด้านหลังด้วยความสิ้นหวัง พวกเขาจะต้องต่อสู้กับนักรบก็อบลิน 9 ตัวที่กำลังโจมตีเขาในขณะที่ก๊อบลินอีก 3 ตัวโจมตีจากระยะไกลด้วยปืนยิงลูกดอกซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอ

“บ้าเอ้ย ฉันจะหมดแรงแล้ว! นายคิดว่าฉันจะสร้างแผ่นดินไหวได้หรอไง?” นักเวทย์ธาตุดินกรีดร้องจากระยะไกลขณะที่เขาใช้พรของตัวเองสกัดหินก้อนใหญ่จากพื้นดินและขว้างใส่ก็อบลิน

นี่เป็นข้อบกพร่องที่สำคัญของนักเวทย์ พวกเขาขาดความคิดสร้างสรรค์และความเต็มใจที่จะขยันฝึกฝนและสร้างทักษะใหม่สำหรับพรของพวกเขา เนื่องจากปกติแล้วทักษะต่างๆของผู้ถูกเลือกไม่ได้ถูกสอนต่อสาธารณะ นักเวทย์เหล่านี้จึงไม่สามารถคิดและพัฒนาทักษะเฉพาะตัวได้อย่างที่โนอาห์พยายามพัฒนาลูกไฟของเขา

“เจ้าบ้า หยุดเคลื่อนไหวไปมาซักทีได้ไหม ไม่งั้นฉันจะยิงลูกธนูโดยพวกนายแทนนะ!” ผู้หญิงที่ทะเลาะกับโนอาห์ที่ทางเข้าป้อมปราการตะโกนใส่นักรบพรของเธอคือการควบคุมลมเล็กน้อย เมื่อสิ่งนี้เพิ่มเข้ากับการใช้ธนูทำให้เธอสามารถควบคุมลูกธนูได้ดีขึ้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะยิงธนูได้อย่างถูกต้อง แต่เธอก็สามารถเปลี่ยนวิธีลูกธนูในอากาศได้ แต่เธอก็ไม่ได้มีพลังถึงขนาดที่จะสามารถเปลี่ยนวิถีหลบนักรบที่อยู่แนวหน้าได้ทุกคน

ยิ่งพวกเขากรีดร้องระหว่างการต่อสู้มากขึ้น เสียงนั้นก็ยิ่งดึงดูดพวกก็อบลินมากขึ้นเท่านั้นเนื่องจากป้อมปราการนั้นเต็มไปด้วยมอนเตอร์ ขนาดโนอาห์ที่วิ่งเงียบๆโดยไม่ส่งเสียงอะไรก็อบลินยังได้ยินเขา นับประสาอะไรกับผู้ใหญ่หลายคนที่ตะโกนใส่กันในป่าที่เงียบสงบตลอดเวลา พวกเขาเป็นเหมือนสัญญาณปลุกก็อบลินให้เข้ามาหา

จนถึงตอนนี้กองซากศพก็อบลินรอบๆตัวพวกเขาเริ่มเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่พวกเขาเริ่มต่อสู้ในสถานที่แห่งนั้นพวกเขาไม่สามารถขยับได้เกินหนึ่งเมตร หากมีใครสักคนมองไปรอบๆ และนับจำนวนก็อบลินที่พวกเขาฆ่าไปแล้วจำนวนอาจมากกว่า 30 ตัว แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะฆ่าไปมากมายแค่ไหน แต่มันก็เหมือนกับว่าฝูงมอนสเตอร์เหล่านี้ไม่เคยลดลงเลย

ความเหนื่อยล้าทางจิตใจส่งผลกระทบต่อทุกคนในกลุ่มเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะนักรบและผู้รักษาที่ไม่มีโอกาสได้พักตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้นเมื่อพวกเขาเข้ามาในป้อมปราการ

เนื่องจากนี่เป็นป้อมปราการธรรมดาและไม่ใช่ป้อมปราการระดับพิเศษ ประตูวาปที่พวกเขาเคยเข้ามาจึงยังคงเปิดอยู่ พวกเขาสามารถออกจากป้อมปราการได้ตลอดเวลาที่พวกเขาต้องการ แต่ไม่มีใครที่ต้องการจากไปแม้ว่าพวกเขาจะตกอยู่ในอันตราย เพราะรัฐบาลได้กำหนดไว้ว่าเมื่อผู้ถูกเลือกเข้ามาในป้อมปราการพวกเขามีหน้าที่ทำลายป้อมปราการนั้น หากพวกเขาจากไปโดยที่ป้อมปราการยังไม่ถูกทำลายค่าปรับที่ผู้ถูกเลือกจะได้รับจากการไม่ปฏิบัติตามภารกิจนั้นสูงพอที่จะให้ผู้ถูกเลือกทำงานตลอดทั้งปีเพื่อชดใช้มัน

ข้อยกเว้นเพียงประการเดียวของกฎนี้ก็คือหากผู้ถูกเลือกเหลือไม่ถึงหนึ่งในสามที่เข้าไป พวกเขาจะสามารถออกมาได้ แต่พวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลหรืออะไรทั้งสิ้น เช่นเดียวกันการบุกป้อมปราการที่โนอาห์มีส่วนร่วมบ่อยครั้ง

เมื่อมองไปที่ความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับการต่อสู้ครั้งนี้ผู้หญิงที่ตะโกนใส่โนอาห์มีอย่างน้อยหนึ่งอย่างในใจที่ทำให้เธอรู้สึกสงบ

‘อย่างน้อยผู้ชายที่ไร้ประโยชน์คนนั้นก็ต้องตายคนเดียวที่ไหนสักแห่งเนื่องจากเขาไม่มีกลุ่ม เพราะขนาดผู้ถูกเลือกระดับ E 14 คนยังไปไหนไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับระดับ F ที่อ่อนแอเพียงคนเดียว ฮ่าๆ’

ในขณะที่โนอาห์เฝ้าดูก็อบลินที่สวดอ้อนวอนต่อเทพธิดา ระบบของเขาที่ไม่ค่อยปรากฏขึ้น คราวนี้กลับแสดงการแจ้งเตือนอย่างกะทันหัน แต่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้หน้าต่างสีดำไม่ได้อะไรเกี่ยวกับทักษะหรือประสบการณ์ของเขา แต่แสดงหน้าจอที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในด้านหน้าของเขา

[ตรวจพบพลังงานศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจากเทพระดับล่าง กำลังเริ่มการดูดซึม…]

เมื่อเห็นข้อความดังกล่าวโนอาห์ก็รู้สึกทึ่ง เขาไม่เข้าใจความหมายของระบบ การดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์…ความหมายของคำนั้นชัดเจนแต่เขาไม่เข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น จนเขาเงยหน้าขึ้นไปมองที่รูปปั้นไม้อีกครั้ง

รูปปั้นซึ่งเคยทำจากไม้ที่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดินเหมือนต้นไม้กำลังสูญเสียรูปลักษณ์อันสง่างามและศักดิ์สิทธิ์ที่เคยมีมาก่อนอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่ามันเวลาผ่านไปแล้วหลายพันปี รูปปั้นนั้นกำลังเหี่ยวเฉาและกำลังจะตายลงอย่างน่าอัศจรรย์

โนอาห์ที่รู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าของเขาแต่ก็อบลินกลับมีปฏิกิริยาที่รุนแรงยิ่งกว่าเนื่องจากทางรอดของมันคือการอธิษฐานต่อรูปปั้นที่อยู่ข้างหน้าของมัน

สำหรับมอนเตอร์ตัวน้อยตัวนี้การพังทลายของรูปปั้นเทพธิดาที่มันอธิษฐานอยู่นั้นเป็นคำสั่งประหารสำหรับมันเช่นกัน แต่มันไม่ยอมแพ้และยังคงอธิษฐานด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างจะคลี่คลาย และเมื่อรูปปั้นกำลังจะร่วงลงสู่พื้นดิน มันกลับปล่อยแสงประหลาดออกมาจากต้นไม้ด้านใต้และกระทบร่างเล็กๆของก็อบลิน

โนอาห์เฝ้าดูสิ่งนี้ด้วยความสนใจเนื่องจากเห็นได้ชัดว่าระบบของเขาเป็นสาเหตุของการ “ตาย” ของรูปปั้นเทพธิดาแห่งพืช เมื่อเขาคิดว่ารูปปั้นจะตายโดยจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนี้กลับมีบางอย่างที่ทำให้เขาตกใจอย่างมากเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของเขา

รูปปั้นของเทพธิดาที่แสดงความรักต่อมนุษยชาติ ผู้ให้พรอันยิ่งใหญ่ซึ่งช่วยมนุษยชาติมากมายในการต่อสู้กับป้อมปราการ ตอนนี้เทพธิดาองค์นั้นกลับอวยพรให้กับมอนเตอร์ตัวนี้

สิ่งที่ทำให้เขาตกใจอย่างแรกคือโนอาห์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามอนเตอร์สามารถได้รับพรเหมือนมนุษย์ได้เช่นกัน อย่างที่สองคือทำไมเทพธิดาที่ช่วยเหลือมนุษยชาติมาโดยตลอดตอนนี้กลับช่วยมอนเตอร์ที่กำลังต่อสู้กับมนุษยชาติอยู่

โนอาห์เห็นชัดๆว่าสิ่งที่รูปปั้นทำคือการอวยพรให้กับก็อบลินตัวนี้ เพราะทันทีที่แสงกระทบกับมอนเตอร์ร่างของมันก็เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น มันไม่ได้สูงเพียง 1 เมตรอีกต่อไป ตอนนี้มันสูงถึง 1.50 เมตรแล้ว การเพิ่มขนาดถึง 50% ในครั้งเดียวนั้นหมายความว่าความแข็งแกร่งของมันก็เพิ่มขึ้นถึง 50% ด้วยเช่นกัน

ในขณะที่โนอาห์มองดูก็อบลินลุกขึ้นจากท่าคุกเข่าของมัน หน้าต่างสีดำอีกบานก็ปรากฏขึ้นลอยต่อหน้าโนอาห์พร้อมกับตัวอักษรที่ลุกไหม้

[การดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ถูกขัดจังหวะ…กำลังทำการดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง… 0%]

จำนวนนั้นค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆจาก 0% เป็น 1% และจาก 1% เป็น 2% จากเวลาที่ผ่านไปกับเปอร์เซ็นที่เพิ่มขึ้นโนอาห์คิดว่าเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามนาที ในขณะที่เขาคิดว่าจะทำยังไงกับเวลานั้น เสียงร้องก็ปลุกให้เขาตื่นจากความคิดนั้นทันที ก็อบลินตัวสีเขียวที่เคยนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นลุกขึ้นและพุ่งเข้ามาหาโนอาห์โดยตรง แม้ว่าโนอาห์จะระมัดระวังและอยู่ห่างออกไปให้ไกลกว่าระยะที่มอนเตอร์จะรู้สึกได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขาโทษว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เกิดจากพรที่ก็อบลินได้รับ

‘ให้ตายเถอะฉันต้องรู้ถึงความแข็งแกร่งของมัน…’ โนอาห์คิดในขณะที่เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อปรับตำแหน่งตัวเอง เขายังไม่รู้เลยว่าความแข็งแกร่งของก็อบลินเพิ่มขึ้น 50% จริงๆหรือไม่ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะเจอแบบนั้น

‘อย่างน้อยตอนนี้ตัวของมันก็ใหญ่ขึ้นและธนูของมันก็ไม่เหมาะกับมันอีกต่อไป’ โนอาห์คิดในขณะที่เขาเห็นว่าก็อบลินกำลังวิ่งมาหาเขาด้วยมือเปล่า

ความเร็วของมอนเตอร์เร็วกว่าโนอาห์อย่างเห็นได้ชัด แต่โนอาห์ไม่ยอมให้มันทำให้เขาหวั่นไหว เขาซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้และสร้างลูกไฟขึ้นมาในมือแต่ละข้างอย่างรวดเร็วและโผล่ตัวเพียงครึ่งตัวต่อหน้าก็อบลิน

เขาขว้างลูกไฟจากมือซ้ายไปทางด้านขวาของก็อบลินเล็กน้อยเพื่อให้ก็อบลินก้าวไปทางด้านซ้ายเพื่อหลบการโจมตี และในขณะที่ก๊อบลินยังคงตอบสนองต่อลูกบอลไฟแรก โนอาห์ก็เล็งไปที่ด้านข้างมากขึ้นและปาลูกไฟอีกลูกไปยังตำแหน่งที่ก็อบลินกำลังเคลื่อนที่ทันที

และเพราะโนอาห์คิดไว้แล้วว่าก็อบลินจะต้องเคลื่อนที่ไปทางนั้น และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุดการเคลื่อนที่กลางคัน ก็อบลินตัวนั้นจึงพยายามที่จะเอี้ยวตัวหลบให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อไม่ให้โดนเปลวไฟที่อันตรายเหล่านั้น และเมื่อมันทำยังงั้นก็ทำให้มันชนกับต้นไม้อย่างจัง

แต่โชคก็ไม่ได้เข้าข้างก็อบลินที่ได้รับพรตัวนั้น แม้มันจะเอี้ยวตัวหลบเข้าหาต้นไม้ลูกไฟในมือซ้ายของโนอาห์ที่ปล่อยไปตอนแรกก็โดนมันทำให้มันเริ่มกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเนื่องจากเปลวไฟที่บริสุทธิ์กำลังกัดกินเนื้อของมัน และเริ่มไหม้เนื้อของมันอย่างต่อเนื่อง

โนอาห์คิดว่าความคิดของมอนเตอร์ตัวนี้ฉลาดมาก แต่ปัญหาคือมันคำนวณระยะห่างระหว่างมันกับต้นไม้ผิด แต่โนอาห์ไม่ตำหนิมอนเตอร์ตัวนี้ เพราะถึงแม้ว่ามันจะได้รับพรจากเทพธิดา แต่มันก็ยังคงเป็นมอนเตอร์ระดับ E เท่านั้น

จากนั้นโนอาห์จึงวิ่งเข้าหาก็อบลินตัวนั้นพร้อมกับดึงมีดออกจากกระเป๋าที่เขาผูกไว้รอบเอวของเขาด้วยมือขวา ในขณะที่มือซ้ายของเขาเตรียมที่จะปล่อยลูกไฟเพื่อเผาร่างของมอนเตอร์ตัวนั้นทั้งหมด

โนอาห์ไม่แสดงความสงสารหรือความตื่นเต้นเมื่อเขาต้องรับมือกับมอนเตอร์ที่เขาไม่รู้จัก เขาจึงตัดสินใจที่ฆ่ามอนเตอร์ตัวนี้อย่างจริงจังราวกับว่ามันเป็นบอส และโชคดีที่โนอาห์คิดไม่ผิดเพราะเปลวไฟที่ลุกโชนและทำให้มันกรีดร้องนั้นไม่เพียงพอที่จะหยุดมันไม่ให้ลุกขึ้นจากพื้นและวิ่งเข้าหาโนอาห์ เพื่อสังหารมนุษย์ที่น่ารังเกียจตรงหน้าของมัน

โนอาห์รู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งและความมุ่งมั่นของก็อบลิน แต่เขาก็ไม่ได้คลายกำมือที่เขาใช้ถือมีด เมื่อเจ้าก็อบลินคำรามใส่เขาพร้อมกับส่งเสียงร้องโหยหวนโนอาห์ชี้มีดของตัวเองไปที่แขนของมันซึ่งถูกไฟไหม้แล้ว และใช้ประโยชน์จากการที่ไฟเผาแขนของมันไปส่วนหนึ่งแล้ว เขาจึงตัดเข้าไปที่แขนตรงส่วนนั้นทันที ในขณะที่ฝ่ามืออีกข้างหนึ่งของเขาปาลูกไฟไปที่ร่างที่เหลือของก็อบลิน

ก็อบลินตัวนั้นคิดดอะไรไม่ออกเนื่องจากความเจ็บปวดที่มันได้รับในตอนนี้ สิ่งเดียวที่ปรากฏในจิตใจของมันในตอนนี้คือ ฆ่า ฆ่า และฆ่าเท่านั้น…

ในขณะที่มันคิดแบบนั้นใบมีดของมนุษย์ตรงหน้าของมันก็เข้าไปที่แขนของมันและตัดแขนของมันออกไปราวกับตัดชิ้นส่วนของผ้ายังไงยังงั้น

ก็อบลินตัวนี้ที่กำลังวิ่งอยู่พร้อมกับกำลังจะเอามือที่มีเขี้ยวเล็บขนาดใหญ่ฟันไปที่มนุษย์ตรงหน้าแต่หลังจากที่มันรู้สึกว่ามันเหวี่ยงแขนลงไปแล้วร่างกายของมันกลับล้มลงไปที่พื้นทันทีโดยที่มันไม่ได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

ด้วยความตกตะลึงก็อบลินมองไปที่พื้นตรงหน้ามนุษย์และเห็นว่าเปลวไฟที่ทำให้มันเจ็บปวดมากกำลังแผดเผาบางอย่างอยู่…และสิ่งที่ไฟนั้นกำลังแผดเผาอยู่มันคือแขนของมันที่จะฟันมนุษย์ตรงหน้านั้นเอง

ก็อบลินตกใจมาก มันมองไปที่แขนของมันว่าควรจะอยู่ตรงไหนแต่สิ่งเดียวที่มันเห็นคือความว่างเปล่า แต่ในขณะที่มันยังไม่ทันได้คิดอะไรให้เรียบร้อยนั้น โนอาห์ที่จุดเปลวไฟขึ้นในมือของเขาก็ปล่อยไฟใส่ร่างกายของก็อบลินอย่างรวดเร็วทำให้ไฟลุกลามไปทั่วตัวของก็อบลินทันที ร่างกายของก็อบลินตอนนี้คล้ายกับคนที่ถูกไฟคลอกท่วมตัว

โนอาห์มองไปที่ก็อบลินที่นอนอยู่บนพื้นซึ่งถูกเผาทั้งเป็นและในสายตาของเขาจะมองไม่เห็นความสงสารหรือความสำนึกผิดแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่าเขากำลังมองไปที่ก้อนหินที่เขาพบระหว่างทางและเตะมันเพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้ แต่ภายในรูปลักษณ์ที่ไม่สนใจนั้นของโนอาห์ ในใจของเขากลับไม่สามารถหยุดคิดได้เลยว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นไปนั้นไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง

เขาอาจจะเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่สามารถฆ่ามอนเตอร์เช่นนี้ผ่านป้อมปราการได้ เนื่องจากเขาฆ่ามอนเตอร์และได้รับประสบการณ์จากการฆ่าแต่ละตัว เขารู้ว่าควรจะทำยังไง แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้นกับมนุษย์คนอื่นๆ เมื่อสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับพวกเขา สิ่งเดียวที่พวกเขาจะทำคือพวกเขาจะไม่สนใจมันและวิ่งหนี และเขาจะไปฆ่าบอสของป้อมปราการนี้เพื่อจบมัน เพราะการฆ่ามอนเตอร์เป็นจำนวนมากไม่ได้ส่งผลดีอะไรกับพวกเขา เพราะยังไงมันก็ได้เงินเท่าเดิมอยู่ดี

เมื่อก็อบลินตรงหน้าตาย หน้าต่างก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงหน้าของโนอาห์ คราวนี้มันแสดงการแจ้งเตือนสองครั้ง ครั้งแรกเป็นการแจ้งเตือนเกี่ยวกับจำนวนค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับ และอีกอย่างคือการแจ้งเพื่อให้เขารู้ถึงการดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่เสร็จสิ้นแล้ว

จนถึงตอนนี้โนอาห์ได้สังหารก็อบลินกลุ่มเล็กๆไปสามกลุ่มแล้วรวมถึงก็อบลินสามตัวแรกที่เขาสังหาร เขาได้รับค่าประสบการณ์และความสามารถของเขาเพิ่มขึ้นแล้ว 14 แต้มนอกเหนือจาก 6 แต้มที่เขาได้รับในตอนแรก ทำให้ค่าประสบการณ์ของเปลวไฟแห่งนรกของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 81 แต้มและเหลืออีกเพียง 19 แต้มที่จะทำให้มันพัฒนา โนอาห์ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมันพัฒนาไปแล้ว ตอนนี้เขาตั้งหน้าตั้งตารอคอยมันเป็นอย่างมาก

กลุ่มก็อบลินปรากฏตัวเร็วกว่าที่โนอาห์จินตนาการไว้ เขาใช้เวลา 30 นาทีในการฆ่าก็อบลินสามกลุ่มในป่าใหญ่เช่นนี้ แต่ทุกๆกลุ่มก็ปรากฏออกมาเรื่อยๆอยู่ดี นั่นทำให้เขาต้องเร่งมืออย่างมาก

ในขณะที่เขากำลังสังหารกลุ่มที่สี่โนอาห์ได้ตระหนักแล้วว่าก็อบลินที่ใช้ปืนพวกนั้นฉลาดกว่านักรบ แต่ในกลุ่มก็อบลินพวกนี้เขาพบว่าก็อบลินนักธนูในหมู่พวกมันฉลาดกว่าก็อบลินที่ใช้ปืน

หลังจากเพื่อนร่วมทีม 3 คนของนักธนูก็อบลินเสียชีวิต มันไม่ได้ใช้เวลาแม้แต่วินาทีเดียวในการคิดว่าจะทำอย่างไร มันทิ้งก็อบลินตัวสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ตายไปในขณะที่มันพยายามช่วยชีวิตตัวเอง

โนอาห์ได้เข้าไปในป่าด้วยเข็มทิศและตามสิ่งที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆพูดในอินเทอร์เน็ต ข้อดีของป้อมปราการนี้ก็คือค่ายก็อบลินซึ่งบอสแห่งป้อมปราการอาศัยอยู่ในนั้น ค่ายก็อบลินอยู่ทางทิศเหนือเสมอ

แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าของโนอาห์ตอนนี้มันแตกต่างจากที่โนอาห์จินตนาการไว้ มอนเตอร์ตัวนี้ไม่ได้วิ่งไปที่ค่ายก็อบลินเพื่อที่มันจะเรียกกำลังเสริม แต่มันกำลังวิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเกือบจะเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับที่ตั้งค่ายก็อบลิน

‘เจ้ามอนเตอร์ตัวนี้กำลังทำอะไร? ทำไมมันถึงวิ่งไปในทิศทางตรงข้ามละ ที่มันวิ่งหนีเพราะมันต้องการเรียกกำลังเสริมไม่ใช่หรอ…?’ โนอาห์คิดหลังจากเห็นทิศทางที่ก็อบลินนักธนูไป เมื่อมองไปที่ซากศพทั้งสามบนพื้นดิน โนอาห์รู้ดีว่าหากเขาต้องการเผาก็อบลินพวกนี้เพื่อรับค่าประสบการณ์เขาจะต้องอยู่ที่นี่และเผาพวกมัน หรือไปฆ่าก็อบลินที่หนีไปตัวนั้นและเอาศพกลับมาเผา แต่ความอยากรู้อยากเห็นของเขาทำให้โนอาห์ถอนหายใจยาวๆและวิ่งตามนักธนูก็อบลินตัวนั้นไป เพื่อดูว่ามันกำลังจะไปที่ไหน โดยที่เขาทิ้งค่าประสบการณ์ที่เขาจะได้รับทั้งหมดไป

‘อย่าขี้เหนียวโนอาห์ นายจะได้รับประสบการณ์มากขึ้นจากการฆ่ามอนเตอร์ตัวอื่นๆ แต่ตอนนี้พฤติกรรมแปลกๆของก็อบลินตัวนี้อาจจะพาไปเจอโอกาสพิเศษอะไรบางอย่างก็ได้’ โนอาห์กล่าวกับตัวเองในใจ เขาพยายามโน้มน้าวตัวเองว่าเขากำลังทำในสิ่งที่ถูกต้อง

พฤติกรรมของมอนเตอร์ตัวนี้แปลกมาก มันเลิกระมัดระวังตัวและไม่เคยหันกลับมาดูว่าโนอาห์กำลังไล่ตามมันอยู่หรือไม่ เหมือนกับว่าสถานที่ที่มันไปจะปกป้องมันจากมนุษย์ได้อย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งเดียวที่มันต้องกังวลคือต้องไปให้ถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด

จากข้อมูลที่โนอาห์เห็นบนอินเทอร์เน็ตพฤติกรรมของก็อบลินตัวนี้ผิดไปจากธรรมดาโดยสิ้นเชิง ในวิดีโอและสิ่งพิมพ์ทั้งหมดผู้ถูกเลือกมักพูดเสมอว่าก็อบลินมักจะหนีไปที่ค่ายทางตอนเหนือดังนั้นหนึ่งในกลยุทธ์ที่พวกเขาแนะนำคือการไล่ก็อบลินออกไปโดยสร้างความกลัวให้กับพวกมันด้วยทักษะที่รวดเร็วเพื่อให้พวกมันสิ้นหวังและวิ่งกลับไปที่ค่าย จากนั้นพวกมันจะต้องประหลาดใจกับกลุ่มมนุษย์อีกกลุ่มที่รอคอยที่จะฆ่าพวกมันในขณะที่พวกมันไม่ได้เตรียมตัวและหวาดกลัว

ในอินเตอร์เน็ตบอกว่ามีโอกาสที่ก็อบลินจะหนีไปในทิศทางตรงข้ามกับค่ายแต่มันก็น้อยมาก มันแค่อาจจะเกิดขึ้นได้เท่านั้น แต่ในหนังสือที่ผู้ถูกเลือกทั้งหมดอธิบายไว้ทุกคนยืนยันเสมอว่า 100% ก็อบลินจะต้องหนีกลับไปที่ค่ายอย่างแน่นอน แม้ว่ามันจะออกนอกเส้นทางไปซักเล็กน้อยแต่สุดท้ายมันจะกลับมาเส้นทางเดิม ดังนั้นสิ่งที่โนอาห์กำลังเห็นอยู่ตรงหน้านี้มันเป็นสิ่งผิดปกติที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น

โนอาห์ยังคงพยายามติดตามก็อบลินจากระยะปลอดภัยมากจนก็อบลินไม่รู้ตัวว่ามันกำลังถูกติดตามและโนอาห์ยังคงเฝ้ามองมอนเตอร์จากระยะไกลว่ามันจะวิ่งไปถึงที่ไหน แต่ก็อบลินตัวนั้นไม่เคยหันกลับมามองเลยสักครั้งว่าโนอาห์ยังติดตามมันอยู่หรือไม่ มันไม่ได้หยุดวิ่งเลยสักนิดเดียว

การไล่ล่าก็อบลินตัวนั้นยาวนานเป็นอย่างมาก โนอาห์คิดว่าปอดของก็อบลินไม่น่าจะทนการวิ่งที่ยาวนานแบบนี้ได้ และมันไม่ควรจะวิ่งไปได้ไกลขนาดนั้นด้วยขาเล็กๆพร้อมกับความเร็วเต็มที่ตลอดเวลา แต่ที่น่าแปลกใจคือเมื่อโนอาห์เห็นใบหน้าของก็อบลินตัวนั้นมันทั้งหอบและหายใจแรง แต่มันก็ไม่เคยชะลอฝีเท้าลงแม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อโนอาห์เริ่มหมดความอดทน เขาคิดว่าก็อบลินตัวนี้เป็นบ้าอะไรสักอย่างที่ทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ในขณะนั้นเองมีสิ่งปลูกสร้างบางอย่างปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา

ก็อบลินกำลังวิ่งเข้าไปยังสิ่งก่อสร้างที่แปลกประหลาดนี้: รูปปั้นที่ทำจากไม้ยืนอยู่ตรงนั้นราวกับว่าไม่มีสิ่งใดสามารถสั่นไหวมันได้ แต่สิ่งที่น่าแปลกคือรูปปั้นนี้ไม่ใช่รูปปั้นที่โนอาห์ไม่รู้จัก โนอาห์รู้จักรูปปั้นดังกล่าวเป็นอย่างดี และนี่คือสิ่งที่ทำให้โนอาห์ประหลาดใจมากยิ่งขึ้นเพราะรูปปั้นนี้ทำจากไม้ซึ่งดูเหมือนว่าสร้างขึ้นด้วยวิธีธรรมชาติมันเป็นรูปปั้นที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากและเป็นที่ชื่นชอบของมนุษย์หลายๆคน ก็อบลินที่โนอาห์ไล่ตามมาที่นี่ดูเหมือนจะมุ่งตรงไปที่รูปปั้นนี้ราวกับว่ามันรู้ว่ารูปปั้นนี้สามารถปกป้องมันได้

โนอาห์มองจากระยะปลอดภัยด้วยความสนใจเป็นอย่างมากและที่สำคัญที่สุดคือระวังอย่างมากที่จะไม่ทำให้ก็อบลินตัวนั้นรู้ตัวว่าเขาอยู่ที่นั่นด้วย

น่าแปลกที่ก็อบลินที่โนอาห์คิดว่าฉลาดมากตัวนี้นั่งคุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นราวกับว่ามันกำลังสวดอ้อนวอนกับเธอ เมื่อโนอาห์เห็นสิ่งนี้สมองของเขาแทบจะช็อตทันที เนื่องจากในหัวของเขามันเป็นไปไม่ได้ที่มอนเตอร์พวกนี้จะทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่ออย่างการอธิษฐานต่อรูปปั้น ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับมอนเตอร์พวกนี้ที่อยู่ในป้อมปราการระดับต่ำเช่นนี้

โนอาห์รู้ว่าในป้อมปราการระดับสูงมนุษยชาติได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดหลายชนิดแล้ว ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นในรายงานของหนังสือพิมพ์ว่าในป้อมปราการระดับ S ที่ไม่รู้จัก แทนที่ผู้ถูกเลือกจะเข้าไปในคุกใต้ดินอย่างที่เป็นปกติพวกเขากลับเจอหมู่บ้านเล็กๆในป่าที่มีบ้านอยู่บนยอดไม้และ “มอนเตอร์” ที่พวกเขาต้องฆ่าคือเอลฟ์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น

ผู้ถูกเลือกระดับ S ที่บุกเข้ามาในป้อมปราการกล่าวว่าเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าพวกเขาอยู่ในป้อมปราการและไม่ได้อยู่ในโลกอื่น เนื่องจากตามที่พวกเขามองจากระยะไกลเอลฟ์เหล่านั้นมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและใช้ชีวิตกันเป็นเรื่องปกติเหมือนอย่างที่มนุษย์ทำ บางคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นรู้สึกแย่ที่จะต้องฆ่าชายและหญิงที่สวยงามเช่นนี้บางทีถึงกับต้องฆ่าเด็กด้วยซ้ำ

ป้อมปราการแห่งนี้ซึ่งไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อนหลังจากการบุกเสร็จสิ้นกลายเป็นที่รู้จักในชื่อป้อมปราการสังหารหมู่เอลฟ์ มันไม่เคยปรากฏอีกในประตูวาปใดๆบนโลก แต่หลังจากวันนั้นมนุษยชาติก็เหลือแต่ความสงสัยมากขึ้นว่าประตูวาปเหล่านี้คืออะไรและพวกมันพาพวกเขาไปที่ไหน

แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นในป้อมปราการระดับ S เท่านั้น เป็นความรู้ทั่วไปว่ายิ่งป้อมปราการมีระดับต่ำเท่าไหร่ความฉลาดของมอนสเตอร์ที่อยู่ข้างในก็จะยิ่งต่ำลงเท่านั้น แต่สิ่งที่โนอาห์เห็นต่อหน้าเขานั้นไม่มีที่ไหนใกล้เคียงกับสิ่งที่ป้อมปราการระดับ E ควรมี

ก็อบลินที่วิ่งอย่างสุดชีวิตเพื่อชีวิตของตัวเองตอนนี้คุกเข่าอยู่หน้ารูปปั้นไม้ที่โนอาห์จำได้ว่าเป็นเทพธิดาแห่งพืช เธอเป็นเทพธิดาที่รู้จักกันดีที่สุดองค์หนึ่งของมนุษยชาติเนื่องจากพรที่เธอมอบให้ตามปกติเกี่ยวข้องกับชีวิตและการรักษาทำให้หลายๆคนได้รับพรจากการรักษาเมื่อบูชาเธอ แต่สิ่งที่โนอาห์ไม่เข้าใจคือทำไมมอนเตอร์ถึงอธิษฐานต่อเทพธิดาที่ควรจะเป็นที่โปรดปรานของมนุษยชาติ

ในขณะที่โนอาห์เฝ้าดูก็อบลินที่สวดอ้อนวอนต่อเทพธิดา ระบบของเขาที่ไม่ค่อยปรากฏขึ้น คราวนี้กลับแสดงการแจ้งเตือนอย่างกะทันหัน แต่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้หน้าต่างสีดำไม่ได้อะไรเกี่ยวกับทักษะหรือประสบการณ์ของเขา แต่แสดงหน้าจอที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในด้านหน้าของเขา

โนอาห์หมอบคลานอยู่ในพุ่มไม้พยายามหายใจให้ช้าและเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้มอนเตอร์เหล่านี้ตื่นตัว เขารู้ว่ามอนสเตอร์ของป้อมปราการระดับ E แข็งแกร่งและว่องไวกว่ามอนสเตอร์ป้อมปราการระดับ F แต่เขาไม่รู้ว่าพวกมันไวกว่ามากแค่ไหน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นโนอาห์จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ส่งเสียงดังในขณะนั้น เขาสามารถทดลองความไวของมอนเตอร์พวกนี้ต่อเสียงรบกวนอื่นๆได้ด้วยวิธีอื่น

จากการสังเกตโนอาห์สังเกตเห็นว่าก๊อบลินเหล่านี้มีสองคลาสที่แตกต่างกันระหว่างพวกมัน มีนักรบสองตัวที่ถือดาบโลหะมีสนิมและก็อบลินที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับถือปืนในมือเพื่อใช้ในการโจมตีระยะไกล

เมื่อเห็นองค์ประกอบของกลุ่มพวกมันแล้ว โนอาห์ก็นึกถึงกลยุทธ์ที่เขาเห็นในคำแนะนำของผู้ถูกเลือกและเลือกวิธีที่น่าจะได้ผลที่สุดในช่วงเวลานี้

ตามสิ่งที่เขาเคยสัมผัสมาแล้วในป้อมปราการระดับ F และสิ่งที่เขาเห็นบนอินเทอร์เน็ตการกำจัดศัตรูที่โจมตีระยะไกลก่อนมักจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด แต่จะดีกว่าถ้าสามารถกำจัดศัตรูที่โจมตีระยะไกลได้และหลังจากนั่นก็กำจัดศัตรูที่ยืนอยู่ข้างหน้าทั้งสองตัวพร้อมๆกันจากการตกใจ

ในขณะที่ก๊อบลินลาดตระเวนผ่านป่า โนอาห์ก็ตระหนักได้จากการมองดูพวกมันว่าเส้นทางที่พวกมันเดินบังเอิญผ่านใกล้กับที่ที่โนอาห์ซ่อนตัวอยู่พอดี นี่อาจเป็นสิ่งที่ดีเนื่องจากโนอาห์สามารถโจมตีจากระยะใกล้โดยที่พวกมันไม่รู้ตัวได้ แต่มันอาจจะแย่มากถ้าพวกมันสังเกตเห็นว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่นั่น เพราะถ้าระยะห่างมีน้อยแล้วพวกมันเห็นก่อน นั่นจะทำให้เขาแย่และนั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ดังนั้นโนอาห์จึงรอให้ก็อบลินเข้ามาใกล้เขาให้มากที่สุดอย่างใจเย็น

ความคิดของเขาคือรอให้ก็อบลินผ่านเขาไปโดยไม่สังเกตเห็นเขาที่แอบอยู่ที่นั่น จากนั่นเขาก็จะใช้มีดต่อสู้เพื่อฆ่าก็อบลินด้านหลังและจุดไฟเผาก็อบลินนักรบคนหนึ่งและนั่นจะทำให้เขาต่อสู้กับก็อบลินที่เหลือได้อย่างง่ายดาย

แต่น่าเสียดาย แผนก็คือแผน เพราะเมื่อก็อบลินนักรบทั้งสองเดินผ่านโนอาห์ไปและไม่สังเกตเห็นเขาที่นั่น แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างก็อบลินที่ถือปืนอยู่กลับได้ยินเสียงแปลกๆและกรีดร้องออกมาก่อนที่จะวิ่งหนีออกจากพุ่มไม้เพื่อแจ้งเตือนให้ก็อบลินนักรบทั้งสองรู้ตัว

เมื่อเห็นว่าพวกมันสังเกตเห็นแล้ว โนอาห์จึงลงมือทันที เขากระโดดไปในทิศทางของก็อบลินนักรบที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุดและใช้มือข้างหนึ่งฟันเข้าไปที่ลำคอของมัน ก่อนที่ก็อบลินตัวนั้นจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นมันก็ล้มลง และในอีกข้างหนึ่งของมือโนอาห์เล็งลูกไฟที่ควบแน่นเล็กน้อยไปที่ก็อบลินถือปืนหวังที่จะเผามัน แต่ก็อบลินตัวนั้นเตรียมพร้อมแล้วและเมื่อเขาเห็นโนอาห์กระโดดออกจากพุ่มไม้มันก็เริ่มวิ่งหลบไปใกล้ๆสถานที่นั้น

‘มอนเตอร์พวกนี้ฉลาดกว่าที่ฉันคิดไว้มาก…ให้ตายเถอะ…’ โนอาห์คิดขณะที่เขาเห็นก็อบลินถือปืนหลบลูกไฟของเขาโดยใช้การคาดเดา

‘เอาล่ะอย่างน้อยก็มีตัวหนึ่งตายไปแล้ว การจัดการกับอีกสองตัวก็มีปัญหาน้อยกว่าจัดการทีเดียวสามตัว’ โนอาห์คิดในขณะที่ก็อบลินนักรบคนหนึ่งที่ถือดาบกำลังโจมตีเข้ามาที่เขาพร้อมกับเสียงกรีดร้องอันดุเดือน

ก็อบลินด้านหลังหยิบปืนขึ้นมาและพยายามยิงลูกดอกพิษใส่โนอาห์ในขณะที่ก็อบลินอีกตัวทำให้เขาเสียสมาธิ แต่ก็อบลินไม่ใช่คนเดียวที่พยายามหลบการโจมตีระยะไกล โนอาห์ในขณะต่อสู้ก็เคลื่อนที่แบบสุ่มไปรอบๆก็อบลินดาบเพื่อที่เขาจะไม่โดนลูกดอก

ในขณะที่ก๊อบลินปืนกำลังเตรียมที่จะยิงลูกดอกอีกลูก โนอาห์ปัดดาบสนิมออกจากก็อบลินนักรบด้วยมีดของเขาโดยใช้มือขวาและด้วยมือซ้ายโนอาห์ก็จุดไฟอีกครั้งและเผาไปที่ก็อบลินนักรบตัวนั้น

ก็อบลินนักรบตัวนั้นเริ่มกรีดร้องจากความเจ็บปวดในขณะที่กลิ้งไปมาบนพื้นเพื่อให้ไฟที่ลุกอยู่ดับลง

แม้ว่ามอนสเตอร์ตัวนี้จะมาจากป้อมปราการระดับ E แต่มันก็ไม่สามารถต้านทานเปลวไฟของโนอาห์ได้มากไปกว่าบอสระดับพิเศษของป้อมปราการระดับ F แต่ยังไงมอนเตอร์พวกนี้ก็ไม่สามารถเทียบได้กับบอสระดับพิเศษของป้อมปราการระดับ F อยู่ดี ดังนั้นเอฟเฟกต์การชำระบาปของเปลวไฟแห่งนรกจึงทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกับมอนเตอร์พวกนี้

สำหรับก็อบลินที่น่าสงสารตัวนี้ การที่มันกำลังถูกเผาด้วยเปลวไฟแห่งนรกนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการที่มันถูกฟันหลายๆครั้งในหนึ่งวินาทีเสียอีก มันไม่สามารถอธิบายความเจ็บปวดออกมาได้ มันกรีดร้องออกมาเสียงดังพร้อมกับกลิ้งลงไปที่พื้นเพื่อที่จะดับไฟ แต่โนอาห์จะไม่ปล่อยสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นแน่นอน เขาใช้พลังงานของเขาเพื่อรักษาเปลวไฟให้ลุกเหมือนเดิมและใช้เนื้อและบาปของก็อบลินเป็นเชื้อเพลิงในการลุกไหม้ต่อไป

ก็อบลินถือปืนเมื่อได้ยินเสียงร้องแห่งความสิ้นหวังของเพื่อนร่วมทางมันก็สะดุ้งทันที ในชั่วพริบตานั้นมันไม่รู้ว่ามันควรจะไปช่วยหรือวิ่งเพื่อชีวิตของมันเอง เพราะมันรู้ดีกว่าถึงมันใช้ลูกดอกยิงใส่มนุษย์ที่อยู่ตรงหน้ามันมากแค่ไหน ก็จะทำให้มนุษย์ตรงหน้าของมันอ่อนแอและช้าลงเท่านั้น มันไม่มีทางที่จะหยุดมนุษย์ตรงหน้าให้ไม่ใช้เปลวไฟที่น่ากลัวของเขามาเผามันได้

โนอาห์ไม่เสียเวลาที่ก็อบลินตัวนั้นกำลังลังเลใจไป เขาใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานั้นพุ่งเข้ามาหาก็อบลินและสร้างเปลวไฟในมือพร้อมที่จะเผามันทันที

เมื่อก็อบลินเห็นดังนั้นมันจึงรู้ว่ามันไม่ควรยืนนิ่งๆเพื่อที่มันจะตกเป็นเป้า มันให้ความสนใจกับเปลวไฟที่โนอาห์ปล่อยออกมาและหลบลูกไฟนั้น แน่นอนว่ามันไม่อยากมีชะตากรรมเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทางของมันที่กำลังกรีดร้องและทรมานอยู่บนพื้นตอนนี้

ในขณะที่มันวิ่งก็อบลินเห็นว่ามีลูกไฟอีกลูกพุ่งไปทางซ้ายของมันซึ่งทำให้มันกระโดดไปทางขวาเพื่อไม่ให้โดนเปลวไฟ แต่ทันทีที่ก๊อบลินแตะเท้าของมันลงบนพื้นมันก็สังเกตเห็นว่าเปลวไฟไม่ใช่สิ่งเดียวที่กำลังพุ่งเข้ามาหามัน

เนื่องจากความสว่างและอันตรายที่เปลวไฟปล่อยออกมาทำให้ก็อบลินสนใจแต่เปลวไฟโดยที่มันไม่ได้สนใจอย่างอื่น เมื่อมันรู้ตัวอีกทีก็มีวัตถุสีเงินแวววาวกำลังพุ่งเข้ามาหามัน แต่เมื่อมันรู้ตัวก็สายเกินไปแล้ว มีดที่โนอาห์ข้างออกมาไปโดยหลังของก็อบลินตัวนั้นทำให้มันล้มลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด

โนอาห์เห็นก็อบลินพยายามจะลุกขึ้นจากพื้นด้วยความสิ้นหวังขณะที่มันกำลังคลานออกไป เขาไม่ได้แสดงความเมตตาแม้แต่นิดเดียว เขาเรียกลูกบอลไฟอีกลูกอย่างเย็นชาและปามันพุ่งเข้าใส่ก็อบลินที่ตอนนี้ไม่สามารถหลบได้ ลูกไฟโดนก็อบลินอย่างแม่นยำและนั่นทำให้เพิ่มเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดและความสิ้นหวังให้กับป่าที่เพิ่งเงียบลงเนื่องจาก การตายของก็อบลินอีกตัว

ในตอนนี้ก็อบลินที่ถูกบดบังด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวัง มันมองเห็นมนุษย์ที่ทำให้มันทรมานไม่ต่างไปจากปีศาจหรือไม่ก็เลวร้ายไปกว่านั้น! สำหรับก็อบลินแล้วร่างของมนุษย์ตรงหน้าของมันคือจอมมาร!

ในขณะที่ก๊อบลินถูกเผาโนอาห์ไม่เสียเวลาและโยนลูกไฟอีกลูกใส่ก็อบลินที่เขาแทงตายตอนเริ่มการต่อสู้เพื่อให้ความสามารถของเขาดูดซับร่างกายของมอนเตอร์พวกนี้และเข้าใกล้การพัฒนามากขึ้น

หลังจากก็อบลินทั้งสามถูกเผาจนหมดและกลายเป็นฝุ่นหน้าต่างสีดำที่คุ้นเคยก็ปรากฏต่อหน้าโนอาห์อีกครั้ง

[ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้น 6 หน่วย]

[ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้น 6 หน่วยสำหรับสกิล: เปลวไฟแห่งนรก]

เมื่อมองไปที่หน้าต่างนั้นโนอาห์รู้สึกว่าการต่อสู้นั้นคุ้มค่าจริงๆ จากการฆ่าก็อบลินทั้งสามตัวนี้เพียงลำพังโนอาห์ได้รับค่าประสบการณ์เท่ากันกับที่เขาต้องฆ่าหนู 6 ตัวในป้อมปราการระดับ F และเขายังใช้เวลาได้ไวกว่าปกติถึงสามเท่า เพราะการฆ่าหนู 6 ตัวก็เป็นอะไรที่เสียเวลาเป้นอย่างมากอีกทั้งยังฆ่าหนูพวกนั้นในท่อระบายน้ำ หนูบางตัวลงไปในน้ำตลอดเวลาเพื่อดับไฟ

เมื่อมองไปที่ขี้เถ้าความปรารถนาของโนอาห์ที่จะฆ่าก็อบลินก็เพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ เนื่องจากความตื่นเต้นในการได้รับค่าประสบการณ์มากมายและความว้าวุ่นใจทำให้โนอาห์ไม่รู้ว่าเสียงกรีดร้องของก็อบลินที่เขาฆ่านั้นดึงดูดความสนใจของก็อบลินตัวอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆโดยไม่รู้ตัว

เนื่องจากป้อมปราการเปิดมานานแล้วจำนวนก็อบลินจึงเพิ่มขึ้นเร็วมาก โอกาสที่ก็อบลินอีกกลุ่มหนึ่งที่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

สำหรับคนอื่นสิ่งนี้อาจเป็นอุปสรรคสำคัญ แต่สำหรับโนอาห์แม้ว่าจะไม่รู้ตัว แต่มันก็กลายเป็นความโชคดีไปแล้ว

“เดี๋ยวก่อน…นายคือโนอาห์ใช่ไหม?!” เสียงผู้หญิงพูดขณะที่ผู้หญิงคนหนึ่งชี้นิ้วไปที่โนอาห์

ทันใดนั้นหลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาดังๆด้วยน้ำเสียงที่ตะโกน คำพูดของเธอก็ดึงดูดความสนใจของผู้ถูกเลือกคนอื่นๆเข้ามา ทุกๆคนหันหน้ามามองด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

โนอาห์รู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของผู้หญิงคนนั้นและด้วยเหตุผลบางอย่างเธอก็ดูคุ้นเคยกับเขาเล็กน้อย โนอาห์จึงยืนยันความสงสัยของเธอด้วยคำพูด

“ใช่ฉันชื่อโนอาห์ ทำไมหรอ?” เขาพูดด้วยความไม่แน่ใจว่าทำผมผู้ถูกเลือกระดับ E คนนี้ถึงต้องมุ่งความสนใจมาที่เขา

“ฉันรู้ว่าเป็นนาย! ฉันได้บุกป้อมปราการกับนายมาก่อน นายคือผู้ถูกเลือกระดับ F ที่ได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งความงาม! นายมาทำอะไรที่นี่ที่ป้อมปราการระดับ E นายอยากจะไปตายงั้นหรอ หรือนายคิดว่านายจะร่ายมนตร์ความงามใส่มอนเตอร์พวกนั้น?” ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะอย่างดูถูกเหยียดหยามขณะที่เธอมองไปที่โนอาห์

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดในที่สุดโนอาห์ก็จำได้ว่าเธอเป็นใคร ครั้งหนึ่งเขาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มการบุกป้อมปราการที่มีผู้มาใหม่หยิ่งผยองหลายคน (คล้ายกับป้อมปราการสุดท้ายที่เขาบุกเข้ามา) และผู้หญิงคนนี้เป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกระดับ E ที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้ถูกเลือกระดับ F ในป้อมปราการ

เนื่องจากป้อมปราการนั้นเป็นเพียงป้อมปราการระดับ F ธรรมดาความยากจึงไม่สูงสำหรับกลุ่มทั่วไป ดังนั้นในการบุกครั้งนั้น มีเพียงผู้มาใหม่ที่เป็นผู้ถูกเลือกระดับ F 2 คนเท่านั้นที่เสียชีวิตจากความประมาทในขณะที่ผู้ถูกเลือกระดับ E สามารถผ่านป้อมปราการได้โดยมีวัยรุ่นไม่กี่คนที่บาดเจ็บ และนั่นทำให้ความเย่อหยิ่งของพวกเขาพุ่งสูงขึ้น

น่าเสียดายที่โนอาห์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับผู้หญิงคนนี้มากพอที่เขาจะจำได้ว่าเธอได้รับพรอะไรมา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเตรียมตัวได้หากเธอก่อปัญหาในป้อมปราการ

“เหตุผลที่ฉันมาที่ป้อมปราการระดับ E ทำไมไม่สำคัญกับเธอ แต่มันจะดีที่สุดถ้าเธอเงียบปากของเธอลงไปซะ”

เมื่อคนในกลุ่มได้ยินผู้หญิงคนนั้นพูดว่าโนอาห์เป็นผู้ถูกเลือกระดับ F ความประทับใจครั้งแรกของทุกคนที่มีต่อโนอาห์ก็กลายเป็นเลวร้ายอย่างที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ บางคนมองเขาด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม

โนอาห์รู้ดีว่าสิ่งนี้กำลังจะเกิดขึ้นและนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ ระหว่างนั่งรถบัสเขาสงสัยว่าจะต้องใช้ข้อแก้ตัวอะไรในการแยกกลุ่มหลังจากเข้าไปในป้อมปราการ แต่ตอนนี้โอกาสที่ดีในการแยกกลุ่มได้ปรากฏขึ้นมาให้เขาแล้ว เขาจะไม่ปล่อยให้โอกาสแบบนี้ผ่านไปแม้ว่ามันจะทำให้สมาชิกคนอื่นๆไม่ชอบเขาก็ตาม แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าคนอื่นมองว่าเขาเป็นเพียงผู้ถูกเลือกระดับ F ที่ไร้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นจะไม่มีใครเห็นอกเห็นใจเขา และคิดว่าถ้าโนอาห์ไปกับพวกเขาก็มีแต่จะทำให้พวกเขาผ่านป้อมปราการช้าลง

“นาย…นายเป็นเพียงผู้ถูกเลือกระดับ F ที่ไร้ประโยชน์นายไม่มีทางเอาชีวิตรอดในป้อมปราการระดับ E ได้ด้วยพรที่ไร้ประโยชน์ของนายหรอก ฉันหวังว่านายจะบอกครอบครัวของนายไว้ก่อนแล้วว่านายจะไม่ได้กลับบ้านอีกต่อไป” ผู้หญิงคนนี้พูดด้วยท่าทางเย็นชาราวกับว่าเธอกำลังมองดูศพ

โนอาห์ไม่แปลกใจกับความหยิ่งผยองจากผู้หญิงคนนี้เนื่องจากหลังจากถูกเยาะเย้ยมานานเรื่องแบบนี้สำหรับเขาก็เหมือนกับ “อรุณสวัสดิ์” ธรรมดาๆ ดังนั้นเขาถึงไม่สนใจคำยั่วยุของผู้หญิงคนนี้ โนอาห์เพียงตอบกลับไปด้วยท่าทางเรียบเฉยอีกครั้ง

“อย่าที่ฉันเคยพูดไปแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอ อยู่เงียบๆและอย่าทำให้ฉันโกรธ”

เมื่อเธอเห็นว่าเธอถูกคนที่มีฐานะต่ำกว่าเยาะเย้ย ผู้หญิงคนนั้นจึงไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และพูดออกมาดังๆด้วยความเกลียดชังสุดขีดว่า

“ฉันอยากเห็นว่านายจะทำยังไงในป้อมปราการ” เมื่อเธอเห็นท่าทางโกรธที่คนอื่นๆในกลุ่มกำลังให้โนอาห์อยู่ เธอรู้ว่าถ้าเธอเลือกที่จะขับไล่เขาออกจากกลุ่มจะไม่มีใครคัดค้านเพราะถ้าเขาถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวเขาจะต้องตายและส่วนแบ่งครึ่งหนึ่งจากส่วนของเขาจะกลายมาเป็นค่าตอบแทน ของคนในกลุ่มที่เหลือ

“พอแล้ว! ประตูวาปเปิดแล้วตู้สำหรับของใช้ส่วนตัวได้ถูกนำออกจากรถบัสแล้วและตั้งไว้ใกล้กับทางเข้า เก็บของของคุณไว้ที่นั่นและเข้าไปในประตูวาปก่อนที่มอนสเตอร์จะออกมาจากป้อมปราการนี้ ป้อมปราการนี้เปิดมาเกือบสัปดาห์แล้ว” เจ้าหน้าที่ของรัฐกล่าวโดยไม่ละสายตาจากแท็บเล็ตของเขาที่เก็บข้อมูลของผู้ถูกเลือกทั้งหมดในปัจจุบันไว้

เมื่อฟังสิ่งที่เขาพูดบางคนในกลุ่มไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร คนอื่นๆก็กังวลเกี่ยวกับข่าวนั้นแต่โนอาห์แตกต่างออกไป เขารู้สึกตื่นเต้นเนื่องจากยิ่งป้อมปราการเปิดอยู่นานเท่าไหร่มอนเตอร์ก็จะยิ่งอยู่ข้างในเยอะขึ้นเท่านั้นจนถึงจุดที่ว่าถ้าป้อมปราการใช้เวลาเปิดนานกว่าหนึ่งสัปดาห์โดยไม่มีใครทำลายมันมอนเตอร์เหล่านั้นก็จะทะลักออกมาและบุกฆ่าทุกอย่างบนโลก

สำหรับป้อมปราการประเภทนี้มันจะไม่เป็นที่ต้องการสำหรับผู้ถูกเลือกทั่วไป เพราะมันมีมอนเตอร์ที่ต้องจัดการเยอะกว่าปกติ แต่สำหรับโนอาห์มันเป็นข่าวดีเพราะมันหมายความว่าเขามีมอนเตอร์ให้ฆ่ามากขึ้นและนั่นทำให้เขาได้รับค่าประสบการณ์จากการตายของพวกมันมากขึ้น

ดังนั้นในขณะที่คนอื่นๆกำลังกังวลเกี่ยวกับการพูดคุยเกี่ยวกับกลยุทธ์ของพวกเขาในการฆ่ามอนเตอร์โนอาห์ซึ่งรู้ตั้งแต่แรกว่าจะต้องเผชิญกับป้อมปราการแบบนี้เขาก็มีแผนในใจอยู่แล้วว่าเขาจะทำอย่างไรเพื่อเอาชีวิตรอดจากป้อมปราการนี้

โชคไม่ดีสำหรับเขานี่อาจเป็นหนึ่งในสถานที่ที่แย่ที่สุดในการไปคนเดียวเนื่องจากก็อบลินเป็นที่รู้กันดีว่าอ่อนแอกว่ามอนสเตอร์ระดับ E ทั่วไป แต่ต่างจากมอนสเตอร์อื่นๆ

ก็อบลินชอบอยู่เป็นกลุ่มและความสามารถทางสติปัญญาของพวกมันก็สูงกว่ามอนเตอร์ชนิดอื่นๆ

สำหรับโนอาห์ที่จะไปคนเดียวการต้องจัดการกับมอนเตอร์เป็นกลุ่มก็มีปัญหาเล็กน้อย

การต้องจัดการกับมอนเตอร์ที่ชาญฉลาดและอยู่เป็นกลุ่มนั่นทำให้การต่อสู้ของเขายากยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากเขาได้คิดแผนเกี่ยวกับแผนการของเขาสำหรับป้อมปราการนี้ไว้แล้วในช่วงสองสามชั่วโมงที่ผ่านมา เขาจะจัดการกับสถานการณ์นี้โดยมีความเสี่ยงน้อยที่สุดและทำให้ได้ผลประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

สิ่งหนึ่งที่โนอาห์คิดว่าตลกก็คือนอกจากตัวเขาเองแล้วยังมีอีกสองคนที่กังวลกับการสวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะกับการใช้งานมากที่สุดสำหรับป้อมปราการป่าแห่งนี้ ส่วนที่เหลือของผู้ถูกเลือกเลือกใส่เพียงเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่พวกเขาเห็นว่าสวยงามและสะดวกสบาย แต่พวกเขาไม่สนใจว่าเสื้อผ้าของพวกเขาจะมีประโยชน์อะไรในป้อมปราการในแง่ของการพลางตัวหรือเปล่า

หลังจากเก็บโทรศัพท์มือถือหูฟังและอุปกรณ์เทคโนโลยีอื่นๆแล้ว โนอาห์สังเกตว่ากลุ่มผู้ถูกเลือกยังคงคุยกันว่าพวกเขาจะใช้กลยุทธ์อะไรภายในโดยไม่คิดจะขอให้เขาเข้าร่วมด้วยซ้ำ โนอาห์ใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายของพวกเขาเข้ามาในประตูวาปก่อน

ในขณะที่เขาเดินข้ามประตูไปเขาก็หัวเราะให้กับความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่ประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์ของผู้ถูกเลือกระดับ E และกลุ่มทั่วไปที่เพิ่งออกจาป้อมปราการระดับ F และมาเข้าป้อมปราการระดับ E พวกเขาทั้งสองกลุ่มกำลังหารือเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่พวกเขาจะใช้ในป้อมปราการนี้

แน่นอนว่าเขารู้ว่าหลายคนในกลุ่มไม่ได้สนใจที่จะศึกษาอะไรเกี่ยวกับป้อมปราการเลย แต่คนที่มีประสบการณ์มากกว่าก็เติมเต็มคนที่ไม่ได้ศึกษาเหล่านั้น อย่างน้อยพวกคนที่ไม่ได้ศึกษามาก็มีข้อมูลขั้นต่ำที่จำเป็นสำหรับการบุกรุก

เมื่อข้ามประตูไปโนอาห์พบว่าตัวเองกำลังเคลื่อนตัวจากคลื่นพลังสีม่วงไปสู่ป่าสีเขียวอย่างสมบูรณ์ สถานที่แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียวมากมาย พื้นดินปกคลุมไปด้วยหญ้าสูง โนอาห์รู้ดีว่าเสื้อผ้าของเขาจะมีประสิทธิภาพในสถานที่แห่งนี้ต่างจากเสื้อผ้าที่มีสีฉูดฉาดที่ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆสวมใส่ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะมีประโยชน์เพียงเพื่อดึงดูดความสนใจของมอนเตอร์โดยไม่จำเป็นและเปิดเผยตำแหน่งของกลุ่ม

โนอาห์ออกไปในทิศทางแบบสุ่มในป่าและเดินออกไปจากประตูเพื่อค้นหามอนสเตอร์

การค้นหาก็อบลินสีเขียวในป่าสีเขียวเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเนื่องจากในลักษณะเดียวกับที่เสื้อผ้าของโนอาห์ มันช่วยในการพรางตัวและพวกมอนเตอร์ที่มีผิวสีเขียวก็มีจุดประสงค์เดียวกันเช่นกัน แต่มีบางอย่างที่โนอาห์ถูกใจนั่นคือเนื่องจากป้อมปราการนี้เปิดมานานกว่าหนึ่งสัปดาห์แล้ว นั่นหมายความว่ามีมอนเตอร์มากมายอยู่ข้างหน้าของเขา ดังนั้นโนอาห์จึงหามอนเตอร์ได้ง่ายกว่าปกติมาก

และอย่างที่เขาคิดไว้ เขาไม่ต้องเดินไปไกลหลายเมตร เขาก็พบก็อบลินกลุ่มเล็กๆ 3 ตัวเดินลาดตระเวนในป่า พวกมันอาจกำลังมองหาอาหารอยู่

‘นี่เป็นโอกาสของฉันแล้ว’ โนอาห์คิดในขณะที่เขาเตรียมการซุ่มโจมตีอย่างตื่นเต้นเพื่อดูว่าเขาจะได้รับประสบการณ์เท่าไรหลังจากฆ่ากก็อบลินพวกนี้

เมื่อมองไปที่สิ่งที่แจ้งเตือน โนอาห์เห็นว่ามีการแจ้งเตือนว่ามีการพบป้อมปราการสำหรับเขาแล้ว และนี้เป็นข้อดีของป้อมปราการระดับ E ถ้าเป็นป้อมปราการอันดับ F โนอาห์คงต้องรออย่างน้อย 3 วันในการเข้าแถวเพื่อค้นหาป้อมปราการเนื่องจากจำนวนของผู้ถูกเลือกระดับ F มีจำนวนมากแต่สำหรับป้อมระดับ E จะรอไม่นานนักเนื่องจากจำนวนของผู้ถูกเลือกที่ไปถึงระดับ E นั้นมีน้อยกว่าจำนวนของ ผู้ถูกเลือกระดับ F มาก

[ป้อมปราการ: ป่าก็อบลิน

ระดับ: E

จำนวนผู้บุกป้อมปราการ: 10

ข้อมูลพื้นฐาน: ป่าก็อบลินเป็นป้อมปราการที่ตั้งอยู่ในป่าที่สร้างขึ้นแบบสุ่ม ก็อบลินเป็นสัตว์ประหลาดที่อ่อนแอ การบุกป้อมปราการต้องระมัดระวังเนื่องจากพวกมันเดินทางเป็นกลุ่ม]

การแจ้งเตือนของแอปนั้นให้คำอธิบายเบื้องต้นว่าป้อมปราการมีลักษณะอย่างไร หากผู้ถูกเลือกต้องการหาข้อมูลเพิ่มเติม พวกเขาก็เพียงแค่มองหาชื่อของป้อมปราการที่ได้รับในแอปพลิเคชั่นของ GBC แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ถูกเลือกหลายๆคนทำ

น่าเสียดายที่หลังจากได้รับพรแล้วผู้คนที่ได้รับพรจำนวนมากก็กลายเป็นคนหยิ่งผยองเพราะการได้รับเงินจากการบุกป้อมปราการนั้นง่ายมาก โดยพวกเขาคิดว่าไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็จะเอาชนะป้อมปราการพวกนั้นได้อยู่ดี เพราะพวกเขาได้รับพรอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับจากพระเจ้ามาแล้ว และเพราะเหตุผลนั้น นั่นทำให้ผู้ถูกเลือกส่วนใหญ่เสียชีวิต

โดยปกติแล้วความเย่อหยิ่งประเภทนี้จะหายไปอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้ได้รับพรที่มีอายุมากกว่า เนื่องจากหลังจากผ่านไปหลายปีในการบุกรุกป้อมปราการและผ่านความยากลำบากนับไม่ถ้วน ผู้ถูกเลือกเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตจะรู้คุณค่าของข้อมูลก่อนหน้านี้ดีกว่าใครๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม GBC จึงจัดผู้ถูกเลือกสูงอายุอยู่ในการบุกป้อมปราการกับผู้ถูกเลือกอายุน้อยกว่าเสมอ เนื่องจากผู้ที่มีอายุมากกว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้นำที่ดีในช่วงเวลาที่อันตรายที่จะเกิดขึ้นภายในป้อมปราการ

โนอาห์เคยศึกษาป้อมปราการระดับ E มาแล้วเกือบทั้งหมดดังนั้นเขาจึงมีเคล็ดลับมากมายจากผู้ถูกเลือกที่บุกเข้ามาในป้อมปราการแห่งนี้ในครั้งก่อนๆ และเขามีกลยุทธ์ที่ดีที่สุดสำหรับสถานการณ์ประเภทต่างๆ สิ่งเดียวที่เขาขาดคือประสบการณ์จริงในป้อมปราการระดับ E เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากป้อมปราการระดับ F ที่เขาเคยมีประสบการณ์มาแล้วหลายร้อยแห่ง

เมื่อเช็คดูที่แอปอีกครั้งโนอาห์เห็นว่าการบุกป้อมปราการจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงเขาจึงลุกขึ้นจากพื้นและไปอาบน้ำอีกครั้ง เพราะเขาไม่คิดว่าเขาจะเหงื่อออกมากขนาดนี้หลังจากที่เครียดอย่างหนักเพื่อให้พรของเขา เห็นได้ชัดว่าการใช้พรทำให้ร่างกายของเขาเกิดความเหนื่อยล้าอย่างมาก

หลังจากอาบน้ำโนอาห์วางอุปกรณ์ทั้งหมดที่เขาอาจจะต้องใช้ในป้อมปราการนี้ลงในกระเป๋าเป้ของเขาและวางสิ่งของที่จำเป็นที่สุดไว้ในกระเป๋าใบเล็กที่เขาไว้ที่ขาขวา

เมื่อมองดูตัวเองในกระจกโนอาห์เห็นชายหนุ่มผมสีดำสั้นใบหน้าบอบบางซึ่งแสดงสีหน้าไม่สนใจว่าเขาได้รับการฝึกฝนมาเพื่อที่จะไม่แสดงอารมณ์ต่อศัตรูของเขา สำหรับเสื้อผ้าของเขาเขาสวมเสื้อเชิ้ตเรียบง่ายที่มีพื้นผิวลายพรางสีเขียวนอกเหนือจากกระเป๋าเป้สะพายหลังขนาดเล็กสำหรับใส่ของจำเป็นและกระเป๋าใบเล็กที่ผูกไว้กับขาของเขาเพื่อให้เขาเก็บของได้อย่างเร่งด่วน

นี่เป็นสิ่งที่โนอาห์ทำมาโดยตลอด เขาปรับเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้ากับป้อมปราการที่เขากำลังบุกรุก เพื่อให้เขามีข้อได้เปรียบที่มากที่สุดในการบุกป้อมปราการครั้งนี้ ที่เขาทำแบบนี้เพราะเขาต้องการเพิ่มอัตราการชนะศัตรูของเขาได้มากขึ้นอีกขั้น การเตรียมการดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นนักในหมู่ผู้ถูกเลือกอายุน้อย แต่ในบรรดาผู้ถูกเลือกอายุมากนั้นนี่นับว่าเป็นกฏตายตัวที่ต้องทำ

นอกเหนือจากนั้นสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่างๆโนอาห์ก็เก็บไว้ในกระเป๋าเป้ เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการฆ่าบอสในป้อมปราการ โนอาห์ยังมีแท่งพลังงานที่ใช้สำหรับสถานการณ์จำเป็นอีกเล็กน้อยด้วย

เมื่อเตรียมการเรียบร้อยแล้วโนอาห์ออกจากบ้านและเดินไปยังสำนักงานใหญ่ GBC เพื่อขึ้นรถบัสที่จะพาพวกเขาไปยังป้อมปราการ

และสำหรับป้อมปราการที่เริ่มต้นจากระดับ D ขึ้นไป GBC ไม่ได้จัดหารถประจำทางให้กับผู้ถูกเลือกอีก เนื่องจากเมื่อถึงจุดนั้นเงินที่พวกเขาได้รับจากการบุกแต่ละครั้งก็เพียงพอแล้วสำหรับทุกคนที่จะมีรถที่ดี ดังนั้นจึงมีการส่งเฉพาะตำแหน่งของป้อมไปให้ และผู้ถูกเลือกจะมาถึงป้อมปราการด้วยตัวเอง

สำหรับป้อมปราการระดับ E มีผู้ถูกเลือกระดับสูงหลายคนที่สามารถซื้อรถของตัวเองได้แล้ว แต่เนื่องจากบางคนยังไม่มี GBC จึงจัดหารถประจำทางให้ทุกคน แต่พวกเขาทั้งหมดก็ต้องมารวมตัวกันที่สำนักงานใหญ่เพื่อให้ทั้งกลุ่มไปพร้อมกัน และมุ่งตรงไปที่ป้อมปราการทันที

เมื่อมองไปที่แอปพลิเคชันโนอาห์เห็นว่ารถบัสคันใดจะพาพวกเขาไปที่ป้อมปราการและเดินไปหามัน

ที่ทางเข้ารถบัส คนขับกำลังสูบบุหรี่อย่างไม่สนใจจนกระทั่งเขาสังเกตเห็นโนอาห์โดยสัญชาตญาณ เขายืดกระดูกสันหลังให้ตรงอย่างรวดเร็วและหยิบเครื่องสแกนออกมาเพื่ออ่านรหัสของโนอาห์

“สวัสดีตอนบ่ายครับ ผมขอดู QR Code ของคุณได้ไหมครับ” เขาถามอย่างสุภาพ

เป็นครั้งแรกที่โนอาห์ได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากเจ้าหน้าที่ของรัฐคนหนึ่งเนื่องจากตอนนี้เขาถูกมองว่าเขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E แล้ว ดังนั้นในความคิดของคนขับจึงไม่มีโอกาสที่เขาจะคิดว่าโนอาห์เป็นผู้ถูกเลือกระดับ F แน่นอนเพราะผู้ถูกเลือกระดับ F ที่จะไปยังป้อมปราการระดับ E นั่นจะถือว่าเป็นการฆ่าตัวตาย ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าโนอาห์เป็นผู้ถูกเลือกระดับ E

“นี่ครับ” โนอาห์พูดอย่างไม่ถือตัว ขณะที่เขาแสดงหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้คนขับใช้เครื่องสแกนและยืนยันว่าเขาได้รับมอบหมายให้ไปที่ป้อมปราการนี้จริงๆ หลังจากได้รับการยืนยันโนอาห์ก็ไปขึ้นรถและสังเกตเห็นว่าเขาเป็นคนแรกที่มาถึง

แต่นั่นก็ไม่ได้มีความสำคัญกับเขา เขาเลือกที่นั่งริมหน้าต่างแบบสุ่มเหมือนเดิมแล้วโนอาห์ก็สวมหูฟังของตัวเองและฟังเพลงในขณะที่เขาหัวเราะให้กับทัศนคติที่แตกต่างจากปกติของคนขับ

ในขณะที่ปกติเขาจะโดนคนขับรถที่จะไปป้อมปราการระดับ F เยาะเย้ยอยู่ตลอดเวลา แต่พอเขามาที่ป้อมปราการระดับ E คนขับรถพวกนี้กับปฏิบัติต่อเขาเหมือนราชาทันที ชายผู้มีแผลเป็นเป็นผู้ถูกเลือกเพียงคนเดียวที่เหนือระดับ F แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้เช่นกัน

โดยที่โนอาห์ไม่สังเกตเห็นมีคนขึ้นรถและมองเขาด้วยสีหน้าสับสน แต่เนื่องจากโนอาห์ไม่ได้ให้ความสนใจบุคคลนั้นจึงเดินไปและนั่งที่เบาะหลังของรถบัส

ในเวลาไม่กี่นาทีผู้ถูกเลือก 15 คนที่จะบุกเข้าไปในป้อมปราการก็มาถึงบนรถบัสและยานพาหนะก็จากไปอย่างเงียบๆ เนื่องจากเครื่องยนต์ในทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงเผาไหม้อีกต่อไปทำให้รถบัสเคลื่อนที่ได้อย่างเงียบเชียบเหมือนรถขนาดเล็กที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า

เมื่อสังเกตเห็นการเคลื่อนที่ของรถบัสโนอาห์กลับไปให้ความสนใจนอกหน้าต่างและศึกษาภูมิประเทศ คราวนี้ป้อมปราการอยู่นอกเมืองเช่นกันแทนที่จะเป็นทางออกด้านตะวันออกที่พวกเขาใช้ในครั้งอื่นคราวนี้พวกเขาใช้ทางออกทางทิศตะวันตกของเมืองพาพวกเขาไปยังป่าใหญ่ที่มีต้นไม้ใบสีม่วงอยู่ทุกหนทุกแห่งแทนที่จะเป็นทะเลทรายอันเวิ้งว้าง

โนอาห์มองไปที่ต้นไม้ใหญ่สีสันสดใสและเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ในขณะที่ทบทวนว่าเขาจะใช้กลยุทธ์อะไรและเขาจะใช้ข้อแก้ตัวอะไรเพื่อให้สามารถเดินออกจากกลุ่มและฆ่าสัตว์ประหลาดตามลำพังเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องแบ่งปันค่าประสบการณ์กับทุกคน

ในไม่ช้ารถบัสก็เข้ามาใกล้ประตูวาปขนาดใหญ่ที่มีขอบที่ทำมาจากโลหะสีดำที่ไม่รู้จักและทนทานอย่างมาก ตรงกลางมีคลื่นพลังสีม่วงแปลกประหลาดซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายผู้ถูกเลือกไปยังป้อมปราการได้

นักวิทยาศาสตร์บางคนได้พยายามศึกษาโลหะแปลกๆที่ดูเหมือนจะทำลายไม่ได้นี้ แต่พวกเขาก็พิสูจน์ไม่ได้เพราะพวกเขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย เพราะโลหะนี้มีความทนมานมากเกินไป

รัฐบาลหลายแห่งในดาวเคราะห์สองสามดวงได้พยายามทำลายประตูวาปที่ห่างไกลจากอารยธรรมให้มากที่สุดด้วยระเบิดนิวเคลียร์ แต่การระเบิดดังกล่าวกลับทำอะไรให้กับประตูวาปไม่ได้เลย มันมีเพียงรอยขีดข่วนเล็กๆน้อยๆบนประตูวาปเท่านั้น ถึงพวกเขาจะพยายามขุดหลุมให้มันตกลงไป มันก็จะยังคงลอยอยู่ที่นั่นด้วยพลังลึกลับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ ราวกับว่ามันอยู่ที่นั่นตลอดเวลา และจะไม่มีวันหายไปจนกว่าบอสภายในป้อมปราการนั้นจะพ่ายแพ้

มีครั้งเดียวที่ประตูวาปได้รับความเสียหายมากที่สุดคือเมื่อผู้ถูกเลือกระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันเพื่อทำการโจมตีพร้อมกันครั้งใหญ่กับประตูวาปในประเทศที่ไม่มีใครอยู่ หลังจากการโจมตีทั้งหมดนั่นดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ที่อยู่แถวนั้นถูกทำลายลงไปเกือบหมด พลังทำลายมากถึงขนาดเปลี่ยนแปลงวงโคจรของดาวขนาดใหญ่ที่หมุนรอบตัวเอง แต่ความเสียหายที่ทำให้เกิดขึ้นได้กับประตูวาปคือประตูวาปมีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อยซึ่งมันแทบจะไม่ต่างไปจากเดิม

หลังจากเหตุการณ์นั้นมนุษยชาติค้นพบว่าประตูวาปไม่สามารถทำลายได้ หรือความแข็งแกร่งที่มนุษยชาติมีไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะทำลายพวกมันได้

เมื่อลงจากรถบัสผู้ถูกเลือกทุกคนก็รวมตัวกันรอบๆประตูและคนที่เผชิญหน้ากับโนอาห์เมื่อขึ้นรถบัสก็จำเขาได้ทันที

“เดี๋ยวก่อน…นายคือโนอาห์?!”

โนอาห์มองไปที่แฮร์รี่และผู้ชายที่อยู่ข้างๆเขาแล้วก็สงสัยว่าตัวตนของเขาคือใคร หลังจากเห็นความคล้ายคลึงกันของทั้งสองคนในแง่ของรูปลักษณ์ เช่นเดียวกับแฮร์รี่พี่ชายของเขาที่คาร์ลอสเรียกว่าโรเบิร์ตมีจมูกบางและผมหยิกสีน้ำตาลและมีร่างกายที่แข็งแรงซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ถูกเลือกระดับสูง

รูปร่างอ้วนเหมือนของชายผู้ถูกเลือกที่บุกเข้าไปในป้อมปราการระดับพิเศษพร้อมกับโนอาห์จะเป็นไปได้ในระดับล่างเท่านั้นเนื่องจากหลังจากระดับ E แล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะอยู่รอดในป้อมปราการโดยมีร่างกายแบบนั้น มอนสเตอร์ที่อยู่ข้างในนั้นเร็วกว่าและฉลาดกว่าในป้อมระดับ F มาก ดังนั้นการมีไขมันเยอะจนกลายเป็นคนอ้วนจะทำให้ผู้ถูกเลือกคนนั้นกลายเป็นเป้าหมายที่ใหญ่ แต่พวกเขาจะช้าเกินไปในป้อมปราการระดับนั้น เพราะในป้อมปราการระดับสูงคำว่า “เดิน” แทบจะถูกตัดทิ้งไปเลยทีเดียว

โรเบิร์ตพี่ชายของแฮร์รี่มองไปที่โนอาห์ด้วยสายตาที่งงงวยเนื่องจากเขาจำคนที่เขาคิดว่าเป็นพนักงานจอดรถได้ และตอนนี้เขาเห็นว่าชายคนนั้นคือชายที่น้องชายของเขาพูดถึง ซึ่งรอดชีวิตจากป้อมปราการระดับพิเศษได้ พรระดับ F เมื่อเห็นสิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจเนื่องจากโรเบิร์ตไม่คาดคิดว่าเขาจะพบผู้ถูกเลือกคนนี้ที่นี่

“นายกำลังหมายความว่านายเป็นผู้ถูกเลือกระดับ F ที่รอดชีวิตจากป้อมปราการระดับพิเศษกับน้องชายของฉันใช่ไหม ดูเหมือนว่านายก็ไม่ได้มีอะไรดีขนาดนั้น…” โรเบิร์ตพูดขณะที่เขามองโนอาห์ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรราวกับว่าเขาเป็นแค่พูดความจริง

โนอาห์เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาแปลกใจที่โรเบิร์ตพูดอย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่พอใจที่คนๆนี้มาทำลายบรรยากาศที่ดีระหว่างเขากับคาร์ลอส

“ฉันคิดว่าในสายตาของนายผู้ถูกเลือกระดับ F อย่างฉันก็คงน่าสงสารและไม่มีอะไรสำคัญสำหรับนายสินะ” โนอาห์พูดพร้อมแสร้งทำเป็นเชื่ออย่างแท้จริงว่าโรเบิร์ตเหนือกว่าเขามาก

“เป็นเรื่องดีที่คุณรู้เรื่องนี้ จากที่น้องชายของฉันบอกฉันเห็นได้ชัดว่านายแข็งแกร่งกว่าระดับ F ธรรมดาๆ นายอยู่ระดับอะไร F สูงสุดงั้นหรอ หรืออาจจะเป็นหนึ่งในกรณีที่หายากที่สามารถทำได้เกินระดับตัวเอง?” โรเบิร์ตถามโนอาห์ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“กรณีที่สามารถทำได้เกินระดับของตัวเองเป็นอะไรที่หายากมากถ้าเป็นฉันฉันก็คงดีใจ แต่ฉันอยู่ในจุดสูงสุดของระดับ F เท่านั้น” โนอาห์พูดพร้อมแสร้งทำเป็นเสียใจ เขาแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาที่นี่เช่นเดียวกับที่เขาทำกับเลขาของลุง แต่สถานการณ์นี้แตกต่างออกไปจากสิ่งที่เขาทำกับพวกเลขา เพราะพวกเขาจะพยายามตีเขาอยู่ดี ดังนั้นโนอาห์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจะต้องต่อสู้กลับดังนั้นเขาจะต้องแสดงให้เห็นถึงพลังของตัวเอง ไม่ต้องพูดถึงว่าผู้ถูกเลือกที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้ลุงของเขาคือผู้ถูกเลือกระดับ D และนั่นเป็นสิ่งที่โนอาห์ยังสามารถรับมือได้

แต่ตอนนี้เรื่องเกี่ยวกับโรเบิร์ตโนอาห์รู้ดีว่าเขาอาจจะเจอปัญหา เพราะโรเบิร์ตอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับ D และเกือบที่จะอยู่ที่ระดับ C แล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าเขา

ดังนั้นโนอาห์จึงตัดสินใจที่จะรักษาภาพของการเป็นเพียผู้ถูกเลือกระดับ F ที่อ่อนแอไว้ และเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สำหรับศัตรูที่มีพลังมากกว่าเขาเยอะมาก เพราะการเปิดเผยความแข็งแกร่งของตัวเองอาจเป็นการฆ่าตัวตาย

“หื้ม ช่างน่าเสียดายจริงๆฉันคิดว่านายเป็นพนักงานขับรถจริงๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นนายจะมีโอกาสตายน้อยลง” โรเบิร์ตพูดก่อนจะหันไปพร้อมกับแฮร์รี่ที่เดินตามมาพร้อมกับส่งยิ้มเย้ยหยันให้โนอาห์

ทุกครั้งที่โรเบิร์ตพูดอะไรโนอาห์ต้องรั้งคาร์ลอสไว้เพื่อไม่ให้คาร์ลอสเข้าไปยุ่ง เขารู้จากการแสดงออกของเพื่อนเขา ว่าเพื่อนเขากำลังโกรธมากที่เห็นว่าโนอาห์ถูกปฏิบัติอย่างไร แต่โนอาห์ไม่สามารถปล่อยให้คาร์ลอสทำให้เรื่องแย่ลงได้

“ใจเย็นๆนายคิดว่าคนงี่เง่าพวกนั้นทำให้ฉันโกรธได้หรอ?” โนอาห์พูดกับคาร์ลอส

คาร์ลอสตะคอกและตอบโนอาห์

“ฉันไม่เคยชอบสองคนนี้ พวกเขาคิดว่าเพียงเพราะครอบครัวของพวกเขามี ผู้ถูกเลือกระดับ D มากมายและผู้ถูกเลือกระดับ C บางคน และถึงแม้ว่าพวกเขาจะเข้ามาในบ้านของฉันในฐานะแขก แต่พวกเขาก็ไม่แสดงความเคารพต่อฉัน ที่แย่กว่านั้นคือพวกเขาพูดจาไม่ดีกับเพื่อนของฉันต่อหน้าฉัน! ฉันทนไม่ไหวแล้ว”

“เอาหน่า ไม่ต้องกังวลไปพวกมันเป็นแค่สองคนงี่เง่า สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขาไม่มีผลกับฉัน” โนอาห์พูดด้วยน้ำเสียงสงบ เขาไม่ได้โกรธโรเบิร์ตเลยจริงๆ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้โกรธเพราะเขาไม่สนใจ แต่เขาแค่มองข้ามมันไป เขาแค่อยากสนุกกับช่วงเวลานี้กับเพื่อนของเขา

ในช่วงที่เหลือของงานปาร์ตี้คาร์ลอสได้บอกโนอาห์อย่างชัดเจนว่าเขามีความสุขที่โนอาห์มา เพราะถ้าโนอาห์ไม่มามันคงเป็นคืนที่ยาวนานสำหรับเขาที่ต้องสร้างความบันเทิงให้กับคนน่าเบือและคนที่เกี่ยวข้อง

โนอาห์อยู่ในช่วงดึกจนกระทั่งผู้คนเริ่มออกเดินทางกลับ เขาจึงเรียกวูเบอร์มารับเขา คาร์ลอสพยายามโน้มน้าวให้เขาอยู่ต่อเนื่องจากเขาได้ทำหลายครั้งแล้ว แต่โนอาห์บอกว่าเขามีนัดในวันรุ่งขึ้น โนอาห์จึงจากไป

วันรุ่งขึ้นโนอาห์เปิดแอป GBC บนโทรศัพท์มือถือของเขาและใส่โปรไฟล์ของเขาว่าเขากำลังมองหาป้อมปราการระดับ E นั่นคือวิธีที่รัฐบาลตัดสินใจว่าใครจะบุกเข้าไปในป้อมปราการ โดยปกติแล้วผู้ถูกเลือกจะได้รับการเข้าสู่ระบบในแอปพลิเคชันด้วยบัญชีที่ลงทะเบียนไว้แล้วและเมื่อใดก็ตามที่มีคนต้องการบุกป้อมปราการสิ่งเดียวที่ต้องทำคือใส่โปรไฟล์ให้พร้อมใช้งานและมองหาป้อมปราการ แต่ก็ยังมีอีกกรณีหนึ่งคือพวกเขาต้องการที่จะไปเป็นกลุ่มหรือร่วมมือกับคนที่พวกเขารู้จักอยู่แล้ว นั่นก็สามารถเลือกป้อมปราการและไปพร้อมกับกลุ่มได้เลย

โนอาห์ไม่เคยใช้ตัวเลือกกลุ่มเนื่องจากไม่มีใครเคยรู้สึกว่าเขามีความจำเป็นหรือมีประโยชน์มากพอที่จะได้รับเชิญให้เข้าร่วมการบุกป้อมปราการ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขามองหาป้อมปราการเขาก็จะหาป้อมปราการคนเดียวเสมอ

ตอนนี้เขาอยู่ระหว่างการค้นหาป้อมปราการ โนอาห์อาบน้ำและรับประทานอาหารเช้าก่อนที่จะฝึกฝนทักษะของตัวเอง ระบบบอกว่าทักษะของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นและเขาจะสามารถควบคุมมันได้มากขึ้นเมื่อมันพัฒนา แต่เขาไม่เพียงแค่ต้องการที่จะไว้วางใจมัน เขาต้องการฝึกฝนทักษะให้กับตัวเองเพื่อที่นอกจากจะคุ้นเคยกับมันแล้วเขายังสามารถเร่งพัฒนาทักษะของมันได้อีกด้วย

โนอาห์นั่งไขว่ห้างอยู่ในสวนด้านนอก เขาเลือกที่จะไม่อยู่ใกล้พุ่มไม้หรือต้นไม้ใดๆเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาอาจจะควบคุมไฟไม่ให้มันลุกลามได้ แต่เขาไม่อยากทำลายอะไรในสวนบ้านของเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้พุ่มไม้ใหญ่เกินไปเพราะพวกมันเติบโตขึ้นโดยไม่ได้รับการดูแลใดๆเนื่องจากเขาไม่มีเงิน

ด้วยมือที่เปิดอยู่เขาเริ่มควบคุมไฟให้ลอยอย่างสงบ โนอาห์รู้ว่าสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือปล่อยไฟออกจากมือและสร้างลูกบอลไฟประหลาดที่เขาบังคับให้ตัวเองพยายามเรียนรู้ในป้อมปราการ

การปล่อยไฟออกจากมือคือสิ่งที่เขาเรียนรู้ทันทีพร้อมกับพร ลูกบอลไฟคือสิ่งที่เขาประดิษฐ์ขึ้น ดังนั้นเนื่องจากเขารู้วิธีควบคุมการปล่อยไฟออกจากมือเป็นอย่างดีแล้ว ความคิดของโนอาห์คือเขาต้องการฝึกฝนการสร้างลูกบอลไฟให้ดีขึ้น

เมื่อมองไปที่เปลวไฟในมือของเขาอย่างแปลกประหลาดโนอาห์เริ่มพยายามที่จะควบแน่นเปลวไฟที่กระจายอยู่นั้นให้เล็กลงและเป็นลูกบอลมากขึ้นเนื่องจากนั่นเป็นสิ่งที่เขาทำในป้อมปราการและมันก็ได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ตอนแรกเปลวไฟเริ่มกลั่นตัวได้ดีในพื้นที่เล็กๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานมันก็ยากขึ้น ราวกับว่ามีสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นซึ่งป้องกันไม่ให้เปลวไฟกลั่นตัวต่อไป

ไฟที่ลอยอยู่ในมือของเขาตอนนี้ โนอาห์รู้สึกได้ว่าเมื่อเขาควบแน่นเปลวไฟ อุณหภูมิของมันจะสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าเส้นทางที่เขากำลังเดินไปนั้นเหมาะสมและถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง

โนอาห์เริ่มลองใหม่อีกครั้ง เขาพยายามปั้นลูกบอลให้ใหญ่ขึ้นและควบแน่นมัน แต่มันก็เหมือนกับว่ามีบางสิ่งขัดขว้างไม่ให้ควบแน่นและขยายใหญ่มันไปได้มากกว่านี้ ขีดจำกัดตอนนี้ในการควบแน่นคือ 5% ไม่ว่าจะทำยังไงต่อไปก็ไม่สามารถผ่านไปได้ หัวของโนอาห์เริ่มปวดจากการใช้พลังมาก และในตอนนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น โดยแจ้งเขาว่าพบป้อมปราการระดับ E แล้ว

“ทำไมฉันต้องกลัวสิ่งที่ฉันก็จะทำได้ในอนาคตด้วยละ”

เมื่อได้ยินคำตอบของโนอาห์หญิงสาวก็ประหลาดใจ ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงเขาก็อาจจะเป็นผู้ถูกเลือกระดับ C เช่นกัน แต่เขาดูไม่เหมือนผู้ถูกเลือกระดับ C เนื่องจากเมื่อมีคนปลุกพรที่ทรงพลังได้ เช่นนั้นบุคคลนั้นก็เริ่มมีความสัมพันธ์กับคนอื่นในระดับนั้นโดยสัญชาตญาณ และด้วยเหตุนี้พวกเขาก็จะเริ่มซึมซับขนบธรรมเนียมและกิริยามารยาทเหล่านั้นของวงสังคมที่เหมาะสมกับพวกเขา

แต่ชายตรงหน้าเธอคนนี้ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาเพิ่งผ่านช่วงแห่งการปลุกพรของตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ แต่เขาดูจะเห็นเหตุการณ์เหล่านี้กับคนพวกนี้มานานพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นขนบธรรมเนียมการเข้าร่วมกลุ่มหรือพวกเขาเป็นยังไง

นี่เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมทางจิตสำหรับมนุษยชาติ หากคุณต้องการเข้าร่วมกลุ่ม สมองของคุณจะเริ่มคัดลอกสิ่งที่คนในกลุ่มของคุณเป็น เพื่อให้พวกเขาเห็นว่าคุณเป็นหนึ่งในพวกเขาเอง

แต่สิ่งที่พูดถึงนี้กลับไม่ปรากฏในชายที่อยู่ตรงหน้าของเธอ เขาไม่ได้พยายามรวมตัวเองเข้าไปในแวดวงของคนกลุ่มนี้ ดังนั้นเขาจึงมีสไตล์ของตัวเอง

“น่าสนใจ…” เธอพูดกับตัวเองเสียงต่ำ

“ขอบคุณสำหรับการสนทนา ฉันหวังว่าจะได้พบใครบางคนที่น่าสนใจเหมือนคุณอีกในอนาคต” เธอบอกกับโนอาห์ก่อนที่จะจากไป

โนอาห์เฝ้าดูเธอจากไปจนกระทั่งเธอไม่อยู่ในสายตาของเขา เขาเป็นคนแบบนั้นเสมอ ถ้ามีคนมาคุยกับเขาโดยไม่ก้าวร้าวหรือพูดดีๆกับเขา เขาก็จะสุภาพกับพวกเขาเช่นกัน มันเป็นคำพูดเก่าๆที่เขาเคยได้ยินมาตลอด

“ถ้าให้ข้าวฉันดีๆสักเม็ด ในอนาคตฉันจะให้คุณคืนหนึ่งกำมือ แต่ถ้าให้ข้าวไม่ดีฉันละก็คุณก็จะไม่ได้อะไรเช่นกัน”

โดยพื้นฐานแล้วเขาจะไม่หยิ่งผยองหรือปฏิบัติต่อใครไม่ดีโดยไม่มีเหตุผล แต่ถ้าคนๆนั้นปฏิบัติต่อเขาไม่ดีเขาก็จะเสียความรู้สึกทั้งหมดไปกับคนๆนั้น

หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับชายอ้วนโนอาห์ก็พบว่าไม่มีอะไรน่าดูอีกต่อไปดังนั้นเมื่อเห็นว่าจานของเขาว่างเปล่าแล้วเขาจึงหยิบมันขึ้นมาและเตรียมจะไปหยิบอาหารเพิ่ม แต่ก่อนที่เขาจะเริ่มมุ่งหน้าไปที่โต๊ะอาหารเขาก็ได้ยินใครบางคนพูดกับเขา

“ดูเหมือนว่าคุณไม่ได้กินมาหลายวันแล้ว คุณไม่มีอาหารที่บ้านเหรอ?”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นโนอาห์ไม่ได้โกรธ แต่เปิดรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเขาเมื่อเขาหันไปและเห็นคาร์ลอสมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มที่กว้างใหญ่เหมือนของเขาเอง ทั้งสองเป็นเช่นนั้น เมื่อมีโอกาสที่จะสร้างความสนุกสนานซึ่งกันและกัน พวกเขาก็จะทำมัน แต่แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ทำกันจนถึงต้องทะเลาะกัน

“บ้านฉันไม่มีกิน แต่บ้านนายเหมือนจะมีให้กินทั้งบ้านเลยนะ!” โนอาห์หัวเราะในขณะที่กอดคาร์ลอสและล้อเลียนท้องของคาร์ลอสซึ่งตอนที่พวกเขาอยู่ในโรงเรียนคาร์ลอสไม่ได้อ้วนขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากอยู่บ้านหรือที่บริษัทของพ่อแม่เขา เขาก็เริ่มตัวกลมไปตามกาลเวลา

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูดคาร์ลอสก็ชกไหล่เพื่อนของเขาแล้วหัวเราะ

“ฉันไม่สามารถเถียงนายได้จริงๆ แต่ฉันก็กำลังพูดคุยกับผู้ที่ได้รับพรจากเทพแห่งความงามผู้ที่กินอาหารได้มากเท่าที่ต้องการแต่ร่างกายยังคงสมบูรณ์แบบโดยที่ไม่ต้องออกกำลังกายหรือทำอะไรอย่างที่ควรจะเป็น!”

“ว่าไงเพื่อน!” โนอาห์ตอบพร้อมยกแขนขึ้นอย่างยอมแพ้และหัวเราะกับเพื่อนของเขาหลังจากล้อเล่นกับเพื่อนของเขาเสร็จ

“ฉันคิดถึงนายมาก เราไม่ได้อยู่ด้วยกันนานแล้ว ชีวิตนายเป็นยังไงบ้าง นายเลิกบุกป้อมปราการแล้วหรือยัง?” คาร์ลอสถามอย่างเป็นห่วง เขารู้ดีว่าโนอาห์ไม่ได้รับพรที่มีระดับสูงดังนั้นโอกาสที่เพื่อนสนิทของเขาจะตายในป้อมปราการแบบสุ่มจึงมีสูงมาก

“ฉันก็คิดถึงนายเหมือนกัน วันนี้ฉันบุกไปที่ป้อมปราการซึ่งสุดท้ายแล้วมันดันกลายเป็นป้อมปราการระดับพิเศษ” โนอาห์ตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เดี๋ยวก่อน…นายอยู่ในป้อมปราการระดับพิเศษด้วยงั้นหรอ เรื่องนี้กำลังเป็นที่พูดถึงเพราะรัฐบาลออกมาแจ้งและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับมันให้พวกเราทุกคนรู้ ป้อมปราการระดับพิเศษนี้เหลือผู้รอดชีวิตเพียงแค่ 4 คนเท่านั้น และอีก 11 คนที่เหลือเสียชีวิตทั้งหมด และคนที่รอดชีวิตออกมาได้มีคนหนึ่งเป็นน้องชายของโรเบิร์ต เขาบอกทุกคนว่าเขาตื่นเต้นแค่ไหนที่เขารอดชีวิตออกมาจากป้อมปรการนั้นได้” คาร์ลอสกล่าวด้วยใบหน้าที่ประหลาดใจ

“โอ้…นายพูดจริงงั้นหรอ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ฉันใช้เวลาทั้งวันอยู่กับแม็กกี้ ดังนั้นฉันเลยไม่ได้สนใจข่าวมากนัก แต่นายรู้จักคนที่เข้าร่วมป้อมปราการครั้งนี้ด้วยงั้นหรอ คนๆนั้นเป็นใคร?” โนอาห์ถามด้วยความประหลาดใจ เขาไม่คิดว่าคาร์ลอสจะรู้จักใครในป้อมปราการแห่งนั้น

“เขาเป็นน้องชายของโรเบิร์ต โรเบิร์ตตื่นขึ้นมาพร้อมกับพรระดับ C เมื่ออายุ 16 ปีและตอนนี้เขาอายุ 23 เขาได้มาถึงจุดสูงสุดของผู้ถูกเลือกระดับ D แล้ว ซึ่งมันเกือบจะข้ามเกณฑ์ระหว่างระดับ D และระดับ C น้องชายของเขาพรก็ตื่นขึ้นเมื่ออายุ 16 ปีด้วยเหมือนกัน แต่แตกต่างจากพี่ชายของเขาคือพรของเขาอยู่ในระดับ D เท่านั้น ดังนั้นผู้คนจึงไม่ให้ความสนใจเขามากเท่ากับที่พวกเขาทำกับพี่ชาย” คาร์ลอสกล่าว

หลังจากได้ยินคำอธิบายของเพื่อนโนอาห์ก็รู้แล้วว่าเขาพูดถึงใคร ในป้อมปราการนั้นมีเพียงคนเดียวที่เหมาะสมกับลักษณะที่คาร์ลอสอธิบายไว้ ตอนนี้สิ่งที่โนอาห์รู้ก็คือแฮร์รี่มีพี่ชายที่มีพรระดับ C

ในแต่ละระดับความแข็งแกร่งของบุคคลที่มีพรจะก้าวกระโดดอย่างมาก ไม่ต้องพูดถึงด้วยระดับที่สูงขนาดนี้ ยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ความแตกต่างก็จะมากขึ้นเท่านั้น โดยทั่วไปแล้วผู้ถูกเลือกจะเรียนรู้วิธีการควบคุมพรของเขาได้วิธีเดียว แฮรี่รู้วิธีสร้างแท่งน้ำแข็ง ชายที่โนอาห์ฆ่านั้นรู้วิธีทำให้ร่างกายของเขากลายเป็นไม้ ชายอีกคนรู้วิธีทำให้อุณหภูมิรอบตัวสูงขึ้น

เพื่อให้สามารถควบคุมพรของตนเองให้ทำอย่างอื่นได้นอกจากการทำได้เพียงอย่างเดียว ผู้ถูกเลือกจะต้องฝึกฝนให้มากขึ้นเพื่อให้พรมีความสามารถที่สูงขึ้น มีผู้ถูกเลือกระดับ D บางคนที่ไม่สามารถควบคุมทักษะของตัวเองได้เลยทำให้เขามีเพียงพลังที่ได้รับมาหลังจากการได้รับพรมาเท่านั้น

สำหรับพี่ชายของแฮร์รี่ที่เกือบจะไปถึงระดับ C ได้อย่างรวดเร็ว นั่นแสดงว่าเขาก็มีพรสวรรค์ที่ดีอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาน่าจะต้องมีทักษะพิเศษเพิ่มขึ้นอย่างน้อยหนึ่งอย่างแน่ๆ

“เดี๋ยวก่อน…น้องชายของโรเบิร์ตเล่าถึงผู้คนทั้งหมดที่ออกมาจากป้อมปราการระดับพิเศษที่ยังมีชีวิตอยู่และพวกเขาทุกคนก็มีพรที่ดี…เธอนายออกมาจากที่นั้นทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่…อย่าบอกนะว่า…” คาร์ลอสมองไปที่โนอาห์ด้วยท่าทางตกใจ

โนอาห์ไม่พูดอะไรและเพียงแค่ยกมือขึ้น ในฝ่ามือของเขาก็มีเปลวไฟเล็กๆปรากฏขึ้นมาจากอากาศและลอยอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่านั้นราวกับว่ามันมีชีวิตของมันเอง

โนอาห์อยากมีกล้องเพื่อบันทึกใบหน้าประหลาดใจที่คาร์ลอสกำลังทำอยู่

“ฉันบอกนายแล้วว่าฉันยังไม่รู้วิธีควบคุมพรของฉันให้ดี และฉันก็จะบอกนายว่าเมื่อเร็วๆนี้ ฉันสามารถควบคุมมันได้แล้ว”

คาร์ลอสตกตะลึงอยู่สองสามวินาทีจนกระทั่งในที่สุดเขาก็ยิ้มกว้างบนใบหน้าของเขามีความสุขอย่างแท้จริง ในที่สุดเพื่อนของเขาก็สามารถควบคุมพรของเขาได้แล้ว โนอาห์เคยพูดกับเขาตั้งแต่ตอนที่พรของเขาตื่นขึ้นมา แต่ถึงแม้คาร์ลอสจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเขา แต่ก็ยากที่จะเชื่อเรื่องที่เพื่อนของเขาเล่า ไม่เคยมีกรณีของบุคคลที่มีพรที่ไม่สามารถควบคุมพรของตัวเองได้ แต่ตอนนี้การได้เห็นโนอาห์สามารถควบคุมเปลวไฟที่อยู่เหนือมือของเขาราวกับว่ามันไม่ใช่แค่เปลวไฟ แต่มันมีอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาด นั่นทำให้ความสงสัยทั้งหมดที่คาร์ลอสมีหายไป

“เราต้องฉลองแล้ว!” คาร์ลอสกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเขา

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดใบหน้าของโนอาห์ก็เปลี่ยนสีและเขาแสดงสีหน้าเป็นกังวลทันที ครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นคาร์ลอสอยากจะฉลองอะไรแบบนี้มันไม่ได้จบลงด้วยดี สิ่งเดียวที่โนอาห์จำได้คือในตอนเช้าที่เขาลืมตาขึ้นมา เขาเห็นวอดก้าและวิสกี้เปล่าหลายขวดอยู่บนโต๊ะขณะที่คาร์ลอสกำลังนอนกอดสุนัขอยู่บนพื้น

“ไม่ไม่! ไม่แน่นอน! อย่าแม้แต่จะคิด! ฉันมีนัดในวันพรุ่งนี้!” โนอาห์ไม่ปล่อยให้คาร์ลอสทำตามความคิดของเขาต่อไป โนอาห์ต้องพัฒนาทักษะของเขาและได้รับประสบการณ์มากขึ้นเพื่อปลดล็อกทักษะอื่น เขาไม่สามารถเสียเวลาไปกับการดื่มมาทั้งวันและใช้เวลาอีกสามวันกับอาการเมาค้าง

“ให้ตายเถอะ…เอาล่ะวันนี้เราอาจจะไม่ได้ฉลองกัน แต่ซักวันเราจะได้ฉลองมันแน่ๆ!” คาร์ลอสพูดตื่นเต้นน้อยลงกว่าเดิมเล็กน้อย

ในขณะที่ทั้งสองหัวเราะและเยาะเย้ยกันโนอาห์สังเกตเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจากมุมตาของเขาที่มองมาที่เขาด้วยความอาฆาตพยาบาท เมื่อเขาหันไปดูว่าเป็นใครเขาก็เห็นว่าเป็นแฮร์รี่ใบหน้าของเขายังคงดูเหนื่อยล้า แต่คุณสามารถเห็นความภาคภูมิใจเบื้องหลังความเหนื่อยล้านั้น อาจเป็นเพราะเขาภูมิใจในตัวเองมากในขณะที่คนอื่นยกย่องเขา

และด้านข้างของแฮร์รี่มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่โนอาห์รู้จักอยู่แล้วเช่นกัน คนๆนั้นมองเขาด้วยความงงงวย ชายคนนั้นเป็นเจ้าของรถ Mercedes AMG ที่บอกให้โนอาห์ไปจอดรถโดยคิดว่าเขาเป็นคนจอดรถ

โนอาห์ไม่ได้ดูเวลาเลยว่าเขานั่งอยู่ที่นานแค่ไหนแล้ว เขาลูบหัวของแม็กกี้ในขณะที่เธอนอนหลับอยู่บนตักของเขา จนกระทั่งมีพยาบาลเข้ามาในห้องแล้วชี้ไปที่นาฬิกา

โนอาห์เคยชินกับมันแล้วเขาระวังไม่ให้ตัวของเขาไปปลุกแม็กกี้ให้ตื่น เขาจึงค่อยๆลุกขึ้นจากเตียงและจูบเธอที่หน้าผาก

“พี่รักเธอนะ” เขาพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยนขณะมองไปที่เด็กหญิงตัวเล็กบอบบางก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเชื่องช้าและเงียบเฉียบเพื่อไม่ให้เธอตื่น

หลังจากออกจากโรงพยาบาลโนอาห์หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและใช้แอพวูเบอร์เพื่อไปที่บ้านของคาร์ลอสเนื่องจากตอนที่เขาดูนาฬิกาก็เป็นเวลา 19.00 น. แล้ว

ทางจากโรงพยาบาลไปยังบ้านของคาร์ลอสนั้นราบรื่นมากเพราะหลังจากหลายปีของการพัฒนาระบบการจราจรที่มีประสิทธิภาพทำให้รถติดขัดบนท้องถนนได้ยากมาก ดังนั้นแม้ว่าถนนจะยาวสักหน่อยแต่รถวูเบอร์ก็ไม่จำเป็นต้องหยุดรถหลายๆครั้งและสามารถรักษาความเร็วคงที่ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องชะลอตัวโนอาห์ก็ไปถึงบ้านของคาร์ลอสในเวลาเพียง 30 นาที

คนขับรถวูเบอร์ประหลาดใจเมื่อเห็นขนาดของคฤหาสน์ที่พวกเขามาถึง โนอาห์คุ้นเคยกับบ้านของคาร์ลอสมากแล้ว แม้ว่ามันจะเป็นคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีดีไซน์ทันสมัยมีห้องนอนและห้องนั่งเล่นหลายห้องรวมทั้งมีสนามหญ้าขนาดใหญ่และโอ่อ่า หลังจากมาที่นี่หลายครั้งโนอาห์ก็คุ้นเคยกับสถานที่นั้นโดยธรรมชาติ เขาไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนกับคนขับวูเบอร์

แน่นอนว่าถึงเขาจะเคยชินกับสถานที่สวยงามขนาดนี้จากการที่เขามาบ่อยแค่ไหน แต่นั้นก็ไม่ได้หยุดการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยที่คอยตรวจตราหน้าประตูทางเข้า เพราะยังไงเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็จะดูคนที่เข้ามาในบ้านทุกๆคน เมื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนอยู่ตรงนั้นเห็นโนอาห์ก็ไม่มีใครถามอะไรเขา พวกเขาเพียงเปิดประตูและปล่อยให้โนอาห์เข้าไปในบ้าน

เส้นทางจากประตูบ้านที่เขาเพิ่งผ่านไปยังบ้านนั้นมีระยะทางกว่า 100 เมตร แต่โนอาห์ไม่รีบร้อน เขาชอบเดินในทางเข้านี้มาโดยตลอดเนื่องจากการอยู่คนเดียวในสภาพแวดล้อมที่สวยงามและผ่อนคลายเช่นนี้ช่วยให้เขามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น และมันช่วยให้เขาคิดหาวิธีแก้ปัญหาต่างๆได้

หลังจากเดินไม่กี่นาทีโนอาห์ก็มาถึงทางเข้าของคฤหาสน์ ก่อนที่เขาจะเข้าไปเขาเห็นรถหรูคันหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเขานั่นคือ Mercedes AMG รุ่นใหม่ล่าสุด เครื่องยนต์ของรถส่งเสียงดังราวกับว่ามันต้องการให้ทุกคนรู้ว่ามันมาถึงแล้ว

โนอาห์สังเกตเห็นความสวยงามของรถเพียงเล็กน้อยเนื่องจากเขาชอบรถมากตั้งแต่ยังเด็ก แต่ในไม่ช้าเขาก็หมดความสนใจ ขณะที่เขากำลังจะเข้าไปในคฤหาสน์รถก็หยุดอยู่ข้างๆเขาและคนขับก็ลงจากรถเพื่อคุยกับเขา

“นายเป็นคนรับรถหรือเปล่า เอารถไปเก็บด้วยและอย่าทำให้รถของฉันมีรอยแม้แต่นิดเดียว” คนขับรถพูดขณะที่เขามองไปที่โนอาหพร้อมกับชี้ไปที่รถ

โนอาห์ไม่เข้าใจอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งเขารู้ว่าเจ้าของรถกำลังคุยกับเขา เขามองไปที่ชายคนนั้นอย่างใจเย็นและตอบว่า

“ฉันไม่ใช่คนรับรถ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูดเจ้าของรถก็มองเขาขึ้นและลงขณะที่เขาประเมินเขา

‘เขาอาจจะสวย แต่เสื้อผ้าราคาถูกพวกนั้นไม่อาจหลอกฉันได้ บางทีเขาอาจจะเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟที่มาสาย?’ ชายคนนั้นคิดก่อนตอบด้วยน้ำเสียงสั่งการ

“งั้นก็หาพนักงานจอดรถให้ฉันแล้วบอกให้เขาเอารถไปจอด”

โนอาห์ไม่ชอบน้ำเสียงของคำสั่งที่ชายคนนี้ใช้และตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า

“ไม่”

ก่อนจะหันหลังกลับและเดินเข้าไปในคฤหาสน์ที่เขารู้จักเป็นอย่างดี

ราวกับว่าเป็นบ้านของเขาเองโนอาห์เดินไปที่บริเวณงานเลี้ยงโดยไม่กังวลและมองหาคาร์ลอส เมื่อเขาเข้ามาคาร์ลอสกำลังคุยกับชายชราบางคนซึ่งอาจเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของพ่อของเขา เพื่อที่จะไม่รบกวนคาร์ลอสโนอาห์จึงไปที่โต๊ะอาหารเพื่อหาอะไรกินเนื่องจากเขาไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่ที่โรงพยาบาล

เมื่อมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเก๋ไก๋และซับซ้อนโนอาห์ก็รู้สึกอึดอัด ไม่ใช่เพราะเขาไม่คิดว่าอาหารนั้นหรูหราเกินไปสำหรับเขา แต่เป็นเพราะเขาชอบอาหารที่เรียบง่ายกว่าเนื่องจากมีปริมาณมากกว่าและเขาสามารถกินมันได้ทั้งหมด ความหิวของเขามันแตกต่างกับอาหารจานเล็กๆที่มีความซับซ้อนพวกนี้

เมื่อพบสิ่งที่เขาชอบโนอาห์หยิบจานเล็กๆและเริ่มกินของที่เขาชอบกิน

เนื่องจากความหิวโหยที่เขากำลังประสบอยู่โนอาห์จึงวางอาหารไว้มากมายบนจานของเขา ทำให้อาหารพูนออกจากจานใบเล็กของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สนใจเรื่องนี้

หลังจากเขาหยิบอาหารเสร็จเขาก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ว่างที่หนึ่งและวางจานของเขาและยืนพิงมันในขณะที่กินและมองดูผู้คนไปพร้อมๆกัน

คนส่วนใหญ่ในห้องนั้นสวยมาก คนน่าเกลียดที่หายากมักเป็นผู้ชายที่มาพร้อมกับผู้หญิงที่สวยมาก เป็นเรื่องตลกสำหรับโนอาห์ที่เห็นคนเหล่านี้ทำหน้าตาจริงจังปรับเสื้อผ้าให้ดูจริงจังและสวยงามที่สุดเท่าที่จะทำได้

มีแม้กระทั่งชายอ้วนที่หน้าแดงไปหมดอาจเป็นเพราะเขาใส่เข็มขัดรัดรูปไว้ใต้สูทเพื่อพยายามซ่อนพุงใหญ่ของเขา แต่ก็ล้มเหลวอย่างน่าอนาถเมื่อร่างกายส่วนที่เหลือเผยให้เห็นว่าเขาอ้วนแค่ไหน โนอาห์เริ่มรู้สึกสนุกที่ได้เห็นชายคนนี้แทบจะหายใจไม่ออก ในช่วงเวลาสั้นๆชายคนนี้ต้องนั่งลงและลุกขึ้นสามครั้งติดต่อกันเพื่อทักทายผู้คนที่เข้ามาคุยกับเขา แต่ทุกครั้งที่ชายคนนั้นลุกขึ้นโนอาห์เห็นใบหน้าของเขาแดงขึ้น

ชายผู้ซึ่งเคยหน้าแดงเพียงเล็กน้อยตอนนี้แดงราวกับมะเขือเทศ คนอื่นๆแสร้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่เห็น มันเป็นการแสดงความเคารพต่อชายคนนั้นหรือเพราะพวกเขากำลังต่อสู้กับปัญหาที่คล้ายกัน แต่โนอาห์ไม่สนใจ เขาเพียงแค่ยิ้มและหัวเราะให้กับสถานการณ์ที่ตลก

ทันใดนั้นโนอาห์ก็ได้ยินเสียงหวานๆข้างๆเขา

“อยู่ตามมุมคนเดียวกับจานอาหารที่มีอาหารมากมายและหัวเราะด้วยท่าทางราวกับว่าคุณกำลังดูการแสดงตลก และดูจากตัวคุณแล้วมันก็ยากที่จะบอกได้ว่าเรามาจากสภาพแวดล้อมเดียวกัน”

เมื่อเขาหันกลับไปเขาก็เห็นสาวสวยอายุ 18 หรือ 19 ปี ผมสีบลอนด์ที่ยาวไม่ถึงไหล่และสวมชุดสีเหลืองกำลังมองมาที่เขาด้วยสีหน้าสนใจ

“คุณต้องเรียนรู้วิธีที่จะสนุกกับการแสดงที่โลกนี้เตรียมไว้ให้คุณ” โนอาห์พูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเขาขณะที่เขาหยุดมอง เธอและเขามองกลับไปที่ชายอ้วนพร้อมกัน

“ดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นใน 3…2…1… ตอนนี้!”

เมื่อโนอาห์พูดว่า “ตอนนี้” ชายที่เขาเฝ้าดูไม่สามารถใส่เข็มขัดได้อีกต่อไปและด้วยความสิ้นหวังเขาจึงดึงเสื้อสูทออกและด้วยมือที่สั่นเทาเขาดึงเข็มขัดที่มีรัดรูปออกจากท้องของเขาขณะที่เขายืดตัวบนเก้าอี้พร้อมกับเหงื่อที่เหมือนกับเขาไปวิ่งมาราธอนมา

เมื่อโนอาห์เห็นชายคนนี้หายใจด้วยความยินดีและคนอื่นๆก็หันออกไปเพื่อที่จะไม่ทำให้ชายคนนั้นอับอาย และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่หัวเราะกับสถานการณ์ของเขา

โนอาห์กลั้นที่จะไม่หัวเราะไม่ได้ เขาหัวเราะเบาๆกับสถานการณ์ที่เขาเห็น

ในขณะที่เขาหยิบขนมอีกชิ้นจากจานบนเคาน์เตอร์ที่เขาหยิบออกมา ผู้หญิงข้างๆเขามองเขาด้วยความสนใจมากขึ้น ในตอนนี้เธอต้องหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้งเพื่อไม่ให้หัวเราะกับสถานการณ์ของผู้ชายคนนั้น

มันเหมือนกับกฎที่ไม่ได้เขียนไว้สำหรับสภาพแวดล้อมแบบนี้ที่จะเคารพใครก็ตามที่พยายามรักษารูปลักษณ์ไว้ แต่เห็นได้ชัดว่าชายตรงหน้าเธอไม่สนใจกฎนั้นเลย เขาเพียงแต่จ้องมองและหัวเราะอย่างเปิดเผยกับสถานการณ์ของชายคนนั้น

“คุณคงไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแวดวงนี้ใช่ไหม” เธอถาม

โนอาห์กำลังมองหาคนอื่นๆเพื่อดูและไม่หันกลับไปหาเธอ พร้อมกับตอบว่า

“ไม่ ฉันไม่มีเงินที่จะเข้าร่วมในแวดวงแบบนี้หรอก และฉันก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในเรื่องแบบนี้ด้วย”

เมื่อเห็นว่าโนอาห์ไม่ได้ให้ความสนใจกับเธอมากนักผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ความอยากรู้อยากเห็นของเธอทำให้เธอคุยกับเขา

“แต่คุณก็ไม่กลัวคนเหล่านี้เหมือนกัน คุณก็รู้ว่าในหมู่พวกเขามีบางคนที่เป็นผู้ถูกเลือกระดับ C แต่คุณก็ยังไม่สนใจ ทำไมละ?”

โนอาห์พบว่าคำถามนี้น่าสนใจในที่สุดเขาก็หันมามองตาผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง และพูดอย่างใจเย็นว่า

“ทำไมฉันต้องกลัวสิ่งที่ฉันก็จะทำได้ในอนาคตด้วยละ”

เมื่อโนอาห์มองไปที่โทรศัพท์มือถือของเขา โนอาห์ก็เห็นว่าเป็นเพื่อนของเขาเพียงคนเดียวที่เป็นคนส่งข้อความมาหาเขา คาร์ลอส

[คาร์ลอส: เฮ้เพื่อน เป็นยังไงบ้าง?]

โนอาห์ไม่เคยสนใจที่จะหาเพื่อนใหม่ แต่เขาให้ความสำคัญกับคนที่ห่วงใยเขาเสมอและคาร์ลอสก็เป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะรู้ว่าโนอาห์เป็นผู้ถูกเลือกระดับ F และโนอาห์เป็นคนยากจนคาร์ลอสก็ไม่เคยดูหมิ่นโนอาห์หรือปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ดีเพราะเหตุผลพวกนั้น

คาร์ลอสเป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่ไม่ได้รับพรจากพระเจ้า แต่สำหรับเขามันไม่สำคัญเพราะถึงแม้ว่าเขาจะได้รับพรระดับ C มาครอบครัวของเขาก็จะไม่อนุญาตให้เขาบุกป้อมปราการเพื่อให้เขาแข็งแกร่งขึ้นอยู่ดี พวกเขามี บริษัทรถยนต์เป็นของตัวเอง อาจกล่าวได้ว่ารถยนต์ส่วนใหญ่ทั่วประเทศผลิตโดยพ่อแม่ของคาร์ลอส ดังนั้นแม้ว่าเขาจะบุกป้อมปราการระดับ C ทุกวันและรอดชีวิตมาได้ แต่เขาก็แทบจะไม่สามารถหาเงินได้มากไปกว่าการทำธุรกิจของครอบครัว

แต่ถึงแม้จะมีเงินมากมายและอนาคตที่สดใสคาร์ลอสก็ไม่เคยปฏิบัติต่อโนอาห์อย่างเลวร้าย ถ้าไม่ใช่เพราะโนอาห์ดื้อรั้นเกินไปเขาจะเสนอให้โนอาห์ทำงานกับเขาและให้เงินเดือนเขาด้วย ทั้งเขายังต้องการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้น้องสาวของเขาอีกด้วย แต่โนอาห์ก็ไม่เคยยอมรับมัน

โนอาห์รู้ว่ามิตรภาพที่แท้จริงสำคัญขนาดไหนหลังจากที่ได้เห็นผู้คนมากมายหันหลังให้เขาเมื่อพรที่เขาได้รับมามีเพียงระดับ F เท่านั้น เขาไม่ต้องการให้มิตรภาพที่เขาพัฒนาและสร้างร่วมกับคาร์ลอสต้องจบลงเพราะเงิน เขาจึงไม่เคยยอมรับเงินใดๆจากคาร์ลอส โอกาสเดียวที่เขาจะเอาเงินจากเพื่อนคือถ้าน้องสาวของเขาตกอยู่ในอันตรายและเขาไม่มีเงินที่จะดูแลเธอ แต่เขาก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้น

[โนอาห์: ฉันกำลังจะไปเยี่ยมแม็กกี้ แล้วนายละเป็นไงบ้าง?]

[คาร์ลอส: โอ้ ฉันก็อยากไปเยี่ยมเธอเหมือนกัน ฝากบอกเธอด้วยนะว่าฉันคิดถึงและส่งกอดไปให้ด้วย!]

[โนอาห์: ฉันจะบอกเธอให้นะ ขอบคุณมาก]

[คาร์ลอส: พ่อแม่ของฉันกำลังจัดงานปาร์ตี้ที่บ้าน แต่นายรู้ไหมว่าฉันคิดว่างานปาร์ตี้พวกนี้น่าเบื่อขนาดไหน คืนนี้นายมาที่นี่ได้ไหม? ถ้าฉันได้คุยกับนาย ฉันอาจจะได้หัวเราะบ้าง]

[โนอาห์: วันนี้เป็นวันที่ฉันเครียดนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องของป้อมปราการ มันก็คงดีถ้าฉันได้ออกไปข้างนอกสักพัก งั้นฉันจะไปหานายละกัน]

[คาร์ลอส: เยี่ยมมาก! นายสามารถมาที่นี่ได้ตอนประมาณ 19:00 น. ถ้านายมีปัญหาในการมา ฉันสามารเรียก วูเบอร์ ไปรับนายได้นะ]

[โนอาห์: ไม่เป็นไรฉันยังมีเงินอยู่บ้าง ฉันจ่ายค่าวูเบอร์เองได้แล้วเจอกันนะ]

[คาร์ลอส: เจอกัน!]

เมื่อโนอาห์คุยกับคาร์ลอสเสร็จเขาก็เดินไปที่ป้ายรถเมย์เพื่อที่จะไปที่โรงพยาบาล เขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะไปหาคาร์ลอส เพราะนั่นจะทำให้เขาได้รู้พูดคุยกับเพื่อนของเขาและผ่อนคลายกับสิ่งที่เขาเจอมา แม้ว่าเขาจะดีใจที่ในที่สุดเขาก็ได้รับพรมาแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาไปบุกป้อมปราการและเสียเพื่อนร่วมทีมไปมากกว่าครึ่งก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดีเช่นกัน

หนึ่งในอาชีพที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในปัจจุบันคืออาชีพนักจิตวิทยาเนื่องจากผู้ถูกเลือกจำนานมากมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการทางจิตเมื่อเห็นผู้เสียชีวิตจำนวนมากและต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่มีอันตรายมากมาย อันตรายที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้นมีความเสี่ยงเป็นอย่างมาก หลังจากที่ได้เห็นว่าประชากรมีภาวะซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้นขนาดไหน รัฐบาลจึงให้เงินทุนแก่นักจิตวิทยาหลายๆคนและพัฒนาโปรแกรมแรงจูงใจต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้ปรึกษากับนักจิตวิทยาโดยเฉพาะผู้ถูกเลือก

เหมือนกับว่าคาร์ลอสได้รับบทเป็นนักจิตวิทยาให้กับโนอาห์เนื่องจากพวกเขามักจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ นอกจากนี้เมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันพวกเขามักจะหาวิธีที่จะทำให้ปัญหาถูกแก้ไขโดยไม่ต้องพึ่งเครื่องดื่มหรือสารเสพติดใดๆ

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล พยาบาลก็จำโนอาห์ได้ทันทีเพราะเขาเป็นคนที่มาเยี่ยมบ่อย แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของเขาซึ่งมักจะดึงดูดความสนใจเป็นอย่างมากเมื่อเขามาถึง

เมื่อเจ้าหน้าที่ดูแลเห็นชายอายุ 20 ปีเดินเข้ามาหาเธอโดยมีผมสีดำสั้นๆ ที่ปรกตาและชุดรัดรูปนั้นบ่งบอกถึงกล้ามเนื้อที่กระชับของร่างกายได้เป็นอย่างดี เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้เขาและพูดว่า ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า

“สวัสดีโนอาห์ นายมาเยี่ยมแม็กกี้อีกแล้วเหรอ”

เมื่อเห็นผู้ดูแลที่เป็นมิตรซึ่งปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดีเสมอมาโนอาห์ก็ยิ้มเล็กๆและตอบเธอว่า

“ใช่แล้ว เธอยังอยู่ห้องเดิมอยู่ใช่ไหม?” โนอาห์อาจจะโหดร้ายกับคนที่ปฏิบัติต่อเขาไม่ดี แต่สำหรับคนที่ปฏิบัติกับเขาอย่างดี เขาก็จะปฏิบัติต่อพวกเขาดีด้วยเช่นกัน

“ใช่แล้วห้อง 501 หมอบอกว่าหมอจะปลุกเธอไว้ก่อน 5 นาทีที่นายจะมาถึง นายจะได้ใช้เวลากับเธอได้เต็มที่” พยาบาลพูดขณะที่มองโนอาห์ด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณที่บอกฉันนะเอลลี่ ฉันกำลังอยากคุยกับเธอพอดีเลย” โนอาห์ยิ้มให้เธอและโบกมือขณะที่เขาจากไป

เมื่อเห็นโนอาห์จากไปผู้ดูแลที่ชื่อเอลลีก็ยิ้มออกมาขณะที่เธอมองดูเขาเดินไปที่ลิฟต์อย่างสง่างามเพื่อไปเยี่ยมน้องสาวของเขา

เธอได้รับการว่าจ้างที่โรงพยาบาลเมื่อ 3 ปีก่อนและตั้งแต่เธอได้รับการว่าจ้าง ทุกๆสัปดาห์เธอก็จะเห็นชายหนุ่มคนนั้นมาเยี่ยมน้องสาวของเขาอย่างน้อยสองสามครั้ง

“ถ้าฉันยังเด็กกว่านี้ละก็…” เธอถอนหายใจ

“เธอไม่ใช่คนเดียวที่อยากเป็นน้องของเขาเอลลี” ผู้ดูแลคนอื่นๆหัวเราะเล็กน้อยขณะที่เธอชี้ไปที่คนอื่นๆที่มองโนอาห์ที่กำลังเดินในห้องโถงของโรงพยาบาล

เอลลีมองไปรอบๆและอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเธอรู้ว่ามีคนอย่างน้อย 10 คน มองตามโนอาห์ด้วยสายตาผิดหวังในขณะที่เขาเดินจากไป เมื่อเวลาผ่านไปโนอาห์เองก็เคยชินกับรูปลักษณ์และเหตุการณ์เหล่านี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้ไปโดยปริยาย

โนอาห์เดินไปตามทางที่คุ้นเคย โนอาห์ทักทายทุกคนที่ใบหน้าคุ้นเคยซึ่งโบกมือให้เขาอย่างสุภาพจนกระทั่งมาถึงประตูห้อง 501

เมื่อมองเข้าไปข้างในโนอาห์เห็นเด็กหญิงวัย 6 ขวบที่สวยงามนั่งอยู่บนเตียงขณะทิ่เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอมีผมสีดำสนิทและตรงเช่นเดียวกับเขา ผิวของเธอซีดมากไม่ใช่เพราะเธอขาวมาก แต่เป็นเพราะเธอไม่ได้ออกจากห้องนั้นมาหลายปีแล้ว เนื่องจากหน้าต่างอยู่ตรงข้ามประตูโนอาห์จึงมองไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่เขารู้ดีว่าเธอน่ารักแค่ไหนและแน่ใจว่าเธอมีสีหน้ากังวลขณะที่เธอมองออกไป

เมื่อรู้ว่าเธอไม่มีสมาธิอยู่กับตัว โนอาห์จึงเดินเข้าไปใกล้เธออย่างเงียบๆ และเข้าไปใกล้หูของเธอก่อนจะพูดด้วยเสียงต่ำๆว่า

“เธอกำลังมองหาใครอยู่หรอ?”

เมื่อได้ยินเสียงใกล้ๆเธอ แม็กกี้ก็ตกใจทันที ถ้าไม่ติดว่าร่างกายของเธอไม่อ่อนแอจากโรคของเธอ เธอก็คงจะกระโดดลงจากเตียงทันที

เมื่อเธอกลัวแม็กกี้ก็มองกลับไปด้วยความตกใจ แต่เมื่อเธอเห็นว่าคนๆนั้นคือโนอาห์ เธอก็เปลี่ยนการมองของเธอจากความกลัวเป็นความสุขแทน และนั่นทำให้เธอน่ารักเป็นอย่างมาก

“โนอาาาาา!!!!” เธอร้องออกมาขณะที่เธอโอบแขนเล็กๆของเธอไว้รอบๆคอของโนอาห์เพื่อกอดพี่ชายของเธอ

“หนูกำลังมองหาพี่อยู่!!”

รอยยิ้มขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาขณะที่เขากอดน้องสาวของเขากลับ การได้เห็นเธออ่อนแอมากๆทำให้หัวใจของเขาปวดร้าวเป็นอย่างมาก หลังจากที่เห็นเธอใช้พลังงานไปมากเพียงเพราะเธอตื่นเต้นที่เขามาเยี่ยมเธอ

“ใจเย็นๆ เธอใช้พลังงานมากไม่ได้นะ ไม่งั้นวันนี้เธอจะอยู่เล่นกับพี่ได้ยังไง”

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูดแม็กกี้ก็ลังเลอยู่พักหนึ่งโดยไม่รู้ว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะเลิกกอดพี่ชายของเธอแรงๆ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็ปล่อยเขา เพราะเธอต้องการคุยกับเขาและได้ยินเกี่ยวกับการผจญภัยที่เขาได้เผชิญมา

แน่นอนโนอาห์ไม่เคยบอกเธอถึงสิ่งที่อันตรายและน่ากลัวที่เกิดขึ้นในป้อมปราการ เขาเพิ่งเล่าส่วนที่ดีที่สุดและน่าตื่นเต้นที่สุดราวกับว่ามันเป็นหนังสือนิทาน

แม็กกี้ชอบที่จะได้ยินทุกสิ่งที่พี่ชายของเธอพูดและครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน ทุกคำที่โนอาห์พูดแม็กกี้ให้ความสนใจราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ ดังนั้นพี่น้องจึงใช้เวลาสองสามชั่วโมงอย่างไร้กังวลเพียงแค่พูดคุยและเล่นเกมเล็กๆ

เมื่อมองไปที่แม็กกี้ที่กำลังนอนหลับโดยให้ศีรษะของเธอวางอยู่บนตักของเขา โนอาห์พูดเบาๆ

“ไม่ต้องกังวลแม็กกี้ฉันจะรักษาเธอให้หาย และฉันจะพาเธอออกไปจากที่นี่พร้อมกับสุขภาพที่ดีในเวลาไม่นาน…”

โนอาห์ยังคงสวมผ้าขนหนูนั่งอยู่บนเตียง แต่ไม่มีสิ่งใดสำคัญสำหรับเขา เขากำลังจะเปิดหน้าต่างของระบบขึ้นมาเพื่อดูว่ามีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง

‘ข้อมูลส่วนตัว’ เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 01]

[ประสบการณ์: 32/100]

[HP: 10/10]

[ความแข็งแรง: 10]

[ความคล่องตัว: 10]

[ความแข็งแกร่ง: 10]

[สกิว:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 01 : 61/100

คำอธิบายสกิว: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

‘อืม…มอนเตอร์ของป้อมปราการระดับ E น่าจะได้รับค่าประสบการณ์มากกว่ามอนเตอร์ของป้อมปราการระดับ F ดังนั้นฉันคิดว่าในการบุกป้อมปราการครั้งต่อไป ฉันน่าจะสามารถยกระดับความสามารถของเปลวเพลิงจากนรกของฉันได้ ในตอนนี้มันก็มีพลังเท่านี้แล้ว อดตื่นเต้นไม่ได้เลยเมื่อคิดว่ามันพัฒนาแล้วจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน’ เขายิ้มขณะที่เขาคิดถึงความเป็นไปได้ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับความสามารถที่ทรงพลังนี้เมื่อมันพัฒนาขึ้น

‘ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าฉันสามารถทำอย่างอื่นกับระบบได้ไหม นอกจากการดูหน้าจอค่าสถานะ’ โนอาห์คิดขณะที่เขาวางมือบนคางและดูหน้าจอที่ลอยอยู่ตรงหน้าของเขา

ทันใดนั้นเขาก็มองไปที่คำว่า ‘เลเวล’ บนหน้าจอของเขาและจดจ่ออยู่กับบรรทัดนั้นและจินตนาการถึงการเปิดมัน และด้วยความประหลาดใจอยู่ๆก็มีหน้าต่างเล็กๆหน้าต่างหนึ่งปรากฏขึ้นจากคำว่า ‘เลเวล’ พร้อมกับคำอธิบายว่ามันคืออะไร

[เลเวล: ระบบบอกความแข็งแกร่งของผู้ใช้กับพลังของลูซิเฟอร์ ยิ่งผู้ใช้มีเลเวลสูงเท่าใดความแข็งแกร่งของผู้ใช้ก็จะยิ่งใกล้เคียงกันมากขึ้นกับความแข็งแกร่งของลูซิเฟอร์ เมื่อเลเวลสูงขึ้นผู้ใช้จะได้รับความสามารถลึกลับจากลูซิเฟอร์ เมื่อผู้ใช้ได้รับทักษะทั้งหมดและยกระดับพวกมันทั้งหมดให้สูงสุดระบบจะคาดการณ์ว่าผู้ใช้จะมีความแข็งแกร่งเท่ากับ ‘เทวดาตกสวรรค์ ลูซิเฟอร์’ ซึ่งถูกเรียกว่าทูตสวรรค์ที่ทรงพลังที่สุดและได้กลายเป็นจอมมาร]

ในขณะนั้นโนอาห์ได้สูญเสียความเยือกเย็นไปทันที เพราะจากคำอธิบายของระบบคำว่า ‘เลเวล’ นี่มันหมายความว่าความสามารถในการใช้ เปลวไฟจากนรก ของเขาสามารถพัฒนาขึ้นจนเทียบเท่าได้กับระดับ B ระดับ A หรือเขาอาจจะไปถึงระดับ S ในตำนานได้ ถ้าเขามีความพยายามมากพอ

‘ถ้าฉันสามารถไปอยู่ในจุดที่สูงขึ้นด้วยสกิวเปลวไฟแห่งนรกสกิวเดียว ฉันจะสามารถไปได้สูงขนาดไหนกันนะ หลังจากที่ฉันอัพเลเวลหลายๆครั้ง บางทีฉันอาจจะไปถึงระดับตำนานที่เป็นเพียงแค่ตำนานพวกนั้นได้ไหม? ไม่…ฉันจะไม่หลอกตัวเอง นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องคิดในอนาคตข้างหน้า มันจะไม่มีทางเป็นไปได้ ถ้าฉันไม่แก้ไขสถานการณ์ปัจจุบันตรงนี้ให้ได้ก่อน’ โนอาห์พยายามสงบสติอารมณ์ลง แต่เมื่อเขาคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตกับความแข็งแกร่งที่เขาอาจจะไปได้ถึง มันก็ยากที่จะทำให้เขาสงบลงได้

เพื่อให้หัวของเขาเย็นลงเล็กน้อยโนอาห์จึงลุกขึ้นจากเตียงและไปใส่ชุดเพราะเขายังนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่

เขามองตัวเองในกระจกเขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงรูปลักษณ์ของเขา เป็นเรื่องที่เข้าใจได้สำหรับผู้คนที่คิดว่าเขาได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งความงามเนื่องจากเขาหล่อขึ้นกว่าเดิมมาก หล่อจนบางครั้งมันก็ไม่สะดวกด้วยซ้ำ เพราะบางครั้งเขากลับโดนล่วงละเมิดทางเพศในตอนที่เขากำลังเดินอยู่ สิ่งที่เจนนี่พูดเกี่ยวกับเขาก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่ไม่จริง เพราะบางครั้งผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าและร่ำรวยบางคนก็เสนอที่จะสนับสนุนเขาเพื่อแลกกับการเป็น “ของเล่นที่เอาไว้สนองตัณหาของพวกเธอ”

‘บางทีนั่นอาจเป็นความแตกต่างระหว่างการได้รับพรจากเทพเจ้าและการเป็นผู้สืบทอดของเทพเจ้า ตามระบบฉันกำลังสืบทอดทุกอย่างที่ลูซิเฟอร์มีแต่ฉันสงสัยว่า…เกิดอะไรขึ้นกับลูซิเฟอร์ ทำไมเขาถึงต้องการผู้สืบทอด?…ฉันหวังว่าสักวันจะได้พบกับท่าน’ เขาส่ายหัวเพื่อโยนความคิดเหล่านั้นไปที่ด้านหลังของจิตใจในขณะนี้และกลับไปที่การแต่งตัว

ตอนนี้โนอาห์กลับไปเปิดหน้าต่างสถานะอีกครั้งและเปิดหน้าต่างย่อยของทุกสิ่งที่มีให้เขาอ่าน น่าเสียดายที่มันไม่ได้มีข้อมูลอะไรเพิ่มมากมาย ที่สำคัญคือหน้าต่างที่เกี่ยวกับระดับเท่านั้น

‘ฉันไม่รู้ว่าระบบจะเปิดตัวฟังก์ชันใหม่ในอนาคตหรือเปล่า แต่สำหรับตอนนี้ฉันพอใจกับสิ่งที่ฉันมี เมื่อมองไปที่ทุกอย่างจากหน้าต่างนั้นฉันคิดว่าสิ่งเดียวที่อาจช่วยให้ฉันทำเงินได้มากขึ้นคือทักษะของตัวเองหรือทักษะอื่นๆที่ฉันจะได้รับในอนาคต’ โนอาห์คิด

‘ฉันหวังว่าสกิวบางอย่างจะปลดล็อคเมื่อเลเวลของฉันเพิ่มขึ้นและช่วยให้ฉันสามารถหาเงินได้มากขึ้นนอกจากการบุกป้อมปราการเพียงอย่างเดียว เพราะฉันไม่คิดว่าการบุกป้อมปราการเพียงอย่างเดียวจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการหาเงิน และฉันก้ไม่รู้ด้วยว่าเมื่อไหร่เปลวไฟแห่งนรกของฉันจะพัฒนาได้มากกว่านี้และต้องทำขนาดไหนถึงจะได้รับการเพิ่มระดับอีกครั้ง’

*บี๊บ, บี๊บ, บี๊บ, บี๊บ*…

สัญญาณเตือนการแจ้งเตือนขนาดเล็กเริ่มดังขึ้นบนโทรศัพท์มือถือของโนอาห์ เขาไม่จำเป็นต้องมองด้วยซ้ำว่าอะไรทำให้เกิดเสียงดัง เพราะเขารู้ดีว่านั่นคือคำเตือนที่เขาตั้งโปรแกรมไว้เตือนให้เขาออกจากบ้านเพื่อที่เขาจะได้ไปถึงโรงพยาบาลก่อนเวลาเยี่ยมจะเริ่มขึ้นเพื่อที่เขาจะได้ใช้เวลาอยู่กับน้องสาวของเขาได้มากที่สุด

โนอาห์หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าโดยสวมเสื้อเชิ้ตสีดำไม่มีลาย กางเกงขายาวสีดำ และรองเท้าผ้าใบสีขาว ปกติเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับการเลือกเสื้อผ้าของเขามากนักยิ่งเป็นหลังจากการบุกป้อมปราการเขายิ่งไม่สนใจมันยิ่งกว่าเดิม แต่ในสถานการณ์เช่นนี้เขามักจะเลือกเสื้อผ้าที่ดีที่สุดที่เขามีในตู้เสมอ

เนื่องจากเขาไม่เคยมีเงินเหลือเลยจำนวนเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าของเขาจึงมีจำกัด ดังนั้นเขาจึงใช้เสื้อผ้าเก่าและสวมใส่เป็นประจำทุกวันในขณะที่เก็บเสื้อผ้าใหม่ล่าสุดและสวยที่สุดไว้เสมอในช่วงเวลาที่เขาต้องไปเยี่ยมน้องสาวของเขาที่โรงพยาบาล

เนื่องจากโรงพยาบาลอยู่ห่างจากบ้านของเขาเล็กน้อยโนอาห์จึงไปที่สถานีขนส่งใกล้ๆและในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีรถบัสก็หยุดให้เขาเข้าไป

การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นขณะที่เขาอยู่บนรถบัส เขาคุ้นเคยกับรูปลักษณ์ที่เขาเป็นกับการใส่เสื้อผ้าเก่าๆเดินอยู่บนถนน แต่เขาก็มีความอึดอัดเล็กน้อยที่เขาส่วมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ไปพบกับน้องสาวของเขา

เมื่อรถบัสมาถึงโรงพยาบาลจู่ๆโทรศัพท์มือถือของเขาก็ได้รับการแจ้งเตือน เมื่อมองดูว่ามันคืออะไรโนอาห์รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นการแจ้งเตือนเป็นข้อความบางอย่าง

โนอาห์รู้ดีว่าการฆ่าชายคนนี้มากเกินไปสำหรับสิ่งที่ชายคนนั้นทำ เพราะโนอาห์ไม่ใช่คนประเภทที่ว่าใครพูดไม่ดีต่อครอบครัวเขาแล้วจะฆ่าทิ้งทั้งหมด สาเหตุเป็นเพราะการที่ชายคนนั้นทุบตีเขามาตลอด 4 ปีและโนอาห์ก็ได้รับความเดือดร้อนจากเขามามากมาย และด้วยเหตุผลหลักอีกอย่างหนึ่งคือ เขาอยากจะรู้ว่าการฆ่าคนจะได้รับประสบการณ์เท่าไหร่ เพราะตอนเขาอยู่ในป้อมปราการเขาไม่ได้ฆ่าใคร สิ่งเดียวที่เขาพยายามจะทำคือการใช้เปลวไฟจากนรกดูดซับร่างของคนที่ตายจากราชาแห่งหนู

หลังจากที่ผู้ถูกเลือกคนนั้นถูกเผาตาย หน้าต่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของโนอาห์มันเขียนว่า

[ได้รับค่าประสบการณ์ 4 หน่วย]

เห็นได้ชัดว่าค่าประสบการณ์ที่ได้รับจากการฆ่ามนุษย์เป็นค่าประสบการณ์ที่น่าประหลาดใจมาก เพราะมันไม่ได้สิ้นเปลืองพลังงานมากมาย แถมยังได้ค่าประสบการณ์มากกว่าปกติถึง 3 เท่าจากการฆ่ามอนเตอร์ระดับ F ปกติ

เมื่อเห็นผลลัพธ์เหล่านี้ทำให้โนอาห์มีความคิดที่จะฆ่ามนุษย์คนอื่นๆเพื่อหาค่าประสบการณ์มาเพิ่มพลังของเปลวเพลิงจากนรก แต่มันก็เป็นความคิดแค่แว๊บเดียว เพราะโนอาห์รู้ดีว่าถ้าเขาทำแบบนั้น เขาจะโดนประกาศจับและตามล่าโดยรัฐบาล เพราะเขาจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง

ในโลกที่พวกเขาอาศัยอยู่ตอนนี้เป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ การฆ่ากันเองไม่ใช่เรื่องผิดปกติตราบใดที่พวกเขามีเหตุผล การฆ่ากันจะไม่ถือเป็นอาชญากรรม ระบบนี้สนับสนุนคนที่มีอำนาจอย่างชัดเจน แต่ในกรณีของโนอาห์ที่อยู่ท่ามกลางกล้องวงจรปิดหลายตัว เขามักจะถูกทำร้ายอยู่เสมอ ดังนั้นหากมีใครตัดสินใจโทรไปแจ้งตำรวจ แล้วมีการไต่สวนกันเกิดขึ้น เขาก็จะถือว่านี่เป็นการป้องกันตัวที่ถูกต้อง ดังนั้นโนอาห์จึงฆ่าชายคนนี้ได้อย่างไม่ต้องลังเล

เขาไม่เคยนำบันทุกกล้องวงจรปิดตัวใดไปให้กับตำรวจ เพราะเขารู้ว่าลุงของเขาเป็นคนสำคัญและมีอิทธิพลในเมืองของพวกเขา ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเอาบันทึกวีดีโอไปให้เจ้าหน้าที่ ลุงของเขาก็แค่ใช้เส้นสายที่เขามีและบอกว่าโนอาห์เป็นหนี้เขาและทุกอย่างจะได้รับการคลี่คลาย แต่ตอนนี้ความตายได้เกิดขึ้นแล้วหากมีคนสำคัญหรือมีอำนาจมากกว่ามาตรวจสอบลุงของเขาก็จะไม่สามารถหลบหนีได้เพียงแค่ได้รับการเตือนเท่านั้น

เมื่อโนอาห์คิดได้ทั้งหมดนี้เขาก็ไม่ได้คิดที่จะฆ่าคนทั้งหมด เพราะเขารู้ว่ามันไม่คุ้มค่าที่จะทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นเรื่องใหญ่

เมื่อหน้าต่างแจ้งเตือนหายไปจากด้านหน้าของโนอาห์เขาก็เลื่อนสายตาไปที่เจนนี่ตามทิศทางของเลขาและมองเธอด้วยสายตาเย็นชา แต่รอยยิ้มเล็กๆ ยังคงหลุดรอดที่มุมปากของเขาขณะที่เขานึกถึงอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ตอนนี้เขาเริ่มรู้เกี่ยวกับพรของเขามากขึ้นและนั่นทำให้เขานึกถึงอนาคตที่สดใสที่กำลังรอเขาอยู่

“แกฆ่าเขาทำไม” เจนนี่หายใจเข้าไปเฮือกหนึ่งเพื่อสงบสติอารมณ์ของตัวเองและมองไปที่โนอาห์อีกครั้งด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว

“เขาทำร้ายฉันมามากเกินไปแล้ว และฉันคิดว่าฉันควรทำตามนโยบายที่เธอใช้กับฉันกับเขาเหมือนกัน ฉันคืนให้ทั้งต้นและดอกเบี้ยเลย เธอไม่คิดเหมือนกับฉันหรอเจนนี่?” โนอาห์ตอบราวกับว่าเขากำลังอธิบายสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในโลกให้เธอฟัง

“เขาทำร้ายแกหรอ เขาแค่พูดแต่แกชักมีดออกมาและใช้…พรของแก…ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่แกมีพรนี่?!” เจนนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง แต่เมื่อพูดถึงกลางประโยคเธอก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไป

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอไม่เคยเห็นโนอาห์ใช้พรของเขามาก่อน เธอจึงเชื่อว่าพรของโนอาห์ทำได้เพียงทำให้เขาดูดีขึ้นแค่นั้น แต่ตอนนี้เมื่อมองเห็นเขาใช้พรอันทรงพลังที่สามารถฆ่าผู้ถูกเลือกระดับ E ให้ตายได้…พรของเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

เมื่อมองไปที่คนตายที่อยู่บนพื้นชายอีกคนที่ติดตามเจนนี่ในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็เริ่มสงสัยว่าเขาสามารถฆ่าผู้ถูกเลือกระดับ E ด้วยพรของเขาได้ไวขนาดนั้นหรือไม่ เพราะพรของเขาก็เกี่ยวข้องกับไฟด้วยเช่นกัน แต่สิ่งที่เขารู้คือพรของเขาสามารถเพิ่มอุณหภูมิรอบๆเป้าหมายได้จนกว่าเป้าหมายจะตายหรืออย่างน้อยก็ทำให้เป้าหมายไม่สามารถอยู่อย่างปกติได้เท่านั้น

เขารู้ว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 นาทีในการฆ่าผู้ถูกเลือกระดับ E ที่เป็นเพื่อนร่วมงานของเขาคนนั้นแต่ 3 นาทีนี้เป็นในกรณีที่ไม่มีการตอบโต้ใดๆ แต่ในความเป็นจริงจะต้องมีการตอบโต้และใช้พรหรือพลังของเขาเพื่อปกป้องตัวเองอีก เพราะฉะนั้นมันจะต้องใช้เวลามากกว่า 3 นาทีแน่นอน

“ไอ้เจ้าหนูนี่จะต้องมีความแข็งแกร่งอย่างน้อยระดับ E กลางๆแน่…” ชายคนนั้นบ่นพึมพำและเจนนี่ที่อยู่ข้างๆเขาก็ได้ยิน

เธอไม่สงสัยในคำพูดของชายคนนี้เนื่องจากตัวเขาเองก็เป็นผู้ถูกเลือกระดับ E ดังนั้นแน่นอนว่าเขารู้วิธีวัดว่าความแข็งแกร่งของอีกคนที่ได้รับพรนั้นใกล้เคียงกับเขาหรือไม่ มันทำให้เธอประหลาดใจอีกครั้งและเธอก็มองไปที่โนอาห์เพื่อประเมินเขาอีกครั้ง

“ฉันได้รับพรมาตั้งแต่ฉันอายุ 16 มันก็เป็นความรู้ทั่วไปนี่ว่าทุกคนจะได้รับพรก็ต่อเมื่ออายุ 16 ตอนนี้เราคุยกันจบแล้ว ฉันจ่ายเงินไปแล้ว และไม่ต้องกังวลฉันจะจ่ายหนี้ที่ฉันติดไว้จนกว่าจะหมดในอนาคตแน่นอน แต่อย่าคิดว่าฉันจะลืมสิ่งที่เธอทำกับฉันในเวลาที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน” เนื่องจากโนอาห์ได้แสดงความแข็งแกร่งของตัวเองต่อพวกเขาด้วยการฆ่าชายคนนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดๆอีกต่อไปที่เขาจะแสร้งเป็นคนถ่อมตัวและก้มหัวยอมจำนนเพื่อซ่อนความแข็งแกร่งของตัวเอง

เจนนี่ไม่เคยเห็นเขาทำตัวแบบนี้มาก่อนและนั้นทำให้เธอเป็นกังวล แม้ว่าบางครั้งเธอจะไม่ได้รับเงินทั้งหมดที่ควรได้รับในแต่ละสัปดาห์ แต่สิ่งที่พวกเขาต้องทำก็คือทุบตีเขาเพียงเล็กน้อย และเขาจะพยายามอย่างหนักเพื่อหาเงินมาให้กับพวกเขา โดยรวมแล้วมันเป็นงานที่ง่ายๆ แต่ตอนนี้การจัดการกับเด็กผู้ชายคนนี้ที่เคยเป็น “หนูน้อยขี้กลัว” ที่พวกเขาคุ้นเคยได้เปลี่ยนไปแล้ว

‘ฉันต้องบอกเจ้านายของฉันเรื่องนี้ ฉันไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้ในสัปดาห์หน้าหากไม่มีการเตรียมตัวให้พร้อม ใครจะรู้? ด้วยเหตุผลบางอย่างเด็กคนนี้อาจบ้าคลั่งและต้องการฆ่าฉันเพื่อล้างแค้น!’ เจนนี่คิดอย่างเป็นห่วงตัวเอง

“เอาล่ะ อย่าลืมเตรียมเงินไว้สำหรับสัปดาห์หน้า อย่าคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้จะเกิดขึ้นอีกครั้ง พยายามทำตัวให้ดีเข้าละหนูน้อย” เธอพยายามพูดรักษาท่าทางหยิ่งผยองของเธอไว้ แต่เมื่อเธอเห็นท่าทางเย็นชาที่โนอาห์กำลังมอบให้เธอความกลัวตายก็พุ่งเข้าใส่เธอและเธอก็รีบหันไป

ชายอีกคนเดินตามเจนนี่ไปด้วยท่าทางหนักอึ้งขณะที่เขาจ้องไปที่ศพที่ไหม้เกรียมของเพื่อนร่วมงานของเขา เขาตัดสินใจยกร่างของชายคนนั้นหลังจากที่เห็นว่าโนอาห์ไม่สนใจว่าเขาจะทำอะไรกับมัน

หลังจากวางร่างของชายคนนั้นไว้ในกระโปรงหลังรถแล้วทั้งสองก็ออกไป เหลือโนอาห์อยู่เพียงลำพังในที่สุด

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะให้พวกแกจ่ายสำหรับสิ่งที่พวกแกทำกับฉันด้วยดอกเบี้ยเหมือนกับที่แกทำและเหมือนกับที่พวกแกต้องการหาประโยชน์จากแม่ของฉันและทำให้เธอหมดหวังจนถึงขั้นหัวใจวาย พวกแกจะได้รู้สึกถึงความสิ้นหวังนี้อาจจะไม่ใช่วันนี้หรือวันพรุ่งนี้ แต่วันนั้นจะต้องมาถึงอย่างแน่นอน ฉันจะให้พวกแกชดใช้ความทุกข์ทรมานของครอบครัวฉันทั้งหมด” โนอาห์พูดด้วยเสียงต่ำกับตัวเองในขณะที่เขา ดูรถหรูที่ขับออกไป

เมื่อหันไปโนอาห์มองไปที่บ้านที่เขาเติบโตขึ้นมา ในขณะที่เขาเปิดประตูบ้านโนอาห์มองออกไปที่สนามหญ้าขนาดใหญ่ที่บ้านหลังหนึ่งที่เคยหรูหราเป็นอย่างมาก ตามที่แม่ของเขา เธอบอกว่าบ้านหลังนี้ถูกมอบให้เป็นของขวัญแต่งงานของพวกเขาโดยครอบครัวของพ่อซึ่งเขาไม่เคยรู้จัก

เมื่อเข้ามาในบ้านความรู้สึกโดดเดี่ยวก็เข้ามากระทบตัวของโนอาห์ เมื่อเขามองออกไปและไม่เห็นใครอยู่ในบ้านเลย

ในขณะที่อาบน้ำร้อนโนอาห์ใช้เวลาคิดเกี่ยวกับชีวิตของเขาและสิ่งที่เขาสามารถทำได้เพื่อช่วยน้องสาวของเขา เงินที่เขามีเพียงพอสำหรับการรักษาน้องสาวบางส่วนในโรงพยาบาลเท่านั้น การจะทำให้เธอหายดีเขาจะต้องใช้เงินมากขึ้น และเขาพึ่งพาได้เพียงแค่ตัวเขาเองเท่านั้นในการหาวิธีการสร้างรายได้ให้มากขึ้น

ในขณะที่เขาออกจากห้องน้ำโดยมีผ้าขนหนูพันรอบเอวโนอาห์จำได้ว่าระบบได้เปิดใช้งานทักษะบางส่วนแล้วและเขาไม่มีเวลามากพอที่จะตรวจสอบคุณสมบัติทั้งหมดที่ปลดล็อคให้เขา

ตอนนี้เขาอยู่ในบ้านอย่างสะดวกสบายโนอาห์จึงมีโอกาสได้ดูว่าระบบที่แปลกประหลาดและน่าอัศจรรย์นี้จะให้อะไรแก่เขาได้บ้าง

“ใครจะไปรู้ มันอาจมีความเป็นไปได้ที่ฉันจะสร้างรายได้จากระบบนี้” โนอาห์คิดอย่างมีความหวังขณะที่เขามองไปที่หน้าต่างของระบบที่กำลังลอยอยู่ตรงหน้าของเขา

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของโนอาห์หญิงสาวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

“ดูเหมือนว่าหนูตัวเล็กตัวนี้จะได้เงินมานิดหน่อยนะ เกิดอะไรขึ้นแกวิ่งหนีเพราะแกรู้สึกหมดหวังกับชีวิตของแกในการบุกป้อมปราการใช่ไหม? แกหนีออกมาพร้อมกับเงินแค่ส่วนหนึ่งละสิ” เธอถามเขาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดผู้ถูกเลือกระดับ E ทั้งสองก็หัวเราะและมองไปที่โนอาห์ด้วยความรังเกียจ สำหรับพวกเขาผู้ถูกเลือกอย่างโนอาห์เป็นสิ่งที่พวกเขารังเกียจในการบุกป้อมปราการ เพราะคนอย่างโนอาห์เป็นพวกที่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากวิ่งหนีและไม่ช่วยเหลือทีม อาจกล่าวได้ว่าการทุบตีโนอาห์ก็เป็นเหมือนวิธีที่พวกเขาจะแก้แค้นให้กับคนอื่นๆที่โนอาห์ไปเข้าร่วมการบุกป้อมปราการด้วย

โนอาห์สามารถบอกได้เลยว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่สำคัญที่สุดในการบุกป้อมปราการพิเศษในครั้งนี้ แต่เขาจะไม่ได้รับอะไรเลยจากการบอกพวกเขาอย่างนั้น ในทางกลับกันเขาไม่มีเหตุผลที่จะบอกศัตรูว่าเขามีพลังมากแค่ไหนและเขาก็ไม่ใช่ผู้ถูกเลือกที่อ่อนแออีกต่อไป

“ฉันได้เงินมายังไงไม่สำคัญ ที่สำคัญคือฉันมีเงินอยู่ในมือ” โนอาห์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เห็นได้ชัดว่าโนอาห์ไม่ต้องการทั่จะให้เงินที่เขาต้องเสี่ยงชีวิตไปให้คนเหล่านี้ซึ่งมักจะมีเป้าหมายที่จะเอาทุกอย่างไปจากเขาและน้องสาวของเขา แต่พวกเขายังไม่สามารถทำอะไรได้เพราะโนอาห์ยังจ่ายเงินให้พวกเขาอยู่นั่นทำให้พวกเขาไม่สามารถเอาบ้านของโนอาห์ไปได้

เมื่อได้ยินโนอาห์ยืนยันว่าเขามีเงินเหลืออยู่จริงๆ ทำให้เลขาของลุงเขาประหลาดใจ เธอรู้ว่าผู้ถูกเลือกระดับ F จะได้เงินประมาณไหนในการบุกป้อมปราการ เมื่อเห็นว่าโนอาห์มีเงินมากพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยนั่นทำให้เธออยากรู้ว่าโนอาห์จะจ่ายให้เธอได้จริงไหม

“ถ้ายังงั้นโอนเงินเข้ามาในบัญชีของฉันตอนนี้”

โนอาห์หยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและเขาก็โอนเงินไปเช่นเดียวกับที่ทำทุกสัปดาห์ จากนั้น 900 ดอลลาร์จาก 1,000 ดอลลาร์ที่เขาได้รับจากป้อมปราการก็หายไปก่อนที่เขาจะมีโอกาสใช้มัน ชีวิตของผู้ถูกเลือกระดับต่ำนั้นเจ็บปวดมาก เขารู้ว่าในไม่ช้าเขาจะต้องหาวิธีอื่นในการหาเงิน และวิธีนั้นคือการที่เขาได้ไปบุกป้อมปราการระดับ E

เมื่อเห็นว่ามีการฝากเงินเข้าบัญชีของเธอจริง 900 ดอลลาร์ หญิงสาวจึงหรี่ตาและมองไปที่โนอาห์อย่างสงสัยแล้วพูดออกมาว่า

“แกไปเอาเงินมาจากไหน?”

โนอาห์ไม่ได้อารมดีที่จะตอบคำถามของเธอ เพราะเขาเพิ่งโอนเงินที่เขาหามาโดยเกือบแลกกับชีวิตของเขา เมื่อเขาได้ยินเธอถามว่าเขาเอาเงินมาจากไหน โนอาห์จึงตอบกลับไปด้วยคำพูดที่ไม่สนใจเธออีกต่อไป

“มันไม่ใช่ธุระของเธอ”

การได้ยิน “หนูน้อยขี้กลัว” ที่เธอมักจะล้อเลียน ตอบเธอแบบนั้นทำให้ความภาคภูมิใจของเลขาแย่ลง

“แกคิดว่าแกกำลังพูดอยู่กับใครไอ้หนู แกก็เป็นแค่ผู้ถูกเลือกระดับ F ห่วยๆ แกไม่มีพรที่เป็นประโยชน์เลยด้วยซ้ำ!…ฉันคิดว่าฉันน่าจะเข้าใจแล้วละ ในที่สุดแกก็เริ่มใช้พรของแกเพื่อหาเงิน! ใช่ไหม?!” เธอพูดด้วยท่าทางราวกับว่าเธอคิดถึงเรื่องบางอย่างออกทำให้เธอเกิดความสงสัยในเรื่องนี้

สองอันธพาลที่เป็นผู้ถูกเลือกระดับ E มองเธออย่างสงสัย แต่พวกเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไรจนกระทั่งอีกคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า

“คุณเจนนี่ คุณหมายความว่ายังไง คุณคิดว่าพรของเจ้าหนูนี่มันมีประโยชน์ในป้อมปราการยังงั้นหรอ?”

เมื่อได้ยินคำถามของชายคนนั้นเลขาที่รู้จักกันในนามเจนนี่ก็ถอนหายใจด้วยความผิดหวังและอธิบายให้ชายคนนั้นฟังราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ชัดเจนที่สุดในโลก

“ดูหน้าของไอ้เจ้าหนูนี่สิ เขามีพรที่ทำให้เขาหน้าตาสวยได้ แกคิดว่าเขาจะทำเงินได้ยังไง แน่นอนในที่สุดเขาก็เข้าใจสิ่งที่เขาเป็นอยู่และเขาก็มองหาผู้หญิงที่ร่ำรวยสักคนเพื่อขายตัวให้เธอ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูดโนอาห์ไม่สนใจเลย การตัดสินที่โง่เขลาแบบนั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อเขาอย่างเห็นแน่นอน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชายคนหนึ่งพูดต่อไปกระทบจุดอ่อนของโนอาห์เป็นอย่างมาก

“ฉันคิดว่าเขาก็ใช้พรของเขาได้เหมาะสมกับตัวของเขาดีนะ โสเภณีงั้นหรอมันทำให้หนึ่งถึงร่างกายที่เร่าร้อนของแม่ของเขาที่เป็นร่างกายที่สมบูรณ์แบบมากๆเลย” หลังจากที่ชายคนนั้นพูดจบประโยค โนอาห์ก็ก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับหยิบมีดออกจากกระเป๋าใบเล็กของเขา

โนอาห์สามารถทนคนที่ต่อว่าเขาได้โดยที่เขาไม่มีปัญหาใดๆในตลอดหลายปีที่ผ่านมา จำนวนคนที่ล้อเลียนรูปลักษณ์และความแข็งแกร่งของเขามีมากมาย มีคนมากมายบอกว่าเขา “ไร้ประโยชน์” ในป้อมปราการ เขาก็ยังสามารถทนได้และปล่อยผ่านมันไป

แต่ถ้ามีคนพูดถึงผู้หญิงที่ยอมเสียสละชีวิตของเธอเพื่อดูแลเขาและน้องสาวคนเล็กที่เขาสาบานที่หลุมฝังศพของแม่ไว้ว่า ยังไงเขาก็จะปกป้องคนๆนั้นให้ได้ โนอาห์จะทำให้เขาต้องชดใช้อย่างแน่นอน

และในตอนนี้เขามีความแข็งแกร่งพอที่จะไม่ให้ใครมาดูหมิ่นครอบครัวของเขาได้อีก ถ้าเขาปล่อยไปแบบนี้เขาจะกลายเป็นคนขี้ขลาดเพราะเขากล้าปล่อยให้ชายคนนั้นพูดถึงคนที่เขารักแบบนั้น

ถ้าจะบอกว่าผู้ชายคนนั้นไม่รู้สึกประหลาดใจก็คงไม่จริง เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ เขาทำร้ายโนอาห์มามากมาย แต่โนอาห์ไม่เคยตอบโต้หรือโจมตีกลับเลยสักครั้ง เขาทำเพียงการยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างเงียบๆเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกทำร้ายมากขึ้น และเพราะเหตุผลนั่น เขาถึงถูกเรียกว่า “หนูน้อยขี้กลัว” อยู่เสมอ เพราะเมื่อไหร่ที่เขากำลังจะเผชิญกับอันตรายเขาจะพยายามซ่อนตัว

แต่ไม่ใช่วันนี้ที่จู่ๆ “หนูน้อยขี้กลัว” คนนั้นก็ตัดสินใจที่จะแสดงเขี้ยวเล็บต่อผู้ชายคนนั้น การทำร้ายโนอาห์หลายๆครั้งทำให้การป้องกันของเขาเมื่อเข้าใกล้โนอาห์ต่ำลง แต่สัญชาตญาณของผู้ถูกเลือกระดับ E ก็เร็วพอที่จะทำให้ชายคนนั้นหลบมีดของโนอาห์ได้

เมื่อสมองของเขาทำงานด้วยความเร็วสูงชายคนนั้นก็เริ่มคิดว่าเขาจะทำอย่างไรเพื่อทำร้ายโนอาห์ เขาได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งป่าไม้ที่ทำให้ร่างกายของเขาได้รับคุณสมบัติของท่อนไม้ ทำให้ชายคนนั้นมีความต้านทานมากขึ้น นอกจากนั่นยังทำให้ร่างกายของเขาทนต่อแรงกระแทกได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน

เมื่อเขาคิดว่าเขาหลบการแทงของโนอาห์ได้แล้ว โนอาห์ก็จะไม่มีอะไรที่จะตอบสนองเขาได้อีกต่อไป ชายคนนั้นก็ใช้แขนขวาเตรียมที่จะทุบเด็กชายที่อยู่ตรงหน้าของเขา แต่เมื่อเขาเอื้อมมือออกไปเตรียมที่จะทุบโนอาห์ โนอาห์สวนผู้ชายคนนี้ทันที

โนอาห์รู้ดีว่าพรของชายคนี้คืออะไรเนื่องจากชายคนนี้ใช้มันสองสามครั้ง เพื่อทำร้ายโนอาห์ ดังนั้นโนอาห์จึงใช้มีดหลอกและซ่อนพลังที่มือซ้ายของเขาเพื่อรอเวลาที่เหมาะสม

เขารู้ว่าชายคนนั้นจะโจมตีเขาหลังจากที่เขา “พลาด” ดังนั้นเมื่อชายคนนั้นเปลี่ยนแขนของตัวเองให้กลายเป็นไม้เพื่อที่จะให้เขาได้เปรียบในการโจมตีโนอาห์และโจมตีออกมา โนอาห์ก็ปล่อยเปลวไฟที่ออกมาจากมือซ้ายของเขา ทำให้ท่อนแขนที่เปลี่ยนเป็นไม้ไม่ทันตั้งตัว และถูกไฟของโนอาห์เผาไหม้มือนั้น

การเผาไม้เป็นเรื่องปกติของไฟ ไม้ถือเป็นเชื้อเพลิงหลักอย่างหนึ่งในการจุดไฟมาตั้งแต่โบราณ แต่ไฟของโนอาห์ที่กำลังเผาไม้ไม้ที่อยู่ตรงหน้าของมันราวกับต้องการกลืนกินไม้ตรงหน้าให้หมดไปด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ก่อนที่ชายคนนั้นจะรู้ตัว มือของเขาก็ไหม้เกรียมกลายเป็นเถ้าถ่านไปซะแล้ว เหลือเพียงแขนของเขาเท่านั้น

เมื่อชายคนนั้นคิดได้อย่างรวดเร็วเขาก็เปลี่ยนแขนของเขาที่เป็นไม้ให้กลับมาเป็นปกติ เพื่อที่จะไม่ให้ไฟเผาสิ่งใดอีกต่อไป แต่สำหรับไฟที่สามารถเผาได้แม้กระทั่งเนื้อหนังของราชาแห่งหนูในป้อมปราการะดับ F มันมีพลังมาพอที่จะเผาแขนของผู้ถูกเลือกระดับ E ที่ไม่มีการป้องกันอะไรเลยได้อย่างง่ายดาย การเผายังคงทำเดินต่อไปด้วยอัตราที่ช้ากว่าเดิมเพียงเล็กน้อย

“อ๊าาาาาาาาาาากกกกกกกก!” เสียงร้องของความเจ็บปวดความเจ็บปวดและความสิ้นหวังดังออกมาจากปากของชายที่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในขณะที่มองดูร่างกายของตัวเองถูกเผา

แม้แต่โนอาห์ยังประหลาดใจกับเปลวไฟที่รุนแรงขนาดนี้ เนื่องจากเขายังไม่ได้ทดสอบหลังจากดูดซับร่างมอนเตอร์จำนวนมากจากป้อมปราการ

ไม่ต้องพูดถึงเจนนี่และชายอีกคนที่พวกเขากำลังเห็นผู้ถูกเลือกระดับ E ซึ่งรู้ว่าเขาแข็งแกร่งแค่ไหนถูกเผาทั้งเป็นต่อหน้าต่อหน้าของพวกเขา และซึ่งเปลวไฟนั้นมาจากคนที่พวกเขาคิดว่าอ่อนแอ

สักพักเสียงกรีดร้องก็หายไป ไม่ใช่เพราะชายคนนั้นไม่เจ็บปวดอีกต่อไป แต่เป็นเพราะชายคนนั้นถูกไฟนรกเผาไหม้จนตายไปแล้ว

เจนนี่กลืนน้ำลายที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังอมไว้ในปากและมองไปที่โนอาห์ด้วยท่าทางแปลกๆ เธอเคยเห็นเด็กชายคนนี้ถูกรังแกโดยไม่เคยต่อสู้กลับมาเป็นเวลา 4 ปี การได้เห็นเขาตอนนี้ไม่เพียง แต่ต่อสู้กลับ แต่การฆ่าผู้ชายอย่างเลือดเย็นทำให้เธอมีความรู้สึกแย่ ความรู้สึกนี้เป็นความรู้สึกที่ยืนยันได้จากเธอเท่านั้นยิ่งกว่านั้นเมื่อเธอเห็นว่าในดวงตาของโนอาห์ไม่มีความกลัวหรือ ความตื่นเต้น เขาเพียงกำลังมองไปที่คนตายเท่านั้น และถ้าเธอเห็นไม่ผิดดูเหมือนว่าเด็กชายจะมีรอยยิ้มที่แทบมองไม่เห็นบนใบหน้าของเขาขณะที่เขามองไปที่ซากเถ้าถ่านของชายคนนั้นราวกับว่าเขาไม่ได้เห็นชายคนนั้นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ

เมื่อเด็กชายหยุดมองเข้าไปในความว่างเปล่าและมองเข้าไปในตาของเธอแทนเจนนี่กลืนน้ำลายอีกครั้งที่เธอไม่รู้ว่ากำลังอมอยู่ในปากของเธอ ความหวาดกลัวกำลังกัดกินเธอ

เมื่อมองไปทางบ้านของเขาโนอาห์เห็นคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ข้างนอกด้วยท่าทางโกรธเกรี้ยวดูเหมือนกำลังมองหาใครบางคน เขารู้จักคนเหล่านั้นเป็นอย่างดีเนื่องจากพวกเขาเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องไปโรงพยาบาลสองสามครั้ง

แม้กระทั่งวันนี้ที่ในที่สุดโนอาห์ก็ได้รับพรมาแล้ว เขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเมื่อมองไปที่พวกเขา เพราะการถูกทุบตีมาตลอดหลายปีสร้างรอยแผลเป็นทางจิตใจให้กับตัวเขาเป็นอย่างมาก

ในตอนที่โนอาห์เพิ่งจะกลายเป็นผู้ถูกเลือก เขาก็ยังคงเป็นคนขี้อายและขี้กลัว ในป้อมปราการแรกที่เขาบุกเข้าไป แน่นอนว่าเขาเป็นตัวถ่วงมากกว่าคนที่คอยช่วยเหลือ นอกจากนั้นเขายังต้องทนทุกข์ทรมานที่เขาต้องพยายามเอาชีวิตรอดโดยที่เขาไม่มีพลังอะไรเลยภายในป้อมปราการ ไม่เพียงแค่นั้นเขายังต้องถูกคนเหล่านี้กลั่นแกล้งและทำร้ายอย่างต่อเนื่อง นั่นทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของเขา

เมื่อเวลาผ่านไปเขาตระหนักได้ถึงความโหดร้ายที่ผู้คนมีอยู่ในป้อมปราการ คนส่วนใหญ่ล้วนทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ไม่ว่าจะต้องเสียสละชีวิตจองคนอื่นไปก็ตาม นอกจากนี้เพราะการที่เขาอ่อนแอนั่นทำให้เขายังถูกทารุณกรรมในตอนที่เขาอยู่ภายนอกป้อมปราการอีกด้วย

โนอาห์เปลี่ยนจากชายหนุ่มขี้อายเป็นชายที่ต้องแบกรับภาระครอบครัวของตัวเอง เหตุผลที่เขาต้องทำยังงี้เพราะครอบครัวของเขาทำให้เขาต้องทำ

โนอาห์ถอดหูฟังแล้วเดินเข้ามาที่หน้าบ้านด้วยท่าทางเย็นชา ขณะที่เขากำลังเผชิญหน้ากับคนทั้งสามคน

“ในที่สุดเจ้าชายของเราก็ปรากฏตัวแล้ว!” ชายร่างสูงคนหนึ่งที่มีจมูกโตและมีรอยสักที่แขนขวาเป็นคนพูด

“ในที่สุดแกก็มาสักที! ถ้าแกปล่อยให้เราต้องรออีกนิดละก็ เราต้องสั่งสอนบทเรียนให้แกสักหน่อย เพื่อที่แกจะได้รู้ว่าไม่ควรจะทำแบบนี้อีก” ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดทำงานกล่าวขณะที่จ้องโนอาห์ด้วยสายชาเย็นชาผ่านแว่นตาที่เธอสวม หลังจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างมากการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาการมองเห็นเป็นเรื่องปกติมาก แต่บางคนก็ยังคงสวมแว่นตาตามใบสั่งแพทย์เพื่อรักษาวัฒนธรรมและภาพลักษณ์ที่ดูเฉลียวฉลาด

“ฉันเพิ่งกลับมาจากการบุกป้อมปราการวันนี้” โนอาห์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่สนใจ แต่ถ้ามีคนที่มีไหวพริบฟังและให้ความสนใจในสิ่งที่เขาพูดจะสังเกตเห็นว่ามีความโกรธเล็กน้อยในคำพูดของเขา

“เยี่ยมมาก! น่าเสียดายที่แกเป็นเพียงผู้ถูกเลือกระดับ F ดังนั้นป้อมปราการเดียวไม่เพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยสะสมในเดือนนี้ แกควรหาเงินมาจ่ายไม่งั้น…” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา และด้วยท่าทางที่เย็นชายิ่งขึ้น

“…แกจะได้ไปเยี่ยมน้องสาวแกที่โรงพยาบาลเร็วกว่ากำหนด”

เมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดชายสองคนที่อยู่ข้างๆเธอก็เปิดรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของพวกเขา แต่ละคนและเอามือประสานกันโดยไม่รู้ตัวและหักข้อนิ้ว

เมื่อโนอาห์ได้เห็นฉากนี้ ความทรงจำอันเลวร้ายของเขาก็กลับคืนมา เขาเป็นเพียงผู้ถูกเลือกระดับ F ที่ไม่มีพรอะไร เขาต้องทนทุกข์ทรมานมากมายจากน้ำมือของชายผู้ถูกเลือกระดับ E ทั้งสองคนนี้ตั้งแต่วันที่แม่ของเขาเสียชีวิต

ผู้หญิงคนนั้นเป็นเลขาของลุงของโนอาห์ ก่อนที่จะได้รับพรโนอาห์อาศัยอยู่กับแม่และน้องสาวของเขา พ่อของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็กและในขณะที่เขาทำงานหนักโนอาห์แทบจะไม่นึกถึงพ่อของเขาเลยดังนั้นแม่ของเขาจึงต้องเลี้ยงลูกสองคนด้วยตัวเธอเอง

เธออาจไม่มีความสามารถมากมายในชีวิตนอกจากการเป็นแม่ที่เอาใจใส่มาก แต่เธอมีความสามารถพิเศษในการทำอาหาร อาหารที่เธอทำได้รับการยกย่องจากทุกคนที่เคยลิ้มลอง

น่าเสียดายที่เธอทำงานเป็นเพียงแม่ครัวในร้านอาหารเล็กๆในท้องถิ่น แม้จะทำอาหารได้อร่อยแต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรักษาร้านอาหารของเธอที่ไม่มีการควบคุมหรือบริหารผลกำไรใดๆจนร้านอาหารต้องปิดตัวลง

ตอนที่เธอไม่มีงานทำ เธอพยายามสมัครงานเท่าที่เธอหาได้ แต่เมื่อได้ทำงานในร้านอาหารที่ล้มละลาย คนจำนวนมากก็ปิดโอกาสของเธอและไม่รับเธอเข้าทำงาน ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง เธอไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เธอจึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากพี่ชายของเธฮ

พี่ชายของเธอเป็นคนร่ำรวย เธอรู้อยู่แล้วว่าพี่ชายของเธอสามารถช่วยเธอได้ ในขณะที่เธอต้องการเปิดร้านอาหารของตัวเองเขาจึงเสนอเงินกู้ให้กับเธอโดยมีอัตราดอกเบี้ยสูง

แม่ของโนอาห์รู้ดีว่าผลประโยชน์ที่น่ารังเกียจนั้นเป็นอย่างไร แต่เธอต้องดูแลลูกสองคนที่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เธอทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับในสิ่งที่พี่ชายของเธอเสนอ

อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากที่เธอยอมรับข้อตกลงที่ไม่เหมาะสมนี้ น้องสาวของโนอาห์ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่หายาก โรคนี้กำลังกัดกินเซลล์ในร่างกายของเธอทีละน้อย แต่โชคดีที่โรคนี้สามารถรักษาให้หายได้ แต่อย่างไรก็ตามการรักษาน้องสาวของโนอาห์นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก

ในฐานะแม่เห็นได้ชัดว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้ลูกสาวของตัวเองผ่านความยากลำบากเช่นนี้ได้ ดังนั้นเธอจึงนำเงินที่ยืมมาจากพี่ชายเพื่อเปิดร้านอาหารมารักษาลูกสาวของเธอแทน เธอรู้ดีว่าหากไม่มีผลกำไรจากร้านอาหาร เธอก็จะไม่มีเงินไปจ่ายดอกเบี้ยเงินที่กู้พี่ชายของเธอมา แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่น

เมื่อพี่ชายของเธอพบว่าแทนที่เธอจะใช้เงินที่เขาให้เธอมาเพื่อเปิดร้านอาหารและสร้างรายได้มากขึ้นเพื่อจ่ายดอกเบี้ยที่สูงให้กับเขา แต่เธอกลับนำเงินนั้นไปเป็นค่ารักษาของลูกสาวของเธอ นั่นทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก

เมื่อรู้ว่าเธอไม่มีทางที่จะทำในสิ่งที่เขาต้องการ เขาจึงพยายามอย่างหนักเพื่อให้เธอคืนเงิน เขาจึงส่งเลขาของเขาไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนที่เขาไว้ใจให้ไปรับเงินคืนหรือจ่ายดอกเบี้ยให้กับเขา

หลังจากนั้นไม่นานหลังจากที่แม่ของโนอาห์ได้ผ่านความทุกข์ทรมานมามากในชีวิตของเธอ และเธอไม่สามารถทนต่อการถูกเลขาและถูกผู้ชายคุกคามได้อีกต่อไป วันหนึ่งเธอก็หลับไปและไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย ตามที่แพทย์ระบุไว้เธอเสียชีวิตจากอาการหัวใจวายเนื่องจากความเครียดและเสียชีวิตลง

สิ่งนี้เกิดขึ้นในตอนที่โนอาห์อายุ 16 ปีและพรของลูซิเฟอร์เพิ่งตื่นขึ้น แต่ตอนนั้นเขายังไม่มีพลัง เขาไม่เคยเอาชนะคนของพี่ชายของแม่ได้เลย เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามาเก็บหนี้พวกเขาพยายามบังคับให้โนอาห์คืนเงินที่เหลืออยู่หรือจ่ายดอกเบี้ยที่เงินกู้สร้างขึ้น และบังคับให้เขาบุกป้อมปราการมากกว่าที่คนปกติจะบุกเพื่อให้ได้เงินเพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ย

เมื่อเขาไม่ได้รับเงินของพวกเขา ชะตากรรมของโนอาห์ก็ต้องถูกทุบตี ครั้งหนึ่งพวกเขาทุบตีโนอาห์อย่างรุนแรงจนแขนข้างหนึ่งของเด็กชายหัก โชคดีที่ยาได้ก้าวหน้ามากพอที่แขนของเขาจะหายดีในสองสามวัน แต่เขายังจำความเจ็บปวดและความอัปยศอดสูที่นอนอยู่บนพื้นด้วยแขนที่ปวด ขณะที่ทั้งสามยืนจ้องเขาอย่างเยาะเย้ย

นั่นคือวันที่โนอาห์ตระหนักว่าผู้คนไม่ได้มองว่าตัวเองเท่าเทียมกัน ตราบใดที่ใครบางคนมีความแข็งแกร่ง คนๆนั้นก็จะรู้สึกเหนือกว่าอีกฝ่าย และหลังจากนั้นเขาสาบานกับตัวเองว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเท่าใดก็ตาม แม้ว่าเขาจะต้องฆ่าคนอื่น ตราบใดที่พวกเขาไม่บริสุทธิ์เขาก็จะฆ่า

เมื่อมองไปที่สามคนนั้นความโกรธที่โนอาห์เก็บไว้ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

โดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็นมือของเขาลดระดับลงเล็กน้อยและปล่อยเปลวไฟเล็กๆลอยออกมาพร้อมที่จะโจมตี

“ฉันมีเงินเพียงพอที่จะให้พวกแก” โนอาห์พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่สนใจอะไรมากนักและพยายามเก็บอารมณ์ของตัวเองไว้ เขารู้ว่าเงินที่จ่ายไปนั้นไม่ยุติธรรม แต่แม่ของเขาก็เซ็นสัญญา ถ้าเขาไม่จ่ายเงินตามที่ตกลงไว้ในสัญญา ลุงของเขาก็สามารถเอาบ้านที่ใช้เป็นหลักประกันไปได้

ปัญหาคือในบางครั้งแม้ว่าโนอาห์จะจ่ายเงินเท่าไหร่ พวกเขาก็ยังจะทุบตีโนอาห์อยู่ดี

แต่ความรู้สึกอันอบอุ่นที่อยู่ในฝ่ามือของเขาในตอนนี้ ทำให้โนอาห์รู้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้แน่นอน

เมื่อรถบัสกลับมาถึงที่เมืองโนอาห์ก็ได้รับการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์มือถือของเขาว่ามีการชำระเงินแล้ว เขาได้รับเงินทั้งหมด $1,000 รอยยิ้มเล็กๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เงินนี้เป็นเงินจำนวนเท่ากับที่ผู้ถูกเลือกต้องผ่านป้อมปราการระดับ E เพราะโดยปกติแล้วเงินที่เขาได้รับจะอยู่ที่ประมาณ $200 นี่หมายความว่าเขาได้รับเงินมากกว่าที่เขาได้ในป้อมปราการระดับ F หลายเท่า

ถ้าเขาบุกป้อมปราการทุกวันเขาก็จะได้เงินเดือนที่น่าพอใจอย่างแน่นอน แต่เนื่องจากจำนวนของผู้ถูกเลือกระดับ F มีเป็นจำนวนมากป้อมปราการจึงไม่เพียงพอสำหรับทุกคน

ถึงแม้จะเกิดการสูญเสียเป็นจำนวนมากในป้อมปราการ แต่จำนวนป้อมปราการก็ยังไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ถูกเลือกอยู่ดี นั่นทำให้ผู้ถูกเลือกระดับ F มีเงินเดือนที่น้อยเป็นอย่างมาก

เมื่อกลับมาที่เมืองโนอาห์อดไม่ได้ที่จะหลงเสน่ห์ความงามของสถานที่นี้อีกครั้ง หลังจากที่โลกถูกเหล่ามอนเตอร์รุกรานเทคโนโลยีของมนุษยชาติก็พุ่งสูงขึ้นด้วยความเร็วในการศึกษาทางดาราศาสตร์และวิทยาศาสตร์ นักคิดเก่าแก่คนหนึ่งที่อยู่มาก่อนการปรากฏตัวของป้อมปราการที่ชื่อว่าเพลโตเคยพูดว่า ‘สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือเริ่มประดิษฐ์สิ่งของต้นแบบ’ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น

เมื่อป้อมปราการเริ่มถือกำเนิดขึ้นมนุษยชาติก็พยายามใช้เทคโนโลยีเพื่อต่อสู้กับเหล่ามอนเตอร์ อาวุธสามารถทำร้ายมอนสเตอร์ระดับ F ที่อ่อนแอกว่าได้ แต่มอนสเตอร์ที่มีระดับสูง…ไม่มีอะไรหยุดพวกมันได้ ดังนั้นมนุษยชาติจึงสิ้นหวังอีกครั้ง พวกเขาจึงแสวงหาเทคโนโลยีที่จะทำให้พวกเขามีทางออกและคราวนี้วิธีที่พวกเขาต้องการคือการไปยังดาวเคราะห์ดวงอื่น

การแข่งขันในการไปยังอวกาศครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างชาติใดชาติหนึ่ง แต่เป็นมนุษย์ชาติทั้งหมดที่กำลังแข่งขันเพื่อเอาชีวิตรอดจากโลกใบนี้ หลังจากผ่านไปไม่กี่ปีในที่สุดมนุษย์ชาติก็สามารถค้นพบดาวเคราะห์ที่น่าอยู่อีกดวงหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปเพียงไม่กี่เดือนหลังจากที่มนุษย์ตั้งรกรากบนดาวเคราะห์ดวงนั้น ป้อมปราการก็เริ่มปรากฏตัวที่นั่นเช่นเดียวกัน

ไม่ว่ามนุษย์ชาติจะไปตั้งรกรากบนดาวเคราะห์ดวงไหน ป้อมปราการที่เต็มไปด้วยเหล่ามอนเตอร์ก็จะเริ่มปรากฏตัวและโจมตีมนุษย์ชาติ ท่ามกลางความสิ้นหวังในวงการวิทยาศาสตร์พวกเขาที่เคยเชื่อในวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นกลับเริ่มเชื่อว่าพวกเขาสูญเสียพระเจ้าที่คอยดูแลพวกเขาไป แต่ยกเว้นพระเจ้าในคาทอลิกอื่นๆที่ยังได้ยินคำอธิษฐานของพวกมนุษยชาติและยังให้พรแก่พวกเขาต่อไป

นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาเริ่มมาอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อให้ได้รับพรแทน

ด้วยพรที่ได้รับมาจากพระเจ้านั่น ทีละเล็กทีละน้อย มนุษย์ค่อยๆยึดครองพื้นที่ของตนบนดาวเคราะห์ที่เคยถูกยึดครองด้วยเหล่ามอนเตอร์กลับมาได้ด้วยความยากลำบาก

ในที่สุดมนุษย์ก็สามารถอาศัยอยู่ในดาวเคราะห์หลายๆดวงทั่วกาแลคซีของพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นดวงจันทร์หรือดาวเคราะห์ดวงใดๆก็ตาม

โนอาห์มองออกไปนอกหน้าต่างรถบัส เขามองไปยังเมืองที่เขาอาศัยอยู่ นั่นคือเมืองแอรีน เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆบนโลกของเขาแล้วเมืองนี้เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่

ไม่ได้หมายถึงขนาดของเมืองที่ใหญ่ แต่สิ่งที่พูดถึงเป็นความสะดวกสบายที่เมืองมี และความล้ำยุคของเมืองๆนี้

เนื่องจากมนุษยชาติได้เอาชนะปัญหาของเมืองที่แออัดด้วยการเปลี่ยนพื้นผิวของดาวเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง พวกเขาจึงมีอิสระในการสร้างบ้านที่ไหนก็ได้ มีเพียงผู้ที่มีเงินน้อยหรือไม่ค่อยมีงานทำจึงจะต้องอาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ และด้วยการออกแบบที่ค่อนข้างล้ำยุค บ้านและอาคารส่วนใหญ่จะมีลักษณะโค้งมนคล้ายดวงดาว

รถบัสแล่นเข้ามาในเมืองอย่างช้าๆ โนอาห์เคยเห็นฉากนี้มาแล้วหลายสิบครั้งจนเกือบจะหลายร้อยครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยเบื่อกับความสดใสของเมืองเลยแม้แต่น้อย

การเดินทางกลับเป็นไปอย่างราบรื่น ตั้งแต่ที่โนอาห์สวมเฮดโฟนและเวนดี้เดินจากไปเขาก็สนุกกับเสียงเพลงจนกระทั่งพวกเขามาถึงสำนักงานใหญ่ของ GBC (สำนักงานรัฐบาลควบคุมผู้ถูกเลือก) ซึ่งเป็นองค์กรที่ควบคุมการแจกจ่ายป้อมปราการให้กับผู้ถูกเลือก พวกเขาเป็นคนกำหนดให้ผู้ถูกเลือกที่มีใบอนุญาติเท่านั้นที่จะสามารถบุกป้อมปราการได้

หลังจากรถบัสหยุดโนอาห์ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งและเดินลงจากรถบัส ในตอนที่เขากำลังจะเดินผ่านแฮรี่และเวนดี้ แฮรี่ก็มองเขาและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า

“ฉันจะจำทุกอย่างที่นายทำกับฉันที่นั่น”

เมื่อโนอาห์เห็นว่าแฮรี่พูดกับเขาแบบนั้น เขาก็หยุดเดินชั่วขณะแล้วใช้หางตามองไปที่แฮรี่ขณะที่เขาคิดในใจว่า

‘ฉันควรจะฆ่าเขาทิ้งซะ’ หลังจากนั้นโนอาห์ก็เดินออกไปโดยที่เขาไม่ตอบแฮรี่

เมื่อแฮรี่เห็นแบบนั้น เขาไม่รู้โนอาห์กลัวเขาหรือว่าไม่มีความกล้าที่จะตอบเขากันแน่ แต่ไม่ว่าโนอาห์จะคิดยังไงแฮรี่ก็มั่นใจในตัวเขาเอง เพราะเขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ D มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้นที่เขาจะเก่งกว่าโนอาห์ จนถึงตอนนั้นคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปที่เขาจะแก้แค้นผู้ถูกระดับ F

แฮรี่ที่พูดกับโนอาห์อย่างนั้น แต่โนอาห์กลับไมได้รู้สึกอะไรเลย สำหรับโนอาห์เขารู้ดีกว่าโลกใบนี้เป็นยังไง โลกใบนี้มันเป็นโลกที่ผู้แข็งแกร่งกลืนกินผู้อ่อนแอ ถ้าผู้ถูกเลือกระดับ C ฆ่าผู้ถูกเลือกระดับ E ภายในป้อมปราการ แม้ว่ามันจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ แต่ก็จะไม่มีใครทำอะไร เพราะผู้ถูกระดับ C สามารถเอาชนะป้อมปราการระดับ E ได้อย่างง่ายดาย แต่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้ถูกเลือกระดับ E เพราะถ้าผู้ถูกระดับ E ไปที่ป้อมปราการระดับ C เขาจะต้องถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน

โนอาห์ใช้เวลา 16 ปีในฐานะคนธรรมดาและ 4 ปีในฐานะผู้ถูกเลือกระดับ F ซึ่งเป็นบุคคลที่มีระดับต่ำที่สุดในสังคมแม้แต่ในเมืองแอรีน

หลังจากนั้นตลอดเวลาโนอาห์ก็รู้ว่าการมีอำนาจนั้นสำคัญเพียงใด ถ้าเขามีอำนาจ ในตอนนี้เขาคงไม่ต้องผ่านทุกสิ่งที่เขาถูกบังคับให้ยอมจำนน ในที่สุดเขาก็ได้รับพลังและเป้าหมายแรกของโนอาห์คือการเพิ่มพูนพลังนั้นเขาจะฝึกฝนเปลวไฟจากนรกของเขาจนทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น

โนอาห์อาศัยอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานใหญ่ GBC มากนัก โนอาห์จึงเดินกลับบ้านพร้อมกับวางแผนของตัวเอง ก่อนอื่นเขาไม่จำเป็นต้องไปที่ป้อมปราการระดับ F อีกต่อไป จากนี้ไปเขาสามารถเริ่มไปยังป้อมปราการระดับ E ได้โดยที่เขาไม่ต้องกังวลอีก

อย่างแรกที่เขาจะทำคือการไปที่ป้อมปราการระดับ E เพราะเขามีทฤษฏีว่ายิ่งเขาใช้เปลวเพลิงจากนรกกับมอนเตอร์ที่แข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เขาก็จะได้รับประสบการณ์มากขึ้นเท่านั้นทั้งในด้านทักษะและระดับของเขา

อย่างที่สอง การที่เขาต้องการบุกป้อมปราการระดับ E จะทำให้เขาได้เงินมากกว่าการบุกป้อมปราการระดับ F ซึ่งตอนนี้เรื่องเงินถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโนอาห์

ผู้ถูกเลือกส่วนใหญ่รู้สึกหวาดกลัวเมื่อพวกเขาคิดจะบุกเข้าไปในป้อมปราการระดับสูง แต่นั่นไม่ใช่กรณีของโนอาห์ เขาได้ศึกษาทุกสิ่งที่เขาสามารถศึกษาได้จากป้อมปราการระดับ F และถึงแม้เข้าจะไม่มีพรอะไรเลย เขาก็สามารถออกจากสถานการณ์เลวร้ายที่เขาเจอมาได้ตลอดทั้งชีวิต

ตอนนี้เขาได้รับพรแล้ว โนอาห์รู้ว่าสิ่งเดียวที่เขาขาดคือความรู้เกี่ยวกับป้อมปราการรับดับ E

ในขณะที่โนอาห์กำลังคิดเรื่องของตัวเองอยู่นั้นเขาก็เดินมาถึงที่หน้าบ้านของเขา เมื่อเขามองไปที่หน้าประตู เขาก็เห็น “เหตุผล” ที่เขาต้องการเงินจากป้อมปราการ

หลังออกจากประตูวาป โนอาห์ก็เห็นว่าแฮร์รี่เวนดี้และชายผู้รอดชีวิตได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของพวกเขาให้กับตัวแทนจากรัฐบาลแล้ว

“จะมีใครออกมาจากป้อมปราการอีกไหม” ตัวแทนถามอย่างเป็นห่วง

“ไม่มีทั้งมอนเตอร์หรือมนุษย์ที่จะออกมาอีก” โนอาห์ตอบสนองด้วยการกลับไปสู่ท่าทางปกติและน้ำเสียงเบื่อหน่ายที่เขาคงไว้เสมอ

“ให้ตายเถอะ…การรายงานของฉันต่อผู้บังคับบัญชาในวันนี้มันจะต้องน่าเบื่อเป็นอย่างมากแน่นอน…” ตัวแทนฮึดฮัด ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเหตุผลของความกังวลของเขาไม่ได้อยู่ที่ชีวิตที่เสียไปในป้อมปราการนี้ แต่มันอยู่ที่ความยากที่เขาจะต้องไปรายงานต่อผู้บังคับบัญชาของเขา

โนอาห์ไม่ได้สนใจตัวแทนคนนี้ที่เขาไม่ได้สนใจชีวิตของคนที่เสียไปในป้อมปราการแห่งนี้ เพราะเขาก็เป็นเพียงตัวแทนที่มีฐานะต่ำต้อยเท่านั้น นายทหารระดับสูงคงไม่อยากทำงานที่ป้อมปราการระดับ F แบบนี้แน่ๆ เพราะในป้อมปราการระดับ F มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากและน่าเบื่อมาก

“ยังไงก็ตามเรามาฟังรายงานตามปกติของนายกัน” ตัวแทนยอมรับชะตากรรมของคนที่เสียไปและเรียกโนอาห์ไปที่มุมหนึ่งซึ่งเขาสามารถรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้

โนอาห์บอกสิ่งที่เขาเห็นข้างในโดยทิ้งส่วนที่เขาออกไปตามลำพังเพื่อฆ่ามอนเตอร์และแทนที่มันด้วยสิ่งที่เหมือนเขาเดินเป็นวงกลมในท่อระบายน้ำพยายามเฝ้าดูหนูโดยไม่ให้ใครเห็น

“คนอื่นๆบอกว่านายมีพลังมากกว่าปกติ ไม่เหมือนในป้อมปราการอื่นๆ พวกเขาหมายความว่ายังไง และพวกเขายังให้ความเห็นว่าพรของนายเป็นเปลวไฟที่ทำให้ราชาแห่งหนูกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดได้อีกด้วย” ตัวแทนถามโนอาห์ด้วยการเลิกคิ้วเล็กน้อย ในขณะที่เขารับผิดชอบดูแลฐานที่มั่นระดับ F หลายแห่งต่อปีเขาเคยทำงานกับโนอาห์มาแล้วสองสามครั้ง แต่ไม่เคยมีใครรายงานพรของชายหนุ่มคนนี้

ดังนั้นหลังจากสี่ปีที่ทำงานกับเขาและไม่มีใครเคยพูดเกี่ยวกับพรของเขามาก่อนนั่นแสดงว่าโนอาห์ไม่มีพรหรือพรของโนอาห์ไร้ประโยชน์เป็นอย่างมากในป้อมปราการ แต่ตอนนี้เมื่อผู้ถูกเลือกคนอื่นๆได้รายงานกับเขาว่า ตัวของโนอาห์มีพรที่มีประโยชน์และทรงพลังเช่นนี้นั่นทำให้เจ้าหน้าที่ประหลาดใจมาก

“ใช่ พรของฉันเกี่ยวกับเปลวไฟ แต่มันต้องใช้พลังงานมากและฉันก็ไม่สามารถฝึกฝนมันได้มากจนสามารถใช้ได้อย่างอิสระโดยที่ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้นมาก่อน” โนอาห์ตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย และเขาก็จงใจยักไหล่อย่างอายๆโดยใช้สิ่งที่เขารู้ในภาษากาย เขาพยายามทำให้ดูเหมือนว่าเขารู้สึกละลายใจ

“มันต้องเป็นระดับ F แน่ๆ…” ตัวแทนพึมพำเบาๆด้วยความดูถูก แต่มันก็ไม่รอดหูที่แหลมคมของโนอาห์ และเขาก็ไม่สนใจเรื่องนี้

“โอเค ฉันจะใช้รายงานของนายเป็นพื้นฐานของฉัน ตอนนี้ป้อมปราการนี้อาจจะมีโบนัสพิเศษเนื่องจากความยากที่เพิ่มขึ้น และพวกนายเข้าไปทั้งหมด 15 คน แต่มีเพียง 4 คนที่รอดกลับมาเท่านั้น ดังนั้นผู้รอดชีวิตจะได้รับส่วนแบ่งอีกคนละ 5.5 ส่วนของการชำระเงินจากส่วนผู้ตาย และส่วนที่เหลือของผู้ตายจะตกเป็นของครอบครัวของเขา ในอีกไม่กี่นาทีนายจะได้รับการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์มือถือของนาย” ตัวแทนพูดทั้งหมดนี้ขณะที่เขากำลังบันทึกในแท็บเล็ตและเดินจากไป

โนอาห์กังวลเล็กน้อยว่าตัวแทนจะถามคำถามมากเกินไป แต่เพราะเขาเป็นแค่ผู้ถูกเลือกระดับ F ที่เกือบจะตายไปพร้อมกับคนอื่นๆในป้อมปราการระดับ F ตัวแทนจึงไม่สนใจที่จะถามมากเกินไปซึ่งมันก็เป็นเรื่องดีสำหรับโนอาห์

หลังจากเก็บข้าวของออกจากตู้แล้วโนอาห์ก็มุ่งหน้าไปที่รถบัส รถบัสที่เคยเต็มไปด้วยวัยรุ่นที่เสียงดังและตื่นเต้นมากมาย ตอนนี้กลับกลายเป็นความว่างเปล่าและเงียบงัน

ชายที่สามารถล่องหนได้นั่งอยู่แถวท้ายสุดและกำลังนั่งหลับตา เขาอาจจะกำลังพักผ่อนทางจิตใจหลังจากความเครียดที่เขาได้เจอมาในป้อมปราการ

แฮร์รี่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งแถวหน้า เวนดี้นั่งตรงข้ามที่นั่งแถวเดียวกัน

เมื่อโนอาห์ขึ้นรถชายที่สามารถล่องหนได้ก็ไม่สนใจเขา แฮร์รี่จ้องมองเขาด้วยท่าทางไม่พอใจเล็กน้อยในขณะที่เวนดี้โบกมือให้โนอาห์มานั่งข้างเธออย่างอายๆ

เมื่อโนอาห์มาถึงแถวที่เวนดี้นั่งอยู่เธอคิดว่าเขาจะไปนั่งกับเธอเพราะเธอเป็นสาวสวย นอกจากนั้นเธอยังเป็นผู้รักษาระดับ D ที่มีพรที่หายาก แต่เขาก็ไม่ได้นั่งลง

โนอาห์ผ่านตรงที่เวนดี้นั่งอยู่และเดินไปที่ท้ายรถบัสและนั่งบนที่นั่งแบบสุ่ม

เวนดี้รู้สึกแปลกใจเพราะเธอแน่ใจว่าเขาจะนั่งข้างๆเธอ เธอคุ้นเคยกับการที่ผู้ชายจะทำในสิ่งที่เธอต้องการ เธอจะปฏิบัติต่อเขาอย่างดีแล้วหลังจากนั้นโนอาห์ก็จะรู้สึกขอบคุณเธอ เมื่อเป็นแบบนั้นทุกๆอย่างก็จะเป็นไปตามแผนของเธออย่างราบรื่น แต่ในขั้นตอนแรกของแผนของเธอก็ถูกโนอาห์ทำลายไปแล้ว โนอาห์เดินผ่านเธอไปโดยไม่แม้แต่จะมองเธอเลยด้วยซ้ำ

เวนดี้ไม่เข้าใจว่าเธอกำลังรู้สึกอะไร เธอหันไปรอบๆ และเห็นโนอาห์นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เขามองออกไปนอกหน้าต่างและดูพนักงานที่ทำงานอยู่ข้างนอก พวกเขากำลังรื้ออาวุธออกในขณะที่ป้อมปราการได้พ่ายแพ้ลงไปแล้ว

เมื่อรู้ว่าเธอทำแบบนี้ไม่ได้เวนดี้จึงลุกขึ้นและไปคุยกับโนอาห์พร้อมกับหัวเราะในใจว่านี่คือสิ่งที่เธอจะทำตั้งแต่เริ่มการเดินทางหากเอมี่ไม่หยุดเธอ เมื่อเธอเดินผ่านแฮร์รี่เธอไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางรังเกียจและโกรธที่เขาทำเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าเธอกำลังจะคุยกับโนอาห์

“ที่นั่งนี้ว่างหรือเปล่า” เธอถามด้วยท่าทีเขินอายขณะที่เธอชี้ไปที่ที่นั่งข้างๆของโนอาห์ด้วยความสุภาพแม้ว่าจะไม่มีใครนั่งอยู่ที่นั่นเพราะมันจะแปลกถ้าเธอนั่งลงโดยไม่พูดอะไรเลย

โนอาห์มองไปที่เวนดี้และการแสดงออกที่เขามักจะเฉยเมยก็จางหายไปชั่วขณะ เสี้ยววินาทีดูเหมือนว่าเขารู้สึกรังเกียจ

“ตรงนี้มีคนนั่งแล้ว” เขาพูดขณะหยิบกระเป๋าเป้ที่วางไว้บนพื้นข้างตัวเขาออกมาและวางไว้บนเก้าอี้ที่เธอชี้

เธอเป็นคนประเภทที่แย่ที่สุดในความคิดของโนอาห์ ผู้หญิงที่สนใจแต่สถานะ และรูปร่างหน้าตา

เขารู้ดีว่าวัยรุ่นคนนี้สนใจรูปร่างหน้าตาของเขาก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในป้อมปราการ แต่เมื่อเพื่อนของเธอบอกว่าเขาอ่อนแอหญิงสาวก็หมดความสนใจในตัวเขาทันที เธอแค่ต้องการใครสักคนที่เข้มแข็งแทนที่จะสนใจว่าคนๆนั้นจะดีหรือไม่

หากพรของโนอาห์ไม่ได้ตื่นขึ้นก่อนการเดินทางไปยังป้อมปราการครั้งนี้ เขามั่นใจว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะไม่มองเขาเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน

เมื่อเวนดี้ได้ยินคำตอบของโนอาห์เธอก็ตัวแข็งทันที เธอไม่ใช่แค่หน้าตาสวย เวนดี้อ่านคนได้ดีพอสมควร แม้ว่ามันจะเป็นแค่เพียงผิวเผินก็ตาม และสิ่งที่เธอเห็นจากโนอาห์คือการแสดงออกของคนงี่เง่าที่เขาไปคุยกับเขา

‘ไม่เคยมีใครปฏิบัติกับฉันเหมือนฉันเป็นคนงี่เง่ามาก่อน ใครให้สิทธิ์เขาคิดแบบนั้นกับฉันกัน?’ เมื่อเห็นว่าเขาแสดงท่าทางอย่างนั้นเธอก็เริ่มรู้สึกโกรธ

“การที่ฉันมาคุยกับนายก็คือเป็นการให้เกียรตินายที่อยู่ระดับ F มากแล้ว นายยังกล้าปฏิเสธฉันอีกหรอ”

คำพูดของเธอพิสูจน์ได้ว่าสิ่งที่โนอาห์คิดนั้นถูกต้อง เธอเป็นแค่เด็กสาวใจแตกที่ไม่เคยลำบากมาก่อนในชีวิต ใครๆก็ชื่นชมเธอ และไม่เคยมีใครปฏิเสธเธอมาก่อน น่าเสียดายที่ตอนนี้เธอไม่ได้กำลังคุยอยู่กับคนปกติ

“เพื่อนของเธอเพิ่งเสียชีวิตไป เธอลืมเรื่องการตายของพวกเขาไปแล้วหรือเปล่า หรือเธอเห็นฉันเป็นโอกาสที่จะทำให้เธอเติบโตขึ้นได้งั้นหรอ” โนอาห์พูดอีกครั้งด้วยสีหน้าไม่สนใจก่อนที่จะสวมเฮดโฟนและไม่สนใจเธออีก

เมื่อเธอได้ยินสิ่งที่เขาพูดเวนดี้ก็ตัวแข็งอีกครั้งนี่เป็นความผิดของเพื่อนที่ไร้ประโยชน์ของเธอ ถ้าตอนนั้นเอมี่ไม่หยุดเธอเธอคงจะมาคุยกับเขาและทุกอย่างจะดีกว่านี้ แต่ถึงแม้เธอจะเสียชีวิตไปแล้วเพื่อนเก่าของเวนดี้ก็ยังขัดขวางแผนการของเธออยู่ดี

เมื่อเห็นว่าโนอาห์ไม่ได้ฟังสิ่งที่เธอพูดอีกต่อไปเวนดี้หายใจเข้าลึกๆและกลับไปที่ที่เธอเคยนั่งมาก่อนตรงข้ามกับแฮร์รี่ อย่างน้อยกับแฮร์รี่ก็เป็นผู้ถูกเลือกระดับ D เหมือนตัวเธอเอง เธอจะไม่ถูกมองว่าเป็นคนงี่เง่าเหมือนที่เธอเคยอยู่กับโนอาห์

ในท่อน้ำเสียที่มืดมิดมีเพียงอย่างเดียวที่ปรากฏอยู่คือเปลวไฟที่กำลังเผาศพของหนูตัวใหญ่ราวกับว่ามันเป็นแค่ไม้เท่านั้น ถึงแม้ว่าสิ่งที่มันกำลังเผาอยู่จะเป็นเนื้อมอนเตอร์ก็ตาม เปลวไฟทำเหมือนกับว่าเนื้อมอนเตอร์เป็นเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดที่ทำให้มันลุกไหม้และล่อเลี้ยงมัน

แม้จะมีอะไรแปลกๆเช่นนี้เกิดขึ้นต่อหน้าของผู้ถูกเลือกทุกคนที่อยู่ตรงนั้น แต่พวกเขาก็เหนื่อยล้าเกินกว่าที่จะรู้ว่ามันผิดธรรมชาติ

ผู้ชายที่สามารถล่องหนได้ลุกขึ้นจากพื้นอย่างเหนื่อยล้าและมองไปรอบๆราวกับว่าเขาต้องการเห็นบางสิ่งบางอย่าง และในอีกไม่กี่อึดใจต่อมาเขาก็ไม่ผิดหวังเนื่องจากประตูวาปสีดำขนาดใหญ่ก็เริ่มโผล่ออกมาจากพื้น และตรงกลางของประตูบานนั้นส่องแสงสีม่วงที่ปล่อยเศษชิ้นส่วนบางอย่างลอยอยู่ในอากาศก่อนที่จะหายไป ราวกับว่าพวกมันไม่เคยมีอยู่จริง

ชายคนนี้ไม่ได้รู้สึกประทับใจกับประตูวาปที่เกิดขึ้นเลย เพราะเขาเคยผ่านมันมาทุกครั้งที่ออกจากป้อมปราการ เขาเดินกะเผลกจากความเจ็บปวดและความเหนื่อยล้าไปที่ประตูวาป จากนั้นชายคนนั้นก็ออกจากป้อมปราการไปอย่างเงียบๆ โดยที่เขาไม่ได้พูดกับใครเลย

ไม่มีใครที่สนใจการกระทำของชายคนนี้ที่เขาเดินออกไปข้างนอกโดยที่เขาไม่พูดคุยกับใครเลย เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของวัยรุ่นที่มีเพื่อนหลายคนเสียชีวิตต่อพวกเขา ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการพูดขอโทษกับคนที่พวกเขาจะไม่มีทางได้เห็นอีกในชีวิต ดังนั้นการออกไปโดยไม่พูดหรือทำอะไรเลยถึงถูกมองว่าเป็นเพราะยังเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่

ตอนนี้ชายที่มีแผลเป็นไม่หายใจอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าเวนดี้จะใช้พลังทั้งหมดไปกับการใช้พรในการรักษาของเธอเพื่อรักษาเขา แต่ผู้หญิงที่เพิ่งได้รับพรมาใหม่และยังไม่ได้ฝึกฝนพรของตัวเองให้เพียงพอ ก็ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาอาการของชายคนนี้ให้พ้นจากความตายได้

เมื่อเห็นว่าชายคนนั้นเสียชีวิตแฮร์รี่ไม่ได้มองไปที่ศพของเขาเป็นครั้งที่สองและเดินกะเผลกข้ามประตูอย่างช้าๆ

มีเพียงโนอาห์และเวนดี้เท่านั้นที่ยังคงอยู่ หญิงสาวยังคงประมวลสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเธอว่าเธอจะไม่มีวันได้เห็นเพื่อนที่เติบโตมาพร้อมกับเธออีกแล้วเธออาจจะทำอะไรที่ดีกว่านี้เพื่อช่วยพวกเขาได้ถ้าเธอเข้มแข็งขึ้น แต่ตอนนี้ความคิดแบบนั้นก็ไร้ประโยชน์ สำหรับชายคนนั้นเขามองไปที่สถานที่นั้นที่เต็มไปด้วยซากศพด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

แต่ในหัวของโนอาห์ขณะที่เขามองไปที่ซากศพจำนวนมากจากการต่อสู้ก็มีความคิดที่แตกต่างออกไปในใจของเขาว่า ‘ค่าประสบการณ์เท่าไหร่ที่ฉันจะได้หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้จบลง?’ เพียงแค่จินตนาการว่าเขาจะได้รับค่าประสบการณ์เท่าไรจากการเผาซากศพของหนูที่พวกเขาฆ่าในระหว่างการต่อสู้กับราชาแห่งหนูก็ทำให้หัวใจของโนอาห์เต้นแรง ตอนนี้ซากศพของหนูกระจัดกระจายไปทั่วสถานที่แห่งนั้นจากระเบิดแสงของชายที่มีแผลเป็น เหลือเพียงซากศพของหนูไม่กี่ตัวเท่านั้นที่ยังมีชิ้นส่วนสมบูรณ์

‘ถ้าไม่ใช่เพราะระเบิดแสงที่เขาใช้เราอาจไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้ามีซากศพหลายๆศพทิ้งไว้ด้วย การโลภเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็ไม่ควรมากเกินไป’ โนอาห์คิดในใจ

เมื่อโนอาห์คิดจะเผาศพมอนเตอร์พวกนี้เขาก็ได้ยินเสียงดังอยู่ข้างหลังและหันไปดูว่ามันคืออะไร เห็นได้ชัดว่าเขาจดจ่อกับจำนวนค่าประสบการณ์ที่เขาจะได้รับจากซากศพเหล่านี้จนลืมไปว่ามีคนอื่นอยู่กับเขาที่นั่น

เมื่อเขาเห็นเวนดี้เข้ามาหาเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังเขาก็คิดบางอย่างได้อย่างรวดเร็วและพูดออกมาดังๆขณะที่เขาชี้ไปในทิศทางเดียว

“ฉันรู้จักเขา ขอเวลาฉันอยู่คนเดียวสักครู่ได้ไหม”

เวนดี้ชะงักไปครู่หนึ่งและมองตามทิศทางที่นิ้วของโนอาห์ชี้ไป เมื่อเธอเห็นว่าเขากำลังชี้ไปที่ศพของชายที่มีรอยแผลเป็น เธอก็รู้สึกผิดเล็กน้อย เมื่อเธอเชื่อมโยงจุดต่างๆตั้งแต่ที่เข้ามาในป้อมปราการ ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกันจริงๆ

“ฉันขอโทษที่ฉันไม่สามารถช่วยเขาได้”

ก่อนที่โนอาห์จะตอบ เธอหันไปอย่างขี้อายและเดินผ่านประตูไป

เมื่อเธอจากไป โนอาห์ก็ถอนหายใจออกมาและหันกลับไปดูซากศพของหนูอีกครั้ง เขาสนใจเพียงแค่ศพของหนู เขาไม่สนใจศพของคนอื่นๆที่อยู่ในป้อมปราการเลย เพราะเขาและชายผู้มีแผลเป็นรู้จักกันมานานมากแล้ว เขาสองคนไปบุกป้อมปราการด้วยกันบ่อยๆ แต่มันก็ไม่อยู่ถึงจุดที่โนอาห์ใส่ใจชายคนนี้จริงๆ การเห็นเขาตายไม่ได้ทำให้โนอาห์มีความสุข แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขาเศร้าเช่นเดียวกัน มันมีเพียงความรู้สึก ‘น่าเสียดาย’ และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

โนอาห์ได้เห็นการเสียชีวิตของผู้คนมากมายที่เขาติดต่อด้วยในฐานที่มั่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเห็นผู้คนเสียชีวิตซึ่งเขาทำงานด้วยในฐานะเพื่อนร่วมทีมไม่ส่งผลกระทบต่อเขาอีกต่อไป ถ้าเป็นคนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย บางทีอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น ชายคนนี้เป็นเพียงข้ออ้างว่าโนอาห์จะทำอะไรต่อไป

ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าโนอาห์รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของเขากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากเปลวไฟที่กลืนกินราชาแห่งหนู ตอนนี้รู้สึกว่ามันจะไม่เจ็บที่จะใช้เปลวไฟของเขาอีกแล้วโนอาห์เปิดฝ่ามือของเขาแต่ละข้างชี้ไปในทิศทางที่แตกต่างกันโดยที่แขนของเขายื่นออกไปเหมือนอาวุธ เขาเริ่มยิงไปที่ซากศพต่างๆรอบตัวเขาอย่างเมามัน

เนื่องจากราชาแห่งหนูยังคงถูกเผาผลาญโนอาห์จึงใช้โอกาสนี้ในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของเขาว่ามันทำงานยังไง และพวกมันสามารถทำอะไรได้บ้าง ลดการใช้พลังงานให้น้อยที่สุดและเพิ่มประสิทธิภาพให้มากที่สุด

หลังจากเผาซากศพทั้งหมดโนอาห์รู้สึกว่าตอนนี้เขามีพลังมากพอประมาณหนึ่งหลังจากเขาใช้มันทำความเข้าใจในทักษะของตัวเอง

เกี่ยวกับศพของมนุษย์ โนอาห์ลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพยายามเผาพวกมัน เนื่องจากเขาถูกบังคับให้ฆ่าคนมาก่อนในป้อมปราการอื่นๆ เพราะฉะนั้นการเผาศพของคนที่โดนหนูแทะตายไปแล้วมันคงจะไม่มีปัญหาอะไร

เขาคิดว่าบางทีเขาอาจจะได้รับความสามารถพิเศษบางอย่าง แต่หลังจากที่เขาพยายามจะเผามนุษย์ทุกครั้งข้อความเตือนก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าของเขาเป็นเวลาหลายวินาที

[ความสามารถ “เปลวไฟจากนรก” ไม่มีระดับที่สูงพอที่จะทำสิ่งนั้น]

โนอาห์อยากรู้ว่าถ้าเขาเผาซากศพมนุษย์ได้เขาจะได้ทักษะอะไรเพิ่มขึ้นไหม แต่ตอนนี้สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือการเพิ่มระดับทักษะของเขาก่อน เขาสามารถเผาซากศพของมนุษย์ได้ แต่การดูดซับพวกมันมาเป็นค่าประสบการณ์ยังเป็นไปไม่ได้

เมื่อมองไปรอบๆแล้วไม่พบอะไรอีกนอกจากขี้เถ้าเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ ด้วยเหตุผลบางอย่างการได้เห็นสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งมันเต็มไปด้วยซากศพ แต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่าเหลือแค่เพียงขี้เถ้า เขากลับมองว่ามันเป็นภาพที่สวยงามจริงๆ

‘อาจจะเป็นผลมาจากทักษะ? จริงๆแล้วฉันพบว่ามันยากที่จะไม่ได้เห็นฉากที่สวยงามนี้ ราวกับว่าฉันเพิ่งวางของขายหลายอย่างและตอนนี้เหลือเพียงกองเงินเท่านั้น’ เขาหัวเราะกับตัวเองกับการเปรียบเทียบที่โง่เขลาของเขาในขณะที่เขามองไปที่ขี้เถ้าบนพื้นและในที่สุดเขาก็หันไปที่ประตู

หลังจากที่เขารู้สึกถึงความคุ้นเคยของการข้ามประตู พริบตาหลังจากนั้นเขาก็กลับมาที่ทางเข้าป้อมปราการ

อีกด้านหนึงของประตูวาปโนอาห์เห็นเจ้าหน้าที่ถือแท็บเล็ตขณะมองไปในทิศทางของเขาอย่างใจจดใจจ่อ เพราะเขาต้องการฟังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการบุกป้องปราการครั้งนี้ โนอาห์ไม่สนใจที่จะตอบคำถามพวกนั้น แต่เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะตอบจนกว่าผู้ชายคนนั้นจะพอใจ แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นความจริงเสมอไป…

‘ข้อมูลส่วนตัว.’

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 01]

[ประสบการณ์: 28/100]

[HP: 10/10]

[ความแข็งแรง: 10]

[ความคล่องตัว: 10]

[ความแข็งแกร่ง: 10]

[สกิว:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 01 : 61/100

คำอธิบายสกิว: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

การต่อสู้ที่นองเลือดยังคงดำเนินต่อไปอย่างช้าๆ พวกหนูเป็นผู้นำด้วยจำนวนของมันที่มีจำนวนมากกว่า ในช่วงนาทีที่ยาวนานของการต่อสู้ซากศพของหนูนับไม่ถ้วนกองอยู่บนพื้นพร้อมกับซากศพของมนุษย์ที่ไม่สามารถต้านทานการต่อสู้ได้และจบชีวิตลง

ในบนนดามนุษย์ 15 คนที่บุกเข้ามาในป้อมปราการครั้งนี้เหลือเพียง 5 คนเท่านั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ โนอาห์ แฮรี่ เวนดี้ ชายผู้มีแผลเป็น และผู้ชายอีกคนที่มีพรในการล่องหนได้ เพราะทุกครั้งที่เขากำลังจะได้รับการโจมตีที่รุนแรงเขาก็จะล่องหนไปชั่วขณะและหลบออกจากที่ๆเขายืนอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็ได้รับบาดแผลเป็นจำนวนมาก ตอนนี้ร่างของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลเช่นเดียวกัน

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้รอดชีวิตทุกๆคนในตอนนี้อยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ทุกๆคนมีบาดแผลหมด ไม่มีใครที่ไม่มีบาดแผลแม้แต่คนเดียวไม่เว้นแม้แต่เวนดี้ที่สามารถรักษาได้ เพราะเธอยอมแพ้กับการรักษาอาการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆและเก็บพลังงานไว้ในกรณีที่จำเป็นจริงๆ

โนอาห์พบโอกาสสองครั้งที่จะทำให้ราชาแห่งหนูได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ในระหว่างโอกาสทั้งสองครั้งที่เขาพบกลับมีลูกหนูจำนวนมากโผล่ออกมา ทำให้โอกาส์ต้องเปลี่ยนเป้าหมายของลูกไฟของเขาเพื่อปกป้องชีวิตของตัวเอง

จากคววามรู้สึกของโนอาห์ในตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาสามารถยิงลูกไฟได้อีกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นเป็นทั้งหมดที่เขาจะทำได้แล้ว หากการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือความตายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ในขณะที่โนอาห์กำลังตัดสินใจ ชายที่มีแผลเป็นก็มองเขาด้วยสายตาเหมือนกำลังต้องการคำตอบของบางสิ่ง ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย พวกเขาเพียงสบตากันครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็หันไปหาราชาแห่งหนูด้วยสายตาที่จริงจังขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มเปล่งแสงประกายเจิดจ้า

เมื่อเห็นร่างของชายคนนั้นเริ่มเปล่งประกายโนอาห์ก็ประหลาดใจ เขารู้ว่าชายคนนี้เป็นผู้ถูกเลือกระดับ D ด้วยการฝึกฝนและการต่อสู้เป็นเวลาหลายปี ด้วยภูมิหลังนี้พลังแห่งพรของเขาไม่ควรอ่อนแอ เนื่องจากเขาฝึกฝนมันมานานแล้ว เพราะฉะนั้นพรของเขาควรที่จะอยู่ระดับ D หรือมีความแข็งแกร่งในระดับ E ขั้นสูงจนเกือบจะถึงระดับ D แล้ว

ความแตกต่างระหว่างป้อมปราการระดับ F และป้อมปราการระดับ E นั่นมีขนาดใหญ่มาก ในแง่ของความยากและความแข็งแกร่ง เพราะฉะนั้นพรของผู้ถูกเลือก และระดับของผู้ถูกเลือก ก็จะมีความแตกต่างกันมากเช่นเดียวกัน

นั่นหมายความว่าความแข็งแกร่งของพรของผู้ถูกเลือกระดับ D ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างยาวนานกับ ผู้ถูกเลือกระดับ F ก็จะแตกต่างกันมากๆเช่นเดียวกัน

นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่โนอาห์มั่นใจว่าชายผู้ที่มีแผลเป็นคนนั้นที่เป็นผู้ถูกเลือกระดับ D จะต้องต่อสู้กับราชาแห่งหนูและทำอะไรสักอย่างในสถานการณ์ที่เลวร้ายได้อย่างแน่นอน

แม้ว่าโนอาห์จะเข้าร่วมการบุกป้อมปราการระดับ F กับชายคนนั้นมาหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยเห็นพรที่ชายที่มีแผลเป็นใช้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการบุกป้อมปราการครั้งไหน เพราะด้วยประสบการณ์ของชายคนนี้ก็ทำให้พวกเขาได้เปรียบเป็นอย่างมากอยู่แล้ว นั่นทำให้การบุกป้อมปราการราบรื่นกว่าปกติเป็นอย่างมาก

ดังนั้นโนอาห์จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่จะได้รู้ว่าพรของชายคนนี้คืออะไรและทำไมเขาถึงไม่เคยใช้มันเลยจนถึงตอนนี้ เนื่องจากมันน่าจะเป็นพรที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก

เมื่อร่างกายของชายที่มีแผลเป็นเริ่มเรืองแสงหนูตัวเล็กๆตัวอื่นๆก็ถูกดึงดูดและทิ้งการต่อสู้ที่พวกมันกำลังทำอยู่และวิ่งเข้าหาชายที่กำลังส่องแสง

เห็นได้ชัดว่าชายคนนั้นรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นและเขาไม่ตกใจกับเหตุการณ์นี้ เขาตะโกนดังๆออกไปให้กับผู้ถูกเลือกที่เหลือ

“นี่จะเป็นโอกาสเดียวที่จะจบการต่อสู้นี้ได้! เตรียมการโจมตีที่ดีที่สุดของพวกนายไว้เพื่อหยุดการต่อสู้นี้!”

จากน้ำเสียงที่ชายคนนั้นใช้ออกมา โนอาห์ก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังใช้บางสิ่งที่สำคัญมากและถ้าพวกเขาไม่สามารถจบการต่อสู้ในครั้งนี้ได้พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องตายอยู่ที่นี่ พวกเขาไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีกต่อไป โนอาห์เรียกลูกไฟที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยพลังงานที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยของเขาพร้อมกับเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วในระยะไกลเพื่อหามุมในการโจมตีที่ดีที่สุด

แฮรี่ก็เตรียมตัวให้พร้อมแม้ว่าจะมีบาดแผลและได้รับบาดเจ็บหลายแห่งในร่างกาย เขายกมือทั้งสอบข้างขึ้นและใช้พละกำลังที่เหลือของเขาเรียกแท่งน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่มีปลายแหลมลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาเพื่อรอที่จะปล่อยออกไปที่ราชาแห่งหนู ในขณะที่เวนดี้รักษาร่างกายของผู้ชายที่สามารถหายตัวได้ เพื่อไม่ให้เขาตาย

แม้ว่าพวกเขาจะปล่อยพลังออกมาขนาดนี้ แต่ก็ไม่มีหนูตัวไหนที่สนใจพวกเขาเลย หนูพวกนั้นมุ่งความสนใจไปที่ชายที่ตอนนี้กำลังส่องแสงมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงราชาแห่งหนูที่ไม่ได้สนใจเปลวไฟที่อันตรายของโนอาห์ที่เขาเรียกออกมา

เมื่อหนูอยู่ใกล้กับเขามากพอ แสงทั้งหมดที่ชายที่มีแผลเป็นเปล่งออกมาก็หายไปจนกระทั่งมันกลับมาอีกครั้ง แต่ในคราวนี้มันกลับไม่ใช่แค่แสง แต่เป็นรังสีเลเซอร์หลายๆเส้นเจาะเข้าไปในเนื้อของมอนเตอร์ทั้งหมดในระยะ 15 เมตรจากตัวของเขา

มอนเตอร์ที่อ่อนแอกว่าราชาแห่งหนูตายในทันทีที่โดนแสดงเลเซอร์นั้น แต่ราชาแห่งหนูยังมีชีวิตอยู่แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แฮรี่ก็ปล่อยแท่งน้ำแข็งที่อยู่บนศีรษะของเขาออกไปที่ราชาแห่งหนูทันที ซึ่งราชาแห่งหนูไม่สามารถตอบสนองได้เร็วพอ ทำให้มันได้รับบาดแผลขนาดใหญ่อีกหนึ่งแผล ที่ไม่รวมกับบาดแผลที่เกิดจากเลเซอร์

เมื่อถึงจุดหนึ่งราชาแห่งหนูมีความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้น เพราะมันมองไม่เห็นคนที่มีเปลวไฟที่อันตรายที่สุดในหมู่ผู้คนเหล่านี้

แต่ก่อนที่มันจะพยายามกระโดดออกจากจุดที่มันยืนอยู่ ลูกไฟที่มันกลัวมากที่สุดก็พุ่งเข้าใส่ตัวของมันตรงไปที่บาดแผลขนาดใหญ่ของมันทันที

มันกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานจากไฟที่ลุกลามไปทั่วบาดแผลที่เกิดขึ้นตามตัวของมัน

มันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและสิ้นหวังก่อนที่จะสูญเสียเรี่ยวแรงที่จะทำเช่นนั้นในที่สุด และมันก็ปล่อยให้ตัวของมันล้มลงกับพื้น

*ตุ้บ*

เมื่อเห็นว่าไม่มีมอนเตอร์ตัวใดขยับหรือส่งเสียงใดๆอีก พวกผู้ถูกเลือกก็ถอนหายใจและมีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไป

ชายผู้ที่สามารถล่องหนได้ ตอนนี้บาดแผลของเขาก็ดีขึ้นเล็กน้อยเขานอนลงโดยให้ศีรษะของเขาอยู่บนพื้นและพักผ่อน

เวนดึ้ที่ซึ่งมีพลังงานเหลือเพียงเล็กน้อยเมื่อเธอเห็นสภาพของชายที่มีแผลเป็น เธอก็ใช้กำลังเพียงเล็กน้อยของเธอวิ่งเข้าหาเขาและพยายามช่วยเขาเอาไว้

แต่ความช่วยเหลือของเธอไม่ได้ผลดีนัก เนื่องจากในขณะที่เขาส่องแสงเพื่อล่อหนูเข้ามา หนูบางตัวสามารถเข้าถึงร่างกายของเขาได้ และกัดชิ้นเนื้อขนาดใหญ่จากร่างกายของเขาออกไป และชายคนนี้ได้ถูกดึงชิ้นเนื้อออกไปหลายที่แล้ว ถ้าเขาสามารถรอดชีวิตออกไปจากที่นี่ได้ เขาจะไม่ถูกเรียกว่าชายที่มีแผลเป็นอีกต่อไป เขาจะถูกเรียกว่าชายพิการแทน

การหายใจของเขาอ่อนแอมากแล้ว และตัวเขาเองก็ยอมรับแล้วว่าเขาคงจะไม่มีชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ ความสามารถนี้ที่เขามีอันตรายเกินกว่าที่จะใช้ตามปกติ ด้วยเหตุนี้วิธีเดียวที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายนี้ได้คือการมีทีมที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะปกป้องเขาในขณะที่เขาส่องแสง แต่ทีมที่เขาเคยมีนั้นได้เสียชีวิตไปใน ป้อมปราการพิเศษ พร้อมกับลูกชายของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถเป็นอะไรได้มากไปกว่าผู้ชายธรรมดาที่มีประสบการณ์มากพอที่จะผ่านพ้นไปแต่ละป้อมปราการ

แน่นอนเป็นเพราะเขาได้รับพรจากเทพเจ้าแห่งแสง เขาไม่เพียงแต่มีทักษะ ‘การระเบิดของแสง’ นี้แต่เขายังสามารถควบคุมแสงให้ทำบางอย่างได้เล็กน้อย ซึ่งช่วยให้เขาหลอกลวงศัตรูในระหว่างการต่อสู้และทำให้พวกเขาตาบอดได้เพียงเสี้ยววินาที แต่ไม่มีอะไรที่จะสร้างความเสียหายได้มากเท่ากับความสามารถนี้ของเขาที่ถูกปลุกขึ้นตั้งแต่ที่เขาได้รับพรมา

ผู้ถูกเลือกบางคนนอกจากจากการปลุกพรของเทพเจ้าแล้ว เขายังสามารถปลุกทักษะแบบสุ่มโดยกำเนิดซึ่งพวกเขาจะสามารถเรียนรู้ที่จะใช้โดยใช้ความพยายามและการฝึกฝนน้อยกว่าการพัฒนาทักษะใหม่ๆด้วยตัวเอง น่าเสียดายสำหรับชายคนนี้ ความสามารถของเขามาพร้อมกับการดึงดูดมอนเตอร์ให้เข้ามาโจมตีเขาก่อนที่จะเกิดการระเบิดจริง ซึ่งทำให้มันอันตรายอย่างมากในการใช้งาน และเขาก็มีเพียงพรนี้เท่านั้นที่ทำประโยชน์ได้พรอื่นๆของเขาก็ทำให้ศัตรูตาบอดและสับสนเป็นครั้งคราวเท่านั้น

แฮร์รี่นั่งหอบอยู่บนพื้นด้วยความเหนื่อยล้าและคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บที่ได้รับระหว่างการต่อสู้ ในที่สุดตอนนี้อะดรีนาลีนของเขาจากการต่อสู้ก็ลดลง

ในทางกลับกันโนอาห์รู้สึกเหมือนกำลังยืนอยู่ในงานเลี้ยงเนื่องจากเปลวไฟที่เขาปาใส่ราชาแห่งหนูยังคงเผาไหม้มอนเตอร์ตัวใหญ่และสำหรับโนอาห์มันเหมือนกับว่าเขาเป็นคนที่ใช้เวลาร่วมเดือน ในการหาวัตถุดิบมาและตอนนี้ในที่สุดเขาก็สามารถได้กินแฮมเบอร์เกอร์ขนาดใหญ่ได้ทีเดียวหลายๆอันเพื่อบรรเทาความหิวของเขา…และนั่นสงผลให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเขากินมากขึ้น

ราชาแห่งหนูมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆกล้ามเนื้อของมันเริ่มเต้นเป็นจังหวะ และในพริบตาขนาดของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 20% จากเดิม

ราชาแห่งหนูแยกเขี้ยวสีเหลืองประหลาดขนาดใหญ่ออกมา เมื่อมองดูมันดีๆแล้วมันขนาดใหญ่กว่าปกติหลายเท่า

ผู้ถูกเลือกส่วนใหญ่ในห้องถูกแช่แข็งด้วยความกลัว ไม่ใช่เพียงเพราะการขยายร่างของราชาแห่งหนูอย่างเดียวเท่านั้นแต่เป็นเพราะออร่าที่มันปล่อยออกมา ราวกับว่าพวกเขากำลังจ้องมองไปที่ความตาย เวลาดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปทันทีสำหรับผู้ถูกเลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเขา เพราะเขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่า

*ซี่…* หนูกรีดร้องขณะที่มันจ้องไปที่มนุษย์ที่เผามันก่อนเป็นคนแรก มันต้องการแก้แค้นในสิ่งที่มันโดน

โนอาห์ก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ เขาได้รับความกดดันจากราชาแห่งหนูเช่นเดียวกัน แม้ว่าเขาจะเข้าร่วมการท้าทายป้อมปราการเป็นเวลาสี่ปีแล้วและค้นคว้าทุกอย่างที่เกี่ยวกับป้อมปราการ แต่ความรู้ทางทฤษฏีก็ไม่สามารถแก้ปัญหาทั้งหมดได้เสมอไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกได้ถึงออร่าที่แข็งแกร่งและชั่วร้าย ยิ่งกว่านั้นออร่าพวกนั้นทั้งหมดยังพุ่งเป้ามาที่เขาอีกด้วย

โนอาห์ไม่สามารถขยับตัวออกจากจุดที่เขากำลังยืนอยู่ได้เพราะความหวาดกลัว

“เรากำลังแย่แล้ว” โนอาห์ถอนหายใจขณะพยายามรวบรวมพละกำลังเพื่อออกไปจากสถานที่แห่งนั้น แต่ร่างกายที่เขาฝึกฝนมาจนว่องไวมากในขณะนั้นดูเหมือนจะมีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งตัน

ราวกับว่าโลกกำลังหมุนไปอย่างช้าๆ โนอาห์เห็นหนูวิ่งมาหาเขาด้วยดวงตาสีแดงร้อนแรงและตระหนักว่าร่างกายของเขาไม่ตอบสนองต่อสิ่งที่เขาต้องการ ความสิ้นหวังก็เริ่มโจมตีเขา

‘ฉันจะต้องแข็งแกร่งกว่านี้ ฉันจะไม่มาตายที่นี่!’ เขากรีดร้องด้วยความคิดขณะที่เขาดิ้นรนที่จะเคลื่อนไหว

ในขณะที่ราชาแห่งหนูกำลังเตรียมที่จะกระโดดเข้าไปหาโนอาห์ชายร่างใหญ่ก็แทงดาบของเขาไปที่คอของราชาแห่งหนูพร้อมกับตะโกนว่า

“ตื่นซะถ้านายไม่ตื่น พวกเราจะตายทั้งหมด!”

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนที่ชายผู้มีแผลเป็นมอบให้ ในที่สุดผู้ถูกเลือกบางคนก็หลุดพ้นจากความกลัวที่พวกเขารู้สึกและชักอาวุธของตัวเองออกมา ในขณะที่พวกเขาวิ่งไปหาหนูตัวใหญ่เพื่อพยุงชายที่มีแผลเป็นออก โนอาห์ก็สามารถฟื้นตัวจากสภาพที่เขาอยู่ได้เพราะเสียงตะโกนของชายที่มีแผลเป็น

แต่แตกต่างจากคนอื่นๆที่คิดแต่จะวิ่งเข้าหาราชาแห่งหนู โนอาห์รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างแรกที่ชายผู้มีแผลเป็นหายเร็วขนาดนี้ แต่หลังจากนั้นเขาก็เรียกลูกไฟขนาดเล็กเงอะงะออกมาและรอโอกาสที่สมบูรณ์แบบที่จะโจมตีราชาแห่งหนูซึ่งกำลังต่อสู้กับพวกผู้ถูกเลือกที่ต่อสู้แบบตัวต่อตัวอย่างเมามัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่มีผู้ถูกเลือกคนอื่นสังเกตเห็นคือบาดแผลอันยิ่งใหญ่ที่ราชาแห่งหนูได้รับจากการแทงของชายที่มีแผลเป็นในขณะที่เขาตะโกนให้คนอื่นๆตื่น

ใช้เวลาอีกไม่นานสำหรับโอกาสที่สมบูรณ์แบบที่โนอาห์กำลังรออยู่ เพราะอีกไม่กี่อึดใจต่อมา แท่งน้ำแข็งก็บินเข้าไปหาราชาแห่งหนูและเมื่อราชาแห่งหนูหลบแท่งน้ำแข็งนั้น ผู้หญิงที่ถือใบมีดรูปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวก็พุ่งเข้าไปเพื่อฟันที่ราชาแห่งหนูทันที เธอฟันไปที่จุดอ่อนที่เป็นแผลของราชาแห่งหนูโดยไม่ต้องคิดทันที

น่าเสียดายที่ราชาแห่งหนูก็ว่องไวขึ้นจากโหมดเบอเซิกเช่นกัน ผู้หญิงคนนั่นหลังจากที่ฟันไปที่บาดแผลของราชาแห่งหนูได้ ราชาแห่งหนูก็หันกลับมาและอ้าปากขนาดใหญ่กัดเข้าที่ไหล่ของเธอเพียงครั้งเดียว นั่นทำให้ชิ้นส่วนขนาดใหญ่จากไหล่ของเธอหายไป พร้อมกับเสียงร้องอันเจ็บปวดที่ดังก้องขึ้นในพื้นที่นั้นทันที

ในขณะที่หนูตัวใหญ่ไม่ได้จากไปจากการกัดเพียงครั้งเดียว ขณะที่ราชาแห่งหนูกำลังอ้าปากอีกครั้งโดยที่มันจดจ่อไปที่ผู้ถูกเลือกที่มันจะกัดต่อไป มันก็ไม่ได้สังเกตเห็นถึงลูกไฟประหลาดที่ลอยเข้ามาหามัน

*ซี่!!!* ราชาแห่งหนูกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง

เมื่อผู้ถูกเลือกเริ่มมีกำลังใจขึ้นโดยคิดว่าพวกเขาเกือบจะสามารถกำจัดราชาแห่งหนูได้แล้ว โนอาห์ก็สังเกตเห็นเสียงแปลกๆของกรงเล็บขูดกับพื้นผ่านอุโมงค์ท่อระบายน้ำที่เชื่อมต่อกับห้องนี้ ก่อนที่เขาจะได้เตือนคนอื่นๆว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น มันก็สายไปเสียแล้ว

“อ๊าาาาาาาาาาาาาาากกกกก!!!!” วัยรุ่นที่ทำหน้ามุ่ยใส่แฮร์รี่ก่อนหน้านี้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อเธอรู้สึกถึงเขี้ยวขนาดใหญ่ของมอนเตอร์ที่โผล่ออกมาจากข้างหลังและฝังเขี้ยวนั่นเข้าไปในน่องซ้ายของเธอ

เมื่อผู้ถูกเลือกได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นพวกเขาก็เริ่มให้ความสนใจกับอุโมงค์เล็กๆที่อยู่ใกล้กับพวกเขาทันที ดังนั้นในกรณีที่มีหนูตัวเล็กเข้ามาหาพวกเขา พวกเขาจะได้รู้สึกตัวได้ทัน

นี่คือสิ่งที่โนอาห์จะเตือนพวกเขา นั่นคือหนึ่งในทักษะที่ราชาแห่งหนูมี เมื่อราชาแห่งหนูเข้าสู่โหมดเบอเซิกเมื่อถึงจุดหนึ่งราชาแห่งหนูจะเรียกหนูทุกตัวที่อยู่ใกล้กับที่เกิดเหตุมาช่วยมัน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทีมของพวกเขาจึงไม่ตรงไปฆ่าราชาแห่งหนูตั้งแต่ทีแรกแต่พวกเขากลับไปล่าฆ่าหนูทีละตัวในบริเวณใกล้เคียงก่อนที่จะเข้าไปหาราชาแห่งหนูแทน

“ผู้ถูกเลือกที่มีการโจมตีระยะไกลให้มุ่งเน้นการโจมตีไปที่หนูตัวเล็กในขณะที่พวกเราดึงดูดความสนใจจากราชาแห่งหนู และทำให้เร็วที่สุดเพราะพวกเราไม่สามารถทนได้นาน!” ชายผู้มีแผลเป็นตะโกนสั่งอีกคน คราวนี้ทุกคนฟังอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สนใจผู้หญิงที่สูญเสียส่วนหนึ่งของไหล่ของเธอไป เพราะตอนนี้เธอนอนนิ่งอยู่ในความฝัน

การต่อสู้วุ่นวายเป็นอย่างมาก แฮรี่ขว้างก้อนน้ำแข็งใส่หนูทุกตัวที่เขาเห็นพร้อมกับพึมพำในใจว่า ‘นรกนรก!’ ฉันเป็นผู้ถูกเลือกระดับ D ฉันไม่ควรมาตายในป้อมปราการขยะระดับ F นี่! เจ้าพวกสกปรกพวกนี้…ถ้าฉันได้ออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ฉันจะทำให้พวกผู้ถูกเลือกระดับ F พวกนี้ต้องชดใช้

เวนดี้ซึ่งในขณะนั้นได้พยายามหยุดเลือดจากบาดแผลที่เกิดจากการถูกกัดของหญิงสาวที่ทำให้แฮรี่ไม่พอใจ พร้อมกับมองไปที่ทิศทางของโนอาห์

“เขา…เปลวไฟของเขาสร้างความเสียหายให้ราชาแห่งหนูได้สบายมาก เขาไม่ใช่แค่ผู้ถูกเลือกระดับ F…ให้ตายเถอะเอมี่ถ้าเธอไม่…”

ท่ามกลางความโกลาหลนี้เขาใช้สิ่งที่เขาฝึกฝนมาทั้งหมด 100% ทั้งความคล่องตัวเพื่อให้เขาสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระหรือการมองหาโอกาสที่ดีในการสังหารราชาแห่งหนู

จากการเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดที่ราชาแห่งหนูกำลังสร้างขึ้นโนอาห์รู้ว่านี่เป็นรูปแบบที่ซ่อนอยู่ซึ่งหนูพยายามเคลื่อนไหวโดยที่ไม่ทำให้ปากแผลเปิดอีกต่อไป

ร่างกายของราชาแห่งหนูเต็มไปด้วยบาดแผล แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังพยายามกัดพวกเขา ถ้าโนอาห์ขว้างลูกไฟไปที่หนึ่งในบาดแผลเหล่านี้มันจะทำให้ราชาหนูเจ็บปวดอย่างแน่นอน แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะฆ่ามันได้ และด้วยความรู้สึก “หิว” ที่โนอาห์กำลังมีอยู่เขาจึงรู้ว่าเขาไม่มีพลังงานเหลือสำหรับการจุดไฟมากเกินไปอีกแล้ว เขาจะต้องเตรียมการโจมตีที่เด็ดขาดที่สุด

“ตื่นซะทีไอ้โง่! ใช้พลังของแกซะ!” ชายคนหนึ่งที่ถือธนูตะโกนใส่แฮร์รี่ที่ถูกแช่แข็งด้วยความตกใจ แม้ว่ากลุ่มของเขาจะเริ่มต่อสู้กับราชาหนูไปสักพักแล้วก็ตาม แต่ตัวเขายังไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทำให้เขารู้สึกตัวหลังจากนั้นเขาก็เริ่มปล่อยแท่งน้ำแข็งอันแหลมคมออกไปเพื่อทำให้ราชาหนูบาดเจ็บ

โนอาห์ยิงลูกไฟไปสองสามลูกแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าความเสียหายที่เขาทำนั้นต่ำมาก เนื่องจากไฟที่เขาควบคุมได้นั้นมันอุ่นกว่าไฟปกติเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเทียบกับหนูทั่วไปมันสร้างความเสียหายได้มาก แต่เมื่อเทียบกับราชาแห่งหนูแล้วละก็…มันไม่สามารถเผาขนที่หนาของมันได้เลยสักนิดเดียว

แต่มีบางอย่างที่โนอาห์สังเกตเห็น ไฟของเขาไม่สามารถสร้างความเสียหายมากนักเมื่อโดนขนของราชาแห่งหนู แต่ถ้าไฟของเขาไปโดนส่วนผิวหนังที่ถูกตัดโดยผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ราชาแห่งหนูจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดราวกับว่ามันถูกเจาะด้วยดาบขนาดใหญ่ นั่นหมายความว่าความเสียหายที่เขาสร้างที่เนื้อของมันมากกว่าตอนที่เขาโจมตีไปที่ขนของมันหลายเท่า

‘บางทีนี่อาจจะเป็นเพราะปัจจัยจากเรื่องความบริสุทธิ์ เปลวไฟของฉันเป็นเปลวไฟที่มีไว้ชำระล้างบาปและคนบาป หรือว่ามอนเตอร์ตัวนี้จะถูกมองว่าเป็นบาปอย่างหนึ่ง และที่เปลวไฟของฉันส่งผลต่อมันมากกว่าหนูปกติหรือจะเป็นเพราะว่ามันเป็นราชาแห่งหนู พลังแห่งการชำระล้างเลยมีพลังมากขึ้น’ ในขณะที่คิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้นี้โนอาห์ก็เริ่มคิดแผนแผนการที่เขาจะสามารถใช้ประโยชน์จากพลังเปลวไฟของเขาเพื่อเพิ่มโอกาสในการเอาชนะราชาแห่งหนูตัวนี้

ในขณะที่โนอาห์กำลังคิด เขาก็ไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเพราะคนที่ยืนอยู่นิ่งๆจะกลายเป็นเป้าหมายได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าราชาแห่งหนูจะมุ่งการโจมตีของมันไปที่ผู้ถูกเลือกที่โจมตีมันในระยะประชิด แต่โนอาห์ก็ไม่เสี่ยงที่จะยืนนิ่งเพื่อรอราชาแห่งหนูมาโจมตีเขา

ในขณะที่เขาเคลื่อนไหวและโยนลูกไฟด้วยมือซ้ายเป็นครั้งคราว มือขวาของเขาก็ถือมีดต่อสู้ที่เขาใช้อยู่เสมอ แม้ว่ามันจะไม่ใช่อาวุธที่มีพรอยู่ในอาวุธหรือเป็นอาวุธที่มาจากป้อมปราการ แต่สำหรับป้อมปราการระดับ F ธรรมดามันก็เพียงพอแล้ว

แต่จากการเฝ้าดูผู้ถูกเลือกคนอื่นๆ ต่อสู้กับราชาแห่งหนูเขาก็รู้ทันทีว่ามีดและดาบธรรมดา ไม่สามารถใช้งานได้ในสถานการณ์แบบนี้

ในขณะที่โนอาห์กำลังมองหาโอกาสที่จะโจมตีราชาแห่งหนูอยู่นั้น มันก็ทำท่าทางเหมือนจะโจมตีชายร่างใหญ่ที่ถือโล่แต่ในตอนที่มันจะโจมตีมันกลับหันไปหาเด็กวัยรุ่นที่โจมตีมันด้วยดาบแทน ก่อนที่ผู้ถูกเลือกที่ไม่มีประสบการณ์จะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ราชาแห่งหนูก็ได้กัดข้อมือขวาของเธอที่ถือดาบราวกับว่ามันกัดขนมปังเท่านั้น มือของเธอถูกแยกออกจากกันและมือของเธอก็หายเข้าไปในปากของราชาแห่งหนูทันที

“อ๊าาาาาาาาาาาาาากกกกก!” วัยรุ่นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อเธอรู้ว่าดาบที่เธอถืออยู่ได้ตกลงลงพื้นและเธอไม่รู้สึกถึงมือชองเธออีกต่อไป

“กรี้ดดดดดดดดดดดด!!!!!” เวนดี้กรีดร้องจากด้านหลังเมื่อเธอเห็นแขนของเพื่อนถูกราชาแห่งหนูดึงออกมาอย่างง่ายดาย เธอยังคงโกรธเพื่อนของเธอที่ไม่ยอมให้เธอไปคุยกับโนอาห์ แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่เธอจะไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวในเวลานั้น

ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวังเวนดี้วิ่งออกมาจากด้านหลังเพื่อพยายามช่วยเอมี่ซึ่งกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะที่แขนซ้ายของเธอยังมีเลือดไหลออกมา

และสิ่งนี้ไม่ได้ถูกสังเกตเห็นโดยสายตาของคนที่มีประสบการณ์มากกว่า แต่ก่อนที่คนอื่นๆจะรู้สึกตัว ราชาแห่งหนูผู้ซึ่งตระหนักได้ว่ามีเหยื่อง่ายๆอีกตัวกำลังเข้ามา มันกลืนมือที่ดึงออกจากเอมี่และอ้าปากเตรียมที่จะกัดหัวเวนดี้ทันที

เพียงไม่กี่นิ้วจากปากขนาดใหญ่ของราชาแห่งหนู ในที่สุดเวนดี้ก็รู้ว่าเธอได้ตัดสินใจผิดพลาดที่เข้ามาในระยะนี้ เธอทำได้เพียงยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั่นโดยที่เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร

ในระหว่างการท้าทายป้อมปราการแห่งนี้เธอรู้สึกว่าอาจจะตายในหลายครั้ง แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป แทนที่เธอจะกลัวความตาย แต่เธอกลับยอมรับว่าไม่มีทางที่ใครจะช่วยเธอได้และหลับตาลง

เมื่อเห็นฉากนี้ในแบบสโลว์โมชั่นแล้วผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็หมดหวัง พวกเขาได้แต่ยอมรับว่าพวกเขาจะเสียผู้รักษาคนเดียวในกลุ่มของพวกเขาไป เพราะไม่มีใครสามารถช่วยได้อีก

แต่เมื่อเวนดี้สัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ร้อนและเหม็นมากของราชาแห่งหนูเธอก็ลืมตาขึ้นมาชั่วขณะ ในขณะนั่นมือสีขาวบางๆ ก็เข้ามาในขอบเขตการมองเห็นของเธอ ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเธอเห็นฝ่ามือนั้นเปิดออกพร้อมกับลูกบอลไฟที่ยิงเข้าไปในปากของราชาแห่งหนู เวนดี้อยู่ใกล้มากจนเวนดี้รู้สึกว่าผิวของเธอร้อนขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากเธออยู่ใกล้ลูกไฟมากก่อนที่จะถูกยิงออกไป

เมื่อราชาแห่งหนูเห็นมนุษย์อีกคนเข้าใกล้เหยื่อปัจจุบันของมันอย่างรวดเร็ว มันคิดแค่ว่ามันจะได้หัวสองหัวด้วยการกัดเพียงครั้งเดียวและมันก็มีความสุขมากในช่วงเวลานั้น

แต่ทั้งหมดกับตรงกันข้ามกับที่มันจินตนาการไว้ มนุษย์อีกคนที่พุ่งออกมา กลับปล่อยเปลวไฟสีส้มที่ทำร้ายมันได้มาก่อนหน้านี้ออกมา

แต่มันก็สายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ราชาแห่งหนูสามารถทำได้คือ รวบรวมความเร็วให้มากที่สุดและพยายามปิดปากของมันอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อมันปิดปากลงสิ่งแรกที่มันรู้สึกได้คือราวกับว่ามันกำลังกลืนยาพิษที่เลวร้ายที่สุดในโลกนี้ลงไป และมันกำลังทำลายทุกอย่างภายในตัวของมัน ราชาแห่งหนูกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงกรีดร้องดังและสูงจนบางตัวอ่อนแอลง ผู้ถูกเลือกถึงกับตัวสั่นด้วยความสงสัยว่าราชาแห่งหนูไปโดนอะไรมา

การเผาจากปากผ่านคอหอยลงไปที่หลอดอาหารจนมันดับลงในกระเพาะอาหารของราชาแห่งหนูใช้เวลาเพียงสองวินาทีเท่านั้น

และในขณะที่ราชาแห่งหนูกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากเปลวไฟจากนรกของโนอาห์ โนอาห์ได้เอามือคว้าไปที่เอวและท้องของเวนดี้เพื่อดึงพวกเธอกลับมาโดยที่ไม่ได้สนใจความคิดเห็นของเธอ เขาทำเพื่อที่เธอจะได้ไม่ตายอย่างไร้ประโยชน์ ทุกๆกลุ่มในการท้าทายป้อมปราการจะต้องให้ความสำคัญกับการปกป้องผู้รักษาเสมอ ตราบเท่าที่ผู้รักษายังคงมีชีวิตอยู่พวกเขาก็จะทำให้ทีมที่เหลือมีชีวิตอยู่เช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะต้องสูญเสียแขนและขาไป แต่พวกเขาก็จะไม่เสียผู้รักษาไปเด็ดขาด เพราะผู้รักษาบางคนที่มีพลังมากพอ เขาจะสามารถรักษาให้หายกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง

ในขณะที่ราชาแห่งหนูกรีดร้องและดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดเพราะการเผาไหม้ของเปลวไฟ ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆก็ตื่นขึ้นจากความตกใจจากเสียงร้องของราชาแห่งหนูและพวกเขาก็ไม่เสียเวลาที่จะใช้ประโยชน์จากช่วงเวลานี้เพื่อสร้างความเสียหายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

นักธนูใช้ธนู นักรบใช้มีดและดาบ ในขณะที่พ่อมดใช้เวทมนตร์ให้มากที่สุด แม้แต่แฮร์รี่ยังใช้พรของตัวเองโยนแท่งน้ำแข็งที่แหลมคมซึ่งมันสามารถตัดผ่านส่วนหนึ่งของหนังของราชาแห่งหนูได้ทันที

พรระดับ D แข็งแกร่งกว่าพรระดับ F อย่างแท้จริง ถ้าเขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ F ที่กำลังจะไปยังป้อมปราการแรกของเขาพร้อมกับพรแห่งน้ำแข็งอันนี้ สิ่งที่เขาทำได้มากที่สุดก็คือน้ำแข็งเพียงไม่กี่ก้อนที่จะทำให้มอนสเตอร์ช้ำเท่านั้น แต่ในฐานะที่พรของแฮร์รี่อยู่ในระดับ D ในช่วงเวลาสั้นๆนั้น ตั้งแต่เขาได้รับพรของตัวเองเขาก็เริ่มเรียนรู้ที่จะควบคุมน้ำให้แข็งมากพอที่จะทำให้ส่วนที่คมชัดขึ้นเพื่อสร้างความเสียหายให้กับมอนสเตอร์ได้มากขึ้น

ความเสียหายที่พวกเขาทำนั่นทำได้เยอะมากจนในที่สุดเมื่อราชาแห่งหนูฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ แทนที่ดวงตาของมันจะเป็นสีดำตามปกติ แต่ตอนนี้ดวงตาของมันกลับกลายเป็นสีแดงสด ดวงตาสีแดงเหมือนเลือดซึ่งเป็นสัญญานบ่งบอกว่าตอนนี้ราชาแห่งหนูต้องการที่จะฉีกกระซากมนุษย์ทุกคนในห้องนี้ให้ตายให้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าของมันในตอนนั้น

เมื่อเห็นดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาโนอาห์ก็พึมพำโดยสัญชาตญาณ

“โหมดเบอเซิก…”

ในขณะที่มองไปที่ก้อนน้ำแข็งเล็กๆที่พุ่งเข้ามาหาเขา โนอาห์เพียงแค่ยกมือซ้ายของเขาขึ้น หลังจากนั้นก็มีเปลวไฟบางๆพุ่งเข้าหาก้อนน้ำแข็งและละลายมันกลับเป็นของเหลวทันที

“กะ…แกมีพรยังงั้นหรอ? ทำไมพรของแกถึงได้มีพลังมากกว่าพรของฉัน!?” เมื่อถึงจุดนั้นแฮรี่ก็ได้รู้ตัวแล้วว่าเขาเป็นคนที่อ่อนแอยิ่งกว่าคนที่ ‘อ่อนแอที่สุด’ ของกลุ่ม มันทำให้เขาหมดกำลังใจไปแล้ว เขารู้สึกเหมือนเขาได้ฆ่าเพื่อนของตัวเองทางอ้อม กลุ่มวัยรุ่นของเราเริ่มตกเข้าสู่ความสิ้นหวังทันที

ไม่ต้องถามเลยว่าทุกๆคนที่อยู่ที่นี่ประหลาดใจแค่ไหนเมื่อพบว่าโนอาห์มีพรจริงๆ โดยเฉพาะเหล่าผู้ใหญ่ที่เคยร่วมการบุกป้อมปราการกับโนอาห์มาก่อน เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นโนอาห์ใช้พรมาก่อนเลยสักครั้ง แน่นอนว่าบางคนยังสงสัยว่าที่โนอาห์ไม่เคยใช้พรนี่มาก่อนเพราะมันอ่อนแอพอๆกับตัวเขาตามปกติอยู่แล่ว

แน่นอนโนอาห์ไม่แม้แต่จะอธิบายว่าพรของเขาไม่ได้อ่อนแอและมีศักยภาพที่จะกลายเป็นพรที่แข็งแกร่งที่สุด เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องบอกศัตรูของเขาว่าเขามีพลังอะไร

เมื่อเห็นโนอาห์ใช้พลังออกมาอย่างนี้ ความอาฆาตแค้นของเวนดี้ที่มีต่อเอมี่ก็ยิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากเอมี่เป็นคนที่หยุดเธอไม่ให้คุยกับโนอาห์ในขณะที่พวกเขานั่งอยู่บนรถบัส เพราะเอมี่บอกว่าโนอาห์อ่อนแอและจะตายในอีกไม่นาน แต่ในเวลานี้ทำให้เธอได้รู้ว่าโนอาห์ไม่ใช่คนอ่อนแอ เขามีทักษะการใช้มีดของเขา มีกลยุทธ์ มีทักษะการทำงานเป็นทีม และยังรวมไปถึงเปลวไฟที่เผาไหม้หนูพวกนั้นจนเหลือแต่ขี้เถ้า แล้วเธอจะไม่โกรธเพื่อนของเธอที่ห้ามไม่ให้เธอไปคุยและตีสนิทกับโนอาห์ได้ยังไง?

แต่คนกลุ่มนี้บางคนกลับคิดว่าโนอาห์โง่ เพราะเขาใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลืองในการเผาหนูพวกนี้ แต่เพราะเขามีประโยชน์ในฐานะหน่อยสอดแนมของกลุ่มเท่านั้น จึงไม่มีใครบ่นว่าเขาว่าการทำแบบนี้จะทำให้มันล่าช้า มีเพียงโนอาห์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาไม่ได้ใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง ในทางตรงกันข้ามยิ่งเขาเผาหนูมากเท่าไหร่เปลวไฟของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นและเขาก็จะมีพลังมากขึ้นในตอนที่ไปสู้กับราชาแห่งหนู

และในตอนนี้พวกเขาก็มายืนอยู่หน้าทางเข้าถ้ำของราชาแห่งหนูแล้ว โนอาห์เปิดค่าสถานะของเขาขึ้นมาอ่าน

‘ข้อมูลส่วนตัว.’

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 01]

[ประสบการณ์: 8/100]

[HP: 10/10]

[ความแข็งแรง: 10]

[ความคล่องตัว: 10]

[ความแข็งแกร่ง: 10]

[สกิว:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 01 27/100

คำอธิบายสกิว: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

ในท่อน้ำเสียมีคนสิบสี่คนกำลังยืนมองไปที่ประตูโลหะทรงกลม

ในบรรดาสิบสี่คนมีวัยรุ่นหกกำลังยืนจับมือกันโดยยังไม่เชื่อว่าการบุกป้อมปราการแรกที่พวกเขาเข้าร่วมนั้นอันตรายมาก แม้ว่าพวกเขาจะยังอยู่ในป้อมปราการระดับ F บางคนตัวสั่นเมื่อนึกถึงความยากของป้อมปราการระดับ E หรือแม้แต่ป้อมปราการระดับ D

ในทางกลับกันมีผู้ใหญ่เจ็ดคนกังวลเกี่ยวกับครอบครัวที่รอพวกเขาอยู่นอกป้อมปราการ ครอบครัวที่ต้องการเงินเพื่อซื้ออาหาร จ่ายค่าไฟ ค่าน้ำเพื่อความอยู่รอด เพียงแค่คิดถึงความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจจะไม่สามารถออกไปจากป้อมปราการแห่งนี้ได้ในวันนี้ และการคิดถึงสิ่งที่ครอบครัวของพวกเขาภายนอกจะต้องผ่านก็ทำให้ทุกคนที่นั่นกลัวแล้ว

แม้แต่โนอาห์ก็กังวลและคิดถึงคนที่ยังต้องพึ่งพาเขาภายนอกเช่นเดียวกัน คนที่ไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ คนที่เขาทำงานให้และเกือบจะฆ่าตัวตายหลายครั้งในช่วงสี่ปีที่ผ่านมา โนอาห์จะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองตายอยู่ในป้อมปราการแน่นอนไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม

เมื่อเขามองไปที่มือของเขาก็สังเกตได้ว่าเขารู้สึกประหม่าเพียงใด นิ้วของเขาสั่นเทา แม้ว่าเขาจะพยายามเก็บความประหม่าไว้กับตัวเองและไม่แสดงมันออกมากับคนในกลุ่ม แต่โนอาห์ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ร้ายแรงแค่ไหน โอกาสรอดของพวกเขามีน้อยมาก

ที่โนอาห์รู้เนื่องจากในตอนก่อนหน้าที่พรของเขาจะตื่นขึ้นมา โนอาห์ถูกบังคับให้เข้าร่วมการท้าทายหอคอยมาตลอด ดังนั้นเขาจึงต้องทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในการมีชีวิตรอดนั่นคือ การหาความรู้และเพิ่มความฉลาดให้กับตัวเอง เพราะความฉลาดคือความแข็งแกร่งเช่นกัน เขาวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆในป้อมปราการระดับ F ทั้งหมดที่เขามีโอกาสที่จะเข้าไปเจอได้ ความแข็งแกร่งของมอนเตอร์ ความฉลาดของมัน โหมดเบอเซิกของหัวหน้ามอนเตอร์แต่ละตัว เขาจะต้องทำอย่างไรเมื่อเจอหัวหน้าแต่ละตัว วิธีใดเป็นวิธีการที่ดีที่สุดใช้ได้จริงที่สุด เขาทำทั้งหมดนั่นเพื่อการอยู่รอดของเขาเอง

หากเมื่อมองจากภายนอกเรื่องพวกนี้เหมือนข้อมูลจากดันเจี้ยนในวีดีโอเกมไม่มีผิด แต่ต่างจากดันเจี้ยนภายในเกมตรงที่ว่าข้อมูลพวกนี้รวมรวบได้จากเลือดและการเสียสละของผู้ถูกเลือกแต่ละคนที่เสียชีวิตในป้อมปราการที่ไม่รู้จัก ข้อมูลพวกพื้นฐานพวกนี้จะทำให้อัตราการรอดชีวิตในครั้งต่อไปของผู้ถูกเลือกเพิ่มขึ้น และยังลดจำนวนผู้เสียชีวิตลงได้อีกด้วย

แต่น่าเสียดายที่ผู้ได้รับพรส่วนใหญ่ไม่สนใจที่จะศึกษามันและเข้ามาท้าทายป้อมปราการเหล่านี้ในขณะที่พวกเขาไม่มีข้อมูลอะไรเลย

โชคดีที่ป้อมปราการที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของป้อมปราการที่โนอาห์ศึกษามา ดังนั้นถึงแม้ป้อมปราการธรรมดานี้จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นป้อมปราการระดับพิเศษ เขาก็ยังเชื่อว่ามันเป็นไปได้ที่จะจัดการได้อย่างสมบูรณ์ และพวกเขาจะสังหารราชาแห่งหนูได้อย่างแน่นอน

เมื่อมองจากด้านหนึ่งไปสู่ด้านหนึ่งของผู้คนที่ยืนอยู่ เขาก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ เพราะเขายอมรับว่าหนึ่งในใบหน้าเหล่านี้อาจจะไม่ได้กลับบ้านในครั้งนี้อีก แต่แน่นอนเขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะสิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดคือเขาจะต้องกลับไปที่บ้านอย่างมีชิวต ไม่ว่าวันนี้จะต้องมีผู้เสียชีวิตกี่คนก็ตาม

“เอาล่ะ คนที่มีพรที่สามารถโจมตีระยะไกลจะอยู่ห่างออกจากตัวราชาแห่งหนูเพื่อมุ่งเน้นไปที่การสร้างความเสียหายให้กับมัน อย่าใช้พลังงงานทั้งหมดของพวกนายในช่วงแรกเนื่องจากเมื่อราชาแห่งหนูเข้าสู่โหมดเบอเซิก ทุกคนจะต้องทำความเสียหายอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะไม่ให้ราชาแห่งหนูเรียกหนูจำนวนมหาศาลออกมาช่วยตัวเอง” ชายผู้มีแผลเป็นกล่าวขณะที่เขาเปิดประตูโลหะที่นำไปสู่ที่อยู่ของราชาแห่งหนู

ตอนนี้โนอาห์ตื่นตัวเต็มที่ เมื่ออ่านทุกอย่างที่เป็นไปได้เกี่ยวกับป้อมปราการนี้เขารู้ว่าเมื่อเข้าไปในที่ซ่อนของราชาแห่งหนู และราชาแห่งหนูสังเกตเห็นพวกเขา มันจะพยายามเพื่อฆ่าคนหนึ่งคนทันที ด้วยเหตุนี้เขาจึงไปที่ด้านหลังของกลุ่มและปล่อยให้คนที่มีพรที่สามารถเสริมสร้างร่างกายของพวกเขาไปข้างหน้าก่อน

ในขณะที่เขาจินตนาการว่ามันจะเป็นแบบนั้น ในขณะเดียวกันประตูโลหะทรงกลมก็เปิดออก ราชาแห่งหนูก็พุ่งตัวออกมาจากความมืดไปที่ผู้หญิงที่ถือโล่ทันที เธอที่ยังไม่ทันได้รู้ตัวก็ได้ถูกเขี้ยวชองราชาแห่งหนูฝังเข้าที่ตัวและถูกลากเข้าไปข้างในทันที

วัยรุ่นเหล่านั้นตัวแข็งทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะนั่นเป็นเหตุการณ์เดียวกันกับที่เกิดกับเพื่อนของเขา ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือขนาดของมัน

โนอาห์เตือนคนกลุ่มนี้แล้วเช่นกันว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ก็มีคนส่วนหนึ่งที่ไม่เชื่อเขาเพราะความขัดแย้ง เพราะฉะนั้นการเสียสละจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและโนอาห์รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่จะรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เขาหันไปมองชายที่มีแผลเป็น

จากนั่นชายผู้มีแผลเป็นก็วิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับดาบของเขาพร้อมกับตะโกนเพื่อบังคับให้คนอื่นๆตื่นจากความตกใจ

“ไปกันเถอะ! โจมตี!”

โนอาห์เรียกเปลวไฟของเขาขึ้นมาแล้วส่งลูกไฟนั่นไปในทิศทางที่เสียงของราชาแห่งหนูกำลังเข้ามาเพื่อนำทางผู้ถูกเลือกคนอื่นๆไปยังเป้าหมายของพวกเขา

เปลวไฟของเขาเงอะงะและลูกเล็กเป็นอย่างมาก แต่มันก็ยังสามารถโจมตีหนูด้วยตัวใหญ่ได้ มันทำให้ขนบางส่วนลุกเป็นไฟ แม้ว่ามันจะไม่สร้างความเสียหายมากนัก แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในความืดการที่ขนลุกเป็นไฟก็ทำให้พวกเขาเห็นการเคลื่อนไหวของราชาแห่งหนูมากขึ้น ทำให้ผู้ถูกเลือกคนอื่นๆสามารถเล่งการโจมตีของเขาไปที่ราชาแห่งหนูได้

โชคไม่ดีที่ลูกไฟก็สามารถทำให้มองเห็นผู้ถูกเลือกคนแรกที่ถูกหนูจับไปได้ เมื่อลูกไฟส่องไปถึงนั่นก็ทำให้พวกเขาเห็นร่างที่ถูกแบ่งครึ่งไปซะแล้ว ในปากของราชาแห่งหนูมีเพียงร่างกายส่วนบนบางส่วนที่ถูกเคี้ยวอยู่ ส่วนร่างกายส่วนล่างอาจจะหลุดออกไปที่ไหนสักแห่งแล้ว

เนื่องจากโนอาห์เพิ่งได้พัฒนาสกิลเปลวไฟจากนรกของเขาเมื่อไม่นานมานี้ การควบคุมของเขาต่อพวกมันก็ยังต่ำอยู่มาก ดังนั่นเปลวไฟของเขาจึงไม่ใช่ลูกไฟที่สมบูรณ์ในตอนนี้

เมื่อมองไปข้างหน้า โนอาห์รู้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่ยาวนานอย่างแน่นอนกับราชาแห่งหนูตัวนี้

ในขณะที่อีกฝั่งกำลังเถียงกันอยู่นั้น โนอาห์ก็ได้ฆ่าหนูไปแล้วหลายตัว เขาได้ทดสอบพลังของเขาไปแล้วหลายครั้ง โดยใช้พรของตัวเอง จะบอกว่าเขามีความสุขก็คงจะน้อยเกินไป

หลังจากฆ่าหนูตัวที่ห้าได้สำเร็จ เปลวไฟของเขาก็เริ่มมีความร้อนมากขึ้นเล็กน้อย และความเสียหายที่เกิดกับหนูก็มากขึ้นเช่นเดียวกัน น่าเสียดายที่เขาสามารถสู้กับหนูได้ทีละตัวเท่านั้น เนื่องจากเขารู้ว่าถ้าเขาสู้กับหนูจำนวนมากกว่านี้ด้วยตัวคนเดียว เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน

ด้วยประสบการณ์และประสาทสัมผัสของโนอาห์ทำให้เขาสามารถแยกหนูออกมาตัวเดียวและจัดการได้ ทำให้เขาสามารถผ่านท่อระบายน้ำไปได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเขารู้สึกว่าเขาล่าหนูมากพอแล้ว และประสบการณ์ของในการใช้พลังของเขาก็พอแล้ว โนอาห์จึงเดินกลับไปที่จุดเริ่มต้นและเดินตามคนอื่นไป

หลังจากเดินไปเกือบชั่วโมงโนอาห์ก็เห็นกลุ่มที่พักผ่อนอยู่ที่มุมหนึ่งในขณะที่เด็กสาววัยรุ่นรักษาชายร่างท้วมที่โนอาห์ทะเลาะกับพวกเขาก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในประตู

เมื่อเวนดี้เห็นโนอาห์เดินเข้ามาดวงตาของเธอก็สว่างขึ้น เธอต้องหักห้ามใจไม่ให้วิ่งเข้าไปหาเขา ในที่สุดเธอก็คิดว่าโอกาสในการรอดชีวิตของเธอเพิ่มขึ้นแล้ว

“นายเจออะไรไหมเจ้าหนู” ชายผู้มีแผลเป็นถามขณะที่เขาสูบบุหรี่และรอให้คนอื่นๆ พักผ่อน

โนอาห์มองไปที่กลุ่มก่อนจะตอบและอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่ามีเด็กวัยรุ่นเพียงคนเดียวที่เสียชีวิตไปแล้ว เขาคิดว่าอย่างน้อยสองคนจะต้องตายในการต่อสู้ครั้งแรก

‘ดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างพวกเขามากกว่าที่คิด’ โนอาห์คิด

เมื่อมองไปที่ชายที่มีแผลเป็นโนอาห์ก็มองด้วยสีหน้าจริงจัง

“ฉันพบบางสิ่งบางอย่างแต่สิ่งที่ฉันพบก็ไม่น่าพอใจเลย”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูดผู้คนก็อดกังวลไม่ได้ แม้แต่คนที่ไม่เข้าใจป้อมปราการนี้เป็นอย่างดี ก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ ด้วยเหตุผลบางประการการฆ่ามอนสเตอร์นั้นยากกว่ามากเมื่อเทียบกับป้อมปราการปกติ

“มีอะไรผิดปกตินอกจากมอนสเตอร์ที่ฉลาดขึ้นพวกนี้” ชายที่มีแผลเป็นถามขึ้นโดยยังคงสูบบุหรี่อยู่

‘เขารู้ว่ามอนเตอร์ฉลาดขึ้นยังงั้นหรอ?…‘ โนอาห์ประหลาดใจเล็กน้อยที่ชายคนนี้สังเกตเห็นความฉลาดของมอนเตอร์เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก

“นอกจากความฉลาดของพวกมันจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแล้ว พวกมันยังพัฒนาวิธีการสื่อสารอีกด้วย ฉันคิดว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชาแห่งหนูเนื่องจากความสามารถในโหมดเบอร์เซิกของมันเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น”

เมื่อได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูดชายผู้มีแผลเป็นก็เห็นด้วย เขามีทฤษฎีที่คล้ายกัน แต่เขาต้องการหลักฐานเพื่อยืนยัน อย่างไรก็ตามเขารู้ว่ามีบางอย่างมากกว่านั้น

“นายพบอย่างอื่นด้วยใช่มั้ย?”

“ใช่…” โนอาห์ตอบก่อนจะปล่อยลมหายใจออกมา

“ตอนที่ฉันกลับมาที่ประตูวาปที่เราเข้ามา ประตูนั้นมันหายไปแล้ว ฉันคิดว่านายน่าจะรู้แล้วว่ามันหมายถึงอะไร…”

“จริงหรอ…!” ชายที่มีแผลเป็นสบถขณะโยนบุหรี่ลงด้วยความหงุดหงิด

เห็นได้ชัดว่ามีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงอะไร อีก 12 คนที่เหลือจึงยืนมองหน้ากันค้นหาคำตอบระหว่างโนอาห์กับชายคนนั้น ถึงแม้ว่าแฮร์รี่จะโกรธผู้ชายคนนั้น แต่เขาก็ไม่ได้อารมณ์เสีย เพราะเขารู้สึกว่ามีบางอย่างที่ร้ายแรงเกิดขึ้นแล้วในตอนนี้

“เกิดอะไรขึ้น?” เวนดี้ถามด้วยเสียงต่ำและอายมาก

เมื่อมองไปที่เธอชายคนนั้นก็ปล่อยลมหายใจยาวๆก่อนที่จะตอบทั้งกลุ่มว่า

“เมื่อสามปีก่อนมีเรื่องราวปรากฏในหนังสือพิมพ์ของกลุ่มที่เข้าไปในป้อมปราการระดับ F และมอนสเตอร์ที่อยู่ในป้อมนั้นฉลาดกว่ามอนสเตอร์ทั่วไปมาก หลังจากที่คนในกลุ่มเสียชีวิตไป 5 คน คนในกลุ่มก็ตัดสินใจที่จะกลับไปที่ประตูวาปและประกาศว่าภารกิจล้มเหลว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างประตูวาปได้หายไป

เมื่อถึงจุดนั้นกลุ่มก็สิ้นหวังไปชั่วขณะจนกระทั่งพ่อของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ไปกับลูกชายของเขาในฐานที่มั่นแรก พวกเขาเข้ามาเป็นผู้นำของกลุ่มและพาพวกเขาไปที่ห้องหัวหน้าของป้อมปราการ น่าเสียดายที่สิ่งที่พวกเขาพบคือหัวหน้าที่แข็งแกร่งกว่าปกติหลายเท่าทำให้กลุ่มที่มีจำนวนถึง 10 คนเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวและสิ่งนี้เรียกว่าป้อมปราการพิเศษ”

“แล้วนายรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร?” เอมี่ถามด้วยมือที่สั่นเทาด้วยความกังวลแล้วคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

“เป็นเพราะในการบุกป้อมครั้งนั้นทำให้ฉันสูญเสียลูกชายไป…ต่อหน้าต่อตา” ชายที่มีแผลเป็นพูดอย่างโกรธเคืองขณะที่เขาบีบข้อมือด้วยมืออีกข้าง

“โชคดีที่ป้อมปราการที่เราอยู่นั้นเป็นป้อมปราการระดับล่างเมื่อเทียบกับป้อมปราการเมื่อครั้งที่แล้วที่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น ดังนั้นบอสของป้อมนี้อาจจะไม่ทรงพลังเท่าตอนนั้น” โนอาห์พูดขณะที่เขาเปิดขวด เขานำน้ำมา

เมื่อได้ยินคำพูดของโนอาห์คนกลุ่มนั้นก็สงบลงเล็กน้อย บางคนยังคงตกใจและสิ้นหวังเช่นเดียวกับชายร่างท้วมที่เวนดี้ให้การรักษาอยู่ตอนนี้ แต่โดยรวมแล้วทั้งกลุ่มเข้าใจว่าวิธีเดียวที่พวกเขาจะออกไปจากป้อมปราการแห่งนี้ได้คือการสังหารราชาหนู ความแตกแยกที่เหลืออยู่ที่พวกเขาร่วมกลุ่มเข้าด้วยกันตอนนี้หายไปแล้ว สาเหตุหลักมาจากการที่แฮร์รี่รู้สึกกลัวความตายมากและตัดสินใจที่จะเงียบลงและหยุดยุยงให้เกิดความเกลียดชังและความแตกแยกในกลุ่ม

หลังจากพักผ่อนอีกไม่กี่นาทีปาร์ตี้ก็ฟื้นตัวและตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อไป ชายผู้มีแผลเป็นยังคงเป็นผู้นำของทั้งกลุ่มในขณะที่โนอาห์ทำหน้าที่สอดแนมเนื่องจากเขามีประสาทสัมผัสที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีที่สุดในกลุ่มจึงทำให้ทุกคนไม่เป็นอันตราย

ในระหว่างการเดินในท่อระบายน้ำพวกเขาได้พบกับหนูหลายกลุ่ม แต่พวกเขาจัดการได้อย่างง่ายดายถึงแม้จะมีกลุ่มหนู 5 ตัวเข้ามาในขณะที่พวกเขาอยู่ในทีมที่ประสานงานกันถึง 14 คน นั่นทำให้การจัดการกับหนูพวกนั้นค่อนข้างง่าย

ระหว่างทางพวกเขาเริ่มไว้วางใจซึ่งกันและกันมากขึ้น พวกเขาทั้งหมดเริ่มเก็บพลังงานไว้เพื่อต่อสู้กับราชาแห่งหนู ซึ่งแตกต่างจากป้อมปราการพิเศษในครั้งอื่นๆที่ชายผู้มีแผลเป็นเข้าร่วม และตอนนี้พวกเขามีคนในทีมมากกว่านอกจากนี้ป้อมปราการก็อ่อนแอกว่าครั้งนั้นเช่นกัน ป้อมปราการนี้จะง่ายขึ้นแน่นอน

ระหว่างทางโนอาห์ค้นพบว่าเขาไม่ได้รับค่าประสบการณ์จากการตายของหนูทั้งหมดที่พวกเขาฆ่าในกลุ่ม ส่วนใหญ่เป็นเพราะมอนเตอร์ให้ค่าประสบการณ์น้อยมากจนทำให้ค่าประสบการณ์แบ่งออกเป็นของผู้เข้าร่วมในการต่อสู้แต่ละคน สิ่งที่เหลืออยู่สำหรับเขานั้นไม่มีอะไรเลย ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะฆ่าหนูมากกว่า 20 ตัว แต่จำนวนค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับก็ไม่เกิน 3 คะแนนเท่านั้น

ในขณะที่โนอาห์รู้ว่าในระหว่างการต่อสู้กับราชาแห่งหนูเขาจะต้องใช้เปลวไฟแห่งนรกเพื่อที่เขาจะไม่ตาย และเขาก็จะสามารถฆ่าราชาแห่งหนูได้ในที่สุด ความคิดที่จะแข็งแกร่งขึ้นปรากฏขึ้นในจิตใจของโนอาห์

“แทนที่จะทิ้งศพไว้ที่นี่ฉันคิดว่าควรกำจัดพวกมันดีกว่า” โนอาห์พูดขณะที่แสร้งทำเป็นกำลังหาทางเลือกอื่นๆอยู่

“แกรู้อะไรแกเป็นแค่ผู้ถูกเลือกระดับ F หุบปากของแกและเป็นหน่วยสอดแนมต่อไปซะ เพราะอย่างน้อยแกที่ทำอะไรไม่จะได้มีประโยชน์กับเขาบ้าง” แฮร์รี่ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจำเป็นต้องกำจัดความกลัวและความโกรธของเขาออกไปที่ใครบางคน และเขาพบว่าโนอาห์เป็นเป้าหมายที่ดี

“โอ้ยังงั้นหรอ…ถ้าฉันเปล่าประโยชน์งั้นนายก็แสดงให้คนในกลุ่มเห็นทีสิ ว่านายมีประโยชน์แค่ไหนในการท้าทายป้อมปราการครั้งนี้” โนอาห์ถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันและเลิกคิ้ว

“!!…อย่างน้อยพรของฉันก็ทำให้หนูตัวนั้นช้าลงเพราะความหนาวได้ละกัน!” แฮร์รี่นึกถึงข้ออ้างแรกที่อยู่ในใจ

“ไม่เหมือนแกหรอกที่ไม่มีพรอะไรเลย!”

“ถ้างั้นนายจะให้ฉันพูดถึงเรื่องที่นายปล่อยหินน้ำแข็งพวกนั้นพลาดไปกี่ครั้งไหม ถ้าอย่างน้อยนายปล่อยโดนพวกมัน หนูพวกนั้นก็จะตายเร็วขึ้นมากกว่านี้ และนายก็จะประหยัดพลังงานไว้สำหรับการฆ่าราชาแห่งหนูได้เหมือนกับคนอื่นๆ แต่สิ่งที่นายแสดงให้เห็นคือนายสามารถใช้พลังของนายได้อย่างน่าประทับใจมาก เพราะนายโจมตีไม่โดนแม้กระทั่งหนูตัวเดียว” โนอาห์ตอบด้วยท่าทางราวกับว่าเขากำลังดุเด็กๆอยู่

เมื่อแฮรี่เห็นดังนั้นเขาก็โกรธมากจนเรียกก้อนน้ำแข็งออกมาและโยนมันทางโนอาห์ เมื่อเห็นเป็นแบบนั้นคนในกลุ่มก็ตระหนักได้ว่าการพูดคุยครั้งนี้มันชักจะเลยเถิดเกินไปแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะก้อนน้ำแข็งได้พุ่งออกไปแล้ว

แต่เมื่อเห็นโนอาห์ยืนอยู่เฉยๆโดยที่เขาไม่ได้กังวลอะไร ทุกคนก็ประหลาดใจ

ในขณะที่โนอาห์ทำการทดสอบและทดลองต่างๆด้วยพรใหม่ของเขา อีกทางด้านหนึ่งของท่อระบายน้ำ ผู้ถูกเลือกอีกกลุ่มกำลังเดินแยกกันเป็นสองกลุ่มผ่านอีกด้านของท่อระบายน้ำ

วัยรุ่นแต่ละคนถืออาวุธของตัวเองและเดินหน้าไปในรูปแบบที่น่าอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด

ในกลุ่มของพวกเขามีผู้ถูกเลือก 7 คน มี 5 คนเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E และอีก 2 คนเป็นผู้ถูกเลือกระดับ D และผู้ถูกเลือกระดับ D ก็คือแฮร์รี่และเวนดี้

แฮร์รี่เป็นผู้ใช้พลังน้ำแข็งอยู่ด้านหลังของขบวนพร้อมกับเวนดี้ซึ่งเป็นนักบวช ในกลุ่มยังมีคนสองคนที่ใช้ธนูและอีกสี่คนที่จะต่อสู้แบบตัวต่อตัวนั้นคือเอมี่คนที่บอกเวนดี้ว่าโนอาห์อ่อนแอแค่ไหน

เมื่อกลุ่มนี้เดินไปตามท่อระบายน้ำเพียงไม่กี่นาที และไม่เห็นสัตว์ประหลาดปรากฏตัว เนื่องจากพวกเขายังเด็กความอดทนของพวกเขาจึงมีไม่มาก ในที่สุดพวกเขาก็ลดความปลอดภัยในกลุ่มลงเพื่อพูดคุยกันแทน

“สัตว์ประหลาดอยู่ที่ไหน?” เอมี่ถามด้วยความกังวลเล็กน้อยในขณะที่เธอถือดาบไว้ในมือ

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือเพราะพวกมันเห็นว่าฉันกำลังไล่ฆ่าพวกมัน พวกมันก็เลยตัดสินใจหลบซ่อนตัวหรือเปล่า?” เด็กชายที่ถือโล่ขนาดใหญ่กล่าว

“พวกมันคงกลัวเมื่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของพวกเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งความแข็งแกร่งของแฮร์รี่” หญิงสาวกล่าวชื่นชมแฮร์รี่ก่อนที่จะเข้าไปในประตู เธอถือคันธนูไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง

“พวกมันเป็นแค่มอนสเตอร์ระดับ F เธอคิดว่าพวกมันจะกล้าปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราจริงๆหรอ ทำไมพวกเราไม่ตรงไปที่ห้องราชาแห่งหนูและฆ่ามันตอนนี้เลยละ ฉันไม่อยากทนกับกลิ่นเน่าๆ พวกนี้อีกต่อไปแล้ว!” แฮร์รี่กล่าว

“มันไม่อันตรายเกินไปหน่อยหรอ มีใครหาข้อมูลของราชาแห่งหนูมาหรือเปล่า?” เวนดี้ถามด้วยความกังวลเล็กน้อย

“ห๊ะ ทำไมต้องหาข้อมูลกับมันด้วย นี่เป็นเพียงป้อมปราการระดับ F เท่านั้น พวกเราแค่ต้องไปที่ห้องของราชาแห่งหนูและฆ่ามันเร็วๆ” เด็กชายถือขวานเล่มใหญ่กล่าว

“งั้นพวกเรา…” ก่อนที่เอมี่จะพูดจบประโยค ด้านหน้าของพวกเขาก็มีหนูสามตัวแอบมองอยู่เหนือผิวน้ำ พวกมันมองไปที่เด็กๆทั้ง 7 คน

เมื่อพวกเขาเห็นหนูทั้งสามตัวที่มีขนาดเท่ามอเตอร์ไซค์ วัยรุ่นบางคนก็เกิดอาการกลัวทันที

เวนดี้มองไปที่ดวงตาคู่หนึ่งของพวกมันที่มีขนาดเท่ากับลูกเทนนิสสองลูก เมื่อเห็นแบบนั้นเวนดี้ก็กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากพลางจินตนาการถึงขนาดของปากของสัตว์ประหลาดเหล่านี้

เมื่อเห็นมนุษย์เริ่มกลัวหนูจึงใช้โอกาสนี้พุ่งตัวเข้าหาเหยื่อของพวกมัน แม้ว่าพวกวัยรุ่นจะมีจำนวนมากกว่าหนู แต่หนูมีการประสานงานซึ่งกันและกันได้ดีมากกว่า ดังนั้นพวกวัยรุ่นจึงเริ่มมีบาดแผลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ในช่วงระหว่างการต่อสู้หนูตัวหนึ่งได้กัดข้อเท้าของเด็กผู้ชายที่ถือดาบสองเล่ม เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ขาของตัวเอง เด็กชายคนนั้นจึงทิ้งอาวุธของตัวเองโดยสัญชาตญาณและใช้พรของเขาอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับตัวเอง เพราะเขาต้องการหนีออกจากหนูตัวนั้น

แต่น่าเสียดายที่หนูได้จมฟันลงไปที่ขาของเด็กชายแล้ว เด็กชายพยายามที่จะทำให้มันหลุดออกไปจากขาของเขา แต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะฟันของหนูซี่ใหญ่มาก ฟันของมันค่อยๆแทะและฉีกผ่านเนื้อของเด็กชายมากขึ้นเรื่อยๆ จนตัวของเขาเต็มไปด้วยเลือด

แฮร์รี่รู้สึกว่าหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น เขาใช้พรของตัวเองอย่างเต็มที่และเหวี่ยงก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ไปทางหนูที่กัดขาของเด็กชายไว้ แต่นั่นยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เพราะหนูตัวนั้นยังคงกัดอยู่ที่ขาของเด็กชายคนนั้นและเหวี่ยงตัวของเด็กชายคนนั้นลงไปในน้ำโสโครก หลังจากนั้นมันก็อุ้มเด็กชายคนนั้นไป ทิ้งไว้เพียงร่องรอยของเนื้อที่ถูกฉีกออกจากขาของเด็กชาย เสียงร้องไห้แห่งความสิ้นหวังของเด็กชายดังก้องไปทั่วท่อระบายน้ำนั้น

เสียงเด็กชายร้องขอความช่วยเหลือดังก้องไปอีกสักพักก่อนที่เสียงนั้นจะค่อยๆเงียบลงไป ห่างออกไป จนสุดท้ายเสียงทุกอย่างก็หายไปเหลือเพียงความเงียบในบริเวณนั้น

ตอนนี้วัยรุ่นในกลุ่มทุกคนรู้ว่าพวกเขาโง่ขนาดไหนที่พวกเขามาที่นี่เพียงกลุ่มเดียว พวกเขาคิดว่าพวกเขาสามารถฆ่าสัตว์ประหลาดได้ และพวกเขามั่นใจเพราะพวกเขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E และ D แต่จากความคิดของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขามั่นใจเกินไป และนั่นก็ทำให้พวกเขาอยู่ใกล้ความตาย

หลังจากสูญเสียเพื่อนร่วมทางวัยรุ่นอีก 6 คนก็สิ้นหวังและเริ่มใช้สกิวของพวกเขาอย่างไม่หยุดยั้งกับหนูอีกสองตัวที่เหลือจนกระทั่งหนูไม่สามารถต่อสู้ได้และตายลงไป

เหล่าวัยรุ่นนั่งลงอยู่ที่มุมหนึ่งของท่อระบายน้ำ พวกเขาไม่สนใจกลิ่นเหม็นเน่าพวกนี้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจคือเขาต้องการสถานที่พักผ่อนที่สะดวกสบาย เตียงนอนที่ดี และพวกเขาไม่ต้องการจะกลับมาที่นี่อีก แต่พวกเขารู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถออกไปได้ โดยไม่มีเหตุผล เพราะพวกเขาเซ็นสัญญากับรัฐบาลแล้วว่าก่อนที่พวกเขาจะออกไปได้ พวกเขาต้องจัดการป้อมปราการให้สำเร็จก่อน

“รอย…ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าฉันจะไม่ได้เห็นรอยอีกแล้ว…” เอมี่ถอนหายใจขณะที่เธอหยุดน้ำตาไม่ให้ร่วงเมื่อเธอจำเด็กที่ถูกหนูจับตัวไปได้

“เอาล่ะพ่อเตือนฉันแล้วให้ระวังและเตรียมตัวรับมือกับความสูญเสียไว้ด้วย…แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้” เด็กชายที่ถือโล่กล่าว

ในขณะที่พวกเขาพักผ่อนและโศกเศร้าเวนดี้ใช้พรของเธอในการรักษาอาการบาดเจ็บที่ทุกคนได้รับระหว่างการต่อสู้ ในขณะที่เธอร้องไห้และโทษตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยรอยได้

เมื่อถึงจุดหนึ่งคำพูดที่เอมี่พูดกับเธอบนรถบัสก็เข้ามาในความคิดของเวนดี้ทันที

“เขามักจะรอดออกไปพร้อมกับสมาชิกหนึ่งหรือสองคนของทีมบุกเสมอ”

เมื่อคิดถึงโนอาห์เวนดี้ก็มองไปรอบๆ เพื่อมองหาผู้ถูกเลือกที่มักจะออกไปอย่างมีชีวิตพร้อมกับคนอื่นๆอยู่เสมอ แต่เธอก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน

เธอรู้ดีว่าการที่ใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่เป็นเวลานานในป้อมปราการและสามารถมีชีวิตรอดออกไปบ่อยครั้ง คนๆนั้นจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถและความรู้เกี่ยวกับป้อมปราการอย่างมากแน่ๆ เธอจึงรู้สึกว่าหากเธออยู่กับเขาเธอจะต้องรอดชีวิตออกไปได้ แต่ตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว ถึงเธอมองไปรอบๆแต่เธอไม่เห็นเงาของเขาเลย

‘ถ้าฉันไปคุยกับเขา เขาอาจจะบอกวิธีเอาตัวรอดจากป้อมปราการนี้กับฉันก็ได้ ตอนนี้ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะเอาชีวิตรอดไปจากที่นี่ได้ยังไง’ เวนดี้คิดกับตัวเองในขณะที่เธอมองไปที่เอมี่ด้วยสายตาที่โกรธเคือง ในขณะที่เอมี่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเวนดี้ถึงได้โกรธเธอ

เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาพวกผู้ใหญ่ก็ได้มาถึงจุดที่พวกวัยรุ่นอยู่ แต่พวกเขาทำตามกลยุทธ์ที่โนอาห์แนะนำและผู้นำของเขาเห็นด้วย คือนิ่งเงียบและดูการต่อสู้ที่ดุเดือดของพวกวัยรุ่น แม้ว่าพวกเขาจะเห็นเด็กชายตายไปต่อหน้า แต่พวกเขาก็ไม่ขยับสักนิดเดียว

พวกเขาเห็นคนตายมามากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้หัวใจของพวกเขาแข็งกระด้างจนถึงจุดที่พวกเขาไม่รังเกียจที่จะเห็นเด็กหยิ่งผยองบางคนต้องลำบากและตายไป หลายคนพอใจและเห็นด้วยกับความคิดของโนอาห์ที่ปล่อยให้วัยรุ่นเป็นเหยื่อล่อ เพราะวัยรุ่นพวกนั้นสามารถเป็นทั้งเหยื่อล่อและยังสามารถกำจัดหนูพวกนั้นให้กับพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่ต้องได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

เมื่อเห็นว่ากลุ่มวัยรุ่นที่ก่อนหน้าที่เป็นคนหยิ่งผยองตอนนี้เป็นคนถ่อมตัวมากขึ้น ชายที่มีแผลเป็นจึงตัดสินใจที่จะรวมทั้งสองกลุ่มเข้าด้วยกัน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีแนวโน้มในการฆ่าราชาแห่งหนูมากขึ้น เนื่องจากถ้าเขาจะต้องต่อสู้กับราชาแห่งหนูเพียงกลุ่มคนแค่ 8 คน มันจะเป็นการต่อสู้ที่ยากมาก และตอนนี้พวกเขาก็สังเกตเห็นบางอย่างที่แปลกออกไปเกี่ยวกับหนู แต่พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร…

เมื่อกลุ่มของชายมีแผลเป็นปรากฏตัวขึ้นและพวกวัยรุ่นสังเกตุเห็น พวกเด็กๆมีความสุขขึ้นทันที เพราะในที่สุดก็มีคนมาช่วยพวกเขา แต่แฮรี่กลับลุกขึ้นยืนและตะโกนออกไปด้วยความโกรธว่า

“ทำไมพวกคุณถึงไม่มาช่วยพวกเรา!”

เมื่อได้ยินคำถามของแฮรี่ชายผู้มีรอยแผลเป็นก็เลิกคิ้วขึ้นแล้วตอบกลับไปว่า

“แล้วทำไมพวกเราต้องช่วยด้วย?”

เมื่อได้ยินคำถามของชายคนนั้นแฮรี่ก็พูดไม่ออก เพราะจริงๆแล้วพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์อะไรที่จะต้องมาช่วยพวกเขาจริงๆ แต่เมื่อนึกถึงรอย แฮรี่ก็รู้สึกแย่และพูดออกมาอีกครั้ง

“พวกเรามาที่นี่ด้วยกัน ดังนั้นพวกคุณจะต้องช่วยพวกเรา!”

เมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นไม่สนใจเหตุผล เขาเพียงต้องการตำหนิคนอื่นอื่น ชายคนหนึ่งในกลุ่มก็ไม่ทนกับเขาอีกต่อไป เขาเดินไปข้างหน้าแฮรี่และคว้าคอของเด็กชายแล้วยกเขาขึ้นจากพื้น

“แกคิดว่าแกกำลังคุยกับใครอยู่ ไอ้หนูถ้าแกรู้สึกแย่ที่เพื่อนตัวน้อยของแกตายแล้วละก็ แกต้องการให้ฉันส่งแกไปนรกพร้อมกับเขาที่นี่ตอนนี้เลยไหม ที่พวกเรามาที่นี่เพราะจะพาแกไปฆ่าราชาแห่งหนู เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการชนะและโอกาสในการอยู่รอดภายในนี้ เรามีกัน 13 คนแล้วและมันก็จะไม่พลาดเกิดเหตุการณ์แบบเดิมอีก แกเข้าใจไหม?” ชายคนนั้นถามในขณะที่เขาจับลำคอของเด็กชายไว้แน่น

เมื่อมองไปที่ชายคนนั้นที่จับคอเสื้อคอเขาอยู่ ในที่สุดแฮรี่ก็รู้สึกกลัวตายเป็นครั้งที่สองตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในป้อมปราการแห่งนี้ เขามองเข้าไปในดวงตาของชายคนนั้นและรู้ว่าถ้าเขาทำอะไรไม่ดีอีกละก็ ผู้ชายคนนี้จะต้องฆ่าเขาในทันที แฮรี่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างสิ้นหวังและขอร้องให้ชายคนนั้นปล่อยมือจากคอของเขาด้วยความกลัว

เมื่อล้มลงกับพื้นแฮรี่ก็รู้อับอายอย่างมากในขณะที่เขาต้องสูดอากาศเหม็นเน่านี้อย่างหนัก ภายในใจของแฮรี่ เขาสาบานว่าจะต้องแก้แค้นทุกคนที่บังคับให้เขาต้องเจอเรื่องแบบนี้

เมื่อเห็นทุกคนเดินตามอุโมงค์ท่อระบายน้ำเข้าไปตรงกลาง โนอาห์ก็เดินไปในอุโมงค์ทางซ้ายและเดินต่อไปอย่างเงียบๆ โดยส่งเสียงให้เบาที่สุด

ถ้าบอกว่าเขาไม่ประหม่าก็คงเป็นเรื่องโกหก เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นหลายครั้งที่มีคนขับไล่เขาออกจากกลุ่มในป้อมปราการเพราะเขาอ่อนแอเกินไป แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกไปด้วยตัวเอง

เขารู้ดีว่าโอกาสรอดของเขาเมื่ออยู่คนเดียวนั้นต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการที่เขาอยู่ในกลุ่มกับคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่สามารถเสี่ยงที่จะเปิดเผยบางสิ่งที่เขาไม่ควรมีให้คนอื่นได้รับรู้

ก่อนอื่นเขาต้องทดสอบความสามารถของตัวเองและดูว่ามีลักษณะเฉพาะอะไรที่อาจเป็นอันตรายต่อเขาหรือไม่ และหลังจากที่เขาแน่ใจว่าทุกอย่างปลอดภัยแล้วและจะไม่มีผลกระทบใดๆสำหรับเขาในอนาคต เขาถึงจะสามารถแสดงให้คนอื่นเห็นถึงพรที่เขาได้รับได้

ในขณะที่โนอาห์กำลังเดินเข้าไปเรื่อยๆเขาก็เริ่มขยับความรู้สึกที่เหมือนกับ ‘นิ้วที่หก’ ของเขาเพื่อให้เปลวไฟเล็กๆปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของเขา

เมื่องมองดูเปลวไฟนี้แล้วมันก็ไม่แตกต่างจากเปลวไฟธรรมดา มันมีสีเหลืองปนแดง โนอาห์ไม่เห็นสิ่งผิดปกติจากเปลวไฟนี้เลย โนอาห์จำคำอธิบายสกิวนี้ได้ว่า มันคือเปลวไฟแห่งนรกจริงๆแล้วมันไม่แตกต่างจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากที่เปลวไฟนี้ได้ชำระบาปมากมายและคนบาปจำนวนมาก มันจึงกลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุด ตามความหมายนั่นก็คือเขาจะต้องชำระล้างสิ่งที่มีชีวิตหรือผู้คนเพื่อให้เปลวไฟแข็งแกร่งขึ้น

ในขณะที่โนอาห์กำลังเล่นกับการควบคุมเปลวไฟโดยทดสอบว่าเขาสามารถทำอะไรกับเปลวไฟนี้ได้บ้าง อุโมงค์บำบัดน้ำเสียที่เงียบงันมาตลอดก็เริ่มส่งเสียงดังขึ้น ด้วยประสาทสัมผัสที่เฉียบคมของโนอาห์ที่เขาฝึกฝนและพัฒนามันอยู่ตลอดเวลา โนอาห์ค้นพบว่าเสียงนี้มันดังมาจากหนูที่กำลังว่ายน้ำอยู่ในน้ำ และมันกำลังว่ายตามเขามาอยู่ สัตว์ประหลาดพวกนี้มีประสาทสัมผัสที่สูงมากเมื่อเทียบกับมนุษย์หรือสัตว์ทั่วไปบนโลก แม้จะอยู่ห่างออกไปหลายสิบหรือหลายร้อยเมตรสัตว์ประหลาดก็ยังคงได้กลิ่นเหงื่อของมนุษย์และหนูตัวนี้ก็ไม่ต่างกัน

โนอาห์เตรียมตัวของเขาให้พร้อม เขาเอามีดต่อสู้ของทหารที่เขาพกติดตัวมาด้วยออกมา นี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งแรกของเขาหลังจากที่เขาได้รับพรมา

ตอนนี้เขาได้ดับเปลวไฟแห่งนรกไปแล้ว เขาตั้งใจดับมันเพราะเขาต้องการเก็บสกิวของเขาเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูของเขารู้ว่าเขาจะใช้อะไรในการต่อสู้บ้าง

หลังจากนั้นไม่นานโนอาห์ก็มองเห็นดวงตาสีดำคู่หนึ่งที่จ้องมองเขาจากในน้ำ มันกำลังจับตาดูโนอาห์อย่างระมัดระวัง

โนอาห์ก็ทำเช่นเดียวกับหนู เขากำลังพยายามคาดเดาว่าหนูกำลังจะทำอะไร

‘หนูตัวนี้กำลังเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฉันงั้นหรอ…มีบางอย่างผิดปกติ โดยปกติแล้วสัตว์ประหลาดพวกนี้จะโจมตีตามสัญชาตญาณของมันเท่านั้น แต่หนูตัวนี้มันกำลังมองและวิเคราะห์คู่ต่อสู้อยู่งั้นหรอ…มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?’ โนอาห์คิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเขาในป้อมปราการ

ไม่กี่วินาทีต่อมาสัตว์ประหลาดรูปร่างผิดปกติก็กระโดดขึ้นจากน้ำ แล้วพุ่งเข้าหาโนอาห์ทันที ปากของมันอ้าออกแสดงให้เห็นฟันของมันที่เข้ามาโจมตี พร้อมกับเสียงโหยหวนของมัน

ซี่…

เมื่อรู้ว่าหนูกำลังจะปล่อยเสียงร้องนั้นออกมาเพื่อพยายามข่มขู่เขา โนอาห์ก็ไม่สนใจมันและตอบสนองเร็วกว่าที่หนูคาดไว้ เขาแทงมีดไปในทิศทางข้างหน้าทันที

ในเสี้ยววินาทีที่สัตว์ประหลาดอยู่ในระหว่างการกระโดด มันก็ตระหนักได้ว่าการกระโดดของมันไม่ใช่การตัดสินใจที่ฉลาดที่สุด เนื่องจากตัวของหนูนั้นใหญ่เกือบเท่ารถมอเตอร์ไซค์โนอาห์จึงแทงมันได้ไม่ยาก แต่ด้วยขนาดของสัตว์ที่มากขึ้นความต้านทานของมันก็มากขึ้นตามสัดส่วนด้วยเช่นกัน

มีดเจาะเข้าไปในซี่โครงของหนูเพียง 4 ซม. ก่อนที่จะหยุด โนอาห์ดึงมีดออกจากบาดแผลอย่างรวดเร็วทำให้เลือดของมันไหลออกมาอย่างเข้มข้นและทำความเสียหายให้กับอวัยวะของหนูมากกว่าการทิ้งมีดไว้ที่นั่น โนอาห์ถอยห่างจากหนูอีกครั้ง

หนูรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ซี่โครง ความโกรธของมันเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณและมันเริ่มโจมตีอีกครั้งใส่โนอาห์ มันเรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งนี้หนูไม่ได้กระโดดใส่ แต่กลับมาวิ่งเข้ามาแทน จากบาดแผลที่โนอาห์ทำไว้ ทำให้ตอนนี้บาดแผลจากมีดยังคงขยายใหญ่ขึ้นและมีเลือดไหลออกมามากขึ้น

เห็นได้ชัดว่าหนูกำลังกดดันเขามากขึ้น เพราะมันรู้ว่ามันเริ่มเสียเลือดไปมากแล้ว

โนอาห์รู้ว่ามันคงอยู่อย่างนั้นได้อีกไม่นาน ในขณะที่หนูวิ่งมาหาเขาโนอาห์ก็เปิดฝ่ามือซ้ายและชี้ไปที่หนูทันที ไฟระเบิดออกมาจากมือของเขาและกลืนหนูยักษ์เข้าไป

เมื่อรู้สึกถึงอันตรายจากไฟหนูจึงพยายามวิ่งกลับเข้าไปในน้ำอีกครั้ง แต่ในขณะที่มันหันหลังให้โนอาห์เพื่อพยายามวิ่งหนี โนอาห์ก็ถือโอกาสเอามีดไปเสียบที่หัวของหนูตัวนั้น ทำให้มันตายในที่สุด

[+1 ประสบการณ์]

หน้าต่างสีดำขนาดเล็กที่มีคำที่เขียนด้วยเปลวไฟสีแดงปรากฏขึ้นลอยอยู่ต่อหน้าโนอาห์อย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไปอีกครั้ง

คราวนี้โนอาห์รู้ว่าจริงๆแล้วคำพูดในหน้าต่างเขียนด้วยเปลวไฟแห่งนรกและเมื่อเขาพยายามเปรียบเทียบคุณภาพของเปลวไฟของเขากับเปลวไฟที่หน้าต่างโนอาห์อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เมื่อเขาตระหนักถึงหนทางที่ยาวไกลที่เขาจะต้องเดินต่อไป เขาคงต้องพยายามอีกมากเพื่อให้เปลวไฟของเขาลุกลามและน่ากลัวเหมือนเปลวไฟในหน้าต่างนั่น

เมื่อโนอาห์ใช้ระเบิดไฟครั้งใหญ่กับหนูเขารู้สึกว่าพลังงานส่วนใหญ่ของเขาถูกระบายออกไปอย่างมาก จากการใช้พลังงานในทางที่ผิด

‘การควบคุมพลังงานของฉันแย่มาก ฉันต้องทำอะไรสักอย่างกับการควบคุมเปลวไฟหรือพลังงานที่ฉันเสียไปนี่ให้ได้ ฉันจะต้องฝึกเรื่องนี้ให้มากขึ้นแล้ว’ โนอาห์คิด

เมื่อมองไปที่หนูที่ตายแล้วบนพื้นโนอาห์มองไปที่มือซ้ายของเขาและตัดสินใจที่จะทดสอบทฤษฎีของเขา ด้วยมือที่เปิดกว้างโนอาห์พยายามควบคุมเปลวไฟอย่างเข้มงวดมากขึ้นเพื่อไม่ให้เสียพลังงานมากไป และเมื่อเขาตระหนักเกี่ยวกับมันได้มากขึ้น เขาก็ทำให้พลังที่ต้องใช้ในการปล่อยเปลวไฟลดน้อยลง

โนอาห์ชี้มือไปที่หนูสั่งให้เปลวไฟพุ่งไปที่ศพของมันและพยายามควบคุมไฟให้ลุกอย่างต่อเนื่องและเสียพลังงานให้น้อยที่สุด จนสุดท้ายศพของหนูก็ถูกเผาจนเหลือแต่เพียงขี้เถ้าเท่านั้น

ในขณะที่หนูถูกไฟเผาอยู่นั้น โนอาห์รู้สึกราวกับว่าความหิวของเขาถูกเติมเต็มอย่างช้าๆ มันเหมือนกับว่าการเผาหนูตัวนั้นเป็นการกินอาหาร เขาได้รับสารอาหารและมีพลังมากขึ้น

เมื่อหนูถูกไฟเผาจนหมดโนอาห์ก็เปิดฝ่ามือและเรียกเปลวไฟขนาดเล็กออกมา เขารู้สึกว่าเปลวไฟของเขาแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย แต่มันก็เห็นถึงความแตกต่างจริงๆ หากเขายังคงฆ่าสัตว์ประหลาดพวกนี้ไปเรื่อยๆ การเลื่อนระดับจากระดับ F ไปยังระดับ E คงใช้เวลาอีกไม่นาน

โนอาห์นึกถึงข้อความที่ระบบบอกกับเขาหากต้องการดูสถานะเขาจึงพูดมันออกมา

“สถานะ”

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 01]

[ประสบการณ์: 1/100]

[HP: 10/10]

[ความแข็งแรง: 10]

[ความคล่องตัว: 10]

[ความแข็งแกร่ง: 10]

[สกิว:

เปลวไฟจากนรก เลเวล: 01 : 1/100

คำอธิบายสกิว: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

“อืม…จากการฆ่าหนู 1 ตัวก็ทำให้ฉันได้ 1 ค่าประสบการณ์สำหรับเลเวลของฉัน และจากการเผาหนู 1 ตัวฉันก็ได้รับ 1 ค่าประสบการณ์จากสกิลของฉันเหมือนกัน นี่มันน่าสนใจจริงๆ…ถ้าฉันเผาหนูอีก 99 ตัวทักษะของฉันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 2 และแข็งแกร่งขึ้น มันจะแข็งแกร่งขึ้นแค่ไหนกันนะ หรือบางทีอาจจะเป็นการใช้ในแบบใหม่ๆ เพราะตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันทำได้คือควบคุมเปลวไฟให้เหมือนเครื่องพ่นไฟ และควบคุมได้เฉพาะความรุนแรงเท่านั้น ฉันจะต้องทำให้การควบคุมเปลวไฟและความแรงของเปลวไฟของฉันดีเท่ากับเปลวไฟที่ปรากฏขึ้นในหน้าต่างนั่นให้ได้!”

โนอาห์เริ่มไตร่ตรองถึงความสามารถของตัวเองและสิ่งที่เขาสามารถทำได้ในอนาคต

โนอาห์ประหลาดใจและตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของตัวเขาเอง

ตอนนี้เขากำลังพบเจอกับเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน เพราะเขาต้องควบคุมตัวเองไม่ให้ไปไล่ฆ่าหนูพวกนั้นที่อยู่ในน้ำ เพราะหากเขาฆ่าหนูทุกตัวที่เขามองเห็น นั่นจะทำให้พลังของเขาหมดลงในที่สุด สุดท้ายก็จะกลายเป็นเขาเองที่จะถูกหนูกิน

“ความอดทนเป็นคุณธรรม ความอดทนทำให้ฉันมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ และฉันก็จะไม่ทิ้งมันไปเด็ดขาด” โนอาห์บอกตัวเองและเดินจากไปอย่างใจเย็น

“หึหึ…แม้ว่านายจะได้เป็นผู้ถูกเลือกมาหลายปีแล้ว แต่นายก็ยังมีแค่ HiPhone XX อยู่ นายรู้หรือเปล่าว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มันล้าสมัยไปนานแค่ไหนแล้ว มันยังส่งข้อความได้อยู่ไหมนั้น ฮ่าๆ”

วัยรุ่นคนหนึ่งหัวเราะกับโทรศัพท์ของโนอาร์ ในขณะที่วัยรุ่นคนนั้นวาง HiPhone ZY ของเขาไว้ในตู้เสื้อผ้าชั่วคราวที่ใช้เก็บของของผู้ถูกเลือก

“ใช่ บางทีชีวิตของผู้ถูกเลือกระดับ F แบบนายก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้นนะ…” เด็กวัยรุ่นหัวเราะด้วยความรังเกียจ

เพื่อนของวัยรุ่นพวกนั้นก็หัวเราะเช่นกัน เนื่องจากคนส่วนใหญ่เป็นผู้ถูกเลือกระดับ E และ D และอยู่ที่นี่เพื่อหาประสบการณ์ครั้งแรก โดยคิดว่าพวกเขาจะผ่านป้อมปราการระดับ E ได้อย่างง่ายดาย

“ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวแฮร์รี่อย่าเสียคำพูดกับคนน่าสงสารที่อยู่แค่ระดับ F เลย” หญิงสาวพูดอย่างยั่วยวนในขณะที่ถูหน้าอกของเธอกับแขนของวัยรุ่นที่ชื่อแฮร์รี่

“เธอพูดถูกพวกเราไปกันเถอะ” แฮร์รี่พูด ก่อนที่เขาจะจากไปเขาก็หันไปหาโนอาห์จ้องมองเขาด้วยท่าทางจริงจังแล้วพูดว่า

“อย่าถ่วงเวลาพวกเราทำให้พวกเราช้าละ เจ้าคนกระจอก…” โนอาห์รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบตัวเขาเย็นลงเล็กน้อย

ในขณะนั้นโนอาห์พยายามอย่างมากที่จะไม่หัวเราะเยาะเด็กชายแฮร์รี่คนนี้ เขาผ่านมันมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้สึกกดดันเลยแม้แต่น้อยตอนนี้ เมื่อเห็นว่าแฮร์รี่มีพลังน้ำแข็งโนอาห์ก็อดไม่ได้ที่จะอยากลองว่าเปลวไฟของเขาแข็งแกร่งเพียงใดเมื่อเทียบกับน้ำแข็งแห่งจากผู้ถูกเลือกระดับ D

สิ่งที่แฮร์รี่ไม่รู้ก็คือนอกจากโนอาห์แล้วผู้ใหญ่คนอื่นๆส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับ F และ E ยกเว้นเพียงคนเดียวคือชายอ้วนที่มีรอยแผลเป็นที่ตาข้างหนึ่ง เขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ D เช่นกัน

ผู้ใหญ่เหล่านี้ไม่ต้องการที่จะเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงในป้อมปราการที่ยากขึ้นอีกต่อไปแล้ว แต่การถูกล้อเลียนจากเด็กๆที่เพิ่งห่างจากนมแม่ไม่นาน ก็ทำให้พวกเขาไม่พอใจอยู่บ้าง บางคนถึงกับยิ้มด้วยใบหน้าเศร้านิดๆ หวังที่จะเข้าไปในป้อมปราการเร็วๆเพื่อให้รู้ว่าเด็กๆพวกนี้จะเป็นยังไงต่อไป

โนอาห์รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่เขาไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กนิสัยเสียเหล่านี้ในป้อมปราการ เป้าหมายของเขาในวันนี้คือทำให้ดีที่สุดเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเองและไม่จำเป็นต้องกลับไปที่ป้อมปราการระดับ F อีกต่อไป

หลังจากเก็บข้าวของของเขาแล้วโนอาห์พร้อมกับผู้ถูกเลือกคนอื่นๆจึงไปที่หน้าประตูซึ่งมีตัวแทนรัฐบาลยืนถือแท็บเล็ตอยู่ในมือ

“เยี่ยมมาก แต่ละคนมากันแล้วสินะ…” ตัวแทนบอกตัวเองในขณะที่นับทุกคนที่กำลังเข้าสู่ประตูวาป เขามองไปที่ใบหน้าของผู้ถูกเลือกทีละคนและทำเครื่องหมายบนแท็บเล็ตว่าใครเข้ามาบ้าง

หลังจากที่ทุกคนเก็บของไว้ในตู้เสื้อผ้าที่ได้รับมอบหมายแล้วตัวแทนก็พูดว่า

“เยี่ยมมากพวกคุณจะแบ่งออกเป็นทีมละ 15 คน องค์กรของทีมจะเป็นคนตัดสินใจเองฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ รัฐบาลได้ลงนามในหนังสือรับรองแล้วว่าเราซึ่งเป็นรัฐบาลไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีที่เป็นไปได้ที่คุณจะเสียชีวิต ฉันขอให้คุณโชคดี รางวัลของพวกคุณจะได้จากระดับความสมบูรณ์ของป้อมปราการ ตอนนี้ประตูวาปอยู่แล้ว ดังนั้นพวกคุณสามารถเข้าไปได้ทันทีที่คุณต้องการ”

เมื่อเจ้าหน้าที่พูดจบวัยรุ่นชื่อแฮร์รี่ก็เริ่มเดินไปที่ประตูประตูโดยไม่สนใจการมีอยู่ของคนอื่น เห็นได้ชัดว่านี่เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วเนื่องจากทันทีที่เขาเริ่มเดิน วัยรุ่นอีก 6 คนก็เดินตามเขาเข้าไปในประตูวาปโดยไม่สนใจผู้ใหญ่และโนอาห์

ในทางกลับกันผู้ใหญ่เริ่มแลกเปลี่ยนข้อมูลและตัดสินใจใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในท้ายที่สุดชายที่มีรอยแผลเป็นที่เป็นผู้ถูกเลือกระดับ D ก็มีความตั้งใจที่จะเป็นผู้นำของกลุ่ม เมื่อตัดสินใจเกือบทุกอย่างแล้วผู้ถูกเลือกระดับ D คนนี้ก็มองไปที่โนอาห์และแสดงความคิดเห็นว่า

“นายคิดยังไง”

ผู้ใหญ่หลายๆคนมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจเมื่อรู้ว่าโนอาห์อ่อนแอขนาดไหน และมีผู้ใหญ่บางคนที่ต้องการความเห็นของโนอาห์ พร้อมทั้งยอมรับความคิดเห็นของเขาเช่นกัน

โนอาห์รู้ว่าเขาหมายถึงอะไรเนื่องจากนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองไปที่ป้อมปราการด้วยกัน ในขณะที่หลายคนคิดว่าโนอาห์แค่กลัวสัตว์ประหลาดและไม่มีความกล้าที่จะทำอะไรเลย แต่คนอื่นๆที่มีวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้งกว่านั้นก็ตระหนักได้ว่า โนอาห์ที่เข้าไปในป้อมปราการมานับครั้งไม่ถ้วน แต่โนอาห์ไม่เคยติดกับดักและเขาได้ให้ข้อมูลที่มีค่าหลายครั้งระหว่างการเข้าไปในป้อมปราการ นั่นหมายความว่าเขารู้หลายๆอย่างเกี่ยวกับป้อมปราการที่เขาบุกเข้าไปมากกว่าคนปกติ

เห็นได้ชัดว่าผู้ชายที่มีแผลเป็นเป็นคนประเภทที่สอง เมื่อมองไปที่เขาอย่างสงบโนอาห์ตอบว่า

“อย่างที่หลายๆคนรู้นี่คือป้อมปราการของราชาแห่งหนู ภายในประตูนั้นมีเขาวงกตขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเหมือนท่อระบายน้ำโดยมีหนูขนาดเท่ารถจักรยานยนต์อาศัยอยู่ ตอนนี้ภายในประตูเด็กๆพวกนั้นคงจะต้องเดินไปรอบๆข้างในอย่างไร้จุดหมาย และเนื่องจากความรู้สึกของหนูมีความว่องไวเป็นอย่างมากภายในท่อน้ำทิ้ง เราจึงได้เหยื่อล่อถึง 7 คน และสำหรับฉัน ฉันคิดว่าเด็กๆพวกนั้นก็คงดึงดูดหนูออกไปพอสมควรแล้วดังนั้นพวกเราจะค่อยๆฆ่าหนูทีละกลุ่มเล็กๆให้ได้มากที่สุด ก่อนที่เราจะไปสู้กับราชาแห่งหนู เพราะถ้าเราไปสู้กับราชาแห่งหนูทั้งๆที่หนูตัวอื่นๆยังเหลือเยอะอยู่แบบนี้ มันจะเข้าสู่โหมดบ้าดีเดือดแล้วพวกเราทั้งหมดจะถูกฆ่า”

หลายคนที่ไม่เคยได้ยินโนอาห์พูดเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ จริงๆสิ่งที่เขาพูดมีเหตุผล บางคนเสนอความคิดที่จะตรงไปยังหัวหน้าของป้อมปราการนี้ แต่เมื่อพวกเขาจำได้ว่าหัวหน้าป้อมปราการนี้มีโหมดบ้าดีเดือดพวกเขาก็ละทิ้งความคิดนั้นทันที หลังจากได้ยินสิ่งที่โนอาห์พูด ด้วยการพยักหน้าชายที่มีรอยแผลเป็นยืนยันว่าแผนของโนอาห์ดีที่สุดสำหรับกลุ่มนี้ พวกเขาทั้งหมดจึงเดินเข้าสู่ประตูวาปไปพร้อมกัน

เมื่อผ่านประตูวาปมาแล้วกลิ่นเหม็นของอุจจาระและของเน่าเหม็นก็พุ่งเข้าไปที่จมูกของโนอาห์ทันที หากเป็นครั้งแรกที่เขาเข้าสู่ป้อมปราการโนอาห์อาจรู้สึกไม่สบาย แต่เมื่อผ่านป้อมปราการนี้อย่างน้อย 3 ครั้งในช่วง 4 ปีที่ผ่านมากลิ่นก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาอีกต่อไป

น่าเสียดายที่นี่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น เมื่อมองไปที่พื้นมันเป็นไปได้ที่จะเห็นร่องรอยการอาเจียนซึ่งมักจะถูกทิ้งไว้โดยวัยรุ่นเหล่านั้นที่เข้ามาก่อนหน้าพวกเขาและไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์แบบนี้ น่าเสียดายสำหรับบางคนและโชคดีสำหรับคนอื่นๆ สิ่งนี้ทำให้การติดตามเหยื่อทั้ง 7 คนง่ายขึ้นมาก

ในขณะที่โนอาห์เฝ้าดูสภาพแวดล้อมเพื่อหาสิ่งที่แตกต่างออกไปคนในกลุ่มของเขาก็เริ่มยกอาวุธที่พวกเขานำเข้ามา น่าเสียดายที่ไม่มีอาวุธปืนชนิดใดทำงานได้หลังจากข้ามประตูไปแล้ว แม้ว่ามันอาจจะง่ายเกินไปที่จะจัดการกับป้อมปราการระดับต่ำหากพวกเขาสามารถใช้ปืนได้ แต่ถ้าพวกเขาเข้าไปในป้อมปราการระดับสูงมอนสเตอร์ทั้งหมดก็แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานอาวุธปืนของมนุษย์ได้

สิ่งนี้ได้รับการทดสอบในป้อมปราการที่ถูกทิ้งร้างเนื่องจากหากไม่มีใครบุกรุกป้อมปราการหลังจากผ่านไปสักพักมอนสเตอร์ที่อยู่ข้างในก็เริ่มออกมาที่ประตูและโจมตีทุกสิ่งที่พวกเขาเห็นข้างหน้า ครั้งหนึ่งป้อมปราการระดับ C ถูกจัดการไม่สำเร็จทำให้มอนเตอร์ข้างในป้อมปราการออกมาทำลายหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านเนื่องจากไม่มีผู้ถูกเลือกเพียงพอสำหรับที่นั่น จากนั้นเป็นต้นมารัฐบาลก็ใช้มาตรการให้ผู้ถูกเลือกระดับ F และ E ดูแลป้อมปราการระดับต่ำ นั่นทำให้ผู้ถูกเลือกกระจายหน้าที่ได้อย่างถูกต้องและไม่สิ้นเปลืองกำลังคน

เมื่อทุกคนติดตั้งอาวุธระยะประชิดเสร็จ ในที่สุดโนอาห์ก็รู้ว่ามีอะไรแปลกๆนั่นคือเสียง!

“ป้อมปราการไม่มีเสียง!” โนอาห์พูดอย่างรวดเร็วขณะมองไปที่ชายที่มีรอยแผลเป็น

“มันเกี่ยวอะไรกับเสียงงั้นหรอ?” ชายอ้วนถามด้วยน้ำเสียงสงสัย เขาเป็นคนที่เสนอให้ตรงไปฆ่าราชาแห่งหนู แต่โนอาห์ขัดขว้างความคิดของเขา ทำให้เขาอารมณ์บูดบึ้ง

โนอาห์มองเขาด้วยสายตาผิดหวังและส่ายหัว เขารู้ดีว่าชายร่างอ้วนคนนั้นเป็นผู้ถูกเลือกระดับ E วัยกลางคนที่ไม่เคยสามารถเข้าถึงระดับความแข็งแกร่งของผู้ถูกเลือกระดับ E ได้เลย เขายังคงถูกบังคับให้บุกป้อมปราการระดับ F เสมอเพราะเขาอ่อนแอเกินกว่าจะเลื่อนระดับได้ ชายที่มีอายุมากกว่า 30 ปีที่ไม่เคยใส่ใจที่จะเรียนรู้หรือศึกษาป้อมปราการที่เขาจะบุกเข้ามา ดังนั้นโนอาห์จึงผิดหวังต่อชายคนนี้ผู้ซึ่งมีชีวิตขึ้นอยู่กับการมีพรที่แข็งแกร่งเท่านั้น และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขามีชีวิตรอดจนถึงวันนี้

“แกไม่เคยศึกษาเกี่ยวกับป้อมปราการเลยหรอ แกเป็นคนหูหนวกหรือไง?” ชายที่มีแผลเป็นถามขณะมองไปที่ชายอ้วน

“สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของป้อมปราการราชาแห่งหนูคือลมที่พัดเข้าออกที่นี่ด้วยความเร็วสูงจนมีเสียงหวีดหวิว แล้วตอนนี้แกได้ยินเสียงแบบนั้นบ้างไหม?”

เมื่อได้ยินคำถามของชายที่มีแผลเป็นในที่สุดชายร่างอ้วนก็สังเกตเห็นความโง่เขลาของตัวเองและตระหนักว่าเสียงหวีดหวิวที่เขามักจะได้ยินมาตลอดกลับไม่ปรากฏในครั้งนี้

“เกิดอะไรขึ้น?” เขาถามด้วยความกลัวเล็กน้อย

โนอาห์ต้องการโอกาสที่จะแอบออกไปจากกลุ่มโดยไม่ถูกสงสัย และทดสอบพรที่เขาได้รับจากเทพเจ้าลูซิเฟอร์ และตอนนี้โอกาสก็มาอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

“มีบางอย่างผิดปกติฉันจะลองเดินไปสำรวจป้อมปราการเพื่อมองหาพวกมัน พวกนายคอยจับตาดูและมองหาเหยื่อ 7 คนนั้นไว้”

“อย่าตายโดยไม่จำเป็น” ชายที่มีแผลเป็นกล่าว เมื่อมองดูโนอาห์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาและผู้ถูกเลือกคนอื่นๆจะไล่ตามเส้นทางอาเจียน

หลังจากผ่านการท้าทายป้อมปราการกับโนอาห์สองสามครั้งทำให้เขารู้ว่าเด็กชายคนนี้จะไม่ตายที่นี่แม้ว่าจะมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นก็ตาม

แต่ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้มีบางสิ่งที่สามารถฆ่าทุกๆคนได้ ได้เกิดขึ้นภายในป้อมปราการแห่งนี้แล้ว…

[ยินดีด้วยผู้สืบทอดแห่งลูซิเฟอร์ คุณสามารถผ่านช่วงทดสอบของระบบ โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ และในที่สุดคุณก็ผ่านการรับรองโดยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคุณที่มีต่อลูซิเฟอร์: ทูตสวรรค์ที่เคยรุ่งโรจน์ สวยงาม และทรงพลังที่สุด คุณยอมรับที่จะดูดซับพลังของ “สายเลือดของลูซิเฟอร์” ด้วยตัวคุณเองหรือไม่?]

เมื่ออ่านข้อความที่ปรากฏขึ้น ในที่สุดโนอาห์ก็รู้สึกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเขาที่ถูกทารุณ ที่ถูกทุบตี ที่ต้องวิ่งหนี ก็คุ้มค่าเพราะเขาจะได้เปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองจากคนที่ไร้ประโยชน์เป็นคนที่มีอำนาจและสำคัญเสียที โนอาห์จึงตอบรับระบบทันทีว่า

“ใช่!”

[ได้รับการยืนยันแล้ว…การวิเคราะห์ได้ถูกดำเนินการกับผู้ใช้ไปแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ผลลัพธ์คือผู้ใช้มีอัตราความถนัด 98% บวกกับอัตราการซิงโครไนซ์ 95.2% ซึ่งเป็นอัตราการซิงโครไนซ์ที่สูงที่สุดเท่าที่เคยพบมาในบรรดามนุษย์ที่ซิงโครไนซ์อื่นๆ]

[ขอแสดงความยินดีด้วย: ตอนนี้คุณกลายเป็นผู้ใช้ระบบ สายเลือดของลูซิเฟอร์ คนแรกและคนสุดท้าย รางวัลสำหรับการทำภารกิจแรกได้สำเร็จคุณได้รับ (1) (โทเค็นแบบสุ่ม) คุณต้องการใช้โทเค็นทันทีหรือไม่]

ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาโนอาห์ไม่เพียงแต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาใช้เวลาว่างไปกับการค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบนี้ เขาเริ่มต้นการค้นหาของเขาจากแนวคิดเรื่องพร จากนั้นเขาก็มองผ่านสิ่งของจากยุคโบราณของมนุษยชาติ แม้กระทั่งก่อนยุคมืดที่สัตว์ร้ายและสัตว์ประหลาดเริ่มปรากฏตัว เขาค้นหาทุกสิ่งที่เขาหาได้เกี่ยวกับเทพเจ้าองค์นี้ที่เรียกว่าลูซิเฟอร์เทพเจ้าที่อวยพรเขา

หลังจากการค้นหามามากมาย ในที่สุดโนอาห์ก็รวบรวมทฤษฎีที่เขาพบว่าเป็นไปได้มากที่สุด นั่นคือด้วยเหตุผลบางประการลูซิเฟอร์และพระเจ้าของคริสเตียนต้องประสบกับความสูญเสียบางอย่างจึงไม่สามารถช่วยเหลือมนุษยชาติในช่วงยุคมืดได้ ดังนั้นเทพที่เล็กที่สุดจึงลงมาจัดการและปรากฏตัว เทพที่เล็กที่สุดได้ลงมาช่วยเหลือในรูปแบบที่พวกเขาทำได้ แต่ตอนนี้ผ่านไปหลายปีแล้วลูซิเฟอร์ก็สามารถถ่ายทอดคำอวยพรของเขาให้ใครบางคนในรูปแบบของระบบที่คล้ายกับวิดีโอเกมนี้

แต่ด้วยข้อมูลที่มีเพียงเล็กน้อยโนอาห์ไม่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ เขาไม่สามารถรู้ได้เลย อย่างไรก็ตามตามสิ่งที่ภารกิจบอก คือการติดตามลูซิเฟอร์จะนำเขาไปสู่เส้นทางแห่งความจริง สู่เส้นทางแห่งอำนาจ ดังนั้นอาจเป็นเพียงเรื่องของเวลาก่อนที่เขาจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโนอาห์พึ่งพาตัวเองและข้อมูลที่เขารวบรวมได้เท่านั้น มันทำให้เขาเกิดความคลั่งไคล้ในการอยากรู้อยู่เสมอว่าเกิดอะไรขึ้น สิ่งต่างๆทำงานอย่างไรและหาทางควบคุมบางอย่าง แม้ว่านี่อาจจะผิดจรรยาบรรณ แต่ความต้องการที่จะควบคุมทุกอย่างเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ และตอนนี้เขามีอำนาจแล้ว เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะละทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ไป

โนอาห์ สั่งคำสั่งกับระบบว่า

‘ใช่ ฉันต้องการใช้โทเค็นนี้ทันที’

[โทเค็นที่ได้รับคือโทเค็นสุ่มสกิล…สกิลที่ได้รับ ‘เปลวไฟแห่งนรก’ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม ผู้ใช้สามารถเปิดข้อมูลส่วนตัวเพื่อดูได้เอง]

เมื่ออ่านข้อความของระบบแล้วโนอาห์รู้สึกว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปในตัวเขา ราวกับว่าสกิวนี้อยู่ในฝ่ามือของเขามานานมากแล้ว มันเหมือนกับเป็นนิ้วที่ 6 ของเขามันง่ายมากที่จะควบคุมเช่นเดียวกับอีก 5 นิ้วในมือของเขา แต่เมื่อมองดูแล้วมือของเขาก็ยังคงเป็นปกติโดยสมบูรณ์

เขาต้องควบคุมตัวเองอย่างมากที่จะไม่ใช้นิ้วที่หกของเขาซึ่งปรากฏขึ้นหลังจากผ่านมาแล้ว 4 ปี เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมาเขาต้องต่อสู้โดยไม่มีสกิวหรือเรี่ยวแรงที่มากมายอะไรเลย

ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รับพลังบางอย่างมาแล้ว สัญชาตญาณของโนอาห์พูดกับเขาเพียงว่า

“เรียกมันออกมา”

แต่ 4 ปีที่ผ่านมากับการต่อสู้โดยไม่มีสกิลหรือทักษะใดๆสอนให้เขาระมัดระวังและซ่อนพลังที่แท้จริงของตัวเองไว้เสมอเพื่อใช้กับศัตรูเท่านั้น

แม้ว่าเขาต้องการใช้เปลวไฟนี้จริงๆแต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม หรือเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับมัน เนื่องจากคนอื่นๆจะสามารถรับรู้และสังเกตได้ว่ามีอะไรแปลกไปเกี่ยวกับเขาหรือไม่

‘ปล่อยไว้ดีกว่า ตอนฉันอยู่ในป้อมปราการ’ โนอาห์คิดกับตัวเอง

หลังจากผ่านไปหลายปีในที่สุดโนอาห์ก็เข้าใจว่าการควบคุมพรของตนเองรู้สึกอย่างไร แม้ว่าเขาจะไม่เคยควบคุมเปลวไฟมาก่อนในชีวิต แต่ตอนนี้โนอาห์รู้ได้โดยสัญชาตญาณของเขาทันทีว่าจะควบคุมเปลวไฟแห่งนรกนี้ได้ยังไง และเขาก็รู้สึกว่าเปลวไฟนี้ยังคงอ่อนแอมาก

เมื่อจำข้อความที่สองที่ระบบส่งถึงเขาโนอาห์จึงตัดสินใจลองพูดตามที่ระบบแนะนำ

‘ข้อมูลส่วนตัว’

[ผู้ใช้: โนอาห์ สเติร์น]

[เลเวล: 01]

[ประสบการณ์: 0/100]

[HP: 10/10]

[ความแข็งแรง: 10]

[ความคล่องตัว: 10]

[ความแข็งแกร่ง: 10]

[สกิว:

[เปลวไฟแห่งนรก เลเวล: 01

คำอธิบายสกิว: เทคนิคที่ประกอบไปด้วยการอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกขึ้นมา เปลวไฟแห่งนรกไม่ต่างไปจากเปลวไฟธรรมดา แต่หลังจากชำระคนบาปและบาปมากมายมันก็กลายเป็นเปลวไฟที่ทรงพลังที่สุดที่สามารถเผาได้กระทั้งเทพเจ้าแห่งเปลวเพลิง เพื่อเพิ่มพลังของความสามารถนี้คุณจะต้องเผาบาปหรือคนบาป]

เมื่ออ่านคำอธิบายความสามารถแล้ว ดวงตาของโนอาห์ก็เบิกกว้าง เขารู้ดีว่าพรที่เทพเจ้าประทานให้กับมนุษย์สามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งได้ตามกาลเวลา แต่เขาไม่เคยได้ยินถึงวิธีการพัฒนาด้วยวิธีที่ไร้สาระเช่นนี้

จากสิ่งที่เขาค้นพบขณะค้นคว้าการพัฒนาที่น่าทึ่งที่สุดคือผู้ที่ได้รับพรแห่งการรักษา ในตอนแรกเธอสามารถรักษาบาดแผลภายนอกได้เพียงเล็กน้อย แต่ด้วยการใช้พรของเธอเองสวดอ้อนวอนต่อเทพีแห่งชีวิตและฝึกฝนตัวเองหลายปีพรของเธอก็มีพลังมากพอที่จะรักษาบาดแผลขนาดใหญ่หรือแม้แต่ทำให้อวัยวะเล็กๆเหมือนนิ้วงอกขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอนว่าพรของเธอเป็นพรระดับสูง

ตอนนี้ทักษะที่เขาได้มานั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากเปลวไฟทั่วไป แต่ตามคำอธิบายของทักษะนี้หากโนอาห์ใช้ทักษะนี้ต่อไปและยกระดับของเขาด้วยการเผาบาปและคนบาปเปลวไฟจะมีพลังมากพอที่จะเผาไหม้แม้กระทั่งพระเจ้าเอง…ช่างไร้สาระสิ้นดี!? มันเป็นเรื่องบ้ามากหากเขาจะเชื่อเพียง เพราะถ้าเป็นยังงั้นพรที่เขาได้รับนั้นอาจจะเป็นพรระดับ A…หรือไม่ก็อาจจะเป็นระดับ S เลยด้วยซ้ำ…แต่ความคิดนี้ก็ไม่ได้อยู่ในความคิดของโนอาห์นานกว่าสองสามวินาที หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยความคิดนี้ไป

ในเวลาที่ถูกทารุณกรรมและต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง มีสิ่งหนึ่งที่เขาเรียนรู้นั่นคือการมีความหวังไม่ต่างจากการหลอกตัวเอง ไม่ว่าเปลวไฟของเขาจะไปถึงจุดไหนในอนาคต สิ่งที่สำคัญสำหรับเขาคือตอนนี้คือถึงมันแข็งแกร่งแค่ไหน เขาก็จะไม่ประมาทเพราะเขาประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป

โดยที่เขาไม่ได้สังเกตเห็นมือของเขาเริ่มออกแรงมากขึ้นเรื่อยๆจนเขากำมันแน่น แน่นจนหยดเลือดเริ่มไหลออกมาเล็กน้อย นี่ไม่ได้เกิดจากความโกรธหรือความรู้สึกเชิงลบใดๆ ถ้ามีใครมองเข้าไปในดวงตาของโนอาห์ตอนนี้ พวกเขาจะเห็นคนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับแต่ก่อนที่โนอาห์มักจะมีใบหน้าที่เย็นชา จริงจัง และไร้อารมณ์ แต่ตอนนี้ลึกๆแล้วเขากำลังเปลี่ยนไปเป็นรูปลักษณ์ที่มุ่งมั่น มุ่งมั่นที่จะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อช่วยเธอ

“เอาล่ะทุกคนเรามาถึงกันแล้ว บูธสำหรับฝากของส่วนตัวอยู่ในสถานที่ปกติถ้าคุณเพิ่งมาใหม่ก็เดินตามคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดเท่าที่จะหาได้” จู่ๆคนขับรถบัสก็พูดสั่งการออกมา

หากพวกเขาเป็นผู้ถูกเลือกระดับ D การปฏิบัติต่อพวกเขาจะดีขึ้นมาก เนื่องจากสำหรับรัฐบาล ผู้ถูกเลือกระดับ F เป็นเพียงปืนใหญ่ที่ใช้ในการทำความสะอาดขยะที่นักผจญภัยคนอื่นคิดว่าไร้ค่า กล่าวคือป้อมปราการที่เหลืออยู่ให้กับการผู้ถูกเลือกระดับ F นั้นแทบจะไม่ได้กำไรเลย ซึ่งบ่อยครั้งแทบจะไม่เพียงพอที่จะมีเงินเหลือในช่วงสิ้นเดือนด้วยซ้ำ มีเพียงบางครั้งที่มีเงินเหลืออยู่เล็กน้อยคือเมื่อมีคนจำนวนมากเสียชีวิตในระหว่างการเข้าไปจัดการหอคอย ดังนั้นครึ่งหนึ่งของกำไรของใครก็ตามที่เสียชีวิตจึงตกเป็นของครอบครัวและอีกครึ่งหนึ่งตกเป็นของใครก็ตามที่ยังมีชีวิตอยู่ในที่สุด

ผู้ถูกเลือกระดับ D หรือสูงกว่ามักจะเริ่มต้นในป้อมระดับ E เนื่องจากป้อมปราการเหล่านี้ไม่ได้ยากนักและอย่างน้อยก็จะสร้างกำไรให้กับใครก็ตามที่บุกเข้ามา ดังนั้นที่นี่ในป้อมปราการระดับ F มีเพียงผู้ถูกเลือกระดับ F และ E เท่านั้นที่ดูเหมือนจะต้องเข้าไปท้าทายเพื่อเอาชีวิตรอดกลับมาในเมือง

โนอาห์ยังสงสัยว่าทำไมผู้คนถึงชอบมาที่ป้อมปราการระดับ F โดยรู้ถึงอันตรายและผลกำไรเพียงเล็กน้อย แต่หลังจากได้รู้ว่าคนเหล่านี้คิดว่าความแข็งแกร่งและการเลื่อนระดับการจัดระดับของพวกเขาเพื่อร่ำรวยขึ้นเป็นไปไม่ได้ พวกเขาตระหนักได้ว่าไม่มีทางพัฒนาต่อไปได้อีก และพรของพวกเขาก็มาถึงทางตัน พวกเขาจึงอยู่ที่นี่และทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

เมื่อลงจากรถบัสโนอาห์เห็นเด็กวัยรุ่นเดินตามผู้ใหญ่และหัวเราะเล็กน้อยกับมุมมองที่แตกต่างระหว่างผู้ที่ไม่เคยประสบกับความยากลำบากของป้อมปราการและผู้ที่ใช้ชีวิตมาทั้งชีวิตที่ต้องเสี่ยงภัยในนรกเช่นนี้

แต่ครั้งนี้โนอาห์รู้สึกแตกต่างออกไป คราวนี้แทนที่จะเป็นความกังวลอันใหญ่โตที่ปกติเขาแบกไว้บนหลังของเขา ตอนนี้เขารู้สึกเบาขึ้นเมื่อเขารู้สึกถึงการควบคุมเปลวไฟแห่งนรกที่เขาครอบครองอยู่ โนอาห์เห็นป้อมปราการเป็นฟาร์มหมูที่สวยงามรอให้เขาเริ่มฆ่าหมูอ้วนที่เรียกว่าสัตว์ประหลาด

“หึหึ…แม้ว่านายจะได้เป็นผู้ถูกเลือกมาหลายปีแล้ว แต่นายก็ยังมีแค่ HiPhone XX อยู่ นายรู้หรือเปล่าว่าโทรศัพท์เครื่องนี้มันล้าสมัยไปนานแค่ไหนแล้ว มันยังส่งข้อความได้อยู่ไหมนั้น ฮ่าๆ”

วัยรุ่นคนหนึ่งหัวเราะกับโทรศัพท์ของโนอาร์ ในขณะที่วัยรุ่นคนนั้นวาง HiPhone ZY ของเขาไว้ในตู้เสื้อผ้าชั่วคราวที่ใช้เก็บของของผู้ถูกเลือก

“ใช่ บางทีชีวิตของผู้ถูกเลือกระดับ F แบบนายก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้นนะ…” เด็กวัยรุ่นหัวเราะด้วยความรังเกียจ

แม้ว่าโนอาห์จะมีความมั่นใจว่าเขาได้รับพรแล้ว แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะประหม่า เขามองไปรอบๆตัวเขา เขาเห็นคนที่มีความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ด้านหนึ่งเขาเห็นวัยรุ่นที่มีความมั่นใจมาก บางคนสามารถควบคุมเกล็ดหิมะขนาดเล็กได้ บางคนควบคุมน้ำได้เล็กน้อย แต่อีกสองสามคนในอีกด้านหนึ่งกลับอยู่ในสถานการณ์ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ว่าเขาไม่มีพรใดๆเลย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังมาเพื่อทดสอบโชคของพวกเขา เพียงแค่มองไปที่พวกเขาก็จะทำให้คุณกังวลใจได้ทันที

โนอาห์สนใจการศึกษาภาษากายมาโดยตลอด ดังนั้นเมื่อมองไปที่วัยรุ่นเหล่านี้เขาจึงสามารถบอกได้ว่าวัยรุ่นเหล่านี้มีความกังวลใจขนาดไหน แต่น่าเสียใจถึงเขาจะรู้ว่าวัยรุ่นพวกนี้กังวลใจขนาดไหน เขาก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรพวกเขาได้อยู่ดี เพราะสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็คือความผิดหวังเท่านั้น

ในการทดสอบครั้งแรกจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะมันจะทำการวิเคราะห์พรของแต่ละคนเท่านั้น ใช้เวลามากที่สุดคือหนึ่งนาที และในไม่กี่นาทีต่อมาโนอาห์ก็มาถึงเครื่องทดสอบ

โนอาห์ยืนอยู่หน้าเครื่องทดสอบ เขาหายใจเข้าลึกๆและยืดแขนซ้ายของเขาเข้าไปไว้ในรูที่เครื่องจะวิเคราะห์ว่ามีออร่าแห่งความเป็นพระเจ้ารั่วไหลออกมาจากเขาหรือไม่ นี่เป็นวิธีที่มนุษย์พบเพื่อประเมินว่าบุคคลนั้นได้รับพรหรือไม่ เนื่องจากมนุษย์มีปัญหาในการควบคุมรัศมีของพรที่ได้รับภายในตัวเอง แน่นอนว่าสิ่งนี้สามารถฝึกฝนได้เมื่อเวลาผ่านไป แต่คนที่เพิ่งได้รับพรจะไม่สามารถควบคุมพลังที่ได้จากพรในทันทีเท่านั้นเอง

ดังนั้นเมื่อมีออร่าจำนวนมากที่รั่วไหลออกมาจากร่างของพวกเขา พวกเขาจึงสามารถระบุได้ว่าเทพองค์ใดที่อวยพรให้กับเขาและอันดับของพรนั้นคืออะไร

หลังจากโนอาห์ได้รับการทดสอบเขาก็โล่งใจได้ระดับหนึ่ง เพราะการทดสอบนี้ประสบความสำเร็จ นั่นแสดงว่าเขาได้รับพรมาแล้วจริงๆ ปัญหาคือเครื่องจักรไม่เคยมีบันทึกว่ามีบุคคลใดเคยได้รับพรจากเทพเจ้าองค์นี้มาก่อน

ทำให้คนงานที่ทำการทดสอบให้กับโนอาห์เกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก แน่นอนว่านั้นก็ทำให้โนอาห์กังวลมากขึ้นเหมือนกัน เพราะออร่าที่รั่วไหลออกจากตัวของเขานั้นมีน้อยมาก จนถ้าหากเครื่องจักรเครื่องนี้ไม่แม่นยำละก็ จะไม่สามารถตรวจจับออร่าของโนอาห์ได้เลย โชคดีที่เครื่องบอกว่าอันดับของพรที่โนอาห์ได้รับ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นระดับ F

โนอาห์ค่อนข้างผิดหวังกับผลที่ได้ แต่เมื่อเขานึกขึ้นได้ว่า เขายังอยู่ระหว่างการพิจารณาการได้รับพรที่แท้จริงที่ยังไม่ตื่นขึ้น โนอาห์ก็มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นอีกนิดหน่อย

เมื่อผ่านการทดสอบครั้งแรกไป สิ่งที่โนอาห์ต้องทำก็เพียงแค่ทำการทดสอบครั้งที่สองให้เสร็จ และเขาก็จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าสู่ป้อมปราการ

เมื่อเขาไปทำการทดสอบส่วนที่สองซึ่งพวกเขาจะตรวจสอบความสามารถในการต่อสู้ของเขา ทั้งในแง่ของพลังทำลายล้างหรือในแง่ของพลังอรรถประโยชน์ คนงานบางคนก็ไปดูอย่างอยากรู้อยากเห็นในขณะที่พวกเขาคุยกัน

“เด็กคนนี้จะได้รับพรอะไรมากันนะ” ชายอ้วนคนหนึ่งกล่าว

“ฉันไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าเขาได้รับพรจากเทพองค์ใหม่บางทีเราอาจจะเห็นพรที่แตกต่างกันซึ่งเป็นพลังใหม่สำหรับมนุษยชาติ?” ชายร่างผอมตอบด้วยความหวัง

ชายร่างอ้วนเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายคนอื่นพูดก็มองเขาอย่างสงสัยจนกระทั่งเขาตระหนักถึงความจริง

“นายไม่ได้อยู่ที่นั่นตอนที่เขาถูกประเมินโดยเครื่อง BLS3000 ใช่ไหม”

เมื่อได้ยินเช่นนี้คนผอมก็รู้สึกกังวลและทึ่งเล็กน้อยตอบเขาว่า

“เปล่าฉันเพิ่งได้ยินเคนนี่พูดว่า มีวัยรุ่นที่ได้รับพรจากเทพองค์ใหม่ปรากฏตัวขึ้น ฉันเลยรีบวิ่งมาที่นี่เพื่อดูการทดสอบของเขา ฉันได้ยินมาว่าที่สำนักงานใหญ่ฝั่งตะวันตก ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้รับพรจากเทพองค์ใหม่ เธอสามารถควบคุมพลังแม่เหล็กได้ ทุกคนที่สำนักงานใหญ่บอกว่ามันเป็นฉากที่น่าทึ่งมาก ดังนั้นฉันจึงคิดว่าเด็กคนนี้อาจให้การแสดงที่น่าดึงดูดเหมือนกํบเธอได้”

เมื่อฟังสิ่งที่ชายร่างผอมพูดชายอ้วนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

“ฉันรู้ ฉันก็ได้ยินเรื่องนั้นเช่นกันปัญหาคือผู้หญิงคนนั้นมีพรระดับ A แต่เด็กคนนี้เครื่อง BLS3000 วัดให้เขามีพรระดับ F ระดับ F เลยนะ! ถึงแม้ว่าจะเป็นเทพองค์ใหม่แต่ด้วยระดับที่วัดออกมา เขาไม่มีทางทำอะไรให้พวกเราประหลาดใจได้หรอก”

ในขณะที่เดินไปยังพื้นที่ประเมินที่สอง โนอาห์ได้ยินคนหลายๆคนพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับเขาและเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ส่วนใหญ่เป็นเพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถแสดงความสามารถทางกายภาพใดๆด้วยพรที่เขามีได้ เขาทำได้เพียงแค่ผ่านการทดสอบเฉยๆ ทุกคนมักพูดเสมอว่าเมื่อคุณได้รับพรสัญชาตญาณในการใช้พลังของคุณจะตื่นขึ้นเองโดยอัติโนมัติ แต่โนอาห์กลับไม่รู้สึกอะไรเลย

พนักงานรู้สึกตื่นเต้นในขณะที่พวกเขารอให้การทดสอบของเด็กชายเริ่มขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปมีเพียงความผิดหวังเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของพวกเขา บางคนถึงกับพูดแสดงความคิดเห็นที่หยาบคายแม้ว่าจะไม่ใช่ความผิดของเด็กชายก็ตาม ความแข็งแกร่งของโนอาห์ไม่ได้เหนือกว่าความแข็งแกร่งของผู้ใหญ่ทั่วไปเลยแม้แต่นิดเดียว พวกเขาถือว่านี่เป็นพรแรกของเทพเจ้าองค์เล็กที่เพิ่งปรากฏตัว และไม่นานก็โยนความทรงจำนี้เข้าไปในจิตใจของพวกเขาพร้อมกับความผิดหวังที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นที่นั่น เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ยาก แต่ไม่ใช่เรื่องยากที่พนักงานจะจดจำแต่ละคนที่ได้รับพรจากเทพเจ้าองค์ใหม่

เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนที่รู้จักโนอาห์ถึงกับคิดว่าเขาแอบสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าแห่งความงาม เพราะหลังจากนั้นภายในไม่กี่สัปดาห์ใบหน้าของเขาซึ่งก่อนหน้านี้ก็ถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยเพียงเล็กน้อยเริ่มสวยงามขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้ดึงดูดความอิจฉาจากผู้คนที่ไม่ได้รับพรจากเทพเจ้าใดๆ และเหมือนเป็นการดูถูกเหยียดหยามผู้คนที่ได้รับพรจากเทพเจ้าที่มีอำนาจมากกว่า

แต่เมื่อผ่านการทดสอบพร โนอาห์ได้รับถูกจัดระดับเป็นผู้ถูกเลือกระดับ F ซึ่งเป็นอันดับต่ำสุดที่ทุกคนจะสามารถได้รับได้ ด้วยเหตุนี้ป้อมปราการที่เขาสามารถบุกได้จึงถูกจำกัดไว้ที่ป้อมระดับ F หรือ E เท่านั้นจนกว่าเขาจะพิสูจน์ได้ว่าเขามีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะบุกป้อมปราการที่ทรงพลังมากกว่านี้ และอย่างที่รู้ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ต่างจากของผู้ใหญ่ทั่วไป เขารู้ว่ารางวัลของดันเจี้ยนระดับ E จะมีค่ามากกว่าหลายเท่า แต่เขาก็ไม่สามารถเสี่ยงที่จะไปตายที่นั่นได้ เพราะยิ่งรางวัลมากขึ้นหลายเท่ามอนเตอร์ที่จะเจอก็จะโหดร้ายมากขึ้นตามนั้นเช่นกัน

ดังนั้นโนอาห์จึงใช้ชีวิตในช่วงปีแรกของเขาอย่างมีความสุขพยายามเรียนรู้สิ่งที่ดีที่สุดที่ต้องทำในป้อมปราการอยู่เสมอเพื่อที่จะมีโอกาสประสบความสำเร็จมากขึ้นโดยไม่ต้องพูดถึงโอกาสในการอยู่รอดที่มากขึ้น

สิ่งที่หลายคนเรียกว่าความอ่อนแอหรือความขี้ขลาดโนอาห์เรียกว่าความฉลาดและกลยุทธ์ เนื่องจากเขาไม่มีกำลัง โนอาห์จึงต้องใช้สติปัญญาเพื่อที่จะอยู่รอดตลอดหลายปีที่ผ่านมา

อัตราการเสียชีวิตของผู้ถูกเลือกในช่วงสามปีแรกนั้นมากกว่า 50% รวมถึงระดับทั้งหมด หากวิเคราะห์เฉพาะอัตราการเสียชีวิตของผู้ถูกเลือกระดับ F จะมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 70%

ในขณะที่การได้รับพรอาจเป็นเส้นทางสู่ชื่อเสียงและโชคลาภที่ง่ายดาย แต่เส้นทางนี้ก็สามารถเปลี่ยนเป็นทางด่วนที่จะส่งไปสู่ความตายได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน…และสำหรับโนอาห์ที่ไม่มีพละกำลังหรืออำนาจมันน่ากลัวที่จะคำนวณว่าโอกาสที่เขาจะตายนั้นน่ากลัวเพียงใด

ดังนั้นในขณะที่ผู้คนหัวเราะเยาะโนอาห์หลายต่อหลายครั้ง โดยไม่ได้ปิดบังความไม่พอใจที่พวกเขามีต่อโนอาห์ โนอาห์ก็ไม่สนใจเพราะเขารู้ว่าในการท้าทายป้อมปราการในครั้งถัดไปโอกาสที่คนเหล่านี้จะไม่ปรากฏตัวอีกต่อไปนั้นสูงมาก

4 ปีต่อมาโนอาห์ชินกับขั้นตอนการไปที่ป้อมปราการแล้ว ดังนั้นในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถบัส หูของเขาจึงเพิกเฉยต่อวัยรุ่นที่มีเสียงดังที่มักจะปรากฏตัวโดยอัตโนมัติในขณะที่เขาทิ้งผู้ใหญ่ที่มีประสบการณ์มากกว่าไว้ข้างๆ พวกเขาเพียงแค่เพลิดเพลินกับทิวทัศน์จากภายนอกด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องเดินทางไปตามถนนเหล่านี้นับสิบหรือหลายร้อยเส้น

แต่ว่าในครั้งนี้มีบางอย่างที่แตกต่างกันออกไป ตามการคาดการ์ณของโนอาห์ภายในเดือนนี้เขาน่าจะได้รับการยืนยันว่าเขาได้ทำภารกิจที่ได้รับจากลูซิเฟอร์สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ถึงจะผ่านวันนั้นเมื่อ 4 ปีที่แล้วไปแล้ว 3 วัน แต่ก็ไม่มีหน้าต่างใหม่ปรากฏขึ้นมา…จนถึงวันนี้ก็ตาม

ทุกคนที่เคยเห็นหรือได้ยินเรื่องเกี่ยวกับโนอาห์มักจะคิดว่าเขาไม่มีประโยชน์ และคิดว่าพรที่เขาได้รับมานั้นไร้ประโยชน์และไม่สามารถช่วยอะไรใครได้ แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ความจริง

ความจริงคือในโลกนี้ มนุษย์คนไหนที่ได้รับพรจากพระเจ้าบางองค์ พวกเขาจะมีโอกาสที่จะมีพลังอำนาจมากในขนาดที่สามารถยิงพลังออกมา เพื่อทำลายเมื่องเล็กๆได้เมืองหนึ่งเลยทีเดียว แต่ตัวโนอาห์เองก็ไม่มีพลังนั้น และก็ไม่เคยมีใครที่เคยได้รับพลังแบบนั้นมาก่อนเช่นเดียวกัน

ใช่แล้ว ในขณะที่เพื่อนร่วมชั้นเรียนบางคนสามารถปลุกพลังของเทพเจ้าที่พวกเขาสวดอ้อนวอนในช่วงมัธยมปลายและได้กลายเป็นผู้ถูกเลือก ในขณะที่คนอื่นๆก็อิจฉาเพียงเพราะพวกเขาไม่ได้รับเลือกจากเทพเจ้าให้ได้รับพรและเปลี่ยนเป็นผู้ถูกเลือก

ผู้ถูกเลือกเป็นชื่อที่ตั้งให้กับผู้คนที่ได้รับพลังแห่งเทพเจ้า และเห็นได้ชัดว่าพรบางอย่างก็แข็งแกร่งกว่าพรอื่นๆ ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการแยกแยะความแตกต่างในแง่ของความแข็งแกร่งพรจึงถูกแยกออกเป็นระดับต่างๆ [F, E, D, C, B, A และ S] หลังจากปลุกพรของพวกเขาเอง

ผู้ได้รับพรสามารถสมัครเพื่อทดสอบพรที่ได้มาได้ ผู้ประเมินจะทดสอบพลังของบุคคลนั้นๆว่าได้รับพรมาจริงหรือไม่ เมื่อตรวจพบแล้วก็จะเข้าสู่การทดสอบเพื่อค้นหาว่าพรของบุคคลนั้นมีประโยชน์เพียงใด และศักยภาพของพรในอนาคตจะเป็นแบบไหน ผู้ถูกเลือกจะถูกจัดระดับพลังด้วยวิธีนี้

ในชั้นเรียนของโนอาห์มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ปลุกพรระดับ B ได้และตามที่คาดไว้เขาก็กลายเป็นไอดอลของโรงเรียนในทันที แน่นอนว่าครูใหญ่ของโรงเรียนไม่พลาดโอกาสที่จะเผยแพร่ไปทั่วเมืองว่าในโรงเรียนของเขามีนักเรียนที่ตื่นขึ้นมาในฐานะ ผู้ถูกเลือกระดับ B และนักเรียนคนนั้นก็ได้กลายเป็นดาราในไม่ช้า และโนอาห์ยังเห็นเขาปรากฏตัวในโฆษณาทางทีวีสำหรับร้านไอศกรีมในท้องถิ่นอีกด้วย

แน่นอนว่าการได้รับพรระดับ B จะไม่ทำให้คนๆหนึ่งกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มีพลังทำลายหมู่บ้านได้ทันที เพราะพรทั้งหมดเริ่มจากระดับล่างสุด แต่สิ่งที่ถูกวัดออกมา คืออนาคตของบุคคลนั้นๆ บุคคลที่ถูกวัดได้พรระดับ A พวกเขาจะใช้เวลาฝึกฝนหนึ่งปีเพื่อที่พวกเขาจะย้ายจากระดับความแข็งแกร่งระดับ F ไปยังระดับ D โดยที่ไม่มีปัญหา แต่สำหรับบุคคลในระดับ D พวกเขาจะต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการเลื่อนระดับความแข็งแกร่งไปที่ระดับ D นั่นเป็นความแตกต่างระหว่างผู้ที่ได้รับพร ระดับ A และ D

ดังนั้นคนที่มีพรระดับ B จึงถูกมองว่าเป็นไอดอลได้ง่ายเพราะพวกเขาจะไปถึงระดับ D หรือ C ได้ในเวลาไม่กี่ปี และนั้นจะทำให้เขาได้รับความแข็งแกร่งอย่างมาก

นี่คือระดับสิ่งที่พวกเขาจะได้รับเมื่อพวกเขาโชคดีที่ได้รับพรระดับสูง และโนอาห์ก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในคนที่โชคดีเหล่านั้น ในขณะที่เพื่อนร่วมงานของเราได้รับพรต่างๆโนอาห์ก็ยังคงเป็นเพียงคนปกติอยู่หลายเดือน จนถึงวันนั้นในที่สุดโนอาห์ก็หมดความหวังและล้มเลิกการสวดอ้อนวอนต่อเทพเจ้าแห่งฝนซึ่งเป็นเทพที่เขาสวดอ้อนวอนตั้งแต่เด็ก

ความรู้สึกของเขาต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่แย่มาก ความโกรธและความสิ้นหวังได้เริ่มก่อตัวขึ้นในอกของโนอาห์ เขารู้สึกเสียใจต่อการสวดอ้อนวอนมานานหลายปีต่อเทพแห่งฝน และในที่สุดโนอาห์ก็ยอมรับว่าเทพแห่งฝนไม่เคยสนใจเขา และไม่เคยคิดที่จะให้พรกับเขาเลย โนอาห์ไม่เคยต้องการพรอะไรที่แข็งแกร่งมากนัก เขาเพียงต้องการพรระดับ E เป็นอย่างน้อยเท่านั้น แต่จนถึงวันนั้นเขาก็ยังไม่ได้รับพร เขาจึงรู้สึกสิ้นหวังและหมดความหวังเป็นอย่างมาก

ด้วยความโกรธ เขาจึงคว้ารูปปั้นของเทพแห่งฝนขึ้นเหนือศีรษะและเตรียมที่จะโยนมันลงบนพื้น แต่จู่ๆก็มีข้อความปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา

ข้อความนั้นแสดงออกมาเป็นหน้าจอลอยอยู่ตรงหน้าของโนอาห์ แต่ตอนนี้ในมือของโนอาห์กำลังจะโยนรูปปั้นของเทพเจ้าแห่งฝนอยู่และด้วยความตกใจ เขาจึงปล่อยรูปปั้นตกลงกระแทกพื้นทันที

“นี่คืออะไร!?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสงสัยและกลัวขณะที่เขามองไปที่หน้าจอที่ลอยอยู่กลางอากาศ

เมื่อโนอาห์ใจเย็นลงแล้ว เขาก็เพิ่งจะคิดได้ว่าการกระทำของเขาเมื่อสักครู่เป็นการลบหลู่เทพเจ้าอย่างรุนแรง มีมนุษย์คนหนึ่งถ่มน้ำลายใส่วิหารของเทพเจ้าพวกเขาจึงโดนเทพเจ้าลงโทษอย่างรุนแรง ตอนนี้โนอาห์จึงกังวลว่าเทพเจ้าแห่งฝนจะโกรธและต้องการจะแก้แค้น

เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง โนอาห์ก็มองไปรอบๆห้องด้วยความกลัว เขากลัวว่าคำสาปบางอย่างจากเทพเจ้าแห่งฝนจะโจมตีเขา แต่ก็โชคดีที่หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงหันกลับมาสนใจหน้าต่างที่แปลกประหลาดที่กำลังลอยอยู่ตรงหน้าของเขา

ตรงหน้าของเขามีหน้าต่างที่มีพื้นหลังสีดำสนิทราวกับความมืดพร้อมกับตัวอักษรที่เขียนด้วยสีแดงเหมือนกับไฟที่สามารถเผาทุกอย่างได้ ในหน้าต่างนั้นมีข้อความปรากฏและข้อความนั้นก็ทำให้โนอาห์ตกใจเป็นอย่างมาก

[คุณมีความรู้สึกเช่นเดียวกับลูซิเฟอร์ ลูซิเฟอร์รู้สึกโกรธต่อเทพเจ้าที่เขารักมาก เขาทุ่มเทรับใช้และทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อพระเจ้าองค์นี้มาหลายปี แต่สุดท้ายเขาก็ถูกปฏิเสธ เพราะพระเจ้ารักคนอื่นมากกว่าลูซิเฟอร์ ความรู้สึกของคุณตรงตามความต้องการของสายเลือดของลูซิเฟอร์]

[เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่นมั่นของคุณ คุณต้องทำงานให้สำเร็จก่อน เมื่อคุณทำสำเร็จคุณจะได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของลูซิเฟอร์ คุณต้องผ่านสถานการณ์ชีวิต และความตายที่หลากหลาย คุณจะต้องไม่ยอมแพ้และพัฒนาต่อไป คุณต้องการรับสายเลือดของลูซิเฟอร์หรือไม่]

‘ถ้าถามฉันว่ามีความสุขไหม? ในตอนนี้ฉันมีความสุขมาก!’ แต่หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าพรที่เขาได้รับนั้น แตกต่างจากพรที่คนอื่นได้รับ

อย่างแรกผู้คนมักจะได้รับพรจากเทพเจ้าที่พวกเขาอธิษฐานเท่านั้น ถ้าหากมีคนที่สวดอ้อนวอนต่อเทพแห่งหมาป่า เขาก็จะได้รับพรจากเทพแห่งหมาป่า เทพเจ้าองค์อื่นๆจะไม่อวยพรให้กับมนุษย์ที่ไม่ได้อธิษฐานถึงพวกเขา

อย่างที่สองจากสิ่งที่เขารู้จากวีดีโอหรืออินเตอร์เน็ตสำหรับผู้ถูกเลือก ผู้ถูกเลือกจะไม่ได้รับการเสนอสิทธิ์ในการเลือก หลังจากที่คุณได้รับพรคุณจะสามารถใช้พลังของพรที่คุณได้รับทันทีราวกับว่าพลังนี้เป็นพลังที่อยู่กับคุณมาตั้งแต่เกิด แต่แน่นอนคุณยังต้องฝึกฝนอีกมากเพื่อให้สามารถใช้พรนั้นได้ดี แต่เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับกรณีที่ผู้ได้รับพรจะสามารถยอมรับหรือปฏิเสธพรได้ หรือจะต้องผ่านการทดสอบใดๆก่อนถึงจะได้พรนั้น

ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าโนอาห์ไม่เคยอธิษฐานถึงลูซิเฟอร์มาก่อน เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับลูซิเฟอร์และพระคาทอลิกในชั้นเรียนประวัติศาสตร์โบราณ ในอดีตอันไกลโพ้นก่อนที่โลกจะถูกครอบงำโดยป้อมปราการและมอนเตอร์ ผู้คนยังคงสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าคอทอลิก จนกระทั่งหลังจากที่มอนเตอร์ปรากฏตัว เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นเทพเจ้าองค์อื่นๆ จึงเริ่มให้พรมนุษย์และเนื่องจากพระเจ้าคาทอลิกไม่เคยทำอะไรเลย ผู้คนจึงสูญเสียศรัทธาในตัวพวกเขา และลืมเขาไปตามกาลเวลา ตอนนี้เขาได้รับพรจากลูซิเฟอร์ทูตสวรรค์องค์สำคัญของพระเจ้าคาทอลิกผู้ซึ่งถือว่าเป็นทูตสวรรค์ที่ทรงพลังที่สุดในสวรรค์ เขาสามารถได้รับพรนั้นมาจากการทดสอบยังงั้นหรือ?

เมื่อคิดว่าคำตอบที่ล่าช้าอาจทำให้ลูซิเฟอร์ระคายเคือง โนอาห์ก็ตอบรับงานที่เทพเจ้าองค์นี้มอบให้เขาทันที

[ในช่วง 4 ปีข้างหน้าคุณต้องต่อสู้กับป้อมปราการด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณมี]

และหน้าจอก็หายไป เป็นเวลาหลายวันแล้วที่โนอาห์เฝ้ารอเพื่อดูว่าหน้าจอจะปรากฏขึ้นอีกครั้งหรือไม่ แต่มันไม่เคยปรากฏอีกเลย โนอาห์ยังคิดว่าที่เขาเห็นเป็นภาพหลอน และทั้งหมดนี้เกิดจากจิตใต้สำนึกของเขาที่พยายามปลอบโยนเขาที่ไม่ได้รับพรจากพระเจ้าที่เขาสวดอ้อนวอนอยู่เสมอ

แต่เมื่อรู้ว่าถ้าสิ่งนี้เป็นจริงเขาจะได้รับพรในที่สุดโนอาห์จึงตัดสินใจทำในสิ่งที่หน้าต่างสีดำบอก บางทีเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้รับพรอีกครั้งในชีวิตนี้แล้ว

ดังนั้นครั้งนี้เขาจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองเพื่อเธอ เขาย้ำกับตัวเองในขณะที่เขามองไปที่กรอบรูปบนโต๊ะที่มีรูปถ่ายของสาวสวยผมสีดำ

วันรุ่งขึ้นโนอาห์ไปที่ศูนย์ทดสอบพรในละแวกบ้านของเขา เนื่องจากมีกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากที่มารับการตรวจเจ้าหน้าที่จึงแบ่งการบริการออกเป็น 4 แถว

สิ่งสำคัญคือต้องรู้ว่าการทดสอบนั้นไม่ฟรี แม้ว่าจะไม่มีการใช้จ่ายใดๆในการทดสอบก็ตาม

แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ต้องประกาศค่าธรรมเนียม 50 ดอลลาร์ต่อการทดสอบเพื่อไม่ให้ผู้คนมาทุกวันเพื่อเติมเต็มด้วยความหวังว่าวันนั้นจะมาถึง วันที่พวกเขาจะได้รับพรจากพระเจ้า

โนอาห์ใช้ชีวิตตามลำพังในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าธรรมเนียม 50 ดอลลาร์ แต่ด้วยความเชื่อในสิ่งที่เขาเห็น เขาจึงลงนามในการทดสอบ และหวังว่าเครื่องตรวจจะพบว่าเขาได้รับพร ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีสิทธิ์เข้าไปในป้อมปราการได้ในที่สุด

บนถนนที่มีแต่ทะเลทรายรถบัสสีดำขนาดใหญ่และสวยงามขับไปตามยางมะตอยที่ร้อนระอุเพียงลำพัง ภายในมีคนหลายคนทำสิ่งที่แตกต่างกันโดยไม่สนใจสภาพอากาศที่อยู่นอกหน้าต่าง

ทะเลทรายกว้างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็จะเห็นเพียงแต่ทะเลทรายเท่านั้น พุ่มไม้แห้งขนาดเล็กที่กระจัดกระจายไปตามพื้นทรายและพื้นดินที่แตกระแหงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป และการได้เห็นภาพที่ทะเลทรายกว้างยาวออกไปมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดนี้ผู้คนที่พบเห็นก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมัน เพราะนี่เป็นปกติของโลกใบนี้

ภายในรถบัสมีสภาพอากาศที่เย็นสบายจากเครื่องปรับอากาศ วัยรุ่นคนหนึ่งที่มีอายุประมาณ 16 หรือ 17 ปีกำลังเล่นไพ่เพื่อเพิ่มความตื่นเต้น และเสียงที่ถูกส่งออกมาในตอนนี้เห็นในชัดว่าเกมที่พวกเขาเล่นไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

ที่ด้านหลังของรถบัสมีชายและหญิงสูงวัยนั่งอยู่โดยที่พวกเขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว พวกเขาทุกคนนั่งหลับตาพร้อมกับใบหน้าที่เย็นชา เพราะจิตใจของพวกเขากำลังเดินไปมาท่ามกลางครอบครัวที่มีความสุข พวกเขามีความหวังและความฝันและสงสัยว่าวันนี้พวกเขาจะกลับไปที่บ้านได้อีกครั้งหรือไม่ ในบางครั้งก็จะเห็นชายหญิงสองคนนี้ถอนหายใจพร้อมๆกัน เป็นการถอนหายใจที่มาจากความสิ้นหวัง

เห็นได้ชัดถึงความแตกต่างระหว่างกลุ่มผู้ชายที่เคยมีประสบการณ์นี้มาก่อนกับกลุ่มวัยรุ่นที่ไปที่นั่นเป็นครั้งแรก แต่ถึงแม้วัยรุ่นจะส่งเสียงดังมาก แต่ผู้ใหญ่พวกนี้ก็ไม่บ่นตลอดทางเพราะพวกเขารู้ว่าหลังจากกลับจากการผ่านป้อมปราการในครั้งนี้ไปแล้ว อาการตื่นเต้นพวกนี้จะไม่อยู่กับพวกเขาอีกต่อไป

พวกผู้ใหญ่รู้เรื่องนี้เพราะพวกเขาก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเช่นกัน พวกเขาเคยมีพลัง เต็มไปด้วยความมีชีวิตและจิตใจที่เร่าร้อน ความปรารถนาที่จะผจญภัย แรงผลักดันที่จะทดสอบพลังใหม่ๆที่พวกเขาได้รับ และจินตนาการว่าพวกเขาจะได้กลับบ้านอย่างร่ำรวยและมีชื่อเสียงพร้อมกับมีความสุขกับผู้หญิงหลายๆคนที่พวกเขาสนใจ แต่ชีวิตไม่ได้เป็นเช่นนั้น ชีวิตที่พวกเขาจะต้องเจอ ยังห่างไกลจากสิ่งที่พวกเขาจินตนาการไว้อย่างมาก

หลังจากเห็นเพื่อนและสหายมากมายตายต่อหน้าพวกเขา โดยที่พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าแท้จริงแล้วพวกเขาอ่อนแอและไม่มีประโยชน์แค่ไหน พวกเขาจะได้รู้ว่าความแข็งแกร่งที่พวกเขาได้รับนั้นมันไม่ได้มีประโยชน์ขนาดนั้น สุดท้ายความรู้สึกที่ต้องการผจญภัยก็จะเหลือเพียงความปรารถนาที่อยากจะกลับบ้านและไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

นี่เป็นชีวิตที่น่าเศร้าและยากลำบากของ ผู้ถูกเลือกแรงค์ F และ E แตกต่างจากชีวิตของ ผู้ถูกเลือกแรงค์ B, A หรือ S ที่ถือว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ พวกเขาทำเพียงดื่มโซดาหนึ่งกระป๋องและบอกว่ามันทำให้สดชื่นต่อหน้ากล้องบางตัว

เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งแยกออกจากทั้งสองกลุ่ม เขาเป็นคนหนุ่มอายุ 20 ปี เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของรถบัสศีรษะของเขาวางอยู่บนกระจกหน้าต่างรถมองดูพุ่มไม้และต้นไม้ที่กระจัดกระจายผ่านไปในขณะที่จิตใจของเขาจดจ่ออยู่กับบางสิ่งที่คนอื่นๆมองไม่เห็น

เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มคนนี้ที่นั่งอยู่คนเดียว หญิงสาวในกลุ่มวัยรุ่นคิดว่าเขามีเสน่ห์มากในตอนที่เธอจ้องมองเขา ชายหนุ่มมีผมสีดำปานกลาง รูปร่างผอม แต่ดูแข็งแรง และสิ่งที่หญิงสาวสนใจมากที่สุดเกี่ยวกับชายหนุ่มคือเขาได้รับพรอะไรมา

เธอคิดว่าการเข้าไปทักทายเพื่อพูดคุยกับเขาก่อนเป็นความคิดที่ดี เธอจึงจะลุกขึ้นจากที่นั่งของรถและเดินไปหาชายหนุ่ม แต่ก่อนที่เธอจะก้าวไปหาเขา เพื่อนทั้งสองที่อยู่ข้างๆเธอก็ดึงเธอไว้และขมวดคิ้ว

“มีอะไรเหรอเอมี่” วัยรุ่นหญิงถามเพื่อนที่จับแขนของเธอ

“เธอไม่ได้คิดที่จะไปคุยกับผู้ชายคนนั้นใช่ไหมเวนดี้?” เอมี่ถามเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เมื่อสังเกตเห็นน้ำเสียงที่จริงจังของเพื่อน เวนดี้รู้สึกทึ่งและถามว่า

“เธอสนใจเขาเหมือนกันหรอ?“

เมื่อฟังที่เพื่อนของเธอพูดเอมี่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและตอบอย่างใจเย็นและปล่อยมือจากแขนของเวนดี้ เพราะเธอรู้ว่าเวนดี้จะต้องรอให้เธออธิบายก่อน

“ฉันเข้าใจว่าเธอสนใจเขา และนั่นคือปัญหาเนื่องจากเธอเพิ่งเป็นผู้ถูกเลือกคนแรกในครอบครัวของเธอ เธฮถึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเขาเลย ชื่อของเขาคือโนอาห์ สเติร์นเหมือนกับเราเขากลายเป็นผู้ที่ได้รับพรเมื่ออายุ 16 ปี แต่พรที่เขาที่ได้รับนั้นไร้ประโยชน์มากในตอนที่เข้าไปในป้อมปราการ”

“พรของเขาอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรอ?” เวนดี้ถามด้วยสายตาสงสัย

“เรียกว่าอ่อนแอก็จะเหมือนกับว่าเราชมพรของเขามากกว่า พรของเขาไร้ประโยชน์พวกเขาบอกว่าหลังจากที่เขาได้รับพรรูปลักษณ์ของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปทีละเล็กทีละน้อยจนในที่สุดเขาก็ดูดี” เอมี่พูดขณะที่เธอหายใจอีกครั้ง

“แต่…เธอยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าพรของเขาคืออะไร…” เวนดี้ตอบ

“ฉันบอกเธอไปแล้วในคำพูดที่พูดไปเมื่อกี้ พรของเขาก็แค่ทำให้เขาหน้าตาดีขึ้นและนั่นก็คือทั้งหมดที่เขามี หากไม่มีการเพิ่มความแข็งแกร่งที่มาจากการควบคุมธาตุของผู้ถูกเลือก เขาก็ไม่มีอะไรอีกเลย”

“แล้ว…เขายังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงถ้าเขามีพรแบบนั้น เขาถูกกดกฏหมายบังคับให้เขาไปในป้อมปราการก็จริง แต่ถ้าเขาเคยเข้าไปในป้อมปราการมาหลายปีแล้วด้วยความแข็งแกร่งของมนุษย์ธรรมดา เขาเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี แล้วทำไมเขาถึงออกจากป้อมปราการได้ทุกครั้ง ในขณะที่ผู้รับพรคนอื่นๆไม่สามารถทำได้เลย นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด…” เวนดี้ตกใจมาก

“ไม่มีใครรู้…บางคนบอกว่าเขาซ่อนตัวอย่างเดียวเมื่อเขาเข้าไปในป้อมปราการ บางคนบอกว่าเขาคอยให้การสนับสนุนจากระยะไกล แต่สิ่งเดียวที่ข่าวลือเกี่ยวกับเขาทั้งหมดเห็นพ้องเหมือนกันคือเขามีบางอย่างที่แข็งแกร่งมาก…” เอมี่กล่าวด้วยน้ำเสียงลึกลับ

“อะไรนะ…อะไรที่แข็งแกร่งมากสำหรับเขาความสามารถของเขาทำอะไรได้นอกจากนี้หรอ หรือเขามีอาวุธที่แข็งแกร่งมาก บอกฉันทีสิ!” เวนดี้รู้สึกสงสัยและวิตกกังวล

“สิ่งที่แข็งแกร่งมากสำหรับเขาคือ…ความกลัว…เขามีชีวิตอยู่ได้จากความกลัว ในตอนที่ทุกคนกำลังต่อสู้โดยใช้พรของแต่ละคนและจบลงด้วยความตาย โนอาห์ก็จะอยู่ห่างๆในที่ปลอดภัยที่สุดจากความกลัว”

“พวกเขาบอกว่าพวกเขาเข้าไปได้ไม่นานแต่ด้วยความโหดเหี้ยมของป้อมปราการทั้งทีมก็ตายและพวกเขาก็ไม่สามารถพิชิตป้อมปราการได้สำเร็จ แต่โนอาห์เขาสามารถรอดชีวิตมาได้ตลอดพร้อมกับสมาชิกหนึ่งหรือสองคนในทีมบุกที่หนีตายออกมา นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาอยู่ในจุดที่ปลอดภัยขนาดไหน” เอมี่แสดงสีหน้าดูถูกขณะที่มองไปที่นาห์ผู้โดดเดี่ยว

เวนดี้เมื่อได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกไม่มีแรงจูงใจที่จะไปคุยกับเขาอีก เวนดี้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ และเธอมักจะโหยหาผู้ชายที่แข็งแกร่ง ผู้ชายที่สามารถปกป้องเธอและปกป้องครอบครัวของเธอ ผู้ชายที่จะเดินเคียงข้างเธอ สนับสนุนครอบครัวในอนาคต ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่จะเดินตามหลังเธอ หลังจากคำพูดของเอมี่ความสนใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เวนดี้มีต่อโนอาห์ก็หายไปเช่นเดียวกับใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้นไม้ แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือใบไม้ที่เธอทิ้งลงมาอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตก็ได้

ในขณะที่ทุกคนพูดคุยกันวัยรุ่นเริ่มพนันกันว่าใครจะฆ่ามอนสเตอร์ได้มากกว่า ส่วนคนที่เดินทางคนหนึ่งที่มีอายุพอสมควรเล่าว่าเขาได้เงินมากแค่ไหนจากป้อมปราการ เขาสามารถซื้ออาหารและปัจจัยยังชีพให้ลูกๆได้มากมาย และบางคนก็เยาะเย้ยโนอาห์ออกมาดังๆว่าเขาไร้ประโยชน์

โนอาห์ไม่ได้สนใจกับเรื่องนี้ แต่ในขณะนั้นเองอยู่ๆหน้าจอสีดำราวกับความมืดก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าของเขาพร้อมกับข้อความที่เขารอคอยมานานในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา

[ยินดีด้วยผู้สืบทอดแห่งลูซิเฟอร์ คุณสามารถผ่านช่วงทดสอบของระบบ โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ และในที่สุดคุณก็ผ่านการรับรองโดยแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของคุณที่มีต่อลูซิเฟอร์: ทูตสวรรค์ที่เคยรุ่งโรจน์ สวยงาม และทรงพลังที่สุด คุณยอมรับที่จะดูดซับพลังของ “สายเลือดของลูซิเฟอร์” ด้วยตัวคุณเองหรือไม่?]

เมื่อการแจ้งเตือนนั้นจบลงในที่สุดโนอาห์ก็รู้สึกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาของการถูกดูถูกและถูกทุบตีเพราะเขา ‘ไร้ประโยชน์’ ก็คุ้มค่าและจบลงซักที เพราะโอกาสที่เขาจะเปลี่ยนโชคชะตาจากการเป็นคนไร้ประโยชน์ไปสู่คนที่มีอำนาจและสำคัญที่สุดได้มาถึงแล้ว

โนอาห์จึงตอบไปว่า…

กำเนิดใหม่ทายาทจอมมาร (Lucifer’s Descendant System)

กำเนิดใหม่ทายาทจอมมาร (Lucifer’s Descendant System)

Status: Ongoing

แนว: System, Evolution, Demon, Magic, R-18, Action, God, RPG System, LIT RPG

ผู้แต่ง : Zhanye

ผู้แปลไทย : okanetae

เรื่องย่อ

ในช่วงศตวรรษที่ 21 พระเจ้าได้หยุดฟังคำอธิษฐานของมนุษยชาติ และด้วยเหตุผลนั้นทำให้มอนเตอร์ที่มีความแข็งแรงและพละกำลังมหาศาลเริ่มปรากฏตัวขึ้น เป็นสาเหตุให้มนุษยชาติเข้าสู่ช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด

แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง มนุษยชาติบางคนทั่วทุกมุมโลกเริ่มได้รับพลังบางอย่างมา ทำให้คนเหล่านี้มีพลังในฐานะวีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของโลก ดังนั่นมนุษยชาติจึงเริ่มสามารถต่อสู้กับเหล่ามอนเตอร์ได้อีกครั้ง

ในบรรดาคนเหล่านี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ ‘โนอาร์’ ซึ่งแม้ว่าเขาจะได้รับพลัง แต่เขาก็รู้ดีว่าพลังเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นเลย มันแค่ทำให้เขาแข็งแกร่งเหมือนผู้ใหญ่ทั่วไปเท่านั้น

แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับเขา เมื่ออยู่ๆระบบที่ไม่รู้จักก็ได้ตื่นขึ้นและประกาศว่าเขาเป็นลูกหลานของ ‘จอมมารลูซิเฟอร์’ และด้วยการตื่นขึ้นของระบบก็ได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปสู่เส้นทางแห่งความจริงและพลังที่แท้จริงของเขา

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท