ฉินโม่หานไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ดึงเสื้อขึ้นอย่างเงียบๆ ปิดแผลที่ไหล่ของเขา
ลมที่ระเบียงก็ค่อยๆ พัดแรงขึ้น
เขาสวมใส่เสื้อเชิ๊ตบางๆ พร้อมกับคลี่ยิ้มให้เธอ
ซูสือเยว่ลืมตา เห็นเสื้อเชิ๊ตสีขาวของเขาถูกลมพัดจนปลิว ก็ชะงักไปแล้วก็รีบส่งเสื้อโค้ตให้กับเขา
เดิมทีเธอตั้งในจะให้เขาใส่เพื่อให้ร่างกายเขาอุ่นลง จากลมแรงๆ ตรงระเบียง
แต่ว่าหลังจากที่ชายหนุ่มรับเสื้อโค้ตไปแล้ว กลับไม่ได้ใส่มัน
เขาถือเสื้อโค้ตนั้นอ้อมมาทางด้านหลังของเธอ
ลมหายใจของชายหนุ่มคนนั้นอยู่ใกล้เธอมาก
เหมือนกับว่าถ้าเธอหันหน้าไป ก็จะจูบกับเขาได้เลย
หัวใจของซูสือเยว่เต้นอย่างรุนแรง
เขา……จะทำอะไร?
ตอนที่เธอกัดริมฝีปากแน่นและเตรียมจะหยุดเขานั้น เสื้อโค้ตที่ปกคลุมไปด้วยอุณหภูมิของเขานั้นก็คลุมมาที่ร่างกายของเธอ
เธออึ้งไป ถึงได้เข้าใจเป้าหมายที่เขามายืนอยู่ด้านหลังของเธอ
เธอหน้าแดงขึ้นมาทันที
ด้านหนึ่ง มันเป็นเพราะว่าความเป็นห่วงที่เขามีให้
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น มันเพราะว่าตัวเองคิดอะไรไปมั่วซั่ว
ที่แท้ที่เขามายืนอยู่ด้านหลังของเธอนั้นก็แค่เพราะว่าอยากจะเอาเสื้อมาคลุมให้เท่านั้นเอง
ทำไมเธอถึงไปคิดว่า……เขาอยากจะกอดเธอจากด้านหลังกันล่ะ?
นี่เธอ……จิตใจไม่บริสุทธิ์เลยใช่ไหม?
ตอนที่เธอกำลังไปคิดนั้น ชายที่อยู่ด้านหลังของเธอก็ยื่นแขนออกมา แล้วก็ดึงเธอที่ถูกเสื้อคลุมอยู่นั้นมากอดไว้ในอ้อมแขน
มือหนาของชายคนนั้นโอบเอวเรียวๆ ของเธอ เสียงทุ้มต่ำและอ่อนโยน “ฉันไม่เคยมีความคิดที่จะทิ้งเธอไว้โดยที่ไม่สนใจเลย”
“เหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อห้าปีก่อน คือครั้งแรกที่เธอกับฉันเจอกัน”
“ควันมันหนาเกินไป ฉันจำหน้าตาของเธอได้ไม่ชัดเจน และก็ไม่ค่อยได้ยินเสียงของเธอเท่าไหร่”
“แต่ว่าที่เธอบอกฉันว่าเธอชอบดวงดาวนั้น ฉันจำได้”
“ดังนั้น ฉันก็เลยตั้งชื่อให้เด็กทั้งสองคน คนหนึ่งคือซิงหยุน อีกคนหนึ่งคือซิงเฉิน”
น้ำเสียงที่น่าดึงดูดของเขาพ่นลมหายใจใส่หูของเธอ ทั้งอ่อนโยนและร้อนแรง “ซิงหยุน เป็นดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ก่อตัวเป็นกลุ่มคล้ายเมฆ”
“ส่วนซิงเฉิน คือดวงดาวที่ส่องแสง”
“ตอนนั้น ทุกคนต่างก็บอกฉันว่าเธอตายไปแล้ว มีคนพบศพผู้หญิงที่ไหม้เกรียมอยู่ในซากปรักหักพังของกองไฟด้วย”
“ฉันก็นึกว่าเธอตายไปแล้วจริงๆ ”
“ฉันฝังร่างนั้นไว้อย่างดี ทุกปีก็ต่างจะแวะไปไหว้ ฉันหวังว่าเธอจะเข้าใจความเคารพและความรู้สึกผิดที่ฉันมีต่อเธอ”
หัวใจของซูสือเยว่ มันอ่อนโยนเพราะคำพูดของเขา
ถ้าเกิดว่าเป็นหนึ่งชั่วโมงก่อน ที่เขากล้ากอดเธอแบบนี้ เธอคงจะชกและเตะเขาแน่นอน เหยียบเขาเอาไว้และบอกเขาว่าผู้ชายเลวๆ อย่างเขาไม่คู่ควรที่จะมาแตะต้องเธอ
แต่ว่าตอนนี้……
เธอฟังเสียงที่มีเสน่ห์ของเขา และรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิจากร่างกายของเขา
จู่ๆ เธอก็รู้สึกไม่อยากจะผลักเขาออกแล้ว
ความรู้สึกที่ถูกเขากอดอยู่แบบนี้……ที่จริงมันก็ไม่เลวเลย
“คุณผู้ชาย!”
ทันใดนั้น ประตูระเบียงก็ถูกผลักเข้ามาพร้อมกับไป๋ลั่วที่เร่งรีบเดินเข้ามา “คนของตระกูลเจี่ยน……”
เขายังไม่ทันพูดจบ ก็มองเห็นทั้งสองคนที่กำลังกอดกันอยู่ที่ระเบียง
คำพูดของไป๋ลั่วติดอยู่ที่ลำคอทันที
เขาชะงักไปพร้อมกับกระแอมว่า “คือว่า……ผมมาผิดเวลาไปหน่อยใช่ไหมครับ? ”
ฉินโม่หานหัวเราะเบาๆ แต่มือที่กอดซูสือเยว่อยู่นั้นกลับกอดแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม “นายมาผิดเวลาจริงๆ นั่นแหละ”
ซูสือเยว่หน้าแดงขึ้นมาทันที ดิ้นออกจากอ้อมกอดของฉินโม่หาน
แล้วก็เดินออกไปพร้อมกับเสื้อคลุมของเขา
แต่พึ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็เหมือนเกิดนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วเธอก็ชะงัก “นายบอกมาสิ ตระกูลเจี่ยนทำไมเหรอ? ”
ไป๋ลั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถึงได้พูดในต่อ “คนของตระกูลเจี่ยนมาที่นี่ครับ อยู่ชั้นล่าง”
“พวกเขารู้แล้วว่าคุณผู้หญิงอยู่ที่นี่ แถมพาคาราวานมาด้วย บอกว่าจะมาเจรจากับพวกเรา”
“ถ้าเกิดว่าเจรจาไม่สำเร็จพวกเขาจะเข้ามาแย่งเธอไป ยังไงคนของพวกเราก็เยอะสู้คนของพวกเขาไม่ได้”
พอพูดจบ ไป๋ลั่วก็เบะปาก “ตระกูลเจี่ยนช่างหยิ่งเกินไปแล้ว!”
ฉินโม่หานคลี่ยิ้มจางๆ แล้วก็หันไปมองซูสือเยว่ที่อยู่ข้างๆ “หยิ่งเหมือนคุณหญิงใหญ่ของพวกเขาเลย”
ซูสือเยว่กลอกตา
เธอหยิ่งยังไง?
ถ้าเกิดว่าเธอหยิ่งจริงๆ ป่านนี้คงจัดการฉินโม่หานนี่ไปแล้ว!
ราวกับว่าอ่านใจของเธอออก ชายหนุ่มคลี่ยิ้มจางๆ แล้วก็เดินไปกุมมือซูสือเยว่เอาไว้ “คุณหญิงจอมหยิ่ง ลงไปเจอคนในครอบครัวของเธอด้วยกันไหม? ”
ซูสือเยว่หน้าแดงขึ้นมาทันที
เธออยากจะดึงมือของตัวเองออก
แต่นึกไม่ถึงเลยว่า ฉินโม่หานที่ดูนุ่มนิ่มนั้น แรงจะเยอะขนาดนี้!
ไม่ว่าเธอจะดิ้นยังไงก็ไม่หลุด!
เธอเบะปาก แต่เธอเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหาเรื่องอะไรพวกนี้
ดังนั้นซูสือเยว่ก็เลยกลับกลายเป็นจับมือของเขาไว้แทน แล้วก็ดึงเขาเดินออกไป “ได้สิ นายเล่าสิ่งที่นายพูดเมื่อกี้นี้ให้พวกเขาฟังอีกครั้ง ถ้าเกิดว่าคนของตระกูลเจี่ยนเห็นด้วย ฉันก็จะตอบรับข้อตกลงของนาย”
“อย่าเสียใจภายหลังแล้วกัน”
ฉินโม่หานที่อยู่ด้านหลัง มองดูแผ่นหลังของเธอ แล้วก็คลี่ยิ้มออกมา
“ไม่มีทางเสียใจอย่างแน่นอน”
“งั้นก็ดี”
เขาก้าวเดินไปด้านหน้า เดินกุมมือกัน เคียงบ่าเคียงไหล่ เดินลงไปข้างล่างพร้อมกัน
ไป๋ลั่วยืนอยู่ที่เดิม เห็นแล้วก็อึ้งไปเลย
นี่มัน……
บอกว่าคุณผู้หญิงความจำเสื่อมไม่ใช่เหรอ?
บอกว่าคุณผู้หญิงเห็นคุณผู้ชายเป็นศัตรูไม่ใช่เหรอ?
บอกว่าคุณผู้หญิงไม่ได้รู้สึกอะไรกับคุณผู้ชายแล้วไม่ใช่เหรอ?
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
คุณผู้หญิงที่เมื่อกี้ยังตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด บอกว่าถ้าเกิดว่าคุณผู้ชายมาแล้วจะฆ่าเขานั้น……
ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ก็คืนดีกับคุณผู้ชายแล้ว แถมยังกอดกันจับมือกันอีก
ทำไมพล็อตเรื่องนี้มันถึงแตกต่างจากที่เขาคิดล่ะ?
คุณผู้หญิงที่ตีกับคุณผู้ชายตลอดล่ะ?
“พี่ไม่เข้าใจเรื่องนี้สินะ”
ซิงเฉินที่นั่วไขว่ห้างอยู่ข้างๆ อ่านข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลเจี่ยนไปด้วย พร้อมกับเบะปากไปด้วย “ยังไงก็เป็นสามีภรรยากัน ไม่ว่าจะสูญเสียความทรงจำรึเปล่า ยังไงก็รักกันอยู่ดี”
ซิงกวงก็พยักหน้าเหมือนกัน “เพราะว่ามีความรักอยู่ในหัวใจ ต่อให้หม่ามี๊จะสูญเสียความทรงจำ แต่ว่าความรักที่เธอมีต่อแด๊ดดี้มันไม่มีวันเปลี่ยนไป”
“ขอแค่เธอยังเป็นหม่ามี๊ของพวกเรา ก็ถูกลิขิตไว้แล้วว่าจะถูกแด๊ดดี้ของพวกเราดึงดูด ไม่ว่าเธอจะเป็นแบบไหน”
ไป๋ลั่วเกาหัวอย่างสับสน “ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แหะ”
ซิงหยุนที่หลับตางีบอยู่ด้านข้างนั้นลืมตาขึ้นมา และก็มองเขา “ที่จริงแล้วต่อให้พี่ไม่เข้าใจ ก็ไม่เป็นไรหรอก”
ไป๋ลั่วอึ้งไป ทันใดนั้นหัวใจของเขาก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที
ในความทรงจำของเขานั้น นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายน้อยซิงหยุนที่เย็นชานั้นอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจเขาแบบนี้!
เขาตื่นเต้นมาก จนเกือบจะเดินเข้าไปจับมือซิงหยุนเพื่อขอบคุณเขาที่ปลอบใจตัวเอง
อย่างไรก็ตาม……
ซิงหยุนก็หลับตาลงอีกครั้ง แล้วก็เปลี่ยนท่าทีเป็นนั่งเอนอย่างสบายๆ เพื่อพักผ่อนต่อ “ยังไงพี่ก็เป็นแค่คนโสดที่ไม่เคยมีความรัก จะไปคาดหวังอะไรกับพี่มากก็ไม่ได้หรอก”
ไป๋ลั่ว:“……”
เขาเก็บคำชมที่มอบให้ซิงหยุนไปเมื่อกี้คืนหมดแล้ว!
……
ตอนที่ฉินโม่หานกับซูสือเยว่เดินจูงมือกันลงมาชั้นล่างนั้น ผู้ดูแลบ้านเสิ่นก็กำลังนั่งดื่มชาอยู่กับเจี่ยนเฉิงบนโซฟา
พอได้ยินเสียงด้านบนบันได เขาก็ขมวดคิ้วแล้วก็เงยหน้าขึ้น
มองแว๊บเดียว เขาก็เห็นทั้งสองคนจับมือกันอยู่
ใบหน้าของผู้ดูแลบ้านเสิ่นก็เย็นชาขึ้นในทันที
เขามองหน้าฉินโม่หานด้วยแววตาที่เย็นชา “ฝีมือของท่านชายฉินก็ดีไม่เบาเลยหนิครับ ต่อหน้าก็ทำเป็นมาพูดกับผมเรื่องร่วมงาน แต่ว่าลับหลังกลับมาขโมยคนของตระกูลเจี่ยนไป!”
พอพูดจบ เขาก็มองซูสือเยว่ “คุณผู้หญิง กลับไปกับผมเถอะครับ”
“ได้สิ”
ซูสือเยว่มองเขานิ่งๆ “ฉันแย่งฉินโม่หานกลับไป ให้เขาไปเป็นสามีฉัน นายคิดว่าไง? ”