การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~ – ตอนที่ 157 ตำนานแห่งผืนทะเลทราย

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

ตอนที่ 157 ตำนานแห่งผืนทะเลทราย

 

 

 

อาณาจักรทองคำเป็นสิ่งที่ผมมีความรู้เกี่ยวกับมันน้อยมาก

 

ตอนที่ผมมาเบลก้าคราวก่อน ก็พอจะได้ยินข่าวลือมาว่ามันเป็นอาณาจักรที่ถูกปกป้องเอาไว้ด้วยกำแพงสูงตรงใจกลางทะเลทราย แถมยังบอกอีกว่าในนั้นมันคือยูโทเปียที่มีทั้งแหล่งน้ำ ความเขียวขจี และเวทมนตร์ลึกลับ นั่นคือข้อมูลคร่าวๆ ของอาณาจักรทองคำ

 

 

ตอนแรกผมก็คิดว่ามันเป็นเพียงตำนานทั่วไป ก็เลยไม่ได้สนใจอะไรนัก

 

แต่พอมารู้ว่าตำนานที่เหมือนจะไร้สาระนี้กลับถูกนักผจญภัยระดับสูงของเมืองเบลก้าคนหนึ่งไล่ล่าโดยเอาชีวิตเข้าแลก ความสนใจมันก็เลยเพิ่มขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

 

 

 

พูดง่ายๆ คือผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยๆ แม้มันจะมีความเสี่ยงแต่ก็นี่แหละนักผจญภัย ลึกๆ ผมก็แอบสนใจเรื่องลึกลับหรือตำนานเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ

 

 

สำหรับคาเทียที่พยายามค้นหาพวกดาราสีเงินอย่างสิ้นหวัง การจะแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมาคงต้องแอบๆ เอาไว้หน่อย เอาเป็นว่าจากข้อมูลที่มี แอโร่กำลังค้นหาอาณาจักรทองคำดังนั้นก็คงจะเป็นจุดเดียวกันที่เหมาะสมในการค้นหาพวกดาราสีเงินด้วย

 

 

 

ดังนั้นระหว่างที่ผมกำลังบินอยู่รอบๆ ทะเลทรายคาตาลาน ผมก็ขอให้พวกซูซูเมะไปตรวจสอบหาข้อมูลที่พอจะมีประโยชน์ ในขณะเดียวกันมันยังช่วยให้ซูซูเมะได้เรียนรู้ภาษามากขึ้นด้วย

 

ผลที่ได้หลังจากกลับมาก็คือผมได้ยินเรื่องที่น่าสนใจจากคาร์ดินัลไซราระ

 

 

 

เขาได้เล่าถึงภาพอาณาจักรขนาดมหึมาในยุคแห่งทวยเทพ――ซึ่งเป็นยุคที่เก่าแก่มากกว่า 300 ปี――ก่อนที่พวกมนุษย์และปีศาจจะต่อสู้กันเสียอีก

 

 

 

ว่ากันว่ามันคืออาณาจักรทองคำ มหาอำนาจที่รวบรวมความมั่งคั่งจากทั่วโลกไว้ภายใน ทั้งเมืองถูกปกคลุมไปด้วยทองคำและเงิน นครที่ไม่เคยหลับไหลแม้ในยามราตรี

 

 

ความรุ่งเรืองของมันกินเวลามานับพันกว่าปี ผู้คนต่างใช้ชีวิตกันอย่างสงบสุข ทว่าในขณะเดียวกันศีลธรรมและจริยธรรมก็เริ่มเลือนหายไป มีการจัดงานแปลกๆ นอกรีตเกิดขึ้นมากมาย

 

เหล่าทวยเทพที่เห็นว่าบ้านเมืองและผู้คนบัดนี้ได้ตกต่ำไปสู่ความเสื่อมโทรมก็พยายามจะเข้ามาตักเตือน ทว่าเสียงของเทพก็มิอาจส่งไปถึงเหล่าผู้เสื่อมโทรมได้ ส่งผลทำให้อาณาจักรทองคำได้ถูกชะล้างด้วยสายฝนแห่งแสงที่ส่งมาจากสรวงสวรรค์ สิ่งปลูกสร้างถูกพังทลายด้วยแสงแห่งดวงดารา ผู้คนถูกเปลวเพลิงแห่งการลงทัณฑ์อย่างทุรนทุราย แม้จะผ่านไปนานกว่าพันปีแล้วผืนดินบริเวณนั้นก็ยังคงแห้งแล้งจนไม่สามารถเพาะปลูกอะไรได้เลย…..

 

 

――นั่นคือตำนานของอาณาจักรทองคำที่ผมได้รู้มา แน่นอนว่าดินแดนที่แห้งแล้งก็คือทะเลทรายคาตาลานนี่แหละ

 

 

อารยธรรมหลักฐานส่วนใหญ่จากยุคแห่งทวยเทพก็สูญหายไปเกือบหมดแล้วตั้งแต่สงครามเมื่อ 300 ปีก่อน ดังนั้นก็เลยเป็นเรื่องยากที่จะยืนยันว่าตำนานพวกนี้จริงแท้แค่ไหน

 

 

ส่วนตัวแล้วเท่าที่ผมเจอมาพวกที่ชอบเอาเรื่องพวกนี้มาเล่าถ้าไม่ใช่พวกต้มตุ๋นก็เป็นพวกเพ้อเจ้ออ่ะนะ

 

 

ก็จริงว่าคนที่เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟังเป็นคาร์ดินัลไซราระ แต่ส่วนสุดท้ายของเรื่องมันก็ลงเอยที่เทพพระเจ้าลงโทษเหล่าคนบาป ได้กลิ่นการบูชาเทพหึ่งเลย ผมก็เลยคิดว่าเรื่องนี้อาจจะลงเอยที่เป็นแค่ตำนานเฉยๆ ถ้าคิดให้จริงจังก็ไม่รู้หรอกนะว่าเป็นเทพองค์ไหนที่จัดการกับอาณาจักรทองคำไป อาจจะเป็นเทพสงคราม เทพกฎหมาย เทพธิดาแห่งผืนดินอะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ถ้ามีพลังพอจะทำให้ประเทศหนึ่งกลายเป็นทะเลทรายได้ละก็ ทำไมพวกเขาไม่บึ้มประตูปีศาจไปด้วยเลยล่ะ

 

 

แน่นอนว่าผมคงจะพูดต่อหน้าเขาตรงๆ ตามที่คิดไม่ได้หรอก แต่ถึงผมจะไม่ได้แสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจน แต่ก็อย่างที่คิดคาร์ดินัลแห่งเบลก้าผู้นี้ก็เหมือนจะรับรู้ถึงสิ่งที่ผมคิดได้

 

 

 

 

 

「ดูแล้วท่านคงคิดว่ายากที่จะเชื่อสินะ」

 

 

 

「……ถ้าให้พูดตามตรงก็ประมาณนั้นครับ」

 

 

 

 

ผมยอมรับไปตามตรงว่ามันแอบฟังดูไร้สาระ ก็คิดไว้เหมือนกันว่าอาจจะถูกตำหนิอะไรไหม แต่กลับกันคาร์ดินัลกลับไม่ว่าอะไรผมและเริ่มพูดต่อ

 

 

 

 

 

 

「ก็เข้าใจได้อยู่หรอกที่ท่านจะคิดเช่นนั้น ทว่าแอโร่ก็เชื่อในตำนานนั้น อย่างน้อยๆ ก็คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องไร้สาระไปเสียหมด ทั้งพ่อของเขา ――ทั้งพ่อเองก็เหมือนกัน」

 

 

 

「เรื่องท่านแอโร่ผมก็พอเข้าใจอยู่นะครับ แต่พ่อของเขาเกี่ยวอะไรด้วยกัน? 」

 

 

「ก็เพราะทั้งพ่อและพ่อของแอโร่เองก็เคยท้าทายทะเลทรายแห่งนี้ในฐานะนักผจญภัยยังไงล่ะ」

 

 

 

คาร์ดินัลหรี่ตาลงราวกับนึกถึงวันเก่าๆ

 

ก่อนจะพูดต่อ

 

 

「ทะเลทรายคาตาลานมีสิ่งที่หลงเหลือจากยุคแห่งทวยเทพอย่างแน่นอนนอกจากนี้พ่อก็รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นด้วย」

 

 

 

「อะไรที่มากกว่านั้นเหรอครับ」

 

 

「อุมุ ถึงมันจะยากที่จะเชื่อสักหน่อย แต่ถ้าท่านได้เข้าไปสัมผัสส่วนลึกของทะเลทรายจริงๆ ท่านจะเข้าใจ…..ตรงส่วนลึกนั้น สัมผัสบางอย่างที่บ่งบอกว่ามีสิ่งที่เกินคนธรรมดาจะเข้าใจได้」

 

 

 

ยิ่งเป็นนักผจญภัยระดับสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งถูกดึงดูดด้วยความลึกลับนี้มากขึ้นเท่านั้น นั่นคือสิ่งที่คาร์ดินัลกล่าว

 

 

พ่อของแอโร่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง ครอบครัวของเขาได้พยายามท้าทายทะเลเทรายแห่งนี้อย่างไม่ลดละ โดยไม่สนใจคำเตือนของพวกพ้องเลย แม้จะเป็นคาร์ดินัลไซราระก็ตาม จนในที่สุดพวกเขาก็ได้แยกทางกันและพ่อของแอโร่ก็ได้หายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

 

 

หื้ม ผมกอดอกคิด

 

 

 

สาเหตุที่อัศวินสีขาวอย่างแอโร่พยายามฝ่าฟันเข้าไปในทะเลทรายคาตาลานอาจจะเพราะพ่อของเขาด้วยส่วนหนึ่ง ระหว่างนั้นผมก็คิดถึงความหมายคำพูดที่คาร์ดินัลพยายามบอกด้วย

 

พอเข้าไปถึงส่วนลึกก็จะสัมผัสอะไรบางอย่างได้สินะ――บางทีผมอาจจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ได้

 

 

 

จากนั้นภาพของป่าทีทิสก็ผุดขึ้นมาในหัว ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือภาพของรังมังกรที่โผล่ตรงส่วนลึกสุดของป่านั่นแหละ

 

 

 

ในตอนนั้นผมก็มีความรู้สึกเหมือนกันว่าหลังจากที่ตามไฮดราไปจนเจอรังนั่น มันมีอะไรบางอย่างภายในนั้นจริงๆ คาร์ดินัลอาจจะรู้สึกแบบเดียวกับผมก็ได้

 

 

หากมีรังมังกรอยู่ในทะเลทรายคาตาลานจริง ก็แอบน่าสนใจไม่น้อยว่าเบฮีมอธก็อาจจะเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ในตำนานก็ได้ ทว่าความแตกต่างก็คงจะเป็นรังมังกรที่ป่าทีทิสนั้นได้ปลดปล่อยพลังเวทออกมาจนน่าสะพรึ่งกลัวจนทำให้ชีวิตทั้งหลายในป่าพัฒนาการขึ้นอย่างบ้าคลั่ง กลับกันทะเลทรายคาตาลานแห่งนี้หญ้าสักต้นผมยังไม่เห็นเลย

 

 

 

อะไรคือความแตกต่างระหว่างสองที่นี้กันนะ――หลังจากคิดไปคิดมา ผมก็ส่ายหัวแล้วเลิกคิด

 

ไม่ไหวๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะสรุปได้ด้วยสมมติฐานบนสมมติฐาน ดังนั้นไว้ผมไปเจอของจริงค่อยว่ากันอีกที

 

 

หากตรงนั้นมันมีรังมังกรอยู่จริงๆ เดี๋ยวผมก็คงสัมผัสได้เอง ว่าถึงตอนนั้นจะคิดต่อก็ไม่สาย

 

 

 

 

◆◆◆

 

 

ตอนแรกฐานที่มั่นของพวกผมในเบลก้าก็คือโรงแรมที่เคยพักก่อนหน้านี้

 

เป้าหมายในการตัดสินใจรอบนี้ก็คือการประกาศว่าดราก้อนสเลเยอร์ได้มาถึงเมืองนี้แล้วต่อสาธารณชน ผู้คนจำนวนมากหลากอาชีพก็จะมาหาผมโดยไม่ได้คำนึงถึงสถานะทางสังคมอะไรเพราะเป็นวิหารเพื่อดึงข้อมูลกำลังคน

 

ซึ่งมันก็ได้ผลจริง วันก่อนนีคนมากมายเข้ามาพบผมและส่งคำเชิญมาไม่หยุดหย่อน ก็โชคดีที่คาร์ดินัลได้รับมือไว้ก่อนแล้ว

 

พวกผมได้รับจดหมายมาจากทางเหยี่ยวทะเลทรายด้วย โดยสรุปเนื้อหาคร่าวๆ ก็ประมาณว่าพวกเขาอยากจะเจอผมสักครั้งหนึ่ง และอาสาจะไปช่วยค้นหาเบฮีมอธกับดาราสีเงินด้วย

 

 

ผมก็ไม่ได้คิดจะตอบรับไปโดยเชื่ออย่างสนิทใจหรอกนะ แต่อย่างน้อยผมก็มองว่าพวกเขาคงไม่มีเจตนาอยากจะเป็นศัตรูกับผม

 

 

 

ผมได้พูดคุยกับอดีตสมาชิกปาร์ตี้ดาราสีเงินคนอื่นนอกเหนือจากคาเทียด้วย โดยพวกเขาเหมือนจะมีจุดมุ่งหมายในการฟื้นคืนดาราสีเงินเช่นกัน และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ดราก้อนสเลเยอร์จะมาช่วยเหลือพวกเขาด้วย

 

 

คนพวกนี้ดันรีบด่วนสรุปไปซะได้ คือการที่ผมช่วยคาเทียก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะช่วยดาราสีเงินเสียหน่อย พอบอกไปตรงๆ พวกนั้นก็บ่นกันออกมา แต่ผมไม่เห็นจะต้องสนใจ

 

 

ผมไม่ได้อยากจะหางานมาเพิ่มให้ตัวเองหรอกนะ แค่ที่มีตอนนี้ก็ล้นแล้ว

 

 

หลังจากที่ผมกลับมาจากการบินสำรวจ ผมก็เดินทางไปตรงลานฝึกซ้อมพร้อมลูนามาเรียเพื่อทำสิ่งนั้นให้เสร็จ ปกติแล้วตรงนี้ก็จะมีนักบวชสายบู้มาฝึกกัน แต่เพราะดึกแล้วตอนนี้พวกผมจึงเป็นคนกลุ่มเดียวในนี้

 

 

เหตุผลที่ผมพาลูนามาเรียมาที่นี่ก็เพื่อฝึกการรับมือกับมายาดาบเดียวตามที่ได้คุยกันคราวก่อน

 

 

ก็จริงว่าคงจะไม่สามารถฝึกจนเป็นเรื่องเป็นราวได้นักเพราะพรุ่งนี้ผมต้องไปทะเลทรายแล้ว แต่อย่างน้อยถ้ามีเวลาว่างสักนิดก็อยากจะช่วยเธอ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผมรักษาสัญญานะเอ้อ

 

 

ด้วยเหตุนี้ผมจึงไปยืมดาบไม้มาจากทางวิหารและใช้เวลาครึ่งชั่วโมง (จริงๆ 1 ชั่วโมง) ในการฝึกให้ลูนามาเรีย นอกจากเอลฟ์ที่เหงื่อไหลและหายใจหอบตรงหน้าผมแล้ว จริงๆ ก็มีคิจินอย่างซูซูเมะ กับอิเรียที่เป็นมนุษย์อยู่ด้วย

 

 

 

「พรุ่งนี้ฉันมีงานต้องทำต่อด้วย วันนี้ก็เอาไว้แต่นี้ก่อนแล้วกัน」

 

 

 

「……….ข…ขอบพระคุณมากค่ะ……」

 

 

ปากของปราชญ์เอลฟ์ส่งเสียงหอบออกมาอย่างหนัก ตอนนี้ลูนามาเรียได้สวมกางเกงขายาวสำหรับการฝึกมา เธอเหนื่อยจนต้องเอามือไปกุมที่เข่าทั้งสองเอาไว้แล้วพยายามสูดลมหายใจ หากสังเกตให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าขาเธอสั่นหนักมาก

 

――หื้ม จะหนักเกินไปหน่อยไหมนะ? บาดแผลภายนอกผมก็ไม่เห็นมีอะไรนะ หรือจะเป็นอาการช้ำกันนะ เพราะเธอก็ถูกแทงด้วยปลายดาบไม้และฟาดจนร่วงลงกับพื้นบ่อยด้วย

 

ก็จริงว่าผมสามารถออมมือให้เธอได้มากกว่านี้ แต่เดี๋ยวจะไม่ใช่การฝึกกันพอดี สำหรับลูนามาเรียที่เคยต่อสู้กับคลิมมาแล้ว ผมก็ต้องจริงจังระดับหนึ่ง

 

 

 

เอาเป็นว่าถึงเธอจะเหนื่อยล้าอย่างหนัก แต่การที่เธอไม่บ่นอะไรออกมาเกี่ยวกับการฝึกก็แปลว่าผมไม่ต้องไปเปลี่ยนอะไร

 

 

 

จากนั้นผมก็มองไปทางซูซูเมะ

 

ก็เหมือนกับลูนามาเรีย เธอสวมกางเกงสำหรับฝึกมาด้วย แต่ลักษณะการหายใจของเธอยังไม่ถึงขั้นลูนามาเรีย รอยเปื้อนบนเสื้อผ้าก็น้อยกว่าลูนามาเรียด้วย――ก็อย่างที่คิด ผมออมมือให้กับเธอมากกว่าทางลูนามาเรีย

 

 

แต่ผมไม่ได้บอกเธอไปตรงๆ แล้วเลือกจะชมเธอแทน

 

 

 

「ซูซูเมะนี่เคลื่อนไหวได้ไม่เลวเลยนะ ได้ยินมาว่าเธอพยายามฝึกเวทมนตร์แล้วเพิ่มความสามารถทางกายภาพด้วยใช่ไหม แต่ที่ฉันเห็นเหมือนเธอจะเริ่มใช้เทคนิคการต่อสู้ด้วยนี่? 」

 

 

 

「…….อึก…อื้อ….คือว่า…ฝึกกับคุณชีล….โดยมี คุณซาร่าสอน….พื้นฐานให้…..」

 

 

 

「อ-อ๋อ แบบนี้นี่เอง」

 

พอเห็นซูซูเมะพูดโดยหายใจหอบออกมา ผมก็ตอบรับไปด้วยความตระหนกนิดหน่อย ก็จริงอยู่ว่าผมเป็นคนถามเอง แต่ผมก็น่าจะรอให้เธอหายใจได้สะดวกก่อนน้า

 

 

ส่วนคนสุดท้ายคืออิเรียที่อยู่ในสภาพคุกเข่าข้างหนึ่ง เพราะไม่สามารถยืนขึ้นไหว เหตุผลที่ร่างของเธอสั่นจนยืนไม่ไหวน่าจะเป็นเพราะลูกเตะส่งท้ายของผมก่อนสิ้นสุดการฝึกที่อัดเข้าไปยังช่องท้องของเธอเต็มๆ

 

 

ระหว่างที่ผมกำลังรับมือกับซูซูเมะและลูนามาเรีย ในขณะเดียวกันผมก็เตะอัดไปยังอิเรียเพื่อสวนการโจมตี

 

 

ราวกับว่าความเจ็บปวดของเธอได้บรรเทาลงแล้ว อิเรียจึงเริ่มเปิดปากขึ้น

 

 

「เทคนิคการต่อสู้ที่นายใช้อยู่นะ――ฉันเดาว่าคืออันที่นายเรียกว่าเทคนิคคิสินะ…นั่นเป็นของที่คนในสำนักใช้ได้เท่านั้นเหรอ? 」

 

 

「ไม่หรอก เพราะพลังคิน่ะมันเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ในตัวและสามารถดึงออกมาใช้ได้อยู่แล้ว เธอเองก็ทำได้เหมือนกัน ดังนั้นถึงจะไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องกับมายาดาบเดียวก็ไม่มีปัญหา」

 

 

หากเป็นเทคนิคระดับสูงมันก็กินพลังเยอะอยู่หรอก ดังนั้นคงไม่ใช่ทุกคนจะใช้ได้ แต่ถ้าเป็นแค่เทคนิคพื้นฐานก็ไม่มีปัญหา

 

 

ดวงตาของอิเรียส่องประกายออกมาก่อนจะพูดต่อ

 

 

 

「ถ้างั้นก็แปลว่านายสามารถฝึกการใช้คิให้ฉันได้เหมือนกันใช่ไหม แถมกลับกันนายก็จะสามารถพัฒนาเทคนิคของนายได้ดีขึ้นด้วยนะ ว่าไงล่ะ? 」

 

 

 

「อย่าคาดหวังว่าจะได้เทคนิคสุดอลังการอะไรเลยจากสิ่งนี้ สุดท้ายแล้วฉันว่าเธอไปฝึกพื้นฐานให้มั่นคงก่อนดีกว่า」

 

 

 

 

ผมพูดออกมา

 

 

คือผมก็เข้าใจสิ่งที่อิเรียต้องการหรอกนะ แต่ผมไม่อยากจะฝึกเทคนิคคิให้พวกเธอตอนนี้

 

 

นอกจากนี้ จนถึงก่อนหน้านี้ผมก็ใช้เทคนิคคิได้รูปแบบของตัวเอง และถึงจะได้รับการฝึกฝนจากไคลอามาบ้างแล้วแต่ผมก็ไม่อยู่ในระดับที่จะสอนคนอื่นได้หรอก

 

 

ตั้งแต่แรก การนำเทคนิคคิมาใช้ร่วมกันกับมายาดาบเดียวจะแสดงพลังได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อผู้ใช้สามารถรับรู้ถึงอนิม่าของตนเองได้ ถึงแม้ลูนามาเรียกับอิเรียจะเชี่ยวชาญการใช้คิ แต่ก็คงคาดหวังได้เก่งขึ้นแบบผิดหูผิดตาไม่ได้หรอก

 

 

ถ้าจะให้พูดในที่นี้ ซูซูเมะที่เป็นคิจินคงเป็นเพียงคนเดียวที่พอเป็นไปได้――ทว่ามายาดาบเดียวก็เป็นศาสตร์ลับ ถึงจะเป็นเพียงเทคนิคพื้นฐานแต่สุดท้ายมันก็คือหนึ่งในศาสตร์ของเกาะอสูรยักษ์ การที่คิจินสามารถใช้พลังนี้ได้ด้วย ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าพวกคนบนเกาะจะเคลื่อนไหวยังไงกัน

 

 

แต่สุดท้ายถึงจะกลายมาเป็นศัตรูกัน ผมก็ไม่คิดจะหาข้อแก้ตัวมายุติปัญหาหรอกนะเออ

 

――หากซูซูเมะต้องการสิ่งนั้นจริงๆ ผมก็ไม่มีปัญหาที่จะสอนมันให้กับเธอ

 

 

นั่นคือสิ่งที่ผมคิดระหว่างมองดูทั้ง 3 สาว ที่แสงความเหนื่อยล้าออกมา

 

—–

Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ ~เด็กหนุ่มอ่อนแอที่ถูกนักบุญดาบ (พ่อ) เนรเทศเพราะหาว่าไร้ค่า~

Status: Ongoing
ตระกูลมิตสึรุกิได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่สำคัญในการปกป้องประตูปีศาจจากองค์จักรพรรดิ โซระ มิตสึรุกิ ผู้เกิดมาเป็นลูกชายคนโตของตระกูล กำลังตั้งตารอพิธีตัดสินในปีที่เขาอายุครบ13ปี การทดสอบที่จำเป็นต้องเอาชนะให้ได้เพื่อเรียนรู้วิชาดาบเดียวมายาซึ่งสืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลมิตสึรุกิ พี่น้องของเขาทั้งหมดนั้นต่างก็ผ่านบททดสอบดังกล่าว จะเหลือก็เพียงโซระ บัดนี้พ่อ น้องชาย คู่หมั้น และญาติของเขาก็ต่างจับจ้องไปยังโซระที่จะเริ่มทดสอบกันอย่างเคร่งขรึม

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท